สถาบันทางสังคม ม.๔
โดย
นายยุทธกร รงั ศรี
ครูผ้สู อน
หนา้ ๑
สถาบันทางสงั คม
สถาบนั ทางสังคม
สถาบันสงั คม หมายถึง กระบวนการที่มนุษย์ในสังคมได้จัดต้ังให้มีข้ึนอย่างเป็นระเบียบ เป็นพฤติกรรมท่ี
มีแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ ซึ่งบุคคลส่วนใหญ่ในสังคมย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพ่ือทา
หน้าที่สนองความต้องการท่ีจาเป็นของสังคม โดยสถาบันสังคมไม่ใช่ระบบพฤติกรรมท่ีสังคมกาหนดขึ้น แต่เป็น
แนวทางในการปฏิบัตสิ ิง่ ใดส่ิงหนึ่งอยา่ งเป็นระเบียบแบบแผน แบ่งออกตามความตอ้ งการของมนุษย์
ลกั ษณะของสถาบันสังคม
1. สถาบนั สังคมเป็นนามธรรม สถาบันสังคมไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มคนและไม่ใช่วัตถุส่ิงของท่ีจับต้องได้
แตเ่ ปน็ แบบแผนในการประพฤติปฏบิ ัติร่วมกนั ของสมาชกิ ทกุ คน
2. สถาบนั สงั คมเกดิ จากการเชอื่ มโยงบรรทดั ฐานต่างๆ ทางสงั คม
3. สถาบนั เกิดขึ้นเพ่ือสนองความตอ้ งการในด้านต่างๆ รว่ มกันของสมาชิกในสงั คม
4. สถาบนั สังคมเกิดจากการยอมรับรว่ มกนั ของสมาชกิ ในสังคม
องคป์ ระกอบของสถาบนั ทางสังคม
๑. องค์การทางสังคมหรือกลุ่มสังคม ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ท่ีทาหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการ
กระทาทางสังคมระหว่างสมาชิกบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน ได้แก่ สถานภาพ บทบาท การควบคุมทางสังคม
การจดั ระดับความสาคัญของบุคคลตาม สถานภาพและคา่ นิยม
๒. หนา้ ที่ของสถาบนั ทางสังคม คอื วตั ถุประสงค์ในการตอบสนองความตอ้ งการของสังคมในด้านตา่ ง ๆ
๓. ระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติ คือ วิถีทางในการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกท่ีชัดเจน เพ่ือให้บรรลุ
วตั ถปุ ระสงค์ของสถาบันนน้ั เพอื่ การอยู่ร่วมกนั ในสถาบันของสงั คม
๔. สัญลักษณแ์ ละคา่ นิยม ทาใหส้ มาชกิ เกดิ อุดมการณแ์ ละศรัทธาตอ่ สถาบันทางสังคม
สถาบันทางสังคมประกอบไปด้วย ๗ สถาบัน ดงั น้ี
หนา้ ๒
ใบความรู้ เรือ่ ง สถาบนั ครอบครวั
ทมี่ าของภาพ : https://www.top100familysites.com/
สถาบันครอบครัว คือ แบบแผนพฤติกรรมของคนท่ีมาติดต่อเก่ียวข้องกันในเร่ืองท่ีเก่ียวกับครอบครัว
และเครือญาติ น้ันคือคนที่เป็นญาติกันโดยสายเลือด เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง และเป็นญาติกันทางการแต่งงาน เช่น
สามีภรรยา เขยสะใภ้ หรือการรับไว้เป็นญาติ เช่น บุตรบุญธรรม เป็นต้น คนเหล่าน้ีจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
แบบแผนที่สังคมเปน็ ผกู้ าหนดขึ้น รวมเรยี กวา่ “สถาบันครอบครวั ”
ความสาคัญของสถาบนั ครอบครวั
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานท่ีมีความสาคัญยิ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของสถาบันอื่น ๆ ในสังคม
มีความสาคัญกับมนษุ ย์มากทส่ี ุดตั้งแต่เกดิ จนตาย สถาบนั ครอบครัวเป็นสถาบันแรกท่ีทาหน้าท่ีอบรมเล้ียงดูเด็กซ่ึง
หล่อหลอมพฤติกรรม ความคิด ค่านิยมและบรรทัดฐานทางสังคม กาหนดสิทธิ หน้าท่ี สถานภาพ บทบาท และ
ตาแหน่งทางสงั คมให้แกส่ มาชิก ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมที่มีการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม สมาชิกในครอยครัวจะ
ถ่ายทอดแนวทางการปฏิบัติตนในครอบครัว พร้อมท้ังผสมผสานกับวัฒนธรรมจากภายนอกจนเป็นแบบแผนของ
ความประพฤติทส่ี มาชิกพึงปฏบิ ัตติ ่อกัน
ประเภทของครอบครวั
มีการแบ่งประเภทของครอบครัวโดยอาศัยองค์ประกอบ ขนาด ลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกใน
