หลักสตู รระดบั ชั้นเรียน วิชาภาษาไทย
รายวิชาภาษาไทยเพิ่มเติม (การเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์)
ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๔ ภาคเรียนที่ ๒
ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา อุดรธานี
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
คานา
กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ได้จดั ทาหลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยฉบบั นี้ ซ่งึ เปน็ เอกสาร
ประกอบหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนไชยวานวทิ ยา พุทธศกั ราช 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เพือ่ เป็นเปา้ หมายในการพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น และกระบวนการจดั การเรยี นรู้
เพ่ือเป็นกรอบและทศิ ทางในการจัดการเรียนการสอน ใหต้ รงตามมาตรฐานตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรู้ ของ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยพจิ ารณาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา- ขัน้ พ้ืนฐาน 2551 (ฉบับ
ปรบั ปรงุ พุทธศักราช 2560) หลกั สตู รสถานศกึ ษา โรงเรียนไชยวานวิทยา พุทธศักราช 2564 ซ่ึงมี
องคป์ ระกอบดังน้ี
- วิสยั ทัศน์ หลกั การ จดุ หมาย
- สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
- คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
- สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
- ทกั ษะกระบวนการ
- คุณภาพผ้เู รียน
- ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- รายวชิ าทเี่ ปิดสอน
- คาอธบิ ายรายวชิ าและโครงสร้างรายวิชาพน้ื ฐาน
- สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้
- การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
คณะผู้จดั ทาขอขอบคุณผทู้ ่มี สี ่วนร่วมในการพฒั นาและจัดทาหลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ฉบบั น้ี จนสาเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี และหวังเป็นอยา่ งยิง่ วา่ จะเกดิ ประโยชนต์ อ่ การจัดการเรยี นรูใ้ หก้ ับผูเ้ รยี น
ต่อไป
คณะผู้จัดทา
ปีการศึกษา 2564
วิสัยทัศนก์ ลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
"กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย มงุ่ พัฒนาผู้เรยี นให้มคี วามรู้ ทักษะทางภาษาไทยนาไปใช้
ในการดารงชวี ิตและเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรใู้ นศาสตร์อื่น ๆ รักและภมู ใิ จในภาษาไทย
ในฐานะเปน็ มรดกของชาติ”
หลักการและจดุ มุ่งหมายของหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ๒๕๕๑
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มงุ่ พัฒนาผูเ้ รียนทุกคน ซงึ่ เป็นกาลังของชาตใิ หเ้ ปน็ มนุษย์
ทีม่ ีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ัน-
ในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมขุ มีความรูแ้ ละทักษะพ้ืนฐาน
รวมท้งั เจตคติ ทจี่ าเป็นต่อการศกึ ษาต่อการประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ิต โดยมุ่งเน้นผ้เู รยี น-
เป็นสาคัญบนพื้นฐานความเช่ือว่า ทกุ คนสามารถเรียนรูแ้ ละพฒั นาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
หลกั การ
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มหี ลักการท่ีสาคัญ ดงั น้ี
๑. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพื่อความเปน็ เอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้
เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพน้ื ฐานของ-
ความเปน็ ไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล
๒. เป็นหลกั สูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ทป่ี ระชาชนทุกคนมโี อกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค
และมีคุณภาพ
๓. เป็นหลกั สตู รการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมสี ่วนร่วมในการจดั การศกึ ษา
ใหส้ อดคล้องกบั สภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ
๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาทม่ี ีโครงสร้างยืดหยนุ่ ทงั้ ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรยี นรู้
