นิทานเรื่อง กากังหงส์
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ โดยมีสระน้ำเล็ก ๆ อยู่
เบื้องหน้า ในนั้นมีหงส์ขาวตัวหนึ่งว่ายวนเหนือน้ำอยู่ เจ้ากามองเห็นหงส์นั้นมีขนสี
ขาวดั่งหิมะ แตกต่างกับสีขนของมันที่ดำราวกับถ่าน กาจึงร้องตะโกนออกไปว่า
“ท่านหงส์ขาวผู้งดงาม ช่วยแนะนำวิธีให้กับข้าได้ไหมว่าทำเช่นไรถึงได้มีขนสีขาวเช่น
ท่าน” แต่หงส์ตัวนั้นบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเกิดมาข้าก็มีขนสีขาวเช่นนี้
แล้ว” จากนั้นก็ว่ายน้ำหาอาหารกินต่อไปเช่นเดิม หลังจากจ้องมองหงส์ขาวด้วย
ความอิจฉาอยู่นาน วันหนึ่งเจ้ากาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ โดยคิดว่ามันสามารถมีขนสีขาว
อย่างหงส์ถ้าลองใช้ชีวิตแบบเดียวกัน เจ้ากาจึงวางแผนที่จะแหวกว่ายอยู่ในน้ำทั้งวัน
บ้าง ว่าแล้วจึงตัดสินใจละทิ้งรังบนยอดไม้ แล้วบินร่อนลงไปอาศัยในหนองน้ำ โดย
กินสาหร่ายและพืชน้ำอย่างที่หงส์ทวันแล้ววันเล่า เจ้ากาเอาแต่แช่ตัวอยู่ในน้ำตลอด
ทั้งวัน แต่ขนก็ยังมีสีดำอยู่เช่นเคย หลายครั้งที่เกือบจะจมน้ำ อีกทั้งการที่พยายาม
กินสาหร่ายก็ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้เลย ไม่นานนักเจ้ากาก็เริ่มผ่ายผอมลง
หงส์ขาวเห็นดังนั้นก็ให้คำแนะนำไปว่า “กลับบ้านของเจ้าไปเถิด เดี๋ยวเจ้าก็จะแข็ง
แรงขึ้น” แต่คราวนี้กาไม่ยอมฟังเสียงของหงส์ แม้จะยากเหลือเกินที่อีกาจะอาศัยอยู่
ในน้ำ แต่เจ้านกน้อยก็พยายามอย่างหนักที่จะมีชีวิตอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนทุก
อย่างจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆวันหนึ่งหลังจากต่อสู้มานาน กาดำก็อำลาโลกนี้ไป หงส์
ขาวได้แต่สงสาร เพราะถ้าเจ้านกเชื่อฟังคำเตือนในวันนั้น เขาก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
นาน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : จงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะ
การเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่อาจแก้ไขสิ่งที่ธรรมชาติให้มาได้
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
1.อีกา=crow
2.หงส์=swan
3.คลอง=canal
นิทานเรื่อง ไก่ได้พลอย
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบ้านหลังหนึ่งในชนบท ซึ่งเจ้าของคือชาวนา เขาเลี้ยงไก่ไว้
เป็นจำนวนมาก ทุก ๆ วันชาวนาจะปล่อยให้ฝูงไก่ออกมาเดินคุ้ยเขี่ยหากินตาม
ธรรมชาติที่ลานดินใกล้กับทุ่งนา เช้าวันหนึ่ง ขณะที่พ่อไก่กำลังเดินคุ้ยเขี่ยหาอาหารที่
ลานหน้าบ้านของชาวนาอยู่นั่นเอง มันก็เหลือบไปเห็นพลอยเม็ดงามเม็ดหนึ่งส่อง
ประกายระยิบระยับอยู่บนพื้น พ่อไก่จ้องมองพลอยวิบวับเม็ดนั้น พลางรำพึงขึ้นมาว่า
“เอกอี้เอ้กเอ้ก… ถ้านายข้ามาพบเม็ดพลอยนี้ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ และต้องเก็บขึ้นมา
เลยทีเดียว แต่สำหรับข้า พลอยเม็ดนี้ไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงข้าวเปลือก 1
เมล็ด ยังจะมีค่ามากกว่าพลอยทั้งหมดในโลกเสียด้วยซ้ำ”จากนั้นพ่อไก่ก็เดินผ่านพลอย
เม็ดนั้น และคุ้ยเขี่ยดินเพื่อหาอาหารกินต่อไป
นิทานอีสป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : สิ่งของล้ำค่าอาจไม่มีประโยชน์เลย หากตกไปอยู่กับคนที่ไม่รู้คุณค่า
เช่นเดียวกับพ่อไก่ที่เห็นเม็ดพลอยราคาแพงอยู่ตรงหน้า แต่ก็มิอาจใช้ประโยชน์ใด ๆ กับสิ่งมี
ค่านั้นได้เลย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ไก่= chicken
เพชร= Diamond
ไข่=egg
นิทาน ผูกกระดิ่งแมว
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
พวกเราประชุมกันมาครึ่งวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ข้าจึงอยากถามความคิด
เห็นของสมาชิกคนอื่น ๆ ว่าพวกเราควรจะจัดการกับเจ้าแมวตัวนี้อย่างไรดี หากใครมี
