2 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรีภรณ์ บางเขียว ผู้จัดทำ นางสาว ศุภิสรา อนันตะบุศย์ รหัสนักศึกษา 6521123074 กลุ่มเรียน D9 เลขที่ 24 สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ (หลักสูตรครุศาตรบัณฑิต) รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการพัฒนาหลักสูตร (1190201) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
3 คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการพัฒนาหลักสูตร โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ เกี่ยวกับสภาพหลักสูตรของไทยในปัจจุบัน สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตร ในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้ผู้ที่ต้องการที่จะศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) หลักสูตรการอาชีวศึกษา และ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) หวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ หลักสูตรของไทย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอรับข้อเสนอแนะและขอรับไว้ด้วยความขอบพระคุณ ยิ่ง นางสาวศุภิสรา อนันตะบุศย์ ผู้จัดทำ
4 สารบัญ บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย 5 1.1 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 6-9 1.2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 10-12 1.3 หลักสูตรการอาชีวศึกษา 1.3.1 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 13-15 1.3.2 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 16-18 1.3.3 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ 18-20 1.4 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 21-22 สรุป 23-24 2. สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย 25 2.1 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 26-27 2.2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 28-29 2.3 หลักสูตรการอาชีวศึกษา 2.3.1 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 30 2.3.2 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 30-31 2.3.3 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ 31-32 2.4 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 33-34 สรุป 35 3. แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 36 3.1 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 37 3.2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 37-38 3.3 หลักสูตรการอาชีวศึกษา 3.3.1 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 38-42 3.3.2 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 38-42 3.3.3 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ 38-42 3.4 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 42-46 สรุป 47-48 บรรณานุกรม 49
5 บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย
6 บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จัดทำขึ้นโดยยึดปรัชญาการศึกษาปฐมวัย วิสัยทัศน หลักการ บนพื้นฐานแนวคิดที่เกี่ยวของกับการศึกษาปฐมวัยสากล และความเป็นไทย ครอบคลุมการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนาเด็กอย่างเป็นองครวม และการสงเสริมกระบวนการเรียนรูที่สนองตอธรรมชาติและพัฒนาการ ตามวัย ของเด็ก ตลอดจนเจตคติที่ดีตอการเรียนรูที่สงผลตอการเรียนรูตลอดชีวิต เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่สอดคลอง กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการสรางรากฐานคุณภาพชีวิตใหแกเด็กและมุง เนนการพัฒนาเด็กแตละคนใหเต็มตามศักยภาพดวยความรวมมือของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัย ครอบครัว ชุมชน สังคม และทุกฝายที่เกี่ยวของกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย สูการสรางคนไทยที่มี ศักยภาพในอนาคต เพื่อเปนกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยใหกาวหนาอยางยั่งยืน • แนวคิด ๑. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเด็ก พัฒนาการเปนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตอเนื่องในตัวมนุษยเริ่มตั้งแตปฏิสนธิไปจนตลอดชีวิตทั้งใน ดานปริมาณและคุณภาพ พัฒนาการของเด็กจะมีลําดับขั้นตอนในลักษณะ เดียวกันตามวัยของเด็ก แตอัตรา การเจริญเติบโต และระยะเวลาในการผานขั้นตอนตางๆ ของเด็กแตละคน อาจแตกตางกันได โดยในขั้นตอน แรกๆ จะเปนพื้นฐานสําหรับพัฒนาการขั้นตอไป พัฒนาการประกอบดวย ดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา ซึ่งพัฒนาการแตละดานมีความเกี่ยวของและสัมพันธกัน รวมทั้งสงผลกระทบซึ่งกันและกัน ๒. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กอยางเปนองครวมและการปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ การพัฒนาเด็กอยางเปนองครวม เปนการคํานึงถึงความสมดุลและครอบคลุมพัฒนาการของเด็กใหครบ ทุกดาน ในการดูแล พัฒนา และจัดประสบการณการเรียนรูใหแกเด็กตองไมเนนที่ดานใดดานหนึ่ง จนละเลยด านอื่นๆ ซึ่งในแตละดาน ของพัฒนาการทั้งดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา มีองคประกอบต างๆ ที่ตองการการสงเสริม ใหเด็กเจริญเติบโต และมีพัฒนาการสมวัยอยางเปนลําดับขั้นตอน ซึ่งการปฏิบัติที่ เหมาะสมกับพัฒนาการ เปนแนวทางที่สําคัญในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตอเด็กดวยความรูความเขาใจ ที่ ประกอบดวย ความเหมาะสม กับวัยหรืออายุของเด็กวาพัฒนาการในชวงวัยนั้นๆ ของเด็กเปนอยางไร ตองการ การสงเสริมอยางไร การมีความรูทางพัฒนาการตามชวงวัย ๓. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับการทํางานของสมอง สมองของเด็กเปนสมองที่สรางสรรคและมีการเรียนรูที่เกิดขึ้นสัมพันธกับอารมณ สมองเปนอวัยวะที่ สําคัญมากที่สุด และมีการพัฒนาตั้งแตอยูในครรภมารดา โดยในชวงนี้เซลลสมองจะมีการพัฒนาเชื่อมตอและ ทําหนาที่ในการควบคุมการทํางาน พื้นฐานของรางกาย สําหรับในชวงแรกเกิดถึงอายุ ๓ ป จะเปนชวงที่เซลล สมองเจริญเติบโตและขยายเครือขายใยสมองอยางรวดเร็ว การพัฒนาของสมองทําใหเด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู สิ่งตางๆ ไดอยางรวดเร็วกวาวัยใด สําหรับแนวคิด การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับการทํางานของสมอง (Brain
7 - based Learning) เปนการจัดกระบวนการเรียนรูที่สัมพันธและสอดคลองกับพัฒนาการทางสมอง โครงสราง และการทํางานของสมองที่มีการพัฒนาอยางเปนลําดับขั้น ๔. ๕. แนวคิดเกี่ยวกับการเลนและการเรียนรูของเด็ก การเลนเปนกิจกรรมการแสดงออกของเด็ก อยางอิสระตามความตองการ และจินตนาการสรางสรรค ของตนเองเปนการสะทอนพัฒนาการและการเรียนรูของเด็กในชีวิตประจําวันจากการมีปฏิสัมพันธกับสิ่งตางๆ บุคคล และสิ่งแวดลอมรอบตัว การเลนทําใหเกิดความสนุกสนานผอนคลายและสงเสริมพัฒนาการทั้งดานราง กาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญาของเด็ก การเลนของเด็กปฐมวัยจัดเปนหัวใจสําคัญของการจัดประสบ การณการเรียนรูที่เหมาะสม ๖. แนวคิดเกี่ยวกับการคํานึงถึงสิทธิเด็ก การสรางคุณคา และสุขภาวะใหแกเด็กปฐมวัยทุกคน เด็กปฐมวัยควรไดรับการดูแลและพัฒนาอยาง ทั่วถึงและเทาเทียมกันทุกคน โดยมีสิทธิในการอยูรอด สิทธิไดรับการคุมครอง สิทธิในดานพัฒนาการ และสิทธิ การมีสวนรวมตามที่กฎหมายระบุไว เด็กแตละคนมีคุณคาในตนเอง และควรสรางคุณคาและคุณภาพชีวิตให เกิดกับเด็กจากการอบรมเลี้ยงดูและการใหการศึกษาที่มีคุณภาพพรอมกับการสงเสริมดานสุขภาวะทั้งดานราง กาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา ๗. แนวคิดเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูควบคูการใหการศึกษา การจัดการศึกษาปฐมวัยมุงพัฒนา เด็กบนพื้นฐานของการอบรมเลี้ยงดูควบคูกับการใหการศึกษา หรือ การสงเสริมกระบวนการเรียนรูที่สนองตอ ธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแตละคนอยางเปนองครวม การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยหมายรวมถึงการดูแลเอาใจใสเด็กดวยความรัก ความอบอุน ความเอื้ออาทร การ ดูแลสุขภาพ โภชนาการและความปลอดภัย และการอบรมกลอมเกลาใหเด็กมีจิตใจดี ๘. แนวคิดเกี่ยวกับการบูรณาการ เด็กปฐมวัยเปนชวงวัยที่เรียนรูผานการเลนและการทํากิจกรรม ที่เหมาะสมตามวัย เปนหนาที่ของผู สอนตองวางแผนโดยบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร คณิตศาสตร ศิลปะ ภาษา ดนตรี และการเคลื่อนไหว คุณธรรม จริยธรรม สุขภาพอนามัย และศาสตรอื่นๆ โดยไมแบงเปนรายวิชา แตจะมีการผสมผสานความรู ทักษะ กระบวนการ และเจตคติของแตละศาสตรในการจัดประสบการณ ซึ่งแตกตางจากการเรียนรูในระดับชั้นอื่นๆ เปนการจัดประสบการณการเรียนรูอยางเปนธรรมชาติเหมาะสมตามวัยของเด็ก ๙. แนวคิดเกี่ยวกับสื่อ เทคโนโลยี และสภาพแวดลอมที่เอื้อตอการเรียนรู ผูสอนสามารถนําสื่อ เทคโนโลยี และการจัดสภาพแวดลอมที่เอื้อตอการเรียนรูมาสนับสนุนและเสริม สรางการเรียนรูของเด็กปฐมวัยได โดยสื่อเปนตัวกลางและเครื่องมือเพื่อใหเด็กเกิดการเรียนรูตามจุดประสงคที่ วางไว สื่อสําหรับเด็กปฐมวัยนั้น สามารถเปนบุคคล วัสดุ อุปกรณ ของเลน ตลอดจนเทคนิควิธีการ ที่กําหนดไว ไดอยางงายและรวดเร็ว ทําให สิ่งที่เปนนามธรรมเขาใจยากกลายเปนรูปธรรม เกิดการเรียนรูและคนพบดวย ตนเอง การใชสื่อการเรียนรู9คูมือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สําหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ป ต องปลอดภัยตอตัวเด็กและเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกตางระหวางบุคคล ความสนใจ ความชอบ และ ความตองการของเด็กที่หลากหลาย
8 ๑๐. แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินตามสภาพจริง การประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยยึด วิธีการสังเกตเปนสวนใหญ เปนกระบวนการที่ตอเนื่องและ สอดคลองสัมพันธกับการจัดประสบการณการเรียนรูรวมทั้งกิจกรรมประจําวัน โดยมีจุดมุงหมายเพื่อใหไดข อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรูของเด็ก สําหรับ การสงเสริมความกาวหนา และชวยเหลือสนับสนุนเมื่อ พบเด็กลาชาหรือมีปญหาที่เกิดจากพัฒนาการและการเรียนรูไมใชการตัดสินผลการศึกษาและไมใช แบบทดสอบในการประเมิน เปนการประเมินตามสภาพจริงที่มีการ วางแผนอยางเปนระบบ ๑๑. แนวคิดเกี่ยวกับการมีสวนรวมของครอบครัว สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และชุมชน การพัฒนาเด็กอยางมีคุณภาพตองอาศัยความ รวมมือของทุกฝายที่เกี่ยวของกับเด็ก ซึ่งพอแม ผูปกครอง รวมทั้งบุคคลในครอบครัวเปนผูที่อยูใกลชิดเด็ก มากที่สุด และครอบครัวเปนจุดเริ่มตนในการเรียนรูของเด็ก สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจะเปนส วนสําคัญที่อบรมเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กจึงไมเพียงแตแลกเปลี่ยนความรูเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กเทานั้น แตยังตอง มีการทํางานรวมกับครอบครัวและชุมชนที่มีรูปแบบตางๆ เพื่อการพัฒนาเด็กรวมกัน ๑๒. แนวคิดเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความเปนไทย และความหลากหลาย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี สงผลตอวิถีชีวิตและการจัดการศึกษาเพื่อเตรียม เด็ก สูอนาคต อยางไรก็ตาม เด็กเมื่อเกิดมาจะเปนสวนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งไมเพียงแตจะไดรับ อิทธิพล จากการปฏิบัติแบบดั้งเดิมตามประเพณี มรดก และการถายทอดความรูภูมิปญญาของบรรพบุรุษแลว ยังไดรับอิทธิพล จากประสบการณ คานิยม และความเชื่อของบุคคลในครอบครัวและชุมชนของแตละที่ดวย โดยบริบททางสังคม และวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยูหรือแวดลอมรอบตัวเด็กมีอิทธิพลตอพัฒนาการและการเรียน รูตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของแตละคน • ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัย เปนการพัฒนาเด็กตั้งแตแรกเกิดถึง ๖ ปบริบูรณอยางเปนองครวม บนพื้นฐาน การ อบรมเลี้ยงดูและการสงเสริมกระบวนการเรียนรูที่สนองตอธรรมชาติ และพัฒนาการตามวัยของเด็ก แตละ คนใหเต็มตามศักยภาพ ภายใตบริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยูดวยความรัก ความเอื้ออาทร และ ความเขาใจของทุกคน เพื่อสรางรากฐานคุณภาพชีวิตใหเด็กพัฒนาไปสูความเปน มนุษยที่สมบูรณ เกิดคุณคา ตอตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ • วิสัยทัศน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุงพัฒนาเด็กทุกคนใหไดรับการพัฒนาดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญาอยางมีคุณภาพและตอเนื่องไดรับการจัดประสบการณการเรียนรูอยางมีความสุข และเหมาะสม ตามวัยทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเปนคนดีมีวินัยและสํานึกความเปนไทย โดยความรวมมือระหวางสถานศึกษา พอแม ครอบครัว ชุมชน และทุกฝาย ที่เกี่ยวของกับการพัฒนาเด็ก • หลักการ - สงเสริมกระบวนการเรียนรูและพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน
9 - ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและใหการศึกษาที่เนนเด็กเปนสําคัญ โดยคํานึงถึงความแตกตาง ระหวาง บุคคลและวิถีชีวิตของเด็ก ตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย - ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองครวม ผานการเลนอยางมีความหมาย และมีกิจกรรม ที่ หลากหลาย ไดลงมือกระทําในสภาพแวดลอมที่เอื้อตอการเรียนรูเหมาะสมกับวัย และมีการพักผอน เพียงพอ - จัดประสบการณการเรียนรูใหเด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจ พอเพียง เปนคนดี มีวินัย และมีความสุข - สรางความรูความเขาใจ และประสานความรวมมือในการพัฒนาเด็ก ระหวางสถานศึกษา กับพอแม ครอบครัว ชุมชน และทุกฝายที่เกี่ยวของกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย จุดหมาย - รางกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี - สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม - มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยูรวมกับผูอื่นไดอยางมี ความสุข - มีทักษะการคิด การใชภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรูไดเหมาะสมกับวัย • การจัดเวลาเรียน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสําหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ป กําหนดกรอบการจัดเวลาเรียนในการจัด ประสบการณใหกับเด็กเปนเวลา ๑ - ๓ ปการศึกษา โดยประมาณ ทั้งนี้ ขึ้นอยูกับอายุของเด็กที่เริ่ม เขาสถานศึกษา หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เวลาเรียนสําหรับเด็กปฐมวัยจะขึ้นอยูกับสถานศึกษาหรือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย แตละแหง โดยมีเวลาเรียนไมนอยกวา ๑๘๐ วัน ตอ ๑ ปการศึกษา ในแตละวันจะใช เวลาไมนอยกวา ๕ ชั่วโมง โดยสามารถปรับใหเหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
10 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) • วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ ทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดย มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ • หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็น ไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาคและมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ • จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติ ตนตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกระมุข
11 ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข • สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการ เลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสรสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง ประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และ มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม • มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ๔. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๕. สุขศึกษาและพลศึกษา ๖.ศิลปะ
12 ๗.การงานอาชีพ ๘. ภาษาต่างประเทศ • การจัดเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานสำหรับกลุ่มสาระการ เรียนรู้ ๘ กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึงสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมได้ตามความพร้อมและจุดเน้น โดย สามารถปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรียน ดังนี้ ๑. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๖) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลาเรียนวันละไม่เกิน ๕ ชั่วโมง ๒. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๓) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่เกิน ๖ ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็น หน่วยกิต ใช้เกณฑ์ ๔๐ ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าน้ำหนักวิชาเท่ากับ ๑ หน่วยกิต (นก.) ๓. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่น้อยกว่า ๖ ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียน เป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ ๔๐ ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าน้ำหนักวิชาเท่ากับ ๑ หน่วยกิต (นก.)
13 หลักสูตรการอาชีวศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 • หลักการ 1. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าด้านวิชาชีพที่ สอดคล้อง กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนการศึกษาแห่งชาติเป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ เพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนระดับฝีมือให้ มีสมรรถนะ มีคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความ ต้องการ ของสถานประกอบการและการประกอบอาชีพอิสระ 2. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการปฏิบัติจริง สามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเทียบโอนผล การ เรียน สะสมผลการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถานประกอบการ และสถาน ประกอบอาชีพอิสระ 3. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และ องค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน 4. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการ พัฒนา หลักสูตรให้ตรงตามความต้องการโดยยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ และสอดคล้องกับสภาพยุทธศาสตร์ ของ ภูมิภาคเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ • จุดหมาย 1. เพื่อให้มีความรู้ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ สามารถนําไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกวิถีการดํารงชีวิต และการประกอบ อาชีพได้ อย่างเหมาะสมกับตน สร้างสรรค์ความเจริญต่อชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ 2. เพื่อให้เป็นผู้มีปัญญา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใฝ่ เรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและการประกอบ อาชีพ มีทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะการคิด วิเคราะห์และ การแก้ปัญหา ทักษะด้านสุขภาวะและความปลอดภัย ตลอดจนทักษะการจัดการ สามารถ สร้างอาชีพและ พัฒนาอาชีพให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ 3. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพที่เรียน รักงาน รักหน่วยงาน สามารถ ทํางานเป็นหมู่คณะได้ดีโดยมีความเคารพในสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น 4. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการทํางาน การอยู่ร่วมกัน การต่อต้านความรุนแรง และ สารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ท้องถิ่นและประเทศชาติดํารงตนตามหลัก ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิต สาธารณะและจิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี 5. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดีมีมนุษยสัมพันธ์มีคุณธรรม จริยธรรม และวินัยในตนเอง มีสุขภาพอนามัย ที่ สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจเหมาะสมกับงานอาชีพ
14 6. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศและโลก มี ความรักชาติสํานึกในความเป็นไทย เสียสละเพื่อส่วนรวม ดํารงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักเกณฑ์การใช้ • การจัดการศึกษาและเวลาเรียน การจัดการศึกษาในระบบปกติใช้ระยะเวลา 3 ปี การศึกษา การจัดเวลาเรียนให้ดําเนินการ ดังนี้ 1. ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาค ภาค เรียนละ 18 สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจํานวนหน่วยกิตตามที่กําหนด และสถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามทีÉเห็นสมควร 2. การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทําการสอนไม่น้อย กว่าสัปดาห์ละ5 วัน ๆ ละไม่เกิน 7 ชั่วโมง โดยกําหนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ 60 นาที • การเรียนการสอน 1. การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียนที่กําหนด และ นําผล การเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบโอนความรู้และ ประสบการณ์ได้ 2. การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริ ง สามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการ วิธีการและการดําเนินงาน มีทักษะการปฏิบัติงานตาม แบบแผน ในขอบเขตสําคัญและบริบทต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประจํา ให้คําแนะนําพื้นฐาน ที่ต้องใช้ใน การตัดสินใจ วางแผนและแก้ไขปัญหาโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมในบางเรื่อง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ ทางวิชาชีพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแก้ปัญหาและการ ปฏิบัติงานในบริบทใหม่ รวมทั้ง รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่ เหมาะสมในการทํางาน • การคิดหน่วยกิต ให้มีจํานวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า103-110 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิตถือเกณฑ์ดังนี้ 1. รายวิชาทฤษฎีที่ใช้เวลาในการบรรยายหรืออภิปราย1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ18 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 2. รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ36 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3. รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 4. การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวิภาคีที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลา การวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 5. การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพในสถานประกอบการที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมง
15 ต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 6. การทําโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลา การวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต • โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 แบ่งเป็น 3 หมวดวิชา และ กิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ 1. หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ไม่น้อยกว่า 22 หน่วยกิต 1.1 กลุ่มวิชาภาษาไทย 1.2 กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ 1.3 กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ 1.4 กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ 1.5 กลุ่มวิชาสังคมศึกษา 1.6 กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา 2. หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า 71 หน่วยกิต 2.1 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน 2.2 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ 2.3 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือก 2.4 ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 2.5 โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ 3. หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า 10 หน่วยกิต 4. กิจกรรมเสริมหลักสูตร (2 ชั่วโมง/สัปดาห์) – หน่วยกิต หมายเหตุ 1) จํานวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวิชาและกลุ่มวิชาในหลักสูตร ให้เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในโครงสร้าง ของแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา 2) การพัฒนารายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ จะเป็น รายวิชา บังคับที่สะท้อนความเป็นสาขาวิชาตามมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ด้านสมรรถนะวิชาชีพของ สาขาวิชา ซึ่งยึด โยงกับมาตรฐานอาชีพ จึงต้องพัฒนากลุ่มรายวิชาให้ครบจํานวนหน่วยกิตที่กําหนด และ ผู้เรียนต้องเรียนทุก รายวิชา 3) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถจัดรายวิชาตามที่กําหนดไว้ในหลักสูตร และหรือ พัฒนาเพิ่ม ตามความต้องการเฉพาะด้านของสถานประกอบการหรือตามยุทธศาสตร์ภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพที่ ประเภทวิชา สาขาวิชา และสาขางานกําหนด
16 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 • หลักการ 1. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เพื่อพัฒนากําลังคนระดับเทคนิคให้มีสมรรถนะ มี คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความต้องการของ ตลาดแรงงานและการประกอบอาชีพอิสระ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ แผนการ ศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษา แห่งชาติ 2. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการปฏิบัติจริง สามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเทียบโอนผลการเรียน สะสมผลการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถานประกอบการและ สถาน ประกอบอาชีพอิสระ 3. เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้สําเร็จการศึกษามีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ มีความรู้เต็มภูมิ ปฏิบัติได้ จริง มีความเป็นผู้นําและสามารถทํางานเป็นหมู่คณะได้ดี 4. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงานและ องค์กร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน 5. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษาสถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตร ให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับสภาพยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ • จุดหมายของหลักสูตร 1. เพื่อให้มีความรู้ทางทฤษฎีและเทคนิคเชิงลึกภายใต้ขอบเขตของงานอาชีพ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเพื่อใช้ในการดํารงชีวิตและงานอาชีพ สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมหรือ ศึกษาต่อใน ระดับที่สูงขึ้น 2. เพื่อให้มีทักษะและสมรรถนะในงานอาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ สามารถบูรณาการความรู้ ทักษะจาก ศาสตร์ต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 3. เพื่อให้มีปัญญา มีความคิดสร้างสรรค์มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน บริหารจัดการ ตัดสินใจ แก้ปัญหา ประสานงานและประเมินผลการปฏิบัติงานอาชีพ มีทักษะการเรียนรู้ แสวงหา ความรู้และ แนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาตนเองและประยุกต์ใช้ในการสร้างงานให้สอดคล้องกับวิชาชีพและ การพัฒนางาน อาชีพอย่างต่อเนื่อง 4. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพมีความมั่นใจและภาคภูมิใจในงานอาชีพรักงานรักหน่วยงานสามารถทํางาน เป็นหมู่คณะได้ดีมีความภาคภูมิใจในตนเองต่อการเรียนวิชาชีพ 5. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรมซื่อสัตย์ มีวินัย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและ จิตใจ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในอาชีพนั้น ๆ
17 6. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ต่อต้านความรุนแรงและสารเสพติดทั้งในการทํางานการอยู่ ร่วมกัน มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวองค์กร ท้องถิ่นและประเทศชาติอุทิศตนเพื่อสังคม เข้าใจและเห็นคุณค่า ของศิลปวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตระหนักในปัญหาและความสําคัญของสิ่งแวดล้อม 7. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยเป็นกําลังสําคัญ ในด้านการผลิตและให้บริการ 8. เพื่อให้เห็นคุณค่าและดํารงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองดี ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักเกณฑ์การใช้ • การจัดการศึกษาและเวลาเรียน 1. การจัดการศึกษาในระบบปกติสําหรับผู้เข้าเรียนที่สําเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่าในประเภทวิชาและสาขาวิชาตามที่หลักสูตรกําหนด ใช้ระยะเวลา 2 ปี การศึกษา ส่วนผู้ เข้าเรียนที่สําเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และผู้เข้าเรียนที่สําเร็จการศึกษา ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่าต่างประเภทวิชาและสาขาวิชาที่กําหนด ใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี การศึกษาและเป็นไปตามเงื่อนไขที่หลักสูตรกําหนด 2. การจัดเวลาเรียนให้ดําเนินการ ดังนี้ 2.1 ในปี การศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาค ภาค เรียนละ 18 สัปดาห์รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจํานวนหน่วยกิตตามที่กําหนด และ สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามที่เห็นสมควร 2.2 การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทําการสอนไม่น้อย กว่า สัปดาห์ละ5 วัน ๆ ละไม่เกิน 7 ชั่วโมง โดยกําหนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ 60 นาที • การคิดหน่วยกิต ให้มีจํานวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 83 - 90 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิตถือเกณฑ์ดังนี้ 3.1 รายวิชาทฤษฎีที่ใช้เวลาในการบรรยายหรืออภิปราย1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ18 ชั่วโมงต่อภาค เรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.2 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือ36 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.3 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.4 การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวิภาคี ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการ วัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.5 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพในสถานประกอบการ ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54ชั่วโมงต่อภาค เรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.6 การทําโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลา การวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต
18 • โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 แบ่งเป็น 3 หมวดวิชาและ กิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ 4.1 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ไม่น้อยกว่า 21 หน่วยกิต 4.1.1 กลุ่มวิชาภาษาไทย 4.1.2 กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ 4.1.3 กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ 4.1.4 กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ 4.1.5 กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ 4.1.6 กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ 4.2 หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต 4.2.1 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน 4.2.2 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ 4.2.3 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือก 4.2.4 ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 4.2.5 โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ 4.3 หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต 4.4 กิจกรรมเสริมหลักสูตร (2 ชั่วโมง/สัปดาห์) – หน่วยกิต หมายเหตุ 1) จํานวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวิชาและกลุ่มวิชาในหลักสูตรให้เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในโครงสร้าง ของแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา 2) การพัฒนารายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ จะเป็น รายวิชาบังคับ ที่สะท้อนความเป็นสาขาวิชาตามมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ด้านสมรรถนะวิชาชีพของ สาขาวิชา ซึ่งยึดโยง กับมาตรฐานอาชีพ จึงต้องพัฒนากลุ่มรายวิชาให้ครบจํานวนหน่วยกิตที่กําหนด และผู้เรียน ต้องเรียนทุกรายวิชา 3) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถจัดรายวิชาเลือกตามที่กําหนดไว้ในหลักสูตรและ หรือ พัฒนาเพิÉมตามความต้องการเฉพาะด้านของสถานประกอบการหรือตามยุทธศาสตร์ภูมิภาค เพื่อเพิ่ม ขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ที ประเภทวิชา สาขาวิชาและสาขางานกําหนด หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ • ความสำคัญ 1.เป็นเครื่องมือในการนำนโยบายการพัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาสู่การปฏิบัติ 2.เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง
19 3.มุ่งให้ผู้สำเร็จการศึกษามีสมรรถนะตรงตามมาตรฐานอาชีพหรือตามความต้องการของผู้ใช้ 4.มุ่งให้คุณวุฒิของทุกสถาบันการอาชีวศึกษา เป็นที่ยอมรับและสามารถเทียบเคียงกันได้ 5.เปิดโอกาสให้สถาบันการอาชีวศึกษาสามารถพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ • องค์ประกอบ กรอบคุณวุฒิการศึกษาวิชาชีพ (คอศ. ๑) ควรประกอบด้วยหัวข้ออย่างน้อยต่อไปนี้ 1.ชื่อหลักสูตร 2.ชื่อปริญญาและสาขา 3.ปรัชญาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร 4.โอกาสในสายงานวิชาชีพ 5.องค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวกับ (ถ้ามี) 6.มาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ 7.จำนวนหน่วยกิตและโครงสร้างหลักสูตร 8.เนื้อหาสาระสำคัญของหลักสูตร 9.แนวทางการจัดการเรียนการสอน 10.การประเมินมาตรฐานวิชาชีพ 11.คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา 12.ทรัพยากรการเรียนการสอนและการจัดการ 13.การประกันคุณภาพหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน 14.การนำกรอบคุณวุฒิการศึกษาวิชาชีพสู่การปฏิบัติ 15.ภาคผนวก • การกำหนดโครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตรเป็นขั้นตอนที่ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องตัดสินใจว่าสมรรถนะที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้สำเร็จ การศึกษาตามที่ได้วิเคราะห์ สังเคราะห์มาเป็นสมรรถนะประจำสาขาวิชาหรือมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ เพื่อ มากำหนดเป็นโครงสร้างหลักสูตรในแต่ละหมวดวิชาตลอดหลักสูตรจะจัดวางไว้ในตำแหน่งใด ต้องใช้เวลา เรียนรู้และฝึกหัดมากน้อยเท่าไหร่ ทั้งนี้ในการกำหนดกรอบโครงสร้างหลักสูตรจะต้องเป็นไปตามกรอบ มาตรฐานหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ แล้วพิจารณาสมรรถนะที่ต้องการคู่กันไปว่าต้องใช้เวลาหรือหน่วย กิตเท่าไหร่ จึงจะตอบสนองสมรรถนะที่กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้ 1.ศึกษากรอบมาตรฐานหลักสูตร เกี่ยวกับหัวข้อโครงสร้างหลักสูตรซึ่งในทุกหมวดวิชาจะกำหนดสมรรถนะ ของแต่ละหมวดไว้ เพื่อเป็นกรอบในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนให้ทีคุณภาพตามมาตรฐานของ หลักสูตร 2.กำหนดสมรรถนะสาขาวิชา ซึ่งถือเป็นการประกันคุณภาพของผู้สำเร็จการการศึกษาโดยครอบคลุมอย่าง น้อย 3 ด้าน ดังนี้
20 2.1 ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ พฤติกรรมลักษณะ นิสัยและทักษะทางปัญญา 2.2 ด้านสมรรถนะหลักและสมรรถนะทั่วไป ได้แก่ ความรู้และทักษะการสื่อสารการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ การพัฒนาการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน การทำงานร่วมกับผู้อื่น การใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์การประยุกต์ใช้ตัวเลข การจัดการและการพัฒนางาน 2.3 ด้านสมรรถนะวิชาชีพ ได้แก่ ความสามารถในการประยุต์ใช้ความรู้และทักษะในสาขาวิชาชีพสู่การ ปฏิบัติจริง รวมทั้งประยุกต์สู่อาชีพ
21 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 1.ความหมายของกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษาแห่งชาติ(Thai Qualifications Framework for Higher Education : TQF: HEd) หมายถึง กรอบที่แสดงระบบคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ระดับ คุณวุฒิการแบ่งสายวิชา ความเชื่อมโยงต่อเนื่องจากคุณวุฒิระดับหนึ่งไปสู่ ระดับที่สูงขึ้น มาตรฐานผลการเรียนรู้ ของแต่ละระดับคุณวุฒิซึ่งเพิ่มสูงขึ้นตามระดับของคุณวุฒิลักษณะของหลักสูตรในแต่ละระดับคุณวุฒิปริมาณ การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเวลาที่ต้องใช้การเปิด โอกาสให้เทียบโอนผลการเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งเป็นการ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้ง ระบบและกลไกที่ให้ความมั่นใจในประสิทธิผลการดำเนินงานตามกรอบ มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติของสถาบันอุดมศึกษาว่าสามารถผลิตบัณฑิตให้บรรลุคุณภาพตาม มาตรฐานผลการเรียนรู้ 2. หลักการสำคัญของกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ 2.1 ยึดหลักความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ตลอดจนมาตรฐานการศึกษาของชาติ และมาตรฐานการอุดมศึกษา โดยมุ่งให้กรอบมาตรฐาน คุณวุฒิเป็นเครื่องมือในการนำแนวนโยบายในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาตามที่กำหนด ไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติมาตรฐานการศึกษาของชาติ และมาตรฐานการอุดมศึกษาไปสู่การ ปฏิบัติในสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษามีแนวทางที่ ชัดเจนในการพัฒนาหลักสูตร การปรับเปลี่ยนกลวิธีการสอนของอาจารย์ การเรียนรู้ของนักศึกษา ตลอดจนการ วัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อให้มั่นใจว่า บัณฑิตจะบรรลุมาตรฐานผลการเรียนรู้ตามที่มุ่งหวังได้จริง 2.2 มุ่งเน้นที่มาตรฐานผลการเรียนรู้ของบัณฑิต (Learning Outcomes) ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำเชิงคุณภาพ เพื่อประกันคุณภาพบัณฑิตและสื่อสารให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจและมั่นใจถึงกระบวนการผลิต บัณฑิต โดยเริ่มที่ผลผลิตและผลลัพธ์ของการจัดการศึกษา คือ กำหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ของบัณฑิตที่ คาดหวังไว้ก่อน หลังจากนั้นจึงพิจารณาถึงองค์ประกอบอื่นๆที่เกี่ยวข้องในกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ จะส่งเสริมให้บัณฑิตบรรลุถึงมาตรฐานผลการเรียนรู้นั้นอย่างสอดคล้องและส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ 2.3 มุ่งที่จะประมวลกฎเกณฑ์และประกาศต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไว้แล้วเข้าด้วยกันและเชื่อมโยงเป็นเรื่อง เดียวกัน ซึ่งจะสามารถอธิบายให้ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความหมายและความมีมาตรฐานใน การจัดการศึกษาของคุณวุฒิหรือปริญญาในระดับต่างๆ 2.4 มุ่งให้คุณวุฒิหรือปริญญาของสถาบันอุดมศึกษาใดๆ ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและเทียบเคียงกันได้ กับสถาบันอุดมศึกษาที่ดีทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาจะช่วยกำหนด ความมีมาตรฐานในการจัดการศึกษาในทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถ จัดหลักสูตร ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย โดยมั่นใจถึงผลผลิตสุดท้ายของการจัด การศึกษา คือ คุณภาพของบัณฑิตซึ่งจะมีมาตรฐานผลการเรียนรู้ตามที่มุ่งหวัง สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมี ความสุขและภาคภูมิใจเป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต และเป็นคนดีของสังคม ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและขีด ความสามารถในการพัฒนาประเทศไทย
22 3. วัตถุประสงค์ของการจัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ 3.1 เพื่อเป็นกลไกหรือเครื่องมือในการนำแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาตามที่กำหนด ไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2545 เกี่ยวกับ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และมาตรฐานการอุดมศึกษาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนำไป เป็นหลักในการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน และการประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษา 3.2 เพื่อกำหนดเป้าหมายในการผลติบัณฑิตให้ชัดเจนโดยกำหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ของบัณฑิตที่ คาดหวังในแต่ละคุณวุฒิ/ปริญญาของสาขา/สาขาวิชาต่างๆ และเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิ/ ผู้เชี่ยวชาญในสาขา/สาขาวิชาได้ใช้เป็นหลัก และเป็นแนวทางในการวางแผน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและ พัฒนาการจัดการศึกษา เช่น การพัฒนาหลักสูตร การปรับเปลี่ยนกลวิธีการสอนวิธีการเรียนรู้ ตลอดจน กระบวนการวัดและการประเมินผลนักศึกษา 3.3 เพื่อเชื่อมโยงระดับต่างๆของคุณวุฒิในระดับอุดมศึกษาให้เป็นระบบ เพื่อบุคคลจะได้มีโอกาสเพิ่มพูน ความรู้ได้อย่างต่อเนื่องและหลากหลายตามหลักการศึกษาตลอดชีวิต มีความชัดเจนและโปร่งใส สามารถ เทียบเคียงกับมาตรฐานคุณวุฒิในระดับต่างๆ กับนานาประเทศได้ 3.4 เพื่อช่วยให้เกิดวัฒนธรรมคุณภาพในสถาบันอุดมศึกษาและเป็นกลไกในการประกันคุณภาพภายในของ สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง และใช้เป็นกรอบอ้างอิงสำหรับผู้ประเมินของการประกันคุณภาพภายนอกเกี่ยวกับ คุณภาพบัณฑิต และการจัดการเรียนการสอน 3.5 เพื่อเป็นกรอบของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในกลุ่มผู้ที่ เกี่ยวข้อง อาทิ นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคมและสถาบันอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ เกี่ยวกับความหมายของคุณวุฒิ คุณธรรม จริยธรรม ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะในการทำงาน รวมทั้งคุณลักษณะอื่นๆ ที่คาดว่าบัณฑิตจะพึงมี 3.6 เพื่อประโยชน์ในการเทียบเคียงมาตรฐานคุณวุฒิระหว่างสถาบันอุดมศึกษา ทั้งในและต่างประเทศใน การย้ายโอนนักศึกษาระหว่างสถาบันอุดมศึกษา การลงทะเบียนข้ามสถาบัน และการรับรองคุณวุฒิผู้สำเร็จ การศึกษาทั้งในและต่างประเทศ 3.7. เพื่อให้มีการกำกับดูแลคุณภาพการผลิตบัณฑิตกันเองของแต่ละสาขา/สาขาวิชา 3.8เพื่อนำไปสู่การลดขั้นตอน/ระเบียบ (Deregulation) การด าเนินการให้กับสถาบันอุดมศึกษาที่มีความ เข้มแข็ง
23 สรุป ปัจจุบันหลักสูตรในประเทศไทยนั่นมีครอบคลุมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 และสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ ระบบสามัญศึกษาและระบบอาชีวศึกษา หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) นั้นจัดอยู่ในระบบสามัญศึกษา รระบบ อาชีวศึกษา แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ 1.หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 (เทียบเท่า มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) 2.หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 (เทียบเท่า ระดับอุดมศึกษา) 3.หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฎิบัติการ และหลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ซึ่งหลักสูตรที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มีรูปแบบลักษณะ แนวคิด จุดหมาย วิธีการใช้ที่คล้ายคลึงกัน ที่สำคัญหลักสูตรทุกหลักสูตรมีจุดเด่นที่เน้นพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียน มากที่สุด ในหลักสูตรปฐมวัยจะมีวิสัยทัศน หลักการ บนพื้นฐานแนวคิดที่เกี่ยวของกับการศึกษาปฐมวัยสากล และความเป็นไทย ครอบคลุมการอบรมเลี้ยงดูการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองครวม และการสงเสริมกระบวนการ เรียนรูที่สนองตอธรรมชาติและพัฒนาการ ตามวัยของเด็ก ตลอดจนเจตคติที่ดีตอการเรียนรูที่สงผลตอการเรียน รูตลอดชีวิต เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่สอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการสรางรากฐาน คุณภาพชีวิตใหแกเด็กและมุง เนนการพัฒนาเด็กแตละคนใหเต็มตามศักยภาพดวยความรวมมือของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัย ครอบครัว ชุมชน สังคม และทุกฝายที่เกี่ยวของกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย สูการสรางคนไทยที่มี ศักยภาพในอนาคต เพื่อเปนกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยใหกาวหนาอยางยั่งยืน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 นั้น ถือว่าเป็นแม่แบบสำคัญให้กับโรงเรียนทั่ว ประเทศ ทุกโรงเรียนจะยึดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นโครงสร้างหลักแล้วจึงสามารถสร้างหรือ เพิ่มเติมจุดประสงค์ได้ตามความเหมาะสมตามบริบทของโรงเรียน และสังคม สภาพแวดล้อมรอบข้างโรงเรียน หลักสูตรอาชีวศึกษาเป็นการเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือ ปวช. เพื่อศึกษาและต่อยอด ความรู้ในสายอาชีพอย่างเฉพาะเจาะจง โดยมุ้งเน้นการจัดการเรียนการสอนเป็นหมวดวิชาทักษะชีวิต ทักษะ วิชาชีพ และหมวดอื่น ๆ ตามแต่ละสถาบัน คือ • หมวดวิชาทักษะชีวิต กลุ่มวิชาภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และสุขศึกษาและพลศึกษา • ทักษะวิชาชีพ กลุ่มทักษะวิชาชีพพื้นฐาน กลุ่มทักษะวิชาชีพเฉพาะ กลุ่มทักษะวิชาเลือก ฝึก ประสบการณ์ทักษะวิชาชีพ และโครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพ หลังจากจบการศึกษาระดับ ปวช. แล้ว ผู้เรียนสามารถเลือกได้ว่าจะศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง หรือ ปวส. (หลักสูตร 2 ปี) หรือจะศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย
24 การเรียนสายอาชีพจะมุ่งเน้นไปที่ภาคปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฎี เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำทักษะที่ได้จาก การเรียนรู้มาประกอบอาชีพได้จริงในอนาคต หลักสูตรอุดมศึกษาเป็นหลักสูตรที่แสดงระบบคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศ ซึ่ง ประกอบด้วย ระดับคุณวุฒิการแบ่งสายวิชา ความเชื่อมโยงต่อเนื่องจากคุณวุฒิระดับหนึ่งไปสู่ ระดับที่สูงขึ้น มาตรฐานผลการเรียนรู้ของแต่ละระดับคุณวุฒิซึ่งเพิ่มสูงขึ้นตามระดับของคุณวุฒิลักษณะของหลักสูตรในแต่ละ ระดับคุณวุฒิปริมาณการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเวลาที่ต้องใช้การเปิด โอกาสให้เทียบโอนผลการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้ง ระบบและกลไกที่ให้ความมั่นใจในประสิทธิผล การดำเนินงานตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติของสถาบันอุดมศึกษาว่าสามารถผลิต บัณฑิตให้บรรลุคุณภาพตามมาตรฐานผลการเรียนรู้
