ราชวงศ์อารยธรรมโรมัน มั นาย ธเนศวร โพธิ์ทธิ์อง ม.5/5 เลขที่16
อารยธรรมกรีก รี ยุคของชาวกรีก รี แบ่ง บ่ ออกได้ คร่า ร่ วๆ ดัง ดั นี ้ 1. ยุคก ่ อนนครรัฐ รั (2000 –800 B.C.) (ชนพื ้ น เมือ มื ง) 2. ยุคนครรัฐ รั (อินโด-ยูโรเปี ยน) 2.1 ยุคเฮเลนิคนิ (800 –359 B.C.) 2.2 ยุคเฮเลนิสนิติค (359 – ปลาย ค.ศ. 3 B.C.)
ยุคก่อนนครรัฐ รั (2000 –800 B.C.) 1. Minoan 2000 BC พวกครีตัรี ตัน 2. Mycenae 1400 BC บนคาบสมุทร 3. Troy 1100 BC -การปกครองแบบเทวราชา (สมบูรณาญาสิทสิธิรธิาชย์)ย์ - เศรษฐก ิ จพืช พื ทนแล้ง เครื่อ รื่ งปั้ นดินดิเผา -อายธรรรมกรีกรีพวกแรกเกิดขึ้ นประมาณ 1400 B.C.
2. ย ุ คนครรัฐรั (800 – ปลาย ค.ศ.3 B.C.) 2.2 ย ุ คเฮเลนิสติก (359 – ปลาย ค.ศ. 3) -จบลงด้ว ด้ ยการยึด ยึ ครองจากจัก จั รวรรดิโดิรมัน มั -ยุคของอเล็กซานเดอร์มร์หาราช แห่ง ห่ มาซีโซี ดเนีย นี
อาณาจักจัรโรมันมั (509 B.C.-ค.ศ.476) แบ่ง บ่ ออกเป็น ป็ 2กลุ่ม ลุ่ คือ 1. สมัยมัการปกครองแบบสาธารณรัฐรั (509-30 BC) 2. สมัยมัการปกครองแบบจักจัรวรรดิ(30 BC –ค.ศ.476) -ชนเผ่า ผ่ อาศัยอยุ่แ ยุ่ ต่เดิมคือชาวละตินเป็น ป็ เผ่า ผ่ อินโด-ยูโรเปียปีน -ประมาณ900B.C. มีชมีนเผ่า ผ่ ที่มารุกรานคือพวกอีทรัสรักัน จากเอเชียชี ไมเนอร์ ซึ่งซึ่ทิ้งอารยธรรมเอาไว้เ ว้ ช่น ช่ 1) การต อ ่ สู้แสู้ บบกลาดิเดิอเตอร์ 2) การสร้า ร้ งประตูโ ตู ค้ง โดม
ประวัติ วั ติศาสตร์ นักนั ประวัติวั ติศาสตร์ไร์ด้แ ด้ บ่ง บ่ แยกช่ว ช่ งการปกครองของ จักจัรวรรดิโดิรมันมัเป็น ป็ สมัยมัผู้นำผู้ นำ (Principate) ซึ่งซึ่เริ่มริ่ ตั้งตั้แต่จักจัรพรรดิเดิอากุสกุตุสตุจนถึง วิกวิฤตการณ์คณ์ริสริต์ ศตวรรษที่ 3 และ สมัยมัครอบงำ (Dominate) ซึ่งซึ่เริ่มริ่ตั้งตั้แต่ จักจัรพรรดิ ไดโอคลีเชียชีน จนถึงการล่มสลายของจักจัรวรรดิโดิรมันมั ตะวันวัตก ซึ่งซึ่ในสมัยมัผู้นำผู้ นำ ใ จักจัรพรรดิจดิะมีอำมี อำนาจอยู่เ ยู่ บื้อบื้งหลังการ ปกครองแบบสาธารณรัฐรัแต่ในสมัยมัครอบงำ อำ นาจของ จักจัรพรรดิไดิด้แ ด้ สดงออกมาอย่า ย่ งเต็มที่ ด้ว ด้ ยมงกุฎกุทองและ พิธีพิกธีรรมที่หรูหรูรา และเมื่อมื่เร็ว ร็ ๆ นี้ นักนั ประวัติวั ติศาสตร์ไร์ด้พิ ด้ สูพิจสูน์ว่น์า ว่ รูปรูแบบการปกครองนี้ไนี้ ด้ใด้ ช้ต่ ช้ ต่ อจนถึงช่ว ช่ งเวลาของจักจัรวรรดิไดิบ แซนไทน์
สมัย มั รุ่ง รุ่ เรือ รื ง -จัก จั รพรรดิพดิระองค์แรก จูเลียส ซีซ ซี าร์ ได้ปด้ ระกาศตัวเป็น ป็ ผู้เผู้ผด็จ ด็ การ ตลอดอายุขัยขัซึ่ง ซึ่ ตามกฎหมายแล้ว ผู้เผู้ผด็จ ด็ การจะ ต้องไม่อ ม่ ยู่ใยู่ นตำ แหน่ง น่ เกิน 6 เดือ ดื น ตำ แหน่ง น่ ของซี ซาร์จึร์ง จึ ขัดขักับกฎหมายอย่า ย่ งเห็น ห็ ได้ชั ด้ ดชัทำ ให้เ ห้ หล่า สมาชิกชิวุฒิสฒิภาบางคนเกิดความหวาดระแวงว่า ว่ เขา จะตั้ง ตั้ ตนเป็น ป็ กษัตริย์ริแย์ละสถาปนาระบอบ สมบูรณาญาสิทสิธิรธิาชย์ ดังดันั้นนั้จึง จึ เกิดการวางแผน การลอบสังสัหารขึ้น ขึ้ และในวันวัที่ 15 มีน มี าคม 44 ปี ก่อนคริสริตกาล จูเลียส ซีซ ซี าร์เร์สีย สี ชีวิ ชี ตวิลงโดยฝีมือ มื ของพวกลอบสังสัหาร
ยุคเสื่อ สื่ มและการล่มสลาย บทความหลัลัลักลั : การล่ล่ ล่ ม ล่ มสลายของจัจักจัจัรวรรดิดิโดิดิรมัมันมัมัตะวัวันวัวัตก ในสมัยมัห้า ห้ จักจัรพรรดิผู้ดิทผู้ รงธรรม ก็ได้ม ด้ าพร้อ ร้ มกับ ความเสถียรภาพทางสังสัคมและความเจริญริทาง เศษฐกิจที่จักจัรวรรดิโดิรมไม่เ ม่ คยมีม มี าก่อน [8] ควบคู่ กับการขยายและการรวบรวมจักจัรวรรดิอดิย่า ย่ ง มหาศาล ถึงแม้ก ม้ ารเปลี่ยนแปลงในช่ว ช่ งนี้จ นี้ ะมี ประโยชน์แน์ต่ได้ม ด้ ากับภาวะรวบรวมศูนย์อำย์ อำ นาจ บริหริารล้นเหลือ [9] และการครองราชย์ขย์อง จักจัรพรรดิก็ดิ ก็ อมมอดุส ดุ ใน ค.ศ. 180 ได้ฉ ด้ ายานามว่า ว่ "จากอาณาจักจัรแห่ง ห่ ทองได้ก ด้ ลายเป็น ป็ เหล็กและ สนิมนิ " [10] ต่อมาในราชวงค์ของ จักจัรพรรดิแดิซ็ปซ็ ติ มิอุมิอุ ส แซเวรุส จักจัรวรรดิโดิรมันมั ไปประสบ วิกวิฤตการณ์คณ์ริสริต์
