รายงานวจิ ยั ในชัน้ เรียน
เรือ่ ง การพัฒนาความสามารถการยงิ ประตูใต้แปน้ ในกฬี าบาสเกตบอล
ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสงิ ห์บุรี จังหวัดสิงหบ์ รุ ี
ปกี ารศึกษา 2563
ณฐั พงศ์ ใยมาก
รายงานวิจัยในช้นั เรยี นฉบับนี้เปน็ ส่วนหนงึ่ ของการฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
ตามหลกั สูตรศกึ ษาศาสตรบันฑิต สาขาวิชาพลศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยการกฬี าแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตอ่างทอง
ปีการศึกษา 2563
ใบรับรองการวจิ ัยในช้นั เรยี น
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอ่างทอง
...................................................................
ชื่อเรอื่ งวจิ ยั ในช้ันเรยี น การพัฒนาความสามารถการยิงประตใู ตแ้ ป้นในกีฬาบาสเกตบอลของนกั เรยี น
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นสิงห์บุรี อำเภอเมอื ง จงั หวดั สงิ ห์บุรี
ชื่อนกั ศึกษา นายณฐั พงศ์ ใยมาก
ปีการศกึ ษา 2563
ปริญญา ศกึ ษาศาสตรบัณฑติ
สาขาวชิ า พลศกึ ษา
ทป่ี รกึ ษาการวิจยั ในชัน้ เรียน
อาจารย์พี่เลี้ยง ...............................................................
( นายบรรพต รกั งาม )
อาจารยน์ เิ ทศ ................................................................
( นายชาญณรงค์ สิงหรตั น์ )
.................................................................
( ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ฤทธพิ งฎ์ ระฤกชาติ )
รองคณบดคี ณะศึกษาศาสตร์
ก
ช่ือเรอ่ื งวิจัยในชนั้ เรียน การพฒั นาความสามารถการยิงประตใู ต้แปน้ ในกฬี าบาสเกตบอลของนักเรียน
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นสิงหบ์ รุ ี อำเภอเมอื ง จงั หวัดสิงห์บรุ ี
ชอื่ นกั ศึกษา นายณัฐพงศ์ ใยมาก
สาขาวิชา พลศึกษา
อาจารยท์ ่ีปรึกษาวจิ ัย 1. นายบรรพต รกั งาม ( อาจารย์พเ่ี ลี้ยง )
2. นายชาญณรงค์ สงิ หรตั น์ ( อาจารย์นิเทศ )
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการการยิงประตูแป้นเพื่อเปรียบเทียบ
ความสามารถการยิงประตูใต้แป้นก่อนฝึกและหลังฝึกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี
อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี
อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรที ี่เรียนในรายวิชาบาสเกตบอล จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยเลือกกลุ่มตัวอย่าง
แบบเฉพาะเจาะจง โดยเลือกจากนักเรียนที่มีผลการประเมินจากแบบฝึกวัดความสามารถการยิงประตู
ใต้แป้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบฝึกความสามารถการยิงประตูใต้แป้นจำนวน
3 แบบฝึก แบบทดสอบความสามารถการยิงประตูใต้แป้นจำนวน 1 ฉบับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่
ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เปรียบเทียบผลการทดสอบพัฒนา
ความสามารถในการยิงประตูใต้แป้นระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึกด้วยการทดสอบค่าที ( t-test )
แบบ ( dependent )
ผลการวิจยั พบวา่
1. พบวา่ นักเรยี นก่อนการฝึกและหลังการฝกึ การยิงประตูใต้แปน้ กอ่ นการฝกึ มีค่าเฉลี่ยเทา่ กบั 5.0
(x̅=5.0) และหลังการฝึกเท่ากับ 12.8 (x̅=12.8) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการฝึก (S.D.= 1.94)
และหลังการฝกึ (S.D.=2.14) และคา่ ความแตกตา่ ง เทา่ กบั 7.80
2. พบว่านักเรียนก่อนการฝึกและหลังการฝึกการยิงประตูใต้แป้นก่อน การฝึกมีค่าเฉล่ีย
เท่ากับ 5.0 (x̅=5.0) และหลังการฝึกเท่ากับ 12.8 (x̅=12.8) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการฝึก 1.94
(S.D.= 1.94) และหลังการฝึก 2.14 (S.D.=2.14) และค่าความแตกต่าง เท่ากับ 7.80 เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง
คะแนนก่อนการฝึกและหลังการฝึก นักเรียนมีคะแนนสอบหลังการฝึกสูงกว่าก่อนการฝึกมีนัยสำคัญทาง
สถิติทร่ี ะดบั .05 (t =17.63*)
ข
กิตตกิ รรมประกาศ
งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ”งานวิจัยครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดย
ได้ความอนุเคราะห์และการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนายชาญณรงค์ สิงหรัตน์ อาจารย์ที่ปรึกษาอาจารย์
นิเทศประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอ่างทอง ซ่ึงเป็นผู้ที่ช่วยเหลือให้
คำปรึกษาแนะนำและแก้ไขข้อบกพรอ่ งต่างๆ จนการศึกษาครั้งนีเ้ สร็จสมบูรณ์ผู้วจิ ยั ขอกราบขอบพระคณุ
เปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ ท่นี ้ีด้วย
ขอขอบพระคุณผู้อำนายการโรงเรียนสิงห์บุรี นายปราโมทย์ เจริญสลุง ที่ค่อยให้คำแนะนำและ
ค่อยสนบั สนุนการทำหนงั สอื ต่างๆตลอดการดำเนนิ การทำวจิ ัย
ขอขอบพระคุณนายบรรพต รักงาม อาจารย์พี่เลี้ยงโรงเรียนสิงห์บุรีที่คอยสนับสนุนและแนะนำ
ในการดำเนนิ การมาตลอด
ขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10 โรงเรียนสิงห์บุรี ทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็น
อยา่ งดใี นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลในการทำวจิ ัยในครั้งนี้จนทำให้การเก็บรวบรวมขอ้ มลู สำเร็จไปได้ด้วยดี
ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่สนใจจะศึกษาหรือ
เพอ่ื นำไปอา้ งองิ ในการศกึ ษาตอ่ ไปผวู้ ิจยั กจ็ ะยนิ ดเี ปน็ อย่างยิง่ และขออวยพรใหท้ ุกทา่ นประสบความสำเรจ็
ยงิ่ ๆขน้ึ ไป
ณฐั พงศ์ ใยมาก
ค
สารบญั
หน้า
บทคดั ย่อ..................................................................................................................................................ก
กติ ติกรรมประกาศ...................................................................................................................................ข
สารบญั .....................................................................................................................................................ค
สารบญั ตาราง...........................................................................................................................................ง
สารบัญภาพ.............................................................................................................................................จ
บทท่ี 1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวจิ ัย.......................................................................1
ปญั หาการวจิ ัย.........................................................................................................................2
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย.........................................................................................................2
สมมติฐานการวจิ ยั ...................................................................................................................2
ขอบเขตของการวิจัย................................................................................................................2
ระยะเวลาในการดำเนนิ การวิจยั .............................................................................................3
คำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ...............................................................................................................3
กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ..........................................................................................................3
ประโยชน์ที่ได้รบั จากการวจิ ยั ..................................................................................................3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง
การจดั การเรียนรู้พลศกึ ษา......................................................................................................4
กีฬาบาสเกตบอล....................................................................................................................7
ทกั ษะพ้นื ฐานในกีฬาบาสเกตบอล..........................................................................................9
ทักษะการยงิ ประตใู ตแ้ ป้น......................................................................................................9
ทฤษฎกี ารเรียนรู้...................................................................................................................10
แบบฝกึ ทักษะ.........................................................................................................................11
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางทักษะ......................................................................................17
งานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง.................................................................................................................21
ง
สารบัญ ( ต่อ )
หน้า
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั
รูปแบบการวจิ ยั ........................................................................................................................23
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง.......................................................................................................23
ตวั แปร......................................................................................................................................24
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั ...........................................................................................................24
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล..............................................................................................................30
การวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………………………........30
สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล.................................................................................................30
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………........31
การวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………………………........31
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………..............31
บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรุปผลการวิจยั ........................................................................................................................34
อภปิ รายผล..............................................................................................................................34
ขอ้ เสนอแนะ.............................................................................................................................35
บรรณานกุ รม.........................................................................................................................................36
ภาคผนวก..............................................................................................................................................38
ภาคผนวก ก รายช่อื ผทู้ รงคุณวฒุ ิและทปี่ รกึ ษาตรวจสอบเครื่องมือการวจิ ัย......................................39
ภาคผนวก ข ใบบันทกึ แบบทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้ ...............................................41
ภาคผนวก ค ผลการทดสอบการยงิ ประตใู ต้แป้น................................................................................43
ภาคผนวก ง แบบฝึกการพัฒนาความสามารถการยงิ ประตูใต้แป้น....................................................45
ภาคผนวก จ แบบทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ต้แปน้ .............................................................49
ภาคผนวก ฉ ตารางการฝึกความสามารถการยงิ ประตใู ตแ้ ป้นโดยใชโ้ ปรแกรม SPSS..........................52
ภาคผนวก ช อ่นื ๆ................................................................................................................................54
ประวตั ิผูว้ จิ ัย..........................................................................................................................................69
จ
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
ตารางที่ 1 เกณฑ์ทักษะการยิงประตใู ตแ้ ป้นสลับขา้ ง..............................................................................27
ตารางที่ 2 การฝึกการพฒั นาความสามารถการการยงิ ประตูใต้แปน้ .......................................................28
ตารางที่ 3 ตารางแสดงคะแนนเฉลย่ี กอ่ นการฝึกการทดสอบความสามารถการยิงประตใู ตแ้ ป้น.............32
ตารางที่ 4 ตารางแสดงคะแนนเฉลีย่ หลงั การฝึกการทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้ ..............32
ตารางที่ 5 ตารางแสดงผลการทดสอบความสามารถการยิงประตใู ตแ้ ป้นก่อนการฝกึ และหลังการฝกึ ....32
ตารางที่ 6 ตารางเปรยี บเทียบคะแนนการทดสอบความสามารถการยงิ ประตูใต้แปน้ ก่อนการฝึกและ
หลังการฝึก.............................................................................................................................33
ตารางที่ 7 ใบบันทึกทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ต้แป้นกอ่ นการฝกึ และหลังการฝึก....................42
ตารางท่ี 8 ผลการทดสอบความสามารถการยงิ ประตูใต้แปน้ ก่อนการฝึกและหลงั การฝกึ .......................44
ตารางท่ี 9 ตารางโปรแกรม SPSS แสดงคา่ การฝกึ ความสามารถการยิงประตใู ต้แปน้ ............................53
ฉ
สารบัญภาพ
ภาพท่ี หน้า
ภาพท่ี 1 แบบฝกึ การยงิ ประตูใต้แป้นแบบฝึกที่ 1..........................................................................46
ภาพที่ 2 แบบฝกึ การยิงประตใู ต้แป้นแบบฝกึ ที่ 2..........................................................................47
ภาพท่ี 3 แบบฝกึ การยิงประตใู ตแ้ ป้นแบบฝึกที่ 3..........................................................................48
ภาพท่ี 4 แบบทดสอบการยิงประตใู ตแ้ ปน้ .....................................................................................50
ภาพท่ี 5 ภาพการฝกึ การยงิ ประตูใตแ้ ปน้ .......................................................................................55
ภาพที่ 6 ภาพการใช้นวตั กรรมเพือ่ แกป้ ญั หา..................................................................................67
1
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หาการวิจยั
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ฉบับปรับปรุง 2545 ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ
การศึกษาแห่งชาติเพื่อเป็นหลักในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเป็นเข็มทิศชี้นําในการพัฒนาสังคมไทย
สาระสําคัญที่บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนของชาติ หลักการและแนวทางในการจัด
การศึกษาเพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถเป็นคนเก่ง และเป็นคนดี พร้อมมีชีวิตอย่างมีความสุข
ภายใต้วิถีชีวิตของความเป็นไทย และสามารถแข่งขันกับคนอื่นๆ ได้ในสังคมโลก (กรมวิชาการ, 2545 บทนํา)
ปัจจุบันกีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกซึ่งไทยก็เป็นอีก
ประเทศที่มีการพัฒนาเป็นอย่างมาก ในกีฬาประเภทนี้ เรื่องทักษะเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก
หากขาดทักษะในการเล่น ก็จะไม่สามารถเล่นและเอาชนะคู่แข่งได้ การพัฒนาทักษะในการเล่นกีฬามีอยู่
หลายวิธีทั้งการให้เด็กนักเรียนทำการฝึกตามแบบฝึกทักษะพ้ืนฐานการใช้สื่อในการช่วยสอน เป็นต้น
กีฬาบาสเกตบอลเป็นกิจกรรมทางพลศึกษาประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายและ
ช่วยส่งเสริมพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ก่อให้เกิดความสามัคคี บาสเกตบอลจัดเป็นกีฬาประเภททีมซ่ึง
สามารถจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ โดยอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
สอดคล้องกับสาระมาตรฐานการเรียนรู้สาระท่ี3ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้สาระท่ี3: การเคลื่อนไหวการออกกำลังกาย
การเล่นกีฬาไทยและกีฬาสากล มาตรฐาน พ3.1: เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย
การเล่นและกีฬา มาตรฐาน พ3.2:รักการออกำลังกาย การเล่นเกมและการเล่นกีฬา ปฏิบัติเป็นประจำ
อย่างสม่ำเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีน้ำใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณในการแข่งขันและชื่นชมใน
สุนทรียภาพของกีฬา (กรมวิชาการ : 2545:25) โดยในปัจจุบันตามโรงเรียนต่างๆ ได้นำเอากีฬาฟุตซอลมา
จดั การเรียนการสอนให้แก่นักเรียนโดยสว่ นมากจะเปน็ นกั เรยี นในระดับชว่ งช้นั ท่ี 3
หลักการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตัวชี้วัดเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียน และนําพาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คล พัฒนาการทางสมอง และเน้นคุณธรรม จริยธรรม
ค่านิยมที่พึงประสงค์ ใช้สื่อการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบ
สารสนเทศ เครือข่ายการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้
2
สถานศึกษาต้องมีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และนําผลที่ได้ใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนา ปรับปรุง
การจดั การเรยี นรู้ให้เกดิ คุณภาพสูงสุดต่อผู้เรียน (กญั นกิ า พราหมณ์พิทกั ษแ์ ละคณะ2551:8)
จากทีผ่ ู้วจิ ัยได้รบั มอบหมายให้สอน วิชาบาสเกตบอล นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 พบปัญหาคือ
นักเรียนบางคนไม่สามารถปฏิบัติทักษะการยิงประตูใต้แป้นได้เนื่องจากขาดทักษะการยิงประตูใต้แป้น
ซ่ึงได้มาจากการสังเกตในการเรียนในวิชากีฬาบาสเกตบอลของนักเรียนที่ขาดความสามารถการยิงประตู
ใต้แป้น ซึ่งมีผลต่อการเรียนการสอนในรายวิชาบาสเกตบอล การวิจัยการพัฒนาความสามารถในการ
ยิงประตูใต้แป้น จึงควรที่ต้องมีการพัฒนาความสามารถในการยิงประตูใต้แป้นให้มีความสามารถที่ดีข้ึน
และสามารถพัฒนาฝีมือของนักเรียนให้มีความสามารถที่ดีและส่งเสริมการเรียนในรายวิชาและการเป็น
นกั กีฬาทม่ี ฝี ีมือทีด่ ีเพือ่ นำไปสกู่ ารเลน่ ในทกั ษะที่สูงขนึ้ ต่อไป
ปัญหาการวจิ ยั
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ที่ไม่สามารถ
ปฏบิ ตั ิการยงิ ประตใู ต้แปน้ ได้
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการยิงประตูใต้แป้นในกีฬาบาสเกตบอลชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนสงิ หบ์ รุ ี อำเภอเมอื ง จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี
2.เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการยิงประตูใต้แป้น ก่อนฝึกและหลังฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะ
การยิงประตูใต้แป้นของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสิงหบ์ ุรี อำเภอเมอื ง จังหวัดสงิ หบ์ ุรี
สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ที่ได้รับการฝึกตาม
แบบฝึกที่ผู้วิจัยเลือกมาใช้ ในการพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้น โดยใช้แบบฝึกการยิงประตูใต้แป้น
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี มีการพัฒนาการหลัง
การฝึกสูงข้ึนกว่าก่อนการฝึก
ขอบเขตของการวจิ ัย
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง
จังหวัดสงิ หบ์ ุรี จำนวน 498 คน
2. กล่มุ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10 โรงเรียนสิงห์บุรี
อำเภอเมือง จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี จำนวน 10 คน ซ่ึงได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง
3
ระยะเวลาในการดำเนินการวจิ ยั
ดำเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้เวลาในการทดลอง 6 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 3 วัน หลงั เลิกเรยี น 15.45 – 16.45 น.