25 บทที่ 2 สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย
26 บทที่2 สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 • ปัญหาสำคัญของการศึกษาปฐมวัย 1. การขาดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เนื่องจาก ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการที่สำคัญตามช่วงวัยของ เด็ก จึงมีความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กอ่านออกเขียนได้ จึงส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีระบบการสอนแบบ “เร่งเรียนเขียนอ่าน” นอกจากนี้การใช้สื่อเทคโนโลยีในการเลี้ยงดูเด็ก เช่น ไอแพต โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรทัศน์ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กมีความบกพร่องในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น 2. การขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการศึกษาปฐมวัยของครู ผู้บริหารและสถานศึกษา การขาดแคลนความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย จึงทำให้ครูเน้นให้เด็กอ่านเขียนมากกว่าวัย และเน้นการสอนที่มีลักษณะให้เด็กท่องจำมากกว่าทักษะด้านการ คิด การตัดสินใจ ในขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาบางส่วนบริหารงานเพื่อชื่อเสียงของโรงเรียนจึงเตรียมความ พร้อมของเด็ก เพื่อการสอบแข่งขันมากกว่าการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็ก รวมถึงปัญหาสถานศึกษาไม่ สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จึงทำให้เกิดการเรียนเพื่อสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ตั้งแต่ระดับอนุบาล 3. ระบบการผลิตครูปฐมวัย จากค่านิยมของการเข้ารับราชการที่มีสวัสดิการที่ดีและมีความมั่นคงใน ชีวิต จึงเกิดความต้องการเพิ่มคุณวุฒิด้านการศึกษาของครูให้สูงขึ้น แต่ระบบการผลิตครูในปัจจุบันยังขาดกลไก ในการติดตามและประเมินคุณภาพ เช่น การเปิดรับครูปฐมวัยจำนวนมาก ทำให้อัตราส่วนระหว่างอาจารย์กับ จำนวนนักศึกษาไม่สอดคล้องกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในด้านการเรียนการสอน เนื่องจากกระบวนการพัฒนา ครูปฐมวัย ไม่สามารถทำได้ด้วยการบรรยายเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ โดยมีอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย มาดูแลอย่างใกล้ชิด 4. การให้ความสำคัญด้านเนื้อหาและการวัดผลมากกว่าการประเมินผลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการ วัดผลระดับประถมศึกษาต้อนต้น มุ่งเน้นให้เด็กท่องจำ ความรู้จำนวนมากไม่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับ หลักสูตรของการศึกษาปฐมวัยที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยคำนึงถึงการพัฒนาการในทุกด้านอย่าง สมดุล ได้แก่ ด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์และจิตใจ นอกจากนี้ครูในโรงเรียนอนุบาล และศูนย์เด็ก เล็กส่วนใหญ่ เน้นการวัดผลด้านความจำ โดยขาดการประเมินตามสภาพความเป็นจริง รวมถึงหน่วยงานที่ รับผิดชอบทางด้านการศึกษาของรัฐ ใช้หลักเกณฑ์ตัดสินมากกว่าการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน ทำให้ขาด แนวทางในการปรับปรุงผู้เรียนให้ดีขึ้น • แนวทางการแก้ไขปัญหา แบ่งออกเป็น 3 ส่วนที่สำคัญ คือ เด็ก - ขยายโอกาสทางการศึกษาปฐมวัยให้ทั่วถึง ครอบคลุมแก่เด็กทุกคนเพื่อให้ได้รับโอกาสในการพัฒนา อย่างเท่าเทียมตามศักยภาพของเด็ก
27 - จัดการเรียนรู้แก่เด็กปฐมวัยให้สอดคล้องกับธรรมชาติตามวัย โดยมุ่งเน้นการเล่นและเรียนรู้ตาม ธรรมชาติที่อยู่รอบตัว จัดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียน เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ - เพิ่มงบประมาณในด้านส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก โดยครอบคลุมเด็กทุกวัยทุกคน และเพิ่มเติมให้กับ กลุ่มเด็กปฐมวัยที่ด้อยโอกาส เช่น เด็กยากจน เด็กพิการ เด็กออทิสติก เป็นต้น ครอบครัว - เผยแพร่ความรู้ให้สาธารณชนและสังคมมีความเข้าใจถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กไทยได้รับการพัฒนาและเติบโตอย่างมีคุณภาพ - ให้การศึกษากับพ่อแม่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการมีบุตรและดูแลส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ปฐมวัย - การให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นผู้ดูแลหลักแก่เด็กปฐมวัยในชนบทให้ได้รับการ อบรมเลี้ยงดูที่เหมาะสม เช่น การให้ความรู้ในการเลี้ยงดูเด็ก การสนับสนุนค่าเลี้ยงดู เป็นต้น ระบบการศึกษา - รัฐต้องกำหนดเป้าหมาย นโยบาย และหลักสูตรให้ชัดเจน สำหรับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้เหมาะสม และต่อเนื่องทั้งในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา - จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และทัดเทียมกันทั้งในสถานศึกษาของรัฐ และเอกชน - พัฒนาเชื่อมโยงรอยต่อของแต่ละช่วงวัย ที่เริ่มต้นจากบ้าน ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล จนถึง ชั้นประถมศึกษา - สร้างเครือข่ายบุคลากรทางการศึกษาปฐมวัยและประถมศึกษาในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และ แบ่งปันข้อมูลในการดูแลและพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยอย่างทั่วถึง
28 หลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ปัญหาการใช้หลักสูตรสถานศึกษาตาม ทรรศนะของครูในภาพรวมพบว่า ปัญหาการใช้หลักสูตร สถานศึกษา มากเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านการบริหาร จัดการหลักสูตร รองลงมา ได้แก่ ด้านสื่อการเรียน การสอน ด้านการ จัดการเรียนการสอน ด้านหลักสูตร ด้านการวัดผลและประเมินผล และด้านครูผู้สอน ตามลำดับ โดย - ด้านหลักสูตร ในภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหาระดับปานกลางทุก ข้อ อันดับแรกคือ ภารกิจของหลักสูตร รองลงมาคือ ส่วนประกอบของหลักสูตร วิสัยทัศน์ของหลักสูตร เป้าหมายของหลักสูตร โครงสร้างของ หลักสูตร รายวิชาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ กิจกรรม พัฒนาผู้เรียนของ หลักสูตร และการจัดการเรียนรู้และ ส่งเสริมการเรียนรู้ตามลำดับ - ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหา ระดับ มากทุกข้อ อันดับแรกคือ การนิเทศ กำกับติดตาม การใช้หลักสูตร รองลงมาคือ การจัดทำหลักสูตร การ วางแผนการใช้หลักสูตร การใช้หลักสูตร การสรุปผล การใช้หลักสูตร การประเมินผลการใช้หลักสูตร การ ปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร และการเตรียมความพร้อม ในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ตามลำดับ - ด้านการจัดการเรียนการสอน ในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหา ระดับปานกลางทุกข้ออันดับแรกคือ การเรียนรู้ด้วยตนเอง รองลงมาคือ การวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยรูปแบบและวิธีการ ที่หลากหลาย การจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริง การ เรียนรู้จากการวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้จากโครงงาน การ เรียนร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้จากธรรมชาติการเรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง และ การ เรียนรู้ที่เน้นคุณธรรม ตามลำดับ - ด้านสื่อการเรียนการสอน ในภาพรวมอยู่ใน ระดับปานกลางทุกข้อเมื่อพิจารณารายข้อพบว่ามีปัญหา ระดับมากคือ หนังสือเรียนของนักเรียน รองลงมาคือ หนังสืออ้างอิงสำหรับศึกษาค้นคว้าของนักเรียน สื่อ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน เอกสาร หลักสูตรที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ใน ชุมชนที่ใช้ในการเรียนการสอน การนำภูมิปัญญา ท้องถิ่นมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ห้องเรียน ห้องพิเศษที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน อาคารเรียนอาคารประกอบที่ใช้ในการจัด กิจกรรมการ เรียนการสอน และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ใน การเรียนการสอน ตามลำดับ - ด้านการวัดผลและประเมินผล ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหา ระดับปานกลางทุกข้อ อันดับแรกคือ การประเมิน การอ่าน การคิดวิเคราะห์และการเขียน รองลงมาคือ การ จัดทำเอกสารหลักฐานการศึกษา การกำกับ ติดตาม และประเมินผลการเรียน ตามลำดับ - ด้านครูผู้สอน ในภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหาระดับ ปานกลางทุก ข้อ อันดับแรกคือ การทำความเข้าใจ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายและโครงสร้างหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้น พื้นฐาน พ.ศ. 2551 การเตรียมการสอน ด้วยการเขียนแผน การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน เทคนิค วิธีการ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความพร้อมและสนใจ ในการเรียนของครูผู้สอน รองลงมาคือ ความสามารถ ในการทำวิจัยใน ชั้นเรียนของครูผู้สอน การปรับ กระบวนทัศน์ของครูผู้สอนเกี่ยวกับการเรียนรู้ใหม่ ให้ทันต่อเหตุการณ์ ความสามารถของครูผู้สอนในการ ปฏิบัติงานการจัดการเรียนการสอนและทักษะในการ จัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามลำดับ
29 ครูขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร และขาดหลักสูตรกับเอกสารประกอบหลักสูตร เช่น คู่มือการใช้ หลักสูตร ฯลฯ ซึ่งทำให้การสอนของครูไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ครูไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตร ยังคงยึดถือวิธีสอนแบบ “ยึดตัวครูเป็น ศูนย์กลาง” ในการสอน ครูไม่มีเวลาศึกษาหลักสูตรก่อนสอน - ด้านผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรน้อย ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้ดีเท่าที่ควร ผู้บริหารมีความรู้ความสามารถในการนิเทศและการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรแก่ครู และ/หรือ นิเทศน้อยไม่ทั่วถึงและไม่ต่อเนื่อง ผู้บริหารไม่ได้ให้การสนับสนุนการใช้หลักสูตรของคณะครู เช่น การจัดหาเอกสารประกอบหลักสูตรประเภท ต่าง ๆ และการจัดหาจัดทำวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เพียงพอกับความต้องการของครู การจัดครูเข้า สอนไม่เหมาะสม การไม่ได้สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในโรงเรียน เป็นต้น - ด้านศึกษานิเทศก์ศึกษานิเทศก์นิเทศการใช้หลักสูตรในโรงเรียนต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง ศึกษานิเทศก์ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรอย่างถ่องแท้ และไม่มีความรู้ความสามารถในการนิเทศและให้คำแนะนำแก่ครูที่ดี เท่าที่ควร - ด้านหน่วยงานส่วนกลาง ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ ส่งเอกสารหลักสูตรและเอกสารประกอบล่าช้า และไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงเรียน ขาดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร โดยเฉพาะกับผู้ปกครองทำให้ ไม่ได้รับความร่วมมือเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร ขาดงบประมาณที่จะสนับสนุนการใช้หลักสูตร การฝึกอบรมให้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้แก่ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องยังไม่ทั่วถึง และ/หรือไม่ตรงกับความต้องการของครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
30 หลักสูตรการอาชีวศึกษา 1. ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ทางเลือกด้านการศึกษาของประเทศไทย สามารถแบ่งเป็น ประเภทสายสามัญกับสายอาชีพ ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้ปกครอง ส่วนใหญ่เลือกให้ไปเรียนทางสายสามัญ ด้วยค่านิยมว่า สามารถเลือกเรียนต่อได้มากกว่า และมีปริญญาเป็นใบเบิกทาง ในขณะที่สายอาชีพหรืออาชีวะมีข่าวไม่ค่อยสู้ดีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเด็กนักเรียนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งปัญหาส่วนมากที่พบในหลักสูตรอาชีวศึกษา มี ดังต่อไปนี้ 1.1 การจัดการเทคโนโลยีใหม่ควรจัดอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ที่ใช้ในการเรียนการสอน การศึกษา ค้นคว้าเทคโนโลยี วิธีการใหม่ ๆ ทางด้านวิชาการต่างๆ สร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ 1.2 การพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน การหาข้อมูลมาปรับปรุงหลักสูตรวิชาชีพสาขาต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสม การหาวิธีหรือกระบวนการเรียนสอนแบบใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ การติดตามผลการใช้หลักสูตรในสาขาวิชาต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพ การวัด ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ การสร้างข้อสอบมาตรฐานและแบบวัดผลทางวิชาชีพ การ ติดตามผลการใช้สื่อการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนาตำราเรียนในสาขาวิชาต่างๆ การวิจัยระบบและ วิธีการวัดผล 1.3 งานอาชีวะครบวงจรได้มาตรฐาน การหารูปแบบวิธีการฝึกนักเรียน ให้รู้จักคิดเป็น ทำเป็น และจัดการ เป็นได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ การติดตาม และประเมินผลโครงการ กิจกรรมอาชีวศึกษาครบวงจรใน สถานศึกษา 1.4 คุณภาพนักศึกษา การหารูปแบบการฝึกนักเรียนให้ได้คุณภาพการพัฒนารูปแบบการทำงานเป็นทีมให้ นักเรียนนักศึกษา การพัฒนาชุมฝึกอบรม และนวัตกรรมการเรียนการสอน ติดตามประเมินผลการเรียนการ สอน 1.5 การพัฒนาครูการหารูปแบบการเพิ่มความรู้และพัฒนาคุณภาพครูด้านต่างๆ วิจัยและพัฒนาตำราหรือ เอกสารต่างๆ ติดตามและประเมินผลการสอนของครูอาจารย์ในรายวิชาต่างๆ การหารูปแบบการฝึกอบรมครู ประจำการสาขาวิชาต่างๆ 2. ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 2.1 ด้านพฤติกรรม ได้แก่ สาเหตุการไม่ได้เรียนในสาขาที่ต้องการหรือไม่สอดคล้องกับระดับสติปัญญา และ ความพร้อมของตน ทำให้ไม่ตั้งใจเรียนหรือเรียนไม่ทันเพื่อน ผู้เรียนไม่ศรัทธาต่อการเรียนสายอาชีพ มีปัญหา ด้านการเงิน การทำงานกลางคืน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ติดพฤติกรรมการเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนที่เรียน ไม่จบ การดื่มสุรา ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การขาดเรียน การทะเลาะวิวาท ค่านิยมในการคบ เพื่อนต่างเพศ ชู้สาว การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนจนกระทั่งนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การใช้ยาเสพติด 2.2 ด้านครอบครัว ได้แก่ ผู้เรียนมีปัญหาสภาพครอบครัวแตกแยก มีความขัดแย้งระหว่างบุคคลใน ครอบครัว ขาดการอบรมดูแลเอาใจใส่ ไม่ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาในการแก้ปัญหา ผู้ปกครองชี้นำวิธีการ