กษัตริย์ริแ ย์ ห่ง ห่ โรม ป็น ป็ ตำ แหน่ง น่ ผู้ปผู้ กครองสูง สู สุด สุ ของ ราชอาณาจักจัร โรมันมัมีอำมี อำ นาจในฐานะหัวหัหน้า น้ฝ่ายบริหริาร ตุล ตุ าการ และนิตินิ ติบัญบัญัติญั ติตามตำ นานแล้ว กษัตริย์ริคย์นแรกคือ โร มุลุส ลุ ซึ่ง ซึ่ได้ส ด้ ร้า ร้ งกรุง รุ โรมขึ้น ขึ้ เมื่อมื่ 753 ปีก่ปี ก่ อนคริสริต์ ศักราชบน เขาแพละไทน์ กรุง รุ โรมมีกมีษัตริย์ริทั้ย์ ทั้ง ทั้ หมด 7 คนซึ่ง ซึ่ปกครองกรุง รุ โรมจนถึง 509 ปีก่ปี ก่ อนคริสริต์ ศักราช กษัตริย์ริคย์นที่เจ็ด จ็ ถูก ถู โค่นจากอำ นาจจากเหตุ ข่ม ข่ ขืนขืลูเ ลู ครเชียชีแม้จ ม้ ะมีชื่มีชื่ อชื่ตำ แหน่ง น่ ว่า ว่ เป็น ป็ กษัตริย์ริแย์ต่ ก็เป็น ป็ เพียพีงชื่อชื่ตำ แหน่ง น่ ในทางปกครองเท่านั้นนั้กษัตริย์ริ ย์ แต่ละคนมาจากการเลือกตั้ง ตั้ แบบปลอดการแข่ง ข่ ขันขั และไม่จำ ม่ จำเป็น ป็ ต้องเกี่ยวข้อ ข้ งทางสายเลือดกับกษัตริย์ริ ย์ คนก่อน ระบอบการปกครองเช่น ช่ นี้จึ นี้ ง จึไม่มี ม่ ชมีนชั้นชั้ ราชวงศ์
อารยธรรมที่โดดเด่น ด่ ของโรมัน มั 1.ครองเอกลักษณ์:ณ์อารยธรรมโรมันมัเป็น ป็ ที่มาของ คำ ว่า ว่ "ครองเอกลักษณ์"ณ์ (Imperialism) ที่แสดง ถึงการขยายอำ นาจและบัลบัลังก์ของราชอาณาจักจัร 2.สถาปัปัปัตปัยกรรม: โรมัมันมัมั ได้ด้พั ด้ พั ด้ ฒพัพันาสถาปัปัปัตปัยกรรมที่ที่ ที่ สที่ สวยงามและยิ่ยิ่งยิ่ยิ่ใหญ่ญ่ ญ่ เช่ช่น ช่ น ช่ อัอัอัฟอั โรไดท์ท์ท์ท์คอลอสเซีซียซีซีม และเวนันัสนันั 3.กฎหมาย: ระบบกฎหมายโรมันมัเป็น ป็ รากฐานของระบบกฎหมายในหลาย ประเทศในยุโรป พระเอกซ์โซ์คดุสดุ (The Twelve Tables) เป็น ป็ รหัสหั กฎหมายแรกของโรมันมั 4.นิสันิยสัการสงครามและเอกลักษณ์ทณ์หาร: โรมันมัมีนิมีสันิยสัทหารที่แข็ง ข็ แกร่ง ร่ และเคร่ง ร่ ครัดรัการปฏิบัติบั ติศาสตร์ทร์หารของโรมันมัเป็น ป็ แบบซับซัซ้อซ้นและเป็น ป็ เอกลักษณ์
อารยธรรมโรมัน มั อารยธรรมโรมันมัเป็นแนวคิดและสังสัคมที่เกิดขึ้น ขึ้ ในพื้นพื้ที่ เมือมืงโรมและประเทศโรมันมั ในยุคโบราณ ซึ่ง ซึ่ เกิดขึ้น ขึ้ ใน ประมาณปี753 ก่อนคริสริต์ศักราช (ปี 1 สภาพจริงริจะเริ่มริ่ จากคริสริต์ก่อน ปี0) และสิ้นสิ้สุด สุ ในประมาณทศวรรษที่ 5 หรือรื 6 คริสริต์ศักราช เมื่อมื่จอร์เร์มนมีอิมี อิทธิพธิลมากขึ้น ขึ้ ใน ภูมิ ภู ภมิาคนี้ เป็นอารยธรรมของพวกอินโดยูโรเปียนเผ่า ผ่ “ละติน” (Latin) และเผ่า ผ่ “อีทรัสรักัน” (Etruscan) ซึ่ง ซึ่ ตั้ง ตั้ รกรากอยู่ที่ ยู่ ที่ กรุง รุ โรม ปัจจุบันบัอยู่ใยู่ นประเทศอิตาลี จักจัรวรรดิโดิรมันมัรับรัช่ว ช่ ง อารยธรรมต่อมาจากจักจัรวรรดิมดิาเซโดเนียนีหรือรืกรีกรีอีก ทอดหนึ่ง นึ่ หลังจากกลืนดินดิแดนกรีกรี ไว้ใว้ ต้อำ นาจได้ แม้จ ม้ ะ เป็นผู้ชผู้ นะสงคราม แต่โรมันมักลับเป็นฝ่ายรับรัเอาอารยธรรม ในด้า ด้ นต่างๆ จากกรีกรีมาเป็น ป็ แม่แ ม่ บบ
ความเป็น ป็ มาของอารญธรรมโรมัน มั อารยธรรมโรมัน มั เป็น ป็ อารยธรรมที่สืบ สื เนื่อ นื่ งมา จากอารยธรรมกรีก รี โดยชาวอิทรัส รั กัน (Etruscan) ซึ่ง ซึ่ มีถิ่ มี ถิ่นเดิมดิอยู่ใยู่ นเอเชีย ชี ไมเนอร์ อพยพเข้า ข้ในแหลมอิตาลี นำ เอาความเชื่อ ชื่ และ ศิลปวัฒ วั นธรรมของกรีก รี เข้า ข้ มาด้ว ด้ ย ต่อมา บรรพบุรุษของชาวโรมัน มั คือ ละติน ซึ่ง ซึ่ มี ถิ่นฐานเดิมดิอยู่ท ยู่ างตอนใต้ของแม่น้ำ ม่ น้ำ ไทเบอร์ (Tiber) ได้ขั ด้ บ ขั ไล่กษัตริย์ริอิ ย์ อิทรัส รั กันออกไป ชาว ละตินรวมตัว ชุมนุมกันบริเริวณที่เรีย รี กว่า ฟอรัมรั (Forum) ซึ่ง ซึ่ ถือเป็ศูนย์กลางของเมืองและเป็นจุดเริ่มริ่ต้นของกรุง
