ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถาน ประกอบการ รหัส วิชา 18-4000-2302 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการมาตรฐานความปลอดภัยภายใน โรงงานอุตสาหกรรม และสุขาภิบาล โดยศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น หนังสือ ห้องสมุด และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ โดย หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ มาตรฐานความปลอดภัยทางด้านต่างๆ เช่น มาตรฐาน ด้านความร้อน มาตรฐาน ด้านแสงสว่าง มาตรฐานด้านเสียง มาตรฐานด้านสารเคมีและอนุภาค เครื่องมือและ อุปกรณ์ความปลอดภัย หลัก สุขาภิบาล กิจกรรม 5 ส. หลักการใช้บันไดหนีไฟ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ที่ ได้เรียบเรียงจะเป็นประโยชน์ต่อ ผู้สนใจเป็นอย่างดี หากมีสิ่งใดในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะต้องปรับปรุงทาง คณะผู้จัดทำขอน้อมรับข้อ ชี้แนะและจะนำไปแก้ไขและพัฒนาให้ถูกต้องสมบูรณ์ต่อไป ผู้จัดทำ จิตรภาณุ พลายล้อมมูล
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข-ค ความปลอดภัยในการทำงาน 1 8 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ สาเหตุจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย 1 ระบบความปลอดภัยในโรงงาน 2 มาตรฐาน 4 ด้าน เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทางานในโรงงานอุตสาหกรรม 3 มาตรฐานความปลอดภัยด้านความร้อน 3 มาตรฐานความปลอดภัยด้านแสงสว่าง 4 มาตรฐานความปลอดภัยด้านเสียง 5 มาตรฐานความปลอดภัยด้านสารเคมีและอนุภาค 6 สภาวะการทำงาน 7 เครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัย 8 ประโยชน์ในการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลในโรงงาน 13 การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 13 การใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล 13 การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน 14 บททั่วไป 14 ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 15 เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ 16 ระบบน้ำดับเพลิง 17 ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ 17 การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ 18 การฝึกอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย 18 อื่นๆ 18 ความปลอดภัยเกี่ยวกับอาคารและทางหนีไฟ 19 ทางหนีไฟสำหรับอาคารประเภทต่างๆ 21
ค สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า การใช้ประตูหนีไฟอย่างถูกต้อง 23 ลักษณะทางหนีไฟตามกฎหมาย 24 การสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรม 28 ความหมายและประโยชน์ของสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร 28 นิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร 30 สุขาภิบาลกับความปลอดภัยด้านอาหาร 31 การประกอบและเสิร์ฟอาหารที่ถูกสุขลักษณะ 34 ความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำ 35 การสร้างโรงงานที่ถูกสุขลักษณะ 35 การสร้างโรงงานที่ถูกสุขลักษณะ 35 การเลือกสถานที่ตั้งโรงงาน 35 การออกแบบโรงงาน 36 การออกแบบอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการแปรรูปอาหาร 36 ระบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำภายในโรงงาน 36 องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสุขาภิบาล 37 รูปแบบของระบบสุขาภิบาล 38 กิจกรรม 5 ส. 40 เอกสารอ้างอิง
1 ความปลอดภัยในการทำงาน คือ ความปลอดภัยในโรงงาน คือ สภาพการทำงานที่ถูกต้อง โดยปราศจากอุบัติเหตุในระหว่างการทำงาน อัน ส่งผลต่อทรัพย์สินและร่างกายหรือชีวิต ส่วนคำว่า อุบัติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีใครคาดคิดในระหว่าง การปฏิบัติงาน ทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือทรัพย์สินเสียหาย 8 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ สาเหตุจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย 1. การปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกขั้นตอน 2. เกิดจากความประมาทของผู้ปฏิบัติงาน 3. เกิดจากการมีนิสัยชอบความเสี่ยง 4. การทำงานที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายหรือไม่สวมใส่ PPE 5. ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบในด้านความปลอดภัยของการทำงาน 6. การทำงานในขณะที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่ปกติ เช่น ป่วยหรือมีอาการมึนเมา เป็นต้น 7. การแต่งกายที่ไม่เหมาะสม 8. เกิดจากความรีบร้อนเพราะต้องทำงานด้วยความรวดเร็ว อุบัติเหตุ คือ สิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ คำถามคือแล้วเราจะป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างไร การ ป้องกันอุบัติเหตุ โดยหลักๆ แล้วมีด้วยกัน 3 วิธีคือ • แก้ไขที่ตัวบุคคล ให้พนักงานทำงานด้วยความระมัดระวังหรือสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน สวมใส่ PPE • การป้องกันและแก้ไขที่แหล่งกำเนิดอันตรายเป็นวิธีการแก้ไขหรือป้องกันที่ดีที่สุด แต่อาจใช้ต้นทุนมาก บางครั้งแก้ไขได้ยาก จึงไม่เป็นที่นิยม • การป้องกันที่ทางผ่านเป็นการตัดวงจรระหว่างแหล่งอันตรายกับผู้ปฏิบัติงานให้แยกออกจากกัน เช่น การทำงานกับเครื่องจักรที่มีจุดหนีบ ให้นำเครื่องกำบังมาครอบไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มือพนักงานเข้าไป อยู่ในบริเวณจุดหนีบได้ เป็นต้น
2 ระบบความปลอดภัยในโรงงาน สร้างความปลอดภัยในโรงงานด้วยการจัดระบบความปลอดภัย ซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญมากๆ อย่างที่เรา ได้กล่าวไปในตอนต้นว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความประมาทของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ดังนั้น จึงต้องมีการจัดอบรมให้พนักงานเข้าใจ ตระหนักถึงความปลอดภัยใน การทำงาน อบรมให้พนักงานเรียนรู้ถึงขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัย จัดระเบียบสภาพแวดล้อม ในการทำงานให้เหมาะสม เช่น • การวางผังโรงงานอย่างเป็นระบบ • แสงสว่างมีค่าตามมาตรฐาน • มีการตรวจรับรองเครื่องจักรโดยวิศวกร • อากาศทั้งในโรงงาน และ การปล่อยออกนอกโรงงานจะได้เป็นไปตามค่ามาตรฐานกฎหมาย • เสียงที่ก่อให้เกิดอันตรายจะต้องได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดความดังเสียงตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ต้องมีการตรวจสอบให้ดี และ ต้องมีการตรวจสอบเครื่องจักร อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ด้วย ทุกอย่างต้องอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ไม่ได้รับความเสียหายหรือชำรุด หากพบข้อบกพร่องและผิดจาก มาตรฐานที่กำหนด อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และ การจัดระบบความปลอดภัย ข้อมูลที่เรานำเสนอในข้างต้นหวังว่าจะมีประโยชน์ ต่อทุกคน ความปลอดภัยในการทำงาน ไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของ ทุกคนที่ต้องร่วมด้วยช่วยกันสร้างความปลอดภัยในองค์กร
3 มาตรฐาน 4 ด้าน เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทางานในโรงงานอุตสาหกรรม การก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมมีปัจจัยหลายด้านที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ “ความปลอดภัย” หรือมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทางผู้ประกอบการต้องศึกษาให้ดี เพื่อ ป้องกันและเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที กฎ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ผู้ประกอบการควรทราบมีรายละเอียดหลายด้าน ส่วนหนึ่งก็คือ “มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม” เพื่อนำปสู่การวางระบบและการจัดระเบียบ ภายในโรงงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความปลอดภัยเบื้องต้น 1. มาตรฐานความปลอดภัยด้านความร้อน - สภาพความร้อนในโรงงาน ความร้อนภายในโรงงานก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานภายในโรงงาน อุตสาหกรรมเช่นกัน ประการแรกเลยคือไม่ควรปล่อยให้อุณหภูมิภายในโรงงานสูงเกินไป กระทั่งส่งผลให้ลูกจ้างมี อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส หากลูกจ้างมีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกินจากค่านี้ เป็นไปได้ว่าโรงงาน นั้นมีระบบการจัดการที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมด้านความร้อน ซึ่งควรได้รับการแก้ไข ต่อไปค่ะ - เครื่องมือและมาตรการ เครื่องมือและมาตรการจัดการกับความร้อนก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเช่นกันเพราะถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ความปลอดภัยในโรงงานโดยตรง ควรจัดเตรียมเครื่องมือหรืออุปกรณ์ป้องกันความร้อนให้กับลูกจ้างอย่าง เหมาะสม มีความสอดคล้องกับการทำงาน นอกจากนี้ควรมีมาตรการจัดการกับความร้อนอย่างทันท่วงทีหากเกิด เหตุการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิภายในโรงงานสูงจนส่งผลให้อุณหภูมิภายในร่างกายของลูกจ้างมีค่าสูงเกิน 38 องศา เซลเซียส - การพักเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ระหว่างการดำเนินงาน หากภายในโรงงานเกิดสถานการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนกระทั่งส่งผลต่อ ร่างกายของลูกจ้าง ทาให้ลูกจ้างมีอุณหภูมิสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส จะต้องมีการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดพักชั่วคราว เพื่อให้ร่างกายของลูกจ้างมีการปรับตัวจนกว่าอุณหภูมิในร่างกายของลูกค้าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ - การแจ้งเตือนสำคัญ ภายในโรงงานควรมีการปิดประกาศแจ้งเตือนในจุดที่มีความร้อนสูงจนเสี่ยงอันตรายให้ครบทุกจุด เพื่อ ป้องกันไม่ให้ลูกจ้างเข้าใกล้บริเวณนั้น หรือถ้าหากมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริเวณนั้น ลูกจ้างก็จะได้กระทาการอย่าง
4 ระมัดระวังและปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ยกตัวอย่างจุดที่ควรปิดประกาศแจ้งเตือน เช่น จุดที่เป็น แหล่งกำเนิดความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงจนส่งผลต่อสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของบุคคล - มาตรการการทางานเพื่อความปลอดภัย สำหรับลูกจ้างที่ต้องทำงานกับบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส ทางโรงงานควรกำหนด มาตรการการทำงานชัดเจน ให้มีการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัย อาทิ การแต่งกายรัดให้กุม การ สวมหมวกนิรภัย การสวมหน้ากากกันความร้อน และอื่น ๆ ตลอดระยะเวลาการทำงาน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัย และป้องกันอันตรายจากความร้อน 2. มาตรฐานความปลอดภัยด้านแสงสว่าง มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานยังได้กำหนดเรื่องของแสงสว่างที่เพียงพอต่อการทำงานเอาไว้ด้วย เพื่อความปลอดภัยและการทำงานอย่างราบรื่น ไม่เป็นอันตราย โดยตามความละเอียดในงานนั้น ดังนี้ - แสงสว่างสำหรับงานที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดสูง ในส่วนของงานที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดสูง มีการกำหนดแสงสว่างที่เหมาะสมตามมาตรฐานคือ ควรมีแสง สว่างที่มีค่าความเข้มของแสงมากกว่า 50 Lux ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ เช่น การบด การขนย้าย หรือการบรรจุ - แสงสว่างสำหรับเก็บวัสดุ สำหรับพื้นที่ที่ใช้สาหรับเก็บวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นโกดัง คลังสินค้า ห้องเก็บของและวัสดุ เฉลียงและบันได ภายในโรงงาน ได้มีข้อกาหนดเอาไว้ว่า ควรมีแสงสว่างที่มีค่าความเข้มของแสงมากกว่า 50 Lux - แสงสว่างสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดเล็กน้อย ในส่วนของงานที่ต้องใช้ความละเอียดเล็กน้อยในการดำเนินงาน มีข้อกำหนดเอาไว้ว่าควรมีแสงสว่างที่มีค่า ความเข้มของแสงมากกว่า 100 Lux ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ เช่น การสีข้าว หรือการผลิตและประกอบชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์อย่างง่าย - แสงสว่างสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดปานกลาง ในงานที่ต้องใช้ความละเอียดปานกลางเพื่อดำเนินงาน มีข้อกาหนดเอาไว้ว่าควรมีแสงสว่างที่มีค่าความเข้ม ของแสงมากกว่า 200 Lux ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ เช่น การประกอบชิ้นส่วนภาชนะ การเย็บผ้าหรือการเย็บหนัง
