“เรื่องความผิดเกี่ยวกับศาสนา”
มาตรา207และมาตรา208
จัดทำโดย
๖๓๑๐๘๑๑๔๘ นางสาวนิชกานต์ ปาตังตะโร
เสนอ
อาจารย์วิรัตน์ นาทิพเวทย์
รายวิชากฎหมายอาญา๒ ภาคความผิด (๐๘๐๑๒๒๑)
ภาคเรียนที่๑ ปีการศึกษา๒๕๖๔
คณะนิติศาสตร์(ภาคปกติ) มหาวิทยาลัยทักษิณ
มาตรา207
ความผิดฐานก่อ
ความวุ่นวายในที่
ประชุมศาสนิกชน
บทที่1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา
มาตรา207
ความผิดฐานก่อความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชน
มาตรา ๒๐๗ ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุม
ศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตาม
ศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทที่1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา
องค์ประกอบภายนอก
1) ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน
2) เวลาประชุมกัน นมัสการหรือกระทำพิธีกรรมตาม
ศาสนาใดๆโดยชอบด้วยกฎหมาย
ที่ต้องแยกออกมา เป็นข้อๆ เพราะจะได้เห็นชัดว่า ( ใคร ทำ
อะไร ยังไง ที่ไหน ) หรือ ถ้าแปลกันตรง ๆ ตามความเข้าใจ
แบบบ้าน ๆ ลูกทุ่ง ๆ คือ ในกรณีที่สาธุชน กำลังประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนาอยู่ เช่น กำลังสวดมนต์กำลังนั่งสมาธิแผ่
เมตตา มีกลุ่มบุคคลอื่นมาก่อความวุ่นวาย ในขณะเรา
ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผู้นั้นถือว่าเข้าหลักความผิด
ภายนอก
บทที่1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา
องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา
การกระทำที่ก่อความวุ่นวาย หมายถึง การ
รบรวนไม่ให้เป็นปกติในที่ประชุมศาสนิกชนเวลา
ประชุมกันนมัสการหรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนา
ใดๆโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ต้องถึงขนาดให้
เลิกพิธีกรรมนั้นๆเช่น เอาประทัดจุดแล้วโยนเข้าไป
ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเทศน์ แม้ไม่มีปฏิกิริยาจาก
ผู้ชุมนุมก็เป็นการก่อความวุ่นวายแล้ว
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาฎีกา1109/2500
การแห่นาคไปตามถนนหลวง เป็นการกระทำตามประเพณีนิยม
ของบางชนหมู่ ยังไม่ถึงขั้นพิธีกรรมทางศาสนา เป็นการสนุกสนานตาม
ประสาชาวบ้าน มีผู้เมาสุราชักมีดไล่แทงคนในขบวนแห่ และใช้น้ำโคลน
สกปรกสาดเข้าไปทำให้วุ่นวายแตกตื่นยังไม่ผิดตามมาตรา 207 แต่ถ้าแห่
นาคเข้าไปในวัดกำลังเวียนรอบโบสถ์ ถือว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ถ้า
มาประกอบเหตุความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ก็จะมีความผิดในมาตรา207 ใน
ทันที
เมื่อเทียบเคียงกับพวกเราลูกหลาน หลวงปู่ หลวงพ่อและคุณยาย
ที่มารวมตัว รวมใจกันสวดมนต์บูชาพระมหาธรรมกายเจดีย์ สวดบทธัมม
จักฯ กันตลอด 24 ช.ม. ถือว่าพวกเรากำลังทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ ผู้
ใดเข้ามาก่อความวุ่นวายให้พวกเราแตกตื่นก็จะมีความผิดในมาตรา207
เช่นกัน
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
(ต่อ)
วัดพระธรรมกาย มีขนบธรรมเนียม และศีล
จารวัตร ที่งดงาม ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก
และ อุบาสิกาและสิ่งสำคัญที่เรามี คือ ความเป็นน้ำ
หนึ่งใจเดียวกัน ก่อนจบนึกถึงเพลงนึงขึ้นมา เนื้อร้อง
ประมานว่า
"ใครจะพยายามแทรกกลางระหว่างเรารู้ไว้นะ
ว่าเค้าไม่มีวันเข้ามาได้ จะไม่มีตรงกลางที่เหลือว่าง
เผื่อใครถ้าใจเรายังผูกกัน"
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2516
จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เป็นทั้ง
ความผิดลหุโทษและที่มิใช่ลหุโทษ แต่ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวน
ตั้งข้อหาในความผิดลหุโทษแต่บทเดียว แล้วเปรียบเทียบปรับไป
ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้คดีเลิกกัน
อันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไป พนักงานอัยการมีสิทธิฟ้อง
จำเลยในความผิดที่มิใช่ลหุโทษอีกได้
คืนเกิดเหตุมีการชุมนุมกันกระทำพิธีสวดมนต์ทำบุญฉลอง
กระดูกผู้ตายตามพุทธศาสนา บนหอสวดมนต์จำเลยขึ้นมาส่งเสียง
เอะอะอื้อฉาวซ้ำยังกล่าวว่า พระนี่ยุ่งจริง พระไม่มีความหมายแล้ว
จำเลยนั่งลงใช้มือตบกระดาน 7-8 ครั้งและชักปืนพกออกจากเอวมา
ถือไว้ หันปากกระบอกปืนมาทางพระ แล้วปืนตกลงยังพื้นหอสวด
มนต์
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
(ต่อ)
การกระทำของจำเลยดังกล่าว ถึงแม้ผู้ที่ไปชุมนุมกันจะ
ไม่มีปฏิกิริยาวุ่นวายขึ้นก็ตาม ก็ยังถือได้ว่าเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207
องค์ประกอบภายนอก
1) ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน คือ
จำเลยส่งเสียงเอะอะอื้อฉาวในพิธีสวดมนต์ทำบุญฉลองกระดูก
ผู้ตายตามพระพุทธศาสนา
2) เวลาประชุมกัน นมัสการหรือกระทำพิธีกรรมตาม
ศาสนาใดๆโดยชอบด้วยกฎหมาย
องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา คือ จำเลยใช้ปืนตบ
กระดาน7-8ครั้งและชักปืนขึ้นมา หันปากกระบอกปืนไปทาง
พระแล้วปืนตกลงยังพื้นหอสวดมนต์
บทที่3
สรุปเนื้อหา
มาตรา207 ความผิดฐานก่อความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิ
กชน
พิธีกรรมตามศาสนา เช่น พิธีบวช สวดศพ หรือสวดมนต์ใน
โบสถ์ แต่การแห่นาคไปตามถนนเป็นเพียงประเพณีนิยมไม่ใช่พิธีทาง
ศาสนา การชักมีดไล่แทงคนหรือสาดน้ำโคลนเข้าไปทำให้คนวุ่นวาย
แตกตื่นไม่เป็นความผิดฐานนี้ แต่ถ้าเขาได้แห่ต้นไม้และปราสาทผึ้งขึ้น
ไปบนกุฏิพระในวัด เพื่อทำพิธีกรรมตามศาสนาแล้ว มีคนเมาสุราไป
หยิบปราสาทผึ้งเอาลงมาเตะเล่นเป็นความผิดฐานนี้
ถ้ากระทำในขณะที่ยังไม่ประกอบพิธีก็ยังไม่เป็นความผิด เช่น
ไล่ยิงคนในวัดและโรงธรรม แต่ขณะนั้นยังไม่มีการประชุมทำพิธี
ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาก่อความวุ่นวาย
มาตรา208
ความผิดฐาน
แต่งกายเป็นนักบวช
โดยมิชอบ
บทที่1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา
มาตรา208
ความผิดฐานแต่งกายเป็นนักบวชโดยมิชอบ
มาตรา ๒๐๘ ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ
สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตน
เป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสอง
หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
องค์ประกอบภายนอก
1) แต่งกายหรือใช้เครื่องหมาย
2) เพื่อแสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
3) โดยมิชอบ
องค์ประกอบภายใน
1) เจตนาธรรมดา
2) มูลเหตุชักจูงใจ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น
บทที่1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา
การกระทำตามมาตรานี้ได้แก่ แต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่
แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ
ที่จริงคงมุ่งใช้กับพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเราไม่รู้หลักเกณฑ์ของ
นักบวชในศาสนาอื่นว่าเขแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายอย่างใด จึงถือเป็น
นักบวช บางนิกายไม่ใช้ชุดอะไรเลยก็มี หรือในศาสนาอิสลาม ไม่มี
นักบวช มีแต่ผู้สอนกับผู้ปฏิบัติธรรมจึงใช้มาตรานี้บังคับมิได้ ต้องใช้
กฎหมายดังเช่นบุคคลธรรมดาทั่วไป
โดยมี “มูลเหตุจูงใจ” ให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น
โดยที่บุคคลนั้นไม่ได้บวชโดยถูกต้องหรือได้บวชโดยถูกต้องแต่ล่วง
ละเมิดพระธรรมวินัย จนถูกคณะสงฆ์พิจารณาให้สึก แม้อยู่ในระหว่าง
อุทธรณ์ดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิแต่งกายเป็นพระภิกษุ หากยังขืนแต่งผิดตาม
มาตรานี้ แต่ถ้าแต่งกายในการแสดงละครหรือล้อกันเล่นไม่คิดว่าจะให้
คนเชื่อ ย่อมไม่เป็นความผิด
