ประเพณีไทย
tradition
ประเพณียี่เป็ง
ประเพณีเดือนยี่ คือ ประเพณีลอยกระทงแบบล้านนาโดยคำว่า ยี่ แปลว่า สอง
ส่วน เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรือ คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายถึงประเพณีในวันเพ็ญเดือนสอง
ของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบเอ็ดของไทย
ประเพณียี่เป็ง
ทุกๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับการลอยกระทงในแบบปกติกันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าลองไปที่
จังหวัดเชียงใหม่แล้วล่ะก็ ที่นี่เขาจะมีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ ด้วย นั่นคืองานประเพณี
เดือน
ยี่เป็ง ที่เราจะเห็นภาพการปล่อยโคมลอยมากมาย นับร้อยนับพันโคมอย่างตื่นตาตื่น
ใจ
ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่
ลอยกระทงแบบชาวล้านนา ตื่นตางานโคมลอย
ประเพณียี่เป็ง หรือประเพณีเดือนยี่
คำว่า ยี่เป็น เป็นภาษาล้านนา แยกได้สองคำคือคำว่า วันขึ้น 13 ค่ำหรือ วันดา จะเป็นวันเตรียมข้าวของ
ยี่ ที่หมายถึงเดือนที่สอง หรือเดือนยี่ตามที่คนล้านนาใช้ สำหรับทำบุญที่วัด
เรียกเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และคำว่า เป็ง วันขึ้น 14 ค่ำ จะพากันไปทำบุญ ถือศีล ฟังธรรมกันที่
ที่หมายถึงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ โดยจะจัดงานเป็นเวลา วัด และมีการทำกระทงใหญ่ไว้ที่ลานวัด และนำของกิน
3 วัน ได้แก่ มาใส่กระทงไว้ เพื่อเป็นการทำทานให้แก่คนยากจน
วันขึ้น 15 ค่ำก็จะนำกระทงใหญ่นั้น และกระทงเล็กๆ
ส่วนตัวไปลอยในแม่น้ำ
ในช่วงวันยี่เป็งจะมีการประดับ
ตกแต่งวัด บ้านเรือน ทำประตูป่า
ด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว
ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคม
ยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา
และมีการจุดถ้วยประทีป(การจุดผาง
ปะตี๊บ) เพื่อบูชาพระรัตนตรัย
และมีการจุดว่าวไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบน
สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในช่วงก่อนจะถึงวันยี่เป็ง จะมีการประดิษฐ์โคม บอกไฟ
รูปลักษณะต่างๆ (ภาษาล้านนาออกเสียง โคม ว่า โกม ) ในช่วงยี่เป็ง สล่าบอกไฟ (ดอกไม้ไฟ) จะมีการจัดเตรียมทำ
เพื่อเตรียมใช้ในการจุดผางประทีสบูชา โดยการแขวนใส่ บอกไฟชนิดต่างๆ เพื่อใช้จุดเป็นพุทธบูชา บูชาพระเกศ
ค้างโคมบูชาตามพระธาตุเจดีย์ แขวนไว้หน้าวิหาร แก้วจุฬามณี จุดบูชาประกอบพิธีเทศน์มหาชาติหรือตั้ง
กลางวิหาร หรือในปัจจุบันนิยมแขวนประดับตกแต่ง ธรรมหลวง และเป็นเครื่องเล่นของเด็กๆ บอกไฟที่นิยมจุด
ตามอาคารบ้านเรือน มีหลากหลายรูปทรง ได้แก่ บอกไฟยิง บอกไฟข้าวต้ม บอกไฟดอก บอกไฟดาว