คำนยิ ามศพั ท์เฉพาะ
นักเรียน หมายถึง นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง
จังหวดั สิงหบ์ ุรี
การพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้น หมายถึง การพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้
แป้นให้มคี วามแม่นยำในกีฬาบาสเกตบอล
ชุดแบบฝึกพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้น หมายถึง ชุดแบบฝึกพัฒนาความสามารถ
ยิงประตูใต้แป้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
เปน็ ชดุ แบบฝึกท่ีจะสร้างใหเ้ กิดการพัฒนาความสามารถการยงิ ประตูใตแ้ ป้นให้แม่นยำ
แบบทดสอบ หมายถงึ แบบทดสอบการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้ เคร่อื งมือที่ใช้วัดพัฒนาความสามารถในยิง
ประตูใต้แป้น สำหรับนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นสงิ ห์บรุ ี อำเภอเมอื ง จงั หวดั สิงห์บุรี
ทักษะการยิงประตู หมายถึง การยิงประตูเป็นสิ่งที่สำคัญในการเล่นเป็นทักษะพื้นฐาน ที่ผู้เล่นทุกคน
ต้องเรียนรู้ มีเหตุผลหลายประการที่จะใช้การยิงประตู ไม่ว่าจะเป็นการทำแต้มจากฝ่ายตรงข้าม
การทำแตม้ ให้กับทมี ตนเองจากระยะใกล้ ให้มปี ระสทิ ธภิ าพ
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม
ชดุ แบบฝึกการยิงประตู คะแนนการทดสอบ
ใต้แปน้ ความสามารถในการยงิ ประตู
ใตแ้ ป้น
ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการวิจัย
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี มีการพัฒนา
ความสามารถการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้ ได้ดขี ึ้น
2. นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาบาสเกตบอลและสามารถนำความรู้พื้นฐานไปใช้ในการ
เลน่ กีฬาบาสเกตบอลได้
4
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการพัฒนาความสามารถการการยิงประตูใต้แป้นในกีฬาบาสเกตบอลของ
นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นสิงห์บรุ ี อำเภอเมอื ง จังหวัดสงิ ห์บรุ ี โดยผูว้ จิ ัยไดท้ ำการศึกษาค้นคว้า
เอกสารจาก อนิ เตอรเ์ นต็ หนังสอื งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้องและรวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆดงั น้ี
1. การจดั การเรยี นรู้พลศึกษา
2. กฬี าบาสเกตบอล
3. ทักษะพน้ื ฐานในกีฬาบาสเกตบอล
4. ทกั ษะการยิงประตใู ต้แปน้
5. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้
6. แบบฝึกทักษะ
7. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างทกั ษะ
8. งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง
8.1 งานวจิ ัยในประเทศ
1. การจดั การเรยี นร้พู ลศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ (2525 อ้างอิงใน วุฒินันท์ พิมพ์เนาว์ 2542 : 28-29) กล่าวว่า
การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน หมายถึง วิธีสอนหรือเทคนิคในการสอนกิจกรรม การสอน และวิธีสอน
มหี ลายแบบและหลายประเภทมีชอ่ื เรยี กต่าง ๆ กนั แลว้ แตผ่ รู้ ู้หรือนกั การศกึ ษาคนใดจะแบ่งอย่างไร ท้ังนี้
ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะใช้จัดประเภทซึ่งไม่เหมือนกันและบางวิธีสอนหรือกิจกรร มการเรียนการสอนจะมีชื่อ
เรยี กตา่ ง ๆ กนั
โกศล มีคุณ และนรา สมประสงค์ (2538, : 35) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม การเรียนการสอน
หมายถึง การทคี่ รเู ลอื กเทคนิค วธิ ีสอน หรอื การจัดประสบการณเ์ พ่ือใหผ้ เู้ รยี น ได้ปฏบิ ตั อิ ย่างใดอย่างหน่ึง
เพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสภาพของผู้เรียนโดยจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอนถ้าครู
จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพแลว้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนก็จะสงู ขน้ึ ได้
วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ ( 2539, : 110 - 111) ได้กล่าวไว้ว่าหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน
พลศกึ ษาและกฬี าท่ดี ีควรมลี กั ษณะกว้าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
5
1. เปน็ โครงการศกึ ษาในโรงเรยี นไดจ้ ริง
2. จัดกิจกรรมโดยให้นักเรียนได้เกิดพัฒนาการครบถ้วนทุกด้าน ตามจุดมุ่งมายของการศึกษา
สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
3. ส่งเสริมแนวความคิดของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
4. แสดงความเขา้ ใจในธรรมชาติของสังคมและความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของนกั เรียน
จัดกิจกรรมต่างๆเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ความสามารถในการประกอบอาชีพ การเป็นพลเมืองดี การรู้จักใช้
เวลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ และมีศลี ธรรม จริยธรรม
5. จัดรวบรวมโปรแกรมต่าง ๆ ไว้ด้วยกันเพื่อให้นักเรียนสามารถถ่ายโยงไปใช้ได้จากระดับหน่ึง
ไปสู่อกี ระดับหนง่ึ ด้วยการสอนแบบตอ่ เนือ่ งการเรียนการสอนพลศึกษาและกฬี า เป็นสาระหนึง่ ท่ีกำหนดไว้
ใ น ก ล ุ ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ พ ล ศ ึ ก ษ า แ ล ะ ก ี ฬ า ซ่ึ ง ก า ร ท ี ่ จ ะ จ ั ด ก า ร ศ ึ ก ษา ส า ร ะ พ ล ศ ึ ก ษ า ใ ห ้ ไ ด ้ ค ุ ณ ภา พ
และประสิทธิภาพที่ดีนั้น จะต้องมีการวางแผนงานในการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบในสถานศึกษา
ตลอดจนถึงที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้อง ปฏิบัติตามแผนงานตามขอบข่ายของตน เช่นเดียวกับครผู ูส้ อนพลศึกษา
และกีฬา ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนตามแผนงานโครงการที่ตนรับผิดชอบ ทั้งในเรื่องของการสอนและ
การทำเอกสารต่าง ๆ จงึ จะทำให้ผลงานมปี ระสิทธิภาพดี และนกั เรยี นได้รับความรู้อยา่ งถูกต้องและเข้าใจ
ตามท่นี ักการศึกษาหลายท่านได้กล่าว กรมพลศึกษากลา่ ววา่ วิธีการจัดการเรยี นการสอนพลศึกษาและกีฬา
หมายถึงการให้เด็กพบกับประสบการณ์ที่ครูจัดไว้โดยทางใดทางหนึ่งเชน่ ให้เด็กดู ได้ฟัง ได้จับต้อง ก็เป็น
วิธีการสอนอย่างหนึ่ง และการสอนในแต่ละครั้งอาจใช้วิธีการสอนหลายอย่างประกอบกัน ความมุ่งหมาย
ในการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งเด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนของตนแต่ละคนสร้างการเรียนรู้ขึ้น
เอง ครูเป็นเพียงผู้เรียงสถานการณ์ กิจกรรมและประสบการณ์ตามลำดับขั้นตอนที่เด็กจะเรียนรู้ได้ดีท่ี
เรียกว่าครูสอนได้ดีนั้นก็คือครูสามารถจัดประสบการณ์ ให้แก่เด็กได้อย่างเหมาะสมกับวัย
และความสามารถของเด็กการเรียนการสอนพลศึกษา และกีฬามีวิธีสอนแบบต่าง ๆ คือ การสอนแบบ
บรรยาย การสอนมอบหมายงานการสอนแบบสาธิต การสอนแบบบูรณาการการสอนแบบวิทยาศาสตร์
การสอนแบบสั่งการ ฯลฯ การจัดการเรียนการสอนพลศึกษา และกีฬาที่นิยมใช้โดยทั่วไปที่ได้ดัดแปลง
มาจากการสอนแบบ 5 ขั้น ของแฮร์บาดเพื่อให้เหมาะสมกับการสอนพลศึกษาประกอบด้วย 5 ขั้นตอน
ดงั นี้
1. ขั้นเตรยี ม ได้แก่ การใหเ้ ด็กเขา้ แถวสาํ รวจรายชอื่ นักเรยี น และใหอ้ บอุ่นร่างกายใหพ้ รอ้ มเพือ่
จะให้ทำการฝกึ กจิ กรรม
2. ขน้ั อธบิ ายและการสาธิต ไดแ้ ก่ ครอู ธบิ ายส่ิงท่ีนกั เรยี นจะตอ้ งทำเพียงส้ัน ๆ แล้วแสดงตัวอย่าง
ให้ดูการสาธิตได้แก่ ครูอธบิ ายส่งิ ทีน่ กั เรยี นเปน็ ผู้สาธิต ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สาธิต
6
3. ขั้นฝกึ หัด แบง่ กลุม่ ให้นักเรียนฝึกกจิ กรรมต่าง ๆ โดยทว่ั ถงึ แบบฝกึ อาจจะกําหนดให้แต่ละกลุ่ม
ฝึกทักษะแต่ละอย่างแล้วหมุนเวียนกันไปหรือจะใช้วิธีการเหมือน ๆ กันทั้งหมดก็ได้อยู่กับความเหมาะสม
ของการสอนแตล่ ะชนิด
4. ข้นั นำไปใช้ ได้แก่ การนาํ เอาทักษะตา่ ง ๆ จากทน่ี กั เรียนได้เรยี นไปแล้วน้ันนาํ มาทดลองใชใ้ ห้
เกิดประโยชนใ์ นการเล่นเกมแขง่ ขนั
5. ขั้นสรุปและประเมินผล ได้แก่ การสรุปผลการเรียนจากบทเรียนที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ
เองให้เกิดสุขนิสัย อาจจะมีการวัดผลประเมินผลหลังจากนักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมไปแล้วว่าได้บรรลุ
เป้าหมายที่กำหนดไว้ในจุดประสงค์หรือไม่อย่างไร สำหรับการสอนพลศึกษาในปัจจุบันอาจแบ่งขั้นตอน
ต่าง ๆ ให้น้อยลงเหลือเพียง 4 ขั้นตอน เป็นขั้นเตรียม ขั้นอธิบายและสาธิต ขั้นสอนฝึกหัดขั้นสรุปและ
ประเมนิ ผล อาจทำได้ข้นึ อยู่กบั ดุลยพินิจของครู
วรศักดิ์ เพียรชอบ (2527 : 118-119) ได้ให้คำแนะนำในการสอนวิชาพลศึกษาโดยทั่วไป
ควรปฏบิ ัตดิ ังนี้
1. การสอนควรกำหนดจุดม่งุ หมายท่ีแน่ชดั
2. ใหน้ กั เรยี นทกุ คนได้มสี ว่ นร่วมโดยทว่ั ถึงกนั
3. ทำบทเรยี นให้มคี วามสนุกสนาน
4. สามารถสาธิตหรือวิเคราะห์ลักษณะท่าทางของการเคลื่อนไหวในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ในทกั ษะทีจ่ ะสอนน้นั ได้
5. ครคู วรเขา้ ใจเสยี งดงั ของนักเรยี นวา่ เสยี งดงั นนั้ เปน็ เสียงดงั จากความสนกุ สนานหรือตืน่ เตน้ จาก
การเรยี นวชิ าพลศึกษา
6. ถา้ หากว่าครพู ลศึกษาใช้นกหวีดนักเรียนควรจะได้ทราบวา่ สญั ญาณนกหวดี น้นั หมายถึงอะไร
7. ครผู ู้สอนจะต้องมที ศั นคตทิ ่ีดีกบั นักเรยี นทุกคน
8. ครูควรเคารพ และเชื่อในความสามารถของนักเรยี น
9. ครไู ม่ควรใช้เวลาพดู หรือบรรยายให้นกั เรียนฟังมากเกินไปเพื่อใหน้ ักเรยี นมีโอกาสมีส่วนร่วมใน
กจิ กรรมพลศกึ ษาทันที
10. ความสำเร็จในการเรียนเป็นหัวใจสำคญั ในการท่ีจะให้เดก็ มีทัศนคติทีด่ ีตอ่ วชิ าพลศึกษา
11. การสอนครคู วรเน้นในทา่ ทถี ูกต้องมากกวา่ ท่าท่ีผดิ และหมนุ เวยี นช่วยเหลือนักเรยี นได้ท่ัวถึง
12. ถา้ มกี ารอธบิ ายกตกิ าการเลน่ ควรเปน็ ไปอย่างสัน้ ๆ และเฉพาะที่จำเป็นเท่านนั้
13. การสอนวิชาพลศกึ ษาทุกคร้งั ครคู วรปลูกฝังคุณธรรมในตวั นกั เรยี นควบคู่กันไป
7
14. ในการสอนวิชาพลศึกษานั้นครูต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราสอนนักเรียนเพื่อให้นักเรียนได้รับ
การศกึ ษาโดยวธิ ีการของการพลศึกษา
15. ครูพลศึกษาจะต้องสอนจะต้องช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถบรรลุผลได้ตามท่ี
กำหนดไว้
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนทางพลศึกษา เป็นวิธีการที่ครู เลือกใช้เทคนิค
การสอน วิธีสอน หรอื การเลอื กจดั ประสบการณ์ เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นได้ปฏบิ ตั ิอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงหรือหลายอย่าง
เพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสภาพของผู้เรียนโดยอาจจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน
ท้ังหมด 5 ขน้ั หรอื อาจคิดหาวธิ ีการจดั ประสบการณห์ รอื ดัดแปลงวธิ กี ารจัดประสบการณอ์ ย่างมีเป้าหมาย
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ มี 2 อย่างคือครูเป็นศูนย์กลางและเด็กเป็นศูนย์
ของความสนใจ
2. กีฬาบาสเกตบอล
ธงชัย เจริญทรัพย์มณี (2538: 4-6) ได้กล่าวว่า บาสเกตบอล (Basketball) เป็นกีฬาประจำชาติ
อเมริกัน ถูกคิดขึ้นเพื่อต้องการช่วยเหลือบรรดาสมาชิก Y.M.C.A. ได้เล่นกีฬาในฤดูหนาว คณะกรรมการ
สมาคม Y.M.C.A. ได้พยายามหาหนทางแก้ไขให้บรรดาสมาชิกทั้งหลายได้เล่นกีฬาในช่วงฤดูหนาวโดย
