วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย เอกสารอ้างอิง [1] Kemmis, S., & McTaggart, R. (Eds.). (1988). The action research planner (3rd ed., substantially revised). Geelong: Deakin University Press. [2] Kemmis, S. (2007, October). Action research as a practice-changing practice. In Spanish Collaborative Action Research Network (CARN) Conference (pp. 18-20). [3] Shulman, L. S. (1986). Those who understand: Knowledge growth in teaching. Educational researcher, 15(2), 4-14. [4] Scott, D., & Lock, J. (Eds.). (2021). Teacher as designer: design thinking for Educational Change. Springer. Page 48
บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้ เรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหาหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ กลุ่มประชากรเป็นผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปราจิณราษฎรอำ รุง อำ เภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำ นวน 3 ห้องเรียน รวมจำ นวน 130 คน ผู้วิจัยออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ภายใต้รูปแบบ 6Steps to Success เรื่อง แรงแม่ เหล็กไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ (Computational Thinking) กับวิธีสอนวิทยาศาสตร์ ใช้เวลา ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8 คาบ คาบละ 50 นาที เก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้ผู้เรียนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบวัด การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบวัดการคิดแก้ปัญหา นำ ข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์อย่างง่าย ผลการวิจัย พบว่า การจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณภายใต้รูปแบบ 6Steps to Success ประกอบด้วยลำ ดับกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นเร้าความสนใจ (Satisfy Experience) 2) ขั้นระบุประเด็น ปัญหา (Specify a Challenge) 3) ขั้นรวบรวมข้อมูล และสำ รวจตรวจสอบ (Search and Solve) 4) ขั้นสร้างองค์ความรู้ (Shape the ideas) 5) ขั้นเชื่อมโยงปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ (Simple Science) และ 6) ขั้นสรุปและประเมินผล (Summary and Evaluate) ส่งผลให้การประเมินการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งค่าเฉลี่ยของ ผลการประเมินตัวแปรการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (CTC) และตัวแปรการคิดแก้ปัญหา (PRB) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทุกตัวชี้วัด ผลการวิเคราะห์การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิง คำ นวณมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก คำ สำ คัญ : สมรรถนะการคิดขั้นสูง, การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างสาระวิชา, ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ธมลพัชพัร์ โพธิ์ศธิ์รี โรงเรียรีนปราจิณจิราษฎรอำ รุง สำ นักงานเขตพื้นพื้ที่การศึกษามัธมัยมศึกษาปราจีนจีบุรี นครนายก วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย การจัดจัการเรียรีนรู้ฟิรู้สิฟิกสิส์ผส์สมผสานแนวคิดเชิงชิคำ นวณที่ส่งส่ เสริมริการคิดอย่าย่งมีวิมีจวิารณญาณและการคิดแก้ปัญปัหาของ ผู้เผู้รียรีนชั้นชั้มัธมัยมศึกษาปีที่ปี ที่6 Page 49
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย Abstract This research is experimental research and the objectives are to 1) develop critical thinking and problem-solving thinking skills by combining scientific learning processes with computational thinking in physics. 2) analyze the relationship between the critical thinking and the problem-solving thinking skills. The population for this study is 130 twelfth-grade students in the first semester of the academic year 2022 at Prachinratsadornamroong School, Mueang Prachinburi District, Prachinburi Province. Researcher has designed the learning activities using “6Steps to Success” model on the electromagnetic force topic. The experimental time to conduct these activities are eight 50-minute periods. Pre-tests and post-tests scores are collected by the tests measuring critical thinking and problem-solving thinking skills in all aspects. Data were analyzed by using mean, standard deviation and simple correlation. The results of combining computational thinking in the learning processes show that “6Steps to Success” model, which consists of 1) Satisfy Experience 2) Specify a Challenge 3) Search and Solve 4) Shape the ideas 5) Simple Science and 6) Summary and Evaluate, can increase students’ learning skills. The mean of assessment results for critical thinking (CTC) and problemsolving thinking (PRB) variables obtained in post-test are higher than those obtained in pre-test for all indicators. The correlation between the students’ critical thinking and problem-solving thinking are strongly positive. Keyword : Higher Order Thinking, Learning Integration (Interdisciplinary), 21st Century Skills Page 50
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย 1. บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำ คัญของปัญหา การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาฟิสิกส์ มีวัตถุประสงค์ที่ เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจธรรมชาติและสามารถนำ ความรู้ทักษะ ประสบการณ์จากการเรียนรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิต จริง เป็นประโยชน์ต่อการดำ เนินชีวิตและการประกอบอาชีพใน อนาคต [1] จากการวิเคราะห์ผลการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัยเอง ในภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 พบว่า เมื่อครูมอบหมาย ภาระงานหรือข้อคำ ถามที่เป็นสถานการณ์ให้ผู้เรียนแก้ปัญหาโดย ใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนไม่สามารถพัฒนา กระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหา ไม่สามารถวิเคราะห์สาเหตุที่แท้ จริงที่ทำ ให้เกิดปัญหา เป็นผลให้ไม่สามารถเขียนลำ ดับขั้นตอนใน การแก้ปัญหา หรือเลือกวิธีแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม แสดงให้ เห็นว่าผู้เรียนยังขาดการพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในด้านการคิด ทั้งนี้ เนื่องมาจากวิธีการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัยยังไม่เน้นการพัฒนา ทักษะของผู้เรียนอย่างแท้จริง เคยชินกับรูปแบบการสอนที่ครู เป็นศูนย์กลาง สอนแบบบรรยายอธิบายเนื้อหา มุ่งหวังเพียงให้ผู้ เรียนฟิสิกส์แก้ปัญหาโจทย์คำ นวณ หรือทำ ข้อสอบ และให้ผู้เรียน ท่องจำ ความรู้ในเนื้อหาวิชามากกว่าการฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะ การคิดขั้นสูง อีกทั้งขาดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้ เรียนได้ฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพื่อนำ ไปสู่การแก้ ปัญหาที่สอดคล้องกับชีวิตจริง ซึ่งไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการ ศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งให้ผู้เรียนคิดเป็น แก้ปัญหา เป็น ฝึกทักษะการแก้ปัญหาผ่านกระบวนการคิด และการลงมือ ปฏิบัติ มีทักษะสำ คัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถใน การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบนำ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้โดยอาศัยทักษะการคิด การใช้เหตุผล การตัดสิน ใจโดยใช้หลักฐานข้อมูลที่หลากหลายในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ใน ชีวิตจริง ซึ่งจากการศึกษาของนักวิชาการด้านการศึกษา พบว่า หากต้องการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในด้านการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียน ครูควรเปลี่ยนวิธี การสอนจากเดิมที่ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียนเพียงอย่าง เดียวเป็นผู้ที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้สถานการณ์หรือปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นและเปลี่ยนบทบาท ของผู้เรียนจากผู้ที่รับความรู้มาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการ เรียน เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการคิดในการแก้ปัญหา หรือตอบคำ ถาม โดยผู้เรียนมีการสำ รวจตรวจสอบ เก็บข้อมูล หาคำ อธิบาย หรือหาข้อโต้แย้งอย่างมีเหตุผล [2] ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัยวิเคราะห์ หลักสูตรฐานสมรรถนะ เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา วิธีสอน กลวิธี และเทคนิคการสอน ตลอดจนการวัดและประเมิน ผล เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่คำ นึงถึงคุณภาพของผู้เรียน และคุณภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างครูและผู้เรียน และระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองโดยให้ผู้ เรียนปฏิบัติกิจกรรมร่วมกัน เน้นกิจกรรมการพัฒนาการคิดอย่าง เป็นระบบ ใช้เหตุผล และตรรกะเกี่ยวกับการคิดทางวิทยาศาสตร์ เน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการพัฒนาด้านการ คิด โดยผู้วิจัยออกแบบการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิด เชิงคำ นวณที่นำ เป้าหมายแรกของวิทยาการคำ นวณ คือ การ ทำ ให้ผู้เรียนแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบมาบูรณา การวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา Page 51
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย อันจะนำ ไปสู่การพัฒนาวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนให้นำ องค์ความรู้ ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอนและมีระบบคล้ายกับความสามารถของ คอมพิวเตอร์ภายใต้ข้อจำ กัดทางกายภาพมาดำ เนินการแก้ปัญหา จากเอกสารคู่มือการใช้หลักสูตร สาระเทคโนโลยี (วิทยาการ คำ นวณ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกน กลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กล่าวถึงวิชาวิทยาการคำ นวณ (Computing Science) ว่าเป็นวิชาที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนให้ผู้เรียน สามารถคิดเชิงคำ นวณ (Computational Thinking) มีพื้นฐาน ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology) และมีพื้น ฐานการรู้เท่าทันสื่อและข่าวสาร (Media and Information Literacy) มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำ นวณ การคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตประจำ วันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ [3] ผู้วิจัยจึงออกแบบการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสม ผสานการคิดเชิงคำ นวณที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา เนื่องจากกระบวนการคิดเป็นกระบวนการ หนึ่งที่เป็นรากฐานสำ คัญ และจำ เป็นสำ หรับผู้เรียนทุกระดับ อัน จะนำ ไปสู่กระบวนการเรียนรู้ อีกทั้งสมรรถนะการคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking: HOT) เป็นหนึ่งในสมรรถนะหลัก 6 ประการ ที่เป็นร่างสมรรถนะหลักที่สำ นักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำ หนด ขึ้นจากแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วยความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณลักษณะของผู้เรียน โดยในแต่ละสมรรถนะมีการกำ หนด ระดับการพัฒนา และกำ หนดระดับความสามารถเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเริ่มต้น ระดับกำ ลังพัฒนา ระดับสามารถ และระดับ เหนือความคาดหวัง สมรรถนะการคิดขั้นสูงประกอบด้วย การคิด อย่างมีวิจารณญาณ การคิดเชิงระบบ การคิดสร้างสรรค์ และ การคิดแก้ปัญหา สำ หรับการคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้นมีเป้า หมายเพื่อให้ได้ความคิดที่ผ่านการพิจารณาถึงข้อมูล หลักฐาน และเหตุผลอย่างรอบคอบแล้ว ความคิดที่ได้นี้สามารถนำ ไปใช้ได้ อย่างกว้างขวางในทุกสถานการณ์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณจึง เป็นพื้นฐานของความคิดทั้งปวง [4] ตามแนวความเชื่อที่ว่าผู้ เรียนที่มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณจะมีความ สามารถในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลในการแก้ไขปัญหา การส่ง เสริมพัฒนาทักษะนี้จะช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญาด้วย นอกจากนี้ การคิดแก้ปัญหาก็เป็นคุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งของ บุคคลที่จำ เป็นในสังคมปัจจุบัน เพราะสังคมปัจจุบันมีความซับ ซ้อนและก้าวกระโดด การดำ เนินชีวิต การทำ งานย่อมประสบ ปัญหาทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม บุคคลที่มีความสามารถใน การแก้ปัญหาย่อมมีโอกาสบรรลุเป้าหมายดีกว่าผู้ที่ไม่สามารถแก้ ปัญหาได้ การคิดแก้ปัญหาจึงเป็นจุดเน้นสำ คัญทั้งด้านการเรียนรู้ การดำ รงชีวิต เนื่องจากส่งผลต่อการแสดงออกทั้งต่อตนเองและ สังคม ดังนั้นเป้าหมายหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนผู้วิจัยจึง มุ่งเพื่อพัฒนาด้านนี้ Page 52
