The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้ที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ (ปรับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by SUMRAN GUMJUDPAI, 2023-03-24 01:47:57

ใบความรู้ที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ (ปรับ)

ใบความรู้ที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ (ปรับ)

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 1 รองศาสตราจารย์ ดร.สำราญ กำจัดภัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 2 ใบความรู้ที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ รองศาสตราจารย์ ดร.สำราญ กำจัดภัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร การเรียนรู้(Learning) หมายถึง “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร อันเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์” จากความหมายนี้ จะเห็นว่าประกอบด้วยคำสำคัญ 4 คำที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลง 2) พฤติกรรม 3) ค่อนข้างถาวร และ 4) การได้รับประสบการณ์ โดยที่คำว่า “การเปลี่ยนแปลง” หมายถึง การทำให้มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม คำว่า “พฤติกรรม” หมายถึง กิริยาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เมื่อได้เผชิญกับสิ่งเร้า ทั้งที่เป็นพฤติกรรมภายนอกที่บุคคลแสดง ออกมา ทำให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ สังเกตได้ เช่น การร้องเพลง การพูด การวาดภาพ ฯลฯ และ พฤติกรรมภายในที่บุคคลแสดงแล้วแต่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้หรือสังเกตได้โดยตรง จนกว่าบุคคล นั้นจะเป็นผู้บอกหรือแสดงบางอย่างเพื่อให้คนอื่นรับรู้ได้ เช่น ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ เป็นต้น สำหรับ “พฤติกรรม” ในความหมายของพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning behavior) ตาม ทรรศนะของ Bloom และคณะ หมายถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ 3 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่ (1) พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (Cognitive) เช่น ความจำ ความเข้าใจ การคิดในรูปแบบต่าง ๆ (2) พฤติกรรมด้านจิตพิสัย (Affective) เช่น ความรู้สึก ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม เป็นต้น ความหมายของการเรียนรู้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ความหมายของการเรียนรู้ 2. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย 3. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย 4. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 3 (3) พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย (Psychomotor) เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การวาดภาพ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง การร้องเพลง การพูด อภิปรายการเต้นตามจังหวะดนตรี เป็นต้น คำว่า “ค่อนข้างถาวร” หมายถึง มีความคงทนหรือคงอยู่ค่อนข้างยาวนาน ส่วนคำว่า “การได้รับประสบการณ์” ในที่นี้หมายถึง การได้เผชิญเหตุการณ์ในธรรมชาติรอบกาย หรือการได้ กระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ (1) การได้เห็น เกิดจากการใช้ประสาท สัมผัสทางตาโดยการสังเกต และมองสิ่งรอบ ๆ ตัว (2) การได้ยิน เกิดจากการใช้ประสาทสัมผัสทางหู ในการฟังสิ่งต่าง ๆ (3) การได้กลิ่น เกิดจากการใช้ประสาทสัมผัสทางจมูก (4) การได้ลิ้มรสเกิดจาก การใช้ประสาทสัมผัสทางลิ้นโดยการชิมรส และ (5) การได้สัมผัสด้วยผิวกาย ซึ่งอาจเป็นสัมผัสทางมือ หรือผิวหนังส่วนอื่น เพื่อรับรู้ความร้อนหนาว ความเจ็บ ความหยาบความนุ่ม เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าจะสรุปเชื่อมโยงไปสู่ “การเรียนรู้ของผู้เรียน” น่าจะพอสรุปได้ว่า การเรียนรู้ของผู้เรียน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนที่คงทนถาวรหรือค่อนข้างถาวร