5 - แสงสว่างสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูง ในส่วนของานที่ต้องใช้ความละเอียดสูงในการดำเนินงานนั้นควรมีแสงสว่างให้มากเข้าไว้ โดยมีข้อกำหนด เอาไว้ว่า ควรมีแสงสว่างที่มีค่าความเข้มของแสงมากกว่า 300 Lux ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ เช่น การทดสอบและ การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ การซ่อมแซมเครื่องจักร หรือการกลึงแต่งโลหะ - แสงสว่างสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูงมากเป็นพิเศษ งานลักษณะนี้ต้องใช้แสงสว่างมากที่สุด เนื่องจากความละเอียดสูงมากเป็นพิเศษในการดำเนินงาน จึงมี ข้อกำหนดไว้ว่าควรมีแสงสว่างที่มีค่าความเข้มของแสงมากกว่า 1000 Lux ตัวอย่างงานในลักษณะนี้ เช่น การเย็บ ผ้าสีมืดทึบ การประกอบชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็ก หรือการเจียระไนเพชร พลอย - แสงสว่างสำหรับพื้นที่ Outdoor สำหรับพื้นที่ภายนอกอาคาร รวมถึงทางเดินและถนนซึ่งมีแสงสว่างจากธรรมชาติค่อนข้างมากอยู่แล้ว จึง ได้มีการกำหนดค่าความสว่างเอาไว้ว่าควรมีแสงสว่างที่มีค่าความเข้มของแสงมากกว่า 20 Lux เท่านั้นค่ะ 3. มาตรฐานความปลอดภัยด้านเสียง มาตรฐานความปลอดภัยในการทางานด้านเสียง ได้กำหนดเอาไว้โดยพิจารณาจากระยะเวลาในการทำงาน ได้แก่ - เวลาทางานไม่เกิน 7 ชั่วโมง/วัน สำหรับพนักงานที่ต้องทำงานต่อเนื่องภายในโรงงานโดยมีระยะเวลาในการทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน ได้มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเอาไว้ว่า ระดับเสียงที่ได้รับติดต่อกัน จะต้องมีค่าไม่เกิน 91 เดซิเบล - เวลาทางาน 7-8 ชั่วโมง/วัน สำหรับพนักงานที่ต้องทำงานต่อเนื่องภายในโรงงาน โดยมีระยะเวลาในการทางาน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ได้มี การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเอาไว้ว่า ระดับเสียงที่ได้รับติดต่อกัน จะต้องมีค่าไม่เกิน 90 เดซิเบล
6 - เวลาทางานมากกว่า 8 ชั่วโมง/วัน สำหรับพนักงานที่ต้องทำงานต่อเนื่องภายในโรงงาน โดยมีระยะเวลาในการทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเอาไว้ว่า ระดับเสียงที่ได้รับติดต่อกัน จะต้องมีค่าไม่เกิน 80 เดซิเบล - เสียงภายในสถานประกอบการ นอกจากการกำหนดระดับเสียงที่เหมาะสมตามระยะเวลาในการทำงานของบุคคลแล้ว ยังมีการกำหนด ระดับเสียงภาพรวมภายในสถานประกอบการด้วยค่ะ ซึ่งตามมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานกำหนดเอาไว้ว่า ระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับจะต้องมีค่าไม่เกิน 140 เดซิเบล 5 4. มาตรฐานความปลอดภัยด้านสารเคมีและอนุภาค - บรรยากาศ มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในเรื่องของสารเคมีและอนุภาค ได้มีการกำหนดเอาไว้ว่าการทำงาน ของลูกจ้างจะต้องอยู่ภายใต้ปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศโดยเฉลี่ยไม่เกินค่ามาตรฐานที่กฎหมาย กำหนดไว้ - ระยะเวลา นอกจากในเรื่องของบรรยากาศแล้ว ไม่ว่าลูกจ้างจะทำงานในระยะเวลาใดก็ตามจะต้องอยู่ภายใต้ปริมาณ ความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศโดยเฉลี่ยไม่เกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ - บริเวณ หากบริเวณใดมีปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ บริเวณนั้นย่อมไม่ใช่ที่ ที่เหมาะสมในการทำงานของลูกจ้าง - ฝุ่นและแร่ การทำงานของลูกจ้างจะต้องมีปริมาณของฝุ่นและแร่ปะปนอยู่ในบรรยากาศ โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องเกินไม่ เกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้
7 สภาวะการทำงาน หมายความว่า สภาวะแวดล้อมซึ่งปรากฏอยู่ในบริเวณที่ทำงานของลูกจ้างซึ่งรวมถึงสภาพต่างๆ ในบริเวณที่ทำงานเครื่องจักรอาคารสถานที่การระบายอากาศความร้อนแสงสว่างเสียงตลอดจนสภาพและลักษณะ การทำงานของลูกจ้างด้วย งานเบา หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงน้อยหรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายไม่เกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมงเช่นงานเขียนหนังสืองานพิมพ์ดีดงานบันทึกข้อมูล งานเย็บจักรงานนั่งตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์งานประกอบชิ้นงานขนาดเล็กงานบังคับเครื่องจักรด้วยเท้าการยืนคุมงานหรืองานอื่นที่เทียบเคียงได้กับ งานดังกล่าว งานปานกลาง หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงปานกลางหรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารใน ร่างกายเกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมงถึง 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมงเช่นงานยกลากดันหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วย แรงปานกลางงานตอกตะปูงานตะไบงานขับรถบรรทุก งานขับรถแทรกเตอร์หรืองานอื่นที่เทียบเคียงได้กับงาน ดังกล่าว งานหนัก หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงมากหรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเกิน 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมงเช่นงานที่ใช้พลั่วหรือเสียมขุดตักงานเลื่อยไม้งานเจาะไม้เนื้อแข็งงานทุบโดยใช้ค้อนขนาด ใหญ่งานยกหรือเคลื่อนย้ายของหนักขึ้นที่สูงหรือที่ลาดชันหรืองานอื่นที่เทียบเคียงได้กับงานดังกล่าว
8 เครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัย (Personal Protective Equipment (PPE) หมายถึงอุปกรณ์สำหรับผู้ปฏิบัติงาน การสวมใส่ขณะปฏิบัติงานเพื่อป้องกันอันตรายหรือลดการสูญเสีย ของอุบัติเหตุต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้ หรือช่วยลดอาการบาดเจ็บจากหนักให้เป็นเบา เช่น ถ้าใช้เครื่องมืออุปกรณ์ความปลอดภัยก็จะทำให้ลดความเสี่ยงในการทำงานมากกว่าเดิมการใช้เครื่องมือและ อุปกรณ์ความปลอดภัยเป็นวิธีการหนึ่งในหลายวิธีในการป้องกันอันตรายจากการทางานซึ่งโดยทั่วไปจะมีการ ป้องกันและควบคุมที่สภาพและสิ่งแวดล้อมของการทางานก่อนโดยการแก้ไขปรับปรุงทางวิศวกรรมการกั้นแยก ไม่ให้ปะปนกับสิ่งอื่นหรือการใช้เซฟการ์ดแบบต่างๆหรือการที่จะต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเปลี่ยนกรรมวิธีการ ทำงานส่วนในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ก็จะนำกลวิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายมาใช้ ประกอบด้วยเพื่อช่วยป้องกันอวัยวะของร่างกายในส่วนที่ต้องสัมผัสงานมิให้ประสบอันตรายจากภาวะอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นขณะทำงาน หมวกป้องกันศีรษะ (Head Protection Devices) ใช้สำหรับป้องกันศีรษะจากการถูกกระแทกชนหรือวัตถุตกจากที่สูงมากระทบศีรษะ มีลักษณะแข็งแรงและ ทำด้วยวัสดุที่แตกต่างกันออกไปคือใช้ในงานอุสาหกรรมทุกประเภท และมีสีแตกต่างกันไปซึ่งบ้างครั้งก็จะใช้สีของ หมวกเพื่อเป็นการแบ่งตำแหน่งหรือหน้าที่ของผู้สวมใส่หมวกนิรภัย เป็นต้น หมวกนิรภัยบ้างชนิดมีการออกแบบมา ให้ครอบคลุมการป้องกันทั้งศีรษะ ซึ่งจะใช้ป้องกันได้ทั้งป้องกันการกระแทก ป้องกันการรับเสียงและป้องกันทั้ง ใบหน้า แต่ในปัจจุบันได้มีการออกแบบหมวกนิรภัยให้มีการสามารถติดอุปกรณ์นิรภัยชิ้นอื่นๆแยกได้ตามที่เรา ต้องการ เพื่อให้เหมาะแก่งานและสถานะการณ์ต่างๆ เช่นต้องการป้องกันศีรษะ และใบหน้าแต่ไม่ได้ต้องการการ ป้องกันการรับเสียง ก็สามารถใช้หมวกนิรภัยและเลือกติดเฉพาะหน้ากากใสเพื่อป้องกันเฉพาะศีรษะและ ใบหน้า เป็นต้น
9 อุปกรณ์ป้องกันหู (Ear Protection) ใช้สำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งการทำงานกับเครื่องจักรกล เช่นเครื่องถลุงเหล็ก เครื่องเจาะปูน เครื่องปาดคอนกรีต เครื่องจักรกลอัตโนมัติ ขนาดใหญ่ที่มีเสียงเกินดังที่หูจะรับได้หรือไม่ก็ในพื้นที่ ควรระมัดระวังเรื่องเสียงเป็นพิเศษ อุปกรณ์ป้องกันตา (Eye protection) อุปกรณ์ป้องกันดวงจากสารเคมีหรือวัสดุอื่นขณะปฏิบัติงานซึ้งอาจกระเด็นเข้าตาทำให้ตาบอดได้โดยปกติ แว่นตานิรภัยใช้ในวงการอุตสาหกรรมเคมีอุตสาหกรรมงานไม้ อุตสาหกรรมงานเครื่องมือ เครื่องจักรกล งานเชื่อม ไฟฟ้า และงานเชื่อมแก๊สโดยแว่นตานิรภัยทำจากพลาสติกหรือกระจกนิรภัยไม่แตกกระเด็นเข้าตาผู้ปฏิบัติงาน
10 อุปกรณ์ป้องกันหน้า (Face protection) เป็นอุปกรณ์ป้องกันการหายใจเมื่อปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ใช้กรองฝุ่น ควัน ฟูมโลหะ กรองก๊าซไอระเหยที่แขวนในอากาศโดยแบ่งไปตามประสิทธิภาพการกรองอากาศและชนิดของไส้ กรอง อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย (Body protection) ใช้สำหรับป้องกันส่วนต่างๆของร่างกายหรือใช้เป็นสิ่งบงบอกหน้าที่ในการปฏิบัติงาน เช่น กรณีเข้าไป ปฏิบัติงานเขตพื้นที่ที่เป็นกรดมีการสวมใส่โดยแบ่งระดับของความรุนแรงของสารเคมีแลเป็นไปตาม ข้อกำหนด ของสำนักบริหารการป้องสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสหรัฐอเมริกาโดยมีรับความรุนแรงตั้งแต่ระดับ A B C และ รวมไป จนถึงเสื้อสะท้องแสงแพงเป็นสิ่งที่
11 อุปกรณ์ป้องกันมือ (Hand protection) ใช้เพื่อป้องกันมือจากการถูกความร้อน ความสกปรก การกระแทกสะเก็ดไฟ การเสียดสีหรือ การบาดคม ถุงมือนิรภัยมีหลายประเภท เช่น ถุงมือป้องกันงานเลื่อยด้วยมือถุงมือป้องกันงานเครื่องจักร ถุงมือป้องกันทั่วไป ถุง มือป้องกันงานเย็น ถุงมือป้องกันงานเชื่อมและวัสดุที่ใช้ทำถุงมือ เช่น หนังวัว หนังกวาง หนังหมู และหนังแพะ อุปกรณ์ป้องกันเท้า (Foot protection) เป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อต้านทานแรงกระแทกและแรงบีบบริเวณหัวประกอบด้วยโครงเหล็กใช้ สำหรับวัตถุหล่นใส่ป้องกันกระดูกส่วนบนป้องกันอันตรายจากระแสไฟฟ้าป้องกันแรงกระแทกผ่านการทดสอบแรง บีบ พื้นรองเท้าป้องกันน้ำมันและ กรด ส่วนบนป้องกันน้ำซึมเข้ารองเท้า
12 เข็มขัดนิรภัย (Safety harness) เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันอันตรายจากการทางานในที่สูงจะมีสายรัดลำตัวคาดตั้งแต่หัวไหล่หน้าอกเอวและ ขาเกี่ยวติดกับสายช่วยชีวิตเพิ่มความปลอดภัยได้มากเนื่องจากจะเฉลี่ยแรงกระตุกหรือกระชากไปที่ลำตัวด้วยและ มักทำจากวัสดุที่มีความอ่อนนุ่มเพื่อช่วยลดแรงกระแทกของลาตัวอีกชั้นหนึ่งด้วย อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ใช้สำหรับป้องกันผู้สวมใส่จากอันตรายที่เกิดจากการปฏิบัติการ อุปกรณ์เครื่องมือ และ สารเคมีอันตราย แต่ไม่ได้ช่วยลดหรือกำจัดความเป็นอันตรายของสารเคมีแต่อย่างใดผู้ปฏิบัติการจึงต้องสวมใส่ อุปกรณ์ป้องกันในการทำงานและปฏิบัติการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ โดยอุปกรณ์ป้องกันฯ ที่ใช้ต้องอยู่ ในสภาพดี ไม่ชำรุดหรือฉีกขาดหรือมีรูรั่ว มีขนาดเหมาะสมกับผู้สวมใส่ และต้องสวมกระชับกับร่างกาย เพื่อให้ ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ผู้ปฏิบัติการต้องเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันฯให้เหมาะสมและต้องใช้ให้ถูกวิธี จึงจะสามารถป้องกันภัยให้ผู้สวมใส่ได้ เพราะ อุปกรณ์ป้องกันแต่ละอย่างมีหลายชนิดและหลายประเภทซึ่งเหมาะกับการใช้งานเฉพาะแต่ละประเภท หรือ มีข้อจำกัดในการใช้งานแตกต่างกันควรศึกษาข้อมูลคู่มือก่อนการใช้งาน
13 ประโยชน์ในการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลในโรงงาน 1.เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 2.เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต 3.เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงงาน 4.เพื่อช่วยในการประหยัดเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้า 5.เพื่อให้พนักงานทุกคนมีความรู้สึกว่า กาปฏิบัติงานนั้น ๆ มีความปลอดภัยตลอดเวลา 6.เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตให้สูงขึ้น การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล มีหลักการดังนี้ 1.ต้องเลือกใช้ชนิดที่ป้องกันอันตรายได้ดี 2.ต้องมีน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษและสบายในการสวมใส่ 3.ต้องมีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันอันตรายได้ดีที่สุด 4.มีราคาย่อมเยาหาซื้อได้ง่าย 5.วิธีการใช้เครื่องป้องกันนั้นจะต้องไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้คนที่ใช้สวมใสเกิดความยุ่งยาก 6.ต้องมีสีสันที่เด่นชัด และเป็นสีที่ดูแล้วสะอาดตา การใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล 1.ต้องทราบลักษณะและความต้องการในการใช้อย่างแน่นอนเสียก่อน 2.การเลือกใช้จะต้องระมัดระวัง ต้องให้ถูกต้องกับลักษณะของงานมากที่สุด ไม่ให้ขัดขวางการทำงานของคนงานได้ และจะไม่ลดประสิทธิภาพในการทำงาน 3.ต้องพยายามให้ผู้ใช้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็น รวมถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องป้องกันอันตรายได้ 4.ต้องมีการอบรมให้คำแนะนำถึงวิธีการเก็บ การรักษา และการใช้จากผู้ที่ชำนาญ 5.จะต้องมีระเบียบและข้อบังคับในการใช้ เพื่อให้การใช้มีผลที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