ความคิดดี ๆ ก็สามารถเสนอมาได้เลย” หัวหน้าของพวกหนูกล่าวเมื่อได้ยินดังนั้น บรรดา
สมาชิกหนูทุกตัวก็ช่วยกันออกความคิดเห็นอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที ทันใด
นั้นเองก็มีเจ้าหนูตัวหนึ่งลุกขึ้นและพูดว่า “ข้าคิดว่าที่พวกเราโดนกลั่นแกล้งแบบนี้เป็น
เพราะว่าเราเป็นแค่หนูตัวเล็ก ๆ ส่วนเจ้าแมวตัวใหญ่ก็ชอบหลบอยู่ตามมุมต่าง ๆ เพื่อเฝ้า
รอพวกเราเดินออกมาหาอาหารแล้วจากนั้นก็วิ่งไล่เหมือนพวกเราเป็นของเล่นโดยไม่มี
สัญญาณเตือน” เจ้าหนูตัวนั้นกล่าว“ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด แล้วแบบนี้เราควรจะมีวิธี
ป้องกันเจ้าแมวตัวนี้อย่างไรล่ะ ?” หัวหน้าของพวกหนูกล่าวถาข้ามีความคิดว่าเราต้องมี
เครื่องส่งสัญญาณเพื่อที่จะได้รู้ว่าเจ้าแมวตัวนั้นอยู่ตรงบริเวณไหนของบ้าน โดยนำ
ริบบิ้นคล้องกระดิ่งไปผูกไว้ที่คอของเจ้าแมวตัวแสบ” เจ้าหนูกล่าวเหล่าสมาชิกหนูทุกตัวที่
อยู่ในที่ประชุมต่างลุกขึ้นปรบมือ และเห็นต้วยกับความคิดของเจ้าหนูตัวนั้น แต่ทุกอย่าง
กลับเงียบลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของหนูชราตัวหนึ่ง “ความคิดของเจ้านั้นเฉียบ
แหลม แต่ทว่าใครจะเป็นคนเอากระดิ่งไปผูกคอเจ้าแมวตัวนั้นกันล่ะ ?” หนูชรากล่าวถาม
เมื่อหนูชราพูดจบ บรรดาหนูทุกตัวต่างเงียบและมองหน้ากัน เนื่องจาก ไม่มีใครกล้าที่จะ
เอากระดิ่งไปผูกคอแมวตัวนั้น รวมถึงเจ้าหนูที่ออกความคิดเห็นด้วย การประชุมจึงจบลง
โดยไม่ได้ข้อสรุปและไม่ได้วิธีรับมือกับเจ้าแมวตัวแสบ พวกหนูจึงต้องใช้ชีวิตด้วยความ
หวาดระแวงเหมือนเช่นเคยต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การที่เจ้าหนูตัวหนึ่งออกความคิดให้นำกระดิ่งไปผูกไว้ที่คอของแมว แต่กลับไม่มีใคร
กล้าที่จะนำกระดิ่งไปผูก รวมถึงเจ้าหนูที่ออกความคิดเห็นนั้นด้วย เรียกว่า ดีแต่พูด แต่ทำไม่ได้ ซึ่งตรงกับ
สุภาษิตที่ว่า “ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก” หมายถึง คนที่มักพูดจาเหมือนกับว่าอะไรต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย
หรือดูง่ายไปเสียหมด แต่ในความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แถมตัวเองก็ทำไม่ได้อีกด้วย ดังนั้นเรื่องใด ๆ
ก็ตาม หากคิดว่าตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ไม่ควรพูดจะดีกว่า เพราะผู้อื่นจะมองว่าเราเป็นคนชอบโอ้อวดนั่นเอง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
หนู=mouse
แมว= cat
กระดิ่ง=bell
นิทานเรื่อง ดาวลูกไก่
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มีตากับยายอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ โดยทั้งคู่เป็นชาวสวนที่มีฐานะยากจน อาศัยการปลูกผัก
ผลไม้ และเลี้ยงไก่ยังชีพไปวัน ๆ ทุกเช้าตากับยายจะนำข้าวเปลือกมาโปรยให้แม่ไก่จิกกินอยู่เสมอกุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก มากินเร็ว
ลูกเอ๋ย จะได้โตไว ๆ" ตาพูดพร้อมโปรยข้าวเปลือกลงบนพื้น
อยู่มาวันหนึ่งยายได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังออกมาจากเล้าไก่ จึงชวนตาไปดู เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับแม่ไก่
ฉันได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังออกมาจากเล้าไก่หลังบ้าน ตาไปดูกับฉันหน่อยสิ" ยายชักชวนตาให้เดินไปดูด้วยกันด้วยความ
กังวลใจ "จริงหรือยาย ไป ๆ เรารีบไปดูกันเถอะ" ตากล่าวพร้อมเดินนำหน้าเมื่อตากับยายไปถึงเล้าไก่ก็ต้องประหลาดใจ
เพราะเสียงที่ยายได้ยินนั้นเป็นเสียงของลูกเจี๊ยบตัวจิ๋ว 7 ตัว ที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ หลังจากนั้นตากับยายก็ดูแล
ครอบครัวของแม่ไก่เป็นอย่างดี ลูกเจี๊ยบทั้ง 7 ตัวติดแม่ไก่มาก เดินตามต้อย ๆ ไปทุกที่"ลูก ๆ ของแม่จงจำไว้เสมอนะ