ทั้งที่เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นได้ชัด หรือพฤติกรรมที่แฝงอยู่ในตัว พร้อมที่จะแสดงออกได้ ทุกเมื่อ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเป็น ผลเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์ที่เผชิญหรือได้กระทำสิ่ง ต่าง ๆ ในธรรมชาติรอบกายด้วยตนเองผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รวมถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ครูผู้สอน เป็นผู้จัดให้ ส่วนการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุอื่น เช่น การเจริญเติบโตหรือวุฒิภาวะ หรือเนื่องมาจาก ฤทธิ์ของยา หรือความเจ็บป่วยไม่ถือเป็นการเรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย เกิดจากพลังความสามารถทางสมอง ซึ่งไปมี ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้าทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตัวบุคคล ประสบการณ์ต่าง ๆ มี หลากหลายจากง่าย ๆ จนถึงซับซ้อน ทำให้ต้องจำแนกระดับความสามารถทางสมอง หรือสติปัญญา ออกเป็นระดับต่าง ๆ โดย Bloom และคณะ ได้จำแนกออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1. ความรู้ (Knowledge) หรือความจำ เป็นความสามารถในการระลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยา เช่น สามารถบ่งบอกถึงเหตุการณ์ วัน เวลา วิธีการ หรือขั้นตอน การกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างถูกต้อง 2. ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการจับใจความ สำคัญของสิ่งเร้าต่าง ๆ และสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ หรือขยายความ จากสิ่งเร้าที่ได้รับสัมผัสมานั้น จำแนกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 4 2.1 การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถของบุคคลในการถอดความ หรือ ถอดแบบ โดยสื่อความหมายจากรูปลักษณ์หนึ่งไปสู่รูปลักษณ์อื่น ๆ เพื่อเป็นการสื่อความให้ผู้อื่น สามารถรู้ความหมายตรงกันได้ง่ายขึ้น เช่น การแปลความหมายข้อความ คำพังเพย สุภาษิต คำคม หรือสัญลักษณ์ หรือการแปลภาษาคณิตศาสตร์ ให้เป็นสัญลักษณ์หรือกลับกัน เป็นต้น 2.2 การตีความ (Interpretation) เป็นความสามารถของบุคคลในการมองและคิดในแง่มุม เฉพาะตนต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่ได้รับสัมผัส ซึ่งแปลกใหม่ไปจากการแปลความหมายโดยตรง เช่น เมื่อเรา ชมภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง แล้วเกิดตีความนัยยะหรือสัญลักษณ์ในภาพยนตร์ไปคนละทิศทาง เพราะ ภาพยนตร์ไม่ได้เฉลยหรือเปิดเผยเนื้อหาทั้งหมด โดยมากมักเป็นความตั้งใจของผู้กำกับภาพยนตร์ที่ ทิ้งปริศนาคาใจให้กับผู้ชม 2.3 การขยายความ (Extrapolation) เป็นความสามารถของบุคคลในการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจข้อมูล ข่าวสาร หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาค้นคว้า แปลความ ตีความ อย่างมี วิจารณญาณ แล้วถ่ายทอดรายละเอียดของข้อมูล เรื่องราว เพิ่มมากขึ้น ชัดเจน มีสาระและเหตุผล โดยอาศัยเรื่องเดิมหรือข้อความที่ปรากฏเป็นพื้นฐาน การขยายความสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การกล่าวถึงสาเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน การยกตัวอย่างหรือข้อเท็จจริงมาประกอบเนื้อเรื่องเดิม การอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเพิ่มเติม หรือการคาดคะเน (การอนุมาน) สิ่งที่น่าจะเป็น หรือสิ่งที่ จะเกิดขึ้นต่อไป โดยอาศัยข้อมูลเหตุผลจากเรื่องเดิมเป็นพื้นฐานการคิดคาดคะเน 3. การนำไปใช้ (Application) เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการประยุกต์ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ หลักการ เทคนิค แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ กฎเกณฑ์หรือหลักความรู้ในเรื่องใดเรื่อง หนึ่งไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่แปลกใหม่ 