ครอบครัวเปน็ หลกั เกณฑ์ สงั คมโดยทวั่ ไปจะแบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท คอื
๑. ครอบครัวเดี่ยว เป็นครอบครัวที่ประกอบด้วย สามี ภรรยา และลูก ท่ีมีความใกล้ชิดที่สุด ซ่ึงจะพบ
เห็นโดยท่ัวไปในสงั คมเมือง และมแี นวโนม้ จะมมี ากขึ้นในสงั คมปัจจุบนั ทัว่ ไป
๒. ครอบครัวขยาย เปน็ ครอบครวั ทปี่ ระกอบด้วย พอ่ แม่ ลูก ปู่ ย่า ลงุ ปา่ น่า อา อาศัยอยู่ในครอบครัว
หรือเขตบ้านเดียวกันโดยปลูกบ้านอยู่ใกล้เคียงกัน เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะอบอุ่น มักพบครอบครัว
ประเภทนใ้ี นสังคมชนบทหรือสงั คมด้ังเดิม
ลกั ษณะสาคญั ของสถาบันครอบครัวในสังคมไทย
๑. สงั คมไทยในปจั จบุ นั นิยมอยกู่ ันอยา่ งครอบครัวเด่ยี ว สว่ นสังคมชนบทเป็นครอบครัวขยาย
๒. อดตี ผู้ชายเป็นผู้นาครอบครัว ปจั จบุ นั ทงั้ ชายและหญิงทางานนอกบา้ นเพ่ือร่วมกนั สรา้ งครอบครัว
๓. ครอบครัวไทยใหค้ วามสาคัญตอ่ ระบบอาวุโส
๔. ครอบครัวไทยมีความสาคัญทางสายเลือด ญาติพี่น้องอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีความผูกพันใน
ครอบครัว
องค์การทางสังคมหรือกลุ่มสังคมทมี่ ีตาแหนง่ ทางสังคมของสถาบันครอบครัว หนา้ ๓
ไดแ้ ก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง เครอื ญาติ
บทบาทและหนา้ ท่ขี องสถาบันครอบครวั
๑. สร้างสรรค์สมาชิกใหม่ เพื่อให้สังคมดารงอยู่ได้ เพราะสังคมจะต้องมีสมาชิกใหม่แทนทสมาชิก เดิมท่ี
ตายไป ถ้าไม่มีการสร้างสมาชิกใหม่ สังคมนั้นๆ ก็จะสูญไป การมีสมาชิกใหม่ก็ต้องให้มีความสมดุลกับ ทรัพยากร
ของประเทศนัน้ ๆ ทั้งน้เี พ่ือใหส้ มาชิกใหมข่ องสังคมมีการบริโภคอยา่ งเพียงพอ
๒. กาหนดสถานภาพให้แก่สมาชิกใหม่ คือ ทาให้รู้ว่าสมาชิกท่ีเกิดใหม่เป็นเพศหญิงหรือชาย และได้รับ
สถานภาพทางสังคมตามพ่อแม่ เช่น เป็นคนไทย นับถอื ศาสนาตามพ่อแม่
๓. ให้การเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ พ่อแม่ในฐานะผู้ให้กาเนิดบุตร มีหน้าท่ีและภาระรับผิดชอบต่อการ เล้ียงดู
บุตรใหเ้ ตบิ โต มกี ารศึกษา มีสขุ ภาพสมบูรณแ์ ขง็ แรง เติบโตขนึ้ ในสังคมเป็นประชากรทีม่ ีคุณภาพ
๔. ให้การศึกษาแก่สมาชิก ครอบครัวมีหน้าท่ีอ บุตรหลานให้ได้รับการศึกษา อย่างท่ัวถึงตามวัยและ
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และตามที่กฎหมายกาหนดให้เด็กทุกคนได้รับ การศึกษาภาคบังคับอย่างน้อย
๙ ปี
๕. ให้ความรัก ความอบอุ่น ความคุ้มครอง และความม่ันคงทางจิตใจแก่สมาชิกในครอบครัว ทาให้
สมาชิกมีกาลงั ใจในการฝา่ ฟนั อุปสรรคต่างๆ ใหล้ ุลว่ งไปได้
๖. ทาหน้าที่เก่ียวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของครอบครัว โดยทาหน้าที่ท้ังในการผลิตและ การบริโภค
พ่อแมม่ หี นา้ ที่ทางานหาเงนิ มาเลยี้ งสมาชิก โดยการประกอบอาชพี ท่สี จุ ริตเพือ่ นารายได้มาเลีย้ ง ครอบครวั
๗. อบรมส่ังสอนถา่ ยทอดวฒั นธรรมท่ดี ีงามแก่บุตรหลาน พ่อแม่นับเป็นครูคนแรกของบุตร ในการอบรม
ส่งั สอนชแ้ี นะลกู ให้เหน็ ว่า สง่ิ ไหนเป็นสง่ิ ทด่ี คี วรกระทา สง่ิ ไหนเป็นสงิ่ ทไ่ี ม่ดีไม่ควรกระทา ทาให้ลูกได้รับการอบรม
เล้ียงดู ขัดเกลาจากพ่อแม่เป็นอย่างดี และยังเป็นการสร้างความรัก ความอบอุ่น ความใกล้ชิดให้สมาชิกใน
ครอบครัวอกี ดว้ ย
บรรทดั ฐานหรอื แบบแผนปฏิบตั ิของสถาบันครอบครวั
สถาบนั ครอบครวั มีความสมั พันธ์กนั อย่างใกล้ชิด แบบไม่เป็นทางการ มีความรักใคร่ ผูกพันกันแน่นแฟ้น
เช่น การเล้ียงดูบุตร การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า และเป็นไป ตามวิถีชาวบ้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีและ
กฎหมาย เช่น การสมรส การหยา่ รา้ ง
ท่ีมาของภาพ : https://2.bp.blogspot.com/
หนา้ ๔
ใบความรู้ เรือ่ ง สถาบนั การศึกษา
สถาบันการศึกษา คือ แบบแผนของการคิดและการกระทาท่ีเกี่ยวข้องกับการอบรมให้การศึกษาแก่
สมาชิกใหม่ของสังคม รวมทั้งถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งด้วย สถาบันทางการศึกษาเป็น
สถาบันทคี่ รอบคลุมในเร่อื งท่ีเกีย่ วกับหลักสูตร การสอบเข้า การเรยี นการสอน การฝกึ อบรมในด้านตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
เป็นสถาบันทีส่ ร้างแบบแผนในการคดิ และการกระทาเก่ยี วกับการอบรมให้การ ศึกษาเล่าเรียนแก่สมาชิก
ในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้บุคคลมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับปรากฏการณ์ ต่างๆ ในชีวิต สังคม
ส่ิงแวดล้อม และสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองให้มีความเจริญ ก้าวหน้า จนสามารถ
ประกอบอาชีพเล้ียงตนเองและครอบครวั ได้
ความสาคญั ของสถาบนั การศกึ ษา
สถาบันการศึกษาเปน็ สถาบันทางสังคมท่ีสาคัญยง่ิ ทาหน้าทอ่ี บรมใหก้ ารศกึ ษาเลา่ เรียนแก่ สมาชกิ โดยมี
จดุ มงุ่ หมายเพ่อื ใหบ้ ุคคลมคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตและ สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมท้ัง
สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพเล้ียงตนเองได้ เป็นบุคคลที่สมบูรณ์และมีคุณภาพ
สถาบันการศึกษามีมานานแล้วก่อนที่จะเกิดระบบโรงเรียน โดย แฝงอยู่กับสถาบันอ่ืนๆ เช่น สถาบันครอบครัว
สถาบันศาสนา การศึกษาในสังคมดั้งเดิมเป็นการศึกษา อย่างไม่เป็นทางการ เด็กจะเรียนรู้โดยผ่านการบอกเล่า
การสังเกต การเลียนแบบ หรือการช่วยเหลือ ผู้ใหญ่ทางาน เด็กผู้ชายอาจจะเรียนรู้จากพระที่วัด ในสังคม
เกษตรกรรม บุคคลมักจะมีอาชีพตาม พ่อแม่และบรรพบุรุษสาหรับการดารงชีวิตในโลกปัจจุบันซ่ึงมีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วความรู้เฉพาะตัว ซึ่งถ่ายทอดจากคนหน่ึงไปยังอีกคนหนึ่งอาจไม่เพียงพอสังคมจึง
จาเป็นต้องจัดองค์กรใหม่ข้ึน โดยมีโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือศูนย์ฝึกอาชีพเป็นตัวแทนของ
สถาบันการศึกษาทาหน้าที่ให้การศึกษา การเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้โดยตรงสถาบันการศึกษาจึงมี
ความสาคญั ยง่ิ ทจ่ี ะนาเดก็ และเยาวชน ให้ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นให้ถูกตอ้ งตลอดจนนาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ไปใช้
ในสังคมปัจจบุ ัน
การศึกษาในสงั คมสมยั ปัจจุบัน
อาจแบ่งไดเ้ ปน็ ๓ แบบ
๑ การศึกษาในระบบหรือการศึกษา อย่างเป็นทางการ หมายถึง การศึกษาในระบบ โรงเรียน ซึ่งมีการ
จัดทาแผนการศึกษาไว้เป็นระบบ มีระบบการบริหารการจัดทาหลักสูตรวิธีการเรียน การสอน ระยะเวลาในการ
เรียนไว้แน่นอน ตลอดจน การกาหนดกฎเกณฑ์อื่นๆ การศึกษาในระบบ โรงเรียน แบ่งเป็น ๔ ระดับคือ อนุบาล
ประถมศกึ ษา มัธยมศึกษา และอุดมศกึ ษา
๒ การศึกษานอกระบบ หมายถงึ การศกึ ษา ทีจ่ ดั ข้นึ นอกเหนือจากการศกึ ษาในระบบโรงเรยี น ตามปกติ
มีกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัดมากนัก สามารถ ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม จัดบริการแก่บุคคล ทุกเพศทุกวัย ซ่ึง
ส่วนใหญ่เป็นผู้ท่ีไม่ได้อยู่ในวัยเรียน หรือผู้ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาในระบบการศึกษา เช่นการจัดการศึกษา
ผใู้ หญก่ ารฝกึ อบรมอาชีพระยะสนั้ การสอนผ่านทางสื่อตา่ ง ๆ เป็นตน้