๕. เป็นหลักสตู รการศึกษาทเี่ น้นผูเ้ รียนเป็นสาคญั
๖. เปน็ หลกั สตู รการศึกษาสาหรับการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม-
ทกุ กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน มุง่ พฒั นาผู้เรยี นให้เปน็ คนดี มปี ัญญา มคี วามสุข
มีศกั ยภาพในการศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกาหนดเปน็ จุดหมายเพื่อให้เกดิ กบั ผู้เรียน
เม่อื จบการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ดงั น้ี
๑. มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ มทพี่ ึงประสงค์ เหน็ คุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏบิ ัติตน
ตามหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทตี่ นนบั ถอื ยึดหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๒. มคี วามรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชวี ิต
๓. มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทีด่ ี มีสุขนสิ ัย และรักการออกกาลังกาย
๔. มคี วามรกั ชาติ มจี ติ สานกึ ในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยึดมัน่ ในวถิ ชี วี ิต
และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ
๕. มจี ิตสานกึ ในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาไทย การอนรุ ักษ์และพัฒนาสิง่ แวดล้อม
มีจิตสาธารณะที่มงุ่ ทาประโยชนแ์ ละสรา้ งสิ่งที่ดงี ามในสงั คม และอย่รู ่วมกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสุข
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน มุ่งใหผ้ เู้ รยี นเกดิ สมรรถนะสาคัญ ๕ ประการ ดังน้ี
๑. ความสามารถในการส่ือสาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มีวฒั นธรรมในการใชภ้ าษา
ถ่ายทอดความคิด ความรูค้ วามเข้าใจ ความรสู้ ึก และทศั นะของตนเองเพอ่ื แลกเปลย่ี นข้อมลู ข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม รวมทง้ั การเจรจาต่อรองเพอื่ ขจัด
และลดปญั หาความขัดแย้งตา่ ง ๆ การเลือกรบั หรือไม่รับข้อมูลขา่ วสารดว้ ยหลกั เหตุผลและความถกู ต้อง
ตลอดจนการเลือกใชว้ ธิ ีการสื่อสาร ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม
๒. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิดอยา่ ง-
สร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอ่ื นาไปส่กู ารสรา้ งองคค์ วามร้หู รอื สารสนเทศ
เพอื่ การตดั สินใจเก่ยี วกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคตา่ ง ๆ ที่เผชญิ -
ได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลกั เหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เขา้ ใจความสมั พันธ์
และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใช้ในการปอ้ งกนั
และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสนิ ใจท่ีมปี ระสิทธภิ าพโดยคานึงถึงผลกระทบทเ่ี กดิ ขึน้ ตอ่ ตนเอง สงั คม
และสิ่งแวดลอ้ ม
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการตา่ ง ๆ ไปใช้ในการ-
ดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสงั คม
ดว้ ยการสรา้ งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหวา่ งบคุ คล การจดั การปัญหาและความขัดแย้งตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม
การปรับตัวใหท้ ันกับการเปลีย่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม และการร้จู ักหลกี เล่ยี งพฤติกรรม-
ไมพ่ ึงประสงคท์ ่สี ่งผลกระทบต่อตนเองและผอู้ ื่น
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีดา้ นตา่ ง ๆ
และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอ่ื การพัฒนาตนเองและสงั คม ในด้านการเรียนรู้ การส่อื สาร
การทางาน การแก้ปญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน มุ่งพัฒนาผ้เู รียนให้มคี ุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้-
สามารถอย่รู ่วมกบั ผอู้ น่ื ในสงั คมได้อยา่ งมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังน้ี
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
๒. ซื่อสตั ย์สุจรติ
๓. มวี ินยั
๔. ใฝ่เรียนรู้
๕. อยูอ่ ย่างพอเพียง
๖. มุ่งมน่ั ในการทางาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี ๑ การอา่ น