เช่น โคมรังมดส้ม โคมไห โคมกระจัง โคมดาว โคม บอกไฟบะขี้เบ้า(บอกไฟน้ำต้น) บอกไฟช้างร้อง
กระบอก โคมเงี้ยว(โคมเพชร) โคมหูกระต่าย โคมผัด บอกไฟเทียน เด็กๆก็มักจะเล่นบอกถบ หรือประทัด
โคมแอว โคมญี่ปุ่น ฯลฯ อีกมากมาย หรือจุดมะผาบ และสะโปก เพื่อให้เกิดเสียงดัง
ประเพณียี่เป็ง
ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่
ลอยกระทงแบบชาวล้านนา ตื่นตางานโคมลอย
ประเพณียี่เป็ง หรือประเพณีเดือนยี่
ในช่วงยี่เป็ง สล่าบอกไฟ (ดอกไม้ไฟ) จะมีการจัดเตรียมทำ วันขึ้น 14 ค่ำ จะพากันไปทำบุญ ถือศีล ฟังธรรมกันที่ วันขึ้น 13 ค่ำหรือ วันดา จะเป็นวันเตรียมข้าวของสำหรับใน
บอกไฟชนิดต่างๆ เพื่อใช้จุดเป็นพุทธบูชา บูชาพระเกศ วัด และมีการทำกระทงใหญ่ไว้ที่ลานวัด และนำของกิน อดีตชาวล้านนาไม่นิยมลอยกระทง แต่นิยมล่องสะเปา
แก้วจุฬามณี จุดบูชาประกอบพิธีเทศน์มหาชาติหรือตั้ง มาใส่กระทงไว้ เพื่อเป็นการทำทานให้แก่คนยากจน หรือไหลเรือสำเภา นิยมทำสะเปากันที่วัด โดยชาวบ้านช่วย
ธรรมหลวง และเป็นเครื่องเล่นของเด็กๆ บอกไฟที่นิยม วันขึ้น 15 ค่ำก็จะนำกระทงใหญ่นั้น และกระทงเล็กๆ กันทำสะเปาเป็นรูปเรือลำใหญ่ วางบนแพไม้ไผ่ และนำสะ
จุด ได้แก่ บอกไฟยิง บอกไฟข้าวต้ม บอกไฟดอก บอกไฟ ส่วนตัวไปลอยในแม่น้ำ ตวง พร้อมด้วยข้าวของต่างๆ ทั้งหม้อ ไห เสื้อผ้า เครื่อง
ดาว บอกไฟบะขี้เบ้า(บอกไฟน้ำต้น) บอกไฟช้างร้อง บอก นุ่งห่ม เครื่องอุปโภค บริโภคต่างๆ ใส่ลงไปในสะเปา ใน
ไฟเทียน เด็กๆก็มักจะเล่นบอกถบ หรือประทัด หรือจุดมะ ช่วงหัวค่ำของวันยี่เป็ง จึงพากันหามสะเปา พร้อมแห่ด้วย
ผาบ และสะโปก เพื่อให้เกิดเสียงดัง ฆ้องกลองจากวัดไปลอยที่แม่น้ำ และทำพิธีเวนทานที่ท่าน้ำ
ก่อนปล่อยสะเปาลอยลงไป ขณะที่สะเปาลอยไปได้ระยะ
หนึ่ง จะมีคนยากจนคอยดักรอสะเปากลางแม่น้ำ เพื่อนำ
เอาของอุปโภคต่างๆมาใช้อุปโภคและบริโภค จึงเป็นการ
บริจาคทานแบบหนึ่งทำบุญที่วัด
ประเพณียี่เป็ง
ไปทำความรู้จักกับประเพณีกันต่อเถอะค่ะ
ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่
การปล่อยว่าว
ว่าว ในภาษาล้านนา หมายถึง เครื่องเล่น
ชนิดหนึ่งทำด้วยกระดาษ สำหรับปล่อยให้
ลอยไปตามลม คล้ายกับบอลลูน ตาม
วัฒนธรรมของล้านนา ในช่วงยี่เป็งจะมี
การปล่อยว่าว 2 แบบ คือ
1. ว่าวฮม (ว่าวลม) หรือ ว่าวควัน นำกระดาษหลายสี มา
ทำเป็นถุงรับความร้อนจากควันไฟ ใช้ควันไฟที่มีความ
ร้อนอัดเข้าไปในตัวว่าว เรียกว่า ฮมควัน เพื่อให้พยุงให้
ลอยขึ้นไปในอากาศได้ มี2ชนิดคือ ว่าวสี่แจ่ง คือว่าว
ทรงสี่เหลี่ยม และ ว่าวมน คือว่าวทรงมน มักจะผูก
สายประทัดติดที่หางว่าวและจุดเมื่อปล่อย นิยมปล่อย
กันในช่วงกลางวัน
2. ว่าวไฟ ใช้หลักการเดียวกันกับการทำว่าวฮม แต่ใช้
กระดาษน้อยกว่า และอาศัยความร้อนจากลูกไฟที่ผูก
ติดกับแกนกลาง ทำให้ว่าวลอยขึ้นสู่อากาศ ลูกไฟที่
ผูกติดแกนกลางในอดีตนั้น ใช้ขี้ย้าหล่อเป็นแท่ง