31 แก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้องให้กับบุตรหลาน เช่น ให้ลาออกหรือไปทำงานหารายได้ช่วยเหลือครอบครัวเนื่องจาก ฐานะยากจน ผู้ปกครองมีเจตคติที่ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของผู้เรียนสายอาชีวศึกษา 2.3 ด้านสภาพแวดล้อมภายในสถานศึกษา ได้แก่ ระเบียบข้อบังคับและกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดและมีมาก เกินไป ครูผู้สอนเข้มงวดกับนักเรียนนักศึกษามากเกินไป ในบางครั้งก็ละเลยการดูแลเอาใจใส่ผู้เรียนและ พฤติกรรมที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีถ้าครูผู้สอนมีภารกิจมากเกินไปขาดความรับผิดชอบเข้าสอน ละเลิกไม่ตรง ตามเวลา ขาดความสัมพันธ์และความเป็นกันเอง นักศึกษาไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์การฝึกงานไม่ทันสมัยและไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้ดี หลักสูตรและเนื้อหาที่เรียนไม่มีความ เหมาะสม 2.4 ด้านสภาพแวดล้อมภายนอกสถานศึกษา ได้แก่ สภาพชุมชนภายนอกสถานศึกษาเป็นสถานที่มอมเมา และมั่วสุมต่างๆ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงสถานศึกษา เช่น ร้านเกมอินเตอร์เน็ต ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบ สถานศึกษา สถานบันเทิงรื่นรมย์ แหล่งการพนัน และแล่งมั่วสุมยาเสพติด 3. หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ในการบริหารหลักสูตร ตามระบบการประกันคุณภาพภายในระดับหลักสูตร ข้อเสนอแนะจากแบบสอบถาม ปลายเปิด นํามาสรุปเป็นปัญหาในการบริหารหลักสูตรโดยจัดกลุ่มความคิดเห็นที่คล้ายกัน ดังนี้ 3.1 ด้านอาจารย์ประจําหลักสูตร (1) อาจารย์ประจําหลักสูตรมีภาระงานมากในด้านการบริหารและ การ จัดการเรียนการสอน การบริการวิชาการ ส่งผลต่อ การพัฒนาผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมทั้งการ เขียน ตําราเพื่อยื่นขอตําแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้น (2) การหาอัตราทดแทนกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอาจารย์ประจํา หลักสูตรเนื่องจากมีการลาเพื่อทําผลงานวิชาการ การลาออก เกษียณ โอนย้าย มีความล่าช้าทําให้ จํานวน อาจารย์ประจําหลักสูตรไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน (3) การรับและแต่งตั้งอาจารย์ประจําหลักสูตรให้มี คุณวุฒิและคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการมีข้อจํากัด เช่น ในบางสาขาวิชามีความเฉพาะเจาะจง การกําหนด คุณวุฒิขั้นต่า ระดับปริญญาเอกและมีคะแนนภาษาอังกฤษตามที่มหาวิทยาลัยกําหนด (4) มีการทําวิจัยใน ลักษณะต่างคน ต่างทํายังไม่มีการบูรณาการหรือการทําวิจัยเป็นทีม (5) การบริหารหลักสูตรขาดความคล่องตัว และการประชุม กรรมการบริหารหลักสูตรไม่ต่อเนื่อง 3.2 ด้านนักศึกษา (1) จํานวนการรับเข้าของ นักศึกษามีแนวโน้มลดลงทั้งในระดับปริญญาตรีและ บัณฑิตศึกษาส่งผลต่อแผนการรับเข้าศึกษาและต้นทุนต่อหน่วยงานในการบริหารจัดการหลักสูตร (2) นักศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษามีภาระงานประจําทําให้สนใจเรียน ภาคพิเศษมากกว่า Full time แต่มีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สูงขึ้น (3) ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่จําเป็นต่อการเรียนการสอนน้อยลงส่งผลต่อ คุณภาพผู้เรียนและการออกลางคัน (4) การจัดกิจกรรม พัฒนานักศึกษามีความหลากหลายแต่ยังไม่สะท้อน คุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ 3.3 ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร (1) ขาดระบบที่ดีในการบริหารหลักสูตรที่ใช้ร่วมกันของคณะใน มหาวิทยาลัยและวิทยาเขตเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน เช่น การจัดทําแผนการสอน การวัดและประเมินการ เรียนรู้ ผู้เรียนทําให้คุณภาพผู้เรียนมีความแตกต่างกัน (2) กรรมการบริหารหลักสูตรที่รับเข้ามาใหม่ยังขาด ทักษะ และประสบการณ์ในการบริหารหลักสูตรอย่างมืออาชีพ (3) ขาดระบบที่ดีในการจัดการความรู้หรือการ
32 ถ่ายโอนประสบการณ์สอนสู่อาจารย์ในสาขา (4) การปรับปรุงหลักสูตรมีความล่าช้าทําให้การปรับปรุงไม่เป็นไป ตาม รอบระยะเวลาที่กําหนด (5) ขาดความร่วมมือที่ดีในการรวบรวมข้อมูลเอกสาร หลักสูตรเพื่อจัดทํารายงาน ผลการ ดําเนินงานของหลักสูตร (มคอ.7 และรายงานการ ประเมินตนเองของหลักสูตร) 3.4 ด้านการจัดการเรียนการสอน (1) อาจารย์ใหม่ขาดทักษะและประสบการณ์ด้านการสอน การวัด และ ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (2) มีอาจารย์เพียงพอสําหรับเปิดหลักสูตรแต่ไม่เพียงพอการจัดการเรียนการ สอนในรายวิชาและจํานวนนักศึกษาหลักสูตร (3)อาจารย์ผู้สอนเน้นการทําวิจัยแบบมุ่งเป้าตามนโยบายของ มหาวิทยาลัย และการพัฒนาผลงานวิชาการเพื่อเข้าสู่ตําแหน่งทาง วิชาการทําให้มีการนําเอาปัญหาจาก กระบวนการจัดการ เรียนการสอนมาทําวิจัยในชั้นเรียนน้อยลง (4) การบูรณาการการจัดการเรียนการสอนเข้า กับการวิจัย การบริหาร วิชาการ การทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรมยังไม่เชื่อมโยง กับแผนการสอนหรือ รายละเอียดของรายวิชาการ (มคอ.3) 3.5 ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้(1) การจัดหาสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ ยังไม่สอดคล้องกับเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่กําหนดไว้ใน มคอ. 2 ส่วน ใหญ่มีการปรับปรุงด้านสภาพแวดล้อมและด้านกายภาพ เท่านั้น (2) ขาดการกํากับติดตามการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่า เช่น วัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ที่มีราคาแพงบางส่วนยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน (3) ขาด ระบบที่ดีในการซ่อมบํารุงอุปกรณ์ที่ชํารุด เสียหายให้สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว (4) ความต้องการ ที่แตกต่างและหลากหลายของผู้เรียนและ ผู้สอน ทําให้ยากต่อการบริหารจัดการ เช่น พื้นที่ในการจัดกิจกรรม พื้นที่อ่านหนังสือ ห้องปฏิบัติการวิจัย (Lab) เป็นต้น 3.6 ด้านงบประมาณ (1) การบริหารงบประมาณ ขาดความคล่องตัวเนื่องจากมีการพิจารณางบประมาณ ต่อหัวนักศึกษาทําให้งบประมาณสนับสนุนด้านการจัดการเรียนการสอนไม่เพียงพอ (2) การจัดกิจกรรมพัฒนา นักศึกษาให้สอดคล้องกับทักษะในศตวรรษที่21 ในทุก ๆ ด้านทําได้ยากเนื่องจากมีข้อจํากัดด้านงบประมาณ (3) การจัดหาสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ ไม่เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้เนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ (4) ความไม่ สมดุลระหว่างเป้าหมายการพัฒนาอาจารย์ให้มีศักยภาพ สูงแต่มีการจัดสรรงบประมาณการพัฒนาอาจารย์ ลดลงเรื่อย ๆ
33 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 1. สถาบันอุดมศึกษาปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องการสร้างและพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานการเรียนการสอนและการวิจัย เปิดหลักสูตรตามความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาขาดการวางแผนพัฒนาสถาบันในระยะยาวรวมถึงคณะกรรมการบริหารสถาบัน/สภา สถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งไม่มีการบริหารจัดการที่ดี 2. มหาวิทยาลัยไทยโดยภาพรวมยังมีจุดอ่อนเรื่องการบริหารจัดการเชิงคุณภาพโดยเฉพาะการเป็น มหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกล้วนเป็นมหาวิทยาลัย วิจัยทั้งสิ้น 3. ทิศทางการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมไม่ชัดเจน เกิดความซ้ำซ้อนในเรื่องการให้บริการ บุคลากรที่จะเข้ามาในมหาวิทยาลัย เช่น ผู้บริหาร ส่วนหนึ่งไม่มีความรู้ทางด้านการบริหาร แต่จะมีความรู้เฉพาะ ด้านงานวิชาการเท่านั้น รัฐบาลควรมีการจัดอบรมการเป็นผู้บริหารขึ้นมาเหมือนกับข้าราชการสายอื่น 4. บัณฑิตที่จบการศึกษาออกมาบางส่วนไม่ได้คุณภาพ และมีปัญหาในด้านภาษาอังกฤษ สถาบันการศึกษา ควรดึงผู้ประกอบการเข้าไปร่วมพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาบุคลากร และเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าไปฝึกงานใน สถานประกอบการตั้งแต่ยังเรียนอยู่ รวมถึงวิกฤติอุดมศึกษาไทยช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและ มหาวิทยาลัยราชภัฏ 300 แห่ง และเปิดหลักระดับปริญญาตรีและโท บางแห่งใช้กลยุทธ์"จบง่าย" ในการดึงดูด ผู้เรียน ขณะที่ผู้เรียนเข้ามาเรียนเพื่อหวังใบปริญญาตามสโลแกนจ่ายครบจบแน่ ซึ่งเป็นการทำลายคุณภาพ อุดมศึกษาไทย และทำให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกมาไม่มีคุณภาพตามที่สังคมคาดหวังไว้ 5. การจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่เป็นการจัดตั้งด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพและ ความพร้อมของการเป็นสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงไม่มีการจัดระบบความหลากหลายของสถาบันอุดมศึกษา ทำ ให้ทิศทางการส่งเสริมพัฒนาและกำกับมาตรฐานไม่ชัดเจนและไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งสถาบันอุดมศึกษาไทยใน ปัจจุบัน ส่วนมากมุ่งเข้าสู่ธุรกิจอุดมศึกษา มีการขายปริญญาบัตร เปิดหลักสูตรจำนวนมาก การถ่ายทอดความรู้ แบบสำเร็จรูปตามแบบตะวันตก เนื่องจากมหาวิทยาลัยไทยก้าวเข้าสู่กับดักทางธุรกิจการศึกษา 6. รัฐบาลไม่มีการควบคุมการเปิดสาขาวิชาของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ตรงตามความต้องการของประเทศ และตลาดแรงงาน ดังนั้น ควรส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษากู้เงินเพื่อศึกษาในสาขาวิชาที่ตลาดแรงงานต้องการ เพื่อให้บัณฑิตที่จบออกมามีงานทำ 7. จาก พรบ. การศึกษา 15 ปีระหว่างปี พ.ศ. 2533-2547ที่ผ่านมาได้มีการกำหนดสัดส่วนผู้เรียนสาย วิทยาศาสตร์และสายสังคมที่ 50 : 50 และกำหนดให้แต่ละมหาวิทยาลัยมีสัดส่วนอาจารย์ที่จบปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี อยู่ที่ 3:6:1ที่สำคัญต้องการให้ผู้เรียนรับภาระค่าเรียนเพิ่มขึ้นเมื่อสิ้นแผนฯสามารถ ดำเนินการตามเป้าหมายได้หลายเรื่อง แต่ที่ยังทำไม่ได้คือ สัดส่วนผู้เรียนสายวิทย์และสายสังคม 50:50 นั้นทำ ได้เฉพาะในมหาวิทยาลัยปิด สัดส่วนอาจารย์ที่จบปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี นั้นทำได้เฉพาะใน มหาวิทยาลัยรัฐเพียง 24 แห่งเท่านั้น 8. อาจารย์มีภาระงานมากส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรการพัฒนาผลงานวิชาการและตำแหน่งทางวิชาการ 9. การสรรหาอาจารย์ทดแทนคนที่ลาออก เกษียณหรือโอนย้ายมีความล่าช้าทำให้จำนวนอาจารย์ไม่เป็นไป ตามเกณฑ์มาตรฐาน
34 10. มีการทำวิจัยในลักษณะต่างคนต่างทำยังไม่มีการบูรณาการการทำวิจัยร่วมกัน 11. นักศึกษาทุกระดับมีจำนวนลดลงทำให้การรับนักศึกษาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 12. ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนการสอนน้อยลงส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและการออกลางคัน 13. การบริหารหลักสูตรที่ใช้ร่วมกันระหว่างคณะในมหาวิทยาลัยกับวิทยาเขตหนองคายยังไม่ได้มาตรฐาน เดียวกัน 14. การปรับปรุงหลักสูตรทุกรอบ 5 ปี มีความล่าช้าทำให้หลักสูตรไม่ได้มาตรฐาน แนวทางแก้ไขปัญหา เช่น -วิเคราะห์และวางแผนอัตรากำลังทุก 2 ปี - มีระบบพี่เลี้ยงและการสอนงานด้านการเทคนิคการสอน การวัดและประเมิน การพัฒนาผลงานวิชาการ - แจ้งเตือนการปรับปรุงหลักสูตรล่วงหน้าและกำหนดวันหมดอายุการใช้งานหลักสูตร - กำหนดกลไกการปิดหลักสูตรที่ไม่ได้คุณภาพ - จัดการเรียนการสอนแบบทีม (Team teaching) - ติดตามประเมินผลการใช้ทรัพยากรและสิ่งสนับสนับสนุนการรู้ให้เกิดความคุ้มค่าและมีระบบการแจ้งซ่อม ที่รวดเร็วผ่านไลน์ หรือ QR Code • แนวทางการแก้ไขปัญหา วิกฤตอุดมศึกษายังเป็นเรื่องที่น่าติดตามและยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับมหาวิทยาลัยของประเทศไทย สิ่ง ที่สำคัญของมหาวิทยาลัยคือ “การปรับตัว” ซึ่งมีหลาย ๆ ส่วนประกอบกันดังต่อไปนี้ 1. การปรับหลักสูตรให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การพัฒนาหลักสูตรและปรับปรุงให้ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถือเป็นแนวทางที่ดี โดยมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นในการเพิ่มทักษะเชิงปฏิบัติ ทักษะความคิดสร้างสรรค์และทักษะการตัดสินใจ การบูรณาการความรู้และทักษะจากการฝึกปฏิบัติจริง (Work-based Education) 2. การพัฒนาหลักสูตรรูปแบบใหม่ ที่สร้างโอกาสให้นักศึกษาหาแนวทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ความ ต้องการของตนเอง (Personalized Education) 3. การพัฒนาหลักสูตรระยะสั้น โดยมีจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงเป็นเรื่อง ๆ เฉพาะอย่างสำหรับกลุ่มบุคคล บางกลุ่มเพื่อเพิ่มพูนความรู้หรือประสบการณ์ (Up Skill) หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือทัศนคติของบุคคลไป ในทางที่ต้องการ (Reskill) ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อคนแต่ละช่วงวัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 4. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยการนำเอานวัตกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน 5. การเปิดหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งหนึ่งที่มีผลลัพท์ที่ดีเยี่ยม โดยการปรับปรุง ให้หลักสูตรมีรูปแบบเดียวกับการทำงานขององค์กร มุ่งเน้นการเข้าใจในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้สามารถบูรณาการภายใต้ระบบการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง Work-based Education องค์กร สามารถได้บุคลากรที่ตรงตามความต้องการได้เป็นอย่างดี 6. การขยายกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมไปถึงนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งจะมาทดแทนจำนวนนักศึกษาไทยที่ลดลง ได้