ไมบ่ งั เกิดความเบ่อื หนา่ ยในปี ค.ศ.1891 Dr.James A.Naismith ครสู อนพลศึกษาของ TheInternational
Y.M.C.A. Training School อยู่ที่เมือง Springfield รัฐ Massachusetts ได้รับมอบหมายจาก Dr.Gulick
ให้เป็นผู้คิดค้นการเล่นกีฬาในร่มที่เหมาะสมที่จะใช้เล่นในช่วงฤดูหนาว Dr.James ได้พยายามคิดค้น
ดัดแปลงการเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลและเบสบอลเข้าด้วยกัน และให้มีการเล่นที่เป็นทีม ในครั้งแรก
Dr.James ได้ใช้ลกู ฟุตบอล และตะกร้าเป็นอุปกรณ์สำหรับให้นักกีฬาเล่น เขาได้นําตะกร้าลูกพีชไปแขวน
ไว้ที่ฝาผนังของห้องพลศึกษา แล้วให้ผู้เล่นพยายามโยนลูกบอลลงในตะกร้านั้นให้ได้ โดยใช้เนื้อที่สนาม
สำหรับเล่นให้มีขนาดเล็กลงแบ่งผู้เล่นออกเป็นข้างละ 7 คน ผลการทดลองครั้งแรกผู้เล่นได้รับความ
สนุกสนานตื่นเต้น แต่ขาดความเป็นระเบียบ มีการชนกัน ผลักกัน เตะกัน อันเป็นการเล่นที่รุนแรงใน
การทดลองนั้น ต่อมาได้ตัดการเล่นที่รุนแรงออกไปและได้ทำการวางกติกาห้ามผู้เลน่ เข้าปะทะถูกเนือ้ ต้อง
ตัวกันนับได้ว่าเป็นหลักเบื้องต้นของการเล่นบาสเกตบอล Dr.James จึงได้วางกติกาการเล่นบาสเกตบอล
ไว้เป็นหลกั ใหญ่ ๆ คอื
1. ผู้เล่นที่ครอบครองลูกบอลอยู่นั้นจะต้องหยุดอยู่กับที่ห้ามเคลื่อนที่ไปไหน ประตูจะต้องอยู่
เหนือศีรษะของผู้เล่น และอยูข่ นานกบั พ้นื
2. ผู้เล่นสามารถครอบครองบอลไว้นานเท่าใดก็ได้ โดยคู่ต่อสู้ไม่อาจเข้าไปถูกต้องตัวผู้เล่นท่ี
ครอบครองบอลได้
8
3. ห้ามการเล่นที่รุนแรงต่าง ๆ โดยเด็ดขาด ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่กระทบ กระแทกกัน
เมื่อได้วางกติกาการเล่นขึ้นมาแล้วก็ได้นําไปทดลอง และพยายามปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้ดีขึ้น
เขาได้พยายามลดจำนวนผู้เล่นลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน จนในที่สุดก็ได้กำหนดตัวผู้เล่นไว้ฝ่ายละ
5 คน ซง่ึ เป็นจำนวนที่เหมาะสมท่ีสุดกับขนาดเนอ้ื ที่ ดังนนั้ ในปี ค.ศ. 1915 สมาคม Y.M.C.A. สมาคมกฬี า
มหาวิทยาลัยแห่งชาตแิ ละสมาพันธ์กีฬาสมัครเล่น ได้ร่วมประชุมเพื่อร่างกติกาการเล่นบาสเกตบอลขึน้ มา
เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน กติกานี้ได้ใช้สืบมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1938 และได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้ดี
ขึ้นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 11 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศ เยอรมันนี โดยคณะกรรมการโอลิมปิก
นานาชาติเป็นผู้พิจารณา สหรัฐอเมริกายอมรับการเล่นบาสเกตบอลเป็นกีฬาประจำชาติเมื่อวันที่ 20
มกราคม ค.ศ. 1892 ซึ่งได้มีการเล่นบาสเกตบอลอย่างเป็นทางการขึ้นเป็นครั้งแรก สมาคม Y.M.C.A.
ได้นํากีฬาบาสเกตบอลไปเผยแพร่ในทุกส่วนของโลก ได้แพร่เข้าไปในประเทศจีนและอินเดียในราวปี
ค.ศ. 1894, ฝรั่งเศส ในราวปี ค.ศ. 1895, ญี่ปุ่นราวปี ค.ศ. 1900 เกือบจะกล่าวได้ว่าบาสเกตบอล
มีการเล่นในทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และคาดว่าก่อนปี ค.ศ. 1941 มีประชาชน
ทว่ั โลกเล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นจำนวนถึง 20 ล้านคน ในขณะนีม้ ีผูน้ ยิ มเลน่ บาสเกตบอลกนั ทั่วทุกมุมโลก
ไมน่ ้อยกวา่ 52 ประเทศ นอกจากนี้ไดม้ กี ารแปลกตกิ าการเล่นเปน็ ภาษาตา่ ง ๆ มากกว่า 30 ภาษา
ประวัติบาสเกตบอลในประเทศไทย กีฬาบาสเกตบอลแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย
เป็นครั้งแรกในสมัยใดปีใดนั้นมิได้มีหลักฐานที่จะปรากฏยืนยันแน่ชัดได้ทราบแต่เพียงว่าในปี พ.ศ.2477
นายนพคุณ พงษ์สุวรรณ อาจารย์สอนภาษาจีนที่โรงเรียนมัธยมวัดบพิตรพิมุขได้ ช่วยเหลือกรมพลศึกษา
จัดแปลกติกาการเล่นบาสเกตบอลขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 ได้จัดการ อบรมครูจังหวัดต่าง ๆ จำนวน
100 คนภายในระยะเวลา 1 เดือนและได้รับความช่วยเหลือจาก พ.ต.อ. หลวงชาติ ตระการโกศล ผู้ซึ่งมี
ความรู้และเชี่ยวชาญทางการเล่นกีฬาบาสเกตบอลคนหนึ่ง ทั้งได้เคยเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยเข้าร่วม
การแข่งขัน เมื่อครั้งท่านกําลังศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกามาเป็นผู้บรรยายเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีเล่น
บาสเกตบอลแก่ครูที่เข้ารับการอบรม ต่อมาก็เป็นผลทำให้กีฬาบาสเกตบอลแพร่หลายไปทั่วประเทศไทย
ใน ปี พ.ศ. 2496 สมาคมบาสเกตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยได้ถูกจัดตั้งขึ้นตามแบบอันถูกต้อง
โดยจดทะเบียนที่สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ และได้กลายมาเป็นสมาคม บาสเกตบอลแห่งประเทศไทยในปี
เดียวกันนั้นเอง และในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 สมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยก็ได้เข้าร่วม
เป็นสมาชกิ ของสมาคมบาสเกตบอลระหวา่ งประเทศ
9
3. ทักษะพื้นฐานในกีฬาบาสเกตบอล
การกีฬาแห่งประเทศไทย (2542 : 23) ได้กล่าวถึงทักษะพื้นฐานของกีฬาบาสเกตบอลไว้ว่า
ในการเลน่ กีฬาบาสเกตบอลทักษะเฉพาะตัวมีความจาํ เป็นและสำคัญมากผเู้ ล่นจึงต้องฝกึ ทกั ษะพน้ื ฐานต่าง
ๆ ทั้งการยืน การเคลื่อนที่ การหยุด และการกระโดด ให้ถูกต้องจนเกิดความชํานาญ เพื่อจะได้มีความ
พร้อมทีจ่ ะเคลอื่ นท่ีไปยงั ทิศทางตา่ ง ๆไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ วอ่ งไวและรวดเรว็
เทพประสิทธิ์ กุลธวัชวิชัย (2541 : 8) ได้กล่าวถึงทักษะพื้นฐานของกีฬาบาสเกตบอลไว้ว่า
กีฬาบาสเกตบอลเป็นกีฬาประเภททีม มีจุดมุ่งหมายเพื่อนําลูกบาสเกตบอลไปโยนลงห่วงประตู
ของฝ่ายตรงข้าม ทักษะท่ีใช้ในการเล่นบาสเกตบอลจึงประกอบด้วยทักษะใหญ่ๆที่เป็นพื้นฐานในการเล่น
3 ประการ คือ การรับส่งลูกบาสเกตบอล การเลี้ยง และการยิงประตู ทักษะทั้ง 3 ประการนี้ฝึกไม่ยาก
โดยมีความหมายดังน้ี
การรับส่งลูกบาสเกตบอล หมายถึง การทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่จากผู้เล่นคนหนึ่งไปยังผู้เล่นอีก
คนหน่ึงเป็นการนำลูกบอลเคลื่อนท่ีได้เรว็ ที่สดุ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นร่วมทีมสามารถนำลูกบอลขึ้นทำประตูได้
อยา่ งง่าย
การเลี้ยง หมายถึง การเคล่ือนทขี่ องผู้เลน่ ท่ีครอบครองบอลเพ่ือพาลกู บอลใหห้ ลดุ จากการป้องกัน
ของฝา่ ยตรงข้ามหรอื เพื่อหาตำแหนง่ สง่ บอลหรือยงิ ประตู
การยิงประตู หมายถึง การออกแรงส่งลูกบอลด้วยมือเดียวหรือสองมือให้ลูกบอลเคลื่อนที่ไปยัง
ห่วงประตขู องฝ่ายตรงข้ามให้ลงห่วงประตเู พื่อทำคะแนน
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ทักษะพื้นฐานในกีฬาบาสเกตบอล คือ เป็นทักษะที่มีจุดมุ่งหมายใน
การนำลูกบาสเกตบอลไปโยนลงห่วงฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีความจำเป็นมากผู้เล่นควรฝึกจนเกิดความชำนาญ
ประกอบดว้ ย การรบั สง่ ลูก การเล้ยี ง การยิงประตู
4. ทักษะการยิงประตูใตแ้ ปน้
การยืนยิงประตูใตแ้ ปน้ เป็นการยงิ ประตทู ่ีใช้ในการยงิ ประตใู นลักษณะทต่ี วั เองอย่ใู ตแ้ ป้นเอียงจาก
แป้นบาสเกตบอลออกมา แบบของการยิงประตูที่นิยมกันมากในปัจจุบันนี้ คือ การยิงประตูแบบมือเดียว
สมรรถชยั น้อยศริ ิ (2535: 98) มวี ิธีการปฏิบตั ิดงั นี้
1. ยืนแบบเท้านำเท้าตาม ยืนให้เท้าขวาอยู่ข้างหน้า เท้าซ้ายอยู่ข้างหลัง (สำหรับผู้ที่ถนัดขวา)
หรือยนื ให้เท้าเสมอกนั ก็ได้ ห่างกันประมาณ 1 ชว่ งไหล่
2. งอเขา่ ลงเล็กน้อย น้ำหนกั ตวั อยู่บนเทา้ ท้งั สอง
3. ถือลูกบอลโดยให้มือรองรับอยู่ด้านล่าง มือขวาวางไว้ด้านหน้าเพื่อประคองลูกบอล อย่าให้อุ้ง
มอื ถกู พนื้ ผวิ ของลกู บอล
10
4. ลูกบอลอยู่ระดับคาง ตามองไปยังหว่ งประตู
5. เรมิ่ ยิงประตดู ้วยการงอเขา่ ลงเลก็ นอ้ ยพร้อมกับดึงลูกบอลเขา้ หาลำตัวถา่ ยน้ำหนกั ลกู บอลมาไว้
ท่มี อื ขวา
6. เล่ือนลกู บอลขนึ้ เหนอื หน้าผากแล้วผลักลกู บอลออกไป
7. เหยยี ดแขนและขอ้ มือตามลกู บอลตวดั ขอ้ มือลงพร้อมกับเหยียดเขา่ และลำตัวขึ้น
8. ตามองท่แี ปน้ บาสเกตบอลหรอื กรอบส่ีเหล่ียมในแปน้ บาสเกตบอล
9. ผูท้ ีถ่ นัดซ้ายใหป้ ฏิบัตใิ นทำนองเดียวกนั กบั มอื ขวาแต่ตรงกันข้าม
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การยิงประตูใต้แป้น คือ การยืนยิงประตูใต้แป้นเป็นการยิงประตูที่ใช้ใน
การยิงประตูในลักษณะที่ตัวเองอยู่ใต้แป้น เอียงจากแป้นบาสเกตบอลออกมาโดยใช้วิธีการยิงประตูแบบ
มอื เดียว
5. ทฤษฎีการเรียนรู้
5.1 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักทฤษฎีกลุ่มนี้ให้ความสนใจต่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองพฤติกรรมมนุษย์สามารถวัดได้ ทดสอบได้
จึงให้ความสนใจกับ “พฤตกิ รรม”
5.2 ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอนไดค์ (Thorndike’s Classical Connectionism) ธอนไดค์
(1814 – 1949) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองซึ่งมีหลายรูปแบบ
บุคคลจะมีการลองผิดลองถูก (Trial and Error) ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนอง
ที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสม
เพียงรปู แบบเดียว และจะพยายามใชร้ ูปแบบนั้นเชื่อมโยง กับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆกฎการเรียนรู้
ของธอนไดค์สรุปได้ดังนี้ (เฮอร์เคนชาน และอริสัน Hergenhahn and Olson, 1993 : 56 - 57 อ้างถึงใน
ทิศนา แขมมณี 2550 : 51 – 52)
5.2.1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียน
มคี วามพร้อมท้ังทางรา่ งกายและจิตใจ
5.2.2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือการกระทำบ่อยๆ ด้วยความ
เข้าใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้นั้นคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำๆการเรียนรู้นั้นจะไม่คงทนถาวร
และในท่สี ดุ อาจจะลมื ได้
5.2.3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่าง
สิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้นหากได้มีการนำไปใช้บ่อยๆหากไม่มี
การนำไปใช้อาจมีการลมื เกดิ ขน้ึ ได้
11
5.2.4. กฎแห่งผลพึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่มีความพึงพอใจ
ย่อมอยากเรียนรู้ต่อไปแต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู ปดังนั้นการได้รับผลที่พึงพอใจ
จึงเปน็ ปจั จยั สำคญั ในการเรียนรู้ (ทศิ นา แขมมณ.ี 2548 : 51)
5.3 ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบโอเปอรแ์ รนต์ (Operant Conditioning) ของสกินเนอร์ (Skinner)
สกินเนอร์ (Skinner) ได้ทำการทดลอง ซึ่งสามารถสรุป เป็นกฎการเรียนรู้ได้ดังนี้ (Hergenhahn, and
Olson, 1993 : 80 - 199)
5.3.1. การกระทำใดๆ ถา้ ไดร้ บั การเสริมแรงจะมแี นวโน้มทจ่ี ะเกิดขน้ึ อกี ส่วนการกระทำที่ไม่
มกี ารเสริมแรง แนวโนม้ ท่ีความถขี่ องการกระทำนนั้ จะลดลงและหายไปในที่สดุ
5.3.2. การเสรมิ แรงท่แี ปรเปลย่ี นทำใหก้ ารตอบสนอง คงทนกว่าการเสริมแรงท่ตี ายตวั
5.3.3. การลงโทษทำใหเ้ รยี นร้ไู ดเ้ ร็วและลืมเร็ว
5.3.4. การให้แรงเสริม หรือให้รางวัล เมื่ออินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่ต้องการสามารถช่วย
