The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียนวิชาสุนทรียะนาฏศิลป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chadladda542, 2022-06-06 10:22:41

เอกสารประกอบการเรียนวิชาสุนทรียะนาฏศิลป

เอกสารประกอบการเรียนวิชาสุนทรียะนาฏศิลป

1

สุนทรยี ะนาฏศิลป์

ระบำ รำ ฟ้อน และ เซ้งิ

ระบำ รำ ฟอ้ น เปน็ ศลิ ปะแห่งการร่ายรำประกอบเพลง ดนตรีและบทขับรอ้ ง โดยไม่เลน่ เป็นเรือ่ งราว ในทนี่ ้ี
หมายถึงรำและระบำทม่ี ลี ักษณะเป็นการแสดงแบบมาตรฐาน ซง่ึ มีความหมายทีจ่ ะอธบิ ายได้พอสังเขป ดงั นี้

ระบำ

ระบำ หมายถงึ ศิลปะแหง่ การรา่ ยรำท่มี ีผแู้ สดงตั้งแต่ 2 คนขน้ึ ไป มลี ักษณะการแต่งกาย และกระบวนท่ารำ
ท่ีคล้ายคลงึ กัน ไม่เล่นเป็นเร่อื งราว อาจมบี ทขับร้องประกอบการรำเข้ากบั ทำนองเพลงดนตรี

ระบำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื ระบำมาตรฐาน และระบำเบด็ เตลด็
1. ระบำมาตรฐาน เป็นการแสดงประเภทระบำท่ีมีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือ มีการแต่งกายยืนเคร่อื งพระนาง
เช่นเดียวกับการแต่งกายของละครหลวง และเป็นชุดระบำที่ปรมาจารย์ด้านนาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นแบบแผน
มีการถ่ายทอดและสืบสานเป็นรูปแบบมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ มีการอนุรักษ์ท่ารำสืบทอดมาจนถึงกรมมหรสพ
และมีการจัดหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน เช่น ระบำส่ีบท ระบำเทพบันเทิง
ระบำพรหมมาสตร์ ระบำกฤดาภินหิ าร ระบำดาวดงึ ส์ เป็นต้น

ระบำดาวดึงส์

2. ระบำเบ็ดเตล็ด เป็นระบำท่ีประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพ่ือให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือโอกาสในการแสดง
หรอื เพ่อื ให้เหมาะสมกับเน้ือเรือ่ ง โขนและละคร

ระบำทีน่ ำไปประกอบการแสดง มีอยหู่ ลายลักษณะดว้ ยกนั ดังน้ี
1. ระบำทปี่ ระดษิ ฐ์ขึ้นจากวิถีชวี ิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในท้องถ่ินต่าง ๆ เช่น ระบำชาวนา ระบำเก็บใบชา
ระบำร่อนแร่ เป็นต้น
2. ระบำที่ประดิษฐ์ข้ึนจากจากระบำมาตรฐาน โดยอาศัยรูปแบบการแสดง ลีลาท่ารำ ทำนองดนตรี
การแต่งกาย แต่ปรับปรุงให้มีลีลาท่ารำท่ีกระชับข้ึน แต่ยังคงความเป็นระบำมาตรฐานไว้ เช่น ระบำกินรีร่อน
ระบำนางใน เป็นต้น
3. ระบำท่ีประดิษฐ์ขึ้นจากการเลียนแบบท่าทางของสัตว์ เช่น ระบำกวาง ระบำม้า ระบำไก่ ระบำนกยูง
ระบำครุฑ เป็นตน้

2

4. ระบำที่ประดิษฐ์ข้ึนเพ่ือใช้ในโอกาสพิเศษ ทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ เช่น ระบำพม่าไทยอธิษฐาน
ระบำจนี ไทยไมตรี ระบำไทย โปรตเุ กส เปน็ ตน้

5. ระบำทีป่ ระดิษฐ์ข้นึ เพ่อื ประกอบในการแสดงโขน ละคร เช่น ระบำนพรัตน์ ในละครนอก เรื่อง สุวรรณหงส์
ตอน ชมถ้าเพชรพลอย ระบำมฤคระเริง หรือ ระบำกวาง ในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พระรามตามกวาง
ระบำนางตานี ในละครเสภา เรอ่ื งขนุ ช้างขนุ แผน ตอน พลายบวั ชมโฉมนางแว่นแก้ว เปน็ ตน้

6. ระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นจากภาพจำหลักท่ีปรากฏอยู่บนโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ เช่น ระบำโบราณคดี ชุด
ทวาราวดี ศรีวิชยั ลพบรุ ี เชยี งแสน และสุโขทัย เปน็ ต้น

ระบำเบด็ เตล็ดแต่ละชุดจะมีจุดมุ่งหมายและประวัติความเป็นมาท่ีแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ แต่ทุกชุดการ
แสดงจะเน้นที่ความงามตระการตาในลีลาท่ารำ การแต่งกาย ความพร้อมเพรียง ความโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะ
ความแปลกใหมท่ ่ีไม่ซำ้ แบบกบั การแสดงชุดอ่นื ๆ รวมถึงความไพเราะของการขบั รอ้ งและการบรรเลงดนตรี

ตัวอยา่ ง ระบำเบ็ดเตล็ด

ระบำชาวนา

ระบำนางใน ระบำม้า
ระบำโบราณคดี ชดุ สุโขทัย

3

ระบำนางตานี

รำ

รำ หมายถึง การแสดงที่มุ่งความงามของการร่ายรำ เป็นการเคล่ือนไหวร่างกายทุกส่วนอย่างมีระเบียบแบบ
แผน ได้มาตรฐานตามนาฏยศพั ท์

รำ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คือ รำเดีย่ ว รำคู่ และรำหมู่
1. รำเดี่ยว คือ การแสดงท่ีมีผู้แสดงเพียงคนเดียว เน้นผู้รำที่มีลีลาท่ารำท่ีอ่อนช้อยงดงาม มีท่วงท่าท่ีเป็น
เอกลักษณต์ ัวถกู ต้องตามแบบแผน ชุดรำเด่ียว ได้แก่ รำฉยุ ฉายต่าง ๆ เช่น ฉุยฉายพราหมณ์ ฉยุ ฉายไกรทอง ฉยุ ฉาย
เบญกายแปลง
ฉุยฉายศูรปนขาแปลง ฉุยฉายวันทองแปลง ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน ฉุยฉายหนุมานทรงเคร่ือง รำมโนราห์บูชายัญ
รำพลายชมุ พลแตง่ ตวั เป็นต้น