ว่าตากับยายเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเรา ดังนั้นเราต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณของพวกท่านนะลูก" แม่ไก่สอนลูกเจี๊ยบทั้ง
7 ตัวหลายวันต่อมา ระหว่างที่ตากำลังเดินกลับมาจากสวนก็ได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ ตารีบเดินเข้าไปกราบ
ท่านในทันที เมื่อกลับมาถึงบ้านตาจึงเล่าเรื่องที่ได้พบกับพระธุดงค์ให้ยายฟัง”เมื่อกี้ตอนกำลังเดินกลับบ้าน ฉันเจอกับ
พระธุดงค์รูปหนึ่ง จึงเดินเข้าไปกราบท่าน" ตาเล่าให้ยายฟังด้วยความดีใจ"จริงหรือตา จะว่าไปเราก็ไม่ได้ทำบุญกันมา
นานแล้วนะ ฉันอยากทำบุญกับท่านจังเลย" ยายกล่าวตัดพ้องั้นพรุ่งนี้เช้าเราทำอาหารไปถวายท่านกันดีไหมยาย ?" ตา
ชักชวนยายก็ดีเหมือนกันนะ แต่เราไม่มีของดี ๆ ไปถวายท่านเลย และตอนนี้ผักของเราก็ยังไม่โตด้วย เราจะทำอะไรไป
ถวายท่านดีล่ะตา" ยายกล่าวอย่างหมดหวังในขณะเดียวกันสายตาของตาก็เหลือบไปเห็นแม่ไก่ที่กำลังจิกกินอาหารอยู่ไม่
ไกล จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นม"ตาว่าเราอาจจะต้องนำแม่ไก่มาทำอาหารถวายพระดีไหมยาย ?" ตาถามยาย"ฉันเห็น
ด้วยกับตานะ งั้นพรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบตื่นมาทำอาหารไปถวายพระเอง" ยายกล่าวแม่ไก่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่ตากับยาย
คุยกันตั้งแต่ต้นจนจบ ก็รู้ชะตากรรมของตัวเองทันทีว่าพรุ่งนี้เช้าตนจะต้องจากลูก ๆ ไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ด้วยความ
ที่ตากับยายเป็นผู้มีพระคุณกับตนและลูก ๆ แม่ไก่จึงคิดจะตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสองด้วยชีวิตของตนเอง จาก
นั้นแม่ไก่ก็เรียกลูกเจี๊ยบทั้ง 7 ตัวมาเพื่อสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย"ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว พวกเจ้าต้องเป็นเด็กดีและรักกันนะลูก"
แม่ไก่สั่งเสียทั้งน้ำตาเช้าวันต่อมา ตาอุ้มแม่ไก่ออกมาจากเล้า โดยมีลูกเจี๊ยบทั้ง 7 ตัว เดินตามมาเป็นขบวน ทันใดนั้น
เองตาก็โยนแม่ไก่เข้าไปในกองไฟ ลูกเจี๊ยบทั้งหมดตกใจต่างพากันร้องไห้ และไม่นานทั้งหมดก็กระโดดเข้าไปในกองไฟ
เพื่อตายตามแม่ไก่ไป ด้วยความกตัญญูในครั้งนี้จึงทำให้ลูกไก่ทั้ง 7 ตัว กลายเป็นดวงดาว 7 ดวงที่ส่องแสงระยิบระยับ
ในยามค่ำคืน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ระหว่างแม่และลูก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
แม่ไก่มีความกตัญญู จึงรู้จักตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณ เช่นเดียวกันกับลูกเจี๊ยบที่มีความรักและกตัญญูต่อแม่ไก่
เหมือนดั่งสุภาษิตที่ว่า "ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี” หากใครที่มีบุญคุณกับเรา หรือเมื่อใดที่เราได้รับ
การช่วยเหลือจากใคร เช่น พ่อ แม่ ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ หากมีโอกาสควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทดแทนบ้าง ตามสมควรแก่
ความสามารถและโอกาสที่เรามี
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ลูกเจี๊ยบ=chick
ดาว=star
นิทานเรื่อง กระต่ายกับเต่า
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง วิ่งเล่นอยู่ใน
ป่าอย่างสบายใจ มันชอบดูถูกสัตว์อื่นว่าเชื่องช้า ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนกับตัว
มัน จนมันหลงตัวเองว่าไม่มีใครวิ่งชนะตนได้อย่างแน่นอน
วันหนึ่งกระต่ายเห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยม กระต่ายจึงหัวเราเยาะเย้ยว่า"มัวแต่คลาน
ต้วมเตี้ยมอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เต่ารู้สึกไม่พอใจที่กระต่ายพูดจาแบบนั้นใส่ตน จึงพูดขึ้นว่า
"เจ้ากระต่ายหลงตัวเองอย่างเจ้า ไม่เห็นว่าจะเก่งตรงไหน ดีแต่โม้ไปวันๆ"กระต่ายผู้