ปรับหรือปลูกฝังนิสยั ทตี่ ้องการได้ (ทิศนา แขมมณี. 2548 : 57)
5.4 ทฤษฎีบุคลิกภาพของมาสโลว์ ผู้ก่อตั้งทฤษฎีนี้คืออับราฮัมมาสโลว์นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
เชื้อสายยิวเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและได้รับความเชื่อถืออย่างกว้างขวางจนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่ง
จิตวิทยามนุษย์นิยมจากทฤษฎีนี้เชื่อว่าบุคลิกภาพของคนมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ธรรมชาติของมนุษย์ใน
ความปรารถนาที่ต้องการจะพัฒนาตนเองเพื่อให้ถึงจุดสูงสุดตามศักยภาพของแต่ละบุคคลเพื่อความเป็น
มนุษย์โดยสมบูรณ์แต่ความต้องการนั้นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนไม่มีการข้ามขั้นเมื่อความต้องการ
ขั้นหนึ่งได้รับการตอบสนองจนเป็นที่พอใจแล้ว ความต้องการขั้นสูงในลำดับต่อไปจึงจะเกิดขึ้นใน
ทางกลับกันหากยังไม่ได้รับความพอใจจะแสดงพฤติกรรมการแสวงหาในขั้นนั้นต่อไปเรื่อยๆจากการแบ่ง
ลำดบั ข้ันความต้องการประกอบด้วย 5 ขัน้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (จิตวทิ ยาการกีฬา.2556 : 27)
1. ความตอ้ งการทางร่างกาย
2. ความต้องการความมน่ั คงและปลอดภยั
3. ความต้องการความเปน็ เจ้าของและความรกั
4. ความตอ้ งการไดร้ ับการยกย่องนบั ถอื
5. ความตอ้ งการท่ีจะประสบความสำเร็จสงู สดุ
12
6. แบบฝึกทกั ษะ
6.1 ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ
ไพบูลย์ มูลดี (2546 : 48) ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะเป็นชุดการเรียนรู้
ที่ครูจัดทำขึ้นให้ผู้เรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจจะช่วยเพิ่มทักษะ
ความชำนาญและช่วยฝึกทักษะการคิดให้มากขึ้นทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระให้กับครูอีกทั้งพัฒนา
ความสามารถของผเู้ รียนทำใหผ้ ูเ้ รียนมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรยี นรู้ของตนเองได้
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 90) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง
งานกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้ว
ใหส้ มารถนำความรทู้ ีไ่ ปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั
อำนวย เลื่อมใส (2546 : 89) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า หมายถึง แบบตัวอย่าง
ปญั หาหรือคำสง่ั เพอ่ื ให้ผูเ้ รียนรู้มาแลว้ เพ่ือความรู้ ความเข้าใจ และเปน็ การเพ่ิมทักษะความชำนาญให้แก่
ผู้เรยี นทำใหก้ ารเรียนมปี ระสทิ ธภิ าพดียงิ่ ขึน้
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อ งานกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ผู้สอนมีโดย
สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจความชำนาญเพิ่มขึ้นและได้เห็น
ความก้าวหน้าของตนเองโดยท่กี ิจกรรมท่ีได้ปฏบิ ัตใิ นแบบฝกึ นัน้ จะครอบคลุมเนอ้ื หาทเี่ รยี นไปแล้ว
6.2 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ
ไพบูลย์ มลู ดี (2546 : 52) กลา่ วถึง ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทกั ษะไวด้ ังนี้
1. ช่วยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจบทเรยี นไดด้ ขี ้นึ
2. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนจดจำเนอ้ื หาในบทเรยี นและคำศัพทต์ า่ ง ๆ ได้คงทน
3. ทำใหเ้ กิดความสนกุ สนานขณะเรียน
4. ทำใหผ้ เู้ รียนทราบความกา้ วหน้าของตนเอง
5. ผู้เรยี นสามารถทบทวนความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง
6. แบบฝึกทักษะสามารถนำมาวดั ผลการเรยี นทีเ่ รียนแล้ว
7. ช่วยใหค้ รทู ราบขอ้ บกพร่องของผู้เรียนและนำไปปรับปรงุ แกไ้ ขได้ทันทว่ งที
13
อุษณีย์ เสือจันทร์ (2553 : 17-18) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะช่วยในการฝึกเสริมทักษะทำให้
จดจำเนื้อหาได้คงทนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียนสามารถนำมาแก้ปัญหาเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มได้ดี
ผู้เรียนสามารถนำมาทบทวนเนื้อได้ด้วยตนเองทำให้ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตนเป็ นเครื่องมือที่
ครผู ู้สอนใช้ประเมินผลการเรยี นรไู้ ด้เปน็ อยา่ งดีวา่ นักเรียนเขา้ ใจมากนอ้ ยเพียงใด
ปาริชาติ สุพรรณกลาง (2550 : 23) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรยี นที่ช่วยให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้และทักษะทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระครูผู้สอนซึ่งประโยชน์ของแบบฝึกทำให้นักเรียนเข้าใจ
บทเรียนไดม้ ากขึ้น มีความเชื่อมั่น ฝึกทำงานด้วยตนเอง ทำให้มีความรับผิดชอบและทำให้ครูทราบปัญหา
และข้อบกพร่องของนักเรียนในเรื่องที่เรียน ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันที นอกจากนี้แบบฝึกยังเปิด
โอกาสให้เด็กฝึกทักษะอย่างเต็มที่ทั้งยังช่วยให้คงอยู่ได้นานและเป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลังจบบทเรียนแต่ละครง้ั อกี ดว้ ย
วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะทำให้เกิดการเรียนรู้จากการกระทำจรงิ
เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนมีจุดประสงค์แน่นอนทำให้สามารถรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีจนนำไปใช้ใน
สถานการณ์เช่นเดียวกันได้
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะนั้นทำให้เกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง
เข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้มากขึ้นและได้ทราบข้อบกพร่องของตนเองและแก้ปัญหาได้อีกทั้งยังทำให้มีทักษะ
ทีค่ งทนดว้ ย
6.3 องคป์ ระกอบของแบบฝึกทักษะ
แบบฝึกที่สมบูรณ์ควรประกอบขึ้นด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญต่อการใช้งาน ซึ่งนักการศึกษาหลาย
ท่านได้กล่าวไว้วา่ แบบฝกึ ควรมีองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปน้ี
บุญชม ศรีสะอาด (2537 : 95) กลา่ วว่า แบบฝึกมสี ว่ นประกอบสำคญั 4 อยา่ ง
1. คู่มือครูหรือคู่มือการใช้แบบฝึกเป็นคู่มือที่จัดทำข้ึนเพื่อให้ผู้ใช้ศึกษา และปฏิบัติตามเพื่อให้
บรรลผุ ลอย่างมปี ระสิทธภิ าพอาจประกอบดว้ ยแผนการสอนและคำอธบิ ายการจดั กิจกรรมการสอน
2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้สำหรับวัดความก้าวหน้าที่เกิดจาก
การเรียนของผู้เรยี น
3. ชุดฝึกปฏิบัติเป็นแบบฝึกหัดหรือบัตรคำสั่งที่ระบุกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนปฏิบัติตามลำดับ
ขนั้ ตอนของการเรียน
4. สอ่ื การสอนเปน็ สื่อต่าง ๆทส่ี อดคล้องกบั เน้ือหาและประสบการณ์ อาทิ รปู ภาพ สไลด์ เทป
บันทึกเสียง บตั รคํา ฯลฯ
14
สนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2547 : 42) กลา่ วถงึ สว่ นประกอบสำคญั ของแบบฝกึ มี ดงั นี้
1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพื่ออะไรและมีวิธีการใช้
อยา่ งไร ซ่งึ ประกอบด้วย
1.1 ส่วนประกอบของแบบฝึก ระบุว่า แบบฝึกชุดนี้มีกี่ชุด อะไรบ้างและส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น
แบบทดสอบ หรอื แบบบันทึกผลการประเมนิ
1.2 สง่ิ ทีค่ รหู รอื นักเรยี นต้องเตรียมลว่ งหนา้ กอ่ นเรียน
1.3 จดุ ประสงคใ์ นการใชแ้ บบฝึก
1.4 ข้นั ตอนการใชแ้ บบฝึก
1.5 เฉลยแบบฝึก
2. แบบฝึก ควรประกอบดว้ ย
2.1 ชือ่ ชดุ ฝึกในแตล่ ะชดุ ย่อย
2.2 จุดประสงค์
2.3 คำสง่ั
2.4 ตวั อยา่ ง
2.5 ชุดฝกึ
2.6 ภาพประกอบ
2.7 แบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า องค์ประกอบของแบบฝึกทักษะนั้นจะต้องประกอบด้วย คู่มือหรือวิธีการ
ใช้แบบฝึกทักษะ ต้องระบุว่ามีกี่รูปแบบอะไรบ้าง มีจุดประสงค์และภาพประกอบอย่างชัดเจนโดย
สอดคลอ้ งกบั เน้อื หาและปฏบิ ัตอิ ย่างเปน็ ข้นั เป็นตอน
6.4 กระบวนการสร้างแบบฝกึ ทกั ษะ
นิตยา กจิ โร (2553 : 40) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝกึ ไว้ ดงั น้ี
1. ก่อนสร้างแบบฝึกจำเป็นต้องกำหนดโครงร่างไว้ก่อนว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไรแบบฝึกเกี่ยวกบั
เร่ืองอะไร
2. ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง
3. เขยี นวัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
4. แจง้ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมยอ่ ย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของผ้เู รยี น
5. กำหนดอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นแต่ละกจิ กรรม
6. กำหนดเวลา และขนั้ ตอนใหเ้ หมาะสม
15
7. การประเมนิ ผลอย่างไร
ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553 : 35) ได้กล่าวไว้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะควรคำนึงถึงหลัก
จิตวิทยาในการเรียนรู้โดยมีจุดมุ่งหมายในการฝึก แบบฝึกควรเริ่มจากง่ายไปหายาก มีหลายแบบ
มีตัวอยา่ งประกอบมภี าพประกอบ และสามารถศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง
ปราณี จิณฤทธิ์ (2552 : 32) ได้กล่าวไว้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกผู้สร้างต้องคำนึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคลแบบฝึกที่สร้างต้องมีหลาย ๆ รูปแบบ สร้างจากง่ายไปหายากมีความถูกต้อง
ในการสร้างแบบฝึกมีการสอดแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไปด้วยควรจัดทำแบบฝึกไว้ล่วงหน้ าเพราะแบบฝึก
ควรทำหลังจากผเู้ รียนได้เรียนบทเรียนในเร่อื งน้ัน ๆ จบลงทนั ที
อุษณีย์ เสือจันทร์ (2553 : 26) ได้กล่าวไว้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกผู้สร้างต้องศึกษาปัญหาของ
เนื้อหานำมาสร้างแบบฝึกโดยนำมาตั้งวัตถุประสงค์ตลอดจนรูปแบบและวางแผนขั้นตอนการใช้แบบฝึก
การสร้างแบบฝึกต้องสอดคล้องกับเนื้อหาและทักษะที่ต้องการฝึกต้องนำหลักจิตวิทยาการเรียนรู้และ
จติ วทิ ยาพัฒนาการมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกก่อนนำไปใชค้ วรมกี ารทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่อง
ของแบบฝึก
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาในการเรียนรู้
จะต้องมีการศึกษาปัญหามาก่อน โดยมีจุดมุ่งหมายในการฝึกมีหลายรูปแบบและแบบฝึกควรเริ่มจากง่าย
ไปหายาก มีหลายแบบ มีตัวอย่างประกอบ มีภาพประกอบ และสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองโดยจะต้อง
คำนงึ ถงึ ความแตกต่างระห่วงบคุ คลด้วย
6.5 การหาคณุ ภาพแบบฝกึ ทักษะ
ปราณี หลำเบ็ญสะ (2559: 1-3) ได้กล่าวไว้ว่า การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบที่ใช้ใน
การวัดผลจะตอ้ งทำการตรวจสอบคุณภาพดา้ นตา่ ง ๆ ทจ่ี ําเป็น ของแบบทดสอบแตล่ ะชนิดดงั ตอ่ ไปนี้
1. ความเที่ยงตรง (Validity) เป็นความถูกต้องสอดคล้องของแบบทดสอบกับสิ่งที่ต้องการจะวัด
ซึ่งเป็นคุณลักษณะของแบบทดสอบที่ถือว่าสำคัญที่สุดโดยมีเกณฑ์ในการเปรียบเทียบคือเนื้อหา
โครงสรา้ งสภาพปัจจบุ ันและอนาคต
2. ความเชื่อมั่น (Reliability) เป็นความคงเส้นคงวาของคะแนนในการวัดแต่ละครั้งหรือ