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถของบุคคลในการแยกแยะเรื่องราวที่สมบูรณ์ ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้อย่างชัดเจน ระบุรายละเอียดและความสำคัญของแต่ละส่วนย่อย ๆ นั้น บอกความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกันของส่วนต่าง ๆ และบอกหลักการของการอยู่รวมกันได้ ของส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น การวิเคราะห์มี 3 ลักษณะ คือ 4.1 การวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Analysis of Elements) หรือวิเคราะห์ความสำคัญ เป็นความสามารถของบุคคลในการแยกแยะสิ่งหนึ่งสิ่งใด เรื่องราว หรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อย ๆ หรือองค์ประกอบย่อย ๆ ได้อย่างชัดเจน พร้อมระบุ รายละเอียดและความสำคัญของแต่ละส่วนย่อย หรือองค์ประกอบย่อยนั้น ๆ 4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationships) เป็นความสามารถของบุคคล ในการแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งที่สมบูรณ์ใด ๆ และค้นหาจนพบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ต่าง ๆ หรือระหว่างองค์ประกอบกับสิ่งสมบูรณ์นั้น ๆ ว่าสิ่งใดสัมพันธ์กัน สิ่งใดเป็นเหตุและเป็นผลของ กันและกัน หรือสิ่งใดไม่สอดคล้องไม่เกี่ยวข้องกัน


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 5 4.3 การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Organizational Principles) เป็นความสามารถ ของบุคคลในการค้นหาโครงสร้างและระบบของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าสามารถคงอยู่หรือรวมกันอยู่ได้ เพราะเหตุใด มีอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลาง ดังนั้นการวิเคราะห์หลักการ จึงเป็นความพยายามที่จะ ค้นหาว่า ส่วนประกอบหรือองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ เหล่านั้น คงอยู่รวมกันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์นั้นได้ อย่างไร มีอะไรเป็นหลักยึดร่วมกัน 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถของบุคคลในการผสมผสานส่วนย่อยเข้า เป็นเรื่องราวเดียวกัน เกิดสิ่งใหม่ขึ้น หรือดัดแปลงปรับปรุงของเก่าให้ดีขึ้น มีคุณภาพสูงขึ้น เช่น ความสามารถในการสร้างสูตรอาหารใหม่ ๆ การนำวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ มาประดิษฐ์เป็นสิ่งของเครื่องใช้ การจัดทำแผนผังความคิดสรุปองค์ความรู้ที่เรียนในแต่ละครั้ง เป็นต้น 6. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้ดุลพินิจ ตัดสินคุณค่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อหาคุณค่าของสิ่งนั้นว่า เป็นคุณหรือโทษ มี ประโยชน์ด้านใด อย่างไร การตัดสินความถูกต้อง ความชัดเจน ความเหมาะสม และคุณค่า โดยอาศัย เกณฑ์ หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม ซึ่งเป็นรากฐานที่ก่อเกิดบุคลิกภาพหรือลักษณะนิสัยของบุคคล ดังแสดงเป็นลำดับขั้นได้ ดังนี้ 1. ขั้นรับรู้ (Receiving) เป็นขั้นที่บุคคลรับรู้สิ่งเร้า หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบ ประสาทสัมผัส จนเกิดความรู้สึกสนใจสิ่งนั้น พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 6 2. ขั้นตอบสนอง (Responding) หลังจากที่รับรู้ในขั้นแรกแล้ว บุคคลจะมีพฤติกรรม ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในลักษณะที่เต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ยินดีพอใจ หรือไม่ยินดีพอใจตอบสนอง โดย บางครั้งเราสามารถสังเกตจากกริยา อาการ หรือการกระทำได้ 3. ขั้นเห็นคุณค่า หรือสร้างค่านิยม (Valuing) หลังจากบุคคลมีพฤติกรรมตอบสนองต่อ สิ่งเร้าในลักษณะ เต็มใจ ยินดี พอใจ แล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งนั้น ซึ่งมักจะต้องยึดถือ กฎเกณฑ์ของกลุ่ม หรือสังคมมาใช้ในการตัดสินใจให้คุณค่า และกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ การควบคุมทิศทางของพฤติกรรม