ทะนงในตนเองเห็นเต่าพูดจาอย่างนั้น จึงท้าวิ่งแข่งกับเต่าเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น
กระต่ายวิ่งด้วยความเร็วสุดฝีเท้านำเต่าไปก่อน พอถึงกลางทางหันกลับไปมองข้าง
หลัง ไม่เห็นแม้จะเงาของกระต่ายเจ้ากระต่ายจึงนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางจน
เผลอหลับไป ส่วนเจ้าเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยม อย่างไม่ย่อท้อ
เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเจ้ากระต่ายคลานจะถึงเส้นชัยแล้ว มันรีบวิ่งไป
ข้างหน้าอย่างรวมเร็วหวังจะไล่ให้ทัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเต่าสามารถ
เอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน
นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าสอนให้รู้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น""ความประมาท ย่อมนำมาซึ่งล้ม
เหลว และ ผู้เพียรพยามย่อมจะประสบผลสำเร็จ"
คำศัพย์
Reabbit = กระต่าย
turtle = เต่า
bik tree = ต้นไม้ใหญ่
นิทานเรื่อง พินอคคิโอ
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
นานมาแล้ว มีชายชราผู้หนึ่งเป็นช่างไม้ ชื่อว่า เจพเพทโต เขาอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้หลังเก่า โดยไม่มีทั้งภรรยาและลูก อยู่มาวัน
หนึ่งเจพเพทโตรู้สึกเหงา และนั่งคิดเล่น ๆ ว่าถ้ามีลูกชายสักคนก็คงจะดีไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสร้างหุ่นกระบอกเด็กผู้ชายที่ทำ
จากไม้ขึ้นมาหนึ่งตัว
“เจ้าช่างหน้าตาน่ารักจริง ๆ ฉันขอตั้งชื่อเธอว่า พินอคคิโอ ก็แล้วกัน” เจพเพทโตพูดขึ้นมาด้วยความชื่นชน
หลังจากนั่งทำหุ่นไม้ทั้งวันจนเสร็จ ชายชราก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย ทันใดนั้นเอง มีแสงจากฟ้าลอยเข้ามาในห้อง
ทำงานของเขา และไม่นานก็มีหญิงรูปงามที่มาในชุดสีน้ำเงินสวยสง่าปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง เธอคือนางฟ้าสีน้ำเงินผู้ใจดีนั่นเองเจ
พเพทโต ด้วยความดีของเจ้า ข้าจะขอมอบของขวัญที่ดีที่สุดเพื่อเป็นสิ่งตอบแทน” นางฟ้าสีน้ำเงินกล่าว
เมื่อพูดจบ นางฟ้าสีน้ำเงินก็เริ่มร่ายเวทมนตร์แล้วเสกไปที่หุ่นไม้พินอคคิโอ จากนั้นหุ่นไม้ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พร้อมขยับ
ตัวเพื่อบิดขี้เกียจ“ข้ามอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้าแล้วนะพินอคคิโอ ต่อไปนี้เจ้าจะต้องเป็นเด็กดี หากวันหนึ่งเจ้ากล้าหาญ และทำความดี
เจ้าจะได้เป็นเด็กผู้ชายเต็มตัว” นางฟ้าสีน้ำเงินกล่าว พร้อมหายวับไปกับแสงสีฟ้าเช้าตรู่วันต่อมา เจพเพทโตเดินเข้ามาในห้อง
ทำงานเหมือนทุกวัน แต่กลับต้องตะลึง เพราะเห็นหุ่นไม้พินอคคิโอของเขามีชีวิต เขาอุ้มพินอคคิโอกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ห้อง
ด้วยความดีใจ
“ต่อไปนี้เธอคือลูกชายของฉันนะพินอคคิโอ เธอต้องเป็นเด็ก และไปโรงเรียนด้วยนะ สัญญากับฉันได้ไหม” เจพเพทโต
กล่าว พร้อมยิ้มด้วยความดีใจ “ครับ ผมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี และจะไปโรงเรียนทุกวัน” พินอคคิโอตอบรับ วันรุ่งขึ้น ในขณะที่พิ
นอคคิโอกำลังเดินไปโรงเรียน เขาก็ได้พบกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งที่กำลังเชิญชวนให้ทุกคนไปดูการแสดงหุ่นกระบอก
“เร่เข้ามา ! เร่เข้ามา ! การแสดงหุ่นกระบอกที่สุดอลังการมาเปิดแสดงที่นี่แล้ว ช้าอด ตั๋วหมดไม่รู้ด้วยนะ” หมาป่าตะโกน
พร้อมชูตั๋วที่อยู่ในมือพินอคคิโอเกิดความสนใจ จึงเดินเข้าไปขอซื้อตั๋วหนึ่งใบเพื่อชมการแสดง แต่ทว่าเขาไม่มีเงินเลยแม้แต่บาท
เดียว จึงต้องเดินคอตกออกมา หมาป่าเจ้าเล่ห์คิดแผนร้ายจะลักพาตัวพินอคคิโอกลับไปให้เจ้านาย จึงรีบเดินตรงเข้ามาหาพินอคคิ
โอเจ้าหนูน้อยหุ่นกระบอก ถ้าอยากดูการแสดงก็เอาหนังสือเรียนของเจ้ามาแลกกับตั๋วของข้าสิจ๊ะ” หมาป่าเจ้าเล่ห์กล่าว พร้อมยิ้ม
