The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by จิตริณี ศรีเสวกร์, 2021-05-03 11:44:40

ใบความรู้ ม. 5 เรื่องการแสดงโขน

โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม

ราย ิวชา ิศลปะ 3 (ศ30103) โขน

โดย นางสาวจิตริณี ศรีเสวกร์
ตาํ แหน่งครู วิทยฐานะ ชํานาญการ

ใบความรู้ เรอื่ ง การแสดงโขน
หนว่ ยการเรียนรู้ นาฏศลิ ป์และการละครของไทย แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 5

รายวิชาศิลปะ 3 รหสั วชิ า ศ30103 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5

ประวัตโิ ขน และ กาเนดิ โขน
โขนเป็นนาฏศิลป์ช้ันสูงอย่างหน่ึงของไทย มีกาเนิดมา
ต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี 20 ในชั้นเดิมปรับปรุงจากการเล่น 3
ประเภท คือ หนังใหญ่ ชักนาคดึกดาบรรพ์ และกระบี่กระบอง ได้
แก้ไขปรับปรุงให้ประณีตตามลาดับ แต่เดิมน้ันผู้แสดงโขนจะต้อง
สวมหัวโขนปิดหน้าท้ังหมด จึงต้องมีผู้พูดแทนเรียกว่าผู้พากย์ -
เจรจา
ต่อมาได้ปรับปรุงให้ผู้แสดงที่เป็นตัวเทพบุตร เทพธิดา และมนุษย์ชาย หญิง สวมแต่เคร่ืองประดับ
ศีรษะไม่ต้อง ปิดหน้าทั้งหมด เช่น ชฎา มงกุฎ รัดเกล้า กระบังหน้า ซึ่งมีศัพท์ เรียกว่า "ศิราภรณ์" แต่ผู้แสดง
โขนที่สวมศิราภรณ์เหล่านี้ ก็ยังคงรักษาประเพณีเดิมไว้ คือ ไม่พูดเอง ต้องมีผู้พากย์ - เจรจาแทน เว้นแต่ผู้
แสดงเปน็ ตัวตลก และฤาษบี างองค์จึงจะเจรจาเอง ถือเปน็ เอกลักษณ์อย่างหน่ึงของผู้แสดงโขนท่ีเปน็ ตวั ตลก
เรื่องที่ใช้แสดงโขน ในปัจจุบันนี้ นิยมเพียงเร่ืองเดียว คือ เร่ืองรามเกียรต์ิ ซ่ึงไทยได้เค้าเร่ืองเดิมมา
จากเร่ือง “รามายณะ” ของอินเดีย มีอยู่หลายตอนท่ีเร่ืองรามเกียรต์ิดาเนินความแตกต่างจากเรื่องรามายณะ
มาก โดยเหตทุ ่ี เร่อื งรามเกยี รติเ์ ปน็ เรอื่ งยาวไม่สามารถแสดงให้จบในวันเดียวได้ บูรพาจารย์ทางด้านการแสดง
โขนจึงแบ่งเร่ืองราวที่จะแสดงออกเป็นตอน ๆ มีศัพท์เรียก โดยเฉพาะว่า "ชุด" การท่ีเรียกการแสดงโขนแต่ละ
ตอนว่าชุดน้ัน เรียกตามแบบหนังใหญ่ คือเขาจัดตัวหนังไว้เป็นชุด ๆ จะแสดงชุดไหนก็หยิบตัวหนังชุดนั้นมา
แสดง
ท่ีกล่าวว่าโขน ปรับปรุงมาจากการเล่นหนังใหญ่ ชักนาคดึกดาบรรพ์ และกระบ่ีกระบองนั้น ท่านผู้รู้
อธิบายวา่ แตเ่ ดมิ การเลน่ หนังใหญ่เป็นมหรสพขึ้นชื่อลือชา มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังท่ี
กลา่ วไว้ในหนงั สอื บุณโณวาทคาฉนั ท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย ซ่ึงแต่งข้ึนในราว พ.ศ. 2294 - 2301 เป็น
ระยะเวลา 7 ปี ปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในหนังสือเล่มน้ี กล่าวถึงมหรสพที่แสดงฉลองพระพุทธ-
บาท ในตอนกลางคืนวา่ มกี ารละเล่นหนงั ใหญอ่ ยู่ด้วย
การละเล่นหนังใหญ่น้ัน เขานาแผ่นหนังวัว (บางท่านก็ว่ามีหนังควายด้วย) มาฉลุสลักเป็นรูปตัวยักษ์
ลิง พระ นาง ตามเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ การเลน่ หนังใหญ่ นอกจากจะมีตัวหนังแล้ว ยังต้องมีคนเชิดหนัง คนเชิดหนัง
คือ คนที่นาตัวหนังออกมาเชดิ และยกขาเตน้ เป็นจังหวะ นอกจากน้ี ยงั ตอ้ งมผี ู้พากย์ - เจรจา ทาหน้าที่พูดแทน
ตัวหนัง และมีวงปี่พาทย์ประกอบการแสดงด้วย สาหรับสถานท่ีแสดงหนังใหญ่ นิยมแสดงบนสนามหญ้าหรือ
บนพนื้ ดนิ มจี อผา้ ขาว ราว ๆ 16 เมตร ขงึ โดยมีไม้ไผ่ หรอื ไม้กลม ๆ ปักเป็นเสา 4 เสา รอบ ๆ จอผ้าขาวขลิบ
รมิ ด้วยผา้ แดง ด้านหลังจอจดุ ไต้ใหม้ ีแสงสว่าง เพอ่ื เวลาที่ผู้เชิดหนงั เอาตัวหนังทาบจอทางด้านใน ผู้ชมจะได้แล
เห็นลวดลายของตัวหนังได้ชัดเจนสวยงาม เมื่อแสดงหนังใหญ่นาน ๆ เข้า ท้ังผู้ชมและผู้เชิดหนังก็คงจะเกิด
ความเบ่ือหน่าย ผู้ชมคงจะเบ่ือที่ตัวหนังใหญ่เคล่ือนไหวอิริยาบถไม่ได้ ฉลุสลักเป็นรูปร่างอย่างไรก็เป็นอยู่