อิทธิพธิลที่ส่ง ส่ ต่อมาสู่กสู่ ารก่อกำ เนิดนิอารยธรรม โรมก่อตัวจากหมู่บ้ มู่ า บ้ นทางภาคกลางของอิตาลี อุปนิสันิยสัของโรมันมัคือ ความเคร่ง ร่ ขรึม รึ และสร้า ร้ งสรรค์ สิ่งสิ่ต่าง ๆ อย่า ย่ งช้า ช้ ๆ แต่มั่นมั่คง ความสามารถทาง ทหารของโรมันมัอยู่ที่ ยู่ ที่ ความอดทนมากกว่า ว่ ยุทธวิธีวิที่ ธี ที่ ฉลาดปราดเปรื่อ รื่ ง ระยะแรกสำ หรับรั ประวัติวั ติศาสตร์โร์รมนั้นนั้ค่อนข้า ข้ งมืด มื มน ราว 750 ปีก่ปี ก่ อน ค.ศ. มีผู้ มี อผู้ พยพมาตั้ง ตั้ ถิ่นฐานแถบ ภูเ ภู ขาพาเลนไตน์ใน์กล้แม่น้ำ ม่ น้ำ ไทเบอร์ ต่อมาประมาณ 600 ปี ก่อน ค.ศ. บรรดาผู้อผู้ พยพต่างรวมตัวกันตั้ง ตั้
ลำ ดับ ดั เหตุก ตุ ารณ์พั ณ์ ฒ พั นาการของอารยธรรม โรมันมัเป็นพวก อินโดยูโรเปียน ย้า ย้ ยเข้า ข้ มาอยู่ใยู่ น แหลมอิตาลี กลุ่ม ลุ่ ที่อพยพเข้า ข้ มา เรีย รี กรวมๆว่า ว่ อิ ตาลิก ( Italic) แต่กลุ่ม ลุ่ คนที่สำ คัญส่ว ส่ นใหญ่คื ญ่ คื อ พวกลาติน ซึ่ง ซึ่ เอาชนะชาวพื้น พื้ เมือ มื งอีทรัสรักัส และ สร้า ร้ งอาณาจักจัรโรมขึ้น ขึ้ มา รวมทั้ง ทั้ กรุง รุ โรมด้ว ด้ ย 2. ชาวโรมันมัมีนิ มี สันิยสัเด่น ด่ คือ ชอบทำ การรบ และการ ปกครอง เป็นพวกมีวิ มี นัวิยนัเป็น ป็ นักนัคิด นักนั ปฏิบัติบั ติ 3. การปกครองของโรมันมัแบ่ง บ่ ออกเป็น ป็ 2 ยุค ได้แ ด้ ก่ 3.1 โรมันมั ในสมัยมัสาธารณรัฐรั • มีผู้ มี นำผู้ นำคนสำ คัญ คือ จูเลียส ซีซ่ ซี า ซ่ ( Julius Caesar) มีค มี วามสามารถด้า ด้ นการรบมากสามารถ แผ่ข ผ่ ยายอณาเขต รบชนะ กรีก รี อียิปยิต์ เอเชีย ชี ไมเนอร์ แอฟริกริา และ เสปน ได้ห ด้ มด 3.2 โรมันมั ในสมัยมัจักจัรวรรดิ
แนวความคิดหรือ รื ความเชื่อ ชื่ ของประชาชนในสังสัคม ศาสนาโรมันมั โรมมีเมีทพเจ้า จ้ประจำ ชาติ แต่ด้ว ด้ ยขันขัติธรรมทาง ศาสนา ลัทธิบูธิบู ชาต่าง ๆ จึง จึ อยู่ไยู่ ด้ใด้ นโรมันมับุคคล หนึ่งสามารถนับถือได้ห ด้ ลายลัทธิ สมัยมัพรินริซิเซิพท เกิดลัทธิบูธิบู ชาจักจัรพรรดิ (Cult of Emperor) จักจัรพรรดิอดิอกุส กุ ตุส ตุ ได้รั ด้ บรัการยกย่อ ย่ งบูชาโดยถือ เป็น ป็ เทพ ลัทธินี้ ธิกลายเป็น ป็ พิธีพิกธีรรมประจำ ชาติ อย่า ย่ งเป็น ป็ ทางการเพื่อพื่ปลุก ลุ ใจให้รั ห้ กรัชาติมากกว่า ว่ เป็น ป็ เรื่อรื่งทางศาสนา สำ หรับรัชาวยิวยิและคริสริต์ แล้วไม่เ ม่ กี่ยวกับพิธีพิกธีรรมดังดักล่าวเพราะขัดขักับ หลักคำ สอนทางศาสนา
ช่ว ช่ งสุด สุ ท้ายของจัก จั รวรรดิโดิรมัน มั นั้น นั้ โรมัน มั เริ่มริ่ เสื่อ สื่ มลงด้วยปัจจัย จั หลายประการ ไม่ว่ ม่ า ว่ ทางด้า ด้ น เศรษฐกิจ การแย่ง ย่ ชิงชิอำ นาจของจัก จั รพรรดิ์ และ การรุก รุ รานจากพวกอนารยชน ทางภาคเหนือ นื ของ อิตาลีชนเผ่า ผ่ ต่างๆกระจายกันอยู่โยู่ ดยทั่ว ทั่ ไป ชนเผ่า ผ่ ต่างๆมีก มี ารรุก รุ รานโรมัน มั มาตั้ง ตั้ แต่ก่อนคริสริตกาล แต่ก็พ่า พ่ ยโรมัน มั โดยตลอด ปีค ปี .ศ. 373 ฮั่น ฮั่ Hans ได้ยกทัพข้า ข้ มแม่น้ำ ม่ น้ำ โวลก้ามารุก รุ รานพวกกอธ ทำ ให้พ ห้ วกกอธหนีล นี งมาบริเริวณแคว้น ว้ เทรซของ โรมัน มั และเข้า ข้โจมตีแคว้น ว้ เทรซ ค.ศ. 378 จัก จั รพร รดิ์ว ดิ์ าเลนของโรมัน มั ได้ย ด้ กทัพเข้า ข้ ต้านทานที่เมือ มื ง เอดรีอ รี าโนเปิลปิแต่แพ้แ พ้ ละเสีย สี เหตุที่ ตุ ที่ ทำ ให้อ ห้ าณาจัก จั รโรมัน มั ล่มสลาย