รำฉุยฉายศูรปนขาแปลง

2. รำคู่ คือ การแสดงท่ีมีผู้แสดง 2 คน เน้นผู้รำที่มีท่วงทีลีลาอ่อนช้อยงดงาม อวดฝีไม้ลายมือในการรำที่
สอดประสานกันอย่างกลมกลืนถูกต้องตามแบบแผนและการแสดงอารมณ์ความรูส้ ึกคล้อยตามบทร้องหรอื ลักษณะการ
แสดง
ตัวอยา่ งเช่น

1. รำคู่ที่นำมาแสดงในการรำเบกิ โรง เชน่ รำประเลง รำดอกไมเ้ งินทอง เปน็ ตน้
2. รำค่ทู ี่เป็นกำรรำอำวธุ เชน่ รำกรชิ รำทวน เป็นตน้

4

3. รำคู่ท่ีตัดตอนมาจากการแสดงเรื่องใหญ่ เช่น พระรามตามกวาง พระลอตามไก่ รจนาเสี่ยงพวงมาลัย
เมขลา รามสูร หนมุ านจบั นางสุพรรณมจั ฉา หนุมานจับนางเบญกาย เปน็ ตน้

รำประเลง

รำกริชคู่

รำพระรามตามกวาง

รำสีนวล

3. รำหมู่ คอื ชุดการแสดงท่ีมผี ู้แสดงมากกว่า 2 คนขึ้นไป ความงามอยูท่ ่คี วามพรอ้ มเพรียงและอวดฝมี อื ของ
ผูป้ ระดิษฐท์ ่ารำ การแปรแถวจัดซุ้มเหมือนระบำ เช่น รำโคม รำพดั รำซัดชาตรี รำวงมาตรฐาน รำสนี วล เป็นตน้

ฟ้อนเทยี น

ฟ้อน เป็นการแสดงพื้นเมืองของภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ใช้ผู้แสดงต้ังแต่ 2 คน ขึ้นไป เน้น

ตรงทคี่ วามอ่อนช้อยงดงามของลลี าท่ารำ จังหวะช้า เน้นความพร้อมเพรียง การแปรแถวท่หี ลากหลายแปลกตา เพลง
ร้องและทำนองดนตรีมีความไพเราะ ฟ้อนเป็นการแสดงพ้ืนเมือง มี่มีลกั ษณะท่าฟอ้ น การแต่งกาย ดนตรี และเพลง
รอ้ งตามภาษาท้องถิน่ หรอื ตามเชื้อชาติ เช่น ฟ้อนเลบ็ ฟอ้ นเทียน ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนภไู ท เปน็ ตน้

5

เซง้ิ กะโป๋

เซ้ิง เป็นการแสดงพ้ืนเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลีลาและจังหวะการร่ายรำรวดเร็วกระฉับกระเฉง

การแต่งกาย แต่งแบบพื้นเมืองภาคอีสาน ลกั ษณะของการเซ้ิงจะสะท้อนให้เห็นถงึ วัฒนธรรมท้องถ่ิน ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วิถีชีวิต และการประกอบอาชีพของชาวอีสาน จุดประสงค์ในการแสดงเพ่ือความสนุกสนาน เช่น เซิ้งสวิง
เซิ้งโปงลาง เซงิ้ กะโป๋ เซงิ้ สมั พันธ์ เปน็ ตน้
สรุป

ระบำ รำ ฟ้อน และเซ้ิง เป็นศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ไทยท่ีมีความงดงามและมีคุณค่า ท่ีแสดงถึงความเป็น
เอกลกั ษณ์ของชาติ เป็นมรดกท่ีควรอนุรักษส์ ืบสานตอ่ ไปยงั เยาวชนรนุ่ หลัง

6

การแสดงพนื้ เมืองของไทยในแตล่ ะท้องถ่นิ

การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นการแสดงที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ท่ารำ เพลงร้อง และดนตรี
ได้รับการส่ังสมสบื ทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ซงึ่ คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นจากพื้นฐานความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การแต่งกาย
จะแต่งตามลักษณะทอ้ งถ่ิน

สังคมชาวบ้าน เป็นสังคมเกษตรกรรมอาศัยธรรมชาติเลียงชีพ จึงมีพิธีกรรมการละเลน่ เพื่อขอพรให้พืชผลอุดม
สมบูรณ์ สะท้อนออกมาเป็นศิลปะการแสดงพ้ืนบ้าน เช่น ภาคเหนือ ลักษณะการแดงจะเชื่องช้า ได้แก่ ฟ้อนต่าง ๆ
ภาคกลางจะเน้นท่ีลำนำขับกลอน ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือจะมจี ังหวะคึกคัก กระฉับกระเฉง แสดงออกให้เห็นความ
สนุกสนานร่าเริง ภาคใต้จะเน้นที่จังหวะเปน็ สำคัญ เปน็ ต้น

การแสดงพื้นเมืองของไทยในแต่ละท้องถ่ิน จะสะท้อนให้เห็นศิลปวัฒนธรรม ประเพณี เอกลักษณ์ประจำ
ท้องถ่นิ ตลอดจนจติ วญิ ญาณของชาวบ้านในแตล่ ะท้องถ่ินว่ามีลักษณะอย่างไร ดงั นน้ั การแสดงพ้ืนเมืองของแต่ละภาค
จงึ มลี ีลาการแสดงท่ีแตกตา่ งกัน ซง่ึ การแสดงพน้ื เมืองแตล่ ะภาค สามารถสรุปได้ ดงั น้ี

7

การแสดงนาฏศิลปพ์ ื้นเมอื งภาคเหนือ

การแสดงพ้ืนเมืองภาคเหนือ เรียกว่า “ฟ้อน” ภาคเหนือมีฟ้อนที่แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มฟ้อนแบบด้ังเดิม
และกลมุ่ ฟอ้ นทไี่ ด้รับอทิ ธิพลจากวัฒนธรรมหลวง