35 สรุป ในหัวข้อนี้พูดถึงสภาพปัญหาของหลักสูตรภายในประเทศไทย ซึ่งปัญหาหลักๆจะมี อยู่ 4 ประเภทคือ นักเรียน/นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้สอน การบริหารจัดการงบประมาณของสถาบัน ในหลักสูตรปฐมวัย มีปัญหาคือ การขาดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการที่สำคัญตามช่วงวัยของเด็ก การขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการศึกษาปฐมวัยของครู ผู้บริหารและสถานศึกษา การขาดแคลนความรู้และ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นแม่แบบโครงสร้างหลักสูตรของโรงเรียนต่างๆ มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารการใช้ หลักสูตรภายในสถานศึกษาเป็นหลัก ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีปัญหา ระดับ มากทุกข้อ อันดับแรกคือ การนิเทศ กำกับติดตาม การใช้หลักสูตร รองลงมาคือ การจัดทำหลักสูตร การ วางแผนการใช้หลักสูตร การใช้หลักสูตร การสรุปผล การใช้หลักสูตร การประเมินผลการใช้หลักสูตร การ ปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร และการเตรียมความพร้อม ในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ตามลำดับ ตามมา ด้วยด้านการจัดการเรียนการสอน การวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนด้วย รูปแบบและวิธีการ ที่หลากหลาย การจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริง การเรียนรู้จากการวิจัยในชั้นเรียน การจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้จากโครงงาน การเรียนร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้จาก ธรรมชาติการเรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง และ การเรียนรู้ที่เน้นคุณธรรม ตามลำดับ ด้านสื่อการเรียนการสอน ในบางโรงเรียนขาดแคลนหนังสือเรียนของนักเรียน หนังสืออ้างอิงสำหรับศึกษา ค้นคว้าของนักเรียน สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน เอกสาร หลักสูตรที่ใช้ประกอบการเรียนการ สอน แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่ใช้ในการเรียนการสอน การนำภูมิปัญญา ท้องถิ่นมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ห้องเรียนห้องพิเศษที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน อาคารเรียนอาคารประกอบที่ใช้ในการ จัด กิจกรรมการเรียนการสอน และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ใน การเรียนการสอน ตามลำดับ ในส่วนของหลักสูตรอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาส่วนใหญ่จะมีสภาพปัญหาเกี่ยวกับตัวนักเรียน/นักศึกษา และผู้สอน มากกว่าการบริหารจัดการ ด้วยส่วนใหญ่นักเรียน/นักศึกษาจะอยู่ในวัยรุ่นทำให้เกิดความอยากรู้ อยากลอง ต้องการเป็นผู้นำและได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อน การไม่สนใจที่จะเรียน ติดสารเสพติดมั่วสุม ติด การพนัน หรือร้านเกม ในวัยนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในคนหมู่มากและมักจะถือความคิด ของตนเองเป็นหลักอีกด้วย รวมถึงสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา แต่บางสถานศึกษาก็จะมี หลักสูตรที่ไม่ได้ปรังปรุงหรือพัฒนาหลักสูตรที่ใช้สอนให้สอดคล้องกับปัจจุบัน อาจจะทำให้ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ มากพอต่อตัวผู้เรียน การที่ผู้สอนติดภารกิจในด้านต่างๆมากจนไม่สามารถทำการสอนได้อย่างเต็มที่ก็อาจจะ เป็นปัญหาอีกเรื่องนึง เพราะนอกจากผู้เรียนจะไม่สามารถเข้าใจในบทเรียนได้มากพอแล้วยังจะทำให้ผู้เรียนเกิด ความไม่เข้าใจในบทเรียนนั้นอีกด้วย สื่อในการช่วยในการทำการเรียนการสอนก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ทำให้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการประกอบการเรียนการ สอน ทางสถานศึกษาต้องมีการจัดสรรงบประมาณต่างๆให้เหมาะสมและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวผู้เรียน อีกด้วย
36 บทที่ 3 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21
37 บทที่ 3 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องอาศัยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี เทคโนโลยีได้เข้ามามี บทบาทต่อวิถีชีวิตของเด็กปฐมวัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ปัจจุบันมี แนวโน้มของการนำเทคโนโลยีที่ใช้ในชั้น เรียนปฐมวัยเพิ่มมากขึ้นเห็น ได้ชัดจากผลสำรวจการใช้คอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชน ระหว่างปี 2560- 2562 พบว่าเด็กและเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังขับเคลื่อน เข้าสู่การศึกษายุค 4.0 (Education 4.0) การเผชิญหน้ากับ ความท้าทายของการพัฒนาเด็กโดยใช้เทคโนโลยี ทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก มีการนำเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้จัดกิจกรรม ในชั้นเรียนปฐมวัยมากขึ้น ซึ่งสื่อเทคโนโลยีเปรียบเสมือนกลไก สำคัญในการดำเนินชีวิต เด็กสามารถเรียนรู้ได้ ตามรูปแบบที่ตนเองสนใจ รวมถึงเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้เด็กสามารถลดข้อจำกัดใน เรื่องของเนื้อหา เวลา และสถานที่ได้อีกด้วย ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองและครู ซึ่งเด็กปฐมวัย ควรได้เรียนรู้จากสื่อที่มีลักษณะเป็น “สื่อปฏิสัมพันธ์” (Interactive media) เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือ แอปพลิเคชันที่สร้างสรรค์ หรือรายการโทรทัศน์ที่เหมาะสมกับวัยเด็ก ที่เด็กสามารถโต้ตอบได้ในลักษณะต่าง ๆ ได้อย่างมีความหมาย มีเนื้อหาหรือข้อมูลที่ปรากฏ ในสื่อดิจิทัลสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสร้างเสริม จินตนาการ รวมถึง สร้างทักษะพื้นฐานให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะได้ และเป็นสื่อที่เปิดโอกาสให้เด็ก ปฐมวัยได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้กับผู้อื่น ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่น เป็นมิตร เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่เด็กปฐมวัย ในการใช้สื่อดิจิทัลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับ ความคิดที่ว่าเด็กปฐมวัยจำเป็นต้องได้รับการ กระตุ้น ความพร้อมทางสมองอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง เพื่อ ส่งเสริมศักยภาพในการเรียนรู้ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 1. ปรับเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย จิตสาธารณะ และพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ 1.1 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรก คุณธรรม จริยธรรม ความมี วินัยจิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอดจากอบายมุขอย่าง จริงจัง 2. พัฒนาศักยภาพคนให้มีทักษะความรู้และความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า 2.1 ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะทางสมองและทักษะทางสังคมที่เหมาะสม 2.2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มีทักษะ การทำงานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน 1) ปรับกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้จาก การปฏิบัติจริงสอดคล้องกับ พัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย และเน้นพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ด้านวิศวกรรมศาสตร์ด้าน คณิตศาสตร์ ด้านศิลปะ และด้านภาษาต่างประเทศ 2) สนับสนุนให้เด็ก เข้าร่วมกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนที่เอื้อต่อการพัฒนา ทักษะชีวิต และทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง อาทิ การอ่าน การบำเพ็ญประโยชน์ทางสังคม การดูแลสุขภาพ การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การวางแผนชีวิต 3)
38 สร้างแรงจูงใจให้เด็กเข้าสู่การศึกษาในระบบทวิภาคีและสหกิจศึกษาที่มุ่งการฝึก ทักษะอาชีพให้พร้อมเข้าสู่ ตลาดงาน 3. ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.1 ปรับหลักสูตรการผลิตครูที่เน้นสมรรถนะ มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นผู้แนะนำ และ สามารถกระตุ้น การเรียนรู้ของผู้เรียน สร้างมาตรการจูงใจให้ผู้มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นครูปรับระบบประเมินวิทยฐานะ ทาง วิชาชีพให้เชื่อมโยงกับพัฒนาการของผู้เรียน และสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนที่ เป็นการพัฒนาสมรรถนะของครูอย่างต่อเนื่อง 3.2 ส่งเสริมมาตรการสร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการขนาดกลางที่มีศักยภาพ เข้าร่วม ระบบทวิภาคี หรือสหกิจศึกษา สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ ครูฝึกหรือครูพี่เลี้ยงให้ร่วมวางแผนการจัดการ เรียนการสอน การฝึกปฏิบัติ และการติดตามประเมินผลผู้เรียน 3.3 จัดทำสื่อการเรียนรู้ที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสามารถใช้งานผ่านระบบอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ให้คน ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึงไม่จำกัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูง ใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนังสือ สื่อการอ่านและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและราคาถูก 3.4 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผู้สูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจัดการความรู้ที่ เป็นภูมิ ปัญญาท้องถิ่น หลักสูตรอาชีวศึกษา 1. ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 , 2.ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 และ 3. หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ปัจจุบันการศึกษาสายอาชีพวางอยู่บนการปะทะกันของเรื่องเล่า (narrative) อย่างน้อย 2 ชุด เรื่องเล่าแบบแรก – เป็นการมองอาชีวศึกษาในแง่ลบ (pessimistic) กล่าวคือ การศึกษาสายอาชีพจะ กลายเป็นการศึกษาที่ผู้คนมองข้ามและเป็นตัวเลือกที่สองในการศึกษา ฐานคิดสำคัญของเรื่องเล่านี้คือ การศึกษาสายอาชีพไม่เพียงพอต่อการรับมือการดิสรัปต์ทางเทคโนโลยีและกระบวนการ digitization ใน เศรษฐกิจ เมื่อตลาดแรงงานเกิดปรากฏการณ์ตลาดแรงงานสองขั้ว (job polarization) หรือปรากฏการณ์ที่ แรงงานทักษะสูงและทักษะพื้นฐานมีจำนวนเพิ่มขึ้น ในขณะที่แรงงานทักษะระดับกลางหรือกลุ่มแรงงานฝีมือ จะค่อยๆ หายไป คนที่จบอาชีวศึกษาส่วนใหญ่จะตกอยู่ในกลุ่มหลัง เรื่องเล่าแบบที่สอง – เป็นการมองอาชีวศึกษาในแง่บวก (optimistic) กล่าวคือ การศึกษาสายอาชีพจะ ขยายขอบเขตการเรียนรู้มากกว่าที่เคย และไม่ได้จำกัดการเรียนรู้อยู่แค่วัยใดวัยหนึ่ง แต่ผู้คนทุกเพศทุกวัย สามารถเรียนรู้ได้ โดยมีการปรับหลักสูตร รูปแบบ ตลอดจนสถานที่ในการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายมากขึ้น หากมองในแง่นี้จะกล่าวได้ว่าการศึกษาสายอาชีพจะขึ้นมามีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะระบบ การศึกษาที่ผลิตแรงงานระดับสูงที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานโดยเฉพาะแรงงานในภาคบริการ และสามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ตลาดแรงงานสองขั้ว
39 เรื่องเล่าทั้งสองชุดต่างตอบโต้และถ่วงดุลกันเสมอมา มีหนึ่งองค์กรที่ศึกษา ติดตาม และวิเคราะห์ประเด็นนี้ อย่างจริงจัง คือ Cedefop (European Centre for the Development of Vocational Training) หรือ หน่วยงานของสหภาพยุโรปที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาและการฝึกอบรมระดับอาชีวศึกษาประจำ สหภาพยุโรป โดย Cedefop ได้จัดทำรายงาน Vocational education and training in Europe 1995- 2035 : Scenarios for European vocational education and training in the 21st century ที่ประมวล องค์ความรู้ที่ได้จากการติดตามความเป็นไปของระบบการศึกษาสายอาชีพในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 1995 และ การสัมภาษณ์เชิงลึกของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนายจ้าง แรงงาน เป็นต้น เพื่อสร้าง ฉากทัศน์ (scenario) อาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 วัตถุประสงค์หลัก คือเพื่อทำให้เห็นถึงภาพความเป็นไปได้และการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายซึ่งล้วนมี ความสัมพันธ์กัน เนื่องจากระบบอาชีวศึกษาเป็นการพัฒนาในลักษณะขึ้นกับเส้นทางในประวัติศาสตร์ (path dependent) อย่างมาก ฉะนั้นการจะปรับเปลี่ยนการศึกษาสายอาชีพให้ตอบโจทย์โลกที่มีความผันผวนสูง ขึ้นอยู่กับนโยบายที่เลือกใช้ในวันนี้อาชีวศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีหลักและเนื้อหาที่ต่างกันออกไป ได้แก่ (1) Lifelong learning at the heart – Pluralist VET (2) Occupational and professional competence at heart – Distinctive VET และ (3) Job-oriented training at the heart – Special purpose and/or marginalised VET สำหรับ ‘อาชีวศึกษาแบบพหุนิยม โดยมีการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นศูนย์กลาง’ (lifelong learning at the heart – pluralist VET) นั้นวางอยู่บนพื้นฐานของการขยายความเข้าใจ ความหมาย และแนวคิดของ การศึกษาสายอาชีพเสียใหม่ โดยให้น้ำหนักกับการเรียนรู้ที่อิงกับตลาดแรงงาน นอกจากนี้การเรียนรู้ในระบบ อาชีวศึกษาจะไม่ถูกจำกัดว่าจะต้องเรียนในสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการเรียนรู้ ตลอดชีวิตแบบบูรณาการ (integrated lifelong learning) อาชีวศึกษาแบบพหุนิยมเป็นการนิยามความหมายของการศึกษาสายอาชีพใหม่ จากเดิมที่อาชีวศึกษาจะ เป็นการเรียนการสอนที่แยกย่อยไปตามทักษะเฉพาะ เช่น ช่างยนต์ ช่างกล ช่างก่อสร้าง ฯลฯ ในฉากทัศน์นี้ รูปแบบการศึกษาดังกล่าวจะพบเห็นได้น้อยลง ในทางกลับกันจะเห็นรูปแบบการเรียนการสอนในลักษณะ เชื่อมโยงและผสมผสานมากขึ้น เนื่องจากทักษะการรู้รอบกลายเป็นเรื่องสำคัญในโลกยุค VUCA (volatility หรือความผันผวน, uncertainty หรือความไม่แน่นอน, complexity หรือความซับซ้อน และ ambiguity หรือความคลุมเครือ) อาชีวศึกษาแบบพหุนิยม ขอบเขตระหว่างการศึกษาสายอาชีพและสายสามัญจะพร่าเลือนและทับซ้อนกัน มากขึ้น ไม่ได้แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนเหมือนที่ผ่านมา และยังเน้นย้ำความจำเป็นในการผสมผสานทักษะ อาชีวศึกษาและวิชาทั่วไปเข้าด้วยกัน โดยจะโฟกัสที่การพัฒนาทักษะและความสามารถโดยรวม สำหรับอาชีวศึกษานี้ยังต้องการการวางทิศทางการศึกษาใหม่ จากที่แต่ก่อนเมื่อจบการศึกษามาก็จะได้วุฒิ การศึกษาตามทักษะที่เรียนเพื่อเอาไปใช้ต่อสำหรับการทำงานในสายอาชีพนั้นๆ แต่อาชีวศึกษาแบบพหุนิยมจะ เปิดให้วุฒิการศึกษาครอบคลุมทักษะที่กว้างมากขึ้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ
40 ทักษะและความสามารถเฉพาะทาง ตลอดจนความจำเป็นที่ผู้เรียนต้องมีการปรับปรุงและเรียนรู้ทักษะใหม่ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคผันผวน ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของการเรียนอาชีวศึกษาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลุ่มเป้าหมายจะเกิดการขยายกลุ่มอย่าง เห็นได้ชัด โดยเน้นที่ความต้องการของผู้เรียนทุกวัย ซึ่งสอดคล้องกับระบบหลักสูตรที่จะเน้นไปที่การออกแบบ หลักสูตรให้เหมาะกับแต่ละบุคคล การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) และการ เรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (project-based learning) จะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ขยายและผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้ ตลอดจนรูปแบบการสอนให้หลากหลายที่สุด และหากมองต่อไปยังเส้นทางความก้าวหน้าของอาชีวศึกษาในฉากทัศน์อาชีวศึกษาแบบพหุนิยมก็อิงอยู่กับ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีความโปร่งใสในทุกระดับ เพื่อลดกำแพงที่จะกั้นการเปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าในอาชีพ ขณะเดียวกันด้วยการคาดการณ์ว่าอาชีวศึกษาจะขยับไปในทางที่โฟกัสทักษะที่ ครอบคลุม กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะ และการเรียนรู้โดยการทำงานจริง ทั้งหมดส่งผลต่อการกำกับดูแล การศึกษาสายอาชีพ ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่า จะเป็นภาคเอกชนหรือกลุ่มทุน เช่น การกำหนดทิศทางหลักสูตร การเปิดรับผู้เรียนเข้าฝึกงาน หรือการ สนับสนุนเงินทุนและทรัพยากร เป็นต้น ด้านบทบาทของภาครัฐเอง แม้จะไม่ได้ถึงขั้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในระดับโครงสร้างและเนื้อของระบบ อาชีวศึกษา แต่ภาครัฐก็จำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดนโยบายและกลไกการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับทิศทาง การศึกษาที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในฉากทัศน์นี้ที่การศึกษาสายอาชีพมีเส้นทางการเติบโตที่ยืดหยุ่นและผู้เรียนมี ทักษะที่กว้างขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกลไกการกำกับดูแลและการร่วมมือระหว่างภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นหากกลไกที่ว่านี้อ่อนแอลง ฉากทัศน์อาชีวศึกษาแบบพหุนิยมมีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดการกระจัด กระจาย (fragmentation) และความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น สำหรับ ‘อาชีวศึกษาแบบเฉพาะเจาะจง โดยเน้นทักษะด้านวิชาชีพเป็นศูนย์กลาง’ (occupational and professional competence at heart – distinctive VET) มีความพยายามที่จะเสริมย้ำจุดโดดเด่นของ อาชีวศึกษา อย่างการศึกษาวิชาชีพที่จะนำไปประกอบอาชีพ โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้ อาชีวศึกษานี้จะถูกจัดระเบียบตามข้อกำหนดและเอกลักษณ์ของอาชีพหรือวิชาชีพนั้นๆ โดยมีการกำหนด รายละเอียดไว้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้เรียนจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ ตลาดแรงงาน แต่ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงการรักษาสมดุลระหว่างการเรียนภาคทฤษฎีในโรงเรียนกับการ ฝึกอบรมในสถานประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม ด้านแนวทางการเรียนรู้จะเน้นที่การจัดการเรียนรู้แบบฝึกปฏิบัติเป็นฐาน (practice-based learning) และ การเรียนรู้โดยการใช้การทำงานเป็นฐาน (work-based learning) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการ ฝึกงานให้ทันสมัยและการเรียนรู้ภาคปฏิบัติเป็นพิเศษ โดยการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุกผ่านการฝึกงานจะมี ความสำคัญเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงที่ผ่านมา และหากพิจารณาถึงเป้าหมายของอาชีวศึกษาพบว่า มุ่งเน้นที่จะสร้าง การเรียนรู้โดยการใช้การทำงานเป็นฐานเป็นมาตรฐานหลักครอบคลุมทุกสายงานและทุกระดับชั้น
41 นอกจากนี้ในเชิงนโยบายจากภาครัฐอาจมีการสนับสนุนโมเดลการศึกษาแบบเฉพาะทางด้วยการทำ MOU ส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน การบัญญัติข้อตกลงเกี่ยวกับอาชีพและภาคส่วนต่างๆ เช่น การกำหนด มาตรฐานร่วมกัน เป็นต้น แต่กระนั้น ฉากทัศน์อาชีวศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงก็มีความเสี่ยงที่ผู้เรียนอาจตามเทคโนโลยีและ ตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ทัน ประเด็นเรื่องบทบาทของแรงงานทักษะระดับกลางและความ มั่นคงในระยะยาวของอาชีพก็ยังคงเป็นเรื่องที่สังคมต้องตั้งคำถาม สำหรับ ‘อาชีวศึกษาแบบวัตถุประสงค์พิเศษ โดยมีการฝึกฝนที่เน้นอาชีพเป็นศูนย์กลาง’ (job-oriented training at the heart – special purpose and/or marginalised VET) เป็นฉากทัศน์ที่ตีความความเข้าใจ ความหมาย และแนวคิดของการศึกษาสายอาชีพให้แคบลง โดยจะโฟกัสที่การฝึกฝนสำหรับการประกอบอาชีพ ตลอดจนการเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จำเป็น (reskilling) และการพัฒนาทักษะ (upskilling) เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของตลาดแรงงานระยะสั้นและระยะกลาง หากมองในแง่ตำแหน่งแห่งที่ของอาชีวศึกษาในระบบการศึกษาโดยรวมพบว่า เน้นไปที่การให้ผู้เรียนได้ ฝึกงานในตลาดแรงงานและสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีทักษะพื้นฐานเพื่อการจ้างงาน (employability skills) ซึ่ง หากมองต่อไปในเรื่องคุณค่าของแรงงาน (employability) ในความหมายแคบ ก็เพื่อให้แรงงานกลุ่มเสี่ยงที่จะ ตกงานได้มีทักษะใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน และหากมองในความหมายที่กว้างขึ้นมา ก็ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่เน้นการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด (lifelong learning) แต่ถึงอย่างนั้น การศึกษาสายอาชีพในฉากทัศน์นี้ก็ยังไม่อาจทัดเทียมกับการศึกษาสายสามัญได้ นอกจากนี้ กลุ่มเป้าหมายของอาชีวศึกษาก็หดตัวลงเช่นกัน โดยกลุ่มผู้เรียนหลักคือกลุ่มแรงงานผู้ใหญ่ที่ ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จำเป็นและการพัฒนาทักษะเดิมแบบทันท่วงที หรือกลุ่มแรงงานที่เสี่ยงต่อการตก งานในโลกยุคใหม่ ไม่เพียงแต่กลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลักสูตรของการศึกษาสายอาชีพในฉากทัศน์นี้จะมีคอร์สการฝึกอบรมที่สั้นลง โดยเปิดสอนผ่านแหล่งการ เรียนรู้ทางการศึกษาระบบเปิด (open educational resources) ซึ่งทิศทางการสอนในลักษณะนี้จะกลายมา เป็นทิศทางหลักในการเรียนการสอนของอาชีวศึกษา ไม่ใช่แค่นั้น การสอนเพื่อพัฒนาทักษะรายบุคคลตาม ความถนัดยังเป็นอีกเทรนด์ของการสอน เนื่องจากผู้เรียนมีความใกล้ชิดกับตัวงานผ่านการฝึกฝนในขณะที่ ทำงานจริง (on-the-job training) ในแง่ของเส้นทางและโอกาสในการก้าวหน้าของแรงงาน อาชีวศึกษาภายใต้ฉากทัศน์นี้ต้องการการจัด ฝึกอบรมที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้กลุ่มแรงงานผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงหลักสูตรและโปรแกรมการเรียนการ สอนที่ตรงกับความต้องการของเขาได้ง่ายขึ้น ด้วยหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนได้สัมผัสวิชาชีพนั้นๆ ผ่านการลงมือทำงานจริง แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อ ความสำคัญของสถาบันการอาชีวศึกษา พบว่าในฉากทัศน์นี้สถาบันการอาชีวศึกษามีความสำคัญน้อยลง เมื่อ เทียบกับความสำคัญของภาคเอกชน ที่จะขึ้นมามีบทบาทหลักในการกำกับดูแลการศึกษาสายอาชีพแทน เนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนทั้งในแง่ของความรู้ สถานที่ทำงาน ตลอดจนแหล่งทุนนั่นเอง หลังจากได้เห็นทิศทางอนาคตของอาชีวศึกษาแบบวัตถุประสงค์พิเศษแล้ว ประเด็นถัดมาคงไม่พ้นคำถาม ที่ว่านโยบายจากภาครัฐควรมีหน้าตาอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะของตนเองได้เต็มศักยภาพตาม
42 แผนการศึกษาที่วางไว้ ซึ่งนโยบายที่สำคัญคงหนีไม่พ้นนโยบายด้านความโปร่งใสเพื่อป้องกันการที่แรงงานจะ ถูกเอาเปรียบ หรือระบบเอื้อให้แรงงานหรือกลุ่มทุนใดมากจนเกินไป ซึ่งหากพิจารณาในแง่นี้แล้ว นโยบายที่ดู จะเกี่ยวข้องน่าจะเป็นนโยบายทางตลาดแรงงานมากกว่านโยบายที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต นอกเหนือไปจากเรื่องนโยบายของภาครัฐ ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือเรื่องความเสี่ยงที่จะต้องระวังใน อาชีวศึกษาในฉากทัศน์นี้ พบว่าการศึกษาสายอาชีพมีการประเมินทักษะพื้นฐานและทักษะการข้ามสายงาน หรือทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st century skills, transversal skills) ที่ต่ำเกินไป ซึ่งประเด็นนี้อาจกลายมา เป็นผลเสียต่อแรงงานในอนาคตได้ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) แนวโน้มและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางหลักสูตรและการสอน (Trend and changing processes in curriculum and instruction) ปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องมีการพัฒนาเพื่อพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถดำรงอยู่และก้าวเข้าสู่การศึกษาศตวรรษที่ 21 ซึ่งวิจารณ์ พานิช (2555). ได้กล่าว ว่า การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนคนทำงานที่ใช้ความรู้ (knowledge worker) และ เป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (learning person) ไม่ว่าจะประกอบ สัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็น บุคคลพร้อมเรียนรู้และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ ดังนั้นทักษะที่สำคัญที่สุดของศตวรรษ ที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills) การศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ จำต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเตรียมคน ไปเผชิญการ เปลี่ยนแปลงที่ รุนแรง พลิกผัน และคาดไม่ถึง คนยุคใหม่ จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว ดังนั้นแนวโน้มการจัดการศึกษาให้คนในศตวรรษที่ 21 จึงจำเป็นต้องให้มีทักษะ 3R x 7C ซึ่ง 3R ได้แก่ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) และ 7C ได้แก่ • Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิด อย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการ แก้ปัญหา) • Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม) • Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่าง วัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) • Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะ ผู้นำ) • Communications, information & media literacy (ทักษะด้าน การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่า ทันสื่อ) • Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร) • Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้) สำหรับประเทศไทยเองนั้น มีแนวโน้มด้านการศึกษาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ แนวโน้มด้านบวก 1. หลักสูตรใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจและ อุตสาหกรรม ทำให้คนในสังคมต้องการเพิ่มความรู้ความสามารถให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จึงหันมาสนใจ
43 ศึกษาต่อในหลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของ คนในสังคมสถาบันการศึกษาจึงมุ่งพัฒนาหลักสูตรใหม่ ๆ อาทิ หลักสูตรที่บูรณาการระหว่างสองศาสตร์ขึ้นไป เช่น ระดับอาชีวศึกษาหลักสูตรเดียวจะมีหลายสาขาวิชา เรียนช่างยนต์จะผนวกการตลาดและการบัญชีเข้าไป ด้วย เป็นต้น หลักสูตรที่ให้ปริญญาบัตร 2 ใบ และมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา 2.หลักสูตรนานาชาติมีแนวโน้มมากขึ้น เนื่องจากสภาพยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงด้านการค้า และการลงทุน ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคนที่มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ส่งผลให้ความ ต้องการการศึกษาที่เป็นภาษาสากลมีมากขึ้น ที่สำคัญการเปิดเสรีทางการศึกษา ยังเป็นโอกาสให้ สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย และเปิดหลักสูตรภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้หลักสูตรการศึกษานานาชาติมีแนวโน้มได้รับ ความนิยมมากขึ้น แต่เนื่องจากหลักสูตรนานาชาติมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การเรียนในหลักสูตรนี้ยังคงจำกัดอยู่ใน กลุ่มผู้เรียนที่มีฐานะดี 3. การจัดการศึกษามีความเป็นสากลมากขึ้น สภาพโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงในทุกด้านร่วมกัน ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ กฎกติกา การดำเนินการด้านต่าง ๆ ทั้งการค้า การลงทุน การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เชื่อมต่อถึงกัน ประกอบการเปิดเสรีทางการศึกษา ส่งผลให้เกิดการ หลั่งไหลหลักสูตรการเรียนการสอน บุคลากรด้านการสอน หลักสูตร จากสถาบันการศึกษาต่างประเทศเข้าสู่ ไทย อันมีผลทำให้เกิดการเปรียบเทียบและผลักดันให้สถาบันการศึกษาไทยต้องพัฒนาการจัดการศึกษาที่มี ความเป็นสากลที่เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศของไทย ได้ส่งผล ให้เกิดความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมในระดับสากล 4.ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาลดลง เนื่องจากสภาพการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่เป็น กระแสระดับโลกเกิดขึ้นควบคู่กับคลื่นประชาธิปไตยแผ่ขยายวงกว้างถึงไทย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ส่งเสริมการ เพิ่มสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน อีกทั้งสภาพการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนการสอน ทำให้ช่องทางการ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงคนได้อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทาง การศึกษาจะลดลงในกลุ่มสถาบันการศึกษาของรัฐ ส่วนการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาเอกชน ผู้เรียนที่ ครอบครัวมีรายได้น้อยอาจเข้ารับบริการทางการศึกษาได้ลดลง เนื่องจากค่าเล่าเรียนแพง 5.โอกาสรับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเปิดเสรีทางการศึกษา จะก่อเกิดการ แข่งขันในการจัดการศึกษาทั้งจากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น หากพิจารณาในแง่บวก การ เปิดเสรีทางการศึกษา เป็นการสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เนื่องด้วยสถาบันแต่ละแห่งจะ แข่งด้านคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา คุณภาพการศึกษาจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการเปิดเสรีทางการศึกษา ที่เปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาต่างชาติเข้ามาเปิดการเรียนการสอน จึง เป็นแรงกดดันให้สถาบันอุดมศึกษาไทยต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น แนวโน้มด้านลบ 1.การเพิ่มช่องว่างด้านคุณภาพในการจัดการศึกษา แม้ว่าสภาพการแข่งขันทางการศึกษาจะเป็น แรงผลักให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ เร่งพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น แต่เนื่องจากทรัพยากร