สถาปัตยกรรมโรมัน มั เป็น ป็ ลักษณะสถาปัตยกรรมของโรมันมั โบราณที่ประยุกต์ มาจากสถาปัตยกรรมกรีกรีตั้ง ตั้ แต่ราวศตวรรษที่ 12 ก่อน คริสริต์ศักราชมาเป็น ป็ ลักษณะสถาปัตยกรรมของตนเอง ลักษณะสถาปัตยกรรมทั้ง ทั้ สองถือว่า ว่ เป็น ป็ “สถาปัตยกรรมคลาสสิกสิ ” นอกจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่นำ มาจากกรีกรีแล้วโรมันมัยังยั รับรัอิทธิพธิลเกี่ยวเนื่อนื่งเช่น ช่ การสร้า ร้ ง “ห้อ ห้ งทริคริลิเนียนีม” (Triclinium) ในคฤหาสน์โน์รมันมัเป็น ป็ ห้อ ห้ งกินข้า ข้ วอย่า ย่ งเป็น ป็ ทางการ และจากผู้ที่ผู้ ที่ มีอำมี อำนาจมาก่อนหน้า น้ นั้นนั้ --วัฒวันธรรมอี ทรัสรัคัน--โรมันมัก็นำ ความรู้ต่ รู้ ต่ างทางสถาปัตยกรรมมาประยุกต์ ใช้เ ช้ ช่น ช่ การใช้ร ช้ ะบบไฮดรอลิคและการก่อสร้า ร้ งซุ้ม ซุ้ โค้ง
เป็น ป็ หลุม ลุ ที่มีลัมี ลักษณะเป็น ป็ แผงติดต่อกัน (อาจจะเป็น ป็ ทรง สี่เ สี่ หลี่ยมจัตุจัรั ตุ สรัสี่เ สี่ หลี่ยม แปดเหลี่ยม หรือรืผสมกันหลาย ทรง) ลึกเข้า ข้ไปในเพดานหรือรืภายใต้โค้งหรือรืส่ว ส่ นราบแบน ภายในสิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ ง[1] แผงสี่เ สี่ หลี่ยมลึกใช้เ ช้ป็น ป็ เครื่อรื่ง ตกแต่ง บางครั้งรั้ก็เรียรีกว่า ว่ “caissons” (กล่อง) หรือรื “lacunaria” (ช่อ ช่ ง)[2] ทำ ให้บ ห้ างครั้งรั้ก็เรียรีกว่า ว่ “lacunar ceiling” (เพดานช่อ ช่ ง) หลุม ลุ เพดานที่ทำ ด้วยหินหิของกรีกรี โบราณ[3] และโรมันมั โบราณ[4] เป็น ป็ ตัวอย่า ย่ งแรกของการ สร้า ร้ งเพดานลักษณะนี้ที่ นี้ ที่ ยังยัเหลือให้เ ห้ ห็น ห็ อยู่ แต่เมื่อมื่ 700 ปี ก่อนคริสริต์ศักราชใช้ใช้ นการสร้า ร้ งห้อ ห้ งเก็บศพอิทรัสรักันที่ เนินสุส สุ าน (necropolis) ที่ซานจูลิอาโนที่ตัดจากหินหิ ทูฟ ทู า[5] หลุม ลุ เพดานที่ทำ ด้วยไม้ส ม้ ร้า ร้ งกันเป็น ป็ ครั้งรั้แรกโดย การไขว้ส ว้ ลับคานบนเพดานเข้า ข้ด้วยกัน ที่ใช้ใช้ นการตกแต่ง วังวัในบริเริวณลุ่ม ลุ่ แม่น้ำ ม่ น้ำลัวร์ใร์นยุคฟื้นฟื้ ฟูศิลปวิทวิยาตอน ต้น[6] หลุม ลุ เพดาน
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญสู หายไปจากกรีซรี มาตั้ง ตั้ แต่ปลายสมัยมัเฮลลาดิค (Helladic period) หรือรืสมัยมั ไมซีเซีนียน (ราว 1200 ปีก่อน คริสริต์ศักราช) มาจนกระทั่ง ทั่ ราว 700 ก่อนคริสริต์ ศักราช เมื่อมื่ชาวโรมันมัมีคมีวามมั่งมั่คั่ง คั่ และฟื้นฟื้ตัวขึ้น ขึ้ จนถึงจุดที่เริ่มริ่มีกมีารก่อสร้า ร้ งสิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งสำ หรับรั สาธารณชนขึ้น ขึ้ ได้อีก แต่ในเมื่อมื่สิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งของ กรีกรีหลายแห่ง ห่ ในสมัยมัอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสริต์ศักราช) สร้า ร้ งด้วยไม้ห ม้ รือรือิฐดิน เหนียว หรือรืดินเหนียว จึง จึ ทำ ให้ไห้ ม่มี ม่ ที่มี ที่ใดที่ยังยั เหลือหรอให้ไห้ ด้เห็น ห็ นอกจากแผนผังผับนพื้นพื้อยู่ สองสามแห่ง ห่ และไม่มี ม่ หมีลักฐานทางลายลักษณ์ อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยมัแรกหรือรืคำ บรรยายเกี่ยวกับสิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งเหล่านี้ที่ยังยัคงอยู่ สถาปัตยกรรมกรีก รี โบราณ
ลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่ง รุ่ เรือ รื งในช่ว ช่ ง กลางสมัย มั กลางถึงปลายสมัย มั กลาง โดย วิวัวิฒ วั นาการมาจากสถาปัตยกรรมโรมาเน สก์และตามด้ว ด้ ยสถาปัตยกรรมสมัย มั ฟื้น ฟื้ ฟูศิลปวิทวิยา สถาปัตยกรรมกอทิก เกิดขึ้น ขึ้ ระหว่า ว่ งคริสริต์ศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยเริ่มริ่ขึ้น ขึ้ ในประเทศฝรั่ง รั่ เศสก่อนที่ จะเผยแพร่ไร่ ปยัง ยั ประเทศอังกฤษ และต่อ ไปยัง ยั ทวีปวี ยุโรปโดยทั่ว ทั่ ไป สถาปัตยกรรมกอทิก