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคิดเพื่อนาไปใช้ตดั สนิ ใจ
แก้ปัญหาในการดาเนนิ ชวี ิต และมีนิสัยรักการอา่ น
สาระท่ี ๒ การเขยี น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ยอ่ ความ
และเขยี นเร่ืองราวในรูปแบบตา่ งๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
สาระท่ี ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟงั และดูอยา่ งมวี ิจารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด และความรู้สกึ
ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
สาระที่ ๔ หลักการใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลยี่ นแปลงของภาษา และพลังของ
ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัตขิ องชาติ
สาระท่ี ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคุณค่า
และนามาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ
ทักษะและกระบวนการกลุม่ สาระวิชาภาษาไทย
กลุม่ สาระวชิ าภาษาไทย ไดใ้ ช้ทักษะที่จาเปน็ ในการจัดการเรยี นรู้ และมีขัน้ ตอนดงั นี้
๑. ทกั ษะกระบวนการ ๙ ขน้ั มีขน้ั ตอนดังน้ี
๑.๑ ตระหนกั ในปญั หาและความจาเป็น
ครยู กสถานการณต์ ัวอยา่ งใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจและตระหนักในปญั หา ความจาเป็นของเร่ืองที่จะ
ศกึ ษาหรือเหน็ ประโยชน์ ความสาคญั ของการศึกษาน้นั ๆ โดยครูอาจนาเสนอเป็นกรณตี ัวอย่าง หรอื
สถานการณ์ท่สี ะท้อนใหเ้ หน็ ปัญหาความขดั แยง้ ของเร่ืองท่ีจะศกึ ษาโดยใช้สือ่ ประกอบ เชน่ รูปภาพ วดิ ที ัศน์
สถานการณ์จริง กรณีตวั อย่าง สไลด์ ฯลฯ
๑.๒ คดิ วเิ คราะหว์ ิจารณ์
ครูกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนไดค้ ดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ ตอบคาถาม แบบฝึกหดั ข้อมูลและให้โอกาสผู้เรียน
แสดงความคิดเหน็ เป็นกลุม่ หรือรายบคุ คล
๑.๓ สรา้ งทางเลอื กใหห้ ลากหลาย
เปน็ โอกาสให้ผเู้ รยี นแสวงหาทางเลอื กในการแก้ปญั หาอยา่ งหลากหลายโดยรว่ มกันคิดเสนอ
ทางเลือก และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกน้นั ๆ
๑.๔ ประเมินและเลือกทางเลือก
ใหผ้ ู้เรียนพจิ ารณาตดั สนิ เลือกแนวทางในการแก้ปญั หาโดยร่วมกันสร้างเกณฑท์ ต่ี ้องนึกถงึ ปจั จยั วธิ ีดาเนนิ การ
ผลผลติ ขอ้ จากัด ความเหมาะสม กาลเทศะ เพอ่ื ใช้ในการพจิ ารณาการเลือกแนวทางการแกป้ ญั หา ซึ่งอาจใช้
วิธรี ะดมพลงั สมอง อภิปราย ศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเติม
๑.๕ กาหนดและลาดับขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิ
ให้ผูเ้ รยี นวางแผนการทางานของตนเองหรือกลุ่ม อาจใชล้ าดบั ขน้ั การดาเนินงานดังนี้
- ศกึ ษาข้อมูลพน้ื ฐาน
- กาหนดวัตถปุ ระสงค์
- กาหนดข้ันตอนการทางาน
- กาหนดผรู้ ับผดิ ชอบ (กรณที างานร่วมกนั เปน็ กล่มุ )
- กาหนดระยะเวลาการทางาน
- กาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผล
๑.๖ ปฏิบตั ดิ ้วยความช่นื ชม
เป็นโอกาสให้ผเู้ รียนไดป้ ฏบิ ตั ติ ามขัน้ ตอนที่กาหนดไวด้ ว้ ยความสมัครใจ ต้งั ใจมีความ
กระตือรือรน้ และเพลดิ เพลินกับการทางาน
๑.๗ ประเมนิ ระหว่างปฏิบตั ิ
ผู้เรียนไดส้ ารวจปญั หาอปุ สรรคในการปฏิบัตงิ านโดยการซกั ถามอภปิ รายแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ มีการ
ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านตามขั้นตอนและตามแผนที่กาหนดไว้ โดยสรุปผลการทางานแต่ละช่วง แลว้ นาเสนอ
แนวทางการปรบั ปรงุ การทางานขน้ั ตอ่ ไป
๑.๘ ปรบั ปรุงให้ดีข้ึนอยู่เสมอ
ผ้เู รยี นนาผลท่ีได้จากการประเมนิ ในแต่ละข้ันตอนมาเปน็ แนวทางในการพัฒนางานให้มปี ระสทิ ธภิ าพยิง่ ขนึ้
๑.๙ ประเมินผลรวมเพอ่ื ใหเ้ กิดความภูมิใจ
ผเู้ รียนสรุปผลการดาเนินงาน โดยการเปรยี บเทียบผลงานกับวตั ถุประสงค์ที่กาหนดไวแ้ ละผลพลอยไดอ้ ่ืนๆ ซึง่
อาจเผยแพร่ขยายผลงานแกผ่ อู้ นื่ ได้รบั ดว้ ยความเตม็ ใจ
๒. กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอด มขี ้นั ตอนดงั น้ี
๒.๑ สงั เกต
ให้ผเู้ รียนรบั รู้ข้อมูล และศกึ ษาด้วยวธิ กี ารต่างๆโดยใชส้ ือ่ ประกอบเพ่ือกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ
ขอ้ กาหนดเฉพาะดว้ ยตนเอง
๒.๒ จาแนกความแตกตา่ ง
ให้ผู้เรยี นบอกข้อแตกต่างของส่ิงทรี่ ับรู้และใหเ้ หตผุ ลในความแตกต่างน้ัน