มุมปาพินอคคิโอรีบหยิบหนังสือส่งให้หมาป่าเจ้าเล่ห์ทันที โดยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อไปเลย เมื่อชมการแสดงเสร็จ หมาป่าเจ้า
เล่ห์จึงพาพินอคคิโอไปทำความรู้จักกับเจ้าของคณะหุ่นกระบอก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำทักทาย ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็จับพินอคคิโอขัง
ไว้ในกรง เด็กชายหุ่นกระบอกตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครสนใจ“ปล่อยผมออกไปนะ ผมอยากกลับไปหาพ่อ ฮือ ฮือ”
พินอคคิโอตะโกนและร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจากนั้นเขาก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทันใดนั้นนางฟ้าสีน้ำเงินก็ปรากฏตัว
ขึ้น ทำให้พินอคคิโอสะดุ้งตื่นจากความ “พินอคคิโอ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” นางฟ้าสีน้ำเงินถาม “ผมถูกหมาป่าจับตัวมาฮะ” พินอ
คคิโอกล่าวเมื่อพูดจบ จมูกของพินอคคิโอก็งอกยาวขึ้นจนทะลุกรงออกไปข้างนอก พร้อมหางที่งอกคล้ายกับลา ทำให้เขาตกใจ
มาก “รู้ไหมที่จมูกของเธอยาวขึ้น และมีหางงอกออกมาแบบนี้ เป็นเพราะเธอกำลังพูดโกหกอยู่นะจ๊ะ” นางฟ้าสีน้ำเงินกล่าว
นางฟ้าสีน้ำเงินหายวับไปต่อหน้าต่อตาพินอคคิโอ พร้อมประตูของกรงที่ถูกเปิดออก เขารีบปีนออกจากกรงและวิ่งกลับบ้าน แต่
เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับพบเพียงความว่างเปล่า ในขณะเดียวกันก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินมาบอกว่าพ่อออกเดินทางตามหาเขาจน
ถูกวาฬยักษ์กลืนลงท้อง เมื่อได้ยินแบบนั้นพินอคคิโอจึงรีบออกเดินทางไปช่วยพ่อทันที สุดท้ายเขาก็เข้าไปช่วยพ่อออกมาจากท้อง
วาฬยักษ์ได้สำเร็จ ด้วยความดีและความกล้าหาญของพินอคคิโอ นางฟ้าสีน้ำเงินจึงเสกให้เขากลายเป็นคนจริง ๆ และทั้งสองคนก็
อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :หากพินอคคิโอเชื่อฟังคำสั่ง และไปโรงเรียนตามที่สัญญาไว้กับพ่อ ก็
คงไม่โดนหมาป่าเจ้าเล่ห์หลอกและถูกจับขังกรงไว้ เรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า เมื่อประพฤติตัวไม่ดี
และไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่จะได้รับผลร้ายตามมา อีกทั้งไม่ควรพูดโกหกด้วย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
สี= Color
ไม้= wood
คุณตา=maternal grandfather
นิทานเรื่อง กากับเหยือกน้ำ
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
ณ ป่าแห่งหนึ่ง ในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้แม่น้ำ ลำธารแห้งขอด ไม่มีน้ำ
แม้แต่หยดเดียว ในขณะเดียวกันก็มีกาตัวหนึ่งบินหาน้ำดื่มด้วยความหิวกระหาย แต่หา
เท่าไรก็หาไม่เจอ จนมันเริ่มเหนื่อยและหมดแรงลงเรื่อย ๆ
น้ำหายไปไหนหมด ข้ากระหายน้ำเหลือเกิน แฮ่ก แฮ่ก
" เจ้ากากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหอบ
ทันใดนั้นเองสายตาของเจ้ากาก็เหลือบไปเห็นเหยือกน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่
ที่หน้าบ้านของชาวนา มันจึงรีบบินไปดูด้วยความดีใจ แล้วค่อย ๆ ใช้ตาข้างหนึ่งส่องลง
ไปดูผ่านปากเหยือก แต่ทว่ามีน้ำเหลือเพียงก้นเหยือกเท่านั้น ทำให้เจ้ากาไม่สามารถเอา
จะงอยปากของมันลงไปกินน้ำได้เฮ้อ... มีน้ำเหลือเพียงก้นเหยือกแบบนี้ แล้วข้าจะกิน
อย่างไรละเนี่ย
" เจ้ากาถอนหายใจพร้อมบ่นพึมพัมกับตัวเองเบา ๆในระหว่างที่เจ้ากากำลังคิดหาวิธีที่จะ
กินน้ำในเหยือกอยู่นั้น สายตาของมันก็หันไปเห็นก้อนหินเล็ก ๆ ที่อยู่ตามพื้น จึงทำให้เจ้า
กาคิดแผนการดี ๆ ขึ้นมาได้ข้าคิดออกแล้ว ลองคาบก้อนหินเล็ก ๆ พวกนี้ใส่ลงในเหยือก
ดีกว่า เผื่อระดับน้ำจะสูงขึ้นมาจนข้าสามารถกินน้ำที่อยู่ก้นเหยือกได้
" เจ้ากาคิดแผนการในใจจากนั้นมันจึงเริ่มใช้ปากคาบก้อนหินเล็ก ๆ มาใส่ลงไปในเหยือก