๓ การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การศึกษาแบบไม่มีระบบ เป็นการเรียนรู้ที่ได้จาก ประสบการณ์
จากส่ิงแวดล้อม ไม่มีหลักสูตร ไม่มีแบบแผน เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ในทุกสถานท่ีและทุกโอกาส
เป็นการศึกษาที่ทุกคนเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตท้ังโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การเรียนรู้ จากครอบครัว เพื่อน และสื่อ
ตา่ งๆ
องคก์ ารทางสงั คมหรือกลุ่มคนที่มีตาแหน่งทางสังคมของสถาบนั การศึกษา หนา้ ๕
ได้แก่ ครู อาจารย์ นักเรยี น นักศึกษา นักวิชาการโรงเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัย แหล่งฝึกอาชีพ เฉพาะ
ทาง เป็นต้น
บทบาทและหนา้ ทขี่ องสถาบนั การศกึ ษา
๑. จัดการศึกษาขั้นพน้ื ฐานใหก้ ับประชาชนทุกเพศทุกวัย
๒. ให้ความรแู้ ก่สมาชิกไดม้ กี าร เรียนรูเ้ กยี่ วกบั อาชพี เพือ่ การดารงชีวิตและประกอบ อาชพี ต่างๆ ได้
๓. ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคม เพ่ือจะได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสม ตามกาลเทศะและความเชื่อ
ของ แต่ละบุคคลและกลุ่มบคุ คล
๔. ให้ความรู้ แนวคิดวทิ ยาการใหม่ ๆ อันทาให้เกิดการประดษิ ฐ์อปุ กรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ เพ่ือนาไปพัฒนา
ตนเองและสงั คมใหเ้ จริญก้าวหนา้
๕. ทาให้มกี ารเลอื่ นชัน้ ทางสังคม เพราะการศกึ ษาเป็นปจั จัยหน่ึงที่จะช่วยสมาชิกได้เพ่ิมโอกาสในการรับ
ตาแหนง่ หนา้ ท่ีการงาน ทัง้ ด้านการประกอบอาชีพและการเปน็ คนดขี องสงั คม
๖. เตรียมบุคคลให้สามารถเผชิญปัญหาด้วยสติปัญญา ให้ทันกับการเปล่ียนแปลงและปฏิบัติตนเป็น
พลเมืองตามระบอบการปกครองของสังคม
บรรทัดฐานหรือแบบแผนการปฏิบัติของสถาบันการศกึ ษา
สถาบันการศึกษามีแบบแผนความสัมพันธ์ท้ังที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอย่างต่อเน่ือง กัง
ความสมั พันธร์ ะหว่างศษิ ยก์ บั ครทู ม่ี ีความเกือ้ กูลกันมาโดยตลอด
อยา่ งไรก็ตาม การจัดการศึกษาในระบบทไี่ มเ่ ป็นทางการมปี รากฏอยู่ท่ัวไปในสังคมและถือว่าเป็นสถาบัน
ทางการศึกษาได้เช่นกัน เช่น พ่อแม่สอนหนังสือและอบรมสังสอนลูกท่ีบ้าน พ่อสอนลูกทานาทาสวน พระเทศนา
ธรรมให้พุทธศาสนกิ ชนฟงั การรบั ฟงั ข่าวสารจากสอ่ื มวลชนแขนงต่าง ๆ เปน็ ต้น
ทมี่ าของภาพ :
https://sites.google.com/site/buildingsociety24/
ทีม่ าของภาพ :
https://static.posttoday.com/media/content
หนา้ ๖
ใบความรู้ เรอื่ ง สถาบันศาสนา
ทีม่ าของภาพ : ที่มาของภาพ : data:image/jpeg;base64
https://www.naewna.com/uploads/news/source/627468.jpg
ทมี่ าของภาพ :
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000013537801.JPEG
สถาบันศาสนา เป็นสถาบันทางสังคมที่เก่ียวข้องกับแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ความสัมพันธ์
ระหวา่ งสมาชกิ ในสังคม นกั บวช คาสอน ความเช่ือ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของสังคม ซ่ึง
จะเก่ยี วพนั กับการดาเนนิ ชวี ิตของคนอยา่ งใกลช้ ิด โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในโอกาสสาคญั ตา่ ง ๆ
ความสาคัญของสถาบันศาสนา
สถาบันศาสนาเป็นสถาบันที่ควบคู่กับสังคมมนุษย์ ด้านความเชื่อและศรัทธาสร้างสรรค์วัฒนธรรมของ
กลุ่มบุคคล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนละเว้น ความชั่วและทาความดี ช่วยให้มนุษย์
สามารถดารงชวี ิต อยู่ในสงั คมได้ดว้ ยความสงบสขุ และสันติ และสร้างความเจรญิ กา้ วหน้าให้แก่สังคมมนุษย์ตลอด
มา
ลักษณะสาคัญของสถาบันศาสนาในสังคมไทย