อย่างนั้น ส่วนผู้เชิดหนังก็อาจจะเบ่ือหน่ายท่ีจะนาตัวหนังออกไปเชิด เน่ืองจากตัวหนังบางตัวมีน้าหนักมาก
การท่ีต้องจับยกขึ้น เชิดชูอยู่เป็นเวลานาน ๆ ก็ทาให้เมื่อยแขน ตัวหนังท่ีมีน้าหนักมาก ๆ บางตัวมีขนาดใหญ่
และสูงข้ึนถึง 2 เมตร เช่น หนังเมือง หรือหนัง ปราสาท จึงคิดจะออกไปแสดงแทนตัวหนังใหญ่ แต่ก็ยังหา
เคร่ืองแต่งกายให้เหมาะสมกับตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ท่ีแบ่งเป็น พระ นาง ยักษ์ และลิง ไม่ได้ บังเอิญใน
เวลานั้นมกี ารเลน่ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกอยู่อยา่ งหนึ่ง คือ การเล่นชักนาคดกึ ดาบรรพ์ การเล่นแบบน้ีผู้เล่น
แต่งกายเป็นยักษ์ ลิง เทวดา มีพาลี และสุครีพเป็นตัวเอก การเล่นชักนาคดึกดาบรรพ์ ในพระราชพิธี
อินทราภิเษกน้ี ทา่ นผู้รู้สันนิษฐานว่า บางทพี ระมหากษตั ริย์ไทยในสมัยโบราณ อาจจะได้แบบอย่างมาจากขอม
แม้จะไม่มีตานานกล่าวไว้โดยชัดเจน แต่ก็ปรากฏว่ามีพนักสะพานทั้งสองข้าง ที่ทอดข้ามคูเข้าสู่นครธมทาเป็น
รูปพญานาค ตัวใหญ่มี 7 เศยี ร ข้างละตัว มีเทวดาอยฟู่ ากหนึ่ง อสรู อยู่ฟากหน่งึ กาลังทาท่าฉุดพญานาค และท่ี
ในนครวัด ก็จาหลักรูปชักนาคทาน้าอมฤตไว้ท่ีผนัง ระเบียง ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุน้ี จึงทาให้ผู้รู้
สันนิษฐานว่า การเล่นชักนาคดึกดาบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทย น่าจะได้แบบอย่างมาจากขอม
การเล่นชกั นาคดึกดาบรรพ์ในพระราชพิธอี ินทราภิเษก จะสรา้ งภูเขาจาลองขึ้น แลว้ ทาเปน็ ตวั พญานาคพันรอบ
ภูเขาจาลองให้พวกทหาร ตารวจมหาดเล็ก เด็กชายแต่งกายเป็นยักษ์ เทวดา และลิง ทาท่าฉุดพญานาค โดย
พวกยักษ์ฉุดด้านเศียรพญานาค เทวดา อยู่ทางด้านหาง และพวกลิงอยู่ทางปลายหาง ผู้ที่คิด จะออกไปแสดง
แทนตวั หนงั ใหญ่ จงึ เอาเคร่อื งแต่งกายของผทู้ เ่ี ล่นชักนาคดึกดาบรรพ์มาแต่ง และเคร่ืองแต่งกาย ก็วิวัฒนาการ
ตามลาดับจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เช่ือกันว่าเครื่องประดับศีรษะ หรือท่ีเรียกกัน ต่อมาว่าหัวโขน ท่ีทาเป็นหน้า
ยกั ษ์ ลิง เทวดาและมนษุ ย์ผชู้ ายน้ัน ในสมัยทไ่ี ดแ้ บบอย่างเครื่องแต่งตัว มาจากการเล่นชักนาคดึกบรรพ์ คงจะ
ไม่ใช่เป็นแบบหัวโขนที่สวมปิดหน้าท้ังหมด เช่นในปัจจุบันนี้ คงจะเป็นแบบหน้ากากสวมปิดเพียง ใบหน้า ให้
เห็นเป็นรูปยักษ์ ลิง หรือเทวดามากกว่า ส่วนศีรษะก็คงจะสวมเคร่ืองสวมหัวแบบเดียวกันทุกคน บางท่าน
สันนิษฐานว่า อาจจะสวมลอมพอก แบบผู้ที่แต่งกายเป็นเทวดา เข้ากระบวนแห่ก็เป็นได้ คร้ันต่อมา จึง
ปรบั ปรุง เปล่ยี นแปลง ทาเปน็ หวั โขนครอบทง้ั ศรี ษะ เชน่ ในปัจจุบนั น้ี และเขา้ ใจว่าหวั โขนทีส่ วมครอบท้ังศีรษะ
คงจะมมี าตั้งแตใ่ นสมัยกรุงธนบุรี หรือไม่ก็ตน้ กรุงรตั นโกสินทร์