น้ำอย่างใจเย็น ยิ่งเจ้ากาใส่หินมากเท่าไรน้ำในเหยือกก็ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด
ระดับน้ำก็สูงขึ้นมาถึงปากเหยือก ทำให้เจ้ากาสามารถใช้จะงอยปากดื่มน้ำได้อย่าง
ง่ายดาย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
จงแก้ไขปัญหาด้วยความพยายามและปัญญาอันชาญฉลาด แล้วจะค้นพบหนทางแห่งความสำเร็จ
ดังสุภาษิตไทยที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
อีกา=crow
เหยือกน้ำ=water jug
ก้อนหิน=rock
นิทานเรื่อง แม่ปูกับลูกปู
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
วันนี้อากาศดีมากเลยจ้ะแม่ เราออกไปเดินเล่นกันดีไหม" เสียงลูกปูบอกกล่าวกับแม่ปูด้วยความสดใสนั่นสินะ อากาศดีแบบนี้เห็นที
เราต้องออกไปอาบแดดให้ร่างกายได้สดชื่นหน่อยแล้ว
" แม่ปูตอบรับอย่างเห็นด้วย
"ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินเล่นจนถึงชายหาดฝั่ งนู้นเลยนะจ๊ะแม่ เราไม่ได้เดินไปทางนั้นนานมากแล้ว" ลูกปูเชิญชวนแม่ปูให้พา
ไปอีกฝั่ ง "
ได้สิจ๊ะ อากาศดีขนาดนี้ ให้เดินไกลแค่ไหนแม่ก็พร้อมสู้อยู่แล้ว ปะ ไปกันเลยดีกว่า
" ว่าแล้วแม่ปูกับลูกปูก็ออกเดินทางด้วยกันอย่างร่าเริงแจ่มใส
ระหว่างทางที่กำลังเดินไปชายหาดอีกฟาก สองปูแม่ลูกต้องเดินผ่านบ้านของครอบครัวปูอีกหลายหลัง ซึ่งวันนี้แต่ละ
บ้านก็ออกมาทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานเช่นเคยเหมือนทุกวัน และเมื่อเดินใกล้บ้านหลังใด ปูบ้านนั้นก็จะตะโกนทักทายกันตลอด
ทางอ้าว แม่ลูกคู่นี้จะไปเที่ยวไหนกันจ๊ะ
" เสียงป้าปูจากบ้านใต้ต้นมะพร้าวตะโกนถาม
"สวัสดีจ้ะ วันนี้ฉันจะพาลูกไปเดินเล่นทางนู้นสักหน่อย เห็นว่าวันนี้อากาศดี" แม่ปูขานตอบ "
จริงสิ อากาศดีมากทีเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เที่ยวสนุก ๆ นะ
" ป้าปูอวยพรท่ามกลางเหล่าลูกหลานที่กำลังวิ่งเล่นกันเต็มหน้าบ้าน
"ขอบคุณมากจ้า ฉันไปแล้วนะ" สิ้นคำกล่าวลา สองแม่ลูกก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที
ในขณะที่เดินอยู่นั้นแม่ปูก็หันมาพูดคุยกับลูกของเธอด้วยความกังวลใจ เนื่องจากเธอเห็นเหล่าลูกหลานของป้าปูพากันเดิน
เฉไปเฉมาไม่น่ามองนัก
นี่ลูกแม่ ลูกเห็นไหมว่าเด็ก ๆ บ้านนั้นเขาเดินไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไร เดี๋ยวก็เฉไปทางซ้ายที มาทางขวาที" แม่ปูพูดอย่างกังวล
"
เห็นจ้ะ แต่หนูว่าไม่แปลกอะไรเลยนี่จ๊ะ
" ลูกปูตอบด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
"ไม่นะ แม่ว่ามันดูแปลกมากทีเดียว ไหนลูกลองเดินให้แม่ดูหน่อยสิ" พอกล่าวจบแม่ปูก็หยุดเดินเพื่อรอดูว่าลูกของเธอจะ
ก้าวเท้าอย่างไร
แต่ภาพที่เห็นแทบไม่ต่างจากเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นในบ้านของป้าปูเลยสักนิดอะไรกัน !? ทำไมลูกถึงเดินอย่างนั้น เดินเฉไปเฉมา
อย่างกับเด็กบ้านนู้นเลย" เสียงแม่ปูพูดอย่างแข็งกร้าว "เอาอย่างนี้ ดูแม่เป็นตัวอย่างแล้วทำตามนะ"
จากนั้นแม่ปูจึงออกเดินนำหน้า ส่วนลูกปูก็หยุดยืนดู แต่แม่ปูที่โตเต็มวัยกลับเดินเฉไปเฉมาไม่ต่างอะไรจากปูตัวน้อยเลยสัก
นิด
แถมเมื่อหันกลับมาแม่ปูยังเดินสะดุดขาตัวเองล้มครืนไปจนขายหน้า เพราะทำตามที่สั่งสอนลูกปูเอาไว้ไม่ได้นั่นเอง และหลัง
จากวันนั้น แม่ปูจึงไม่กล้าสอนลูกในสิ่งที่ตนทำไม่ได้อีกเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
หากต้องการสอนสิ่งใดให้แก่ผู้อื่น เราควรทำเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้เสีย
ก่อน เพื่อที่คนอื่นจะได้เรียนรู้และปฏิบัติตามอย่างถูกวิธีนั่นเอง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
เเม่ปู=Mother Crab
ลูกปู=baby crab
ชายหาด=Beach
นิทาน มดกับตั๊กแตน