๒.๓ หาลักษณะร่วม
ผเู้ รียนมองเห็นความเหมือนในภาพของสิ่งที่รบั รู้และสรุปเปน็ วิธกี าร หลกั การ คาจากดั ความ
หรอื นิยามได้
๒.๔ ระบุชอื่ ความคิดรวบยอด
ผ้เู รยี นได้ความคดิ รวบยอดเก่ยี วกับส่งิ ทร่ี ับรู้
๒.๕ ทดสอบและนาไปใช้
ผเู้ รยี นได้ทดลอง ทดสอบ สงั เกต ทาแบบฝกึ หัด ปฏิบตั ิ เพอ่ื ประเมนิ ความรู้
๓. กระบวนการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ
เปน็ ความสามารถทางกระบวนการทางปัญญาทีเ่ ก่ียวข้องกับการรบั รู้ เกิดความจา เขา้ ใจ จนถงึ ขน้ั
การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่าตามแนวของ BLOOM แนวหนึง่ อีกแนวหนง่ึ เป็นแนวคดิ ของ
GAGNE ท่ีเป็นกระบวนการเร่ิมจากสัญลกั ษณท์ างภาษาจนโยงเป็นความคิดรวบยอด เป็นกฎเกณฑแ์ ละ
นากฎเกณฑไ์ ปใช้และเพอื่ ให้ง่ายต่อการสอนซง่ึ ไมจ่ าเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆ อาจจะเลือกใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้
ขน้ึ อยู่กับการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน แต่ควรพยายามกระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นผา่ นขั้นตอนย่อยทุกขนั้ ตอน
๓.๑ สงั เกต
เนน้ การให้ทากิจกรรมรับรแู้ บบปรนยั เข้าใจ ได้ความคอดรวบยอด เชือ่ มโยงความสัมพันธ์
ของสงิ่ ตา่ งๆ สรุปเป็นใจความสาคญั ครบถ้วน ตรงตามหลกั ฐานข้อมลู
๓.๒ อธิบาย
ให้ผู้เรยี นตอบคาถาม แสดงความคดิ เห็น เชิงเหน็ ด้วยไมเ่ ห็นด้วยกับส่ิงที่กาหนดเน้นการใช้
เหตุผลด้วยหลกั การกฎเกณฑ์ อ้างหลกั ฐานข้อมลู ประกอบให้น่าเชือ่ ถอื
๓.๓ รับฟงั
ให้ผ้เู รียนได้ฟงั ความคดิ เห็นได้ตอบคาถามวพิ ากษว์ จิ ารณ์จากผอู้ น่ื ที่มีต่อความคิดของตน เนน้
การปรับเปลี่ยนความคิดเดมิ ของตนตามเหตุผลหรือข้อมลู ที่ดี โดยไมใ่ ชอ้ ารมณห์ รือดื้อเพ่งต่อความคิดเดิม
๓.๔ เช่อื มโยงความสมั พันธ์
ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ ปรียบเทียบความแตกตา่ ง และความคล้ายคลงึ ของส่งิ ตา่ งๆใหส้ รปุ จดั กลมุ่ ส่งิ ที่
เปน็ พวกเดียวกนั เชือ่ มโยงเหตุการณเ์ ชงิ หาเหตุและผล หากกฎเกณฑ์การเช่ือมโยงในลักษณะอปุ มาอุปมยั
๓.๕ วิจารณ์
จดั กจิ กรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์ คากลา่ ว แนวคดิ หรือการกระทา แล้วให้จาแนกหา
จุดเดน่ -จดุ ด้อย สว่ นดี-สว่ นเสยี สว่ นสาคัญ-ไมส่ าคัญ จากส่ิงน้นั ด้วยการยกเหตุผล หลกั การ มาประกอบ
การวจิ ารณ์
๓.๖ สรปุ
จัดกิจกรรมให้พจิ ารณาส่วนประกอบของการกระทาหรือข้อมลู ตา่ งๆที่เชื่อมโยงเกยี่ วข้องกัน
แล้วใหส้ รุปผลอยา่ งตรงและถูกตอ้ งตามหลกั ฐานข้อมูล
๔. กระบวนการปฏิบัติ
เปน็ กระบวนการทม่ี ุ่งให้ผเู้ รยี นปฏิบัติจนเกดิ ทักษะ มขี ้ันตอนดงั นี้
๔.๑ สังเกตรับรู้
ให้ผู้เรียนไดเ้ ห็นตวั อยา่ งหลากหลายจนเกิดความเขา้ ใจและสรปุ ความคิดรวบยอด
๔.๒ ทาตามแบบ
ทาตามตวั อย่างท่ีแสดงใหเ้ ห็นทีละขัน้ ตอนจากข้นั พ้นื ฐานไปสู่งานทีซ่ บั ซ้อนขึ้น
๔.๓ ทาเองโดยไมม่ ีแบบ
เป็นการใหฝ้ ึกปฏิบตั ชิ นดิ ครบถ้วนกระบวนการทางาน ต้ังแตต่ น้ จนจนด้วยตนเอง
๔.๔ ฝึกให้ชานาญ
ให้ปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชานาญ หรอื ทาไดโ้ ดยอัตโนมัติ ซง่ึ อาจเปน็ งานช้นิ เดมิ หรอื
งานทค่ี ิดขน้ึ ใหม่
๕. กระบวนการเรียนภาษา
เปน็ กระบวนการทีม่ ุง่ ใหเ้ กดิ การพัฒนาทักษะทางภาษา มีขั้นตอนดงั นี้
๕.๑ ทาความเขา้ ใจสัญลักษณ์ ส่อื รูปภาพ รปู แบบ เคร่ืองหมาย ผเู้ รยี นรับรูเ้ ก่ยี วกับ
ความหมายของคา กลุ่มคา ประโยคและถอ้ ยคา สานวนต่างๆ
๕.๒ สร้างความคดิ รวบยอด
ผู้เรยี นเกดิ การเชือ่ มโยงความรู้จากประสบการณ์ มาสู่ความเขา้ ใจและเกิดภาพรวมเกย่ี วกับส่ิง
ทเ่ี รียนดว้ ยตนเอง
๕.๓ ส่ือความหมาย ความคิด
ผู้เรยี นถา่ ยทอดทางภาษาใหผ้ ู้อ่นื เข้าใจได้
๕.๔ พฒั นาความสามารถ
ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรตู้ ามขั้นตอนคือความรู้ความจา เข้าใจ นาไปใชว้ เิ คราะห์ สังเคราะห์
และประเมินคา่ ได้
๖. กระบวนการกลมุ่
เปน็ กระบวนการมุง่ ให้ผูเ้ รียนทางานรว่ มกนั โดยเนน้ กจิ กรรมดังน้ี
๖.๑ มีผนู้ ากล่มุ ซ่งึ อาจผลดั เปล่ียนกัน
๖.๒ วางแผนกาหนดวัตถปุ ระสงค์และวิธกี าร
๖.๓ รับฟงั ความคิดเห็นจากสมาชกิ ทกุ คนบนพืน้ ฐานของเหตุผล
๖.๔ แบ่งหน้าทรี่ ับผิดชอบ เม่ือมกี ารปฏิบัติ
๖.๕ ตดิ ตามผลการปฏิบัติและปรับปรงุ