๑. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีคนไทยส่วนใหญ่ นับถือจานวนกว่าร้อยละ ๕๕ พระมหากษัตริย์ทรง
เปน็ พทุ ธมามกะและองคอ์ คั รศาสนูปถมั ภกของทกุ ศาสนา
๒. ประชาชนชาวไทยมเี สรีภาพในการนบั ถือ ศาสนา
๓. ศาสนามีอิทธิพลต่อวิถีการดาเนินชีวิตของ ชาวไทย ศาสนาเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมและประเพณี
ไทย วัฒนธรรมและประเพณีไทยท่เี กยี่ วข้องกบั ศาสนา เช่น การทาบญุ ตกั บาตร การกอ่ สรา้ งโบสถ์วิหาร และจิตใจ
ท่ีเอ้อื เฟื้อเผอื่ แผ่ มเี มตตากรุณา
องค์การทางสังคมหรอื กลุม่ คนที่มีตาแหน่งทางสังคมของสถาบนั ศาสนา
เช่น นักบวช สมเด็จพระสังฆราช จุฬาราชมนตรี พระสันตะปาปา เป็นต้น บทบาทและหน้าที่ของ
สถาบันศาสนา
หนา้ ๗
บทบาทและหน้าท่ขี องสถาบันศาสนา
๑ ช่วยควบคมุ สงั คมใหส้ งบสุขและมคี วามเป็นระเบียบ เรียบร้อยตามบทบัญญัติและความเช่ือของแต่ละ
ศาสนา เพื่อ กล่อมเกลาและปลกู ฝังค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมใหก้ ับศาสนิกชน ของศาสนานนั้ ๆ อย่างถกู ตอ้ ง
๒ เปน็ แหลง่ ท่ีก่อให้เกิดความสามคั คี และการนันทนาการ ในหมู่ประชาชน เช่น ร่วมพิธีทาบุญ ส่งผลให้
เกิดความสมั พนั ธ์ อย่างใกลช้ ดิ ในหมปู่ ระชาชน
๓ เป็นทพี่ ่งึ ทางจติ ใจของคนในสงั คม
๔ ใหก้ ารศึกษาอบรมหลักการดาเนินชีวิตที่ถูกต้องแก่สมาชิก ให้ประพฤติตนอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม
อันดงี าม ตามความเช่อื และหลักธรรมของศาสนานั้นๆ มคี วามสงบทางใจ
บรรทัดฐานหรอื แบบแผนการปฏิบตั ขิ องสถาบนั ศาสนา
สถาบันศาสนาประกอบด้วยพระภิกษุสงฆ์ หลักธรรม คาสอนและสถานท่ี อันได้แก่โบสถ์วิหารท่ีจะใช้ใน
การอบรมบคุ คล ให้มีจิตใจดงี าม ทาความดี ละเวน้ ความชว่ั เปน็ ไปตามหลักธรรม ของแต่ละศาสนา ซึ่งเกิดจากคา
สอนทางศาสนา ระเบียบปฏิบัติ ของแต่ละศาสนา สร้างหลักการดาเนินชีวิตท่ีถูกต้อง และสร้าง แบบแผนการ
ปฏบิ ัติในด้านขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละพิธกี รรม
ที่มาของภาพ :
https://www.khaosod.co.th/wpapp/uploads/2019/11
หนา้ ๘
ใบความรู้ เรอื่ ง สถาบนั เศรษฐกิจ
สถาบันเศษฐกิจ คือ สถาบันพื้นฐานของมนุษย์ที่เก่ียวข้องกับการผลิต การจาหน่ายจ่ายแจก และการ
บรโิ ภคของสมาชกิ ในสังคม
ความสาคญั ของสถาบันเศรษฐกจิ
สถาบันเศรษฐกิจมีความสาคัญ เพราะเป็นสถาบันที่ให้ หลักการในการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่าง
จากัด ให้สนองต่อ ความต้องการของมนุษย์ท่ีไม่มีขอบเขตจากัด สถาบันเศรษฐกิจ ทาหน้าที่ในเรื่องการผลิต การ
บริโภค การแลกเปลี่ยนและ การแจกจ่าย มีความมุ่งหวังเพื่อความอยู่ดีกินดีของสมาชิกเพราะแต่ละสังคมจะมี
กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ แตกตา่ งกนั ไป ทั้งนข้ี น้ึ อยูก่ ับระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
ลกั ษณะสาคญั ของสถาบนั เศรษฐกิจในสงั คมไทย
ระบบเศรษฐกิจของสังคมไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กับ
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ เปิดโอกาสให้เอกชนมีกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินบางอย่างและให้เสรีภาพ ในการ
ประกอบอาชีพ ประชาชนมเี สรีภาพในการเลอื กซือ้ สินค้าและบริการ รวมท้ังมีการแข่งขันการดาเนิน กิจกรรมทาง
เศรษฐกจิ โดยเสรี แต่กิจการดา้ นสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมขนาดใหญจ่ ะอย่ภู ายใต้ การควบคุมของรัฐบาล
องคก์ ารทางสงั คมหรอื กลุม่ คนท่ีมีตาแหนง่ ทางสังคมของสถาบันเศรษฐกจิ
ได้แก่ ผผู้ ลิต ผ้บู ริโภค ผู้จาแนกแจกจา่ ย
บทบาทหนา้ ท่ีของสถาบนั เศรษฐกจิ