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บริเวณทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มีครอบครัวมดฝูงเล็กอาศัยอยู่รวมกันใต้โพรงดินขนาดกำลังพอเหมาะ ซึ่งข้าง ๆ โพรงดินนั้น
คือขอนไม้เก่าที่ตั๊กแตนเจ้าสำราญใช้พักอาศัยเช่นกัน
ในช่วงฤดูร้อนที่ผลผลิตพืชพรรณงอกงามออกรวงมากมาย สมาชิกบ้านมดทั้งหลายต่างขยันขันแข็งเก็บเกี่ยวพืชเหล่านั้นมาตุนไว้สำหรับหน้าหนาว ส่วน
เจ้าตั๊กแตนกลับเอาแต่เล่นดนตรีอย่างเพลิดเพลิน และแปลกใจว่าทำไมฝูงมดต้องขยันถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นตั๊กแตนจึงแวะไปสอบถาม
"ฝูงมดตัวน้อยเอ๋ย พวกเธอจะเร่งทำงานเก็บพืชพรรณไปทำไมกันมากมาย" ตั๊กแตนเอ่ย "
ก็เก็บไว้กินตลอดฤดูหนาวน่ะสิ
" เสียงของมดซึ่งเป็นหัวหน้าตอบกลับพลางเก็บเกี่ยวพืชพรรณไปด้วย
"โห ! ฤดูหนาวเลยหรือ อีกนานเลยนะ เพราะนี่ก็เพิ่งจะเข้าหน้าร้อนเอง" เจ้าตั๊กแตนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใน "
ก็เราเก็บเกี่ยวตอนนี้ ฤดูหนาวจะได้มีอาหารกินอย่างอุดมสมบูรณ์แถมได้พักผ่อนแบบเต็มที่ไงล่ะ
" หัวหน้ามดอธิบาย
"แต่เที่ยวเล่นพักผ่อนในฤดูร้อนก็สนุกไปอีกแบบนะ ทำไมจะต้องรอถึงหน้าหนาวด้วย" เสียงตั๊กแตนโต้กลับ "เอาเถอะ ฉันขอกลับบ้านไปเล่น
ดนตรี เต้นรำ ก่อนแล้วกันนะ"
ตั๊กแตนเดินกลับไปอย่างสบายใจไม่เดือดร้อน ส่วนฝูงมดก็ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันเวลาผ่านไปไม่นานนัก ลมหนาวเย็นยะเยือกก็มาเยือน
เป็นสัญญาณเตือนว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนั่นเอง ในขณะเดียวกันผลไม้พืชพรรณที่เคยงอกเงยต่างโรยรา จะหาอาหารมากินแทบไม่มี แต่ถึงอย่างไรฝูงมด
ก็ไม่เดือดร้อน เพราะพวกมันเก็บตุนของกินไว้แล้วมากมาย "
ดีนะเนี่ยที่เราเก็บอาหารเอาไว้เยอะแยะ คราวนี้จะได้กินแบบไม่ต้องกลัวอด
" มดตัวเล็กเอ่ยขึ้นมา
"ใช่ ๆ ต้องขอบคุณพวกเราจริง ๆ ที่ขยันขันแข็งอดทนทำงานทำให้เรามีกินในวันนี้" หัวหน้ามดประกาศขอบคุณท่ามกลางความยินดีของมด
ทุกตัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! !... เสียงเคาะประตูหน้าโพรงมดดังขึ้น "สงสัยมีแขกมาเยี่ยมหรือเอาอาหารมาแลกเป็นแน่" มดตัวเล็กพูดแล้วเดินไปเปิดประตู
หน้าประตูนั้นคือตั๊กแตนเจ้าสำราญผู้พักอาศัยอยู่ข้าง ๆ ที่เคยมีท่าทางสดใสร่าเริง แต่คราวนี้ ตั๊กแตนกลับยืนก้มหน้าด้วยความหิวโซ พอประตูเปิดจึงรีบ
เดินตรงมาหาหัวหน้ามดที่เคยสนทนาด้วยทันที "
สวัสดีมดเอ๋ย ฉันหิวเหลือเกินไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน พอจะมีอาหารแบ่งฉันบ้างไหม
" ตั๊กแตนขอร้อง
"อะไรกัน บ้านเธอไม่มีอะไรกินเลยหรือ ช่วงฤดูร้อนผลผลิตออกจะอุดมสมบูรณ์" หัวหน้ามดถามด้วยความสงส "
ฉันมัวแต่ยุ่งกับการเล่นดนตรีและเต้นรำ เลยไม่มีเวลามานั่งทำงานกักตุนอาหารไว้กินอย่างเธอ
" คำแก้ตัวของตั๊กแตนอะไรกัน ! นี่เธอไม่ทำงานเลยเหรอ มัวแต่เล่นดนตรีสนุกสนานเนี่ยนะ" หัวหน้ามดตวาด ด้านตั๊กแตนก็ทำหน้าเจื่อนโดยไม่มีคำ
ตอบโต้ "ถ้าเธอไม่รู้จักแบ่งเวลาเล่นกับเวลาทำงาน ฉันก็คงปันอาหารให้เธอไม่ได้ เจ้ากลับไปเถอะ"
พอสิ้นคำพูดของหัวหน้ามด เจ้าตั๊กแตนเลยเดินกลับบ้านไปแบบหิวโหย ส่วนฝูงมดก็พักผ่อนแบบสำราญกับอาหารที่ตุนมาจากช่วงหน้าร้อน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
คนเราควรจะรู้จักหน้าที่ของตัวเอง เวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรเล่น หากมัวแต่เล่นไม่ยอมทำงานเลย
สักวันหนึ่งชีวิตอาจเจอเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจนหันไปพึ่งใครไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมทำงานเพื่อหาเลี้ยงและยืนบน
ลำแข้งของตนนั่นเอง
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
มด= Ant
ตั๊กแตน= grasshopper
นิทาน ลูกเป็ดขี้เหร่
ผู้แต่ง : อีสป แหล่งที่มา : google