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย จากแนวคิดดังกล่าว ผู้วิจัยออกแบบขั้นตอนการจัดการ เรียนรู้ฟิสิกส์ 6 ขั้น ที่บูรณาการวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์และ แนวคิดเชิงคำ นวณ (Computational Thinking) ซึ่งแนวคิดเชิง คำ นวณนี้ถูกใช้ในด้านการจัดการศึกษาครั้งแรกโดย Papert [5] ที่อธิบายการสร้างสรรค์งานในโลกเสมือนที่จำ ลองโดย คอมพิวเตอร์ ซึ่ง Wing [6] ได้กล่าวว่าแนวคิดนี้เป็นทักษะยุคใหม่ ที่สำ คัญสำ หรับผู้เรียนนอกเหนือจากการอ่าน (Reading) การ เขียน (Writing) และการคำ นวณเชิงตัวเลข (Arithmetic) ผู้วิจัย จึงมุ่งส่งเสริม พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีลำ ดับขั้นดังนี้ 1. ขั้นเร้าความสนใจ (Satisfy Experience) เป็นการ เตรียมผู้เรียน และเริ่มต้นกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสถานการณ์ หรือประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนพบเจอในชีวิตประจำ วัน และ เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำ ลังเรียน 2. ขั้นระบุประเด็นปัญหา (Specify a Challenge) เป็น กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้คัดกรองปัญหาทางวิทยาศาสตร์ หรือบอกประเด็นปัญหาที่จะศึกษาได้จากกระบวนการคัดเลือก จากนั้นให้ผู้เรียนวางแผนการดำ เนินงาน กำ หนดแนวทางในการ สืบค้นข้อมูล แนวทางในการสำ รวจตรวจสอบที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอ 3. ขั้นรวบรวมข้อมูล และสำ รวจตรวจสอบ (Search and Solve) เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนเก็บรวบรวมข้อมูลตามแนวทางที่ได้ วางแผนไว้ สำ รวจตรวจสอบอย่างเป็นระบบ พิจารณาข้อมูลที่มี ความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้อง มีหลักฐานชัดเจน 4. ขั้นสร้างองค์ความรู้ (Shape the ideas) เป็นขั้นที่ผู้ เรียนสามารถนำ ข้อมูลที่รวบรวมและจากการสำ รวจตรวจสอบมา จัดกลุ่ม สร้างคำ อธิบาย สะท้อนความคิดและแปลความหมาย ข้อมูลให้เป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 5. ขั้นเชื่อมโยงปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ (Simple Science) เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถอธิบายได้ว่า อะไรคือปัญหา มีข้อมูล หลักการอะไรที่เป็นเหตุผลสนับสนุน จนกระทั่งสามารถตัดสินใจ ได้ว่าจะนำ ความรู้ หลักการทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ กับสถานการณ์เดิม หรือปัญหาในสถานการณ์ใหม่ในชีวิตประจำ วันได้อย่างไร 6. ขั้นสรุปและประเมินผล (Summary and Evaluate) เป็นขั้น การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยกระบวนการที่หลากหลาย ว่าผู้เรียนได้รับความรู้ด้านเนื้อหา มีสมรรถนะด้านการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา มีกระบวนการตรวจสอบองค์ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือวัดที่เหมาะสม 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ ปัญหาของผู้เรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสาน แนวคิดเชิงคำ นวณ 1.2.2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ 1.3 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 1.3.1 การจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ หมายถึง รูปแบบการสอน 6Steps to Success ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งมีกระบวนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานแนวคิดเชิง คำ นวณที่เน้นให้ผู้เรียนฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อ หาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยลำ ดับกิจกรรม การเรียนรู้ 6 ขั้น ได้แก่ Page 53
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ขั้นเร้าความสนใจ (Satisfy Experience) ขั้นระบุประเด็นปัญหา (Specify a Challenge) ขั้นรวบรวมข้อมูลและสำ รวจตรวจสอบ (Search and Solve) ขั้นสร้างองค์ความรู้ (Shape the ideas) ขั้นเชื่อมโยงปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ (Simple Science) และ ขั้นสรุปและประเมินผล (Summary and Evaluate) 1.3.2 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking: CTC) หมายถึง การคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลที่มีจุดประสงค์ เพื่อตัดสินว่าสิ่งใดควรเชื่อ หรือควรกระทำ เพื่อเพิ่มความเป็นไป ได้ของผลลัพธ์จากการตัดสินใจที่ดี ซึ่งวัดได้จากแบบวัดการคิด อย่างมีวิจารณญาณที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานแนวคิด ของ Dressel and Mayhew [7] ที่ประกอบด้วยการนิยาม ปัญหา การรวบรวมข้อมูลสำ หรับการแก้ปัญหา การจัดระบบ ข้อมูล การเลือกสมมติฐาน การสรุปเพื่อนำ ไปสู่การตัดสินใจ ซึ่ง จำ แนกองค์ประกอบ 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ การคิดเชิงปริมาณ (NCTC) หมายถึง การคิดพิจารณาเพื่อนำ ไปใช้ในการแก้โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การคิดเชิงภาษา (L-CTC) หมายถึง การ คิดพิจารณาเพื่อนำ ไปใช้ในการโต้แย้งและตีความหมายข้อมูล และการคิดสถานการณ์ทางสังคม (S-CTC) หมายถึง การคิด พิจารณาเพื่อนำ ไปใช้ในการแก้ปัญหาที่เผชิญในห้องเรียน หรือ ข่าวสารที่ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ สื่อสังคม หรือในชีวิตประจำ วัน 1.3.3 การคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking: PRB) หมายถึง การคิดของบุคคลในการระบุปัญหา นิยามปัญหา รวบรวมข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา เลือกทาง เลือกในการแก้ปัญหา และดำ เนินการแก้ปัญหาอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยมีเกณฑ์ที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกมิติ วัดได้ จากแบบวัดการคิดแก้ปัญหาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งจำ แนกองค์ ประกอบ 6 ตัวบ่งชี้ตามแนวคิดของ Osborn and Parnes [8] ได้แก่ การอธิบายสภาพ ลักษณะของเหตุการณ์ (Mess Finding: MF) หมายถึง การระบุสถานการณ์ที่ทำ ให้เกิดความท้าทาย สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือเกิดปัญหา การระบุข้อเท็จจริง (Data Finding: DF) หมายถึง ความพยายามที่จะระบุหรือ อธิบายข้อมูลสำ คัญที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ การระบุปัญหา (Problem Finding: PF) หมายถึง การอธิบาย สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ทุกอย่างที่เป็นไปได้ และแบ่งแยก ลำ ดับความสำ คัญ การเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหา (Idea Finding: IF) หมายถึง การค้นหา หรือเสนอวิธีแก้ปัญหาให้มาก ที่สุดเท่าที่จะสามารถทำ ได้ โดยไม่มีการตัดสินว่าความคิดนั้นผิด หรือถูก การประเมินและเลือกวิธีการแก้ปัญหา (Solution Finding: SF) หมายถึง การทำ ให้วิธีการแก้ปัญหามีความชัดเจน ในการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น เป็นการกำ หนดเกณฑ์ในการประเมินวิธี การแก้ปัญหา และเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด การยอมรับ และวางแผนการปฏิบัติ (Acceptance Finding: AF) หมายถึง การทำ ให้แนวทางแก้ปัญหาที่เลือกได้รับการยอมรับ นำ ไปสู่การ วางแผนในการแก้ปัญหาและการลงมือปฏิบัติ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.4.1 การจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ สามารถนำ ไปใช้พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ ปัญหาของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ 1.4.2 ครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ระดับมัธยมศึกษาสามารถนำ รูป แบบการสอนไปใช้ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ได้ ครอบคลุมทุกเนื้อหา 1.4.3 ผู้เรียนสามารถค้นพบและสร้างกระบวนการแก้ปัญหา โดยนำ แนวคิดเชิงคำ นวณไปใช้ในการเรียนวิชาอื่น ๆ และในชีวิตประจำ วัน Page 54
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสม 2. ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดเชิงคำ นวณ (Computational Thinking) ผู้วิจัยนำ แนวคิดเชิงคำ นวณมาผสมผสานกับวิธีการสอน วิทยาศาสตร์ ซึ่งสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี [9] กล่าวถึงแนวคิดเชิงคำ นวณว่าเป็นพื้นฐานของการ คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สามารถนำ ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา ในชีวิตประจำ วัน ความท้าทายของแนวคิดเชิงคำ นวณอยู่ที่การ ออกแบบการแก้ปัญหาที่คลุมเครือให้เป็นขั้นตอนที่ชัดเจนมาก พอที่จะนำ ไปแก้ปัญหาได้ องค์ประกอบของแนวคิดเชิงคำ นวณ แบ่งเป็น 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1.แนวคิดการแยกย่อยหรือการแยกองค์ประกอบ (Decomposition) เป็นวิธีคิดรูปแบบหนึ่งของแนวคิดเชิง คำ นวณ เป็นการพิจารณาเพื่อแบ่งปัญหาหรืองานออกเป็นส่วน ย่อย ทำ ให้สามารถจัดการปัญหาได้ง่ายขึ้น 2. แนวคิดการจดจำ รูปแบบ หรือการพิจารณารูปแบบของ ปัญหา หรือวิธีการแก้ปัญหา (Pattern Recognition) เป็นการพิจารณาเพื่อหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องของรูปแบบ แนวโน้ม และลักษณะทั่วไปของปัญหา หรือข้อมูล 3. แนวคิดเชิงนามธรรม หรือการพิจารณาสาระสำ คัญของ ปัญหา (Abstraction) การคิดเชิงนามธรรม เป็นการพิจารณาคัด แยกคุณลักษณะออกจากรายละเอียดที่สำ คัญของปัญหาหรืองาน ที่พิจารณา เพื่อให้ได้องค์ประกอบที่จำ เป็นเพียงพอ และกระชับ ที่สุดในการพิจารณาภายใต้สถานการณ์ที่สนใจ หรือเป็นการ แยกแยะสาระสำ คัญออกจากส่วนที่ไม่สำ คัญ 4. แนวคิดการออกแบบอัลกอริทึม หรือขั้นตอนวิธี (Algorithms) เป็นลำ ดับขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือการทำ งาน ที่ชัดเจน โดยมีลำ ดับขั้นของคำ สั่ง หรือวิธีการที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้อื่นนำ ไปปฏิบัติตามได้ กรอบแนวความคิดในการวิจัย ผู้วิจัยประยุกต์แนวคิดเชิงคำ นวณ ได้แก่ แนวคิดการแยกย่อย แนวคิดการจดจำ รูปแบบ แนวคิดเชิงนามธรรม และแนวคิด การออกแบบอัลกอริทึมเข้ากับวิธีการสอนวิทยาศาสตร์ ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ฟิสิกส์ 6 ขั้น 6Steps to Success ตามวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ โดยสอดแทรกแนวคิดเชิงคำ นวณ ที่เหมาะสมกับแต่ละขั้นของกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นตัวแปร ที่มีผลต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา สรุป เป็นกรอบแนวความคิดในการวิจัย ดังภาพที่ 1 3. ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เรียนทุกคนที่ผู้วิจัยปฏิบัติ หน้าที่สอนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียน ปราจิณราษฎรอำ รุง อำ เภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ภาพที่ 1 กรอบแนวความคิดในการวิจัย Page 55
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก ที่ ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำ นวน 3 ห้องเรียน ผู้ เรียนรวม 130 คน 3.2 รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ใช้รูปแบบการวิจัยเป็น แบบกลุ่มตัวอย่างเดียว มีการทดสอบก่อนและหลังเรียน (Onegroup pretest and posttest design) ดังนี้ O แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบวัด การคิดอย่างมีวิจารณญาณและแบบวัดการคิดแก้ปัญหา X แทน การจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิง คำ นวณ เรื่อง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า O แทน การทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบ วัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณและแบบวัดการคิดแก้ปัญหา 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ เรื่อง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ จำ นวน 5 แผน รวม เวลา 8 คาบ คาบละ 50 นาที มีการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ใช้เวลา 1 คาบ และการทดสอบหลังเรียน (Posttest) เวลา 1 คาบ รวมทั้งสิ้น 10 คาบ โดยผู้วิจัยดำ เนินการ พัฒนาตามลำ ดับขั้น เริ่มจากการระบุเป้าหมาย และผลลัพธ์ที่ ต้องการพัฒนาให้ชัดเจน คือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ คิดแก้ปัญหา สังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสม ผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ โดยทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องใน