ความคงที่ของผลการวัดผลของการวัดไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรืออันดับที่ก็ตามเมื่อวัดได้ผลออกมาแล้ว
สามารถเชื่อถือได้ในระดับสูงจนสามารถประกันได้ว่าถ้ามีการตรวจสอบผลซ้ ำอีกไม่ว่ากี่ครั้งก็จะได้ผล
ใกล้เคียงและสอดคล้องกับผลการวัดเดมิ นั่นเอง
16
3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) เป็นความชัดเจนที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลครั้งน้ัน
มีความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องของคําถามค่าของคะแนนหรืออันดับที่ที่วัดได้ตลอดจนการแปลงค่า
คะแนนเป็นผลประเมินในการตัดสินคุณค่าก็สอดคล้องตรงกัน การพิจารณาความเป็นปรนัยของ
แบบทดสอบมีหลายประการคุณสมบัติความเป็นปรนัยของแบบทดสอบที่สำคัญ ได้แก่ คุณสมบัติ
3 ประการ ดังน้ี
3.1 ชัดแจ้งในความหมายของคาํ ถาม ขอ้ สอบทเี่ ปน็ ปรนัย ทกุ คนท่ีอ่านข้อสอบ ไม่วา่ จะเปน็ ผูส้ อบ
หรอื ผู้ตรวจขอ้ สอบยอ่ มจะเขา้ ใจตรงกันไมต่ คี วามไปคนละแง่
3.2 ตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน ข้อสอบท่ีมีความเป็นปรนยั ไมว่ ่าจะเป็นผู้ออกข้อสอบหรือใครก็ตาม
สามารถตรวจให้คะแนนได้ตรงกันข้อสอบที่ผู้ตรวจเฉลยไมต่ รงกันแสดงใหเ้ ห็นถึงความไมช่ ดั เจนในคําถาม
และคาํ ตอบ
3.3 แปลความหมายของคะแนนได้ตรงกันโดยทั่วไปข้อสอบปรนัยนั้นผู้ตอบถูกจะได้
1 คะแนน ตอบผิดจะได้ศูนย์คะแนนจำนวนคะแนนที่ได้จะแทนจำนวนข้อที่ถูกทำให้สามารถแปล
ความหมายได้ชัดเจนว่าใครเก่ง อ่อนอย่างไรตอบถูกมากน้อยต่างกันอย่างไรข้อสอบประเภทถูกผิดจับคู่
เติมคําหรือเลือกตอบที่ขาดคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อสอบปรนัยเฉพาะรูปแบบของ
ข้อสอบเท่านั้นส่วนคุณสมบัติยังไม่เป็นปรนัยความเป็นปรนัยของข้อสอบจะท ำให้เกิดคุณสมบัติทาง
ความเช่ือมัน่ ของคะแนนอนั จะนาํ ไปสคู่ วามเทย่ี งตรงของผลการวัดดว้ ย
4. ความยากง่าย (Difficulty) ความยากง่ายของข้อสอบพิจารณาได้จากผลการสอบของผู้สอบ
เป็นสำคัญข้อสอบใดที่ผู้สอบส่วนมากตอบถูกค่าคะแนนเฉลี่ยของข้อสอบสูงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของ
คะแนนเต็มอาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อสอบที่ง่ายหรือค่อนข้างง่าย ข้อสอบที่มีความยากง่ายพอเหมาะคะแนน
เฉลี่ยของข้อสอบควรมีประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของคะแนนเต็มถ้าคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
แสดงว่าเป็นข้อสอบค่อนข้างยากข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะไม่ยากหรือง่ายเกินไป
ข้อสอบฉบบั หนึ่งควรมีผู้ตอบถกู ไมต่ ่ำกวา่ 50 คนและไมเ่ กิน 80 คน จากผู้สอบ 100 คน
5. อำนาจจำแนก (Discrimination) เป็นลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถออกเป็นประเภทฺ
ต่าง ๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด แม้ว่าจะเก่ง - อ่อนกว่ากันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จําแนก
ให้เห็นได้ข้อสอบที่มีอำนาจจําแนกสูงนั้นเด็กเก่งมักตอบถูกมากว่าเด็กอ่อนเสมอข้อสอบที่ทุกคนตอบถูก
หมดจะไมส่ ามารถบอกอะไรไดเ้ ลยหรือข้อสอบทีท่ กุ คนตอบผิดหมดไมส่ ามารถบอกไดว้ ่าใครเกง่ หรือออ่ น
6. ความมีประสิทธภิ าพ (Efficiency) เครอ่ื งมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพ หมายถึง เคร่ืองมือท่ีทำให้
ได้ข้อมูลได้ถูกต้องเชื่อถือได้โดยลงทุนน้อยที่สุดไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในแง่เวลา แรงงานและทุนทรัพย์
รวมทั้งความสะดวกสบาย คล่องตัวในการรวบรวมข้อมูล ข้อสอบที่มีประสิทธิภาพสามารถให้คะแนนได้
17
เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สุด โดยใช้เวลาแรงงาน และเงินน้อยที่สุด แต่ประโยชน์ที่ได้จากการสอบ
คุ้มค่า ข้อสอบที่พิมพ์ผิดตกหล่นมาก จำนวนหน้าไม่ครบ รูปแบบของแบบทดสอบเรียงไม่เป็นระเบียบ
ทำให้ผ้สู อบเกดิ ความสับสน มผี ลตอ่ คะแนนท่ี ได้จากการทำแบบทดสอบท้งั สิ้นการจดั รูปแบบของข้อสอบ
ปรนัยแบบเลอื กตอบเพอ่ื ให้ดงู า่ ย มีความเป็นระเบยี บ เรียบรอ้ ยนิยมพมิ พ์แบง่ ครง่ึ หนา้ กระดาษ
7. ความยุติธรรม (Fair) ความยุติธรรมเป็นคุณลักษณะของข้อสอบที่ดีต้องไม่เปิดโอกาสให้เด็ก
ได้เปรียบเสียเปรยี บกัน เช่น ข้อสอบบางฉบับครูไปเนน้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งตรงกับเรื่องที่เดก็ ทำรายงานใน
บางกลุ่มทำให้กลุ่มนั้น ๆ ได้เปรียบคนอื่น ๆ ข้อสอบบางข้อใช้คําถามหรือข้อความที่แนะคําตอบ ทำให้
นักเรียนใช้ไหวพริบเดาได้การใช้ข้อสอบแบบอัตนัยเพียง 5 หรือ 10 ข้อ มาทดสอบเด็กนั้นไม่อาจสร้าง
ความยุตธิ รรมในการสอบใหแ้ กเ่ ดก็ ได้ เพราะผสู้ อบมโี อกาสเกง็ ข้อสอบได้ถูกมากกว่าแบบปรนัยท่ีมีจำนวน
ขอ้ มาก ๆ เช่น 100 ข้อ
8. คําถามลึก (Searching) ข้อสอบที่ถามลึกไม่ถามแต่เพียงความรู้ความจําเท่านั้น แต่จะถามวัด
ความเข้าใจ การนําความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วมาแก้ปัญหาวิเคราะห์ ตลอดจนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาจน
ท้ายที่สุดคือการประเมินผลคําถามที่ถามลึกนั้นผู้ตอบต้องคิดค้นก่อนจึงจะสามารถหาคําตอบได้ มิใช่
เพียงแต่ระลึกถึงประสบการณ์ต่าง ๆ เพียงตื้น ๆ ก็ตอบปัญหาได้แต่เป็นแบบทดสอบที่วัดความลึกซึ้งทาง
วชิ าการตามแนวดิง่ มากกว่าจะวดั ตามแนวกว้าง
9. คําถามยั่วยุ (Exemplary) คําถามยั่วยุ ได้แก่ คําถามที่มีลักษณะท้าทายให้เด็กอยากคิดอยาก
ทำ มีลลี าการถามทีน่ า่ สนใจไมถ่ ามวนเวยี นซ้ำซากน่าเบอ่ื หนา่ ยการใชร้ ูปภาพประกอบก็เปน็ วธิ ีหนึง่ ท่ีทำให้
ข้อสอบน่าสนใจข้อสอบที่ยากเกินไปทำให้ผู้สอบหมดกําลังใจที่จะทำส่วนข้อสอบที่ง่ายเกินไปก็ไม่ท้าทาย
ใหอ้ ยากทำการเรียงลำดับคาํ ถามจากขอ้ งา่ ยไปหายากเปน็ วิธหี นึ่งท่ีทำใหข้ ้อสอบมลี กั ษณะทา้ ทายน่าทำ
10. จําเพาะเจาะจง (Definite) คําถามที่ดีต้องไม่ถามกว้างเกินไป ไม่ถามคลุมเครือหรือเล่น
สํานวนให้ผู้สอบงง ผู้สอบอ่านแล้วต้องเข้าใจชัดเจนว่าครูถามอะไร ส่วนจะตอบได้หรือไม่อยู่ที่
ความสามารถของผตู้ อบเปน็ สำคญั
7. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างทักษะ
7.1 ความหมายแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างทกั ษะ
ไพศาล วรคำ (2554: 222) ได้กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางทักษะ หมายถึง
การทดสอบทีต่ ้องการได้ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ผลของการปฏิบัติทักษะความสามารถในการทำงานอยา่ งใดอย่างหน่ึง
วิรยิ า บุญชัย (2559: 257) ได้กลา่ วไว้ว่า แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างทกั ษะ หมายถงึ การเรยี น
ทักษะกีฬาเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนวิชาพลศึกษา ครูพลศึกษาหรือนักศึกษาสามารถแปรสภาพ
ความสามารถหรือข้อบกพร่องของนักเรียนได้ โดยการใช้แบบทดสอบทักษะกีฬาเป็นเครื่องมือ
18
ในการพิจารณาและนำข้อมูลที่ได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการแบ่งกลุ่มของนักเรียน เป็นพื้นฐานใน
การพจิ ารณาคะแนนหรือผลการเรียน
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางทักษะหรือผลสัมฤทธิ์ทางทักษะหมายถึง
การทดสอบทดสอบที่เป็นข้อมูลที่เป็นผลของการปฏิบัติทักษะโดยใช้แบบทดสอบทักษะเป็นเครื่องมือใน
การพจิ ารณาคะแนนหรือผลการเรยี นของนกั เรียน
7.2 ชนดิ ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางทักษะ
มอร์โรว์ และคนอื่น ๆ (Morrow and others, 1995: 278 - 285) ได้แบ่งชนิดของ แบบทดสอบ
ทกั ษะกฬี าออกเป็น 4 กล่มุ คือ
1. แบบทดสอบความแม่นยํา (Accuracy - based Skills Test) นิยมใช้ในการวัดผลการเสิร์ฟ
วอลเลย์บอล เทนนิส หรือแบตมินตัน การขว้างลูกบอล การยิงลูกโทษ การยิงประเภทต่าง ๆในกีฬา
บาสเกตบอล เป็นต้น สิ่งที่ควรคํานึงในการใช้แบบทดสอบประเภทนี้คือการสร้างระบบให้คะแนนให้
มีความเชอื่ ถือไดแ้ ละความเท่ียงตรงให้มากทสี่ ุด
2. แบบทดสอบวัดการปฏิบัติซ้ำๆ(Repetitive - performance Test) โดยปกติเรียกว่า
การตีบอลกระทบผนังหรือการตีขึ้นไปในอากาศ (Wall Valley of Self- valleys) สามารถใช้วัดการ
ในทกั ษะกีฬาประเภททต่ี อ้ งใช้ไม้ (Racquet Sport) เชน่ การตลี ูกหนา้ มอื หลงั มอื และการส่งบอลในกีฬา
วอลเลย์บอล แบบทดสอบประเภทนี้นับว่ามีความเชือ่ ถือได้สูงแต่ถา้ กระบวนการในการสร้างไม่ดีก็อาจเกิด
ความไม่เหมาะสมเพราะสามารถใชว้ ดั ทกั ษะกีฬาไดเ้ พยี งทา่ เดยี ว ซึ่งไม่ครอบคลุมกบั ทกั ษะอน่ื ๆ เท่าไรนัก
ทำใหค้ วามเทย่ี งตรงลดลงไป
3. แบบทดสอบการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมด (Total Bodily Movement Test) มัก
เรียกว่า แบบทดสอบวัดความเร็ว (Speed Test) นิยมใช้กับการทดสอบการเลี้ยงบาสเกตบอลหรือฟุตบอล
การว่ิงในกฬี าบาสเกตบอล และซอฟตบ์ อล แบบทดสอบประเภทนนี้ ับว่ามีความนา่ เช่อื ถือได้สูงมากเพราะ
มีตวั แปรหลายตัวรวมท้ังการดเู วลาทไี่ ด้จากการปฏิบตั ดิ ้วย
4. แบบทดสอบวัดระยะหรือพลังในการปฏิบัติ (Distance or Power Performance Tests)
ใชใ้ นการเสิรฟ์ แบดมนิ ตัน การขวา้ งลูกซอฟต์บอลและเบสบอล ซง่ึ แบบทดสอบประเภทน้มี กั มีปัญหาตรงท่ี
ว่าในการทดสอบจะตอ้ งคดิ ถงึ เรื่องความแม่นยําด้วยหรือไม่ อย่างไรกต็ ามอาจแก้ปัญหาดงั กลา่ วได้ด้วยกา
รำหนดระยะทางใหส้ ้นั เข้ากับรูปแบบหรือชนดิ ของแบบทดสอบดังกล่าวข้างตน้ จะเปน็ เกณฑ์และแนวทาง
สำหรบั การสรา้ งแบบทดสอบได้เปน็ อย่างดี ซึ่งแบบทดสอบทกั ษะกฬี าชนิดหน่งึ ก็ควรจะมีครบทุกรูปแบบ
หรือทุกชนิดของแบบทดสอบ เพื่อจะได้เป็นแรงจงู ใจสำหรับผูร้ ับการทดสอบและในการสร้างแบบทดสอบ
ผู้สรา้ งควรจะมีการวางแผนและศึกษาขัน้ ตอนการสร้างให้เข้าใจอย่างลกึ ซ้งึ
19
7.3 ความสำคญั ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างทักษะ
ครอนบาช (สมเจตน์ ทองดี, 2527: 7;อา้ งอิงจาก Cronbach. 1970:43) ไดก้ ลา่ วว่า แบบทดสอบ
มคี วามสำคญั เปน็ เครื่องมอื วดั ความแตกต่างของพฤติกรรมอยา่ งหนง่ึ ทีม่ รี ะบบ (Systematic Procedure)
ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนข้นึ ไป
จอห์น และเนลสัน (สมเจตน์ ทองดี, 2527:8; อ้างอิงจาก Johnson and Nelson. 1974:43)
กล่าวว่าการทดสอบทกั ษะมีความสำคญั โดยครผู ู้สอนจะต้องมีพืน้ ความรู้ในเรื่องการวัดผลประเมนิ ผลและ
จะตอ้ งมีความสามารถ ดังนี้
1. เลอื กเครอ่ื งมอื ที่มีความเช่อื มน่ั ได้ และมีความเที่ยงตรง รวมทัง้ มคี วามเขา้ ใจเทคนคิ การวดั และ
แหลง่ ทม่ี าของความรู้ทชี่ ว่ ยในการดาํ เนนิ งาน
2. การเลือกวธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลแบบทดสอบ
3. เลอื กวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มูลใหม้ คี วามเท่ยี งตรง มีความเชื่อม่นั และประหยัดเวลา
4. สามารถแปลแบบทดสอบให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง และผบู้ รหิ ารทราบได้
5. สามารถสร้างแบบทดสอบอย่างมคี วามหมาย และมีจุดม่งุ หมาย
6. สามารถสร้างแบบทดสอบขึ้นเอง โดยไม่เน้นทางด้านปฏิบัติเพียงอย่างเดียวอาจจะสร้าง
แบบทดสอบวดั ความรกู้ ไ็ ด้
7. มีความรทู้ างสถติ ิ สามารถแปลผลท่ีได้จากการทดสอบอย่างถกู ตอ้ ง