ซึ่งเรียกว่าสร้างค่านิยม 4. ขั้นจัดระบบค่านิยม (Organization) เมื่อบุคคลมีค่านิยมหลายๆ อย่าง ซึ่งเป็นค่านิยม ย่อยๆ ก็จะเกิดการจัดระบบค่านิยม โดยการจัดลาดับความสำคัญของค่านิยม และสัมพันธ์เชื่อมโยง ค่านิยมที่เกี่ยวข้องกัน กลายเป็นคติหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติ 5. ขั้นสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม (Characterization) หลังจากที่ค่านิยมต่าง ๆ สามารถ สัมพันธ์กันเป็นระบบแล้ว ก็จะมีการพัฒนาบุคลิกภาพ หรือ ลักษณะนิสัยของบุคคลให้เป็นรูปแบบที่ ชัดเจน ซึ่งอาจจะอยู่ในระดับที่ปรับลักษณะนิสัยให้สอดคล้องกับความคาดหวังของสังคมเพราะเป็นสิ่ง ที่ช่วยให้คนเป็นคนดีเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น จนพัฒนาเป็นลักษณะนิสัยถาวร มีการกระทำแบบอัตโนมัติ หรือทำเป็นกิจนิสัย พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างประสานสัมพันธ์กัน โดยจะมีขั้นตอนของการเกิดพฤติกรรมไปตามลำดับ เช่น ลำดับขั้นการเกิดทักษะปฏิบัติของ Dave ซึ่งมี 5 ขั้น ดังนี้ 1. รับรู้และเลียนแบบ (Imitation) เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติขั้นแรกเริ่มที่ แสดงออกในลักษณะการทำเลียนแบบซ้ำ ๆ โดยที่ยังไม่ได้ผลสมบูรณ์ 2. ลงมือปฏิบัติและทำตามได้ (Manipulation) เป็นความสามารถในการควบคุม การเคลื่อนไหว แสดงออกโดยการทำตามแบบที่มีคำสั่งชี้แจงที่จะพัฒนาทักษะ 3. ลดความผิดพลาดจนสามารถทำได้ถูกต้อง (Precision) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติอย่างมีทักษะ โดยปราศจากคำแนะนำหรือรูปแบบ 4. ปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง (Articulation) เป็นความสามารถในการปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่องประสานกัน มีประสาทสัมผัสคล่องแคล่ว 5. ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) เป็นความสามารถในการปฏิบัติระดับสูง คือทำได้อย่างเป็นอัตโนมัติ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย


เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวัดและประเมินผลฯ โดย รศ.ดร.สำราญ กำจัดภัย 7 ลำดับขั้นการเกิดทักษะปฏิบัติของ Simpson ซึ่งมี 7 ขั้น ดังนี้ 1. การรับรู้ (Perception) เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดพฤติกรรม ด้านการรับสัมผัสสิ่งเร้า ผ่านทางประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น หู ตา จมูก ลิ้น ผิวกาย 2. การเตรียมความพร้อม (Set) คือการเตรียมตัวกระทำ หรือการปรับตัวให้อยู่ในสภาพ พร้อมที่จะกระทำ ซึ่งมี 3 ด้าน คือ ด้านสมองจะเตรียมความรู้ซึ่งมีมาก่อน ด้านร่างกายจะเตรียม เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ และด้านอารมณ์จะเตรียมความรู้สึกในการให้คุณค่าต่อสิ่งที่จะปฏิบัติ 3. การตอบสนองตามแนวชี้แนะ (Guided Response) เป็นการเริ่มพัฒนาทักษะ โดยการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบตามผู้แนะนำหรือครู ในขั้นนี้จะเป็นขั้นลองผิดลองถูก 4. การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง (Mechanism) คือการที่บุคคลสามารถปฏิบัติงานได้ด้วย ความเชื่อมั่นในตนเอง มีผลสัมฤทธิ์ที่น่าพอใจ 5. การตอบสนองที่ซับซ้อน (Complex overt Response) เป็นขั้นที่สามารถกระทำ หรือ ปฏิบัติงานที่ซับซ้อนได้ แม้จะต้องใช้ทักษะขั้นสูงก็สามารถทาได้อย่างชำนาญ หรือได้อย่างอัตโนมัติ 6. การดัดแปลง (Adaptation) หลังจากที่สามารถปฏิบัติได้อย่างชำนาญแล้ว เมื่อบุคคล ต้องแก้ปัญหาบ่อย ๆ ก็จะพัฒนาวิธีการเดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดขั้นตอน ลดเวลา หรือ เพิ่มคุณภาพผลงาน 7. การริเริ่ม (Origination) เป็นขั้นสูงสุดของการพัฒนาทักษะ ซึ่งบุคคลสามารถสร้างสรรค์ ผลงานใหม่ ด้วยวิธีการใหม่ที่ตนคิดขึ้นมา โดยใช้สติปัญญาร่วมกับประสบการณ์ด้านทักษะ ........................................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version