เม่ือมีเครื่องแต่งกายแล้ว ก็นาเอาลีลาท่าทางการเต้นยกขาขึ้นลงตามแบบท่าเชิดหนังใหญ่มาเป็นท่า
เตน้ ของการแสดงที่คิดขึ้นใหม่ และนาเรื่องรามเกียรต์ิที่เคยแสดงหนังใหญ่มาเป็นเร่ืองสาหรับแสดง โดยมีการ
พากย์ เจรจาตามแบบทเี่ คยแสดงหนังใหญ่ นอกจากทา่ เต้นแล้วยังจะต้องมีท่าราอีกด้วย ในสมัยโบราณคนไทย
เรา เคยเห็นการเล่นกระบี่กระบองมาจนชินตา การเล่นกระบี่กระบองน้ันก่อนที่คู่ต่อสู้ จะทาการต่อสู้กันอย่าง
จริงจัง จะต้องราไหว้ครูด้วยลีลาท่ารา ตามแบบแม่ท่าเสียก่อน ผู้ท่ีคิดจะใช้คนออกไปแสดงแทนตัวหนังใหญ่
จึงนาเอาท่าราของกระบี่ กระบองมาเป็นท่าราของตน โดยประดิษฐ์และดัดแปลงขึ้นใหม่บ้าง เช่น ท่าเทพนม
ท่าปฐม เป็นต้น นอกจากลีลาท่าราแล้ว ยังเอาท่าทางและการต่อสู้กันของกระบี่กระบองมาเป็นท่าทางในการ
รบกันด้วย

การแสดงท่ปี รับปรงุ มาจากการเลน่ ท้ัง 3 ประเภท ดงั กล่าวมานี้ ต่อมาไดช้ ื่อว่า "โขน" เป็นชื่อท่ีปรากฏ
ในหนงั สอื ของชาวต่างชาติ กล่าวถึงศิลปะการแสดงของไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่เหตุใดจึง
เรียกนาฏกรรม ที่ปรับปรุงจากการเล่นหนังใหญ่ ชักนาคดึกดาบรรพ์ และกระบี่กระบอง ว่าโขน ยังไม่มีผู้ใด
พบหลักฐาน ความเป็นมาอย่างแน่นอน แต่มีอยู่ท่านหนึ่ง คือ นายธนิต อยู่โพธ์ิ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้
เขยี นไวใ้ นหนังสือโขน พิมพ์เผยแพร่มาแลว้ หลายครั้ง อธิบายถงึ คาว่า "โขน" ไวด้ งั น้ี

เป็นอันว่า เราได้พบคาว่า "โขล" ของเบงคาลี , โกล หรือ โกลัม ของทมิฬ และ "โขน" ของอิหร่าน
อันมคี วามหมายคลา้ ยคาวา่ "โขน" ซ่ึงเป็นนาฏกรรม ของเราในบดั น้ี อยา่ งน้อยก็ มคี วามหมาย เป็น 3 ทาง คือ

1. จากคาว่า "โขล" ของเบงคาลี ว่าเปน็ เครื่องดนตรีชนดิ หน่งึ ขงึ ด้วยหนงั และใช้ตรี ปู รา่ งเหมือน
ตะโพน

2. จากคาว่า "โกล" หรือ โกลัม ของทมิฬ หมายถงึ การตกแต่งประดับประดาร่างกาย แสดงตัวให้
หมายรถู้ ึงเพศ

3. จากคาว่า "ควาน" หรือ "โขน" ของอหิ รา่ น ว่า หมายถงึ ผู้อา่ น หรือขับร้องแทนตัวตุ๊กตาหรอื หุ่น

วิวัฒนาการของโขน
ศิลปะการแสดงโขนในช้ันแรก คงจะแสดง
กลางสนามกว้าง ๆ เช่นเดียวกับ การเล่นชักนาค
ดึกดาบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษก และต่อมา
ก็มีการปลูกโรงให้แสดง จนกระทั่งมีฉาก ประกอบ
ตามท้องเร่ือง โดยมวี วิ ัฒนาการมาตามลาดับ ดังนี้

โขนกลางแปลง
แสดงบนพื้นดนิ กลางสนามหญ้า ไม่ต้องปลูกโรงให้เล่น ปัจจุบันหาดูได้ยาก กรมศิลปากรเคยจัดแสดง