สถาปัต ปั ยกรรมทิวดอร์ สถาปัตยกรรมทิวดอร์สื ร์ บ สื ต่อมาจาก สถาปัตยกรรมกอธิคธิอังกฤษและตามมาด้วย สถาปัตยกรรมเอลิซาเบธ ในการก่อสร้า ร้ งที่อยู่ อาศัยของผู้มีผู้ อั มี อั นจะกิน แต่ลักษณะการก่อสร้า ร้ ง แบบทิวดอร์ก็ ร์ ก็ มิไมิด้สูญสู หายไปจนหมดสิ้นสิ้และยัง ยั คงเป็น ป็ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ยัง ยั คงเป็นที่นิยม กันในอังกฤษ ส่ว ส่ นต่อเติมของวิทวิยาลัยต่างๆ ของมหาวิทวิยาลัยออกซฟอร์ด ร์ และ มหาวิทวิยาลัย เคมบริดริจ์ก็ จ์ ก็ ยัง ยั คงสร้า ร้ งแบบทิวดอร์ที่ ร์ ที่ คาบเกี่ยว กับลักษณะเริ่มริ่ต้นของสถาปัตยกรรมฟื้น ฟื้ ฟูกอ ธิคธิ
สถาปัตยกรรมนอร์มั ร์ น มั เป็นคำ ที่ใช้ใช้ นการบรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมโร มาเนสก์ที่วิวัวิฒวันาการโดยนอร์มัร์นมั ในดินแดนต่างๆ ที่ ได้เข้า ข้ปกครองหรือรืมีอิมี อิทธิพธิลในระหว่า ว่ งคริสริต์ ศตวรรษที่ 11 และ 12 โดยเฉพาะในการบรรยายถึง สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์แบบอังกฤษ นอร์มัร์นมัเป็นผู้ ริเริริ่มริ่การก่อสร้า ร้ งปราสาท, ป้อ ป้ มปราการที่รวมทั้ง ทั้ หอกลางแบบนอร์มัร์นมั , สำ นักสงฆ์, ฆ์แอบบี, บีคริสริต์ ศาสนสถาน และมหาวิหวิารเป็นจำ นวนมากในอังกฤษ ในลักษณะการใช้โช้ ค้งกลม (โดยเฉพาะรอบหน้าต่าง และประตู) ตู และมีลัมี ลักษณะหนาหนักเมื่อมื่เทียบกับ สถาปัตยกรรมท้องถิ่น
เพดานพัด พั พบครั้ง รั้ แรกเมื่อ มื่ประ มาณปีค ปี .ศ. 1351[1]ซึ่ง ซึ่ จะเห็น ห็ ได้ จากทางเดินดิด้า ด้ นใต้ของระเบีย บี ง คดที่มหาวิหวิารกลอสเตอร์[ร์2]ที่ สร้า ร้ งโดยทอมัส มั แห่ง ห่ เคมบริดริจ์ (Thomas of Cambridge) เพดานพัด พั เป็น ป็ เพดานที่ใช้ใช้ นสถาปัตยกรรมกอธิคธิเพ อร์เ ร์ พ็น พ็ ดิคิดิ คิวลาร์ ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ สมัย มั หนึ่ง นึ่ ของ สถาปัตยกรรมกอธิคธิอังกฤษซึ่ง ซึ่ สัน สั ของ เพดานแยกออกไปเป็น ป็ แฉกคล้ายรูป รู พัด พั ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ สถาปัตยกรรมที่มีเ มี ฉพาะในอังกฤษ
สถาปัตยกรรมกอทิกแบบอังกฤษ เป็น ป็ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่ง รุ่ เรือ รื งขึ้น ขึ้ ใน อังกฤษระหว่า ว่ งราวปี ค.ศ. 1180 ถึงราวปี ค.ศ. 1520 ลักษณะของสถาปัตยกรรมกอทิกของ อังกฤษก็เช่น ช่ เดีย ดี วกับสถาปัตยกรรมกอทิกของ ส่ว ส่ นอื่น ๆ ในยุโรป ที่บ่ง บ่ ลักษณะได้จ ด้ ากการใช้ซุ้ ช้ ซุ้ ม ซุ้ โค้งแหลม, เพดานโค้งแหลม, ค้ำ ยันยั , หน้า น้ ต่าง กว้า ว้ งและสูง สู และหอหรือ รื หลังคาที่เป็น ป็ ยอด แหลม (spire) สถาปัตยกรรมกอทิกเข้า ข้ มาใน อังกฤษจากฝรั่งรั่เศส เมื่อ มื่ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ มีลั มี ลักษณะที่เรีย รี กว่า ว่ “กอทิก” ได้รั ด้ บรัการสร้า ร้ งรวม กันในวัดวัเดีย ดี วที่บาซิลิซิ ลิกาแซงต์เด
อาสนวิห วิ าร คือคริสริต์ศาสนสถานประเภทหนึ่ง นึ่ ที่ คริสริต์ศาสนิกนิชนใช้ทำ ช้ ทำ การนมัส มั การ พระเจ้า จ้ (โดยเฉพาะในคริสริตจัก จั รที่มีก มี าร จัด จั ระเบีย บี บองค์การแบบอิปิสปิ โคปัล เช่น ช่ โรมัน มั คาทอลิก อีสเทิร์น ร์ ออร์ท ร์ อดอกซ์ แองกลิคัน และลูเ ลู ทอแรน) อาสนวิหวิารจะ เป็น ป็ โบสถ์ประจำ ตำ แหน่ง น่ ของมุขนายก ที่ ใช้เ ช้ป็น ป็ ศูนย์ก ย์ ลางของมุขมณฑลซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ เขตปกครองของบิชบิอป[2]
อาสนวิหวิารกลอสเตอร์ เป็น ป็ อาสนวิหวิารที่ตั้ง ตั้ อยู่ต ยู่ อนเหนือ นื ของเมือ มื งกลอสเตอร์ ประเทศ อังกฤษ แต่เดิมดิเป็น ป็ แอบบีย์ บี ที่ ย์ ที่ อุทิศให้ นัก นั บุญเปโตร เมื่อ มื่ ราวปี ค.ศ. 678 หรือ รื 679 มาจนกระทั่ง ทั่ เปลี่ยนเป็น ป็ อาสนวิหวิาร (cathedral) เมื่อ มื่ปี ค.ศ. 1541