ด้านการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ แนวคิดเชิงคำ นวณ การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดอย่างมี วิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยสังเคราะห์และพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ 6 Steps to Success จากนั้นเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้สอด แทรกแนวคิดเชิงคำ นวณลงไปในกิจกรรมการเรียนรู้ทุกแผน จำ นวน 5 แผน ได้แก่ การเกิดสนามแม่เหล็กเนื่องจากกระแส ไฟฟ้า แรงแม่เหล็กที่กระทำ ต่ออนุภาคที่มีประจุเคลื่อนที่ในสนาม แม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำ ต่อลวดตัวนำ ที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน มอเตอร์อย่างง่าย และการเกิดอีเอ็มเอฟ ซึ่งในแต่ละแผน ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ขั้น ได้แก่ ขั้นเร้าความสนใจ (Satisfy Experience) เริ่มต้นกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการ อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้า หลาย ๆ ชนิด ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ส่วนประกอบและการพัฒนา อุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผู้เรียนต้องคัดกรองปัญหาทาง วิทยาศาสตร์ หรือบอกประเด็นปัญหาที่กำ ลังจะศึกษาที่ได้จาก กระบวนการคัดเลือก แยกย่อยปัญหา (Decomposition) พิจารณาวิธีการแก้ปัญหา (Pattern Recognition) เพื่อหาความ สัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง วางแผนการดำ เนินงาน (Scheme) กำ หนด แนวทางในการสืบค้นข้อมูล และการสำ รวจตรวจสอบในขั้นระบุ ประเด็นปัญหา (Specify a Challenge) หลังจากนั้นขั้นตอนถัด ไป คือ ขั้นรวบรวมข้อมูลและสำ รวจตรวจสอบ (Search and Solve) ผู้เรียนเก็บรวบรวมข้อมูลตามแนวทางที่ได้วางแผนไว้ และสำ รวจตรวจสอบอย่างเป็นระบบ พิจารณาสาระสำ คัญที่แท้ จริงของปัญหา (Abstraction) พิจารณาข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง มีหลักฐานชัดเจน 1 2 Page 56
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย และใช้เทคโนโลยีผสมผสานในการเรียนรู้ เช่น การใช้แอพลิเคชัน ในการทำ การทดลอง การสืบค้นข้อมูล การสร้างแบบจำ ลอง ตลอดจนการนำ เสนอข้อมูล เพื่อนำ ไปสู่ขั้นสร้างองค์ความรู้ (Shape the ideas) โดยผู้เรียนนำ ข้อมูลที่ได้จากรวบรวม การ สำ รวจตรวจสอบมาจัดกลุ่ม สร้างคำ อธิบาย สะท้อนความคิด และแปลความหมายข้อมูลให้เป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้แนวคิดการออกแบบอัลกอริทึม (Algorithms) เมื่อผู้เรียน สร้างองค์ความรู้แล้ว ผู้เรียนต้องเชื่อมโยงปัญหาอย่างมี วิจารณญาณ (Simple Science) กล่าวคือ สามารถอธิบายได้ว่า อะไรคือปัญหา มีข้อมูล หลักการอะไรที่เป็นเหตุผลสนับสนุน สามารถตัดสินใจได้ว่าจะนำ ความรู้ หรือหลักการทาง วิทยาศาสตร์นี้ไปใช้ในการอธิบายสถานการณ์เดิมหรือ สถานการณ์ใหม่ หรือประยุกต์ใช้กับปัญหาในชีวิตประจำ วันได้ อย่างไร จากนั้นครูสรุปและประเมินผล (Summary and Evaluate) โดยประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนว่ามีสมรรถนะด้าน การคิดตามเป้าหมายอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมิน ตนเอง และประเมินผลงานเพื่อน ผู้วิจัยนำ แผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ตรวจสอบค่าความตรง (Content Validity) พบว่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทั้ง 5 แผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าระหว่าง 4.68 - 4.87 และ .22 - .41 ตามลำ ดับ อยู่ในระดับมากที่สุดทุกแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3.2 แบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จำ นวน 1 ชุด ผู้วิจัยบูรณาการแนวคิดเรื่องการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ของ Bloom et al. แนวคิดของ Watson & Glaser แนวคิด ของ Dewey แนวคิดของ Ennis และแนวคิดของ Dressel and Mayhew มาพัฒนาแบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking: CTC) ที่มีความครอบคลุมและชัดเจน มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง โดยนำ พื้นฐานการวัดตาม กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณของ Dressel and Mayhew สร้างแบบวัดที่เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบหลายตัว เลือก จำ นวน 30 ข้อ ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมของสถานการณ์ปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญและคำ นวณหาความสอดคล้อง(Item Objective Congruence; IOC )วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบเป็นรายข้อ คำ นวณค่าอำ นาจจำ แนก (r) และค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบวัดทั้งฉบับ โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยคัดเลือกข้อสอบไว้ จำ นวน 30 ข้อ ที่มีค่าอำ นาจจำ แนก (r) ระหว่าง .33 - .76 และ ค่าความเที่ยงของแบบวัดทั้งฉบับ เท่ากับ .91 3.3.3 แบบวัดการคิดแก้ปัญหา จำ นวน 1 ชุด ผู้วิจัยบูรณาการแนวคิด Creative Problem-Solving (Version 3.0) ของ Isaksen และ Treffinger (1985 cited in Isaksen & Treffinger, 2004) แนวคิดของ Alex Osborn และแนวคิดของ Osborn and Parnes มาพัฒนาแบบการวัด การคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking: PRB) ที่มีความ ครอบคลุมและชัดเจน มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง โดย แบบวัดมีรูปแบบเป็นข้อคำ ถามปรนัยแบบตรวจให้คะแนนหลาย ค่า และแบบอัตนัย ข้อคำ ถามเป็นสถานการณ์ที่ประยุกต์มาจาก รูปแบบข้อสอบอัตนัยที่ใช้ในการทดสอบระดับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้วิทยาศาสตร์ และ สถานการณ์ที่พบในชีวิตประจำ วัน ผ่านการตรวจสอบความตรง เชิงเนื้อหา (Content Validity) Page 57