1. กลุ่มฟอ้ นแบบดั้งเดิม ช่างฟ้อนเป็นชาวบ้าน ทำหน้าที่สบื ทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาหลายชั่วอายุคน
ลีลาท่าฟ้อนไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนนัก เป็นการเลียนแบบการเคล่ือนไหวของมนุษย์ที่แตกต่างกันไปตาม
เผ่าพันธุ์ และความเชื่อของกลุ่มชนนั้น ๆ เช่นฟ้อนเง้ียวของไทยใหญ่ ฟ้อนม่านของพม่า เป็นต้น ลีลาท่าฟ้อนจะ
สะทอ้ นความเปน็ อยทู่ ่ีเรียบงา่ ย

2. กลุ่มฟ้อนทไี่ ด้รบั อทิ ธพิ ลจากวัฒนธรรมหลวง ผฟู้ อ้ นเปน็ เจ้านายพระวงศฝ์ ่ายใน จะฟอ้ นเฉพาะในงาน
สำคัญในเขตพะราชฐาน อาทิ การตอ้ นรับแขกบ้านแขกเมืองในคุ้มเจ้าหลวง ลกั ษณะลีลาท่าฟ้อนมีระเบียบแบบแผน
ประณีต งดงาม ถ่ายทอดจากราชสำนกั ในท่นี ้ีจะขอยกตวั อย่างของฟอ้ นทางภาคเหนือ คือ ฟอ้ นเลบ็ มาให้นกั เรียน

ได้ศกึ ษา ฟ้อนเลบ็

ประวัติความเป็นมา
ฟอ้ นเลบ็ เป็นการฟ้อนของชาวไทยภาคเหนอื เปน็ ศลิ ปะการแสดงท่ีเปน็ เอกลักษณ์ของภาคเหนอื โดยเฉพาะ

รปู แบบการฟ้อน มี 2 รูปแบบ คอื แบบพ้นื เมือง และแบบคุ้มเจ้าหลวง กระบวนท่ารำเปน็ ลีลาท่าฟอ้ นท่ีมีความงดงาม
นิยมฟ้อนในเวลากลางวัน สำหรับชือ่ ชุดการแสดงจะมีความหมายตามลักษณะของผู้แสดงทจี่ ะสวมเล็บยาวสีทองทุกนิ้ว
ยกเว้นนิว้ หัวแม่มอื

ฟอ้ นเล็บของกรมศิลปากร ได้รับรูปแบบการฟอ้ นจากคุ้มเจา้ หลวง เจ้าผู้ครองนครเชยี งใหม่ พราะราชชายาเจ้า
ดารารัศมี เป็นผู้ปรับปรุง ซ่ึงได้นำมาเผยแพร่ที่กรุงเทพมหานครในคราวสมโภชพระเศวตคชเดชน์ดิลก ช้างเผือกใน

8

รัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2470 แล้วนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏ ศิลป กรม
ศลิ ปากร ได้นำมาฝึกให้คณะละครหลวงในรัชกาลที่ 7 และถ่ายทอดให้เป็นชดุ การแสดงของกรมศิลปากรโดยมีเนื้อร้อง
ประกอบการแสดง เพอ่ื เป็นการบวงสรวงหรอื ฟ้อนตอ้ นรับตามประเพณีทางภาคเหนอื

รปู แบบ และลักษณะการแสดง
ฟอ้ นเลบ็ เป็นการฟ้อนด้วยท่ารำประกอบทำนองเพลง และรำตามบทร้อง เปน็ การรำตีบท หรอื การรำใช้บท

และในช่วงทำนองเพลงรับ ผแู้ สดงก็จะทำท่ารบั ความงดงามของการรำฟอ้ นเล็บจะอย่ทู ี่กระบวนทา่ รำในลักษณะตา่ ง ๆ
ที่มีความหมายแสดงถึงการบวงสรวงหรือการเช้ือเชญิ ต้อนรบั แขกผูม้ าเยือน เพื่อให้เกิดความประทบั ใจ นอกจากนี้ใน
การฟอ้ นจะมกี ารแปรแถวในลกั ษณะต่าง ๆ

การแตง่ กาย
นุ่งผ้าซิ่นป้าย ยาวกรอมเท้า สวมเส้ือแขนกระบอกปล่อยชายอยู่ด้านนอก ห่มสไบกรองสีทอง เคร่ืองประดับ

สร้อยคอ ตา่ งหู ผมเกล้ามวยติดดอกไม้ และห้อยอบุ ะ
นางลมุล ยมะคปุ ต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศลิ ปไ์ ทย วทิ ยาลัยนาฏศลิ ป กรมศลิ ปากร ไดใ้ หข้ ้อมูลไวว้ ่า การ

ฟอ้ นเลบ็ ฟ้อนเทียนในคมุ้ เจ้าหลวง ผ้แู สดงทกุ คนจะสวมกำไลขอ้ เท้าด้วย

ดนตรี และเพลงทใ่ี ชป้ ระกอบการแสดง

ใช้วงดนตรพี ้ืนเมอื งภาคเหนอื

เพลงที่ใชป้ ระกอบการแสดง ได้แก่ เพลงในจงั หวะฟ้อน เพลงต้นผีมด และเพลงผีมด

บทร้องฟ้อนเลบ็

ต้ปี าโมป่ า ฮา................... ซางไซยาโอมองโล๊ะ แลเปีย้ ว

มะลันโซมโหฬา ลามะแจ้ต๊ปี าตะแน

ปา๊ นปา่ นโตเ้ วเฮ เตเ๊ ตโลท้ า ฮา....เต.้ ..เต้โล่ทา

คนิ แตโ่ ซ โลล่นั เปยี ว เอโส เอตา่ งโมล่ า

โอกาสที่ใชแ้ สดง
แสดงครงั้ แรกในคราวสมโภชพระเศวตคชเดชนด์ ลิ ก ช้างเผอื กในรัชกาลที่ 7 และเผยแพรใ่ ห้ประชาชนชม

9

การแสดงนาฏศิลป์พืน้ เมืองภาคกลาง

การแสดงนาฏศิลป์หรอื การละเล่นพ้นื เมืองภาคกลางมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะเล่นในหน้าเทศกาลบ้าง
เล่นกันในงานรื่นเริงท่ัวๆ ไปบ้าง บางประเภทเป็นการร้องโต้ตอบกัน อาทิ เพลงเรอื ลำตัด การแสดงพ้ืนเมืองที่นิยม
เลน่ กันทัว่ เช่น ลเิ ก รำวง เตน้ กำรำเคียว กลองยาว เปน็ ต้น ในท่นี ี้จะกล่าวถึงการแสดงพ้ืนเมืองที่เรียกวา่ กลองยาว
เพ่อื จะได้ทราบไว้เปน็ แนวทางในการศกึ ษา ดงั นี้