บอสโกและกุสตัฟสัน(สมเจตน์ ทองดี,2527:7;อ้างอิงจาก Bosco and Gusstason,1983:5)
ได้กลา่ วถึง ความสำคญั ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางทักษะเหตุผลวา่ ทําไมครผู ู้สอนจึงใช้แบบทดสอบ
ในกระบวนการเรียนการสอนมคี วามสำคัญ โดยสรุปเหตุผลได้ ดังตอ่ ไปนี้
1. เพื่อแบ่งกล่มุ นกั เรยี น (Classification of student)
2. วิเคราะห์ความต้องการและจุดอ่อนของนักเรียน (Diagnosis of student Need and
Weaknesses)
3. เพอ่ื ประเมนิ ผลการสอนของครู (Evaluation of Instruction)
4. เพอ่ื ประเมนิ โปรแกรมในการสอน (Evaluation of Program)
5. เพ่ือการให้คะแนน (Marking of Grading)
6. เพอ่ื เปน็ แรงจงู ใจ (Motivation)
7. เพื่อคิดวธิ ีสอน (Instructional)
8. เพ่ือคดิ วิธกี ารทาํ นาย (Prediction)
9. เพือ่ การวจิ ัย (Research)
20
ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความสำคัญของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางทักษะจะช่วยให้ครูผู้สอน
สามารถแบ่งกลุ่มความสามารถของนกั เรียนและหาวธิ กี ารสอนที่เหมาะสมแกน่ กั เรยี นท่มี ีความแตกตา่ งกัน
7.4 ประโยชน์ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างทักษะ
ผาณิต บิลมาศ (2530 : 53) กล่าวว่าการวัดผลและประเมินผลทางพลศึกษามีประโยชน์ในด้าน
การเรียนการสอนของครู นักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งประโยชน์ของการทดสอบทักษะควรมีอย่างน้อย
9 ประการ ดังน้ี
1. วดั ผลสัมฤทธ์ิ (Measurement of Achievement) ความมงุ่ หมายอนั ดับแรกของ แบบทดสอบ
ทักษะเพื่อวัดความก้าวหน้าของนักเรียนหรือระดับของผลสัมฤทธิ์เนื้อหาทฤษฎีหลักการต่ างๆของ
แต่ละวิชา
2. ใหเ้ กรดหรอื คะแนน (Grading or marking) จะเปน็ เครื่องมอื ชใ้ี หเ้ ห็นระดบั ความกา้ วหน้าหรือ
ผลสัมฤทธขิ์ องนักเรียนท่ีแสดงออกใหเ้ ห็นตามการทดลองทักษะนั้น ๆ
3. เพื่อแบ่งกลุ่ม (Classification) ผู้สอนจะใช้ทดสอบเพื่อแบ่งกลุ่มผู้เรียนตามระดับ เช่น
ระดบั ต่ำ ระดับปานกลาง ระดบั สูง เป็นตน้
4. การจูงใจ (Motivation) การทดสอบทักษะเป็นสิ่งจูงใจที่จะทำให้นักเรียนเกิดการพัฒนาและ
กา้ วหน้า
5. การฝึกและการปฏิบตั ิ (Practice) คือการฝกึ ซอ้ มตามรายการของการทดสอบเพือ่ ใหไ้ ด้คะแนน
มากขึ้นเป็นการสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองและเป็นการทดสอบตัวเองเพื่อให้ได้คะแนนมากขึ้น
เป็นการสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเอง และเป็นการทดสอบตัวเอง (Self - Testing) ซึ่งเป็นคุณสมบัติท่ี
สำคัญท่สี ุดท่ีจะทำใหป้ ระสบผลสำเร็จในการฝึกทักษะกฬี าตา่ ง ๆ
6. การวินิจฉัย (Diagnosis) เป็นการพัฒนาทางทักษะกีฬาอย่างหนึ่งซึ่งจะทำให้ผู้สอนรู้
จุดบกพร่องของนกั เรียนเพ่ือการแก้ไขตอ่ ไป
7. เครื่องช่วยการสอน (Teaching Aids) โดยธรรมชาติของการสอนทักษะกีฬานักเรียนจะต้องรู้
ถงึ ความกา้ วหน้า และการพฒั นาทางทกั ษะของตัวเองทุกขณะ
8. เครื่องมือในการแปลความหมาย (Interpretative Tool) คือ การแปลผลหรือแปลความหมาย
จากผลการเรียนของนักเรียนให้กับผู้บริหาร ผู้ปกครองของนักเรียนและนักเรียนทราบซึ่งการแปล
ความหมายทีด่ ีต้องได้ผลมาจากการทดสอบทักษะท่ีมีคณุ ภาพ
9. ใช้ประเมินการแข่งขัน (Competitive Evaluation) นักเรียนที่จะทำการแข่งขันหรือทำ
คะแนนได้มากๆในแต่ละรายการทดสอบจะเป็นเครือ่ งชีใ้ หเ้ ห็นถึงความสำเร็จของโครงการพลศกึ ษา
21
8. งานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง
8.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
นริทร์ แสงศรีจันทร์. (2552 : บทคัดย่อ)การค้นคว้าแบบอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
ผลการใช้โปรแกรมการฝกึ ความแข็งแรงของแขนต่อความแม่นยำในการยนื ยิงประตูบาสเกตบอลระยะไกล
กลุ่มตัวอย่าง คือนักกีฬา บาสเกตบอลเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ ปี 2552 จำนวน 12 คน มีอายุระหว่าง
15 -17 ป สวนสูง ระหว่าง 169 – 192 เซนติเมตร ดำเนินทดลองโดยทำการทดสอบความแม่นยำ
ในการยืนยิงประตูระยะไกลก่อนการฝึกซ้อม 1 วัน ดำเนินการฝึกตามโปรแกรมการฝึกความแข็งแรง
ของแขน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน ทำการทดสอบความแม่นยำในการยืนยิงประตูระยะไกล
หลังการฝึกในสัปดาห์ที่ 2, 4 และ 6 บนั ทกึ การทดสอบนำผลการทดสอบก่อนและหลังการฝึกมาวิเคราะห์
ทางสถิติเพื่อเปรียบเทียบผลการฝึกก่อนและหลังโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS โดยผล
การทดลองพบวา่ ภายหลงั การฝกึ ตามโปรแกรม 6 สัปดาห์ นักกีฬามีการพัฒนาเรือ่ งความแมน่ ยำในการยนื
ยงิ ประตูบาสเกตบอลในระยะไกลดีขน้ึ อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05
ช่อทิพย์ บรมธนรัตน์. (2557 : จุลสารสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพออนไลน์)หลกั การออกกำลงั
กายดว้ ยยางยดื ควรบรหิ ารกลา้ มเนือ้ ให้ครบทุกสว่ นทั้งสว่ นบนส่วนลำตวั และสว่ นล่างการบริหารกล้ามเน้ือ
ควรปฏิบัติให้สุดการเคลื่อนไหวของข้อต่อโดยอาจสัมพันธ์กับจังหวะของการหายใจเข้า - ออกควรปฏิบัติ
อย่างน้อย 10–15 ครั้งต่อเซท จำนวน 2-3 เซทควรบริหารกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 3 คร้ัง
ต่อสปั ดาห์ ควรมีการเพ่ิมความหนักเบาของการออกกำลงั กายเมอ่ื เราไม่รสู้ กึ เหนอ่ื ย หรอื เมือ่ ยล้ากลา้ มเน้อื
โดยยางยืดควรมีความยาวประมาณ 120-150 เซนติเมตร หากมีรูปร่างความสูงใหญ่อาจเพิ่มความยาว
ได้ตามความเหมาะสม การออกกำลังกายด้วยยางยืดมีประโยชน์หลายอย่าง คือ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้
กล้ามเนอื้ เอ็นกลา้ มเน้ือและเอน็ ขอ้ ตอ่ กลา้ มเนื้อกระชบั ไดร้ ูปทรงและสดั สว่ นสวยงาม ชว่ ยเผาผลาญและ
ลดไขมันในรา่ งกายอกี ด้วย
สุนิษาคชายุทธ. (2557 : บทคัดย่อ)การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลการฝึกความ
แข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยยางยืดที่มีต่อการยิงลูกโทษในกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและเพื่อเปรียบเทียบผล
การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยยางยืดที่มีต่อการยิงลูกโทษในกีฬาแชร์บอลของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
22
หลังการฝึก 4 สัปดาห์ และหลังการฝึก 6 สัปดาห์โดยผู้วิจัยได้ออกแบบโปรแกรมฝึกความแข็งแรง
ของกล้ามเนื้อด้วยยางยืดเพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอยา่ ง
ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนคริน
ทราบรมราชชนนีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557รวมจำนวนทั้งหมด 10 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยเลือกจากนักเรียนที่ไม่สามารถยิงลูกโทษระยะ 8 เมตร
ได้ จำนวน 10 ลกู ซ่งึ เป็นนักเรียนชาย 5 คน นกั เรยี นหญงิ 5 คนวิเคราะหข์ ้อมูลโดยผลการทดสอบการยิง
ลูกโทษจำนวน 10 ลูก (จำนวนลูก) ใช้รูปของตารางและกราฟแสดงผล แสดงผลเป็นกราฟของ
ความกา้ วหน้าของพัฒนาการผลการศึกษาพบว่า
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนคริน
ทราบรมราชชนนี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง มีผลการฝกึ ความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อดว้ ยยางยืด โดยการทดสอบ
การยงิ ลกู โทษจำนวน 10 ลกู พบว่ากลมุ่ ตวั อย่างมีทักษะการยงิ ลกู โทษในกีฬาแชร์บอลดกี วา่ ก่อนการฝึก
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนคริน
ทราบรมราชชนนี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง มีผลการฝึกความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อดว้ ยยางยืด โดยการทดสอบ
การยิงลูกโทษจำนวน 10 ลูก พบว่าหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 6 ภายในกลุ่ม
ตวั อยา่ งแตกตา่ งกนั
สัมฤทธ์ิ สุพรรณฝ่าย (2541 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการสร้างแบบทดสอบทักษะบาสเกตบอล
สําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือเพื่อสร้างแบบทดสอบทักษะกีฬา
บาสเกตบอลและเกณฑ์ ปกติของแบบทดสอบสําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสังกัด
กรมสามัญศึกษาจังหวัดขอนแก่นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสร้างแบบทดสอบทักษะกีฬาบาสเกตบอล
เป็นนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น และโรงเรียนแก่นนคร
วิทยาลัยและโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย โรงเรียนละ 60 คน เป็นชาย 30 คน เป็น หญิง 30 คน ซึ่งใช้
การสุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มด้วยวิธีการแบบเป็นกลุ่มในการสร้างเกณฑ์ปกติกลุ่มตัวอย่างที่ใช้
นกั เรยี นระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที3่ ของโรงเรียนสงั กดั กรมสามัญศกึ ษาจังหวดั ขอนแก่น 14 สถาบัน
23
บทที่ 3
วิธีดำเนนิ การวิจยั
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยการพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้นให้เพื่อเปรียบเทียบ
ทักษะการยิงประตูใต้แป้นให้ก่อนฝึกและหลังฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10
โรงเรยี นสงิ ห์บุรี อำเภอเมือง จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี ผูจ้ ดั ทำวจิ ยั นมี้ ีวิธดี ำเนินงานตามขั้นตอนดังน้ี
1. รูปแบบการวิจัย
2. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
3. ตวั แปร
4. เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั
4.1 เครื่องมือทใ่ี ช้ในการพัฒนา
4.2 เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
6. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
7. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
1. รปู แบบการวจิ ยั
เปน็ การวิจยั เชงิ ทดลอง ใช้กบั นักเรยี นกลุ่มเดียว เปน็ การทดสอบก่อนฝกึ และหลงั ฝกึ
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัด
สงิ ห์บรุ ี จำนวน 489 คน
2. กลมุ่ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง
จังหวัดสงิ หบ์ รุ ี จำนวน 10 คนซึ่งไดม้ าจากการสุ่มแบบเจาะจง โดยผู้วิจัยไดน้ ำนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2
มาทำการทดสอบการยิงใต้แปน้ โดย 10 คนท่เี ลอื กมาเป็นกลุ่มตัวอยา่ งนั้นไดอ้ ยใู่ นเกณฑค์ ะแนนทต่ี ่ำ
24
3.ตัวแปร
ตวั แปรอิสระ ได้แก่ ชดุ แบบฝกึ การยิงประตูใตแ้ ป้น
ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ คะแนนการทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ตแ้ ป้น
4. เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั
4.1. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการพัฒนา
ผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบความสามารถการส่งลูกด้วยข้างเท้าด้านในที่ผู้วิจัยได้ไปนำมาจากผศ.เชาวลิต
ภูมิภาคจากหนังสือประกอบการสอนกีฬาบาสเกตบอล จำนวน 3 แบบฝึกและได้นำแบบฝึก 3 แบบฝึก
ไปหาค่าคุณภาพของเครื่องมือ โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 1.นายสายชล ทองประเสริฐ 2.นายเสรี ทัตมะณี