14 การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน โดยที่เป็นการสมควรให้กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่จะต้องมีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ในการประกอบกิจการโรงงาน และแก้ไขหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามประกาศกระทรวง อุตสาหกรรม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๒ อาศัยอำนาจตาม ความในข้อ ๑๘ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งตามมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ บททั่วไป ข้อ ๑ ประกาศนี้ใช้บังคับกับโรงงานจำพวกที่ ๒ หรือจำพวกที่ ๓ ที่เป็นโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง หรือปานกลางตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ระบุในบัญชีท้ายประกาศนี้ ข้อ ๒ ให้ยกเลิกข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ ข้อ ๑๖ ข้อ ๑๗ และ ข้อ ๑๘ ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๒ ข้อ ๓ ในประกาศนี้ “โรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง” หมายความว่า โรงงานซึ่งมีการประกอบกิจการโรงงานที่มีการใช้ เชื้อเพลิง วัตถุไวไฟ หรือมีลักษณะที่ทำให้เกิดอัคคีภัย หรือระเบิดได้ง่าย ทั้งนี้ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ ระบุในบัญชีท้ายประกาศนี้ “โรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยปานกลาง” หมายความว่า โรงงานซึ่งมีการประกอบกิจการโรงงาน นอกเหนือจากประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ระบุในบัญชีท้ายประกาศนี้ “ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้” หมายความว่า เครื่องตรวจจับควันหรือความร้อนหรือเปลวไฟที่ทำงานโดย อัตโนมัติ และอุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้แบบกดหรือดึงเพื่อให้สัญญาณเตือนภัย
15 “ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ” หมายความว่า ระบบดับเพลิงที่สามารถทำงานได้ทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดเพลิงไหม้ หรือความร้อนจากเพลิงไหม้ เช่น ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ (Automatic Sprinkler System) หรือ ระบบอื่นที่เทียบเท่า “เพลิงประเภท เอ” หมายความว่า เพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงธรรมดา เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ ยาง พลาสติก “เพลิงประเภท บี” หมายความว่า เพลิงที่เกิดจากของเหลวติดไฟ ก๊าซ และน้ำมันต่าง ๆ “วัตถุไวไฟ” หมายความว่า วัตถุที่มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่ายสันดาปเร็ว “วัตถุที่ติดไฟ” หมายความว่า วัตถุที่อยู่ในภาวะพร้อมจะเกิดการสันดาป “วัตถุทนไฟ” หมายความว่า วัตถุก่อสร้างที่ไม่เป็นเชื้อเพลิงและไม่ลดความแข็งแรงเมื่อสัมผัสกับไฟในช่วงเวลาหนึ่ง ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ข้อ ๔ อาคารโรงงานต้องจัดให้มีอุปกรณ์ตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้ครอบคลุมทั่วทั้งอาคารตามความเหมาะสม กับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีคนงานปฏิบัติงานประจำและมีการติดตั้งหรือใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือ จัดเก็บวัตถุไวไฟหรือวัสดุติดไฟได้ง่ายจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้อัตโนมัติ อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องเป็นชนิดที่ให้สัญญาณโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าจากระบบแสงสว่างและที่ใช้กับเครื่องจักร หรือมีระบบไฟสำรองที่จ่ายไฟสำหรับระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้ไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง ข้อ ๕ การติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ
16 เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ ข้อ ๖ อาคารโรงงานนอกจากได้มีการติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติแล้ว ยังต้องติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือโดย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้ เครื่องดับเพลิงแบบมือถือต้องเหมาะสมกับประเภทของเชื้อเพลิงและเป็นไปตาม มอก. ๓๓๒ เครื่องดับเพลิงยกหิ้ว ชนิดผงเคมีแห้ง หรือ มอก. ๘๘๑ เครื่องดับเพลิงยกหิ้ว : คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มอก. ๘๘๒ เครื่องดับเพลิงยก หิ้ว : โฟม หรือมาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนด หรือมาตรฐานอื่นที่เทียบเท่า ข้อ ๗ เครื่องดับเพลิงแบบมือถือต้องมีขนาดบรรจุไม่น้อยกว่า ๔.๕ กิโลกรัม พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา โดยต้องมี การตรวจสอบสภาพและความพร้อมในการใช้งานไม่น้อยกว่าหกเดือนต่อหนึ่งครั้ง ข้อ ๘ การติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือให้เป็นไปตามรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้หรือตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเรื่องมาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ข้อ ๙ เครื่องดับเพลิงแบบมือถือที่ติดตั้งแต่ละเครื่องต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน ๒๐ เมตรและให้ส่วนบนสุดอยู่สูง จากพื้นไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร มีป้ายหรือสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ชัดเจน ไม่มีสิ่งกีดขวาง และต้องสามารถนำมาใช้งาน ได้สะดวก
17 ระบบน้ำดับเพลิง ข้อ ๑๐ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดเตรียมน้ำสำหรับดับเพลิงในปริมาณที่เพียงพอที่จะส่งจ่ายน้ำให้กับอุปกรณ์ ฉีดน้ำดับเพลิงได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบนาที ข้อ ๑๑ การติดตั้งระบบน้ำดับเพลิงต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ข้อ ๑๒ โรงงานที่มีสถานที่จัดเก็บวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟได้ ที่มีพื้นที่ต่อเนื่องติดต่อกันตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป ต้องติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติ เช่น ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ ข้อ ๑๓ การติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ (Automatic Sprinkler System) ให้เป็นไปตาม มาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ ข้อ ๑๔ สถานที่จัดเก็บวัตถุไวไฟ ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ ๑๔ ตารางเมตรขึ้นไป ต้องติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติที่ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นั้น
18 การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ข้อ ๑๕ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์สำหรับการป้องกันและ ระงับอัคคีภัยให้สามารถพร้อมทำงานได้ตลอดเวลา โดยการตรวจสอบ ทดสอบและบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ เหล่านั้นให้เป็นไปตามรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้หรือมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ ข้อ ๑๖ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดเก็บเอกสารการตรวจสอบ ทดสอบ บำรุงรักษา ระบบและอุปกรณ์ตามข้อ ๒๖ โดยให้เก็บรักษาไว้ที่โรงงาน พร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ การฝึกอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย ข้อ ๑๗ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้คนงานได้รับการฝึกอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัยตามที่กรม โรงงานอุตสาหกรรมกำหนด ทั้งนี้ต้องมีเอกสารหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้ อื่นๆ ข้อ ๑๘ ช่องเปิดต่าง ๆ ที่อยู่ที่ผนัง พื้น หรือคานและช่องท่อต่าง ๆ ต้องใช้วัสดุปิดกั้นช่องท่อ และ ช่องเปิดเหล่านี้ ด้วยวัตถุทนไฟที่ป้องกันไฟได้อย่างน้อย ๒ ชั่วโมง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากเพลิงไหม้ลุกลามจากบริเวณ หนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่ง ข้อ ๑๙ พื้นที่ของอาคารโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูงและปานกลาง ที่มีสถานที่จัดเก็บวัตถุดิบหรือ ผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟได้หรือสถานที่จัดเก็บวัตถุไวไฟ ต้องกั้นแยกจากพื้นที่ส่วนอื่นของอาคารด้วยวัสดุที่มี อัตราการทนไฟได้ไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง ข้อ ๒๐ อาคารโรงงานชั้นเดียวที่เป็นโครงเหล็ก ต้องปิดหุ้มโครงสร้างด้วยวัสดุทนไฟหรือด้วยวิธีการอื่น ที่ทำให้ สามารถทนไฟได้อย่างน้อย ๑ ชั่วโมง ถ้าเป็นอาคารหลายชั้น ต้องทนไฟได้ไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง ข้อ ๒๑ การปฏิบัติงานในโรงงานซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือทำให้เกิดประกายไฟหรือความร้อนที่เป็นอันตราย ต้อง จัดทำระบบการอนุญาตทำงานที่มีประกายไฟหรือความร้อนที่เป็นอันตราย (Hot Work Permit System) ให้ เป็นไปตามหลักวิชาการด้านความปลอดภัยโดยมีเอกสารหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้ ข้อ ๒๒ โรงงานต้องจัดเส้นทางหนีไฟที่อพยพคนงานทั้งหมดออกจากบริเวณที่ทำงานสู่บริเวณที่ปลอดภัย เช่น ถนนหรือสนามนอกอาคารโรงงานได้ภายในห้านาที
19 ข้อ ๒๓ การจัดเก็บวัตถุสิ่งของที่ติดไฟได้ หากเป็นการเก็บกองวัตถุมิได้เก็บในชั้นวางความสูงของกองวัตถุนั้นต้อง ไม่เกิน ๖ เมตร และต้องมีระยะห่างจากโคมไฟไม่น้อยกว่า ๖๐ เซนติเมตร ข้อ ๒๔ เครื่องจักร อุปกรณ์ ถังเก็บ ถังปฏิกิริยาหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับวัตถุไวไฟต้องทำการต่อสายดิน (Grounding)หรือต่อฝาก (Bonding) เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากไฟฟ้าสถิต ข้อ ๒๕ การใช้ การจัดเก็บ การขนถ่ายหรือขนย้าย ตลอดจนการจัดการต่าง ๆ เกี่ยวกับสารไวไฟและสารติดไฟ ให้ ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet) ของสารนั้น ข้อ ๒๖ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของโรงงานดำเนินการตรวจ ความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยจัดทำเป็นเอกสารหลักฐานที่พนักงานเจ้าหน้าที่ สามารถตรวจสอบได้ หากพบสภาพที่เป็นอันตรายที่อาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโดย ทันที ข้อ ๒๗ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงานประกอบด้วยแผนการ ตรวจสอบความปลอดภัยด้านอัคคีภัย แผนการอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย แผนการดับเพลิง และ แผนการอพยพหนีไฟ โดยเก็บแผนนี้ไว้ที่โรงงาน พร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้และต้องปฏิบัติให้เป็นไป ตามแผน ข้อ ๒๘ สำหรับโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการก่อนวันที่กฎหมายฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ การดำเนินการ ตามหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ และหมวด ๕ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามปีนับจากวันที่ประกาศฉบับนี้มี ผลบังคับใช้ ความปลอดภัยเกี่ยวกับอาคารและทางหนีไฟ ในการออกแบบอาคารนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกนอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยภายในอาคาร แล้ว ไม่ใช่ความสวยงามของตัวอาคาร แต่เป็นความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคาร การออกแบบอาคารให้มีความ ปลอดภัยเป็นสิ่งหลักที่สำคัญที่สุดที่ผู้ออกแบบอาคารต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยด้านโครงสร้างอาคาร หรือความปลอดภัยในการใช้งานอาคาร อันตรายที่เกิดจากการใช้งานอาคารมีหลายอย่าง อัคคีภัยเป็นภัยร้ายแรงอย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นกับ อาคารได้เป็นอันดับต้นๆ มีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอัคคีภัยในอาคารได้ ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่ใช้เป็นสถาน ประกอบกิจการ หรืออาคารที่พักอาศัย เช่น การเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดเหตุขัดข้องของเครื่องใช้ไฟฟ้า การ
20 ดัดแปลงพื้นที่และเปลี่ยนแปลงการใช้งานของพื้นที่ภายในอาคาร ทำให้เกิดการใช้งานอาคารผิดประเภท การใช้ วัสดุที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น วัสดุที่ติดไฟง่ายหรือไม่ใช้วัสดุทนไฟในห้องครัว การไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัย ที่เหมาะสม หรือละเลยการดูแลและทดสอบระบบป้องกันอัคคีภัย เป็นต้น ด้วยเหตุผลที่อัคคีภัยเป็นภัยที่อาจเกิดได้ง่ายในอาคาร ทางหนีไฟภายในอาคารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ด้วย การคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคาร จึงมีการออกกฎหมายเพื่อบังคับให้มีการออกแบบทางหนีไฟภายใน อาคารเพื่อควบคุมให้อาคารมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานที่เหมาะสม ระบบทางหนีไฟจะประกอบไปด้วย เส้นทางหนีไฟ ตัวทางหนีไฟ และป้ายทางหนีไฟ โดยทั้งหมดนี้ต้องออกแบบอย่างถูกต้องเพื่อทำหน้าที่ได้ดีที่สุด โดย เส้นทางหนีไฟเป็นเส้นทางให้สามารถนำคนออกจากภายในอาคารไปสู่ภายนอกอาคารเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ โดยสะดวกรวดเร็ว โดยตามกฎหมายให้คำนิยามเส้นทางหนีไฟไว้ดังนี้ "เส้นทางหนีไฟ" หมายความว่า ทางออกและแนวทางออกเพื่อให้คนออกจากอาคารเมื่อเกิด อัคคีภัย โดยจะต้อง เป็นเส้นทางซึ่งต่อเนื่องกันเพื่อออกจากภายในอาคารไปสู่บันไดหนีไฟ หรือที่เปิดโล่ง ภายนอกอาคารที่ระดับพื้นดิน หรือออกสู่ทางสาธารณะ จากเส้นทางหนีไฟที่ผู้ออกแบบวางไว้ มีสิ่งที่เรียกว่าทางหนีไฟอยู่ โดยทางหนีไฟ คือ ทางที่สามารถนำคนออกจาก อาคารได้โดยที่ตัวมันทำหน้าที่เป็นฉนวนกันไฟด้วย สามารถป้องกันไฟและควันไฟไม่ให้เข้ามาภายในทางนี้ได้ โดย ตามกฎหมายให้คำนิยามทางหนีไฟไว้ดังนี้ "ทางหนีไฟ" หมายความว่า ส่วนหนึ่งของเส้นทางหนีไฟที่ถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของอาคารเพื่อความปลอดภัย ตลอดทางจนถึงทางปล่อยออก โดยทางหนีไฟจะต้องมีส่วนปิดล้อมที่ไม่มีช่องให้ไฟหรือควันจากภายนอกผ่านเข้ามา ได้ และส่วนปิดล้อมนี้ต้องมีอัตราการทนไฟเป็นไปตามที่กำหนด "ป้ายทางหนีไฟ" คือ ป้ายทางออกฉุกเฉิน เป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารกับผู้ใช้อาคารให้ไปตามทิศทางที่ไปสู่ทางหนีไฟและ ออกสู่ภายนอกอาคารได้ ทางหนีไฟโดยปกติเมื่อเกิดอัคคีภัยจะมีทางหนีไฟออกจากอาคารอยู่ 2 ทาง คือ ทางหนีไฟออกทางด้านล่าง และ ทางหนีไฟทางอากาศ ทางหนีไฟออกทางด้านล่างอาคารที่เราคุ้นเคยกันดีในอาคารที่มีหลายชั้นนั่นก็คือ บันไดหนี ไฟ นั่นเอง ส่วนทางหนีไฟทางอากาศจะจัดเป็นพื้นที่โล่งไว้ที่ชั้นดาดฟ้า ใช้เป็นเส้นทางหนีไฟสำหรับกรณีที่เกิดเพลิง ไหม้ด้านล่างแล้วคนชั้นบนไม่สามารถหนีออกทางด้านล่างอาคารได้
21 จะเห็นว่าทางหนีไฟ คือ สิ่งที่สำคัญมากในอาคาร การที่มีทางที่สามารถพาเราออกจากอาคารได้โดยที่ตัวมันเอง สามารถป้องกันไฟและควันได้ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตคนได้เป็นอย่างมากหากเกิดเหตุอัคคีภัยขึ้นใน อาคาร ทางหนีไฟสำหรับอาคารประเภทต่างๆ ลักษณะของทางหนีไฟตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ข้อกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ และ ทางหนีไฟทางอากาศของอาคาร ตึกแถวหรือที่พักอาศัยที่มีความสูง 4 ชั้น • ต้องมีบันไดหนีไฟเพิ่มเติมจากบันไดหลักในอาคาร โดยสามารถเป็นบันไดแนวดิ่งหรือบันไดลิงได้ ต้องสร้าง ด้วยวัสดุไม่ติดไฟ และติดตั้งในส่วนที่ว่างหลังอาคารได้ โดยบันไดหนีไฟต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร ระยะห่างของบันไดแต่ละขั้น 50-60 เซนติเมตร บันไดขั้นล่างสุดอยู่ห่างจากระดับพื้นดินไม่ เกิน 3.50 เมตร ตำแหน่งของบันไดหนีไฟต้องอยู่ในทิศตรงข้ามกับบันไดหลัก และอยู่ใกล้กับช่องเปิดของ ประตูหรือหน้าต่าง หากเป็นตึกแถวที่มีความสูงเกิน 4 ชั้น บันไดหนีไฟต้องมีชานพักบันไดทุกชั้น
22 อาคารที่ไม่ใช่ตึกแถว ที่มีความสูง 4-7 ชั้น • ต้องมีบันไดหนีไฟภายในหรือภายนอกอาคารเพิ่มเติมจากบันไดหลักในอาคาร โดยบันไดหนีไฟต้องสร้าง ด้วยวัสดุไม่ติดไฟ บันไดแต่ละช่วงสูงไม่เกินความสูงระหว่างชั้นของอาคาร มีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ตำแหน่งบันไดหนี ไฟห่างจากประตูห้องสุดท้ายด้านทางเดินที่เป็นทางตันไม่เกิน 10 เมตร หากจำเป็นต้องมีบันไดหนี ไฟ 2 ตำแหน่ง ให้สามารถใช้บันไดหลักเป็นบันไดหนีไฟได้ ระยะห่างระหว่างบันไดไม่เกิน 60 เมตร ช่อง ประตูหนีไฟต้องกว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร • ต้องมีป้ายทางหนีไฟ เป็นป้ายเรืองแสงหรือเครื่องหมายไฟที่มีการส่องสว่างด้วยไฟสำรองฉุกเฉิน บอก ทางออกสู่บันไดหนีไฟ ติดตั้งป้ายทางหนีไฟเป็นระยะตามทางเดินและหน้าทางออกสู่บันไดหนีไฟ และ ทางออกจากบันไดหนีไฟสู่ภายนอกอาคาร ป้ายทางหนีไฟมีแสงสว่างแสดงข้อความ “ทางออก” หรือ เครื่องหมายที่มีแสงสว่างแสดงว่าเป็นทางออกอย่างชัดเจน ลักษณะของผนังสำหรับทางหนีไฟ ผนังที่กล่าวถึงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทางหนีไฟมี2 ประเภท คือ ผนังกันไฟ และผนังทนไฟ ผนัง ทั้ง 2 ชนิดมีความแตกต่างกันในรายละเอียดตามกฎหมาย ดังนี้ ผนังกันไฟ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่55 มีลักษณะดังนี้ • ผนังทึบที่ก่อด้วยอิฐธรรมดาหนาไม่น้อยกว่า 18 เซนติเมตร และไม่มีช่องที่ให้ไฟหรือควันผ่านได้ • ผนังทึบที่ทำด้วยวัสดุทนไฟอย่างอื่นที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไฟได้ดีไม่น้อยกว่าผนังที่ก่อด้วยอิฐธรรมดา หนา 18 เซนติเมตร • ผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก หนาไม่น้อยกว่า 12 เซนติเมตร
23 ผนังทนไฟ ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ข้อกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ และทางหนีไฟทางอากาศ ของอาคาร มีลักษณะดังนี้ • ผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก หนาไม่น้อยกว่า 12 เซนติเมตร • ผนังอิฐ หนาไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร • ผนังคอนกรีตบล็อก หนาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร • ผนังวัสดุอย่างอื่น ต้องมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง การใช้ประตูหนีไฟอย่างถูกต้อง • ปิดประตูตลอดเวลาการกระทำอย่างง่าย ๆ เช่น การปิดประตูหนีไฟ จะช่วยจำกัดสิ่งที่เกิดจากไฟไหม้ เช่น ความร้อนและควันไฟ ให้อยู่ในพื้นที่เฉพาะและปกป้องพื้นที่ที่อยู่ติดกันและเส้นทางออก นอกจากนี้ การปิดประตูตลอดเวลา จะช่วยรักษาความดันอากาศที่เป็นลบในส่วนที่เกี่ยวกับทางเดิน โดยใช้ไฟและ รหัสความปลอดภัย • อย่าเปิดประตูด้วยการงัด หรือโดยการงอกลไกการปิด อาจทำให้ประตูไฟไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจาก ความเสียหายทางกายภาพแล้ว จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของการเผาไหม้สามารถเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่อื่น ๆ และก่อให้เกิดการแพร่กระจายและความรุนแรงของเพลิงไหม้ได้ • อย่าติดตั้ง “แผ่นวัสดุทึบ” สูงเกิน16 นิ้ว จากด้านล่างของประตูแผ่นวัสดุทึบขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็น อ่างระบายความร้อน ซึ่งสามารถลดความต้านทานไฟของประตู • อย่าเก็บอุปกรณ์ หรือสารที่ติดไฟได้กับประตูหนีไฟ อาจทำให้วัสดุเหล่านี้ติดไฟได้ หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ อีกด้านของประตู สิ่งนี้อาจเกิดอันตรายในทางเดิน โดยไม่เพียงเกิดกับผู้ที่ออกจากอาคารแต่ยังเกิดกับ บุคลากรดับเพลิงที่เข้ามาภายในอาคารเพื่อดับเพลิง • ห้ามตอกตะปู หรือน็อต หรือสิ่งของอื่น ๆ เข้ากับประตูหนีไฟ การสร้างรู หรือรอยแตกในประตูหนีไฟ อาจทําการป้องกันอัคคีภัยลดลงและต้องมีการเปลี่ยนประตูหนีไฟ ควรติดป้ายเล็ก ๆ ที่ประตูหนีไฟ ขนาด น้อยกว่า50 ฟุตของประตูหนีไฟ และติดกับกาว ในบริเวณที่ไม่ใช่กระจก
24 ลักษณะทางหนีไฟตามกฎหมาย ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการออกแบบอาคาร มีการบังคับให้ต้องมีทางหนีไฟอยู่ในอาคารหลายประเภท อาคาร และเป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของนักออกแบบที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ รวมทั้งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ อาคารควรต้องศึกษาเส้นทางหนีไฟให้ดีก่อนการใช้อาคารทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้อาคารเอง 1. ทางหนีไฟสำหรับอาคารที่สูงไม่เกิน 23 เมตร ตามกฎหมายเกี่ยวกับการออกแบบอาคารที่ชื่อว่ากฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ.2543) กำหนดไว้ว่าอาคารที่สูง ตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไปและสูงไม่เกิน 23 เมตร ได้แก่ อาคารที่สูง 3 ชั้น และมีดาดฟ้าเหนือชั้นที่ 3 ที่มีพื้นที่ดาดฟ้าเกิน 16 ตารางเมตร ต้องมีบันไดหนีไฟอย่างน้อย 1 แห่ง นอกเหนือจากบันไดหลักของอาคาร 2. ทางหนีไฟสำหรับอาคารสูง อาคารสูง หมายถึง อาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป โดยวัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้า หรือวัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงยอดผนังของชั้นสูงสุดในกรณีที่เป็นอาคารทรงจั่วหรือปั้นหยา โดยสำหรับ อาคารสูงจะมีข้อกำหนดในรายละเอียดสำหรับทางหนีไฟเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาคารสูงมีความซับซ้อนในการออกแบบ ระบบอาคารที่มากขึ้น และความยากลำบากในการอพยพคนออกจากอาคารที่มากกว่าเดิม ลักษณะของทางหนีไฟ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) มีดังนี้ • อาคารสูงที่มีพื้นของอาคารต่ำกว่าระดับถนนหน้าอาคารตั้งแต่ 3 ชั้นลงไป หรือต่ำกว่าระดับถนนหน้า อาคารตั้งแต่ 7 เมตรลงไป ต้องมีบันไดหนีไฟจากชั้นล่างสุดสู่พื้นของอาคารที่มีทางออกสู่ภายนอกได้ โดยสะดวก และบันไดหนีไฟนี้ ต้องมีระบบอัดลมที่มีความดันไม่น้อยกว่า 3.86 ปาสกาลเมตรทำงานอยู่ ตลอดเวลา ผนังทุกด้านของบันไดหนีไฟต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหนาไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร บันได หนีไฟ ต้องอยู่ห่างกันไม่น้อยกว่า 60 เมตร ตามแนวทางเดิน • อาคารสูง หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ต้องมีการปิดกั้นบันไดที่ไม่ใช่บันไดหนีไฟของอาคาร ไม่ให้เปลวไฟ หรือควันไฟเข้าไปได้ โดยจัดให้เป็นผนังหรือประตูที่ทำด้วยวัสดุทนไฟ และต้องทนไฟได้ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง • ต้องมีการติดตั้งแผนผังของอาคารไว้ในบริเวณห้องโถงหน้าลิฟต์ทุกแห่งของแต่ละชั้น ในตำแหน่งที่เห็น ชัดเจน และชั้นล่างของอาคาร ต้องมีแผนผังของอาคารทุกชั้นเก็บไว้เพื่อตรวจสอบ และในแผนผังอาคาร แต่ละชั้นต้องมีการแสดงตำแหน่งห้องทุกห้อง ตำแหน่งที่ติดตั้งสายฉีดน้ำดับเพลิง หรืออุปกรณ์ดับเพลิงอื่น ๆ ตำแหน่งประตูหรือทางหนีไฟ และตำแหน่งลิฟต์ดับเพลิงของชั้นนั้นด้วย