ปัจจุบันนิยมใช้กระดาษชำระชุบขี้ผึ้งเทียน นิยมจุดใน
ตอนกลางคืน
ปัจจุบันนิยมเรียกหรือเรียกเพราะไม่รู้ตามแบบภาคกลาง
โดยเรียก ว่าวควันหรือว่าวฮม ว่า“โคมลอย” และเรียกว่าว
ไฟว่า “โคมไฟ” ทั้งๆ ที่โคมแปลว่าเครื่องใช้ที่ให้แสงสว่าง
สันนิฐานว่าการปล่อยว่าวน่าาจะเป็นการทำตามแบบของ
พวกฝรั่งหรือมิชชันนารี ในเมืองเชียงใหม่
ด้านข้างพระประธานในวิหาร
ก็จะมีการอ่างน้ำมนต์ โดยใช้น้ำมันงา
หรือน้ำมันมะพร้าว ใส่ลงไป โยงสาย
สิญจน์จากพระประธาน ไปยังธรรม
มาสน์ โยงมาพันที่อ่างน้ำมนต์สาม
รอบ แล้วโยงกลับไปยังธรรมมาสน์
ให้พระถือไว้ขณะเทศน์กัณฑ์ต่างๆ
เชื่อว่าอานุภาพของการเทศน์ตั้ง
ธรรมหลวงจะทำให้น้ำมนต์นี้
ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทาแผล แก้ปวดเคล็ด
ขัดยอก แก้ผื่นคัน และเชื่อว่าจะ
ทำให้อยู่ยงคงกระพัน
การตั้งธรรมหลวง หรือเทศน์มหาชาติ ในอดีตเป็นหัวใจ เมื่อไปถึงประตูป่าที่มีพรานเจตบุตรเป็นผู้เฝ้า ได้ชี้ทางไป
หลักของงานยี่เป็ง โดยแบ่งการเทศน์เป็น วันแรกเทศน์ เขาวงกตให้และอาจมีการจำลองเขาวงกตไว้ภายในวัดให้ได้
ธรรมวัตร วันที่สองเทศน์คาถาพัน ก่อนที่จะเทศน์มหาชาติ เดินเล่น โดยตรงกลางเขาวงกตจะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป
ก็จะเทศน์เรื่องอื่นไปเรื่อย ๆ พอถึงวันสุดท้ายก็จะเทศน์ อยู่ หากหลงก็วนเวียนอบยู่จนกว่าจะเข้าไปสักการะ
ด้วยคัมภีร์ชื่อ มาลัยต้น มาลัยปลาย และอานิสงส์มหาชาติ พระพุทธรูปได้ จึงเป็นที่สนุกสนานของผู้ที่มาร่วมทำบุญ
รุ่งขึ้นเวลาเช้ามืดก็จะเริ่มเทศน์มหาชาติตั้งแต่กัณฑ์ทศพร สถานที่ใช้ในการ ตั้งธรรมหลวง จะนิยมใช้วิหาร ภายในจะ
เรื่อยไป จนครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ซึ่งมักจะไป ต้องตกแต่งไปด้วยเครื่องบูชาเวสสันดรชาดก ได้แก่
เสร็ฐเอาในเวลาทุ่มเศษ แล้วจะมีการเทศนธรรมพุทธ ดอกบัว ดอกพ้าน(บัวสาย) ช่อสามเหลี่ยม ติดกระดาษ
าภิเษกปฐมสมโพธิ สวดมนต์เจ็ดตำนานย่อ ธัมมจักกัป ต้อง(กระดาษฉลุ) รูปช้าง ม้า วัว ควาย ทาสหญิง ทาสชาย
ปวัตนสูตร และสวดพุทธาภิเษก ปัจจุบันนิยมเทศน์จบ แก้ว แหวน เงิน ทอง อย่างละ ๑๐๐ รูป ประดับโคมผัดที่
ภายในวันเดียว เล่าเรื่องเวสสันดรชาดก มีการทำค้างโคมแขวนบูชา มี
เชือกสำหรับดึงขึ้นลงได้ จึงเรียกว่า โคมล้อ ล้อ หมายถึง
ก่อนการจัดพิธีตั้งธรรมหลวง พระเณรและชาวบ้านต้อง รอกที่ใช้สำหรับชักเชือกขึ้นลงเพื่อจุดประทีสบูชา
ช่วยกันเตรียมงานเป็นการใหญ่ ล่วงหน้าอย่างน้อยเป็น
เดือน เพราะต้องเตรียมการในหลายส่วน เช่น การ “ตก ส่วนธรรมมาสน์สำหรับเป็นที่นั่งเทศน์ของพระสงฆ์ก็จะ
ธรรม” คือการไปนิมนต์พระเสียงดีมาเทศน์ การตกแต่ง ประดับตกแต่งด้วยม่าน และห้อยดอกพัน ที่อยู่ใน หับดอก
สถานที่ การทำรั้วราชวัตร ประตูป่า ประดับโครงซุ้มด้วย ที่สานโดยแตะไม้ไผ่ประกบกัน ดอกไม้พันดอก หรือ สหสสฺ