รำกลองยาว / เถิดเทิง

ประวัติความเป็นมา
รำกลองยาว มีช่ือเรียกอีกหลายชื่อ เช่น เถิดเทิง เทิ่งบองกลองยาว เป็นการเล่นท่ีมีวงกลองยาว เป็นหลัก

ใช้ลีลาท่าทางการร่ายรำประกอบ ซึ่งไม่ได้ยึดแบบในการร่ายรำมากนัก กลองยาวมีผู้สันนิษฐานว่า ตอนปลายสมัย
อยุธยา พมา่ เขา้ มาตั้งค่ายทำศกึ สู้รบกับคนไทย เวลาว่างพวกทหารพม่ากเ็ ล่นกลองยาวกัน คนไทยเห็นวา่ เป็นการเล่นที่
สนกุ สนาน กลองยาวของไทยกม็ อี ยู่ จงึ นำมาปรบั ปรงุ เปน็ การละเลน่ พืน้ บา้ นของภาคกลางนบั ต้งั แต่น้ัน

ต่อมากรมศิลปากร ได้จัดทำการแสดงรำเถิดเทิงให้มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน ท้ังในดา้ นจังหวะของการตีกลอง
การรำ ตลอดจนการบรรเลงเพลงประสาน ทำให้มีความวิจิตรยง่ิ ข้ึน การแสดงชดุ น้ีจึงได้รับความนิยมเป็นทีแพร่หลาย
มากชดุ หน่งึ

10

รูปแบบ และลักษณะการแสดง
การแสดงรำเถิดเทิง จะเป็นการแสดงรำหยอกล้อย่ัวเย้าของฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง โดยมีการตีกลองยาวเป็น

จังหวะ ประกอบการรุกเร้า และเกี้ยวพาราสีกนั ซึ่งแสดงออกถงึ ความสนกุ สนานร่ืนเริงทั้งฝา่ ยผ้บู รรเลง ผู้แสดง ผูช้ ม
ในส่วนของนักดนตรีประกอบจังหวะจะรอ้ งเพลงประกอบ เป็นเพลงง่าย ๆ สั้น ๆ สนุกสนาน เนอ้ื หาไมเ่ ป็นสาระ เพื่อ
เพ่ิมความสนุกสนานเรา้ ใจ ใหก้ ับการแสดงชดุ นอ้ี กี ส่วนหน่งึ
เครอ่ื งแต่งกาย

ผแู้ สดงชาย นุ่งกางเกงขาสามส่วน สวมเสื้อคอกลม มีผ้าคาดเอว และผ้าโพกศีรษะ สีเสื้อผ้าเป็นชุดเดียวกัน
สะพายกลองยาว

ผแู้ สดงหญิง นุ่งซ่ินมีเชิง ปา้ ยขา้ งยาวกรอมเทา้ สวมเสอื้ แขนกระบอกคอตง้ั ห่มผ้าสไบอัดจบี และคาดเขม็ ขัด
ทับเสอ้ื สวมเคร่ืองประดบั สร้อยคอ และต่างหู ปลอ่ ยผมทดั ดอกไม้

ดนตรี และเพลงที่ใชป้ ระกอบการแสดง
ใช้วงกลองยาว และวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ( ใช้ป่ชี วาแทนปใี่ น )
เพลงที่ใชป้ ระกอบการแสดง ไดแ้ ก่ เพลงพม่ากลองยาว ( หรือเรียกอกี ชื่อวา่ เพลงเงย้ี วเรว็ )

โอกาสที่ใช้แสดง
ใช้เป็นการแสดงเอกเทศ การแสดงชุดนใ้ี ช้เวลาแสดงประมาณ 10 นาที ข้ึนไป

11

การแสดงนาฏศิลป์พืน้ เมอื งภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน มีหลายชนิดแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม
ทอ้ งถ่ิน โดยหลกั ใหญ่จำแนกออกเป็น 2 กลมุ่ คือ กลมุ่ อีสานเหนอื ในภาคอีสานยกเวน้ สามจงั หวดั ในกลมุ่ อีสานใต้ คือ
จงั หวัดสุรินทร์ บุรรี ัมย์ และศรสี ะเกษ กลุ่มอสี านเหนือ มีการแสดงพื้นเมือง เช่น เซ้ิงบ้ังไฟ หมอลำ เป็นต้น กลุ่ม
อสี านใต้มกี ารแสดงพ้ืนเมือง คือ เรอื มอันเร กนั ตรึม

“เซ้ิง” เป็นการแสดงที่กระฉับกระเฉง สนุกสนาน เช่น เซิง้ โปงลาง เซง้ิ สวิง เซ้ิงกระหยงั เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว เป็น
ต้น สำหรบั การแสดงพน้ื เมอื งภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื นกั เรยี นจะไดศ้ กึ ษาเกี่ยวกับ เซ้ิงกระตบิ ข้าว

เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว

ประวตั คิ วามเป็นมา
เซงิ้ กระติบข้าว เป็นการแสดงพ้ืนเมืองของชาวภไู ท ซงึ่ เป็นชาวไทยเผา่ หนึ่งที่มีเชือ้ สายสืบต่อกนั มาช้านาน ใน

ดนิ แดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร และจังหวัดข้างเคียง เซ้ิงกระติบขา้ ว
นิยมแสดงกันในโอกาสร่ืนเริง วนั นักขตั ฤกษ์

การแสดงชุดนี้ เร่ิมแพร่หลายไปในจังหวัดอื่น ๆ และเป็นที่นิยมแสดงกันในกรุงเทพฯ สืบเนื่องมาแต่กรม
ศิลปากรได้เรียนขอร้องพลโทแสวง เสนาณรงค์ ( เวลานั้นเป็นเลขาธิการนำเนียบนายกรัฐมนตรี ) ให้ช่วยติดต่อกับ