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย และความเหมาะสมของสถานการณ์ปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญเป็นชุดเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพแบบวัดการคิดอย่างมี วิจารณญาณ วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบเป็นรายข้อ คำ นวณค่าอำ นาจจำ แนกข้อสอบเป็นรายข้อ () และค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบวัดทั้งฉบับ โดยคัดเลือกข้อสอบไว้จำ นวน 10 ข้อ ที่มีค่าอำ นาจจำ แนก () ระหว่าง .47-.74 และค่าความเที่ยง ของแบบวัดทั้งฉบับ เท่ากับ .92 3.4 การดำ เนินการทดลอง ผู้วิจัยอภิปรายร่วมกับผู้เรียนที่กำ ลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำ นวน 130 คน เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ด้านการเรียน ความต้องการ วิธีการเรียนรู้ และเป้าหมายสำ คัญของการเรียน ผู้วิจัยกำ หนดแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยนำ แนวคิด เชิงคำ นวณผสมผสานกับวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยทำ ความเข้าใจกับผู้เรียนให้เข้าใจขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ บทบาทของผู้เรียน ทำ การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยให้ผู้เรียนทำ แบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณและแบบวัดการคิดแก้ ปัญหา ใช้เวลา 50 นาที ดำ เนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ 6Steps to Success ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 5 แผน ใช้เวลา เรียน 8 คาบ คาบละ 50 นาที หลังจากดำ เนินการจัดการเรียนรู้เสร็จสิ้นแล้ว ทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบวัดการคิด อย่างมีวิจารณญาณและแบบวัดการคิดแก้ปัญหาฉบับเดิม นำ คะแนนที่ได้จากการตรวจแบบวัดมาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติ และ วิเคราะห์วิธีปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป ภาพที่ 2 ขั้นตอนการดำ เนินการทดลอง Page 58
การคิดอย่าย่งมี วิจวิารณญาณ (Critical Thinking: CTC) การทดสอบ N μ σ ก่อนเรียรีน 130 3.24 .51 หลังเรียรีน 130 8.40 .57 ก่อนเรียรีน 130 2.84 .28 หลังเรียรีน 130 8.34 .52 วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.5.1 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน 3.5.2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการคิดอย่างมีวิจารณญาณและตัวแปรการคิดแก้ปัญหา โดยใช้สหสัมพันธ์อย่างง่าย 4. ผลการวิจัย 4.1 การพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิด เชิงคำ นวณ การวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking: CTC) ใช้แบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือก ตอบหลายตัวเลือก จำ นวน 30 ข้อ พิจารณา 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ การคิดเชิงปริมาณ (N-CTC) การคิดเชิงภาษา (L-CTC) และการคิด สถานการณ์ทางสังคม (S-CTC) ผลการวิเคราะห์ ดังนี้ ตารางที่ 1 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking: CTC) N-CTC L-CTC Page 59
การคิดอย่าย่งมี วิจวิารณญาณ (Critical Thinking: CTC) การทดสอบ N μ σ ก่อนเรียรีน 130 2.94 .12 หลังเรียรีน 130 8.46 .79 ก่อนเรียรีน 130 9.02 1.02 หลังเรียรีน 130 25.20 2.02 วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ตารางที่ 1 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking: CTC) (ต่อ) จากตารางที่ 1 ความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยของแบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยการ จัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ จากจำ นวนผู้เรียน 130 คน โดยใช้แบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของการวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนในทุกตัวบ่งชี้ โดยที่การคิดเชิงปริมาณ (N-CTC) มี คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น 3.24 และ 8.40 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .51 และ .57 ตามลำ ดับ การคิดเชิงภาษา (L-CTC) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น 2.84 และ 8.34 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยง เบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .28 และ .52 ตามลำ ดับ การคิดสถานการณ์สังคม (S-CTC) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและ หลังเรียนเป็น 2.94 และ 8.46 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .12 และ .79 ตามลำ ดับ ภาพรวม ทั้งฉบับ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น 9.02 และ 25.20 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียน เป็น 1.02 และ 2.02 ตามลำ ดับ แสดงว่า คะแนนเฉลี่ยของการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน การวัดการคิดแก้ปัญหา (Problem-Solving Thinking: PRB) ใช้แบบวัดการคิดแก้ปัญหาที่เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือก ตอบหลายตัวเลือก จำ นวน 6 ข้อ และชนิดอัตนัยจำ นวน 4 ข้อ พิจารณา 6 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ การอธิบายสภาพ ลักษณะของ สถานการณ์ (MF) การระบุข้อเท็จจริง (DF) การระบุปัญหา (PF) การเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหา (IF) การประเมินและเลือกวิธี การแก้ปัญหา (SF) และการยอมรับและวางแผนการปฏิบัติ (AF) ผลการวิเคราะห์ ดังนี้ S-CTC รวมทั้งทั้ฉบับบั Page 60
การคิดแก้ปัญปัหา (Problem Solving Thinking: PRB) การทดสอบ N μ σ ก่อนเรียรีน 130 .95 .54 หลังเรียรีน 130 2.68 .47 ก่อนเรียรีน 130 9.02 1.02 หลังเรียรีน 130 25.20 2.02 ก่อนเรียรีน 130 .62 .49 หลังเรียรีน 130 2.55 .50 ก่อนเรียรีน 130 .64 .48 หลังเรียรีน 130 2.48 .50 ก่อนเรียรีน 130 .92 .48 หลังเรียรีน 130 3.42 .85 ก่อนเรียรีน 130 4.00 1.53 หลังเรียรีน 130 16.01 3.12 วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ตารางที่ 2 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหา (Problem-Solving Thinking: PRB) MF DF PF IF AF รวมทั้งทั้ฉบับบั Page 61