ผัง ผั อาสนวิหวิาร แสดงให้เ ห้ ห็น ห็ ลักษณะโครงสร้า ร้ งและองค์ประกอบ ทางสถาปัตยกรรมของอาสนวิหวิารในยุโรปตะวัน วั ตก แผนผัง ผั จะแสดงกำ แพง แนวเสาทำ ให้เ ห้ ห็น ห็ โครงสร้า ร้ ง เส้น ส้ สองเส้น ส้ บนกำ แพงด้า ด้ นนอกคือ หน้า น้ ต่างกระจก เส้น ส้ x เป็น ป็ สัญ สั ลักษณ์สำ ณ์ สำหรับ รั เพดานโค้ง ตามปกติผัง ผั ของวัด วั ทางคริสริต์ศาสนา จะวางเหมือ มื นการวางแผนที่ ด้า ด้ นเหนือ นื อยู่บ ยู่ น ด้า ด้ น ตะวัน วั ตกถือกันว่า ว่ เป็น ป็ ด้า ด้ นหน้า น้ ของวัด วั ด้า ด้ นตะวัน วั ออกที่เป็น ป็ บริเริวณที่ทำ คริสริต์ศาสนพิธีพิอ ธี ยู่ท ยู่ างขวา
อาสนวิหวิารปีเ ปี ตอร์บ ร์ ะระ เป็น ป็ อาสนวิหวิารของคริสริตจัก จั รแห่ง ห่ อังกฤษ สร้า ร้ งอุทิศนัก นั บุญซีโซี มนเปโตร นัก นั บุญ เปาโลอัครทูต ทู และนัก นั บุญอันดรูว์ รู ว์ ที่มีรู มีป รู ปั้นอยู่บ ยู่ นจั่ว จั่ สามจั่ว จั่ ด้า ด้ นหน้า น้ ของอาสน วิหวิาร[2] เป็น ป็ โบสถ์แม่ปม่ ระจำ มุขฆมณฑลปี เตอร์บ ร์ ะระในภาคแคนเทอร์เ ร์ บอรีที่ รี ที่ ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื งปีเ ปี ตอร์บ ร์ ะระ ประเทศอังกฤษ สถาปัตยกรรมที่เห็น ห็ อยู่ใยู่ นปัจจุบัน บั เป็น ป็ แบบ โรมาเนสก์ และกอทิก อาสนวิหวิารปีเ ปี ตอร์บ ร์ ะ
เป็น ป็ ช่ว ช่ งระยะเวลาการก่อสร้า ร้ งมหาวิหวิารที่ เกิดขึ้น ขึ้ ในอังกฤษระหว่า ว่ ง ค.ศ. 1040 ถึง ปี ค.ศ. 1540 กลุ่ม ลุ่ สิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งยี่สิ ยี่ บสิห้า ห้ปี หลังที่ถือว่า ว่ มีเ มี อกลักษณ์ข ณ์ องการก่อสร้า ร้ ง ที่เป็น ป็ ของอังกฤษแท้ แม้ว่ ม้ า ว่ สิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งจะ มีลั มี ลั กษณะที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสิ่ ก่อสร้า ร้ งทั้ง ทั้ หมดต่างก็มีจุ มี จุ ดประสงค์ร่ว ร่ ม กันเพีย พี งจุดประสงค์เดีย ดี ว ในการเป็น ป็ มหา วิหวิารอันเป็น ป็ สิ่งสิ่ก่อสร้า ร้ งที่เป็น ป็ ศูนย์ก ย์ ลาง ของการบริหริารมุขมณฑลและเป็น ป็ ที่ตั้ง ตั้ ของคาเทดรา[1] สถาปัตยกรรมมหาวิหวิารสมัย มั กลางในอังกฤษ
อาสนวิหารแกลร์มง-แฟร็อง อาสนวิหวิารแม่พ ม่ ระรับ รั เกียรติยกขึ้น ขึ้ สวรรค์ แห่ง ห่ แกลร์ม ร์ ง-แฟร็อ ร็ ง (Cathédrale Notre-Dame-de-l'Assomption de Clermont-Ferrand) เป็น ป็ โบสถ์ โรมัน มั คาทอลิกที่มีฐ มี านะเป็น ป็ อาสนวิหวิาร[1] ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื งแกลร์ม ร์ ง-แฟร็อ ร็ งในจัง จั หวัด วั ปุย-เดอ-โดมในแคว้น ว้ โอแวร์ญ ร์ -โรนาลป์ ประเทศฝรั่ง รั่ เศส และเป็น ป็ ที่ตั้ง ตั้ อาสนะขอ งอาร์ช ร์ บิชบิอปแห่ง ห่ แกลร์ม ร์ ง
อาสนวิหารลียง อาสนวิหวิารนักนับุญยอห์นห์ผู้ใผู้ห้บั ห้ พบัติศมาและนักนับุญสเท เฟนแห่ง ห่ ลียง (ฝรั่งรั่เศส: La Primatiale Saint-JeanBaptiste-et-Saint-Étienne) หรือรืเรียรีกโดยทั่ว ทั่ ไปว่า ว่ อาสนวิหวิารนักนับุญยอห์นห์ (Cathédrale Saint-Jean) และ อาสนวิหวิารลียง (Cathédrale de Lyon) เป็น อาสนวิหวิารโรมันมัคาทอลิกที่อยู่ใยู่ นระดับดัสูง สู กว่า ว่ อาสน วิหวิารทั่ว ทั่ ไปหรือรืที่เรียรีกว่า ว่ primatial cathedral เป็นที่ ตั้ง ตั้ ของอัครมุขนายกประจำ อัครมุขมณฑลลียง โดย ตามตำ แหน่ง น่ แล้ว อัครมุขนายกแห่ง ห่ ลียงยังยัรั้งรั้ ตำ แหน่ง น่ ผู้นำผู้ นำแห่ง ห่ ชาวกอลทั้ง ทั้ ปวง (Primat des Gaules) อีกด้ว ด้ ย
อาสนวิหารบาซัส อาสนวิหวิารบาซัสซั (ฝรั่งรั่เศส: Cathédrale de Bazas) เรียรีกชื่อชื่เต็มว่า ว่ อาสนวิหวิารนักบุญยอห์นห์ผู้ใผู้ห้บั ห้ พบัติศมาแห่ งบาซัสซั (Cathédrale Saint-Jean-Baptiste de Bazas) [1] ปัจจุบันบัมีฐมีานะเป็นโบสถ์ประจำ เขตแพริชรินิกาย โรมันมัคาทอลิก ในอดีตเคยมีฐมีานะเป็นอาสนวิหวิารประจำ มุข มณฑลบาซัสซัซึ่งซึ่ต่อมาถูก ถู ยุบลงโดยเขตปกครองบางส่ว ส่ น ตกเป็นส่ว ส่ นหนึ่งของอัครมุขมณฑลบอร์โร์ด[2] และอีกส่ว ส่ น หนึ่งผนวกเข้า ข้ กับมุขมณฑลอาแฌ็ง ฌ็ และมุขมณฑลแอร์ ตั้งตั้แต่ปีค.ศ. 1801 เป็นต้นมา (ตามความตกลง ค.ศ. 1801) ตั้งตั้อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือมืงบาซัสซัจังจัหวัดวัฌีรฌีงด์ แคว้น ว้ นูแวลากี แตน ประเทศฝรั่งรั่เศส สร้า ร้ งขึ้นขึ้เพื่อพื่อุทิศแด่นักบุญยอห์นห์ผู้ ให้บั ห้ พบั