12

หัวหน้าหมู่บ้านในจังหวัดสกลนครให้นำคณะผู้เล่นเซิ้งกระติบข้าวของชาวจังหวัดน้ัน เข้ามาฝึกสอนศิลปินของกรม
ศิลปากร เพื่อเตรียมไว้แสดงต้อนรับพระราชอาคันตุกะที่จะเดินทางมาเยือนไทย กรมศิลปากรได้จัดให้ศิลปินของกรม
ศลิ ปากรฝกึ หัดไว้ และนำออกแสดงต้อนรับพระราชอาคนั ตุกะ ณ โรงละครศิลปากร 2 คร้ัง คือ แสดงต้อรับ ฯพณฯ นาย
พลปาร์ก จุงฮี ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ และภริยา เม่ือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2507 และแสดงถวาย
ตอ้ นรบั สมเดจ็ พระเจา้ ไฮเล เซลาสซี ท่1ี พระจักรพรรดิแหง่ เอธโิ อเปีย เม่ือวันท่ี 2 พฤษภาคม 2511
รปู แบบ และลกั ษณะการแสดง

เซิ้งกระติบข้าวเป็นการรำหมู่ประกอบด้วยผู้แสดง 6 คน ท่ารำประดิษฐ์ข้ึนโดยเลียนแบบกิริยาท่าทางที่เป็น
ธรรมชาตขิ องหญิงสาว ในการนำอาหารออกไปส่งให้แก่บุคคลอันเป็นท่รี ัก ความสวยงามของการรำอยู่ที่กระบวนท่าท่มี ี
ลักษณะกิริยาท่าทางเดินของหญิงสาวทั้งแบบช้า เหมือนการเดนิ ทอดนอ่ ง และการเดินแบบเรง่ รีบ การดีดข้าวเหนียว
การป้ันข้าวเหนียวเป็นต้น นอกจากน้ียังมีการแปรแถวในลักษณะต่าง ๆ เร่ิมตั้งแต่แถวปากพนัง แถวตรง แถววงกลม
และแถวเฉียง

เคร่อื งแต่งกาย
เครอ่ื งแตง่ กายเซง้ิ กระติบขา้ ว ประกอบด้วย
1. เสื้อคอต้งั แขนกระบอก
2. กระโปรงสัน้ คลมุ เข่า ปา้ ยขา้ ง
3. สไบเฉยี ง ปล่อยชายดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง
4. เคร่อื งประดับ ประกอบด้วย สร้อยคอ ตา่ งหู กำไลข้อมอื สร้อยขอ้ เท้า
5. ศรี ษะ เกลา้ ผมมวยกลางศรี ษะ ตดิ ดอกไม้
6. กระติบขา้ ว

ดนตรี และเพลงทีใ่ ชป้ ระกอบการแสดง
ใช้วงดนตรพี ้นื เมืองอีสาน ประกอบดว้ ย แคน กลองอีสาน ฉ่งิ ฉาบเล็ก
เพลงท่ใี ชป้ ระกอบการแสดง ได้แก่ เพลงเต้ยโขง

โอกาสทใี่ ชแ้ สดง
แสดงต้อนรบั พระราชอาคนั ตุกะ และเผยแพรใ่ หป้ ระชาชนชม

13

การแสดงนาฏศลิ ป์พ้นื เมืองภาคใต้

การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใตส้ ะท้อนให้เห็นค่านิยมทดี่ ีในทอ้ งถิ่น ไดร้ บั การฝึกฝนอบรมใหเ้ คารพกติกาของ
สังคม ทม่ี ีบทบาทต่อความเชื่อ พิธีกรรม เช่น หนงั ตะลงุ โนราห์ และด้วยเหตุท่ีภาคใต้มีวัฒนธรรมมสุ ลิม ซงึ่ ไม่นยิ ม
ให้สตรเี ข้าสังคมกับสภุ าพบรุ ษุ ในยคุ แรก ๆ การแสดงจงึ จำกดั อยูเ่ ฉพาะสตรี ต่อมาเมื่อไดร้ ับวัฒนธรรมตะวันตก จึงมีการ
แสดงร่วมกันระหว่างชาย – หญิง เช่น การเต้นรองเง็ง ซัมเป็ง แต่ลักษณะในการเต้นยังไม่มีการจับคู่แบบตะวันตก
เป็นแคเ่ พียงชายและหญงิ ตา่ งคนต่างเดนิ โดยไมถ่ ูกเนือ้ ตอ้ งตวั กัน

การแสดงพ้ืนเมืองภาคใต้มีหลายชุด แตใ่ นที่นี้จะกล่าวเฉพาะนาฏศิลป์พื้นเมอื งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเพ่อื เป็น
ตัวอยา่ ง คือ การเต้นรองเงง็

รองเง็ง

ประวัติความเป็นมา
รองเง็ง แต่เดิม เป็นการละเล่นของชาวมาเลเซีย ซ่ึงมาเลเซียได้รับอิทธิพลจากตะวันตก โดยเฉพาะเสปน

และโปรตเุ กสท่มี าตดิ ต่อค้าขายกบั ชาวมลายู
การแสดงรองเง็ง แตเ่ ดมิ แสดงเฉพาะในบา้ นขนุ นางหรอื เจา้ ผคู้ รองเมืองเท่านั้น โดยฝึกหดั การเต้นเอาไวต้ อ้ นรับ

แขกบ้านแขกเมือง ต่อมาค่อย ๆ แพร่หลายไปสู่ชาวบ้าน โดยผ่านการแสดงมะโหยง่ ของชาวบ้าน เม่ือหยุดพักกน็ ำการ
เต้นรองเง็งออกมาค่ันเวลา ผู้แสดงมะโหย่งก็อาจรว่ มเต้นด้วย ทำให้การเต้นรองเง็งแพร่หลายข้ึน ต่อมาประเพณีการ
แสดงรองเง็งก็เปลีย่ นไป เปิดโอกาสใหผ้ ้ชู มทเ่ี ปน็ ผูช้ ายข้ึนไปเตน้ ด้วยเชน่ เดยี วกบั รำวงของภาคกลาง

14

รปู แบบ และลักษณะการแสดง
การเตน้ รองเง็งส่วนใหญม่ ชี ายและหญงิ ฝา่ ยละ 5 คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนงึ่ และหญงิ แถวหน่ึง ยนื ห่าง