3.นายณัฐศกั ด์ิ ปยิ ะโชติ โดยมีค่าความเที่ยงตรงเทา่ กับ 1.00 โดยมแี บบฝึกดังนี้
แบบฝกึ พฒั นาความสามารถท่ี 1 การยิงประตูใตแ้ ป้นทางซา้ ย
วธิ กี ารฝกึ
1. ให้นกั เรียนเข้าแถวทางซ้ายมอื โดยหันหนา้ เข้าแปน้ บาสเกตบอลบรเิ วณเส้น 3 แตม้
2. ใหน้ ักเรียนสง่ ลูกให้ครแู ล้วว่ิงไปรอตรงบรเิ วณในกรอบ 3 วินาที ตรงเสน้ แรกนบั จากเส้นหลงั
ดา้ นซา้ ย
3. ครูสง่ ลกู ให้นกั เรียนเม่อื นักเรยี นถงึ จดุ แล้ว แล้วนักเรยี นทำการยิงประตู
4. พยายามให้นกั เรยี นยงิ ลกู ใหล้ งหว่ ง ยิงเสรจ็ แลว้ เกบ็ ลกู และไปต่อแถวเหมือนตอนแรก
5. ทำแบบเดิมซำ้ ๆ
ครู
นกั เรยี น
ทิศทาง
25
แบบฝกึ พฒั นาความสามารถท่ี 2 การยิงประตูใต้แปน้ ทางขวา
วธิ กี ารฝึก
1. ใหน้ กั เรียนเขา้ แถวทางขวามือโดยหันหน้าเขา้ แป้นบาสเกตบอลบริเวณเสน้ 3 แต้ม
2. ใหน้ กั เรียนสง่ ลกู ให้ครแู ล้วว่ิงไปรอตรงบริเวณในกรอบ 3 วินาที เส้นแรกนับจากเส้นหลงั
ด้านขวา
3. ครูสง่ ลูกใหน้ กั เรียนเมอื่ นักเรยี นถงึ จดุ แล้ว แล้วนกั เรียนทำการยิงประตู
4. พยายามให้นกั เรยี นยงิ ลกู ใหล้ งห่วง ยงิ เสรจ็ แลว้ เกบ็ ลูก และไปต่อแถวเหมือนตอนแรก
5. ทำแบบเดมิ ซ้ำ ๆ
ครู
นักเรยี น
ทศิ ทาง
แบบฝึกพัฒนาความสามารถท่ี 3 การยงิ ประตใู ต้แป้นแบบสลับขา้ ง
วิธีการฝกึ
1. ใหน้ กั เรียนตงั้ แถวบรเิ วณตรงกลางเสน้ 3 แต้ม โดนหันหน้าเขา้ หาแปน้
2. ให้นักเรยี นคนแรกเรมิ่ เลยี้ งบอลไปทางซา้ ยหรอื ขวาก็ได้ไปยงั บริเวณในกรอบ3วนิ าที ตรงเสน้
แรกจบั จากเสน้ หลังสนาม
3. เมือ่ ถงึ แล้วให้นกั เรียนยงิ ประตใู ตแ้ ป้นแล้วสลับไปยงิ อิกขา้ งโดยพยายามยงิ ประตูให้ลงหว่ ง
4. เกบ็ ลกู แล้วไปต่อดา้ นหลงั แลว้ คนต่อไปถึงจะเลีย้ งบอลไป ทำแบบข้างต้น คนตอ่ ไปทำแบบนี้
ไปเร่ือยๆ
26
นักเรยี น
ทศิ ทางการเล้ียงบอล
สลบั ขา้ ง
4.2. เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบความสามารถการยิงประตูใต้แป้นของ สุชีรา รัตนถาวรมาใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลซึ่งผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบไปทำการหาคุณภาพเครื่องมือ โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน
1.นายสายชล ทองประเสริฐ 2.นายเสรี ทัตมะณี 3.นายณัฐศักดิ์ ปิยะโชติ โดยมีค่าความเที่ยงตรง
เท่ากบั 1.00 โดยมแี บบทดสอบดังน้ี
วัตถุประสงค์
เพอื่ วัดความสามารถในการยิงประตใู ต้แป้นสลับข้าง
แทน ผรู้ ับการทดสอบ แทน ผูด้ ำเนนิ การทดสอบ
27
อปุ กรณ์และสถานที่
1. สนามบาสเกตบอล
2. ลูกบาสเกตบอล
3. นาฬิกาจบั เวลา
4. นกหวดี
วธิ ีการทดสอบ
1. ให้ผู้รับการทดสอบยืนถอื ลกู บาสเกตบอลบรเิ วณใตแ้ ป้น โดยจะเริม่ ท่ีด้านใดก่อนก็ได้
2. เมื่อได้ยินสัญญาณนกหวีดจากผู้ดำเนินการทดสอบ ให้ผู้รับการทดสอบเริ่มยิงประตูใต้แป้น
โดยยงิ สลบั ซ้ายและขวาทุกคร้งั ที่ยงิ ประตู
3. ผูด้ ำเนนิ การทดสอบจะหยุดเวลา และใหส้ ญั ญาณหมดเวลาเม่ือครบเวลา 30 วนิ าที
ระเบยี บการทดสอบ
1. การยิงประตใู ห้ยงิ ใหเ้ ร็ว สลับซ้ายและขวาทกุ คร้งั ไมว่ า่ ลกู จะลงหรอื ไม่กต็ าม
2. หากลูกบาสเกตบอลหลุดจากการควบคุม ให้รีบเก็บลูกบาสเกตบอลมายิงประตูต่อผู้ดำเนิน
การทดสอบจะนับคะแนนตอ่ จนกวา่ จะหมดเวลา
3. ผรู้ ับการทดสอบ สามารถทดลองยงิ ประตไู ด้ คนละ 1 ครง้ั
การคิดคะแนน
บันทึกจำนวนครั้งที่ยิงลูกบาสเกตบอลลงห่วง โดยไม่ผิดระเบียบการทดสอบ นับเป็นลูกละ
1 คะแนน
เกณฑ์ทักษะการยงิ ประตูใตแ้ ป้นสลับขา้ ง
ระดับทกั ษะ คะแนนดบิ ( คร้งั ) คะแนนที
สูงมาก 15 ขึน้ ไป 68 ข้ึนไป
สูง 12 - 14 59 – 67
ปานกลาง 5 - 11 42 – 58
ต่ำ 2–4 33 – 41
ตำ่ มาก 1 ลงมา 32 ลงมา
28
โปรแกรมการฝกึ
ตารางท่ี 2 การฝึกการพฒั นาความสามารถการการยิงประตูใตแ้ ปน้
สปั ดาห์ที่ เวลา วัน รายละเอียดการฝึกซอ้ ม ระยะเวลา
เหยยี ดยดื กล้ามเนอ้ื
จันทร์ อบอุน่ ร่างกาย
1 15.45 – พธุ ใชแ้ บบฝึกทกั ษะการยงิ ประตูใตแ้ ป้น แบบที่ 1
16.45 น. ใชแ้ บบฝึกทักษะการยงิ ประตใู ต้แป้น แบบท่ี 2 1 ช่วั โมง
พักกินนำ้
ศกุ ร์ ใชแ้ บบฝึกทักษะการยงิ ประตูใต้แป้น แบบท่ี 3
เหยยี ดยดื กลา้ มเน้อื
เหยียดยืดกล้ามเนื้อ
จนั ทร์ อบอุ่นรา่ งกาย
2 15.45 – พธุ ใชแ้ บบฝึกทักษะการยงิ ประตูใต้แปน้ แบบท่ี 1
16.45 น. ใชแ้ บบฝกึ ทักษะการยงิ ประตูใตแ้ ป้น แบบท่ี 2 1 ชว่ั โมง
พกั กินน้ำ
ศุกร์ ใช้แบบฝกึ ทักษะการยิงประตใู ต้แปน้ แบบท่ี 3
เหยียดยืดกลา้ มเนื้อ
เหยียดยดื กลา้ มเนอ้ื
จนั ทร์ อบอุ่นร่างกาย
ใชแ้ บบฝึกทักษะการยงิ ประตูใต้แปน้ แบบท่ี 1
3 15.45 – พุธ ใชแ้ บบฝึกทักษะการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้ แบบท่ี 2 1 ชว่ั โมง
16.45 น. พักกนิ น้ำ
ศกุ ร์ ใช้แบบฝกึ ทกั ษะการยิงประตใู ตแ้ ปน้ แบบท่ี 3
เหยียดยืดกลา้ มเนื้อ
29
สปั ดาหท์ ี่ เวลา วัน รายละเอียดการฝึกซอ้ ม ระยะเวลา
เหยยี ดยดื กลา้ มเนอ้ื
จนั ทร์ อบอนุ่ ร่างกาย
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะการยิงประตใู ตแ้ ปน้ แบบที่ 1
4 15.45 – พุธ ใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการยิงประตูใต้แป้น แบบที่ 2 1 ชัว่ โมง
16.45 น. พกั กนิ น้ำ
ศกุ ร์ ใช้แบบฝึกทักษะการยงิ ประตูใต้แปน้ แบบท่ี 3
เหยยี ดยดื กลา้ มเนอ้ื
เหยยี ดยดื กล้ามเน้อื
จันทร์ อบอนุ่ ร่างกาย
ใช้แบบฝกึ ทักษะการยงิ ประตใู ตแ้ ป้น แบบท่ี 1
5 15.45 – พุธ ใช้แบบฝึกทกั ษะการยิงประตูใต้แป้น แบบที่ 2 1 ชัว่ โมง
16.45 น. พกั กนิ น้ำ
ศกุ ร์ ใชแ้ บบฝึกทักษะการยิงประตูใตแ้ ปน้ แบบท่ี 3
เหยยี ดยดื กลา้ มเนอ้ื
เหยยี ดยืดกลา้ มเนื้อ
จันทร์ อบอ่นุ ร่างกาย
ใช้แบบฝึกทกั ษะการยงิ ประตูใต้แปน้ แบบที่ 1
6 15.45 – พธุ ใช้แบบฝึกทักษะการยงิ ประตใู ต้แป้น แบบท่ี 2 1 ชั่วโมง
16.45 น. พกั กนิ นำ้
ศุกร์ ใช้แบบฝึกทกั ษะการยงิ ประตูใตแ้ ปน้ แบบที่ 3
เหยียดยืดกล้ามเนอ้ื
30
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ผู้วิจยั ไดด้ ำเนินการในการรวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ศึกษาค้นคว้า โดยการใชแ้ บบฝึกการยิงประตูใต้แป้น
ในการเรียนการสอนพบปัญหาว่านักเรียนมีปัญหาในการยิงประตูใต้แป้นในวิชาบาสเกตบอล
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2
1. ผู้วิจัยได้ติดต่อประสานงานในการวิจัยกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายนักเรียน เพื่อที่จะดำเนิน
การวิจัยในชน้ั เรยี น เร่อื งการยงิ ประตใู ต้แปน้
2. ผู้วิจัยศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับชุดแบบฝึกและแบบทดสอบ อุปกรณ์ สถานที่ และ
วิธีการทดสอบ
3. ผู้วิจัยอธิบายและสาธิตชุดแบบฝึก เพื่อให้นัดเรียนเข้าใจถึงวิธฝี ึกและการทดสอบการยิงประตู
ใตแ้ ปน้
4. ผู้วิจัยแจ้งกำหนดการกับนกั เรียนกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในระยะเวลาในการวิจัย 6 สัปดาห์
วนั ทใ่ี ช้ในการฝกึ แบบฝึก วนั จันทร์ พุธ วนั ศุกร์ หลงั เลิกเรียน 15:45 -16:45 น. วันละ 1 ช่ัวโมง
5. ผู้วิจัยนำแบบฝึกและแบบทดสอบ มาใช้ในการดำเนินการวิจัย รวบรวมข้อมูลและ
วิเคราะห์ข้อมูล
6. การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. การวเิ คราะหข์ ้อมลู ของการวิจัยการใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรปู
2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
คา่ ความตา่ ง ( D )และสถติ ทิ ดสอบคา่ ท่ี (t-test Idependent) เปรยี บเทียบคะแนนความแตกต่างระหว่าง
คะแนนก่อนการฝึกและหลังการฝึกความสามารถการยิงประตูใต้แปน้
7. สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
X แทน ค่าเฉลี่ย
S.D แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
D แทน คา่ เฉลี่ยผลตา่ ง
t แทน คา่ ที
df แทน ตัวแปลอสิ ระ
p แทน ความคงที่
31
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิจยั ในคร้งั นม้ี ีวัตถุประสงค์เพอ่ื พัฒนาความสามารถการยิงประตใู ต้แป้นและเพ่ือเปรียบเทียบ
คะแนนการยงิ ประตูใต้แป้นกอ่ นการฝกึ และหลังการฝกึ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษปีท่ี 2 หอ้ ง 10 โรงเรียน
สิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โดยใช้แบบฝึกการยิงประตูใต้แป้นโดยผู้วิจัยได้นำเสนอการวิเคราะห์
ขอ้ มลู และการแปลผลข้อมูลในรปู ของตารางประกอบความเรียงมรี ายละเอียดดังนี้
1.สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
N แทน จำนวนนักเรยี น
X แทน คา่ เฉลี่ย
S.D แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
D แทน คา่ เฉลีย่ ผลต่าง
t แทน คา่ ที
* แทน มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05
df แทน ตวั แปลอิสระ
p แทน ความคงท่ี
2.การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากการทดสอบ
ความสามารถการยิงประตูใต้แป้น โดยแบบฝึกการยิงประตูใต้แป้นของกลุ่มตัวอย่างก่อนการทดลอง
(Pre–tes) หลังการทดลอง (Post test) โดยหาค่าเฉลี่ย (x̅) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
ค่าความแตกตา่ ง ( D ) นำมาเปรยี บเทียบค่าที ( t )
3.ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ผลก า ร ว ิเคร า ะห์ข้อมูลเก ี่ยว ก ับก า ร พัฒนา คว ามสา มาร ถ ก าร ยิงปร ะตูใ ต ้แป้น นัก เร ียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 10 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี คะแนนก่อนฝึก ค่าเฉลี่ย (x̅)
สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) คะแนนหลังฝกึ ค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ ความแตกตา่ ง
( D) และค่าที ( t ) ดังตารางที่ 3 - 4 ผวู้ ิจัยไดเ้ สนอข้อมลู ดงั นี้
32
ตารางที่ 3 แสดงค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน (S.D) การทดสอบความสามารถ
การยิงประตูใตแ้ ป้นกอ่ นการฝกึ และหลงั การฝึกของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 หอ้ ง 10 โรงเรยี นสิงห์บุรี
อำเภอเมอื ง จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี ดงั นี้
รายการ จานวนนักเรียน ค่าเฉลยี่ ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
(N) ( ̅ ) ( S.D )
ก่อนการฝกึ 10 5.0 1.94
จากตารางที่ 3 พบว่านักเรียนก่อนการยิงประตูใต้แป้น มีค่าเฉลี่ย (x̅= 5.0 ) และค่าส่วน
เบยี่ งเบนมาตรฐาน ( S.D.=1.94 )
ตารางที่ 4 แสดงคะแนนเฉลี่ย ( ̅ ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบความสามารถ
การยิงประตใู ต้แปน้ หลังการฝึก โดยใช้แบบฝึกความสามารถการยิงประตใู ตแ้ ป้น ดังตารางต่อไปนี้
จานวนนกั เรียน คา่ เฉลยี่ ค่าสว่ นเบี่ยงแบนมาตรฐาน
รายการทดสอบ ( N ) ( ̅ ) (S.D)
หลังการฝกึ 10 12.8 2.14
จากตารางที่ 4 พบวา่ นักเรียนหลังการฝึกการยิงประตูใต้แป้น มีค่าเฉลี่ย (x̅= 12.8 ) และค่าส่วน
เบีย่ งเบนมาตรฐาน ( S.D.= 2.14 )
ตารางที่ 5 แสดงคะแนนเฉลี่ย ( ̅ ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าความแตกต่าง ( D )
การทดสอบความสามารถของการยงิ ประตใู ต้แป้น กอ่ นการฝึกและหลังการฝกึ โดยใช้แบบฝึกความสามารถ
การยิงประตใู ต้แป้น ดังตารางต่อไปน้ี
การทดสอบ จานวนนกั เรียน เฉลีย่ ( ̅ ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ̅(̅ ̅ ̅̅)
(N) (S.D.)