25 • ต้องมีระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ทุกชั้น ต้องมีบันไดหนีไฟจากชั้นสูงสุด หรือชั้นดาดฟ้าสู่พื้นดินอย่าง น้อย 2 บันได แต่ละบันไดต้องอยู่ห่างกันไม่เกิน 60 เมตร ตามแนวทางเดิน และต้องแสดงการคำนวณให้ เห็นว่าสามารถลำเลียงบุคคลทั้งหมดในอาคารออกนอกอาคารได้ภายใน 1 ชั่วโมง • บันไดหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟและไม่ผุกร่อน เช่น คอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นต้น บันไดต้องมีความกว้าง ไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างไปน้อยกว่า 22 เซนติเมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร มีชาน พักบันไดกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร มีราวบันไดอย่างน้อย 1 ด้าน และห้ามสร้างบันไฟหนีไฟเป็น บันไดเวียน บันไดหนีไฟภายนอกอาคาร ผนังด้านที่บันไดพาดผ่านต้องเป็นผนังกันไฟ • บันไดหนีไฟภายในอาคารต้องมีผนังกันไฟกั้นโดยรอบ ยกเว้นช่องระบายอากาศ และต้องมีการใช้ไฟฟ้า ฉุกเฉิน เพื่อเป็นแสงสว่างให้มองเห็นขณะเกิดเพลิงไหม้ได้ และมีป้ายบอกชั้น และป้ายทางหนีไฟที่ด้านใน และด้านนอกของประตูหนีไฟทุกชั้นด้วยตัวอักษรที่สามารถมองเห็นได้ชัด ตัวอักษรต้องมีขนาดไม่เล็กว่า 10 เซนติเมตร • ประตูหนีไฟทำด้วยวัสดุทนไฟ เป็นบานเปิดแบบผลักออกสู่ภายนอก มีอุปกรณ์ที่บังคับให้บานประตูปิดเอง ได้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร และไม่มีธรณีประตู • ต้องมีช่องทางเฉพาะให้บุคคลภายนอกเข้าไปบรรเทาสาธารณภัยได้ทุกชั้น จะเป็นลิฟต์ดับเพลิง หรือช่อง บันไดหนีไฟก็ได้ และทุกชั้นต้องมีห้องว่างที่มีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 6 ตารางเมตรติดต่อกับช่องทางนี้ และต้อง เป็นบริเวณที่ปลอดจากเปลวไฟและควันเช่นเดียวกับช่องบันไดหนีไฟ และใช้เป็นที่ตั้งตู้หัวฉีดน้ำดับเพลิง ประจำชั้นของอาคาร • ต้องมีทางหนีไฟทางอากาศ โดยต้องมีดาดฟ้า และมีพื้นที่บนดาดฟ้าด้านละไม่น้อยกว่า 10 เมตร เป็นที่โล่ง ว่าง และมีทางหนีไฟบนชั้นดาดฟ้า ที่จะนำไปสู่บันไดหนีไฟได้สะดวกทุกบันได และมีอุปกรณ์สำหรับหนีไฟ จากอาคารลงสู่พื้นดินได้โดยปลอดภัยด้วย 3. ทางหนีไฟสำหรับอาคารประเภทต่าง ๆ ลักษณะของทางหนีไฟตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ข้อกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ และ ทางหนีไฟทางอากาศของอาคาร ตึกแถวหรือที่พักอาศัยที่มีความสูง 4 ชั้น • ต้องมีบันไดหนีไฟเพิ่มเติมจากบันไดหลักในอาคาร โดยสามารถเป็นบันไดแนวดิ่งหรือบันไดลิงได้ ต้องสร้าง ด้วยวัสดุไม่ติดไฟ และติดตั้งในส่วนที่ว่างหลังอาคารได้ โดยบันไดหนีไฟต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร ระยะห่างของบันไดแต่ละขั้น 50-60 เซนติเมตร บันไดขั้นล่างสุดอยู่ห่างจากระดับพื้นดินไม่เกิน
26 3.50 เมตร ตำแหน่งของบันไดหนีไฟต้องอยู่ในทิศตรงข้ามกับบันไดหลัก และอยู่ใกล้กับช่องเปิดของประตู หรือหน้าต่าง หากเป็นตึกแถวที่มีความสูงเกิน 4 ชั้น บันไดหนีไฟต้องมีชานพักบันไดทุกชั้น อาคารที่ไม่ใช่ตึกแถว ที่มีความสูง 4-7 ชั้น • ต้องมีบันไดหนีไฟภายในหรือภายนอกอาคารเพิ่มเติมจากบันไดหลักในอาคาร โดยบันไดหนีไฟต้องสร้าง ด้วยวัสดุไม่ติดไฟ บันไดแต่ละช่วงสูงไม่เกินความสูงระหว่างชั้นของอาคาร มีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ตำแหน่งบันไดหนีไฟ ห่างจากประตูห้องสุดท้ายด้านทางเดินที่เป็นทางตันไม่เกิน 10 เมตร หากจำเป็นต้องมีบันไดหนีไฟ 2 ตำแหน่ง ให้สามารถใช้บันไดหลักเป็นบันไดหนีไฟได้ ระยะห่างระหว่างบันไดไม่เกิน 60 เมตร ช่องประตู หนีไฟต้องกว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร • ต้องมีป้ายทางหนีไฟ เป็นป้ายเรืองแสงหรือเครื่องหมายไฟที่มีการส่องสว่างด้วยไฟสำรองฉุกเฉิน บอก ทางออกสู่บันไดหนีไฟ ติดตั้งป้ายทางหนีไฟเป็นระยะตามทางเดินและหน้าทางออกสู่บันไดหนีไฟ และ ทางออกจากบันไดหนีไฟสู่ภายนอกอาคาร ป้ายทางหนีไฟมีแสงสว่างแสดงข้อความ ทางออก หรือ เครื่องหมายที่มีแสงสว่างแสดงว่าเป็นทางออกอย่างชัดเจน อาคารที่ไม่ใช่ตึกแถว ที่มีความสูงเกิน 12 ชั้น • มีบันไดหนีไฟเหมือนอาคารที่สูง 7-12 ชั้น แต่ต้องมีระบบอัดลมในทางหนีไฟที่เชื่อมบันไดหนีไฟ 2 บันไดที่ ไม่ต่อเนื่องกันด้วย ส่วนบันไดหลักหรือบันไดอื่นตั้งแต่ชั้น 3 ขึ้นไปให้ออกแบบให้ใช้เป็นบันไดหนีไฟด้วย อาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ต่ำกว่าระดับดินมากกว่า 2 ชั้น • ต้องมีบันไดหนีไฟสู่ระดับพื้นดิน รายละเดียดเช่นเดียวกับอาคารที่มีความสูงเกิน 12 ชั้น อาคารที่สูงเกิน 7 ชั้น • ต้องมีทางหนีไฟทางอากาศ โดยให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งบนชั้นดาดฟ้าเป็นที่ว่างเพื่อใช้เป็นทางหนีไฟทางอากาศ และต้องมีทางหนีไฟบนชั้นดาดฟ้าที่นำไปสู่บันไดหนีไฟได้ หรือมีอุปกรณ์ช่วยในการหนีไฟจากอาคารลงสู่ พื้นดินได้อย่างปลอดภัย
27 4. ทางหนีไฟสำหรับอาคารเก่าที่เป็นอาคารสูง 4 ชั้นขึ้นไปและอาคารสาธารณะ อาคารเก่าที่ก่อสร้างมานานแล้ว ไม่มีทางหนีไฟ ทำให้มีความเสี่ยงเป็นอันตรายต่อผู้ใช้อาคาร จะต้องมีการ ปรับปรุงแก้ไขอาคารเหล่านี้ให้มีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยด้วย ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) กำหนดว่า อาคารเก่าที่ก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้าย ที่เป็นอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคาร ขนาดใหญ่ อาคารสาธารณะ อาคารอยู่อาศัยรวม โรงงาน ภัตตาคาร และสำนักงาน ที่มีสภาพที่อาจไม่ปลอดภัย จากอัคคีภัย ต้องมีการแก้ไขอาคารให้มีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย โดยกำหนดรายละเอียดที่ตัดมา เฉพาะทางหนีไฟไว้ ดังนี้ • อาคารที่มีความสูง 4 ชั้นขึ้นไป ให้ติดตั้งบันไดหนีไฟ ที่ไม่ใช่บันไดในแนวดิ่งเพิ่มจากบันไดหลัก ให้ เหมาะสมกับพื้นที่ของอาคาร และสามารถลำเลียงบุคคลทั้งหมดในอาคารออกนอกอาคารได้ภายในหนึ่ง ชั่วโมง โดยบันไดหนีไฟภายในอาคารต้องมีผนังโดยรอบทุกด้านทำด้วยวัสดุที่ไม่ติดไฟ ช่องประตูบันไดหนี ไฟต้องเป็นบานเปิดทำด้วยวัสดุที่ไม่ติดไฟ มีอุปกรณ์ที่บังคับให้ประตูปิดเองได้ และมีความกว้างไม่น้อย กว่า 80 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร • ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรอง มีป้ายบอกชั้นและป้ายทางหนีไฟที่ด้านในและด้านนอกของประตูหนีไฟทุก ชั้น ตัวอักษรมีขนาดไม่เล็กกว่า 10 เซนติเมตร
28 การสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรม คำว่า สุขาภิบาล (sanitation) มีรากศัพท์มาจากคำลาติน คือ sanitas ที่มีความหมายว่า สุขภาพ ซึ่งเป็น ความหมายที่กว้างเพราะในอดีตสุขาภิบาลอาหารพื้นฐานในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร มุ่งเน้นเฉพาะความสะอาด เพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหารที่มีผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการนำ มาตรการอาหารสากล เช่น หลักเกณฑ์ วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารและระบบการวิเคราะห์อันตรายและ จุดวิกฤตที่ต้องควบคุมมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การค้าผลิตภัณฑ์อาหารระหว่างประเทศมีความ ปลอดภัย ประเทศซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารลำดับต้นๆ ของ โลกต้องนำระบบเหล่านี้มาปรับใช้ในการจัดการ ความปลอดภัยด้านอาหารเพิ่มเติมนอกจากสุขาภิบาลอาหารซึ่ง เป็นโปรแกรมพื้นฐานที่มีอยู่โดยคำนึงถึง ความปลอดภัยด้านอาหารที่ได้มาตรฐานในระดับสากล อาหารไทยที่ ส่งออกจึงจะได้รับการยอมรับจาก นานาชาติและสามารถพัฒนาขีดความสามารถจนกระทั่งเป็นครัวของโลกได้ใน ที่สุด (world ‘s kitchen) รวมทั้งให้อาหารที่ผลิตเพื่อบริโภคในประเทศได้คุณภาพมาตรฐานและปลอดภัย เช่นเดียวกัน ในบทนี้จะได้นำเสนอบทนาเกี่ยวกับสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ในเรื่องความหมาย และ ความสำคัญ ความปลอดภัยด้านอาหาร กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับสุขาภิบาลโรงงาน อุตสาหกรรม อาหาร 1.1 ความหมายและประโยชน์ของสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร สุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น ตามระดับการ ขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหาร กระบวนการผลิตอาหารในปัจจุบันจึงมักมีกำลังการผลิต ที่มากขึ้นและใช้ เครื่องจักรกลหลายชนิด ต้องอาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านสุขาภิบาลอาหารที่ เหมาะสมมา ประยุกต์ในการจัดกระบวนการผลิตอาหารให้มีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ดังนั้นการศึกษา วิชานี้จึงต้องทราบ ความหมายและคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความจำเป็นของสุขาภิบาลอาหารเป็นเรื่องแรก 1.1.1 ความหมายของสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร การให้คำนิยามสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรม อาหารมีหลายคำที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ (1) การสุขาภิบาลอาหาร หมายความว่าการจัดการและควบคุมเพื่อให้อาหารสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อโรค พยาธิและสารเคมีที่เป็นพิษต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายต่อการ เจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพอนามัยและการดำรงชีวิตของมนุษย์ (กรมอนามัย, 2547) (2) สุขาภิบาลอาหาร หมายความว่า กระบวนการจัดการ ควบคุมอาหารให้สะอาด ปลอดภัยจาก เชื้อจุลินทรีย์ สารเคมี และสารพิษต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายหรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการเจริญเติบโตของ
29 ร่างกาย สุขอนามัยและการดำรงชีวิตทั่วไปของผู้บริโภค กล่าวโดยย่อได้ว่าการสุขาภิบาล อาหาร คือ การ ทำอาหารให้สะอาดและปลอดภัยแก่ผู้บริโภค (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน, 2544) (3) โรงงาน (plant) หมายความว่า อาคาร สถานที่ หรือยานพาหนะที่ใช้เครื่องจักรมีกำลังรวมตั้งแต่ห้า แรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ห้าแรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่เจ็ดคนขึ้นไปโดยใช้เครื่องจักหรือไม่ก็ตาม สำหรับทำผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซอมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลาย สิ่งใดๆ (พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535, 2535) (4) อุตสาหกรรม (Industry) หมายความว่า การทำสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้า (พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, 2525) (5) อาหาร (food) หมายความว่า ของกินหรือเครื่องค้ำจุนชีวิต (พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522, 2522) จากนิยามต่างๆ ที่กล่าวมานำมาสรุปได้ว่า สุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร หมายความว่า การ ทำอาหารที่ผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมีความสะอาดและปลอดภัยแก่ผู้บริโภค สุขาภิบาลอาหารเป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ในการจัดการอาหารโดยภาพรวมในสภาพที่ถูก สุขลักษณะ การบำรุงรักษาสุขลักษณะที่ ดี การจัดการสภาพแวดล้อมในการเตรียม การแปรรูป การจัดการอาหาร โดยผู้จัดการระบบอาหารควรมี สุขภาพดีเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุการก่อโรค ที่มีอาหารเป็นสื่อ ลดการปนเปื้อนและการ เน่าเสียของอาหาร รวมทั้งการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในการ จัดระบบบำบัดของเสียซึ่งจะช่วยลดมลพิษและสร้าง สมดุลของระบบนิเวศ 1.1.2 ประโยชน์ของสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ในศตวรรษนี้ การพัฒนาหลักการแปรรูปและ ถนอมอาหาร รวมทั้งการบรรจุภัณฑ์ช่วย ปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยตลอดทั้งห่วงโซ่อาหารและลด ต้นทุนการเก็บรักษา อย่างไรก็ตาม อาหารพร้อมบริโภคและอาหารแปรรูปยังมีปัญหาเกี่ยวกับการปนเปื้อน จุลินทรีย์และเป็นสาเหตุของการ เกิดโรคระบาดทางอาหาร รวมทั้งมีข้อเสียจากการแปรรูปอาหารจำนวนมาก สุขาภิบาลโรงงาน อุตสาหกรรมอาหารที่ดีเท่านั้นจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ สามารถสรุปประโยชน์ของการ สุขาภิบาลอาหาร (Marriott, 1997) ได้แก่ (1) การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานอาหาร ในปัจจุบันการตรวจสอบอาหารในเรื่อง ปริมาณของ จุลินทรีย์และสารเคมีอันตรายมีความเข้มงวดมากขึ้นและโรงงานอาหารที่มีระบบการจัดการ สุขาภิบาลอาหาร ที่ดีเท่านั้นจึงจะเป็นที่ยอมรับตามกฎหมายและมาตรฐานอาหาร (2) การป้องกันการระบาดของโรคที่มีอาหารเป็นสื่อ การเจ็บป่วยของผู้บริโภคจำนวนมาก เกิดจากการ บริโภคอาหารส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากระบบการจัดการสุขาภิบาลอาหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการ แพร่ระบาดของจุลินทรีย์ในอาหาร