โขนกลางแปลง ณ พระราชอุทยาน รัชกาลท่ี 2 จังหวัดสมุทรสงคราม ในโอกาสพิเศษ วันพระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย การแสดงโขนกลางแปลงน้ี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะมีหลายครั้ง
เพราะในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพิ่งจะเริ่มเกิดมีการแสดงโขน และโขนกลางแปลง ก็คงจะเป็นแบบแรกที่คิดขึ้น
ก.ศ.ร. กุหลาบ1 กล่าวไว้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการแสดง โขนกลางแปลง 2 คร้ัง คร้ังแรกแสดงในรัชสมัย
สมเด็จพระรามาธบิ ดี ฉลองพระชนมายคุ รบ 23 พรรษา ในปีวอก จุลศักราช 838 ตรงกับ พ.ศ. 2029 เป็นพระ
ราชพิธีสะเดาะพระเคราะห์ มีมหรสพจับตอนหิรันต์ยักษ์ม้วนแผ่นดิน การแสดงในคร้ังนั้น จะแสดงในรูปแบบ
ของละครหรือโขน ก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ถ้าเป็นการแสดงโขน ก็น่าจะเป็นโขนกลางแปลง อีกครั้งหน่ึง ในรัช
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้มีโขนกลางแปลงทาขวัญเจ้าพระยาวิชเยนทร์ เนื่องจาก เจ้าพระยา
วิชเยนทร์ ถูกหลวงสรศักด์ิชกปาก ถึงกับฟันหัก 2 ซ่ี คร้ันถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2339 โปรดให้มีการแสดง โขนกลางแปลง ในงานฉลอง พระบรมอัฐิ
สมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช ดังกล่าวใน พระราชพงศาวดารว่า "ในการมหรสพสมโภช พระบรมอัฐิครั้งน้ัน
มีโขนชักลอกโรงใหญ่ทั้งโขนวังหลวงและวังหน้า และประสมโรงเล่นกันกลางแปลง เล่นเมื่อศึกทศกัณฐ์ยกทัพ
กลบั สิบขุนสิบรถ โขนวังหลวง เป็นทัพพระรามยกไป แต่ทางพระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้า เป็นทัพทศกัณฐ์
ยกออกจากพระราชวังบวรฯ มาเล่นรบกัน ในท้องสนามหน้าพลับพลา ถึงมีปืนบ่าเหรี่ยม2 รางเกวียนลาก
ออกมายิงกนั ดังสนน่ั ไป"

1 ตอนบรรพชาได้ฉายาวา่ เกศโร ซง่ึ ต่อมาไดน้ าช่ือนมี้ าเปน็ ชอ่ื หน้าของตนตามแบบตะวนั ตกวา่ ก.ศ.ร. กหุ ลาบ
2 ปืนใหญ่โบราณชนดิ หนึ่ง

โขนกลางแปลง นิยมแสดงแต่การยกทัพ และรบกันเป็น
ส่วนใหญ่ เพราะสนามกว้าง เหมาะที่จะ แสดงชุดท่ีมีตัว
มากๆ เช่น กองทัพยักษ์ และกองทัพวานร ออกมารบกัน
ปี่พาทย์ท่ีบรรเลงประกอบการแสดงโขนชนิดนี้ ในสมัย
กรุงศรอี ยุธยามีเพียงวง ท่ีเรียกว่าเคร่ืองห้า ประกอบด้วย
ป่ีกลาง ระนาดเอก ฆอ้ งวงใหญ่ ตะโพน กลองพัด และฉิ่ง
กลองทัดที่ใช้ตีประกอบการแสดงโขนในสมัยกรุงศรี
อยุธยามีเพียงลูกเดียว เพิ่งจะมา เพ่ิมเป็น 2 ลูก ในสมัย
รัชกาลท่ี 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขนกลางแปลง จะต้องมี 2 วง
เป็นอย่างน้อย ปลกู เปน็ รา้ นยกข้นึ เป็นที่ต้งั วงปีพ่ าทย์อยู่ใกล้ทาง ฝ่ายยักษ์วงหนึ่ง ทางฝ่ายมนุษย์วงหนึ่ง การท่ี
ต้องปลูกเป็นร้านยกขึ้นให้สูงกว่าพื้นดินน้ัน เพื่อให้ผู้บรรเลงป่ีพาทย์ ได้แลเห็นตัวโขนในระยะไกล และ
เนื่องจากบริเวณทใี่ ชแ้ สดงกว้างใหญม่ าก การใช้ป่ีพาทย์เพียงวงเดียวเสียงที่บรรเลงก็คงจะได้ยินไม่ท่ัวถึงกันทั้ง
บริเวณ และมีทางเป็นไปได้วา่ วงป่ีพาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดง โขนกลางแปลง ในสมัยอดีต น่าจะต้องมี
มากกว่า 2 วง เม่ือตัวโขนแสดงไปใกล้วงใดวงนั้นก็บรรเลง แต่ในปัจจุบันนี้ การแสดงโขนกลางแปลง ไม่
จาเปน็ ต้องมวี งปพ่ี าทยห์ ลายวงอกี แล้ว เพราะสามารถใช้เครื่องขยายเสียงให้ดังไปท่ัวสนามได้ การดาเนินเรื่อง
ใช้การพากย์เจรจา ไม่มีขับร้อง แต่ในสมัยปัจจุบัน กรมศิลปากรปรับปรุงการแสดง โขนกลางแปลงเสียใหม่
โดยนาเอาศิลปะการแสดงโขนแบบโขนโรงใน และโขนหน้าจอ คือ มีการจับระบาราฟ้อน และมีเพลงร้องเข้า
ประกอบด้วยมาแสดงกลางสนามตามแบบอยา่ งของการแสดงโขนกลางแปลง

โขนน่ังราวหรือโขนโรงนอก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับโขนนั่งราวว่า "ในงาน