กันพอสมควร ดงั ทก่ี ล่าวมาแล้วว่าการเต้นแบบนี้ต้องใช้ลลี ามอื เท้า และส่วนลำตัว เคล่ือนไหวไปข้างหน้าข้างหลังให้เข้า
กบั ดนตรี อีกประการหนึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่า ความสวยงามและความน่าดูของศิลปะรองเง็งอยู่ที่การใช้เท้าเต้นให้เข้ากับ
จังหวะ ส่วนการร่ายรำเป็นเพียงองค์ประกอบ
เครื่องแตง่ กาย

ชาย สวมเสื้อคอกลมแขนยาว จะเป็นผ้าชุดเดียวกับกางเกง นุ่งผ้าโสร่งเน้ือดี มีเส้นลายสีทองสลับดูแวววาว
โดยโสรง่ จะพับทบสูงพอดีเขา่ ปล่อยกางเกงยาวลงมาถึงข้อเท้า

หญิง นุ่งผ้าปาเตะ๊ ยาวกรอมเท้า สวมเส้ือลูกไมโ้ ปรง่ บาง มผี ้าคลอ้ งคอ ไมส่ วมรองเท้า แตป่ ัจจบุ นั อาจมีการ
สวมรองเท้าแล้วแตโ่ อกาสและสถานท่ี

ดนตรี และเพลงที่ใชป้ ระกอบการแสดง
ใชว้ งดนตรีพ้ืนเมอื งภาคใตต้ อนล่าง ประกอบด้วย แมนโดลิน ไวโอลนิ แอคคอร์เดยี น รำมะนา และมารากสั
เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง มีจำนวน 7 เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอ เพลงลานัง เพลงปูโจ๊ะบีซัง เพลงซินตาซายัง

เพลงอาเนาะดีดิ เพลงมะอีนังชวา และเพลงมะอนี ังลามา

โอกาสที่ใชแ้ สดง
แตเ่ ดิมแสดงเฉพาะรับแขกบ้านแขกเมอื ง ปจั จบุ นั แสดงได้ทุกโอกาส แตต่ อ้ งเปน็ งานมงคลเท่านั้น

15

สรปุ
นาฏศิลป์พ้ืนเมือง เป็นการแสดงท่ีเน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถ่ิน ได้แก่ นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ

เช่น ฟ้อนเล็บนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เช่น รำกลองยาว/เถิดเทิง นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เชน่ เซิ้งกระตบิ ข้าว นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคใต้ เชน่ รองเง็ง เปน็ ตน้ ปจั จัยท่ีมีอิทธิพลต่อการแสดงนาฏศลิ ป์พ้ืนเมอื งได้แก่
สภาพทางภมู ิศาสตร์ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ค่านิยมและความเชอ่ื และวฒั นธรรมต่างชาติ

16

การแสดงละครและโขน

ละคร หมายถึง มหรสพอย่างหนึ่งท่ีแสดงเป็นเรื่องราว มีจดุ มุ่งหมายให้ความบันเทิงแกผ่ ู้ชม โดยมีผแู้ สดงเป็น
สื่อนำเรื่องราวนน้ั ๆ มาสู่ผู้ชม ลกั ษณะของการละครไทยมกี ารพฒั นาหลายอย่างต่อเน่ืองตามสภาพสงั คมและความนยิ ม
ของประชาชน ละครไทยเร่ิมมีรูปแบบที่ชัดเจนในสมัยอยุธยา มีการแสดงละครชาตรี ละครนอก ละครใน และโขน
ละครไทยมีหลายประเภท แตล่ ะประเภทมลี ักษณะรูปแบบการแสดงท่แี ตกตา่ งกนั ดงั นี้

ละครชาตรี “รำซัดชาตรเี บิกโรง”

1. ละครชาตรี
ละครชาตรหี รอื ละครโนรา ตัวแสดงแยกเป็นตัวพระและตวั นาง ตวั ตลกหรือตวั จำอวด
โรงละคร ไม่มฉี ากประกอบยกเว้นให้มีเสากลางโรง 1 ต้น เรยี กว่า เสามหาชัย เสานี้ผู้แสดงละครชาตรี

ถอื วา่ สำคัญมาก เปรยี บเป็นตัวแทนของพระวิษณุกรรมท่มี าค้มุ ครองผู้แสดง เสามหาชัยนจ้ี ะผูกผ้าแดง และใช้เป็นที่ผูก
ซองกลี (ซองที่ใสอ่ าวุธต่าง ๆทใี่ ชใ้ นเรื่องท่ีแสดง) ทั้งนีเ้ พื่อสะดวกในการแสดง นอกจากเสามหาชัยแล้ว ก็มีเตียงหรือ
ตงั่ เป็นท่ีน่ังของตัวละคร

การแตง่ กาย ในอดีตจะไม่สวมเส้อื แสดง เพราะใช้ผูช้ ายในการแสดง ภายหลงั เมื่อใชผ้ ู้หญงิ แสดงจงึ สามารถ
สวมเสื้อได้ และสวมสนับเพลากรอมเท้า นุ่งผ้าจีบโจงหางหงส์ มีห้อยหน้าเจียระบาด สังวาล ทับทรวง กรองคอ
เช่นเดียวกับตัวพระในละครรำไทยท่ัวไป ศีรษะสวมเทริดชาตรี การแต่งกายของตัวนางจะมีเสื้อในนาง ผ้านุ่งจีบหน้า
นาง จี้นาง นวมนาง ตัวตลกแต่งตัวธรรมดา แต่สิ่งสำคัญของตัวตลกจะต้องมีผ้าขาวม้าติดตัว ซง่ึ ใช้แทนสิ่งตา่ ง ๆ ใน
การแสดง

การแสดง เร่ิมต้นบูชาเบิกโรงครู โดยตัวพระออกมารำซัดชาตรี เพ่ือปัดเป่าความไม่ดีท้ังหลายก่อนเร่ิม
แสดง มีการกล่าวอาคมกำกับ จากนัน้ จึงเร่มิ เรื่องท่จี ะแสดง ตวั ละครจะร้องเองส่วนตัวละครอืน่ เป็นลูกคู่ เมอื่ จบเรอื่ งท่ี
แสดงจะมกี ารรำซัดอีกครงั้ หนงึ่ เพ่ือคลายอาคมที่กำกับไว้ เร่อื งทแี่ สดง เชน่ พระรถเสน มโนราห์ เปน็ ต้น