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6782/2543
ตามพระ ราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ มาตรา 29 การสละสมณ
เพศเพราะถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญามีได้ 3 กรณี
คือ เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้
ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับ
มอบตัวไว้ควบคุมพนักงานสอบสวนมี อำนาจจัดดำเนินการให้
สละสมณเพศได้กรณีหนึ่งหรือเมื่อพนักงานสอบสวนหรือ
พนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและไม่เห็นสมควร
ให้เจ้าอาวาสรับ ตัวไปควบคุม พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัด
ดำเนินการให้สละสมณเพศได้กรณีหนึ่งหรือเมื่อพนักงานสอบสวน
หรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและ พระ
ภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัด พนักงาน
สอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้สละสมณเพศได้อีกกรณีหนึ่ง
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
(ต่อ)
ในคดีก่อนที่จำเลยถูกจับกุมในข้อหามีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและ
ประสาทไว้ในครอบ ครอง พนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อย
ชั่วคราว และพาจำเลยไปที่วัด บ. เพื่อให้จำเลยสึกแต่จำเลยไม่ยอมสึก
และเจ้าอาวาสวัดบ. ก็ไม่ยอมสึกให้ พนักงานสอบสวนจึงพาจำเลยกลับ
ไปที่สถานีตำรวจและจัดให้จำเลยลาสิกขาบทต่อหน้าพระพุทธรูปที่อยู่
บนสถานีตำรวจ ดังนี้ จำเลยย่อมเข้าใจได้ว่าจำเลยยังไม่ขาดจากความ
เป็นพระภิกษุเนื่องจากจำเลยไม่ สมัครใจลาสิกขาบทและการดำเนิน
การให้จำเลยสละสมณเพศกระทำโดยพลการของเจ้า พนักงานตำรวจ
เมื่อจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อพ้นจากการคุม
ขังโดยได้รับ การปล่อยชั่วคราวแล้ว ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำ
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2542
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 ที่ใช้
บังคับอยู่ ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2534 นั้น การสละสมณเพศเพราะ
ถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เมื่อพนักงาน
สอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและ
เจ้า อาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุมพนักงานสอบสวนดำเนินการให้
สละสมณเพศได้ 2. พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่า
ไม่ควรปล่อยชั่วคราวและไม่ควร มอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไป
ควบคุม ก็ดำเนินการ ให้สละสมณเพศได้ และ 3. พระภิกษุรูปนั้น
ไม่ได้สังกัด อยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัด ก็ดำเนินการ ให้
สละสมณเพศได้
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
(ต่อ)
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโท ส. นำจำเลยไป
มอบให้พนักงานสอบสวนโดยมีก. แจ้งว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระ
ภิกษุโดยมิชอบและยุ่งเกี่ยวกับ พ.ภริยาของ ก. พนักงานสอบสวน
จึงนำจำเลยไปพบเจ้าคณะเขตและพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูป
เพื่อ สอบสวนจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำ
พรรษา และสังกัดวัดใดแล้ว จำเลยได้ยินยอมสึกจากการเป็นพระ
ภิกษุ โดยเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาว เมื่อกรณีเห็น
ได้ แจ้งชัดว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาและพนักงาน
สอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ทั้งจำเลยมิได้สังกัด ใน
วัดใดวัดหนึ่ง พนักงานสอบสวนจึงได้ดำเนินการให้จำเลย สละ
สมณเพศ โดยนำจำเลยไปพบเจ้าคณะเขตและพระภิกษุ ผู้ใหญ่อีก
หลายรูปเพื่อทำการสึกจำเลยจากการเป็นพระภิกษุ
บทที่2
คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา
การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาว เช่นนี้ถือได้
ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้วเพราะพระภิกษุ ที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือ
ต้องปาราชิก จะขาดจากการ เป็นพระภิกษุทันทีโดยเจ้าคณะเขตหรือเจ้าคณะ
ตำบลหรือ เจ้าคณะแขวงสามารถให้พระภิกษุรูปนั้นสึกได้โดยไม่ต้อง กล่าวคำ
อำลาสิกขา การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกเมื่อ ต่อสู้คดี ย่อมไม่เป็นเหตุให้
จำเลยกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก ดังนั้น การที่ต่อมาจำเลยกลับมาแต่งกาย
เป็นพระภิกษุ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุจึงเป็นการกระทำ ที่เป็น
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208
องค์ประกอบภายนอก
1) แต่งกายหรือใช้เครื่องหมาย คือ จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุแต่ไม่
ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
2) เพื่อแสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวชในศาสนาใด
3) โดยมิชอบ
องค์ประกอบภายใน
1) เจตนาธรรมดา
2) มูลเหตุชักจูงใจ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น
บทที่3
สรุปเนื้อหา
มาตรา208 ความผิดฐานแต่งกายเป็นนักบวชโดยมิชอบ
ปัญหาความเป็นสมณเพศ ในกรณีที่กระทำความผิดเป็นพระภิกษุ
พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้สละสมณเพศ โดยจัดให้ผู้
ต้องหาลาสิกขาบทต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อมาเมื่อผู้ต้องหาได้รับการ
ปล่อยตัวชั่วคราวจึงกลับไปแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก ดังนี้ผู้ต้องหาขาด
ความเป็นพระแล้วหรือยัง อธิบายได้ดังนี้
“การขาดจากความเป็นพระภิกษุ” ตามพระธรรมวินัยนั้น ทางหนึ่ง
ได้แก่กรณีที่พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
4 ประการ (1) เสพเมถุน (2) เอาของที่เจ้าของไม่ให้ (3) ฆ่ามนุษย์ และ
(4) อวดอ้างคุณวิเศษที่ไม่มีในตน บุคคลที่ต้องอาบัติปาราชิกเป็นอันขาด
จากความเป็นภิกษุทันที โดยไม่ต้องมีพิธีใดๆและห้ามอุปสมบทอีก
บทที่3
สรุปเนื้อหา
ดังนี้จะเห็นได้ว่า หากเป็นกรณีขาดจากความเป็นพระภิกษุเมื่อต้อง
อาบัติปาราชิกนั้นเป็นไปเพราะภิกษุผู้นั้นได้กระทำความผิดขึ้นเอง จึงไม่จำ
ต้องสมัครใจหรือบอกลาสิกขา ก็ถือว่าเป็นการขาดจากความเป็นสมณะแล้ว
เปรียบเสมือนเป็นการตายจากการเป็นพระ หากยังแต่งกายเป็นพระอยู่ก็มี
ความผิดตามาตรานี้ได้
ส่วนการ “ขาดจากความเป็นพระภิกษุ” อีกทางหนึ่งนั้นได้แก่การ
“ลาสิกขา” หรือการ “สละสมณะเพศ” ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ในพระธรรม
วินัย ความโดยสรุปว่า
ภิกษุผู้เบื่อหน่ายแต่การประพฤติพรหมจรรย์ปรารถนาจะกลับคืนไปสู่
ความเป็นคฤหัสถ์ ย่อมทำได้ด้วยการลาสิกขา คือ ปฏิญญาตนเป็นคฤหัสถ์
ต่อคณะสงฆ์ หรือต่อหน้าบุคคลอื่นที่มิใช่ภิกษุก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ที่มีสติ
สมบูรณ์เข้าใจถึงปฏิญญาด้วย
บทที่3
สรุปเนื้อหา
จะเห็นได้ว่าการลาสิกขาหรือสละสมณเพศ เป็นเรื่องที่ภิกษุผู้ใด เบื่อหน่าย
ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ พระธรรมวินัยจึงถือเอาความสมัครใจเป็นที่ตั้ง เพียง
แต่ขอให้มีพยานรู้เห็นการสละสมณเพศนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จะเป็นต้องมีพิธีการ
เป็นพิเศษแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การ “ดำเนินการให้สละสมณเพศ” จะต้องทำอย่างไรนั้น
ตามพ.ร.บ. คณะสงฆ์ มาตรา27 บัญญัติ “ให้เป็นไปตามกฎหมายเถรสมาคม” ซึ่ง
มีกฎของมหาเถรสมาคมฉบับที่21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณ
เพศ ได้กล่าวถึงพระภิกษุประพฤติล่วงพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ไม่ยอมกล่าวคำ