มหรสพหลวงอย่างที่เคยมีในงานพระเมรุ หรืองานฉลองวัด เป็นต้น คือ ที่เรียกตามปากตลาดว่า โขนนั่งราว"
โขนนั่งราวนี้ มีช่ือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โขนโรงนอก เป็นการแสดงโขนท่ีวิวัฒนาการมาจาก โขนกลางแปลง ซ่ึง
แสดงบนพ้ืนดนิ กลางสนามหญ้า มตี น้ ไมแ้ ละใบไม้เป็นฉากธรรมชาติ เม่ือการแสดงโขนกลางแปลง วิวัฒนาการ
มาเป็นโขนน่ังราวหรือโขนโรงนอกก็มีการปลูกโรงให้เล่นเป็นแบบเวทียกพ้ืน มีความกว้างยาวแบบ
ส่ีเหลยี่ มผืนผ้า มหี ลังคากนั แดดกนั ฝนด้วย ตรงดา้ นหลังของเวที ระหว่างที่พักผู้แสดง กับเวทีแสดงจะมีฉากก้ัน
ฉากกน้ั นที้ าเป็น ภาพนนู ๆ รูปภูเขาสองข้าง เจาะช่องทาเป็นประตูเข้าออก ของตัวโขน (ในปัจจุบันนี้เวลา จะ
สาธิต การแสดงโขนนั่งราว มักจะใช้จอผ้าขาว โปร่งขึงแทน ซ่ึงเป็นลักษณะของจอโขนหน้าจอ) สิ่งที่เป็น
เอกลักษณท์ ่ีทาให้คนเรียก การแสดงโขน ชนดิ นว้ี ่า โขนน่ังราวก็คอื "ราว" ตรงหน้าฉากห่าง ออกมาประมาณ 1
วา จะมีราวไมก้ ระบอกพาดตามส่วนยาวของโรง ต้ังแต่ขอบประตูด้านหน่ึง จรดขอบประตูอีกด้านหนึ่ง ตัวโขน
ท่ีเป็นตัวเอกของเร่ือง จะน่ังบนราวไม้กระบอกน้ีแทนการน่ังเตียง เพราะโขนนั่งราวไม่มีเตียงตั้ง เกี่ยวกับเร่ือง
เตยี งนี้ ครูอาคม สายาคม เคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง เม่ือคร้ังที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า โขนน่ังราว ก็มีเตียงตั้งเหมือนกัน
สาหรับให้ตัวนางน่ัง แต่ท่านผู้รู้ก็แย้งว่า โขนนั่งราวไม่มีตัวนาง เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องมีเตียง ให้ตัวนางนั่ง
ผูเ้ ขยี นเคยอา่ นพบ เกี่ยวเรื่องการแสดงโขน ในสมัยรัชกาลท่ี 7 ที่จัดแสดงโขน แบบโขนหน้าจอผสมกับโขนนั่ง
ราว จึงมีท้ังราวไม้กระบอกและเตียง สาหรับน่ังด้วยกัน ครูอาคม ก็รวมแสดงโขน ในคร้ังคงเป็นเหตุให้ ครู

อาคม จดจานามาเล่า ให้ผู้เขยี นฟงั ว่า โขนนง่ั ราวมีเตียงด้วย ส่วนการที่ท่านผู้รู้อ้างว่า โขนนั่งราวไม่มีตัวนาง ก็
ไม่นา่ จะเปน็ เช่นนนั้ เพราะโขนน่ังราวจะต้องแสดงตอน พระรามเข้าสวนพิราพเป็นประจาทุกครั้ง ในตอนบ่าย
ก่อนวันแสดง 1 วัน การแสดงโขน ตอนพระรามเข้าสวนพิราพ เป็นตอนที่พระราม นางสีดา และพระลักษณ์
ในเพศดาบสออกเดินป่า แล้วหลงเข้าไปในสวนของพิราพอสูร ดังนั้น การแสดงในตอนนี้ จึงต้องมีตัวนาง คือ
นางสีดา อยา่ งแนน่ อน