30 (3) การปรับปรุงคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของอาหาร แม้ว่าในบางกรณีการจัดการ สุขาภิบาลที่ไม่มี ประสิทธิภาพไม่อาจทำให้ผู้บริโภคเจ็บป่วยแต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการเน่าเสียมีสีกลิ่น 5 รสที่ไม่ดีอาหารที่ เน่าเสียทำให้คุณค่าทางผู้ชนะการและราคาจำหน่ายลดลงนอกจากนี้ยังเพิ่มแรงงานใน การนำสินค้าออกจาก ชั้นวางและต้นทุนในการบรรจุภัณฑ์ใหม่ซึ่งส่งผลให้กำไรลดลง (4) การประหยัดพลังงานการบำรุงดูแลรักษา ง่ายและลดค่าประกันอุบัติภัย การหมั่นทำความสะอาด เครื่องจักร เช่น คอยล์ (coils) พัดลมดูดอากาศ (blowers) และพัดลม (fans) ในใรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนฝุ่นผงที่สกปรกและจุลินทรีย์ตกลงไปใน อาหารทำให้ประสิทธิภาพการ แลกเปลี่ยนความร้อนของเครื่องจักรมีประสิทธิภาพและสามารถลดต้นทุน พลังงานรวมทั้งการทำความสะอาด พื้นโรงงานไม่ให้มีความมันลื่นจากไขมันช่วยลดค่าประกันอุบัติภัยจาก การลื่นล้มของพนักงาน (5) การเพิ่มคุณภาพและความมั่นใจ ระบบสุขาภิบาลอาหารที่ดีลดความเสี่ยงจากการเกิด โรคระบาด เกี่ยวกับทางเดินอาหารและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคสร้างความตระหนักให้ผู้ผลิตอาหาร มีคุณธรรมและ ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค 1.2 นิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเรื่องข้อปฏิบัติแนะนำระหว่างประเทศ: หลักการทั่วไป เกี่ยวกับ สุขลักษณะอาหาร มอก. 34-2546 (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, 2547) พระราชบัญญัติ คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (พระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติพ.ศ. 2551, 2551) และพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 (พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2550, 2550) ได้ให้ นิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ดังต่อไปนี้ (1) สุขลักษณะอาหาร (food hygiene) หมายถึง สภาวะและมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นที่จะทำให้มั่นใจใน ความปลอดภัยและความเหมาะสมของอาหารในทุกขั้นตอนของอาหารตั้งแต่การผลิตเบื้องต้น จนถึงผู้บริโภค สุดท้าย (2) การปนเปื้อน (contamination) หมายถึง การได้รับหรือเกิดสิ่งปนเปื้อนในอาหารหรือ สิ่งแวดล้อม ของอาหาร (3) สิ่งปนเปื้อน (contaminant) หมายถึง สารเคมี สารชีวภาพ สิ่งแปลกปลอมหรือสารพิษ อื่นๆ ที่ไม่ได้ ตั้งใจเติมเข้าไปในอาหาร ซึ่งอาจทำให้ความปลอดภัยหรือความเหมาะสมของอาหารลดลง (4) อันตราย (hazard) หมายถึง สารเคมีหรือชีวสารหรือวัตถุทางฟิสิกส์ที่มีอยู่ในอาหารหรือ สภาวะของ อาหารที่มีศักยภาพก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ
31 (5) การทำความสะอาด (cleaning) หมายถึง การขจัดสิ่งสกปรก เศษอาหาร ฝุ่น น้ำมัน เป็น สิ่งไม่พึง ประสงค์อื่น ๆ (6) การฆ่าเชื้อ (disinfection) หมายถึงการลดจำนวนจุลินทรีย์ในสิ่งแวดล้อมโดยวิธีการใช้สารเคมีและ / หรือวิธีทางฟิสิกส์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ทำให้ความปลอดภัยและความเหมาะสมของอาหารลดลง (7) ความเหมาะสมของอาหาร (food suitability) หมายถึง ความมั่นใจว่าอาหารเป็นที่ยอมรับได้สำหรับ การบริโภคตามประโยชน์ที่ตั้งใจ (8) ผู้จับต้องอาหาร (food handler) หมายถึง บุคคลที่สัมพันธ์โดยตรงกับอาหารที่บรรจุหีบ ห่อหรือ อาหารที่ยังไม่ได้บรรจุหีบหออุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้หรือภาชนะหรือพื้นผิวสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับอาหาร และดังนั้นจึงคาดหวังว่าต้องมีคุณลักษณะตามข้อกำหนดสุขลักษณะอาหาร (9) การผลิตเบื้องต้น (primary production) หมายถึง ขั้นตอนต่างๆ ในลูกโซ่อาหาร เช่น การเก็บเกี่ยว การค้า การชำแหละสัตว์ การรีดนมและการจับสัตว์น้ำทั้งนี้รวมถึงขั้นตอนก่อนถึงขั้นตอน ดังกล่าวด้วย (10) ห่วงโซ่อาหาร (food chain) หมายความว่า วงจรการผลิตอาหารตั้งแต่วัตถุดิบปัจจัย การผลิต การ เพาะปลูก การเพาะเลี้ยง การตัดแต่ง การแปรรูป การขนส่งการปรุง การประกอบการ บรรจุการเก็บรักษา การจัดจำหน่าย การกระจายจนถึงผู้บริโภครวมทั้งการนำเข้าการนำพาและการส่งออก (11) คุณภาพอาหาร (food quality) หมายความว่า อาหารที่มีคุณภาพทางกายภาพและ ส่วนประกอบที่ พึงจะมีรวมถึงคุณค่าทางโภชนาการการที่เหมาะสม (12) สุขภาพ (health) หมายความว่า ภาวะมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกายทางจิตทางปัญญาและ ทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล จากนิยามคำศัพท์ที่กล่าวมาการสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ใน ความหมายกว้างจึง เกี่ยวโยงถึงการจัดการตลาดห่วงโซ่การผลิตอาหารให้ถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการ ปนเปื้อนจากสิ่งปนเปื้อนและอันตรายเพื่อให้อาหารนั้นมีความเหมาะสมและมีคุณภาพเพียงพอแก่การบริโภค เพื่อการเสริมสร้างสุขภาพ 1.3 สุขาภิบาลกับความปลอดภัยด้านอาหาร พระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (พระราชบัญญัติคณะกรรมการ อาหาร แห่งชาติ พ.ศ. 2551, 2551) ได้ให้นิยามของคำว่า ความปลอดภัยด้านอาหาร (food safety) หมายถึง การ จัดการให้อาหารและสินค้าเกษตรที่นำมาเป็นอาหารบริโภคสำหรับมนุษย์มีความปลอดภัย โดยไม่มีลักษณะ เป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยอาหารและตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง อาหารที่มีลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่งจัดว่าเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัย (food insecurity) ดังต่อไปนี้ด้วย (1) อาหารที่มีจุลินทรีย์ก่อโรคหรือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเจือปนอยู่
32 (2) อาหารที่มีสารหรือวัตถุเจือปนอยู่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในปริมาณที่อาจเป็นเหตุให้เกิดอันตราย หรือสามารถสะสมในร่างกายที่ก่อให้เกิดโรคหรือผลกระทบต่อสุขภาพ (3) อาหารที่ได้ผลิต ปรุง ประกอบ บรรจุ ขนส่งหรือมีการเก็บรักษาไว้โดยไม่ถูกสุขลักษณะ (4) อาหารที่ผลิตจากสัตว์หรือผลผลิตจากสัตว์ที่เป็นโรคอันตรายอันอาจติดต่อถึงคนได้ (5) อาหารผลิต ปรุง ประกอบจากสัตว์และพืช หรือผลผลิตจากสัตว์และพืชที่มีสารเคมีอันตราย เภสัช เคมีภัณฑ์หรือยาปฏิชีวนะตกค้างในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (6) อาหารที่มีภาชนะบรรจุประกอบด้วยวัตถุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในขณะที่นิยามตามโครงการ มาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex Alimentarius) และ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เรื่อง ข้อปฏิบัติแนะนำระหว่างประเทศ : หลักการทั่วไปเกี่ยวกับ สุขลักษณะอาหาร มอก. 34-25546 (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรม, 2547) กล่าวว่า อาหารปลอดภัยหรือความปลอดภัยของ อาหาร หมายถึง ความมั่นใจที่ว่าอาหารนั้นจะไม่ก่อให้เกิด อันตรายขึ้นแก่ ผู้บริโภค หากมีการจัดเตรียม ปรุง ผสม และรับประทานถูกตามลักษณะที่มุ่งหมายของ อาหารนั้น องค์การอนามัยโลก (WHO, 2008) ได้เสนอหลักการ 5 ประการสู่อาหารปลอดภัย ซึ่งมีความ เกี่ยวข้องกับ สุขาภิบาลอาหาร ดังต่อไปนี้ (1) รักษาความสะอาด แม้ว่าเชื้อจุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคร้ายแรง แต่ เมื่อ เชื้อจุลินทรีย์บางชนิดอาศัยอยู่ในพื้นดิน น้ำ สัตว์และคน มือ รวมทั้งอยู่ในเครื่องมือเครื่องใช้ในการ แปรรูป อาหาร ซึ่งมีโอกาสที่เชื้อเหล่านี้จะปนเปื้อนในอาหารทำให้อาหารเป็นสื่อของเชื้อโรคดังนั้นเพื่อ เป็นการรักษา ความสะอาด ผู้จับต้องอาหารจึงต้องล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและในระหว่าง การเตรียมอาหาร ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ พื้นผิวและอุปกรณ์ที่ใช้ใน การประกอบอาหาร รวมทั้งดูแลสถานที่ประกอบอาหารให้ปลอดภัยจากแมลงและสัตว์ต่างๆ มีการฆ่าเชื้อ โรคบริเวณโต๊ะที่ใช้เตรียม ปรุงอาหาร เตาหุงต้มอาหาร พื้น ผนัง เพดานของห้องครัวให้สะอาดอยู่เสมอ ผ้าเช็ดทำความสะอาดต้องแยก ใช้เฉพาะแต่ละบริเวณ เช่น ผ้าที่ใช้เช็ดโต๊ะต้องแยกจากผ้าที่ใช้เช็ดพื้น เป็นต้น และต้องซักทำความสะอาดผ้า บ่อยๆ (2) แยกอาหารที่ปรุงสุกแล้วออกจากอาหารสด อาหารดิบ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และ อาหารทะเลรวมไปถึง ของเหลวจากเนื้อสัตว์ อาจมีจุลินทรีย์ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งอาจแพร่กระจายไปสู่อาหาร อื่นในขณะปรุงอาหารหรือ เก็บอาหาร ดังนั้น ควรแยกอาหารสดออกจากอาหารที่สุกแล้วรวมทั้งอุปกรณ์และภาชนะประกอบอาหารใน การเตรียมอาหารสด เช่น ควรแยกใช้เขียง มีด หรือภาชนะอุปกรณ์ระหว่าง อาหารดิบและอาหารปรุงสุก เก็บ
33 อาหารในภาชนะที่มีการปิดสนิทไม่ให้อาหารที่ปรุงสุกกับอาหารสดปน กันเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนข้าม ระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก (3) ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง การปรุงอาหารที่ถูกวิธีและถูกสุขลักษณะจะทำลายจุลินทรีย์ที่ เป็นอันตรายได้ เกือบหมดทุกชนิด เพราะจุลินทรีย์สามารถเพิ่มจำนวนได้ทวีคูณที่อุณหภูมิในช่วง 15-40 องศาเซลเซียส ดังนั้น อาหารที่ปรุงที่ อุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียสขึ้นไปจัดเป็นอาหารที่ปลอดภัย ดังนั้น ควรปรุงอาหารให้สุก ทั่วถึง ไม่ปรุงอาหารแบบสุกๆ ดิบๆ เช่นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไข่ และอาหารทะเล ด้วยความร้อนในขณะหุง ต้มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสเพื่อทำให้อาหารสุก ทั่วถึงทุกส่วน รวมทั้งเวลาอุ่นอาหารที่ปรุงแล้ว จะต้องอุ่นให้ร้อนทั่วถึงทั้งชิ้น ผลของอุณหภูมิที่มีต่อการเจริญและยับยั้งจุลินทรีย์ในอาหาร (4) เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม จุลินทรีย์สามารถเพิ่มจำนวนได้ในระยะเวลาอย่าง รวดเร็ว ณ อุณหภูมิห้องและจะหยุดเจริญและเพิ่มจำนวนช้าลง เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตามจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายบางชนิดจะ เจริญและเพิ่มจำนวนได้ที่อุณหภูมิต่ำ กว่า 5 องศาเซลเซียส ดังนั้น จึงไม่ควรทิ้งอาหารที่ปรุงสุกแล้วไว้ใน ที่อุณหภูมิห้องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ควร เก็บอาหารที่ปรุงแล้วและอาหารที่เน่าเสียได้ง่ายในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสและไม่เก็บอาหาร ไว้ในตู้เย็นนานจนเกินไปและอย่าละเลยอาหารแช่แข็งที่อุณหภูมิห้อง การเก็บรักษาอาหารในตู้เย็นไม่ควรเก็บ อาหารในปริมาณมากๆ ในภาชนะขนาดใหญ่ควรแบ่งใส่ภาชนะกว้างและตื้นเพื่อให้ความเย็นกระจายซึมผ่าน ได้ทั่วถึงและต้องนำมาอุ่นให้ร้อนก่อน บริโภค สำหรับอาหารทารกไม่ควรเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือเก็บไว้เป็น เวลานาน เมื่อปรุงสุกแล้วควรนำไป บริโภคทันที (5) ใช้น้ำและวัตถุดิบที่ปลอดภัยในการปรุงอาหาร วัตถุดิบในการแปรรูปอาหาร รวมทั้ง น้ำและน้ำแข็ง อาจจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายบางชนิดและสารเคมีปนเปื้อนอยู่ ซึ่งสารพิษอาจเจริญใน อาหารที่กำลังเน่า เสีย ดังนั้นจึงควรใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหารหรือต้องบำบัดน้ำให้สะอาดก่อน นำมาใช้ปรุงอาหาร โดยยึด หลักการที่ว่า น้ำที่ใช้ในการเตรียม ปรุงอาหาร ต้องเป็นน้ำที่สะอาด มีคุณภาพเช่นเดียวกันกับน้ำดื่ม เลือกใช้ วัตถุดิบที่สดหรือที่ผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อมาแล้ว และไม่นำ วัตถุดิบที่หมดอายุมาใช้ในการแปรรูปอาหาร จากหลัก 5 ประการขององค์การอนามัยโลกสามารถสรุปเป็น หลักการพื้นฐานของการสุขาภิบาล อาหาร ได้ว่า การสุขาภิบาลอาหารที่ดีนั้นประกอบไปด้วย 4 เรื่อง (หลักการ 3 C และ 1 S) ได้แก่ (1) การทำวามสะอาดมือและอุปกรณ์สม่ำเสมอ (Clean) (2) การแยกอาหารดิบออกจากอาหารสดเพื่อปูองกันการปนเปื้อนข้าม (Separate) (3) การใช้อุณหภูมิต่ำนการรักษาคุณภาพของอาหารสด (Chill) (4) การใช้ความร้อนทำให้อาหารสุกพอแก่การบริโภค (Cook)