๖.๖ ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ
๗. กระบวนการเรยี นความรู้ความเข้าใจ
ใช้กับการเรยี นเนอื้ หาเชิงความรูต้ ามความจรงิ มีขั้นตอนดังน้ี
๗.๑ สงั เกต ตระหนัก
พิจารณาข้อมลู สาระความรู้ เพื่อความสร้างความคดิ รวบยอด กระตุ้นให้ตัง้ คาถาม ตงั้
ข้อสังเกต สังเคราะห์ข้อมูล เพอ่ื ทาความเขา้ ใจในสิ่งท่ตี ้องการเรยี นรู้ และกาหนดเป็นวตั ถุประสงคเ์ ป็นแนวทาง
ที่จะแสวงหาคาตอบต่อไป
๗.๒ วางแผนปฏบิ ตั ิ
นาวตั ถุประสงค์หรือคาถามทที่ ุกคนสนใจจะหาคาตอบมาวางแผนเพ่ือกาหนดแนวทางปฏบิ ตั ิ
ที่เหมาะสม
๗.๓ ลงมอื ปฏิบัติ
กาหนดใหส้ มาชิกในกลมุ่ ย่อย ๆ ได้แสวงหาคาตอบจากแหลง่ ความรดู้ ้วยวธิ ตี า่ งๆ เช่น คน้ คว้า
ศึกษานอกสถานที่ หาข้อมลู จากองค์กรในชมุ ชน ฯลฯ ตามแผนทว่ี างไว้
๗.๔ พฒั นาความร้คู วามเข้าใจ
นาความร้ทู ่ีไดม้ ารายงานและอภปิ รายเชิงแปลความ ตคี วาม ขยายความ นาไปใช้วเิ คราะห์
สังเคราะห์ และประเมนิ คา่
๗.๕ สรุป
คุณภาพของผูเ้ รยี น
จบชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖
อา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองเปน็ ทานองเสนาะได้ถกู ต้องและเข้าใจ ตคี วาม แปลความ
และขยายความเร่ืองที่อ่านได้ วิเคราะหว์ จิ ารณ์เรือ่ งที่อ่าน แสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง และเสนอความคิดใหม่
จากการอา่ นอย่างมีเหตผุ ล คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน เขยี นกรอบแนวคิด ผังความคดิ บนั ทึก
ยอ่ ความ และเขยี นรายงานจากสิ่งทอ่ี ่าน สังเคราะห์ ประเมินค่า และนาความรู้ความคดิ จากการอา่ นมาพฒั นา
ตน พัฒนาการเรยี น และพฒั นาความรูท้ างอาชพี และนาความรู้ความคิด ไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหา ในการ
ดาเนนิ ชีวติ มีมารยาท และมีนิสัยรกั การอา่ น
เขยี นส่ือสารในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ภาษาไดถ้ ูกต้องตรงตามวตั ถุประสงค์ ย่อความจากสื่อท่มี ีรปู แบบ
และเน้อื หาทห่ี ลากหลาย เรยี งความแสดงแนวคิดเชงิ สร้างสรรค์โดยใช้โวหารตา่ งๆ เขยี นบันทึก รายงาน-
การศึกษาคน้ คว้าตามหลักการเขยี นทางวชิ าการ ใช้ข้อมูลสารสนเทศในการอ้างอิง ผลิตผลงานของตนเองใน
รปู แบบต่างๆ ทั้งสารคดีและบันเทงิ คดี รวมทั้งประเมนิ งานเขียนของผ้อู นื่ และนามาพฒั นางานเขยี น-
ของตนเอง
ตั้งคาถามและแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกบั เรอ่ื งทฟ่ี ังและดู มีวิจารณญาณในการเลอื กเร่ืองทฟี่ ัง และดู
วเิ คราะหว์ ตั ถุประสงค์ แนวคิด การใชภ้ าษา ความนา่ เชื่อถือของเร่ืองที่ฟงั และดู ประเมนิ สง่ิ ท่ีฟังและดแู ลว้
นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนินชวี ิต มที ักษะการพดู ในโอกาสต่างๆ ทง้ั ทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เปน็ ทางการโดย
ใชภ้ าษาท่ีถกู ตอ้ ง พูดแสดงทรรศนะ โต้แยง้ โนม้ น้าว และเสนอแนวคดิ ใหมอ่ ยา่ งมีเหตุผล รวมทัง้ มีมารยาท
ในการฟัง ดู และพูด
เข้าใจธรรมชาติของภาษา อิทธพิ ลของภาษา และลักษณะของภาษาไทย ใช้คาและกลุ่มคา-
สรา้ งประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์ แตง่ คาประพนั ธป์ ระเภท กาพย์ โคลง รา่ ยและฉันท์ ใช้ภาษาได้-
เหมาะสมกับกาลเทศะ และใช้คาราชาศพั ท์และคาสุภาพได้อยา่ งถูกต้อง วเิ คราะหห์ ลักการสร้างคาใน
ภาษาไทย อิทธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย และภาษาถ่นิ วิเคราะห์และประเมนิ การใช้ภาษาจากสอ่ื
สง่ิ พมิ พแ์ ละส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์
วิเคราะหว์ ิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรม ตามหลกั การวิจารณว์ รรณคดเี บ้ืองตน้ รแู้ ละเข้าใจลักษณะ-
เด่นของวรรณคดี ภูมิปญั ญาทางภาษาและวรรณกรรมพนื้ บ้าน เชอ่ื มโยงกบั การเรยี นรทู้ างประวตั ศิ าสตรแ์ ละ
วถิ ไี ทย ประเมนิ คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ และนาขอ้ คิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรม ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ จริง
ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง
สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรแู้ ละความคดิ เพอ่ื นาไปใชต้ ดั สินใจ แก้ปญั หาในการ