๑. การผลิต หมายถึง การนาปัจจยั การผลิตมาทาให้เกิดสินค้าและบริการเพ่ือสนองความต้องการ ให้แก่
สมาชกิ ในสงั คม เช่น การผลิตอาหารการผลิตสงิ่ ต่างๆ การใหบ้ รกิ ารด้านการแพทย์ ดา้ นการสาธารณปู โภค
๒. การแจกจ่ายสินค้าและบริการ คือ การแจกจ่ายสินค้าหรือบริการไปสู่สมาชิกในสังคม มีตลาด เป็น
ส่ือกลางในการแลกเปลี่ยนและมีสถาบันอ่ืนๆ เช่น พ่อค้าคนกลาง สถาบันการเงิน เป็นผู้ช่วยสนับสนุน ในการ
ดาเนินการ
๓. การบรโิ ภค สมาชกิ ในสงั คมจะทาหนา้ ท่บี รโิ ภคสนิ คา้ หรือการใชบ้ รกิ ารทไ่ี ด้จากการผลิต เพื่อความอยู่
รอดและความสุขในการดาเนินชวี ิต
บรรทดั ฐานหรือแบบแผนการปฏิบัตขิ องสถาบันเศรษฐกจิ
สถาบนั เศรษฐกิจมีความสัมพันธ์ที่มีลักษณะของการช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน มีผลประโยชน์ เป็นสิ่ง
ตอบแทนซึ่งกันและกัน เช่น กลุ่มนายจ้างกับลูกจ้าง พ่อค้าแม่ค้ากับผู้บริโภค สถาบันทางการเงินกับ ผู้รับบริการ
เจ้าของกจิ การกบั ลกู จา้ ง
ท่มี าของภาพ : https://sites.google.com/site/buildingsociety24
หนา้ ๙
ใบความรู้ เรือ่ ง สถาบันการเมืองการปกครอง
สถาบันการเมืองการปกครอง คอื แบบแผนการคดิ การกระทาท่ีจะแตกตา่ งกนั ออกไปในแต่ละสังคมโดย
ขึ้นอยู่กับปรัชญาความเชื่อพ้ืนฐานของคนในสังคมว่าต้องการจะให้เป็นแบบเสรีประชาธิปไตย หรือแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือแบบคอมมิวนิสต์ เม่ือได้เลือกรูปแบบการปกครองแล้วก็ต้องจัดการบริหารการ
ปกครองให้เป็นไปตามปรัชญาการเมืองแบบน้ัน ๆ ตามแนววทางท่ีเห็นว่าถูกต้องเหมาะสม ซึ่งเป็นสถาบันทาง
สังคมทเี่ กีย่ วข้องกบั แบบแผนในการดาเนินชีวิตการควบคุมคนต่าง ๆ ให้ดารงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบและมี
ความปลอดภัย
ความสาคญั ของสถาบันการเมอื งการปกครอง
สถาบันการเมืองการปกครองเป็นสถาบนั ที่เกย่ี วข้องกับการใช้อานาจในอันท่ีจะรักษาความเป็น ระเบียบ
เรียบรอ้ ยของสงั คม เป็นสถาบันทีค่ อยควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมให้ดาเนินไปตามแบบอย่างพฤติกรรม
ท่ีเป็นมาตรฐาน และที่กาหนดไว้ให้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
สขุ
ลักษณะสาคัญของสถาบันการเมอื งการปกครองในสังคมไทย
๑. ประเทศไทยมกี ารปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข
๒. ประเทศไทยมีอานาจอธิปไตยเป็น อานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยการแบ่ง การใช้อานาจ
เป็นอานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นหลักในการ
ปกครองประเทศ
๓. สังคมไทยยกย่องและเทิดทูนองค์ พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ มีความจงรักภักดี ต่อสถาบัน
พระมหากษตั รยิ ส์ ืบต่อกันมา
องคก์ ารทางสงั คมหรอื กลมุ่ คนทมี่ ีตาแหน่งทางสงั คมของสถาบันการเมอื งการปกครอง
เชน่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา ตุลาการ
ท่ีมาของภาพ : https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/
หนา้ ๑๐
ท่ีมาของภาพ : http://steelbuildingsguide.net/wp-content/uploads/
บทบาทหน้าทข่ี องสถาบันการเมอื งการปกครอง
๑. ฝ่ายนติ บิ ัญญัตหิ รอื รัฐสภา มีหน้าทใี่ นการตรากฎหมาย ควบคมุ การ
บรหิ ารงานของฝ่ายบรหิ าร
๒. ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐบาล มีหน้าที่วางแผน กาหนดนโยบายในการบริหารประเทศ และแถลง
นโยบายในรฐั สภา เพือ่ ให้สมาชิกรัฐสภา รับหลักการก่อนและพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ตามนโยบายที่ได้แถลง
ไว้ ต่อรัฐสภา เพ่ือความอยู่ดีกินดีของคนในสังคม รวมท้ังแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนและประเทศชาติ รักษา