อาสนวิหารออลอรง อาสนวิหวิารออลอรง (ฝรั่ง รั่ เศส: Cathédrale d'Oloron) เรีย รี กชื่อ ชื่ เต็มว่า ว่ อาสนวิหวิาร นัก นั บุญมารีย์ รี แ ย์ ห่ง ห่ ออลอรง (Cathédrale Sainte-Marie d'Oloron) ในปัจจุบัน บั มีฐ มี านะ เป็น ป็ โบสถ์ประจำ เขตแพริชรินิกานิย โรมัน มั คาทอลิก ซึ่ง ซึ่ในอดีตเคยมีฐ มี านะเป็น อาสนวิหวิารประจำ มุขมณฑลออลอรงซึ่ง ซึ่ ต่อ มาได้ถูก ถู ยุบลงเป็น ป็ ส่ว ส่ นหนึ่งของมุขมณฑล บายอนตั้ง ตั้ แต่ปี ค.ศ. 1801 เป็นต้นมา (ตาม ความตกลง ค.ศ. 1801) ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื งออล อรง-แซ็ง ซ็ ต์-มารี จัง จั หวัด วั ปีเรเน-อัตล็องติก แคว้น ว้ นูแ นู วลากีแตน ประเทศฝรั่ง รั่ เศส สร้า ร้ ง ขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศแด่พระนางมารีย์ รี พ ย์ รหมจารี
อาสนวิหารบลัว อาสนวิหวิารบลัว (ฝรั่ง รั่ เศส: Cathédrale de Blois) หรือ รื ชื่อ ชื่ เต็มว่า ว่ อาสนวิหวิารนักบุญ หลุย ลุ ส์แ ส์ ห่ง ห่ บลัว (Cathédrale Saint-Louis de Blois) เป็นอาสนวิหวิารโรมัน มั คาทอลิก และเป็นที่ตั้ง ตั้ ของมุขนายกประจำ มุขมณฑลบ ลัว ตั้ง ตั้ อยู่ใยู่ นเขตเมือ มื งบลัว จัง จั หวัด วั ลัวเรแชร์ ในแคว้น ว้ ซ็อ ซ็ งทร์-ร์ วาลเดอลัวร์ ประเทศ ฝรั่ง รั่ เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศแด่นั ด่ นั กบุญหลุย ลุ ส์
อาสนวิหารวาน อาสนวิหวิารวาน (ฝรั่ง รั่ เศส: Cathédrale de Vannes) หรือ รื เรีย รี กชื่อ ชื่ เต็มว่า ว่ อาสนวิหวิารนัก นั บุญเปโตรแห่ง ห่ วาน (Cathédrale SaintPierre de Vannes) เป็น ป็ อาสนวิหวิารนิกานิย โรมัน มั คาทอลิกประจำ มุขมณฑลวาน และยัง ยั มี ฐานะเป็น ป็ มหาวิหวิารด้ว ด้ ย ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื งวาน จัง จั หวัด วั มอร์บี ร์ อ็ บี อ็ อง แคว้น ว้ เบรอตาญ ประเทศ ฝรั่ง รั่ เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศแด่นั ด่ นั กบุญเปโตร
อาสนวิหารตูร์ อาสนวิหวิารนัก นั บุญกาเซีย ซี งแห่ง ห่ ตูร์ ตู ร์ (Cathédrale Saint-Gatien de Tours) เป็น ป็ อาสนวิหวิารโรมัน มั คาทอลิก เป็น ป็ ที่ตั้ง ตั้ ของ มุขนายก ประจำ มุขมณฑลตูร์ ตู ร์ ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื ง ตูร์ ตู ร์ จัง จั หวัด วั แอ็งเดรลัวร์ แคว้น ว้ ซ็อ ซ็ งทร์-ร์ วาล เดอลัวร์ ประเทศฝรั่ง รั่ เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศ ให้นั ห้ ก นั บุญกาเซีย ซี งแห่ง ห่ ตูร์ ตู ร์ อดีต ดี มุขนายกผู้ก่ผู้ ก่ อ ตั้ง ตั้ มุขมณฑลตูร์ ตู ใร์ นคริสริต์ศตวรรษที่ 3
อาสนวิหารน็องต์ อาสนวิหวิารนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล แห่ง ห่ น็องต์ (Cathédrale Saint-Pierreet-Saint-Paul de Nantes) เป็นอาสน วิหวิารโรมัน มั คาทอลิกและที่ตั้ง ตั้ ของมุขนายก ประจำ มุขมณฑลน็องต์ ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ปลัสแซ็ง ซ็- ปีแยร์ (Place Saint-Pierre ร์ ) ในเขต เมือ มื งน็องต์ จัง จั หวัด วั ลัวรัต รั ล็องติก ใน แคว้น ว้ เปอีเดอลาลัวร์ ประเทศฝรั่ง รั่ เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศให้แ ห้ ก่สองอัครทูต ทู สำ คัญ คือ นักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล
อาสนวิหารแม็ส อาสนวิหวิารนักบุญสเทเฟนแห่ง ห่ แม็ส ม็ (Cathédrale Saint Étienne de Metz) เป็นอาสนวิหวิาร โรมันมัคาทอลิกและที่ตั้ง ตั้ ของมุขนายกประจำ มุ ขมณฑลแม็ส ม็ [1] ตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ เมือ มื งแม็ส ม็ จังจัหวัดวัมอแซล แคว้น ว้ กร็อ ร็ งแต็สต์[2] ประเทศฝรั่งรั่เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ พื่ อุทิศแด่นักบุญสำ คัญคือนักบุญสเทเฟน[3]
อาสนวิหวิารบาซัส ซั อาสนวิหารนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมาแห่งบาซัส (Cathédrale Saint-Jean-Baptiste de Bazas) [1] ปัจจุบันมีฐานะเป็นโบสถ์ประจำ เขตแพริช นิกาย โรมันคาทอลิก ในอดีตเคยมีฐานะเป็นอาสนวิหาร ประจำ มุขมณฑลบาซัส ซึ่งต่อมาถูกยุบลงโดยเขต ปกครองบางส่วนตกเป็นส่วนหนึ่งของอัครมุข มณฑลบอร์โด[2] และอีกส่วนหนึ่งผนวกเข้ากับมุข มณฑลอาแฌ็งและมุขมณฑลแอร์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1801 เป็นต้นมา (ตามความตกลง ค.ศ. 1801) ตั้งอยู่ที่เมืองบาซัส จังหวัดฌีรงด์ แคว้นนูแวลากี แตน ประเทศฝรั่ง รั่ เศส สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญ ยอห์นผู้ให้บัพติศมา
อาสนวิหวิารแปร์ปีร์ ญ็ ปี อ ญ็ ง อาสนวิหวิารนักนับุญยอห์นห์ผู้ใผู้ห้บั ห้ พบัติศมาแห่ง ห่ แปร์ปี ร์ญ็อ ญ็ ง (ฝรั่งรั่เศส: Cathédrale Saint-Jean-Baptiste de Perpignan; กาตาลา: Catedral de Sant Joan Baptista de Perpinyà) เป็น ป็ อาสนวิหวิารโรมันมัคาทอลิก เป็นที่ตั้ง ตั้ อาสนะของมุขนายกประจำ มุขมณฑลแปร์ปี ร์ญ็ อง-แอลน์ ตั้ง ตั้ อยู่ใยู่ นเขตเมือมืงแปร์ปีร์ญ็ปีอ ญ็ ง จังจัหวัดวั ปีเรเนออรีย็รีอ ย็ งตาล แคว้น ว้ อ็อกซีตซีานี ประเทศฝรั่งรั่เศส สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อพื่อุทิศให้นั ห้ กนับุญยอห์นห์ผู้ใผู้ห้บั ห้ พบัติศมา ได้รั ด้ บรัการยกฐานะ ขึ้น ขึ้ เป็นอาสนวิหวิารจากการย้า ย้ ยอาสนะของมุขนายกจาก มุขมณฑลแอลน์ (เดิมดิอาสนะตั้ง ตั้ อยู่ที่ ยู่ ที่ อาสนวิหวิารแอลน์)น์ มารวมอยู่ที่ ยู่ ที่ มุขมณฑลแปร์ปีร์ญ็ปีอ ญ็ งเมื่อมื่ปีค.ศ. 1602 ตามพระบัญบัชาของสมเด็จ ด็ พระสันสัตะปาปาเคลเมนต์ที่ 8
แบบทดสอบ 1.จัก จั รพรรดิโดิรรุ่น รุ่ ที่2คือใคร ก.จักรพรรดิออกุสตุส ข.จัก จั รพรรดิทิดิ ทิเบริอุริอุ ส ค.จัก จั รพรรดิคดิาลิกูล กู า ง.จัก จั รพรรดิคดิลอดิอุดิอุ ส 2.จัก จั รพรรดิโดิรมัน มั รุ่น รุ่ ที่6คือใคร ก.จัก จั รพรรดิทิเบริอุริอุ ส ข.จัก จั รพรรดิเดินโร ค.จัก จั รพรรดิกัดิ กั ลบาม ง.จัก จั รพรรดิไททัส 3.จัก จั รพรรดิโรมัน มั มีกี่ มี กี่ องค์ ก. 8 ข.10 ค.14 ง.18
4.พุทธศักราช เกิดก่อนคริสริต์กี่ปี ก.245 ข.453 ค.543 ง.1124 5.พ.ศ2467อยุ่ใยุ่ นช่ว ช่ งพุทธศควรรษที่เท่าไหร่ ก.26 ข.25 ค.24 ง.23 6.ฮิจเราะห์ศั ห์ ศั กราชเป็น ป็ การใช้ ศักราชโดยคนที่นับ นั ถือศาสนาใด ก.ศาสนาฮินดู ข.ศาสนาคริสริต์ ค.ศาสนาอิสลาม ง.ศาสนายูดาห์
7.มหาศักราชเป็น ป็ ศักราชที่ไทย ได้แ ด้ บบอย่า ย่ งมาจากชิาชิตใด ก.ลังกา ข.ขอม ค.อินเดีย ดี ว ง.จีน จี 8.ยุคประวัต วั ศาสตร์เ ร์ ริ่มริ่เมื่อ มื่ ไร ก.รุ้จั รุ้ ก จั ทำ การเกษตร ข.มีก มี ารตั้ง ตั้ ชุมชนขึ้น ขึ้ ค.มีก มี ารใช้โช้ ลหะเป็น ป็ อาวุธ ง.มีกมีารบันบัทึกเป็นลายลักษณ์อัณ์ อักษร 9.ศิลปวัฒ วั ธรรมตะวัน วั ตกและตะวัน วั ออกมาบรรจบเป็นครั้ง รั้ แรกที่ใด ก.เปอร์เ ร์ ซีย ซี ข.ลุ่ม ลุ่ น้ำ สินสิธุ ค.ลุ่ม ลุ่ น้ำ ฮวงโห ง.ลุ่ม ลุ่ น้ำ ฮิรวดี
10.ขุนขนบ้า บ้ นเชีย ชี งจัด จั อยุ่ใยุ่ นยุคใด ก.ยุคหินหิแรก ข.ยุคหินเก่า ค.ยุคหินหิกลาง ง.ยุคหินหิ ใหม่
เฉลยแบบทดสอบ 1.ข. 2.ค. 3.ง. 4.ค. 5.ข. 6.ค. 7.ค. 8.ง. 9.ก. 10.ง.