ดาเนินชวี ติ และมนี สิ ยั รกั การอา่ น
ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.๔-ม.๖ ๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ การอา่ นออกเสียง ประกอบด้วย
และบทร้อยกรองไดอ้ ย่างถกู ต้อง
ไพเราะ และเหมาะสมกับเร่ืองที่อา่ น - บทร้อยแกว้ ประเภทต่างๆ เช่น บทความ นว
นยิ าย และความเรียง
- บทร้อยกรอง เช่น โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน
รา่ ย และลลิ ิต
๒. ตคี วาม แปลความ และขยายความ การอา่ นจับใจความจากส่ือต่างๆ เช่น
เรอ่ื งท่ีอ่าน - ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์
๓. วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เรอ่ื งทอี่ ่าน และแหล่งเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ในชุมชน
ในทุกๆ ด้านอย่างมีเหตุผล - บทความ - นทิ าน
๔. คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อา่ น - เรือ่ งสนั้ - นวนิยาย
และประเมนิ ค่าเพื่อนาความรู้ ความคดิ
ใช้ตดั สินใจแกป้ ญั หาการดาเนนิ ชีวิต - วรรณกรรมพนื้ บา้ น - วรรณคดีในบทเรียน
๕. วิเคราะห์ วจิ ารณ์ แสดงความ - บทโฆษณา - สารคดี
คดิ เห็นโต้แยง้ กบั เร่ืองที่อา่ น และเสนอ
ความคดิ ใหม่อยา่ งมีเหตุผล - บนั เทิงคดี - ปาฐกถา
- พระบรมราโชวาท - เทศนา
๖. ตอบคาถามจากการอ่านประเภท - คาบรรยาย - คาสอน
ต่างๆ ภายในเวลาทกี่ าหนด - บทรอ้ ยกรองร่วมสมยั
๗. อา่ นเรื่องต่างๆ แลว้ เขียนกรอบ - บทเพลง
แนวคิดผังความคิด บนั ทึก ย่อความ - บทอาเศยี รวาท
และรายงาน - คาขวญั
๘. สังเคราะหค์ วามรู้จากการอา่ น
สือ่ ส่ิงพมิ พ์ สอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ และ
แหลง่ เรียนรตู้ า่ งๆ มาพัฒนาตน
พัฒนาการเรยี น และพฒั นาความรู้
ทางอาชีพ
๙. มีมารยาทในการอ่าน มารยาทในการอา่ น
สาระท่ี ๒ การเขยี น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขยี นเขียนสื่อสาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราวในรปู แบบ
ต่างๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาคน้ คว้า
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ม.๔-๖ ๑. เขียนสอื่ สารในรปู แบบตา่ ง ๆ ได้ เขยี นสอ่ื สารในรปู แบบต่าง ๆ
ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษา
เรียบเรยี งถูกต้อง มีข้อมลู
และสาระสาคัญชัดเจน
๒. เขียนเรียงความ การเขียนเรยี งความ
๓. เขยี นยอ่ ความจากส่ือที่มรี ปู แบบ การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เชน่
และเนอ้ื หาหลากหลาย - กวนี พิ นธ์ และวรรณคดี
- เร่ืองส้ัน สารคดี นวนยิ าย บทความทางวชิ าการ
และวรรณกรรมพืน้ บา้ น
๔. ผลิตงานเขยี นของตนเอง การเขียนในรูปแบบต่างๆ เชน่
ในรูปแบบตา่ งๆ - สารคดี
- บันเทิงคดี
๕. ประเมนิ งานเขยี นของผู้อน่ื การประเมนิ คุณค่างานเขียนในดา้ นต่างๆ
แล้วนามาพฒั นางานเขียนของตนเอง เชน่
- แนวคิดของผเู้ ขียน
- การใชถ้ อ้ ยคา
- การเรียบเรยี ง
- สานวนโวหาร
- กลวธิ ใี นการเขียน
๖. เขียนรายงานการศึกษาคน้ ควา้ การเขียนรายงานเชิงวิชาการ
เร่อื งท่ีสนใจตามหลักการเขียนเชิง การเขยี นอ้างองิ ข้อมลู สารสนเทศ
วชิ าการ และใชข้ อ้ มูลสารสนเทศอ้างองิ
อยา่ งถูกต้อง
๗. บนั ทึกการศึกษาค้นคว้าเพ่ือนาไป การเขียนบันทึกความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้
พฒั นาตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ ทีห่ ลากหลาย
๘. มีมารยาทในการเขียน มารยาทในการเขียน
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟงั และดอู ยา่ งมวี จิ ารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคิด และความรสู้ กึ
ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี ิจารณญาณและสร้างสรรค์
ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ม.๔-ม.๖ ๑. สรปุ แนวคดิ และแสดงความคดิ เหน็ การพูดสรุปแนวคดิ และการแสดงความ
จากเร่ืองท่ฟี งั และดู คดิ เหน็ จากเร่ืองท่ีฟังและดู
การวเิ คราะห์แนวคิด การใชภ้ าษา
๒. วเิ คราะห์ แนวคิด การใช้ภาษา และความนา่ เช่ือถือจากเรื่องที่ฟังและดู
และความน่าเช่ือถือจากเรื่องที่ฟัง
และดูอย่างมเี หตุผล การเลือกเรื่องท่ีฟังและดูอยา่ งมี
วิจารณญาณ
๓. ประเมนิ เรื่องท่ีฟงั และดูแล้วกาหนด การประเมนิ เร่ืองท่ีฟงั และดเู พื่อกาหนด
แนวทางนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนนิ แนวทางนาไปประยกุ ตใ์ ช้
ชีวติ
๔. มีวจิ ารณญาณในการเลือก การพดู ในโอกาสต่างๆ เช่น
เรอื่ งที่ฟงั และดู - การพูดต่อทป่ี ระชุมชน - การพดู อภิปราย
- การพูดแสดงทรรศนะ - การพดู โนม้ นา้ วใจ
๕. พูดในโอกาสต่างๆ พูดแสดง มารยาทในการฟงั การดู และการพูด
ทรรศนะ โต้แยง้ โนม้ น้าวใจ และเสนอ
แนวคดิ ใหมด่ ้วยภาษาถกู ต้องเหมาะสม
๖. มีมารยาทในการฟงั การดูและพดู
สาระท่ี ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษา และพลังของ
ภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัติของชาติ
ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.๔-ม.๖ ๑. อธบิ ายธรรมชาตขิ องภาษา ธรรมชาตขิ องภาษา
พลงั ของภาษา และลกั ษณะของ พลงั ของภาษา
ภาษา
ลักษณะของภาษา
๒. ใชค้ าและกลุ่มคาสร้างประโยค - เสยี งในภาษา - ส่วนประกอบของภาษา
ตรงตามวัตถุประสงค์ - องค์ประกอบของพยางคแ์ ละคา
การใชค้ าและกลมุ่ คาสรา้ งประโยค
๓. ใชภ้ าษาเหมาะสมแกโ่ อกาส - คาและสานวน - การร้อยเรยี งประโยค
กาลเทศะ และบุคคล รวมท้งั คา - การเพิ่มคา - การใชค้ า
ราชา-ศัพท์อยา่ งเหมาะสม - การเขยี นสะกดคา
๔. แต่งบทรอ้ ยกรอง ระดับของภาษา
๕. วิเคราะห์อทิ ธิพลของ คาราชาศัพท์
ภาษาตา่ งประเทศและภาษาถ่ิน
๖. อธบิ ายและวิเคราะหห์ ลกั การ กาพย์ โคลง ร่าย และฉันท์
สร้างคาในภาษาไทย อิทธิพลของภาษาตา่ งประเทศและภาษาถนิ่
๗. วเิ คราะห์และประเมินการใช้
ภาษาจากส่อื สง่ิ พมิ พ์ และส่ือ หลกั การสร้างคาในภาษาไทย
อิเลก็ ทรอนิกส์
การประเมนิ การใช้ภาษาจากสื่อสงิ่ พมิ พ์ และ
สือ่ อิเล็กทรอนิกส์
สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณคา่
และนามาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง
ม.๔-ม.๖ ๑. วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณ์วรรณคดี หลักการวเิ คราะห์และวิจารณว์ รรณคดี
และวรรณกรรม ตามหลักการวจิ ารณ์ และวรรณกรรมเบ้ืองต้น
เบ้ืองต้น - จุดมุง่ หมายการแตง่ - การพจิ ารณารูปแบบ
- การพิจารณาเนื้อหาและกลวธิ ี
- การวเิ คราะหแ์ ละการวิจารณ์
๒. วิเคราะหล์ กั ษณะเดน่ ของวรรณคดี การวิเคราะห์ลกั ษณะเดน่ ของวรรณคดี
เช่ือมโยงกับการเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตร์ และวรรณกรรมเกยี่ วกบั เหตุการณ์
และวถิ ชี วี ิตของสงั คมในอดตี
ประวตั ิศาสตร์ และวิถชี ีวิตของสงั คมในอดีต
๓. วเิ คราะห์และประเมนิ คุณคา่ ดา้ น การวเิ คราะห์และประเมินคุณค่าวรรณคดี
วรรณศลิ ป์ของวรรณคดี และ และวรรณกรรม
วรรณกรรมในฐานะทเี่ ป็นมรดกทาง - ด้านวรรณศิลป์ - ดา้ นสังคมและวัฒนธรรม
วัฒนธรรมของชาติ
๔. สงั เคราะหข์ อ้ คดิ จากวรรณคดี การสังเคราะห์วรรณคดแี ละวรรณกรรม
และวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยกุ ต์ใช้
ในชีวติ จรงิ วรรณกรรมพ้นื บ้านที่แสดงถึง
๕. รวบรวมวรรณกรรมพ้นื บา้ นและ - ภาษากับวฒั นธรรม
อธิบายภูมปิ ัญญาทางภาษา - ภาษาถ่นิ
บทอาขยานและบทร้อยกรองท่มี ีคณุ คา่
๖. ท่องจาและบอกคณุ คา่ บทอาขยาน - บทอาขยานตามที่กาหนด
ตามทกี่ าหนด และบทรอ้ ยกรอง- - บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ
ท่มี คี ณุ ค่าตามความสนใจ
และนาไปใชอ้ ้างอิง
รายวชิ าทีเ่ ปดิ สอนกลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย
รายวชิ าพื้นฐาน ระดับช้ันมธั ยมศึกษา ม. 4
รหัสวิชา ท31101 รายวิชาภาษาไทย 1.0 หนว่ ยกิต จานวน 40 ชว่ั โมง
รหัสวชิ า ท31102 รายวิชาภาษาไทย 1.0 หน่วยกิต จานวน 40 ชวั่ โมง
รายวิชาเพิ่มเตมิ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษา ม. 4
รหัสวชิ า ท3๐๒01 รายวิชาภาษาไทย 1.0 หนว่ ยกติ จานวน 40 ชว่ั โมง
รหสั วิชา ท3๐๒0๒ รายวิชาภาษาไทย 1.0 หน่วยกติ จานวน 40 ชวั่ โมง
คำอธิบำยรำยวิชำเพ่ิมเติม
ท30202 ภำษำไทยเพิ่มเตมิ (กำรเขยี นเชิงสรำ้ งสรรค์) กล่มุ สำระกำรเรียนรภู้ ำษำไทย
ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 4 ภำคเรียนที่ 2 เวลำ 40 ชั่วโมง จำนวน 1.0 หน่วยกิต
เขียนส่ือสารในรูปแบบต่างๆ เขียนบรรยาย พรรณนา เขียนแสดงทรรศนะ เขียนโต้แย้ง เขียนโน้ม
น้าว เขียนเชิญชวน เขียนประกาศ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์โดยใช้ภาษาเรียบเรียงถูกต้อง มีข้อมูล และ
สาระสาคญั อย่างชดั เจน เลือกใช้โวหารให้เหมาะสมกบั เนอ้ื เร่ืองและโอกาส ผลิตงานเขียนของตนเองในรปู แบบ