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย จากตารางที่ 2 ความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยของแบบวัดการคิดแก้ปัญหาระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ จากจำ นวนผู้เรียน 130 คน โดยใช้แบบวัดการคิดแก้ปัญหา พบว่า คะแนนเฉลี่ยของการวัดการ คิดแก้ปัญหาหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณสูงกว่าก่อนเรียนในทุก ตัวบ่งชี้ โดยที่การอธิบาย สภาพ ลักษณะของสถานการณ์ (MF) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .95 และ 2.68 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .54 และ .47 ตามลำ ดับ การระบุข้อเท็จจริง (DF) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .62 และ 2.55 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .49 และ .50 ตามลำ ดับ การระบุปัญหา (PF) มี คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .64 และ 2.48 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .48 และ .50 ตามลำ ดับ การเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหา (IF) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .92 และ 3.42 ตามลำ ดับ ค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .48 และ .85 ตามลำ ดับ การประเมินและเลือกวิธีการแก้ปัญหา (SF) มีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .55 และ 2.46 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .52 และ .54 ตามลำ ดับ การยอมรับและวางแผนการปฏิบัติ (AF) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .35 และ 2.43 ตามลำ ดับ ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น .48 และ 1.91 ตามลำ ดับ ภาพรวมทั้งฉบับ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน เป็น 4.00 และ 16.01 ตามลำ ดับ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียนเป็น 1.53 และ 3.12 ตามลำ ดับ แสดงว่า คะแนนเฉลี่ยของการคิดแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหาหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสม ผสานแนวคิดเชิงคำ นวณ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายระหว่างตัวแปรการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และตัวแปรการคิดแก้ ปัญหา ปรากฏดังตารางที่ 3 Page 62
ตัวแปร N μ σ Simple Correlati on (p) การคิดอย่าย่งมีวิมีจวิารณญาณ (CTC) 130 25.20 2.02 การคิดแก้ปัญหา (PRB) 130 16.01 3.12 วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดอย่างมีวิจารณญาณกับการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 0.86 จากตารางที่ 3 พบว่า ผลการวิเคราะห์ด้วยสหสัมพันธ์อย่างง่าย (Simple Correlation) ระหว่างตัวแปรการคิดอย่างมี วิจารณญาณ (Critical Thinking: CTC) กับตัวแปรการคิดแก้ปัญหา (Problem-Solving Thinking: PRB) มีค่าเท่ากับ .86 แสดง ให้เห็นว่า ตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างมากในเชิงบวก 5. สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.1.1 การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิง คำ นวณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทุกตัวชี้วัด 5.1.2 การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิง คำ นวณมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก 5.2 อภิปรายผล 5.2.1 ผลของการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณด้วยการจัดการเรียนรู้ 6Steps to Success สามารถ พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาให้สูงขึ้น โดยพัฒนาด้านการให้เหตุผล การคิดอย่างเป็นระบบ การประเมิน และตัดสินใจ และการแก้ปัญหา ซึ่งการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหามีส่วนสำ คัญต่อการทำ งาน การเรียนรู้ และ การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำ ความเข้าใจถึงปัญหาอย่างสมเหตุสมผล การวิเคราะห์จากข้อมูลที่เพียงพอต่อการ สร้างทางเลือกในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย สามารถนำ ไปสู่การสรุป และตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างสมเหตุผล ดังที่ Partnership 21st Century Skills Hitchcock และ Soderlund กล่าวว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นทักษะในการคิดอย่างรอบคอบ และการสืบสวนในเชิงลึกของแต่ละบุคคล Page 63
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ผ่านการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการวิเคราะห์ และประเมินข้อมูลสู่การเลือกแนวทางในการแก้ ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ครูควรมีมาตรฐานสมรรถนะ และจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงสมรรถนะที่จัดไว้อย่างเป็นลำ ดับ เพื่อเป็นกรอบในการจัดการเรียนรู้ตามระดับที่กำ หนด โดยต้องวิเคราะห์ว่า ผู้เรียนจำ เป็นต้องรู้อะไรจึงจะช่วยให้ทำ สิ่งนั้นได้ ที่ สำ คัญคือ ครูต้องจัดกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery Learning) ทั้งในด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำ เป็นต่อสมรรถนะที่ต้องการพัฒนา เน้น ให้ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง โดยครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรม ให้ข้อมูลย้อนกลับ ให้ความช่วยเหลือ ให้ผู้เรียน ได้ใช้ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะในบริบทใหม่ ๆ หากผู้เรียนไม่ผ่านการทดสอบตามที่ต้องการ ครูควรต้องออกแบบการเรียนรู้ และจัดการเรียนการสอนซ่อมเสริม (Remedial Teaching) ผู้เรียนเป็นรายบุคคล 5.2.2 ผลจากการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ คือ ผู้เรียนได้ เรียนรู้เนื้อหาวิชาฟิสิกส์อย่างครบถ้วนตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำ หนด ซึ่งวัดและประเมินผลได้จากหลักฐานการเรียนรู้ที่ได้ ออกแบบให้ครอบคลุมเนื้อหาทางฟิสิกส์โดยใช้หลักการของแนวคิดเชิงคำ นวณผสานกับวิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ ร่วมกับการ สนับสนุนให้ผู้เรียนนำ เทคโนโลยีมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และกำ หนดเป็นภาระงานที่สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหาได้ตามที่มุ่งหวัง ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการเรียนรู้แนวคิดเชิงคำ นวณได้อย่าง เป็นธรรมชาติ นำ มาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่พบในชีวิตประจำ วันและเชื่อมโยงไปยังโจทย์ ปัญหาที่มักพบในข้อสอบ ผู้เรียนใช้แนวคิดเชิงคำ นวณเป็นวิธีคิดในกระบวนการเรียนรู้ที่ทำ ให้เข้าใจกระบวนการแก้ปัญหา สามารถวิเคราะห์ และคิดอย่างมีตรรกะ สามารถวางแผนการแก้ปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เป็นระบบ นอกจาก เป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์แล้ว ยังสามารถนำ ไปปรับใช้ในการเรียนวิชา อื่น ๆ หรือการแก้ปัญหาในชีวิตประจำ วันได้ เป็นประโยชน์ในการต่อยอดองค์ความรู้ไปตลอดชีวิต สอดคล้องกับแนวคิดของปรีดี ปลื้มสำ ราญกิจ ที่กล่าวว่า แนวคิดเชิง คำ นวณเป็นทักษะหนึ่งที่จำ เป็นต่อผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในเรื่องของการวิเคราะห์ปัญหาหลัก เพื่อนำ ไปออกแบบแนวทางการ แก้ปัญหา นอกจากนี้หากผู้เรียนสามารถเข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำ นวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำ งาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ก็นับว่าได้พัฒนาผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ในด้านวิทยาการคำ นวณด้วย 5.2.3 ขั้นตอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหามากที่สุด คือ ขั้นระบุ ประเด็นปัญหา (Specify a Challenge) เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบกลุ่มย่อย ใช้กระบวนการกลุ่มที่มีการ วางแผนการดำ เนินงานร่วมกัน ร่วมกันระบุปัญหา วางแผนการดำ เนินการเพื่อแก้ไขปัญหา ผ่านการสื่อสารประสานงานภายใน กลุ่ม มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นรายบุคคลอย่างชัดเจน ซึ่งสมาชิกกลุ่มทุกคนมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นเป็นการ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น Page 64