ณ ป่าแห่งหนึ่งมีแม่เป็ดตัวหนึ่ง ฟักไข่อยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกเป็ดตัวน้อย ๆ ก็เริ่มเจาะเปลือกไข่ออก
มาทีละตัว ๆ จนเกือบหมด เหลือไข่ใบใหญ่หนึ่งฟอง ที่ยังไม่ยอมออก แม่เป็ดจึงนั่งกกไข่ต่อไป ในที่สุด ไข่ใบสุดท้าย
ก็แตกออก ลูกเป็ดโผล่ออกมาจากไข่ ตัวโต คอยาว ขนสีเทา รูปร่างน่าเกลียด แม่เป็ดรู้สึกสงสัยในตัวลูกเป็ดตัวนี้
มาก คิดในใจว่า คงไม่ใช่ลูกของเรา วันรุ่งขึ้น แม่เป็ดพาลูกเป็ดน้อย ๆ ไปว่ายน้ำที่สระ เพื่อจะได้ทดสอบว่า ลูกเป็ด
ขี้เหร่ตัวใหญ่ จะว่ายน้ำได้หรือไม่ ลูกเป็ดวิ่งแข่งขันลงไปลอยคออยู่ในน้ำ และว่ายได้อย่างสวยงาม
ลูกเป็ดขี้เหร่ไม่มีความสุขเลย เพราะลูกเป็ดตัวอื่น ๆ รุมจิกตี ดังนั้น วันหนึ่งลูกเป็ดขี้เหร่จึงหนีไปอยู่หนองน้ำใหญ่
แห่งหนึ่ง ลูกเป็ดอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งมีหมาล่าเนื้อตัวหนึ่ง วิ่งผ่านมาพบลูกเป็ดเข้า หมานั้นหยุด
จ้องดูลูกเป็ดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็วิ่งเลยไป "โธ่เอ๋ย" ลูกเป็ดพูด "ฉันคงน่าเกลียดมาก จนหมาก็ไม่อยากมอง"ลูกเป็ด
ขี้เหร่ได้ออกเดินทางไป จนถึงกระท่อมหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านเป็นหญิงแก่ นางเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง แม่ไก่ตัวหนึ่ง
และแม่ไก่จะออกไข่ให้หญิงแก่วันละ 1 ฟอง หญิงแก่เห็นลูกเป็ดขี้เหร่ ก็คิดว่า ถ้าเลี้ยงไว้ไม่นานก็คงจะออกไข่ ให้เรา
กินอีกได้วันละ 1 ฟอง จึงยอมให้ลูกเป็ดอาศัยอยู่ในห้องด้วย เลี้ยงไปจนนาน แต่ลูกเป็ดขี้เหร่ก็ยังไม่ออกไข่สักที
ประกอบกับลูกเป็ดขี้เหร่ทะเลาะกับแมว และไก่ จึงได้หนีออกจากบ้านหญิงแก่ไป
ขณะที่กำลังเดินออกจากบ้านหญิงแก่ ลูกเป็ดเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสระน้ำแห่งหนึ่ง ก็เลยแวะหยุดพักนอน
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจนหลับไป บังเอิญมีชาวนาใจดีคนหนึ่งมาพบเข้า จึงได้พาเอาลูกเป็ดขี้เหร่ไปอยู่บ้าน ลูก ๆ
ชาวนาดีใจมาก อยากจะเล่นด้วย จึงวิ่งไล่จับลูกเป็ด ลูกเป็ดกลัว บินขึ้นไปเกาะบนถังนม พังนมหกกระจาย เมีย
ชาวนาโกรธมาก ใช้เหล็กเขี่ยไหขว้าง ลูกเป็ดวิ่งหนีออกทางประตูหลัง แอบซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้
ลูกเป็ดขี้เหร่ได้หนีออกมาอยู่ที่ป่าละเมาะ ริมสระน้ำเป็นเวลานาน เดี๋ยวนี้ลูกเป็ดโตขึ้นกว่าเดิมมาก มีปีก
ใหญ่ และแข็งแรง วันหนึ่งลูกเป็ดบินเที่ยวเล่นรอบ ๆ สระ เผอิญเหลือบไปเห็นนกสีขาว 3 ตัวบินลงไปเล่นอยู่ใน
สระน้ำ ลูกเป็ดนึกในใจว่า ถ้าเราบินลงไปเล่นในสระน้ำ ให้นกแสนสวย 3 ตัวนั้น จิกเราเสีย จะดีกว่าอยู่ต่อไป โดยมี
รูปร่างน่าเกลียดอย่างนี้ลูกเป็ดขี้เหร่นึกในใจ แล้วก็ก้มลงดูเงาของตัวเองในน้ำ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นเงาเป็น
หงส์แสนสวย ต่อไปนี้เราไม่ได้เป็นลูกเป็ดขี้เหร่อีกแล้ว ฝูงหงส์ในสระลอยเข้ามาใกล้ และพากันทักทาย พวกเด็ก ๆ
ร้องว่า มีหงส์มาใหม่อีกหนึ่งตัวแล้ว หงส์ตัวใหม่สวยที่สุด แต่หงส์ตัวใหม่ไม่ได้ลำพองใจเลย เขานึงถึงคืนก่อน ๆ
เมื่อครั้งยังเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ แล้วฝูงหงส์ก็พากันบินขึ้นจากน้ำ โดยมีหงส์ตัวใหม่บินเข้าฝูงไปด้วยอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ถึงแม้เราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกเป็นในสิ่งที่ดีได้ หาก
รู้จักอดทน เรียนรู้ และต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคต่าง ๆ รู้จักนำประสบการณ์ชีวิตเหล่านั้นมาพัฒนา
ตัวเอง แล้วเสน่ห์ที่อยู่ภายในตัวเราก็จะค่อย ๆ ปรากฎชัดออกมา อย่างเช่นลูกเป็ดขี้เหร่ที่เติบโต
กลายเป็นหงส์แสนสวยนั่นเองค่ะ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
เป็ด= Duck
ขี้เหร่=unattractive
เเม่น้ำ=River