ส่วนราวไม้กระบอกที่พาดอยู่หน้าจอโขนน่ังราวน้ี
จะต้องทาขาหยั่งสูงประมาณครึ่งเมตร ตั้งรับไม้
กระบอก เป็นระยะ ๆ เพ่ือให้ไม้กระบอก ทรงตัวอยู่
และสามารถรับน้าหนักตัวโขน ท่ีน่ังลงไปได้ ถึง
กระนั้นเวลา ตัวโขนหลาย ๆ คนน่ังลงไปบนราวไม้
กระบอกในเวลาเดียวกัน ไม้กระบอกก็ส่งเสียงดังลั่น
ออดแอด ๆ ได้ยินไปถึงผู้ชม เอกลักษณ์ที่สาคัญอีก
อย่างหน่ึงของโขน น่งั ราวกค็ ือ ผ้แู สดงโขนทุกคนจะต้อง
สวมหัวโขน ปิดหน้าทงั้ หมด แมแ้ ต่ตวั พระราม พระลักษณ์ ยกเวน้ แต่ตัวนางเท่าน้ัน
การแสดงโขนน่ังราว ก็ต้องมีปี่พาทย์บรรเลงประกอบเช่นเดียวกับการแสดงโขน ประเภทอ่ืน ๆ
เนือ่ งจากโขนน่ังราว วิวัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง การดาเนินเร่ืองจึงใช้พากย์เจรจา ไม่มีขับร้อง ดังนั้น
ปี่พาทย์ ท่ีประกอบการแสดงโขนน่ังราว จึงบรรเลงแต่เพลงหน้าพาทย์ ไม่ต้องรับร้อง ทานองเพลง วงปี่พาทย์
จะตอ้ งมี 2 วง โดยการปลูกร้านยกขึ้น ให้สูงกว่าเวทีโขน เพ่ือให้ผู้บรรเลงสามารถแลเห็นตัวโขนได้โดยสะดวก
วงป่ีพาทย์ทั้ง 2 วง นี้ แยกกันต้ังอยู่บนร้านทางขวาวงหน่ึง ทางซ้ายวงหนึ่ง เรียกว่า วงหัว วงท้ายหรือวงซ้าย
วงขวา ป่พี าทย์ทงั้ 2 วง จะต้องผลดั กนั บรรเลง วงละเพลงสลับกันไป ตั้งแต่เรมิ่ โหมโรงจนจบการแสดง เคร่ือง
ประกอบจังหวะของการแสดงโขนทีข่ าดเสยี ไมไ่ ดค้ ือ "โกร่ง"
โกรง่ ทาดว้ ย ไม้กระบอกลาโต ๆ ยาวราว ๆ 1 เมตรคร่ึงเจาะรู เป็น
ระยะ ๆ เพื่อให้เสียงโปร่ง ไม้กระบอกน้ี ตั้งอยู่บนขาหยั่งเต้ีย ๆ
เวลาใช้ไม้กรับ ตีไปบนไม้กระบอกแล้ว ไม้กระบอก จะได้ไม่
เคล่ือนที่ การตีโกรง่ ทาให้เกดิ เสยี งเป็นจงั หวะ ทห่ี นักแน่นเรา้ ใจ
ทงั้ ผเู้ ลน่ ทัง้ ผู้ชม ผแู้ สดงโขนบางคน เคยเลา่ ให้ฟังวา่ เวลาทอี่ อกไปเตน้ ตอนตรวจพลน้ัน พอได้ยินเสียงโกร่งตีให้
จงั หวะแลว้ ทาใหเ้ ตน้ ได้อยา่ งไม่รูจ้ กั เหนด็ เหนื่อย นา่ เสียดายทก่ี ารแสดงโขนในสมัยน้ี ออกจะปล่อยปละละเลย
ไมค่ ่อยนาโกร่ง มาตีประกอบกนั เสยี แลว้
โขนน่งั ราว หรอื โขนโรงนอก ยังมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า โขนนอนโรง เหตุท่ีเรียกว่า โขนนอนโรง ก็
เพราะว่า ตามประเพณีการแสดงโขนน่ังราวนี้ ในตอนบ่ายก่อนจะถึงวันแสดง 1 วัน ปี่พาทย์ท้ัง 2 วง จะ
โหมโรง และเม่ือบรรเลงมาถึงเพลงกราว ในผู้แสดงโขนท่ีเป็นตัวรากษส (บริวารของพิราพ) จะออกมากระทุ้ง
เส้า (พลองยาว ๆ) ตามจังหวะกลองที่ตามโรง พอจบเพลงโหมโรง ก็จะปล่อยตัวแสดง ซึ่งเป็นการแสดงโขน
ตอนพิราพเที่ยวป่า จนถึงพระราม นางสีดา และพระลักษณ์ หลงเข้าไปในสวนพวาทองของพิราพ แล้วก็เลิก
แสดง ผู้แสดงโขนทกุ คนต้องนอนเฝ้าโรงโขนคืนหนง่ึ (นี่เองท่เี ป็นเหตุ ให้โขนนั่งราวต้องมีหลังคากันแดดกันฝน)

วนั รงุ่ ข้นึ จงึ แสดงโขนตามชุดที่ได้กาหนด ไว้ตอ่ ไป การทผ่ี ู้แสดงโขนต้องนอนเฝ้าโรงโขนตลอดคืน จึงเป็นเหตุให้
มผี เู้ รียกการแสดงโขนน่งั ราว หรอื โขนโรงนอก เพ่ิมขน้ึ มาอกี ช่ือหน่งึ ว่า “โขนนอนโรง”