ต่างๆ สารคดี บนั เทงิ คดี ประเมนิ คุณค่างานเขียนของผู้อืน่ และนามาพฒั นางานเขียนของตนเอง เขียนรายงาน
ศกึ ษาค้นคว้าเรื่องที่สนใจตามหลักการเขียนเชิงวิชาการและใช้ขอ้ มลู สารสนเทศ อ้างอิงอย่างถูกต้อง การเขียน
บนั ทกึ ความรู้จากแหล่งเรียนรูท้ ีห่ ลากหลาย
มมี ารยาทในการอ่าน มุง่ ม่ันในการทางาน ใฝร่ ้ใู ฝเ่ รียน ใช้ทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยเี พ่ือ
พฒั นาตนเองและสังคม
ผลกำรเรยี นรู้
1. เขยี นสื่อสารในรูปแบบตา่ งๆ ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
2. เขยี นเรียงความ และเขียนยอ่ ความจากสอ่ื ตา่ งๆ ได้
3. ผลิตงานเขยี นของตนเองในรูปแบบต่างๆ ได้
4. ประเมนิ งานเขยี นในด้านการใชถ้ อ้ ยคา สานวนโวหาร และกลวธิ ใี นการเขียน
รวมทงั้ หมด 4 ผลกำรเรียนรู้
โครงสร้ำงรำยวิชำภำษำไทยเพมิ่ เติม (กำรเขยี นเชิงสร้ำงสรรค์)
หน่วยที่ ชื่อหน่วย ผลกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ เวลำ น้ำหนกั
กำรเรียนรู้ คะแนน
1 เขียนส่อื สารใน เขยี นส่อื สารในรูปแบบต่างๆ - การอธิบายรายละเอียด 3 10
รปู แบบตา่ งๆ ไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ เกี่ยวกบั ตัวผู้สมัครโดยยอ่
- การเขียน - บอกสว่ นประกอบท่สี าคญั
ประวตั ิยอ่ ในการ ของประวตั ยิ อ่ ในการสมัคร
สมัครงาน งาน
2 การเขยี น เขยี นสอ่ื สารในรูปแบบตา่ งๆ - จดหมายทบี่ คุ คลเขยี น 3 10
10
จดหมายกจิ ธุระ ไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ ติดตอ่ กับบคุ คลอน่ื บริษัท
10
หา้ งรา้ นและหน่วยงานอื่นๆ
เพอ่ื แจง้ กิจธุระ
3 การเขียน เขียนส่อื สารในรปู แบบต่างๆ - รปู แบบหนง่ึ ของการ 3
โครงงาน ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ นาเสนอผลงานของ
โครงงานที่ผ้เู รียนได้ศกึ ษา
อยูใ่ นรูปแบบรายงาน แต่
เพมิ่ รายละเอยี ด เป็นการ
รวบรวมการคน้ คว้าต้งั แต่
ตน้ จนจบ
4 การเขยี นรายงาน เขยี นสื่อสารในรปู แบบตา่ งๆ - สว่ นประกอบท่สี าคัญของ 4
วชิ าการ ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ การเขียนรายงาน
โครงสรำ้ งรำยวิชำภำษำไทยเพมิ่ เติม (กำรเขยี นเชงิ สรำ้ งสรรค์)
หนว่ ยที่ ชอื่ หน่วย ผลกำรเรียนรู้ สำระสำคัญ เวลำ นำ้ หนกั
คะแนน
กำรเรยี นรู้
4 10
5 การเขยี นรายงาน เขียนสอ่ื สารในรปู แบบต่างๆ - รายละเอยี ด หรือสาระ
4 10
การประชุม ได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ของการประชุมที่จดไวเ้ ป็น
ทางการ เป็นการบันทึก
เร่อื งราวต่างๆ
6 การเขยี น เขียนส่อื สารในรูปแบบต่างๆ - รูปแบบ การเขยี น
จดหมายกิจธรุ ะ ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ จดหมายกจิ ธุระ
7 การกรอกแบบ เขียนส่ือสารในรูปแบบตา่ งๆ - การกรอกแบบรายการ 4 10
รายการต่างๆ ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ หรือที่เรียกทั่วไปวา่ การ
กรอกแบบฟอรม์ เพ่่ือขอให้
ดาเนินการเรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึง
8 เขยี นเรยี งความ เขียนเรียงความ และเขียน - องค์ประกอบการเขยี น 4 10
และเขียนย่อ ยอ่ ความจากสอื่ ตา่ งๆ ได้ เรียงความ
ความ - หลกั การเขียนเรยี งความท่ี
ดี
9 ผลติ งานเขียน ผลิตงานเขียนของตนเองใน - ผลิตงานเขียนในรูปแบบ 8 20
ของตนเองใน รปู แบบตา่ งๆ ได้ ตา่ งๆ
รปู แบบต่างๆ
รวม 40 100
กำหนดคะแนนกำรวดั ผลและประเมินผลกำรเรยี นวิชำภำษำไทยเพิ่มเติม (ท 30202)
อัตราส่วน คะแนนเก็บระหว่างภาค : คะแนนปลายภาค = 80 : 20
๑. รำยละเอยี ดกำรวดั ผล-ประเมนิ ผล วิธีวดั ชนิดของเครื่องมอื ตวั ชว้ี ดั /ผล เวลาทใ่ี ช้
การประเมิน คะแนน วัด การเรยี นรู้ (นาท/ี ครงั้ )
ก่อนสอบกลางภาค 25 -ใบงาน แบบทดสอบ
-แบบดสอบ
สอบกลางภาค ย่อย แบบทดสอบ 60
หลังสอบกลางภาค แบบทดสอบ/ 60
20 ทดสอบ
คณุ ลักษณะ ชิ้นงาน
สอบปลายภาค 25 -ใบงาน
-แบบทดสอบ แบบสังเกต/
ยอ่ ย แบบสอบถาม
แบบทดสอบ
10 สังเกต/
สอบถาม
20 ทดสอบ
๑. ภำระงำน/ชิ้นงำน ตัวช้วี ดั /ผลการ ประเภทงาน กาหนดสง่
เรียนรู้ กลมุ่ เดีย่ ว วนั /เดอื น/
ที่ ชือ่ งาน
⁄ ปี
1 โครงงานวิชาภาษาไทย
กาหนดให้ 1 เรือ่ ง ⁄⁄
⁄
2 รายงาน/ชน้ิ งาน
3 ท่องบทอาขยาน
หากนกั เรียนขาดสง่ งาน 3 ชน้ิ และมีคะแนนตลอดภาคเรียนไมถ่ ึง 50 คะแนน จะไดร้ ับผล
การเรยี น “ร” ในรายวิชานี้