ดนตรี ใชว้ งปีพ่ าทย์ชาตรี ประกอบดว้ ย ปี่ โทน ฆ้องคู่ กรับ และกลองชาตรี
ละครชาตรีในปัจจุบันมีลกั ษณะคล้ายกับละครนอกท้ังฉากและดนตรี ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปตามความถนัด
ของผเู้ ล่นและคณะละคร และเพอ่ื ความเหมาะสมกับงาน

17

ละครนอก เร่อื งไชยเชษฐ์
ตอน นางแมวเยย้ ซมุ้

2. ละครนอก
พัฒนามาจากละครชาตรี การแสดงละครนอก แต่เดิมใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาใช้ผู้หญิงแสดงเช่นเดียวกับ

ละครชาตรี
โรงละคร มีฉากผืนเดียวไม่มีการเปล่ียนหน้าฉาก และมีการตั้งเตียงสำหรับตัวละคร ด้านข้างของฉาก

เปน็ ทางเขา้ ออก ดา้ นหลังฉากเป็นทแี่ ตง่ ตัวและทพี่ ักของตัวละคร
การแตง่ กาย เมือ่ ใช้ผชู้ ายแสดงล้วนจะไม่สวมเสือ้ ตอ่ มาเม่ือใชผ้ ู้หญิงแสดงจงึ สามารถสวมเสื้อแสดงได้ การ

แต่งกายเหมือนกบั ละครชาตรี เพียงแต่เพ่ิมเครื่องสวมศีรษะไดท้ ุกชนดิ ทั้งตัวพระและตัวนาง เส้ือผ้าตกแตง่ ด้วยเลื่อม
ดน้ิ แต่ในสมยั รชั กาลที่ 4 มีข้อหา้ มไมใ้ หใ้ ช้รัดเกลา้ ยอด

การแสดง ละครนอกเป็นการแสดงที่เน้นความสนุกสนาน สอดแทรกตลก ดำเนินเร่ืองรวดเร็ว ผู้แสดง
ขบั รอ้ งเอง การรอ้ งเหมอื นละครชาตรี คอื มีลุกคู่รับ แต่ปัจจุบนั ผู้แสดงไม่ตอ้ งขบั ร้องเอง การร่ายรำมลี ักษณะวอ่ งไว
กระฉับกระเฉง เร่ืองที่แสดงสามารถแสดงไดท้ กุ เรื่อง ยกเวน้ เพียง 3 เร่ือง คอื อเิ หนา รามเกียรติ์ และอุณรุท

ดนตรี ใช้วงป่ีพาทย์เครื่อง 5 ก่อนการแสดง วงป่ีพาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรง เป็นการเรียกคนดู
เพลงท่ีใช้ร้องประกอบการแสดงเป็นเพลงช้ันเดยี ว หรือเพลง 2 ชั้น ท่ีมจี ังหวะรวดเร็ว ไม่มีการเอ้ือนมาก การดำเนิน
เรอื่ งใชก้ ารรอ้ งเป็นหลกั เพลงสำหรับละคนนอก เชน่ เพลงปีนตล่ิงนอก เพลงชมดงนอก ร่ายนอก เปน็ ต้น

18

ละครใน เร่อื งอเิ หนา
ตอน ไหวพ้ ระ

3. ละครใน
เป็นละครท่ีใช้ผู้หญิงแสดงล้วน จัดเป็นเคร่ืองราชูปโภคอย่างหนึ่ง ดังน้นั คนท่ัวไปไม่มีสิทธ์ิในการมีละครผู้หญิง

ได้เลย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้คนทั่วไปมีละครผู้หญิงได้
ละครในจงึ มขี ้ึนในสังกัดผูม้ ีบรรดาศักดิท์ ั่วไป

โรงละคร เดิมใช้สถานท่ีในพระราชฐานเป็นฉากจริง ต่อมามีการจัดทำเป็นฉากตามอย่างละครดึกดำ
บรรพ์

การแตง่ กาย แตง่ กายตามแบบแผนของกษัตรยิ ์จริง ๆ เรียกว่า แตง่ ยืนเครื่องพระ ยนื เคร่อื งนาง หรือแตง่ ยืน
เครื่องพระนาง

การแสดง เร่ิมต้นด้วยการรำเบิกโรง การดำเนินเรื่องมีระเบียบแบบแผน มุ่งเน้นกระบวนการร่ายรำ
สวยงาม ดนตรีขับร้องไพเราะ แสดงถึงความสามารถของผู้แสดงด้านการร่ายรำเป็นสำคัญ ผู้แสดงไม่ต้องขับร้องเอง
เพราะมผี ูข้ ับร้องและบรรเลงดนตรีประกอบการแสดง ใช้เพลงหน้าพาทยป์ ระกอบกริ ยิ าอาการของตัวแสดง เร่ืองท่แี สดง
คือ อิเหนา รามเกียรต์ิ อุณรทุ

ดนตรี ใชว้ งป่ีพาทย์เครอื่ งคู่หรือเคร่ืองใหญ่ มีการบรรเลงเพลงหนา้ พาทย์ประกอบการแสดงคล้ายกับ
การแสดงโขน การขบั ร้องและบรรเลงมีความประณีต ไพเราะ

การแสดงเบกิ โรงละครใน รำกิง่ ไม้เงนิ ทอง

19

การแสดงโขนโรงนอกหรือโขนน่ังราว

เรื่องรามเกยี รต์ิ

4. โขน
พฒั นามาจากการแสดง 3 ประเภท คือการแสดงชักนาคดกึ ดำบรรพส์ มัยอยธุ ยา การแสดงกระบก่ี ระบอง ซง่ึ

เป็นวชิ าป้องกันตวั สมยั โบราณ อาวธุ ที่ใชต้ ่อสู้ ได้แก่ มดี ดาบ หอก ไมพ้ ลอง และการแสดงหนงั ใหญ่ ซ่ึงเป็นมหรสพ
ในสมัยอยุธยา การแสดงทั้ง 3 ประเภทน้ี เป็นการแสดงทใ่ี หอ้ ทิ ธิพลกับโขนในด้านเนอ้ื เร่อื ง และลีลาการเชิดหนังใหญท่ ี่
เรยี กกันวา่ “เตน้ โขน” หรือ “ท่าเตน้ ”