โขนหน้าจอ
ในช่วงระยะเวลา ท่ีเป็นลักษณะหัวเลี้ยวหัวต่อ

ระหว่าง การแสดงหนังใหญ่จะเปลี่ยนมาแสดงโขนน้ันได้
มีการแสดง"หนังติดตัวโขน" เกิดขึ้น เป็นการแสดงโขน
แทรกเข้าไปในการแสดงหนังใหญ่เป็นบางตอน เลือกเอา
เฉพาะ ตอนท่ีสาคัญ ๆ เพื่อการแสดงลีลา กระบวนราที่
สวยงาม เช่น ตอน ทศกัณฐ์ลงสวน เมื่อแสดงหนังใหญ่
มาถึงตอนทศกณั ฐ์ จะไปหานางสดี าท่อี ุทยาน กป็ ลอ่ ยตัว
โขน คือ ทศกัณฐ์ออกมารา เพลงฉุยฉาย จนไปพบและเก้ียวนางสีดา นางสีดาไม่สนใจใยดีกลับแช่งด่า ทาให้
ทศกัณฐ์โกรธ เสดจ็ ออกจากตาหนักของนางสีดา ต่อจากน้ีไป ก็จะแสดงเป็นแบบหนังใหญ่ตามเดิม เม่ือนาโขน
มาแสดงแทรก บอ่ ย ๆ เขา้ ในทสี่ ุดกเ็ ลยเลิกหนังใหญ่ แสดงแตโ่ ขนอย่างเดยี ว การแสดงโขนท่ีมาแทนหนังใหญ่
กย็ งั คงแสดงอย่บู นพ้นื ดิน หน้าจอหนังใหญ่ตามเดิม ต่อมาจึงมีการปลูกโรงยกพ้ืนสูง ระดับสายตาผู้ชม และขึง
จอผ้าขาวแบบจอหนังใหญ่ แต่แก้ไขให้ มีประตูเข้าออก 2 ข้าง ท้ังด้านซ้ายและด้านขวา ต่อจากขอบประตู
ออกมาทางด้านขวาของเวที เขียนเป็นรูปพลับพลาพระราม ทางด้านซ้ายของเวทีเขียนเป็นรูปปราสาทราชวัง
สมมติเปน็ กรุงลงกา หรือเมืองยักษ์ การแสดงโขนแบบน้ี เรียกว่า โขนหน้าจอ ดาเนินเรื่อง โดยการพากย์ และ
เจรจา วงป่ีพาทยป์ ระกอบ การแสดง มีเพียงวงเดียว แตเ่ ดิมต้งั อยบู่ นเวที ทตี่ ่ากว่าเวทีโขนทางด้านหน้าโรงโขน
ผู้บรรเลงหันหน้าเข้าหาตัวแสดง ต่อมาภายหลัง กรมศิลปากรได้ปรับปรุงเปล่ียนแปลงให้วงปี่พาทย์มาตั้งอยู่
ทางด้านหลังจอ ผู้บรรเลงหันหน้าออกมาทางหน้าโรงการท่ีเปล่ียนให้วงป่ีพาทย์ มาต้ังอยู่ทางด้านหลังจอน้ี มี
ประโยชน์หลายประการ เชน่ นักดนตรี ทีน่ ั่งบรรเลงอยู่ ไมบ่ ังสายตาคนดู การติดต่อระหว่าง ผู้กากับการแสดง
และผูบ้ รรเลงป่พี าทย์ ก็สะดวก สบายข้นึ

โขนโรงใน
ในเวลาที่มีการแสดงโขนหน้าจอน้ัน ในพระราชวังก็มีการแสดงละครในอยู่ก่อนแล้ว เมื่อราษฎร

สามารถแสดงละครในได้ โขนจึงรับเอาศิลปะการแสดง แบบละครในเข้ามาแสดงในโขนด้วย เช่น นาการขับ
ร้อง เพลง ตามแบบละครมาขับร้อง แทรกไปกับการพากย์เจรจา นอกจากนี้ ยังมีการแสดงแบบจับระบา รา
ฟ้อน เช่นเดียวกับ ละครใน เม่ือโขนหน้าจอรับเอาศิลปะ การแสดงแบบละครใน เข้ามาผสมด้วย เช่นนี้ จึง
เรียกวา่ โขนโรงใน ส่วนโขนน่งั ราว ทมี่ มี าแต่เดมิ กก็ าหนดช่ือใหมว่ า่ โขนโรงนอก

โขนโรงใน คงจะมีมาต้ังแต่ คร้ังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีตามหลักฐาน เท่าที่ค้นพบปรากฏว่า ใน
สมัยกรุงธนบุรี มีการแสดงโขนโรงใน แสดงว่าโขนโรงใน จะต้องมีสืบเนื่องมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา มิใช่ เป็น
โขนทีเ่ กิดขึน้ ใหมใ่ นสมัยกรุงธนบรุ อี ย่างแนน่ อน