กอ่ นการฝกึ 10 5.0 1.94 7.80
หลงั การฝกึ 12.8 2.14
*นัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05
33
จากตารางที่ 5 พบว่านักเรียนก่อนการฝึกและหลังการฝึกการยิงประตูใต้แป้นก่อนการฝึก
มีค่าเฉลี่ย (x̅= 5.0 ) และหลังการฝึก (x̅= 12.8 ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการฝึก (S.D.= 1.94 )
และหลงั การฝึก (S.D.= 2.14 ) และค่าความแตกตา่ ง ( D ) เท่ากบั 7.80
ตารางที่ 6 เปรียบเทียบคะแนนการทดสอบความสามารถการยิงประตูใต้แป้นก่อนการฝึกและ
หลงั การฝึก ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
การทดสอบ เฉลีย่ ( ̅ ) ส่วนเบี่ยงเบน (̅̅ ̅ ̅̅) t df Sig.
มาตรฐาน
(S.D.)
ก่อนการฝกึ 5.0 1.94 7.80 17.63* 9 .000*
หลงั การฝกึ 12.8 2.14
จากตารางที่ 6 พบว่านักเรียนก่อนการฝึกและหลังการฝึกการการยิงประตูใต้แป้น ก่อนการฝึก
มีค่าเฉลี่ย (x̅= 5.0 ) และหลังการฝึก (x̅= 12.8 ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ก่อนการฝึก (S.D.= 1.94 )
และหลังการฝึก ( S.D.= 2.14 ) และค่าความแตกตา่ ง ( D ) เท่ากับ 7.80 เมอื่ เปรียบเทยี บระหว่างคะแนน
กอ่ นการฝึกและหลงั การฝกึ นกั เรียนมีคะแนนสอบหลังการฝกึ สูงกวา่ กอ่ นการฝึก มนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั
.05 ( t = 17.63* )
34
บทท่ี 5
สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้นของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โดยผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยและ
อภิปรายผลไว้ดงั น้ี
1.สรปุ ผลการวจิ ัย
การศึกษาวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยศึกษาการพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้นนักเรียน
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสงิ ห์บรุ ีขอเสนอผลการวจิ ยั ดังน้ี
1. พบวา่ นกั เรียนก่อนการฝึกและหลงั การฝกึ การยงิ ประตูใต้แปน้ ก่อนการฝกึ มีค่าเฉลย่ี เท่ากบั 5.0
(x̅=5.0) และหลังการฝึกเท่ากับ 12.8 (x̅=12.8) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการฝึก (S.D.= 1.94)
และหลังการฝกึ (S.D.=2.14 ) และค่าความแตกต่าง เทา่ กับ 7.80
2. พบว่านักเรียนก่อนการฝึกและหลังการฝึกการยิงประตูใต้แป้นก่อน การฝึกมีค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 5.0 (x̅=5.0 ) และหลังการฝึกเท่ากับ 12.8 (x̅=12.8 ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการฝึก 1.94
(S.D.= 1.94 ) และ หลังการฝึก 2.14 ( S.D.=2.14 ) และค่าความแตกต่าง เท่ากับ 7.80 เมื่อเปรียบเทียบ
ระหว่างคะแนนก่อนการฝึกและหลังการฝึก นักเรียนมีคะแนนสอบหลังการฝึกสูงกว่าก่อนการฝึก
มีนัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 (t =17.63*)
2.อภิปรายผล
จากผลการวิจัยพบว่าพบว่านักเรียนก่อนการฝึกและหลังการฝึกการยิงประตูใต้แป้นก่อน
การฝึกมคี า่ เฉลย่ี เท่ากับ 5.0 (x̅=5.0 ) และหลงั การฝึกเท่ากับ 12.8 (x̅=12.8 ) คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ก่อนการฝึก 1.94 (S.D.= 1.94 ) และ หลังการฝึก 2.14 ( S.D.=2.14 ) และค่าความแตกต่าง เท่ากับ 7.80
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนการฝึกและหลังการฝึก นักเรียนมีคะแนนสอบหลังการฝึกสูงกว่า
ก่อน การฝึกมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 (t =17.63*) ซ่งึ สอดคล้องกับทฤษฎีดังนี้
1. การพัฒนาความสามารถการยิงประตใู ต้แป้น เพิ่มขึ้นมากกวา่ ก่อนการฝึก ทั้งน้ีเนื่องจากฝึกมา
6 สัปดาห์ ทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านความแข็งแรงดีขึ้น ซึ่งสอดคล้อง
กับอุษณีย์ เสือจันทร์ (2553 : 17-18) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะช่วยในการฝึกเสริมทักษะทำให้จดจำ
35
เนื้อหาได้คงทนมีเจตคติที่ดีตอ่ วิชาที่เรยี น สามารถนำมาแก้ปัญหาเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มได้ดี ผู้เรียน
สามารถนำมาทบทวนเนือ้ ไดด้ ้วยตนเอง ทำใหผ้ ้เู รยี นทราบความก้าวหน้าของตน
2. การพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้นเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการฝึก จากทฤษฎี
การเชือ่ มโยงของธอรน์ ไดค์ ตามกฎแหง่ การฝึก ( Law of Exercise) กฎนเ้ี ชอ่ื ว่าทักษะอะไรก็ตามถ้าไม่ได้
ใช้ทักษะนั้นจะค่อยๆหายไป ทางด้านพลศกึ ษาก็เชน่ เดียวกนั ถ้าอยากให้ทักษะคงอยู่ต้องปฏิบัติฝึกฝนและ
ทบทวนอยูเ่ สมอ
3. การพัฒนาความสามารถการยิงประตูใต้แป้น เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการฝึก ทัง้ น้ี
ปาริชาติ สุพรรณกลาง (2550 : 23) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้และทักษะ ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระครูผู้สอน ซึ่งประโยชน์ของแบบฝึกทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน
ได้มากขึ้น มีความเชื่อมั่น ฝึกทำงานด้วยตนเอง ทำให้มีความรับผิดชอบ และทำให้ครูทราบปัญหาและ
ขอ้ บกพรอ่ งของนกั เรยี นในเรอื่ งทเ่ี รียน ทำใหส้ ามารถแกป้ ญั หาได้ทนั ที
3.ข้อเสนอแนะ
1. ชุดแบบฝกึ การยิงประตูใต้แปน้ ควรมีหลายหลากรปู แบบและควบคมุ ทกั ษะการยงิ ประตู
2. ควรนำผลการพัฒนาแบบฝกึ ไปปรับใชใ้ นทักษะอื่นนอกเหนือจากการยงิ ประตใู ตแ้ ปน้
3. ควรเพิม่ ทกั ษะหรือแบบฝกึ ใหเ้ หมาะสมกบั กลมุ่ ตัวอย่าง
36
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้สู ขุ ศกึ ษา
และพลศกึ ษา ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
สืบค้นจาก http://www.thaischool.in.th/_files/thaischool/07.pdf
ชาญยทุ ธ แฝงสาเคน. (2544). การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทักษะกฬี าบาสเกตบอล สำหรับ
นกั เรยี นชายและหญงิ . สบื ค้นจาก https:/Admin/Downloads/chapter2%20(19).pdf
ชำนาญ ทุมทุมา. (2544). การเปรยี บเทยี บการสอนแบบแยกส่วนและรวมสว่ นที่มตี อ่ ผลสมั ฤทธ์ใิ น
การเลย้ี งลกู เข้ายิงประตูใต้แป้นในกีฬาบาสเกตบอล.
สบื คน้ จาก https://C:/Users/Admin/Downloads/tp%20(2).pdf
ชอ่ ทพิ ย์ บรมธนรตั น์. (2557 : จลุ สารสาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพออนไลน์)หลักการออกกำลงั กาย
ด้วยยางยดื
นรทิ ร์ แสงศรีจนั ทร.์ (2552 : บทคัดยอ่ )การค้นควา้ แบบอิสระครัง้ น้ี มวี ัตถปุ ระสงค์เพอื่ ศึกษา
ผลการใช้โปรแกรมการฝึกความแขง็ แรงของแขนตอ่ ความ แมน่ ยำในการยืนยงิ ประตู
บาสเกตบอลระยะไกล
ปราณี หลำเบญ็ สะ. (2559). การหาคณุ ภาพของเครอื่ งมือวัดและประเมินผล.
สืบค้นจาก http://edu.yru.ac.th/evaluate/attach/1465551003_.pdf
พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2545). การจดั การเรียนรตู้ ามพระราชบญั ญตั ิการศึกษา
แหง่ ชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแกไ้ ขเพิม่ เตมิ (ฉบับท2ี่ ) พ.ศ. 2545
สมั ฤทธิ์ สุพรรณฝ่าย (2541 : บทคัดย่อ) ศึกษาการสรา้ งแบบทดสอบทกั ษะบาสเกตบอลสําหรับ
นักเรยี นระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้
สุชีรา รัตนถาวร.(2550). การพัฒนาทักษะบาสเกตบอลสำหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เขตพ้ืนที่
การศกึ ษาอ่างทอง ปีการศึกษา 2550. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (พลศึกษา).
กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.
สนุ ษิ าคชายทุ ธ. (2557 : บทคดั ยอ่ ) การวจิ ัยครั้งนีม้ จี ุดมุ่งหมายเพอ่ื ศกึ ษาผลการฝึกความแข็งแรงของ
กลา้ มเน้อื ดว้ ยยางยืดทม่ี ีต่อการยิงลกู โทษในกีฬาแชรบ์ อล
37
อภิรฐั ภกั ดีวงศ์. (2556). เกณฑป์ กตกิ ารวัดทักษะกีฬาบาสเกตบอล.
สืบค้นจาก https:/Admin/Downloads/Apirat_P.pdf
อรณุ ทองใส. (2559). การศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ใิ นการยงิ ประตูบาสเกตบอล แบบยืน
ยงิ กระโดดยงิ และว่งิ กระโดดยิง.
สบื ค้นจาก https:/Admin/Downloads/ArunThongsai%20(3).pdf
38
ภาคผนวก
39
ภาคผนวก ก
รายชือ่ ผู้ทรงคุณวฒุ ิและทปี่ รึกษาตรวจสอบเคร่อื งมือการวิจยั
40
รายชื่อผทู้ รงคุณวุฒิและที่ปรึกษาตรวจสอบเคร่อื งมอื การวิจยั
ท่ี ชอ่ื – สกุล วฒุ ิ / สาขา ตำแหนง่
1. นายสายชล ทองประเสรฐิ ปริญญาตรี ครูชำนาญการพเิ ศษ
2. นายเสรี ทัตมะณี ปริญญาตรี ครูชำนาญการ
3. นายณฐั ศักดิ์ ปยิ ะโชติ ปรญิ ญาตรี ครู
4. นายบรรพต รกั งาม ปรญิ ญาโท ครูพ่เี ล้ียง
41
ภาคผนวก ข
ใบบนั ทึกแบบทดสอบความสามารถการยงิ ประตใู ต้แปน้
42
ตารางท่ี 7 ใบบนั ทกึ ทดสอบความสามารถการยงิ ประตูใต้แป้นกอ่ นการฝกึ และหลังการฝึก
นักเรยี น ทักษะการปฏบิ ัติ คะแนนพัฒนาการ
คะแนนก่อนการฝกึ คะแนนหลงั การฝกึ D
คนท่ี 1
คนท่ี 2
คนท่ี 3
คนท่ี 4
คนท่ี 5
คนที่ 6
คนที่ 7
คนท่ี 8
คนท่ี 9
คนที่ 10
ค่าเฉลย่ี (x̅)
ค่าเบ่ยี งแบน
มาตรฐาน (S.D.)