ความสงบเรียบร้อยเพ่ือควบคุม สังคมให้เป็นระเบียบ ส่งเสริมความม่ันคง และสวัสดิการทางสังคมรักษาความ
มน่ั คงปลอดภัยของชาติ และสร้างความสัมพนั ธ์อันดกี บั ต่างประเทศ
๓. ฝ่ายตุลาการหรือศาล มีหน้าที่พิพากษาคดีและตัดสินคดีความตามบทบัญญัติของกฎหมาย สร้าง
ความเปน็ ธรรม และขจัดความขัดแยง้ ในสงั คม
บรรทัดฐานหรอื แบบแผนการปฏบิ ัตขิ องสถาบันการเมอื งการปกครอง
เจ้าหน้าท่ีของสถาบันการเมืองการปกครองควรมีความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ กฎหมาย
กาหนดด้วยความขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน มีความคิด สร้างสรรค์ และ
อดุ มการณ์ประชาธปิ ไตย พัฒนาประเทศใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้
หน้า ๑๑
ใบความรู้
เรอื่ ง สถาบนั นนั ทนาการและสถาบนั สอื่ สารมวลชน
สถาบันนันทนาการ
สถาบันนันทนาการ คือ แบบแผนปฏิบัติเก่ียวกับการพักผ่อนหย่อนใจหรือการใช้เวลาว่างให้ เกิด
ประโยชน์ ในการดาเนินชีวิตประจาวัน บุคคล จะต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจเพ่ือลดความเคร่งเครียด จากการ
ทางานประจา ซึ่งการพักผ่อนมักจะแฝงไว้ ด้วยความบันเทิงหรือความเพลิดเพลินในรูปแบบ ต่างๆ เช่น
การละเล่น มหรสพ การกฬี า เปน็ ตน้
ความสาคญั ของสถาบนั นนั ทนาการ
สถาบันนันทนาการมคี วามสาคัญทัง้ ต่อบคุ คล ต่อกลมุ่ สงั คม และตอ่ สังคมสว่ นรวมดังนี้
๑. ความสาคัญต่อบคุ คล การทางานแต่เพยี งอย่างเดียวมักก่อให้เกิดความเครียดซึ่งส่งผลเสียต่อ สุขภาพ
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การมีการนันทนาการย่อมช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนบ้าง ขณะเดียวกัน การนันทนาการ
คือการผอ่ นคลายทางจติ ใจ ทาให้เกิดความรสู้ ึกสนุกสนานเป็นการลดความเครยี ดจากการทางาน
๒. ความสาคัญต่อกลุ่มสังคม การนันทนาการอาจช่วยให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ กลุ่มคน
ในสังคม ท้ังในกลุ่มปฐมภูมิและกลุ่มทุติยภูมิ ได้แก่ การเล้ียงสังสรรค์ของสมาคม การแข่งขันกีฬา ระหว่าง
หน่วยงาน เปน็ ต้น
๓. ความสาคัญต่อสังคมส่วนรวม การนันทนาการในแต่ละสังคมมักมีรูปแบบความนิยมที่ แตกต่างกัน
ทาให้เกิดเป็นสัญลักษณ์ของคนในสังคมน้ันๆ เช่น การเป่าแคน การเล่นโปงลาง เป็นการละเล่น ที่เป็นสัญลักษณ์
ของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การชกมวยไทยเปน็ สัญลักษณ์ของกีฬาไทย เป็นตน้
องคก์ ารทางสงั คมหรอื กลมุ่ คนทมี่ ีตาแหน่งทางสังคมของสถาบนั นนั ทนาการ
ได้แก่ นักกีฬา นักรอ้ ง นักดนตรี นักเขยี น นักแสดง
บทบาทและหน้าที่ของสถาบนั นันทนาการ
๑. พัฒนาและส่งเสริมสขุ ภาพทัง้ ทางรา่ งกายและจติ ใจของสมาชิกในสังคมให้มีสขุ ภาพอนามยั ทด่ี ี
๒. ให้ความสนกุ สนาน เพลิดเพลินแกส่ มาชกิ ในสังคม
๓. เปน็ การใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์
๔. ชว่ ยส่งเสริมความสมั พันธท์ ีด่ ใี ห้กับสมาชิกในสงั คม
๕. ช่วยผ่อนคลายความเครง่ เครยี ดทั้งทางรา่ งกายและจติ ใจ
๖. เพิ่มพนู ความรูแ้ ละประสบการณต์ า่ งๆ ใหก้ ับสมาชิกในสงั คม
บรรทดั ฐานหรอื แบบแผนการปฏิบัติของสถาบนั นันทนาการ
ไดแ้ ก่ การรู้จกั กฎเกณฑใ์ นการเล่นกีฬา การร้องราทาเพลงบันเทิงต่าง ๆ
ที่มาของภาพ : data:image/jpeg;base64,/ ท่ีมาของภาพ : https://sites.google.com/site/ ที่มาของภาพ : https://static.trueplookpanya.com/tppy/
สถาบนั สอ่ื สารมวลชน หนา้ ๑๒
สถาบนั สือ่ สารมวลชนเปน็ สถาบนั ทางสงั คม ท่ีทาหน้าท่ีเกี่ยวกับการส่ือข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความรู้ และ