44 ตั้งต้นของแต่ละสถาบันการศึกษามีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถและปริมาณของ บุคลากรการศึกษา งบประมาณ เงินทุน เทคโนโลยี สถานที่ ความมีชื่อเสียง ฯลฯ ส่งผลให้โอกาสพัฒนา คุณภาพการศึกษาย่อมแตกต่างกันด้วย โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาขนาดเล็ก หรือสถาบันการศึกษาที่ยังไม่มี ความพร้อม/มีทรัพยากรตั้งต้นไม่มาก ย่อมไม่มีศักยภาพเพียงพอในการพัฒนาคุณภาพมากนัก 2.การผลิตบัณฑิตเกินความต้องการของตลาด เนื่องจากความต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา มีสูงขึ้น และการพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่ต้องหาเลี้ยงตนเอง มีอิสระในการบริหารและ เปิดหลักสูตรเพื่อหาผู้เรียนเข้าเรียนให้ได้จำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบระยะยาวคือ มีบัณฑิตจบเป็น จำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่สามารถรองรับได้หมด โดยกลุ่มแรงงานระดับอุดมศึกษาที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ จบจากสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการ จะถูกผลักสู่แรงงานนอกระบบ หรือหาทางออกโดยเรียนต่อระดับสูง ขึ้น ซึ่งอาจก่อเกิดภาวะแรงงานระดับปริญญาโทและเอกไม่มีคุณภาพและล้นตลาดตามมาเช่นกัน 3.การสอนทักษะการคิดและทักษะทางอารมณ์ยังไม่มีคุณภาพ สภาพเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขัน ทำให้ การจัดการศึกษามุ่งพัฒนาทางวิชาการเป็นสำคัญ ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการ คิดของผู้เรียนได้เท่าที่ควร เนื่องจากการเรียนการสอนยังมุ่งสอนให้ผู้เรียนคิดตามสิ่งที่ผู้สอนป้อนความรู้ มากกว่าการคิดสิ่งใหม่ ๆ ประกอบกับครูผู้สอนมีภาระงานมาก จนส่งผลต่อการพัฒนาบุคคลในด้านอื่น เช่น การพัฒนาเชิงสังคม รวมถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือ ใช้ในการเรียนการสอนทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดลง ส่งผลให้ช่องทางการพัฒนาทักษะทาง อารมณ์และทักษะทางสังคมของผู้เรียนลดลงด้วย 4.การสอนคุณธรรมจริยธรรมยังไม่มีคุณภาพ แนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งแข่งขันได้แพร่กระจายไปทั่ว โลก ส่งผลให้ผู้คนต่างมุ่งแข่งขัน และพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประกอบกับสถาบันการศึกษาจำนวนมากมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ และประเมินผลการ เรียนที่ความสามารถทางวิชาการ จนอาจละเลยการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ การไม่ได้มี ผู้สอนที่รู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคุณธรรมจริยธรรมโดยตรงหรือมีคุณภาพ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการสอนของ วิชาคุณธรรมจริยธรรมได้ 5.การสอนภาษาต่างประเทศยังไม่มีคุณภาพ ยิ่งก้าวสู่โลกไร้พรมแดนมากขึ้นเท่าใด ผู้มีความรู้ด้าน ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีนที่ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกใช้ติดต่อสื่อสาร เจรจาต่อรอง การค้า การศึกษา ฯลฯ ย่อมมีความได้เปรียบ ทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสารและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างไรก็ ตาม ปัญหาที่พบคือ การสอนภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศของไทยยังไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เนื่องจาก ครูผู้สอนมีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะครูผู้สอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูจำนวนมากไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษโดยตรง และมีแนวโน้มว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า การพัฒนาการสอนทักษะ ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษแม้ปัจจุบันจะตื่นตัวมากขึ้น แต่ยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร เพราะทรัพยากรด้านบุคลากรสอนภาษาต่างประเทศนี้ขาดแคลนมาก
45 เพื่อให้สอดคล้องกับการเลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นหลักสูตรและการสอนจึงจำเป็นต้องมีการ พัฒนาและเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบสนองการเรียนรู้ใหม่ ๆ ของผู้เรียนที่จะเกิดขึ้น โดยมีกระบวนการในการ เปลี่ยนแปลง ดังนี้ 1. การกำหนดความมุ่งหมายของหลักสูตร การให้การศึกษาแก่เยาวชนทั้งประเทศจำต้องใช้หลักสูตรหลาย ๆ หลักสูตร เช่น หลักสูตรในระดับประถม หลักสูตรในระดับมัธยม และหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา เป็นต้น หลักสูตรแต่ละระดับนี้สนองความต้องการ ของกลุ่มเยาวชนที่มีสภาพทางจิตใจ ร่างกาย มีความสามารถในการเรียนรู้ และมีความต้องการทางการศึกษา แตกต่างกันออกไป ดังนั้นหลักสูตรแต่ละหลักสูตรจึงต้องมีความมุ่งหมายที่แสดงถึงเอกลักษณ์และวัตถุประสงค์ ที่แตกต่างกันออกไปด้วย อย่างไรก็ตาม ความมุ่งหมายของหลักสูตรแต่ละระดับควรสอดคล้องและเสริมความ มุ่งหมายทางการศึกษาในระดับชาติ กิจกรรมแรกนี้เป็นความพยายามที่จะหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า “จะให้ การศึกษาไปเพื่ออะไร” ผู้พัฒนาหลักสูตรจะตอบคำถามนี้ได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อได้ทำการสำรวจและวิจัย ข้อมูลด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญหาหรือความต้องการอย่างแท้จริงของสังคมเสียก่อน 2. การเลือก การจัดเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ เมื่อได้กำหนดแล้วว่าความมุ่งหมายของหลักสูตรมีอะไรบ้าง กิจกรรมขั้นที่สองในการพัฒนาหลักสูตรคือ การ เลือกสรรวิชาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาไปสู่จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เมื่อ เลือกเนื้อหาวิชาและประสบการณ์มาแล้ว ผู้พัฒนาหลักสูตรยังต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า เนื้อหาสาระอะไรควร ไปสอนก่อนหรือสอนหลัง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาไปได้อย่างสัมฤทธิ์ผลสูงสุด 3. การนำเอาหลักสูตรไปใช้ การนำเอาหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การที่ผู้บริหารโรงเรียนและครู นำเอาโครงการของหลักสูตรที่เป็นรูปเล่ม เหล่านั้นไปปฏิบัติให้เกิดผล ขั้นตอนที่สามนี้รวมถึงการบริหารงานทางด้านวิชาการของโรงเรียน เพื่ออำนวยให้ ครูและนักเรียนสามารถสอนและเรียนได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 4. การประเมินผลหลักสูตร การประเมินผลหลักสูตรคือ การหาคำตอบว่า หลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดไว้ในความมุ่งหมายหรือไม่ มากน้อยเพียงไร และอะไรเป็นสาเหตุ การประเมินหลักสูตรเป็นงานที่ละเอียด ต้องการผู้ที่มีความรู้ทั้งในเรื่อง ของหลักสูตรและการประเมินผล 5. การปรับปรุงหลักสูตร กระบวนพัฒนาหลักสูตรมีลักษณะเป็นวัฏจักร เริ่มต้นด้วยการกำหนดความมุ่งหมาย เลือกและจัด เนื้อหาวิชาและประสบการณ์ให้สอดคล้องกับความมุ่งหมาย นำหลักสูตรไปปฏิบัติให้เกิดผลตามที่มุ่งหมายไว้ ประเมินผลหาข้อบกพร่องของกระบวนการนี้ และนำเอาผลที่ได้ไปปรับปรุงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรจึง เริ่มต้นด้วยกระบวนการและขั้นตอนเดิมอีกคือ ปรับปรุงความมุ่งหมาย เมื่อความมุ่งหมายซึ่งเป็นแม่บท เปลี่ยนไป กระบวนการที่เหลือก็ต้องถูกเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องรับกัน จนมาถึงการประเมินผลหลักสูตร และ นำเอาข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลไปปรับปรุงหลักสูตรอีก เป็นวัฏจักรวนเวียนต่อเนื่องกัน
46 นอกจากหลักสูตรการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแล้วสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการจัดการเรียนการ สอนนั้น คงหลีกไม่พ้นนวัตกรรมหรือสื่อการสอน ที่ครูผู้สอนควรคำนึงถึง และเลือกให้เหมาะสมกับการศึกษา ในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งการเลือกใช้นวัตกรรมการศึกษา มีปัจจัยสำคัญ (Factors affecting the implementation of innovations) ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพ (Efficiency) ต้องคำนึงว่า นวัตกรรมที่นำมานั้นมีประสิทธิภาพต่อการที่จะนำมาใช้ใน การจัดการเรียนการสอนหรือไม่ นวัตกรรมจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์ตามที่เราวางไว้ ได้มากน้อยเพียงใด 2. ประสิทธิผล (Productivity) การเลือกนวัตกรรม มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้บรรลุจุด ประสงค์ ครูผู้สอนจำเป็นต้องคำนึงด้วยว่า นวัตกรรมที่นำมานั้นจะเกิดผลต่อผู้เรียนในด้านใด 3. ประหยัด (Economy) ในการเลือกใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน ต้องคำนึงถึงสภาพความเหมาะสมตามฐานะแล้ว จะต้องประหยัด นั่นคือ ประหยัดทั้งเงินประหยัดเวลา และ ประหยัดแรงงาน
47 สรุป ในหัวข้อนี้ได้พูดถึงแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 หลักสูตรทั้งหมดภายในประเทศไทย ในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องอาศัยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาท ต่อวิถีชีวิตของเด็กปฐมวัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ปัจจุบันมี แนวโน้มของการนำเทคโนโลยีที่ใช้ในชั้นเรียน ปฐมวัยเพิ่มมากขึ้นเห็น ได้ชัดจากผลสำรวจการใช้คอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนระหว่างปี 2560- 2562 พบว่าเด็กและเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ การศึกษายุค 4.0 (Education 4.0) การเผชิญหน้ากับ ความท้าทายของการพัฒนาเด็กโดยใช้เทคโนโลยีทาง การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก มีการนำเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้จัดกิจกรรมในชั้น เรียนปฐมวัยมากขึ้น ซึ่งสื่อเทคโนโลยีเปรียบเสมือนกลไก สำคัญในการดำเนินชีวิต เด็กสามารถเรียนรู้ได้ตาม รูปแบบที่ตนเองสนใจ รวมถึงเป็นเครื่องมือในการอำนวย ความสะดวก เพื่อให้เด็กสามารถลดข้อจำกัดในเรื่อง ของเนื้อหา เวลา และสถานที่ได้อีกด้วย ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองและครู ซึ่งเด็กปฐมวัยควรได้ เรียนรู้จากสื่อที่มีลักษณะเป็น “สื่อปฏิสัมพันธ์” (Interactive media) เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแอป พลิเคชันที่สร้างสรรค์ หรือรายการโทรทัศน์ที่เหมาะสมกับวัยเด็ก ที่เด็กสามารถโต้ตอบได้ในลักษณะต่าง ๆ ได้ อย่างมีความหมาย มีเนื้อหาหรือข้อมูลที่ปรากฏ ในสื่อดิจิทัลสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสร้างเสริม จินตนาการ รวมถึง สร้างทักษะพื้นฐานให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะได้ และเป็นสื่อที่เปิดโอกาสให้เด็ก ปฐมวัยได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้กับผู้อื่น ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่น เป็นมิตร เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่เด็กปฐมวัย ในการใช้สื่อดิจิทัลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับ ความคิดที่ว่าเด็กปฐมวัยจำเป็นต้องได้รับการ กระตุ้น ความพร้อมทางสมองอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง เพื่อ ส่งเสริมศักยภาพในการเรียนรู้ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา อีกทั้งยังต้องเน้นการเรียน แบบการเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฎิบัติเอง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ผ่านการกระทำ ซึ่งเป็นวิธีการ เรียนรู้เชิงรุกโดยอิงจากประสบการณ์ของเด็กๆ ผ่านการกระทำ เพื่อซึมซับแนวคิดต่างๆ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ มากขึ้นเมื่อลงมือทำกิจกรรมจริงๆ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมีสรุปผล หลังจากวิเคราะห์การปฏิบัติวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญของ Learning by Doing คือการป้องกันไม่ให้นักเรียน ลืมความรู้ที่เรียนรู้มาเมื่อเวลาผ่านไป เน้นย้ำผ่านประสบการณ์ แทนที่จะซึมซับแนวคิดผ่านความทรงจำอย่าง เดียว นอกจากนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้เด็กๆ ได้ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ก่อนนำไปปฏิบัติจริง จึงทำให้เด็กๆ กระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น ทำให้เกิดความสนุกและมีความสุขในการเรียนมากกว่าที่เคย เป็นและผู้เรียนต้องเป็นผู้ที่คิดค้นนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ในสังคม ในอดีตผู้สอนจะมีหน้าที่เป็นผู้คอยป้อนข้อมูล ความรู้ต่างๆให้แก่ผู้เรียน แต่ในปัจจุบันผู้เรียนจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และผู้สอนจะมีหน้าที่คอยให้ความ ช่วยเหลือและนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ความต้องการของผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21 จะเข้าสู่โลกาภิวัตน์ รูปแบบโลกาภิวัตน์จะเปลี่ยนเป็นโลกาภิวัตน์ใหม่ที่เป็นกระแสตะวันออก ท้องถิ่นจะจับมือ กันเองในกลุ่มเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมีการสื่อความหมายใหม่ๆสร้างความร่วมมมือกันให้มากขึ้น โลกจะเปลี่ยน ทุกด้านโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศผู้เรียนจึงจำเป็นต้องมีความสามารถทั้งในด้านเป็นผู้ผลิตและ ผู้บริโภค มีความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การปรับตัวบนพื้นฐาน การเข้าใจตนเอง และรับรู้ถึงความต่าง ทั้งแนวคิดและการปฎิบัติของบุคคลรอบข้าง สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมโลกโดยรับผิดชอบร่วมกันต่อ
48 สิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานร่วมกัน ตลอดจนมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศได้อย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อความเจริญร่วมกันของทั้งตนเองและเครือข่ายของประชาคมโลก
49 บรรณานุกรม คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สํานักงาน. (๒๕๓๗). แนวการจัดการศึกษาระดับก่อน ประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560). สืบค้นวันที่ 20 เม.ย. 2567 จาก https://drive.google.com/file/d/1mKyU6tkVWlL5b6vfwHNEzqkcqVXf_H-m/view กระทรวงศึกษาธิการ. (2562). หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562. https://www.chaehomic.ac.th/uploads/20170117144825VNF9XEe/contents/pdf กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563. สืบค้น วันที่ 22 เม.ย. 2567 จาก https://bsq.vec.go.th/Portals/9/Course/30/2563/30100/30118v7.pdf กระทรวงศึกษาธิการ. (2562). หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562. สืบค้นวันที่ 23 เม.ย. 2567 จาก http://bsq2.vec.go.th/document/A3.pdf สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2552) กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 file:///C:/Users/user/Downloads/Announce_File_20180913_tqf2552%20(2).pdf ธัญญ์นภัส วิรัตน์เกษม. (2554). ปัญหาการใช้หลักสูตรสถานศึกษาตามทรรศนะของ ครูโรงเรียนนำร่องใน สังกัดเทศบาลเมืองชลบุรีอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี[วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต. ธีรภัทร์ ศรีส่อง.(2561,20 เมษายน). ปัญหาการนำหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ 2556 ไปใช้ใน สถานศึกษา. Gotoknow. https://www.gotoknow.org/posts/646582#google_vignette ภาวนา กิตติวิมลชัย. 2561. การศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการบริหารหลักสูตรตามระบบการ ประกัน คุณภาพการศึกษา และแนวทางการพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพ: กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น, วารสารวิจัยทางการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่13(ฉบับที่ 2), 117-118. file:///C:/Users/user/Downloads/11047-Article%20Text-29436-32536-10-20190204.pdf