34 การสุขาภิบาลโรงงานอุตสาหกรรมอาหารนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร เท่านั้น หากต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวโยงตลอดทั้งห่วงโซ่อาหารโดยเริ่มตั้งแต่ การให้ความสำคัญกับการ ผลิต เบื้องต้นจากไร่นา สวน ฟาร์ม ผู้ขนส่งผู้แปรรูป ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายอาหารไปจนถึงผู้บริโภคในขั้น สุดท้ายตาม หลักการ จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (from farm to table)และเน้นการควบคุมสุขลักษณะที่สำคัญในแต่ละ ขั้นตอนให้ชัดเจน เพราะวัตถุดิบอาหารอาจมีการปนเปื้อนจากสิ่งปนเปื้อนได้ทุกขั้นตอนใน ห่วงโซ่อาหาร สิ่ง ปนเปื้อนดังกล่าวอาจลดคุณภาพของอาหารและก่อให้เกิดอันตรายกับสุขภาพของ ผู้บริโภคได้ การประกอบและเสิร์ฟอาหารที่ถูกสุขลักษณะ คือ 1. ล้างอาหารให้สะอาดก่อนนามาประกอบอาหาร เช่น ล้างผักสดด้วยน้ำสะอาด จนหมดดินโคลนหรือปุ๋ย แล้วล้างด้วยน้ำยาสาหรับล้างผัก เช่น Lipon F, Wonderful K จะช่วยกาจัดไข่หนอนพยาธิให้หลุดไปจากผักได้ เกือบหมด หรือการแช่ผักในน้ำาไอโอดีน โดยผสม ไอโอดีน 100 ส่วน ในน้ำล้านส่วน (100 ppm.) และต้องแช่อยู่ นาน 10 นาทีเป็นอย่างน้อย จึงจะช่วยทาลายไข่หนอนพยาธิได้ ส่วนการล้างและแช่ผักในด่างทับทิม ซึ่งใช้กันมาเป็นเวลานานนั้น บัดนี้การวิจัยค้นคว้าทางปรสิตวิทยายืนยันว่าไม่มี ผลทำลายไข่พยาธิ ฉะนั้นเพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน ในฤดูที่มีโรคทางเดินอาหารระบาด เช่น โรคบิด อหิวาต์ ไข้ รากสาดน้อย ควรงดกินผักสด 2. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการปรุง เสิร์ฟและรับประทานอาหาร เช่น มีด เขียง จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้า หม้อ กระทะ ตะหลิว ฯลฯ ก่อนนำมาใช้ต้องผ่านการล้างอย่างสะอาด แล้วเก็บรักษาให้สะอาดปลอดภัย จากสิ่งสกปรกทั้งหลาย เช่นไม่วางกับพื้นห้อง บนโต๊ะหรือปะปนกับภาชนะที่สกปรก ไม่นำเข้าห้องน้ำห้องส้วม เพราะอาจมี โรคติดต่อติดมากับภาชนะเหล่านั้นออกมาได้ เขียงต้องแยกใช้สาหรับอาหารสุก และอาหารดิบไม่ปนกัน และป้องกันความสกปรกที่จะเกิดขึ้นในระหว่าง ปฏิบัติงาน หรือจากแมลงและสัตว์นำโรค 3. จะต้องป้องกันไม่ให้แมลงวันตอมอาหารในขณะที่ประกอบอาหาร 4. อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู หรือปลา ต้องทำให้สุกจริงๆ เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้อาจมีตัว อ่อนของพยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ในตับ หรือตัวจี๊ด การใช้ความร้อนที่สูงและนานพอเท่านั้นจึงจะฆ่าพยาธิเหล่านี้ให้ ตายได้ 5. เศษอาหารต้องใส่ภาชนะมีฝาปิดไม่ให้แมลงวันตอม 6. ควรใช้เครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ช้อนส้อม แทนมือในการคลุก หรือยา 7. หากมีการไอหรือจามต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษปิดปากและจมูก 8. ต้องไม่พูดคุยหรือสูบบุหรี่ในขณะที่ประกอบหรือจับต้องอาหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้น้ำลายกระเซ็นลง ในอาหาร ขี้เถ้าตกลงในอาหาร หรือน้ำลายจากก้นบุหรี่ถูกมือผู้สูบ เมื่อจับอาหารหรือภาชนะใส่อาหาร ก็จะ แพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้รับประทานอาหารได้
35 9. อย่าเลียนิ้วมือ แคะจมูก หรือแกะเล็บในขณะประกอบและเสิร์ฟอาหาร 10. อย่าชิมอาหารจากช้อนที่ใช้ในการปรุงหรือเสิร์ฟอาหาร 11. ผ้าที่ใช้เช็ดช้อนส้อม ถ้วยชาม จาน ต้องสะอาดอยู่เสมอ และไม่ใช้เช็ดอะไรอื่นเด็ดขาด 12. อย่าใช้มือหยิบ จับอาหาร หรือใช้มือจับหรือแตะต้องภาชนะลงบนส่วนที่ผู้รับประทานอาหารจะเอา เข้าปาก หรือบริเวณที่รองรับอาหาร การหยิบจับหรือแตะต้องภาชนะเหล่านี้ควรปฏิบัติให้ถูกวิธี ดังต่อไปนี้ - แก้วน้ำ ให้จับกึ่งกลางแก้วลงมา หัวแม่มือกับนิ้วอื่นๆ จับโอบแก้วเอาไว้คนละด้าน แล้วงอนิ้วก้อยรองรับ ก้นแก้วเอาไว้ - มีด ช้อนส้อม ทัพพี ควรจับทางด้ามเสมอ อย่าจับส่วนที่จะต้องตัก จิ้มหรือ สัมผัสอาหาร - จาน ชาม ถ้วย อย่าจับปากและภายในภาชนะนั้น ควรใช้ฝ่ามือรองก้นแล้วใช้หัวแม่มือประคองไม่ให้ตก - ถ้วยแก้วที่มีหูหิ้วหรือมีด้ามถือ ให้หยิบจับที่หูหรือด้ามนั้นเสมอ ความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำ 1. น้ำดื่ม เพื่อความปลอดภัยควรต้มแล้วเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และภาชนะนั้นควรมีก๊อกไขน้ำออก เช่น หม้อคูลเลอร์ หรือกาน้ำก็ได้ ถ้าไม่อาจต้มน้ำดื่มได้ ก็ใช้น้ำประปา น้ำฝน หรือน้าผสมปูนคลอรีนในอัตราส่วน ปูนคลอรีน 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 20 ปี๊บ 2. น้ำใช้ ควรเป็นน้าประปา หรือน้ำบ่อ ซึ่งถ้าขุ่นให้แกว่งสารส้มเสียก่อนแล้วใส่ปูนคลอรีน ตามอัตราส่วน ที่กล่าวแล้วน้าที่ใช้ประกอบอาหารนอกจากต้องสะอาดแล้ว ถ้าต้องการกะทิสด ควรคั้นด้วยน้ำสุก ส่วนน้ำล้างภาชนะนอกจากต้องสะอาดแล้ว ควรใช้น้ำร้อนและสบู่ล้าง จะง่ายและสะอาดที่สุด 3. น้ำแข็ง ถ้าใช้สาหรับรับประทานจะต้องทำจากน้ำสะอาดเช่นเดียวกับน้ำดื่ม และในการขนส่งต้องบรรจุ ในภาชนะที่มีข้อความว่า “น้ำแข็งใช้รับประทาน” เป็นสีน้ำเงินไว้ให้ชัดเจน หากเป็นน้ำแข็งใช้ในกิจการ อุตสาหกรรม เช่น แช่ปลา ทำไอซครีมหรืออื่นๆ จะต้องมีอักษรสีแดงระบุไว้บนภาชนะว่า “ห้ามรับประทาน” หรือ ใส่ถุงพลาสติกหรือปกปิดให้มิดชิด และเก็บในที่สะอาด ไม่ควรวางน้ำแข็งเปล่าไว้บนพื้นดิน ถนน ทางเดิน เมื่อจะใช้ ใช้ที่จับที่ตักน้ำแข็ง อย่าใช้มือ แกลบ และขี้เลื่อยที่ใช้ฝังน้ำแข็งควรเป็นของใหม่หรือเปลี่ยนเสมอๆ การสร้างโรงงานที่ถูกสุขลักษณะ นั้นจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ คือ การเลือกสถานที่ตั้งโรงงาน สถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ควรจะเป็นที่ซึ่งใกล้แหล่งวัตถุดิบ มีการคมนาคม สะดวก มีสภาวะแวดล้อมที่ดีมีแหล่งน้ำที่สะอาด สำหรับใช้ในโรงงานหรือถ้ามีน้ำประปายิ่งดี สถานที่ตั้งโรงงานควร จะอยู่ห่างไกลจากชุมชนแออัด และควรจะมีที่พอที่จะขยายได้ในอนาคต
36 การออกแบบโรงงาน การจะให้โรงงานถูกหลักสุขลักษณะนั้น จะต้องออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักวิชาโดยจะต้องให้เป็น โรงงานที่พนักงานสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการรับส่งจุดต่าง ๆ ในโรงงาน ความพยายามในการใช้เนื้อที่ของโรงงานให้เป็นประโยชน์มากที่สุดความสะดวกในการขยายโรงงานและที่สำคัญ ที่สุดคือพื้นที่ที่ใช้ในการแปรรูปอาหาร ห้องปฏิบัติการ ห้องซ่อมบำรุงรักษาเครื่องมือและเก็บเครื่องมือ บริเวณที่ เก็บขยะ และกำจัดน้ำเสีย ห้องทำงานผู้บริหาร ห้องน้ำ ห้องส้วม และห้องอาหาร เป็นต้น ซึ่งในแต่ละห้องหรือแต่ ละบริเวณที่กล่าวนั้น จะต้องมีพื้น ฝาห้อง เพดาน และหลังคา การระบายอากาศ การระบายน้ำ การให้แสงสว่าง ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น พื้นโรงงานต้องเป็นคอนกรีตและทาให้มีความลาดเอียงเพื่อสะดวกในการทำความ สะอาดส่วนพื้นให้องปฏิบัติการอาจปูด้วยกระเบื้องยาง ส่วนฝานั้นควรทำให้เป็นรูปโค้งและกันน้ำซึมได้ด้วย ขอบ หน้าต่างควรอยู่สูงจากพื้นอย่างน้อย 3 ฟุต เพื่อป้องกันการกระแทกจากรถเข็น เพดานและหลังคาควรจะสูง พอสมควรเพื่อให้รถยกผ่านได้ หลังคาควรจะมุงด้วยกระเบื้องดีกว่าสังกะสีเพราะจะไม่ร้อนมากนัก สถานที่รับ วัตถุดิบควรเป็นห้องที่สะอาด กว้างขวาง มีการระบายอากาศและมีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิได้ เป็นห้องที่ กันหนูและแมลงได้ ส่วนพื้นที่ใช้ในการแปรรูปควรมีการลำดับขั้นตอนการแปรรูปที่คล่องตัว เช่น จากจุดรับวัตถุดิบ ไปยังจุดเตรียมวัตถุดิบ บรรจุ ปิดฝา แล้วเข้าเครื่องฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น ควรมีชั้นหรือตู้สำหรับเก็บเครื่องมือ อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ส่วนสถานที่กำจัดขยะและน้ำเสียจะอยู่ห่างบริเวณแปรรูป และควรจะอยู่ในที่ ๆ ไม่ส่งกลิ่น รบกวนและไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนกับวัตถุดิบ หรือ ผลิตภัณฑ์อาหาร ห้องทำงานควรอยู่ด้านหน้า ห้องน้ำ ห้อง ส้วมต้องพอเพียง หน้าห้องแปรรูปต้องมีอ่างล้างมือพร้อมสบู่ และผ้าเช็ดมือ ทางโรงงานต้องจัดน้ำดื่มที่ถูก สุขลักษณะคือน้ำแบบน้ำพุ นอกจากนี้ทางโรงงานต้องมีห้องพยาบาลที่มีพยาบาลประจำ และควรมีห้อง รับประทานอาหารที่สะอาดมีอากาศถ่ายเทได้ดีมีแสงสว่างพอเพียง รวมทั้งมีอุปกรณ์ในการบริโภคที่สะอาดด้วย การออกแบบอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการแปรรูปอาหาร ควรถือหลักในการออกแบบให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ หรือเหมาะกับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน และข้อ สำคัญคือ ให้ทำความสะอาดได้ง่าย ควรเลือกใช้วัสดุที่ทนทาน ทนต่อการกัดกร่อนไม่ทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบ ของอาหาร และมีราคาถูก ระบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำภายในโรงงาน ตั้งแต่ระบบประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค จนไปถึงการระบายน้ำเสียที่ใช้แล้ว หากระบบสุขาภิบาลไม่ดี ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ผลเสียเล็กๆ อย่างน้ำไหลช้ากว่าที่ควรจะเป็น ไปจนถึงผลเสียใหญ่ๆ อย่างน้ำรั่วจนส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารเลยทีเดียว
37 องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสุขาภิบาล 1. ท่อประเภทต่างๆ เช่น ท่อประปา ท่อพีวีซี และท่อทองแดง เป็นต้น 2. ปั๊มน้ำ 3. มาตรวัดน้ำ 4. วาล์วน้ำ ก๊อกน้ำ 5. บ่อดักไขมัน 6. บ่อเกรอะ 7. ช่อง ตะแกรงระบายน้ำ 8. สุขภัณฑ์ 9. ถังบำบัดน้ำเสีย 10. ระบบระบายอากาศ
38 นอกเหนือจาก 10 องค์ประกอบที่กล่าวมา ทางผู้ออกแบบอาจมีการใส่องค์ประกอบอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นอยู่ กับความต้องการของผู้อยู่อาศัย รวมถึงการออกแบบโดยรวมของอาคาร เพื่อให้การดำเนินงานนั้นสามารถทาได้ อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด รูปแบบของระบบสุขาภิบาล ระบบสุขาภิบาลถูกแยกย่อยออกเป็น 7 ระบบตามการทางานต่างๆ ภายในอาคาร ดังนี้ 1. ระบบน้ำดี ระบบน้ำดี คือ ระบบการลำเลียงน้ำประปาไปจนถึงน้ำสะอาดที่ผ่านการกรองเพื่อใช้งานตามจุดต่างๆ ภายใน อาคาร เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ ไปจนถึงห้องซักล้าง 2. ระบบระบายน้ำโสโครก ระบบระบายน้ำโสโครก คือ ระบบการระบายน้ำเสียที่มีความสกปรกสูง รวมถึงสิ่งปฏิกูลต่างๆ เช่น น้ำเสียจากโถ ส้วม โถปัสสาวะ เข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียก่อนส่งออกนอกอาคาร 3. ระบบระบายน้ำทิ้ง ระบบระบายน้ำทิ้ง คือ ระบบการนำน้ำเสียที่ผ่านการใช้งานอื่นๆ เช่น การซักล้าง การทำความสะอาด เข้าสู่ระบบ บำบัดน้ำเสียก่อนระบายออกนอกอาคาร โดยสาเหตุที่ต้องแยกกับระบบระบายน้ำโสโครก เนื่องจากจะเป็นการลด ปริมาณน้ำที่ใช้กักเก็บและบำบัดนั่นเอง 4. ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบบำบัดน้ำเสีย คือ ระบบบำบัดน้ำภายในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นการดักตะกอน การปรับสภาพ เพื่อให้น้ำเสีย ดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก่อนส่งลงท่อระบายน้ำสาธารณะ 5. ระบบท่อระบายอากาศ
39 ระบบท่อระบายอากาศ คือ ระบบท่อที่เชื่อมกับท่อน้ำโสโครกและท่อน้ำทิ้ง เพื่อถ่ายอากาศเข้าสู่ท่อ ทำให้ไม่เกิด ภาวะสุญญากาศที่อาจส่งผลต่อการระบายน้ำเสีย อีกทั้งระบบท่อโสโครกจะมีการออกแบบให้น้าไหลเพียง ¼ ของ ท่อเท่านั้น การเสริมระบบระบายอากาศเข้าไปจะช่วยให้แรงดันภายในท่อสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 6. ระบบท่อระบายน้ำฝน ระบบท่อระบายน้ำฝน คือ ระบบท่อสำหรับลำเลียงและระบายน้ำฝนที่ตกลงบนตัวอาคาร ทำให้ไม่เกิดน้ำขัง น้ำนอง ทั้งบริเวณดาดฟ้าและบริเวณอื่นๆ ที่ฝนสามารถสาดถึงได้ 7. ระบบระบายน้ำภายนอกอาคาร ระบบระบายน้ำภายนอกอาคาร คือ ระบบที่ติดตั้งสำหรับระบายน้ำในบริเวณต่างๆ นอกตัวอาคาร ทำหน้าที่ ลำเลียงน้ำขัง แอ่งน้ำที่อยู่ในบริเวณเข้าสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะได้ไวขึ้น