โขนโรงใน ตามแบบแผนการแสดงท่ีแท้จริง
จะต้องมีโรงสาหรับแสดง และมีฉากหลังเป็นม่าน
อย่างละครใน การแสดงมีพากย์ เจรจาอย่างโขน และ
มีการขับร้องอย่างละครใน มีเตียงสาหรับตัวแสดงนั่ง
อย่างละครใน เวลาร้องเพลง และปี่พาทย์บรรเลงรับ
จะตอ้ งตกี รับเป็นจังหวะอย่างละครในถึงแม้ เพลงร้อง
ท่ีไม่ต้องใช้ปี่พาทย์รับ เช่น เพลงร่ายก็ต้องตีกรับเป็น
จังหวะด้วย ปี่พาทย์ที่เคยบรรเลง ประกอบการแสดงโขนหน้าจอ ใช้ป่ีกลางที่มีเสียงสูง เมื่อเกิดมีการแสดง
โขนโรงในข้ึน ต้นเสียง และลูกคู่ จะต้องร้องเพลง อย่างละครใน การบรรเลงทางกลางมีเสียงสูงเกินไป ไม่
สะดวก แก่การขับร้อง จึงต้องลดเสียงบรรเลงมาเป็นทางใน อย่างละครใน ป่ีกลางก็เปล่ียนมาเป็นปี่ใน ตาม
เสียงที่ลดลงมา วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขนโรงใน ต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาถึงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวงป่ีพาทย์เคร่ืองห้า และในสมัย
รัชกาลท่ี 3 นั้น วงป่ีพาทย์ ก็เพ่ิมเติมเคร่ืองดนตรีขึ้นเป็นวงเคร่ืองคู่ คร้ันมาถึงรัชกาลที่ 4 วงป่ีพาทย์ ก็
วิวัฒนาการข้ึนเป็นวงเครื่องใหญ่ ประเพณีการใช้ป่ีพาทย์บรรเลง ก็ยังคงมีอยู่ 2 วง ตามแบบการแสดงโขน
นั่งราว แต่มิได้ยกร้านที่ต้ังวงป่ีพาทย์ให้สูงขึ้นเหมือนโขนน่ังราว คงต้ังอยู่กับพื้นเสมอกับที่แสดง ส่วนการผลัด
กนั บรรเลง ก็ยงั คงเป็นไปตามเดมิ ต่อมาในระยะหลงั วงปพี่ าทย์ จึงลดลงมาเหลือเพียงวงเดียว แต่จะเป็นวง
ป่ีพาทย์ชนิดใดก็ขึ้นอยู่กับฐานะของงาน ถ้าเป็นการแสดงในโรงก็ใช้วงป่ีพาทย์เคร่ืองใหญ่ หากเป็นการแสดง
แบบหน้าจอ ซ่ึงการแสดงโขนหน้าจอในปัจจุบัน ก็นาเอาศิลปะการแสดงของโขนไปแสดง ก็จะใช้วงปี่พาทย์
เคร่อื งคู่

สาหรับบทพากย์เจรจา ท่ีใช้ในการแสดงโขนโรงในน้ัน คนพากย์จะด้นเอาเองบ้าง ท่องจาจากบท
พากย์และบทเจรจา กระทู้ของเก่าบ้าง ส่วนบทร้องน้ัน คนพากย์ จะจดจานามาจากบทพระราชนิพนธ์ ใน
รัชกาล ท่ี 1 บ้าง รัชกาลที่ 2 หรือรัชกาลท่ี 6 บ้าง เมื่อถึงตอนท่ีจะต้องมีการร้องเพลงประกอบ คนพากย์ก็จะ
บอกบทดว้ ยเสยี งดัง ๆ เพือ่ ให้นกั รอ้ ง ๆ ตามบททีบ่ อก และให้ตัวโขนไดย้ ินบทที่นักร้อง จะร้องให้ราด้วย จะได้
คิดท่ารา ตามบทร้องได้อย่างถูกต้อง ในปัจจุบันนี้ บางคร้ังการแสดงโขนหน้าจอแบบโขนโรงใน มีบทสาหรับ
ประกอบการการแสดงพรอ้ ม คนพากยเ์ จรจาจะพากย์และเจรจาไปตามบทท่ีแต่งไว้เวลา นักร้องจะขับร้องก็ไม่
ต้องบอกบทเหมอื นในสมยั กอ่ น

โขนฉาก
การแสดงโขนโรงในทม่ี ีโรงสาหรับการแสดง และมีม่านกั้นทางด้านหลังอย่างละครใน เป็นโขนท่ีได้รับ

ความนิยมจากผู้ชมมาก เพราะได้ชมทั้งศิลปะ การเต้นอย่างโขน และชมกระบวน การราฟังเพลง ร้องอย่าง
ละครใน ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 5 โขนโรงใน จึงวิวัฒนาการมาเป็นโขนฉาก โดยมีผู้คิดสร้างฉากประกอบการ
แสดงโขนบทเวที เช่นเดียวกับละครดึกดาบรรพ์ ผู้ให้กาเนิด โขนฉากเข้าใจว่า จะเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ผทู้ รงใหก้ าเนดิ ละครดกึ ดาบรรพ์

ศิลปะการแสดงโขนฉาก เช่นเดียวกับโขนโรงในทุกประการ แต่โขนฉากจะต้องมีบท สาหรับแสดงที่
แต่งขึ้นไว้โดยตัดตอนให้เรื่องกระชับขึ้น เพ่ือให้พอเหมาะกับฉากที่สร้าง ประกอบการแสดงตามท้องเร่ือง
นักพากย์เจรจา และนักร้อง จะพากย์และขับร้องตาม
บท ในสมัยท่ีนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร
จัดแสดง ณ โรงละครศิลปากร (ไฟไหม้แล้ว) ให้
เหมาะสมย่ิงข้ึน กล่าวคือ ในสมัยก่อน ตัวโขนท่ีเป็นนาง
ใช้คนพากย์ผู้ชายเป็นผู้พากย์เจรจา ซึ่งเสียงผู้ชายใหญ่
และห้าว เมื่อพากย์เจรจาบทตัวนาง จึงไม่เหมาะสม
ทา่ นกก็ าหนดให้นักร้องหญิงท่ีพากย์เจรจาโขนได้ พากย์
และเจรจา ให้ตัวนางรา ก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็น
สว่ นมาก



หากมีข้อสงสัย

ติดต่อสอบถาม : คุณครจู ิตรณิ ี ศรเี สวกร์

ทม่ี าของข้อมลู


Click to View FlipBook Version