ทางมะพร้าว ประดับด้วยฉัตร ธง ช่อช้าง ต้นกล้วย ต้น ปุปฺผานิ เป็นเครื่องบูชาพระธรรม บูชาพระคาถาจำนวน
อ้อย ต้นข่า ต้นกุก มาปักไว้ให้ดูเหมือนกับประตูเข้าป่า การ ๑,๐๐๐ พระคาถา ที่เรียกว่า สหสฺสคาถา ดอกไม้ที่นิยม
ที่จัดทำประตูป่านี้ คาดว่าคงจำลองมาจากเรื่องใน ได้แก่ดอกกาสะลอง ดอกจีหุบ(มณฑา) ดอกสารภี เป็นต้น
เวสสันดรชาดก คือตอนที่พระเวสสันดรถูกขับให้ออกจาก ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้หอมทำช่วยให้บรรยากาศเหมือน
เมือง พร้อมทั้งพระมเหสีและโอรสธิดา จึงพากันเข้าไปอยู่ อยู่ในป่าหิมพานต์ที่พระเวสสันดรบำเพ็ญบารมีอยู่ที่นั่น
ในป่าเพื่อบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญบารมี ส่วนด้านข้างก็จะมีการจำลองเป็นป่าหิมพานต์ ปัจจุบันมี
การตกแต่งด้วยซุ้มต้นไม้ดอกไม้ใส่กระถางไปประดับ
ตกแต่งให้งดงาม
ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่
การจัดตกแต่งซุ้มประตูป่า
ก่อนจะถึงวันยี่เป็ง ประมาณ ๑-๒ วัน ชาวล้าน
นาจะเตรียมจัดตกแต่งประตูบ้านแบะประตูวัด
ด้วยซุ้มประตูป่า โดยนำต้นกล้วย ใบมะพร้าว ต้น
อ้อย ต้นข่า โคมหูกระต่าย โคมเงี้ยวหรือโคม
ชนิดอื่นๆ ดอกตะล่อม(บานไม่รู้โรย) ดอกคำปู้จู้
(ดาวเรือง) ฯลฯ ตกแต่งเป็นซุ้มประตูป่าอย่าง
งดงาม มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นเครื่องสักการะ
ถวายการต้อนรับพระเวสสันดรในวันยี่เป็ง ครั้ง
เสด็จออกจากป่าเข้าสู่เมือง ซึ่งปรากฏใน
เวสสันดรชาดก อันเป็นชาติสุดท้ายของพระ
โพธิสัตว์ก่อนจะประสูติเป็นพระพุทธเจ้า พระครู
อดุลสีลกิตติ์ (ฐานวุฑโฒ) (สัมภาษณ์, ๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๑)
ผู้รู้ด้านประเพณีล้านนากล่าวว่า ในช่วงประเพณีเดือนยี่เป็ง
ชาวล้านนานิยมที่จัดเทศนาธรรมเรื่อง เวสสันดรชาดกและในกัณฑ์
ที่ ๑๓ กัณฑ์สุดท้ายหรือนครกัณฑ์ เป็นการพรรณนาเกี่ยวกับ
เหตุการณ์หลังจากพระเวสสันดรทรงลาผนวช และทรงเครื่อง
กษัตริย์เสด็จกลับจากป่าหิมพานต์เพื่อเข้าครองนครสีพี ชาวบ้าน
ชาวเมืองต่างดีใจจึงประดับตกแต่งเมืองด้วยซุ้มประตูป่าอย่าง
งดงาม จากเรื่องราวที่ปรากฏในเวสสันดรชาดกนี้คนล้านนาจึง
จำลองฉากเวสสันดรชาดกมาไว้ยังบ้านของตนเอง ด้วยการ
ตกแต่งประดับประดาจำลองเป็นป่าหิมมพานต์ และเชื่อว่าถ้าใคร
ตกแต่งซุ้มประตูป่าได้งดงาม อาจทำให้พระเวสสันดรเสด็จ
หลงเข้ามาในซุ้มประตูป่าที่จำลองเป็นป่าหิมพานต์ภายในบ้าน
ของของเรา จะทำให้ได้อานิสงส์อย่างมาก
การสร้างซุ้มประตูป่า นอกจากมีคติความเชื่อ ในเรื่องการต้อนรับ
การเสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดรแล้ว ยังเป็นซุ้มที่ใช้จุดผาง
ประทีส เพื่อบูชาพระเจ้าห้าพระองค์ โดยจุดไว้ในโคมหูกระต่าย
หรือโคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการประดับตกแต่ง