40 กิจกรรม 5 ส. 5 ส. เป็นพื้นฐานในของการนาเทคนิควิศวกรรมอุตสาหกรรมเข้ามาใช้ในสถานประกอบการ หรือ หน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตทั้งทางด้าน การผลิต คุณภาพ ต้นทุน การส่งมอบ ความปลอดภัย ขวัญกำลังใจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มผลผลิตตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งผลิต สินค้ามีคุณภาพที่ดี ราคาถูก มีการส่งมอบที่รวดเร็ว โดยที่สถานประกอบการมีความปลอดภัยในการทำงาน สร้างความคิดริเริ่มของพนักงานและเกิดความร่วมมือในองค์กร เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร ลดระดับ สินค้าคงคลังและลดต้นทุน ที่เป็นกิจกรรมพื้นฐานที่ช่วยปรับปรุงพื้นที่การทำงานเพื่อค้นหาปัญหา และสาเหตุ ความบกพร่อง และเป็นกิจกรรมที่เน้นให้พนักงานมีส่วนร่วมในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจน กลายเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตประจาวันด้วย 5 ส. ดังนี้ ส ในโรงงาน ส สะสาง นิยามและเทคนิคการปฏิบัติ ส สะสาง ส สะสาง คือ การแยกของที่จาเป็นออกจากของที่ไม่จำเป็น และขจัดของ ที่ไม่จำเป็นออกไป เทคนิคการปฏิบัติ ส สะสาง นั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งของที่ใช้ หางานประจำวันนั้น ของสิ่งใดจำเป็น ของสิ่งใดไม่จำเป็น โดยสิ่งของจำเป็นคือสิ่งของ ที่เกี่ยวข้องกับผลสำเร็จของงาน เหตุผลที่จำเป็นต้องทาการสะสางมีของไม่จำเป็นอยู่ในที่ทำงาน โดยทั่วไปเมื่อปฏิบัติงานผ่านไประยะหนึ่งอาจมีสิ่งของไม่จำเป็นสะสมอยู่ ในบริเวณพื้นที่ทำงาน เช่น เอกสารไม่ใช้แล้ว เศษกระดาษ กล่องกระดาษ เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานแล้ว ก็ควรจะสะสางสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ออกจากพื้นที่ปฏิบัติงาน
41 สูญเสียพื้นที่ในการจัดเก็บ ถ้าไม่สะสางสิ่งของที่ไม่จำเป็นในการทำงานออกไป ทำให้ต้องหาพื้นที่ในการจัด จัตวาง เมื่อมีสิ่งของ เหล่านี้วางกองอยู่มากในพื้นที่ปฏิบัติงาน จะต้อง พนักงานไม่สามารถใช้พื้นที่ของสำนักงานหรือพื้นที่โรงงานเพื่อ ปฏิบัติงานได้ เต็มประสิทธิภาพ และมีความสูญเสียเรื่องการจัดเก็บสิ่งของเกิดขึ้น ของหายบ่อยเสียเวลาในการค้นหา บางครั้งพนักงานที่ปฏิบัติงานในสำนักงานหรือพื้นที่ปฏิบัติงาน อาจหาของหรือเอกสารบางอย่างไม่พบ เนื่องจากขาดระบบการจัดเก็บที่ดีและไม่มีการสะสม เอกสารและสิ่งของที่ไม่ได้ใช้งานออกจากพื้นที่ทำงาน ยิ่งถ้า เป็นสิ่งของหรือ เอกสารสำคัญที่มีความจำเป็นต้องหาให้เจอทำให้ต้องเสียเวลาในการค้นหา นั่นคือความสูญเสีย ด้านเวลาที่เกิดขึ้น สถานที่ทำงานคับแคบ หน่วยงานหรือองค์กรบางแห่งมักกล่าวว่าพื้นที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานของตน คับแคบ ความคับแคบที่ว่า นี้เกิดจากการมีสิ่งของหรือเอกสารที่ไม่จำเป็นในการ ทำงานวางอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงาน ทำให้พื้นที่สำหรับการทำงาน จริงๆ คับแคบ ไม่สะดวกต่อการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจมีผลต่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานด้วย ด้วยเหตุนี้การทากิจกรรม 5 ส จึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส สะสาง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและพนักงานทุกคน ในทุกพื้นที่ต้องร่วมกันสะสางสิ่งของและ เอกสารที่ไม่จาเป็นในการปฏิบัติงานออกนอกพื้นที่ทางานของตนเอง ขั้นตอนการปฏิบัติ ส สะสาง - เริ่มจากแยกสิ่งของในพื้นที่ปฏิบัติงานออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ • ของจำเป็นในการทำงาน • ของไม่จำเป็นในการทำงาน • ของที่ต้องรอการตัดสินใจ ของจำเป็นในการทำงาน คือ สิ่งของ เอกสาร อุปกรณ์ เครื่องมือ ซึ่งมีส่วนต่อ ผลสำเร็จของงานที่พนักงาน ปฏิบัติงานอยู่ และจำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน อยู่เป็นประจำ จึงควรจัดเก็บจัดวางของเหล่านี้ในบริเวณพื้นที่ ปฏิบัติงานหรือ พื้นที่ที่ง่ายต่อการหยิบใช้ โดยต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 ประการ คือ รายการ ปริมาณ และ สถานที่ โดยรายการ คือ สิ่งของที่จำเป็นนั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละ รายการจำเป็นต้องมีในปริมาณมากน้อยเพียงใด สามารถกำหนดจำนวนเป็น มาตรฐานได้ และสถานที่ในการวางหรือจัดเก็บควรอยู่ ณ ตำแหน่งใด ของไม่จำเป็นในการทางาน คือ สิ่งของที่ไม่มีความจำเป็นในการทำงานและ สามารถสะสางได้ทันที เช่น เศษ กระดาษ เอกสารที่ไม่จำเป็นต้องใช้งาน สิ่งของ เศษเหล็ก เป็นต้น ในการสะสางสิ่งของต่างๆ เหล่านี้สามารถแบ่ง วิธีการในการดำเนินการออกเป็น ของไม่จำเป็นในการทางาน แต่อาจใช้ได้ในภายหลัง คือ ปัจจุบันไม่จำเป็นแต่ในอนาคตอาจมีประโยชน์ สิ่งของ ประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องทิ้ง แต่ควรหา พื้นที่จัดเก็บเพื่อจะได้เก็บไว้ใช้ในอนาคต
42 ของไม่จำเป็นในการทางาน ไม่สามารถใช้ได้ในอนาคต จำเป็นจะต้องสะสางออกจากพื้นที่ปฏิบัติงานและ หน่วยงาน ถ้าเป็นสิ่งของไม่มีค่าก็ควร สะสางทิ้ง แต่ถ้าสิ่งของนั้นยังพอมีค่าอยู่ เช่น เศษกระดาษ เศษเหล็ก ที่ สามารถขายได้ หรือสิ่งของบางอย่างอาจเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานอื่น เราสามารถนำไปบริจาคได้ เช่น เครื่อง คอมพิวเตอร์เก่าที่ไม่ใช้แล้วอาจนำไปบริจาคได้ ของที่ต้องรอการตัดสินใจ อาจเป็นสิ่งของ เอกสาร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไปหรือ เครื่องจักรอุปกรณ์ที่เสียแล้ว แต่สิ่งของ ดังกล่าวเดิมเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าสูง พนักงานที่ปฏิบัติงานหรือใช้งานจึงไม่มี อำนาจ ในการตัดสินใจสะสางสิ่งของนั้น ๆ ได้ จำเป็นต้องให้ผู้บริหารระดับกลาง หรือ ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ ตัดสินใจในการสะสาง รวมถึงเอกสารสำคัญบางประเภท ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้งานแล้ว จำเป็นต้องให้ผู้บริหารเป็น ผู้อนุมัติทำลาย เครื่องมือที่ช่วยในการทำ ส สะสาง “Red Tag” ดังที่แสดงให้เห็นในภาพ กรณีที่ต้องการสะสางสิ่งของใดในพื้นที่ปฏิบัติงาน แต่ยังไม่สามารถสะสางได้ ทันทีในเวลานั้น อาจติดป้าย “ต้อง สะสาง” เพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจว่าจะสะสาง สิ่งของนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเครื่องมือ สำคัญที่ช่วยในการสะสาง จุดที่ควรให้ความสนใจในการทำ ส สะสาง - ตู้เก็บเครื่องมือ ควรตรวจสอบว่ามีสิ่งของอื่น ๆ วางปะปนอยู่กับเครื่องมือ หรือไม่ - ลิ้นชักโต๊ะทำงาน อาจมีสิ่งของไม่จำเป็นในการทำงาน วางปะปนอยู่ . - ตู้เก็บของ ชั้นวางของ ในตู้เก็บของมีสิ่งของหรือเอกสารที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานสะสมอยู่หรือไม่ . - ห้องเก็บของ สโตร์ คลังพัสดุ พื้นที่นี้มักมีสิ่งของจากหน่วยงานต่างๆมาจัดเก็บเป็นจำนวนมาก สิ่งของชนิดใดไม่ จำเป็นต้องเก็บไว้ควรสะสางออกไป - เอกสารตามตู้ต่างๆ - พื้น มุมอับของห้อง มุมอับต่างๆ มักเป็นจุดสะสมสิ่งของที่ไม่จำเป็นจึงควรให้การใส่ใจเป็นพิเศษ - ภายในและภายนอกตัวอาคาร นอกจากภายในโรงงานและภายในตัวอาคารแล้ว ภายนอกบริเวณรอบๆ โรงงาน ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ ในเรื่องของกิจกรรม 5ส หัวใจของ ส สะสางมีแต่ของที่จำเป็นเท่านั้นในสถานที่ทำงาน พนักงานควรระลึกเสมอว่าในบริเวณพื้นที่ทำงานนั้นควรมีการดำเนินการ ส สะสาง อย่างสม่ำเสมอและ ต่อเนื่อง เพื่อให้มีแต่สิ่งของเฉพาะที่จำเป็นในการ ปฏิบัติงาน ของสิ่งใดไม่จำเป็นต้องดำเนินการสะสางออกจาก พื้นที่ปฏิบัติงาน 5 ส ในโรงงาน สะดวก นิยามและเทคนิคการปฏิบัติ ส สะดวก
43 ส. สะดวก คือ การจัดวางหรือจัดเก็บสิ่งของต่างๆ ในสถานที่ทำงานอย่างเป็น ระบบ เพื่อประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่ง ส สะดวก ถือเป็น ส ที่สำคัญข้อหนึ่งในการปฏิบัติกิจกรรม 5ส โดย มุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิด ประสิทธิภาพในการทำงาน ตั้งแต่ การจัดหมวดหมู่สิ่งของให้เป็นระบบระเบียบ การ ประยุกต์ใช้สัญลักษณ์สี การทำป้ายชี้บ่ง การทาสีตีเส้นบริเวณพื้นโรงงาน เพื่อแบ่งแยกพื้นที่ ทั้งในการจัดวางของ ระหว่างกระบวนการผลิต พื้นที่จัดวาง อุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องมือ ถ้าหน่วยงานหรือพื้นที่ขาดการปฏิบัติตาม ส สะดวก ย่อมทำให้ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน เช่น • เสียเวลาในการค้นหา • ไม่กำหนดตำแหน่งวางที่แน่นอน • วางปะปนกัน ไม่แบ่งหมวดหมู • ไม่เก็บเข้าที่ • ขาดความเป็นระเบียบในสถานที่ทางาน การปฏิบัติ ส สะดวกนั้นเมื่อได้ดำเนินการ ส สะสาง เป็นที่เรียบร้อย พื้นที่ปฏิบัติงานจะเหลือแต่ของที่จำเป็นใน การทำงานเท่านั้น จากนั้นในการจัดวางสิ่งของ เอกสารต่าง ๆ เหล่านั้นให้เป็นระบบหมวดหมู่ เพื่อง่ายในการ หยิบ ใช้ ลดเวลาในการค้นหา ซึ่งการวางแผนในการจัดวางเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปถึง 5ส ควรคำนึงถึง การที่จะสร้างให้ ส สะดวก เกิดขึ้นกับสิ่งของ อุปกรณ์เครื่องมือ เอกสารได้นั้น มีขั้นตอนในการดำเนินการเพื่อให้ เกิดความสะดวก ดังนี้ 1. วางแผนการกาหนดที่วางของให้ชัดเจน 2. จัดวางให้เป็นระเบียบ หมวดหมู่ 3. มีป้ายชื่อแสดงที่วางของ 4. มีป้ายชื่อติดสิ่งของที่จะวาง 5. ทำผังแสดงตำแหน่งวางของ 6. ตรวจเช็คเป็นประจำ การปฏิบัติ ส สะดวก ต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ ประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัย ประสิทธิภาพ หมายถึง การปฏิบัติ ส สะดวก โดยการประยุกต์ใช้ป้ายชี้บ่ง การทำสันแฟ้มเอกสาร การใช้ สัญลักษณ์สี การจัดสิ่งของเป็นระบบหมวดหมู่ ผู้ปฏิบัติกิจกรรม 5ส ต้องคำนึงถึงเรื่องประสิทธิภาพ ความ เหมาะสมในการใช้งาน สิ่งของนั้น ทำป้ายชี้บ่งเพื่อให้สะดวกในการค้นหา การจัดเรียงเครื่องมือตามลำดับ ขั้นตอน ในการใช้งาน
44 คุณภาพ หมายถึง การจัดเก็บสิ่งของ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ สารเคมี ฯลฯ โดยคำนึงถึงหลักคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์นั้น ผลิตภัณฑ์บางชนิดไม่สามารถ ถูกความร้อนได้ บางชนิดห้ามถูกแสงแดด การจัดเก็บจำเป็นต้อง คำนึงถึงหลัก คุณภาพ นอกจากนั้นการนำไปใช้งานต้องคำนึงถึงหลักการ FIFO : First In First | Out คือสิ่งของใด ซื้อมาก่อนจัดเก็บเข้าไปในคลังสินค้าก่อน ต้องนำสิ่งของนั้น ไปใช้ก่อน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียน The Arache Ss Series ความปลอดภัย หมายถึง การจัดเก็บสิ่งของ วัตถุดิบ ของระหว่างกระบวน - โดยคำนึงถึงหลักความปลอดภัย ทั้งใน เรื่องมาตรฐานการจัดวาง ปลอดภัยในการจัดเก็บ ของบางอย่างอาจติดไฟได้ก็ไม่ควรอยู่ใกล้จุดที่อาจ มีประกายไฟ เกิดขึ้น รวมถึงความปลอดภัยของผู้จัดเก็บสิ่งของเหล่านั้นด้วย 5 ส ในโรงงาน ส สะอาด ส. สะอาด คือ การทำความสะอาด เครื่องมือ เครน อุปกรณ์ สถานที่ทำงาน ปัดกวาด เช็ดโต๊ะทางานของ ตนเป็นประจำ เป็นหูเป็นตา ดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดพื้นที่รับผิดชอบ ขจัดต้นเหตุของความสกปรก ทำ ความสะอาดแม้แต่จุดเล็กๆ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศให้น่าอยู่ สภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศในการทำงานที่ดีขึ้น วัสดุอุปกรณ์สำนักงานในการทำงานไม่เสื่อมสภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดเวลาการใช้งานของเครื่องใช้และ วัสดุอุปกรณ์สำนักงาน
45 5 ส ในโรงงาน ส สุขลักษณะ ส. สุขลักษณะ คือ เป็นผลมาจาก 3 ส.ข้างต้น สภาพหมดจด สะอาดตา ถูกสุขลักษณะ และควรรักษาให้ดีตลอดไป เริ่มทำกำหนดพื้นที่รับผิดชอบ การทำ 3 ส. แรกของบุคลากรแต่ละคนอย่างจริงจัง เพราะเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต เรามากกว่า 70% อยู่กับโต๊ะทำงาน ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาสภาพให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดตาอยู่ ตลอดเวลา โดยการทา 3 ส. แรกให้ได้อย่างต่อเนื่อง 5 ส ในโรงงาน ส สร้างนิสัย ส. สร้างนิสัย คือ มีการฝึกบุคลากรให้ทา 4 ส. ข้างต้นให้เป็นนิสัย การสร้างนิสัยในการมีจิตสานึก ทัศนคติที่ดีใน การปฏิบัติงานตามระเบียบและข้อบังคับอย่าง เคร่งครัด รวมทั้งอบรมให้รู้จักค้นคว้า และปรับปรุงสถานที่ทำงาน โดยไม่ต้องมีการตักเตือนอีก สรุปได้ว่า การดำเนินกิจกรรม 5 ส จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 ด้าน คือ ด้านบุคลากร และด้านการดำเนินงานมีคุณค่าในการพัฒนาคนให้ปฏิบัติกิจกรรมจนเกิดเป็นนิสัยที่ดีมีวินัย อันเป็นรากฐานของ ระบบ คุณภาพเพราะเป็นกิจกรรมที่ฝึกให้ทุกคนร่วมกันคิด ร่วมกันเป็นทีม ค่อยเป็นค่อยไปไม่ยุ่งยาก ไม่รู้สึกว่าการ ปฏิบัติงานอย่างมีระเบียบวินัยเป็นภาระเพิ่มขึ้น รวมถึงการบรรลุนโยบายและเป้าหมายขององค์กร
46 เอกสารอ้างอิง https://www.security1service.com https://www.proindsolutions.com https://www.jarton.co.th https://www.jorporonline.com https://www.healthcarethai.com https://www.welovesafety.com