ความคิดเห็นหรอื ท่าทต่ี ่างๆ จากคนกลุ่มหน่ึงไปสู่ ประชาชนทั่วไปในลักษณะของคาพูด ภาพ เสียง ตัวอักษร หรือ
สญั ลกั ษณ์อ่นื ๆ โดยส่ือสารมวลชนท่ี นับว่ามีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนใน ปัจจุบันที่สาคัญ ได้แก่
หนังสือพมิ พว์ ทิ ยกุ ระจายเสียง หนงั สอื โทรทศั น์ ภาพยนตร์ และอินเทอร์เน็ต
ความสาคญั ของสถาบนั ส่อื สารมวลชน
สถาบันสื่อสารมวลชนเป็นสถาบันที่อยู่คู่กับ สังคมไทยมานาน เม่ือสังคมมีการพัฒนา มีความเจริญ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทาให้สถาบันสื่อสารมวลชน มีการพัฒนา และสามารถทาหน้าที่สื่อสารได้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากย่งิ ข้ึน สถาบันสอ่ื สารมวลชนจึงมี ความสาคัญท้ังต่อบุคคลและสงั คม ดงั นี้
๑ ความสาคัญของสถาบนั ส่ือสารมวลชนตอ่ บคุ คล
การดาเนินชีวิตประจาวันอาจกล่าวได้ว่าส่ือสารมวลชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและสาคัญต่อ
การดารงชวี ิต โดยบคุ คลใช้ประโยชน์จากสื่อหลายประการดงั นี้
๑.๑ เพ่ือรับรู้ข่าวสารเหตุการณ์ต่างๆ ให้รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นท่ีไหน อย่างไร หรือ เพ่ือ
การเรยี นรู้ เชน่ การเรียนรอู้ าชีพใหมๆ่ ความร้ใู หม่ๆ เพื่อนาไปประยกุ ต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวิต
๑.๒ เพ่ือความบันเทิงและความเพลิดเพลิน เช่น การอ่านหนังสือ นิตยสาร การฟังเพลง หรือ
การดูภาพยนตร์ เป็นต้น
๒ ความสาคญั ของสถาบนั สือ่ สารมวลชนต่อสังคม
การอยู่ร่วมกันในสังคมจาเป็นต้องมีการสื่อสารระหว่างกันและกัน เพ่ือสร้างความเข้าใจและ
ความสมั พันธท์ ่ดี ีทง้ั ในระดับชุมชน ประเทศชาติ และระดับโลก โดยเฉพาะปัจจุบันเป็นยุคโลกไร้พรมแดน สถาบัน
ส่ือสารมวลชนในฐานะท่ีเป็นสถาบันท่ีทาหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างมนุษยชาติจึงมี ความสาคัญต่อ
สังคม ดงั น้ี
๒.๑ ทาหน้าทีร่ ายงานเหตุการณ์ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในทตี่ า่ งๆ ใหป้ ระชาชนได้รบั ทราบ
๒.๒ ทาหน้าที่เชื่อมโยงสังคม โดยการเสนอข่าวสารแก่สมาชิกให้ได้รับทราบสิ่งที่เกิดข้ึนและ
เปน็ ไปในสงั คม เชน่ การแจง้ ข่าวการเกิดภยั พิบัตติ า่ งๆ ใหป้ ระชาชนไดร้ ับทราบเพือ่ จะไดห้ าทางช่วยเหลือ แกไ้ ข
๒.๓ ทาหน้าท่ีถ่ายทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนค่านิยมของสังคม ไปสู่
สมาชิกของสงั คมนนั้ และสังคมอน่ื ๆ
๒.๔ ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความร้ปู ระเภทตา่ งๆ ไปสปู่ ระชาชนได้อย่างกวา้ งขวางและรวดเรว็
๒.๕ ทาหน้าที่ให้ความบันเทิง ส่ือมวลชนทาหน้าท่ีเสนอความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ผ่าน
ส่อื ประเภทต่างๆ ใหป้ ระชาชนไดเ้ ลือกตามความตอ้ งการและตามรสนิยมของแต่ละบคุ คล
องคก์ ารทางสงั คมหรือกลมุ่ คนทีม่ ีตาแหน่งทางสังคมของสถาบันส่ือสารมวลชน
ได้แก่ นักขา่ ว นกั เขียน ผู้ชม ผอู้ า่ นข่าว เป็นตน้
บทบาทและหน้าทข่ี องสถาบนั สอ่ื สารมวลชน
๑. เป็นแหลง่ เผยแพรค่ วามรใู้ หม่ๆ และประสบการณ์ตา่ ง ๆ
๒. เป็นแหล่งใหข้ ้อมลู ข่าวสารท่เี กย่ี วกับเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนในสงั คม
๓. เป็นแหล่งใหค้ วามบันเทงิ กบั ประชาชนไดพ้ กั ผ่อนหย่อนใจ
๔. เป็นแหล่งแสดงความคิดเห็นของประชาชนท่ีมีต่อนโยบายการเมอื งของรฐั บาล
บรรทดั ฐานหรือแบบแผนการปฏบิ ตั ิของสถาบนั สือ่ สารมวลชน
ไดแ้ ก่ การเสนอขา่ วทีเ่ ปน็ จริง ไมบ่ ิดเบอื น ใช้ถอ้ ยคาสภุ าพและไม่นาความลบั ของประเทศมาเปดิ เผย