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย มีการให้เหตุผลสนับสนุนและเกิดการโต้แย้งโดยใช้หลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลที่สืบค้นมาสนับสนุนหรือคัดค้าน ช่วยให้เกิดการตัดสินใจ เลือกแนวทางหรือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด และเกิดเป็นข้อสรุปร่วมกันของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่บ่งบอกว่าผู้เรียนมี การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา สอดคล้องกับบุญชนก ธรรมวงศา ที่กล่าวถึงหัวใจสำ คัญของการพัฒนาศักยภาพ ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาของผู้เรียน คือ ผู้เรียนต้องหาคำ ตอบด้วยตนเองและได้หารือหรือแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นระหว่างกัน เกิดการวิพากษ์โดยผู้เรียนต้องสรรหาหลักฐานอ้างอิงที่มีน้ำ หนักมาสนับสนุนจุดยืนของตัวเองให้ได้ 5.3 ข้อเสนอแนะ ครูควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาฟิสิกส์ที่หลากหลาย และสามารถออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการคิดขั้น สูงอื่น ๆ นอกเหนือจากการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา เพื่อวิเคราะห์มิติของการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของผู้ เรียนอย่างเป็นระบบ เอกสารอ้างอิง [1] สุพรรณี ชาญประเสริฐ. (2557). สะเต็มศึกษากับการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. นิตยสาร สสวท. 42(186). [2] สุนีย์ คล้ายนิล. (2555). การศึกษาวิทยาศาสตร์ไทย: การพัฒนาและภาวะถดถอย. สมุทรปราการ: แอดวานส์ พริ้นติ้ง เซอร์วิส. [3] วชิร ศรีคุ้ม. (2564). การผสมผสานแนวคิดเชิงคำ นวณกับเนื้อหาวิทยาศาสตร์. นิตยสาร สสวท. 49(231). [4] ทิศนา แขมมณี. (2544). กระบวนการคิด. กรุงเทพฯ: เดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมนเนจเม้นท์. [5] Papert, S. (1980). Mindstorms: children, computers, and powerful ideas. New York: Basic Books, Inc. [6] Wing, J. M. (2006). Computational thinking. Communications of the ACM. 49(3). [7] Dressel & Mayhew. (1957). General Education: Exploration in Evaluation. Washington, D.C.: merican Council on Education. [8] Osborn, A. F. and Parnes, S. J. (1966). The Osborn-Parnes Creative Problem Solving Procedure. Munich: GRIN Verlag. [9] สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). คู่มือการใช้หลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560). สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2564, จาก http://oho.ipst.ac.th/cs-curriculum-teacher-guide/. [10] Bloom, B. S. (1956). Taxonomy to Education Objection Handbook 1: Cognitive Domain. New York: David Mac Kay Company. Page 65
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย [11] Watson, g. and Glaser, E. M. (1964). Watson-Glaser Critical Thinking Appraisal Manual. New York: Harcourt Brace and World, Inc. [12] Dewey, J. (1997). Experience and education. New York: Simon & Schuster. [13] Ennis, R. H. (1993). Critical thinking assessment. theory to Practice. 32(3). [14] Isaksen, S. G., & Treffinger, D. J. (2004). Celebrating 50 years of reflective practice: Versions of Creative Problem Solving. Journal of Creative Behavior. 38(2). [15] Osborn, A. F. (1963). Applied imagination: Principles and procedures of creative problem solving. (3rd Revised Edition). New York: Scribners. [16] Partnership 21st Century Skills. (2010). Framework for 21st Century Learning. Retrieved January, 2021, from http://p21.org/index/php?option=com_content&task=view&id=507& Itemid=191. [17] Hitchcock, D. (2018). Critical thinking. Retrieved January, 2021, from https://plato.stanford. edu/archives/fall2022/entries/critical-thinking/ [18] Soderlund, A. (2020). Implementing 21st Century Learning and Innovation Skills in Classrooms. Master of Education. Northwestern College. [19] ปรีดี ปลื้มสำ ราญกิจ. (2560). ปัจจัยที่มีผลต่อทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน. วไลยอลงกรณ์ปริทัศน์. 7(3). [20] บุญชนก ธรรมวงศา. (2561). 4CS : สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์. สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม 2565. จาก https://thepotential.org/2018/10/19/4cs-for-21st-century-learning/ Page 66
วารสารออนไลน์น์ น์น์ สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์คร์ณิตณิศาสตร์แร์ละเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย ดร.พรรณี บุญประกอบ อ.นารี วงศ์สิโรจน์กุล อ.ปาริฉัตร พวงมณี ผศ.มาลินท์ อิทธิรส ดร.ระวี สุวรรณเดโชไชย ผศ.ดร.แจ่มจันทร์ ศรีอรุณรัศมี กองบรรณาธิกธิาร Page 67
ติดต่อเรา : http://smtat.org/magazinepage/ จัดจัทำ โดย : คณะกรรมการฝ่ายวารสารสมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์ คณิตณิศาสตร์แร์ละ เทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย สมาคมครูวิรูทวิยาศาสตร์ คณิตณิศาสตร์ และเทคโนโลยีแยีห่งห่ ประเทศไทย (สวคท) | Science Mathematics and Technology Teachers Association of Thailand (SMTAT) อีเมล : [email protected] Line Open Chat : http://bit.ly/3rwR4U1 เฟซบุ๊ก : fb.com/smtat