ลาสิกขา เจ้าอาวาสมีหน้าที่แนะนำชี้แจงตักเตือนเป็นหนังสือกำหนดเวลาให้
ปฏิบัติ หากฝ่าฝืน เจ้าอาวาสรายงานโดยลำดับถึงเจ้าคณะตำบล จนถึงเจ้าคณะ
อำเภอ เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศ หากมีคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศให้เจ้า
อาวาสแจ้งผลคำวินิจฉัยและจัดการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศภายใน3วัน
บทที่3
สรุปเนื้อหา
หากภิกษุไม่ยินยอมสละสมณเพศให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่าย
บ้านเมืองปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย กรณีไม่พบภิกษุรูปนั้น
หรือพระภิกษุรูปนั้นไม่ยอมรับให้ปิดประกาศคำวินิจฉัย และให้
ถือว่าทราบแล้ว ต้องสละสมณเพศภายใน3วัน หารไม่สละสมณ
เพศก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองปฏิบัติให้เป็นไปตามคำ
วินิจฉัย กรณีตามกฎข้อนี้เป็นเรื่องอาบัติที่ไม่ร้ายแรง เพราะ
“ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ” ไม่ฟังคำเตือนหากเป็น
วินัยร้ายแรงแล้ว คงต้องขาดจากความเป็นพระเลย เพราะคง
เตือนกันไม่ได้หรือปล่อยให้ปฏิบัติเป็นอาจิณไม่ได้ คงต้องกลับ
ไปดูพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ
บทที่3
สรุปเนื้อหา
เมื่อพิจารณาจากขอบของการลาสิกขาบท ตาม “วินัยมุข” ดังที่อ้าง
ไว้ข้างต้น จะพบว่าสาระของเรื่อง คือ ต้องมีการ “เปล่งวาจาลาสิกขา” ต่อ
หน้าพระภิกษุสงฆ์ หากไม่มีก็ให้กระทำต่อหน้าคฤหัสถ์ที่มีสติสมบูรณ์นั้น
คือ ให้มีพยานรับรู้นั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นการ “จัดดำเนินการให้ (จำเลย)
สละสมณเพศ” ตามพ.ร.บ. คณะสงฆ์ภายในกรอบแห่งพระธรรมวินัยแล้ว
เมื่อพนักงานสอบสวน ให้จำเลยเปล่งวาจาลาสิกขาตามกรอบแห่ง
พระธรรมวินัย การสละสมณเพศของจำเลยจึงสมบูรณ์แล้ว จำเลยจึงขาด
จากความเป็นพระแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพระภิกษุผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด ไม่ยอม
เปล่งวาจาลาสิกขา เพราะเชื่อว่าตนไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด พนักงาน
สอบสวนจะดำเนินการอย่างใดเพื่อจะได้ไม่ต้องนำพระภิกษุจำขังทั้งผ้า
เหลือง
บทที่3
สรุปเนื้อหา
ตามอรรถกถา กำหนดให้ “กายประโยค” คือ แสดงด้วยพฤติกรรม
โดยอรรถกถาได้อธิบายว่า
(1) หลัก “กายประโยค” ได้แก่ เปลื้องผ้ากาสายะเสีย แล้วให้นุ่งห่ม
อย่างคฤหัสถ์(เป็นเพียงอาบัติทุกกฎ) ยังไม่จัดเป็นการลาสิกขา หากผู้นั้นยัง
คงประพฤติพรหมจรรย์มั่นคงอยู่ ย่อมไม่ขากจากความเป็นพระ แต่หาก
เข้าไปอยู่ในบ้านแล้วทำตัวอย่างคฤหัสถ์ก็ฟังได้ว่าได้ปฏิญญาเป็นคฤหัสถ์
“กายประโยค” (โดยปริยาย) แล้วนั่นเอง หรือ
(2) อาจให้ลงชื่อปฏิญญาตนเป็นคฤหัสถ์ก็น่าจะใช้ได้
ดังนี้ หากขาดความเป็นพระแล้วไม่ว่าจะโดยต้องอาบัติปาราชิก หรือโดย
การลาสิกขาก็ตาม หากยังแต่งกายเป็นพระอยู่ ย่อมมีความผิดตามมาตรานี้
ได้
หากเป็นกรณีศาสนาอื่นต้องพิจารณาตามเกณฑ์ของนักบวชแห่ง
ศาสนานั้นๆ
บรรณานุกรม
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ.(2564)คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิดและ
ลหุโทษ.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์วิญญูชน
WINnews.//(2560).//กฎหมายอาญา ลักษณะ 4 ความผิดเกี่ยวกับ
ศาสนา:แหล่งที่มาhttps://www.winnews.tv/news/12710(สืบค้นเมื่อ19
กันยายน 2564)
Thai-crime-code.blogspot.//(2560).//ความผิดเกี่ยวกับศาสนา:แหล่ง
ที่มาhttp://thaicrimecode.blogspot.com/2010/03/blogpost_3605.html
(สืบค้นเมื่อ19 กันยายน 2564)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.(2560).//ประมวลกฎหมายอาญา:แหล่ง
ที่มาhttps://www.krisdika.go.th/librarian/getfilesysid=390505&ext=htm
(สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2564)