โรงโขน หรอื เวทีสำหรบั แสดงโขน สามารถปรับเปล่ยี นได้ตามชนดิ ของโขน มดี ังนี้
โขนกลางแปลง แสดงกลางแจ้งหรอื กลางลาน มีการสร้างฉากตน้ ไม้ ลำธารเหมือนของจริง หรือนำของจริงมา
ใช้ประกอบการแสดง ไมใ่ ช้เวที
โขนนง่ั ราว หรือโขนโรงนอก สร้างเวทลี ักษณะกว้างยาวแบบส่เี หลยี่ มผนื ผา้ ใช้ลำไมไ้ ผ่มาพาดตามความ
ยาวของเวที เพอ่ื ให้ผู้แสดงน่งั แทนเตียงหรอื ต่งั ตามลำดบั ชนั้ หรือยศ ตาสบิ แปดมงกุฎนงั่ กับพน้ื เวที
โขนหน้าจอ ลกั ษณะเวทีเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบโขนนงั่ ราว มีการทำฉากดา้ นหลงั คือจอด้านหลงั เขียนรปู
เปน็ ฉาก ด้านขา้ งเจาะทำเป็นประตสู ำหรบั เข้าออก 2 ข้าง ตัง้ เตียงที่ปลายสดุ ของเวทีท้ังสองดา้ น สำหรบั ฝ่ายพระราม
และทศกัณฐ์
โขนโรงในและโขนฉาก เปน็ การแสดงในโรงละคร มีการสร้างฉากประกอบตามทอ้ งเร่อื ง มีกที่ ำให้ตวั ละคร
เหาะได้ ทำใหผ้ ู้ชมสนกุ สนานกบั การชมการแสดงมากขนึ้
การแตง่ กาย ผู้แสดงเป็นตวั ยักษ์และตัวลงิ นุ่งสนับเพลา และนุง่ จีบโจงกน้ แปน้ ทับสนับเพลา ตัวพระนุ่ง
จีบโจงหางหงสท์ บั สนับเพลา นกั บวชนงุ่ แบบดองตะพดั ตวั นางแต่งแบบยนื เครือ่ งนาง สว่ นศีรษะเปล่ยี นไปตามสถานะ
ของตวั ละคร ส่งิ สำคญั ของเหลา่ ทหารฝ่ายยกั ษ์และฝ่ายลงิ คือ ต้องถอื อาวุธท่ใี ชอ้ ยเู่ สมอ ตั้งแตส่ มัยรัชกาลที่ 6 จะมี
การกำหนดสเี สอ้ื ของตวั ยกั ษ์ ดงั น้ันถ้าตัวเส้ือสีเขียว แขนเส้อื (แขนยาว) จะเป็นสีแดง ถ้าตวั เส้ือสีแดงแขนเสือ้ จะเป็นสี
เขยี ว ส่วนตวั ลงิ สีของเสอ้ื จะเหมือนกบั หัวโขนท่ีสวม สวมเครอ่ื งประดับเหมือนกับเครอื่ งประดับละครรำไทย เช่น กำไล
เทา้ แหวนรอบ กำไลแผง เข็มขัด ทับทรวง กรองคอ กนกแขน อินทรธนู สังวาล เป็นต้น
การแสดง โขนแสดงเรื่องเดียว คือ เรื่องรามเกียรต์ิ หรือรามายณะ แต่งโดยพระฤาษีวาลมิกิของอินเดีย
เป็นเร่ืองของพระนารายณ์อวตารลงมาปราบอสูรท่ีทำความเดือดร้อนให้กับเทวดาและมนุษย์ เร่ืองราวของพระรามเป็น
เพยี งปางเดียวในหลายๆ ปาง ทพี่ ระนารายณ์อวตารลงมาปราบเหล่าร้าย การแสดงโขนใช้ผู้ชาย แมแ้ ต่ตวั นางในเรื่องก็
ใช้ผู้ชาย แต่ในปัจจุบันใช้ผู้หญิงแสดงเป็นตัวนางได้ การแสดงโขนมักแสดงเป็นตอน เช่น ตอนนางลอย ตอนศึกกุม
ภกรรณ เป็นต้น ส่วนใหญ่การแสดงมักเป็นการยกทัพต่อสู่กันระหว่างทัพยักษ์กับทัพลิง ที่เรียกว่า ยกรบ ทำให้เห็น
ความสวยงามของท่ารำแลเครอ่ื งแต่งกาย ความพร้อมเพรียงของกระบวนท่ารำ

20

ดนตรี ใชว้ งป่ีพาทยไ์ ม้แข็ง เน่ืองจากผู้แสดงโขนทกุ คนต้องสวมหัวโขน ดังนั้นการดำเนินเรื่องจงึ ตอ้ ง
ใช้บทพากย์สลับด้วยการเจรจา รวมถึงการร้องประกอบการแสดง คำพากย์ใช้คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี และกาพย์
ฉบงั เป็นตน้

การแสดงโขนประเภทต่าง ๆ

โขนโรงนอก หรอื โขนนั่งราว

โขนกลางแปลง

โขนโรงใน

โขนหนา้ จอ

21

โขนฉาก

ละครดึกดำบรรพ์ เรอื่ ง คาวี ตอน เลห่ น์ างเฒา่ - เผาพระขรรค์

5. ละครดกึ ดำบรรพ์
เป็นละครท่ีปรับปรุงข้ึนในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าพระยาเทเวศรว์ งศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) ดัดแปลงมาจาก

การแสดงคอนเสิร์ต (Concert) โดยยึดแบบแผนเหมือนละครใน เดิมใช้เป็นการแสดงต้อนรับเจ้านายและชาว
ต่างประเทศท่เี ปน็ แขกเมืองตามรับสงั่ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เจ้าพระยาเทเวศรว์ งวิวฒั น์กราบทูล
ขอใหส้ มเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ัดตวิ งศ์ทรงชว่ ยคิดรูปแบบการแสดง เดิมเป็นการร้องเข้ากับดนตรเี ท่าน้ัน ตอ่ มา
ภายหลังจงึ ปรบั ปรุงบทละครและทำนองเพลงสำหรบั ขบั รอ้ ง ผู้แสดงขบั รอ้ งเอง มีลกู คู่ร้องรับ

โรงละคร เรม่ิ แสดงในรูปแบบของละครครั้งแรกที่โรงละครดึกดำบรรพ์ อันเป็นโรงละครของเจ้าพระยา
เทเวศร์วงววิ ัฒน์ จึงเรยี กละครแบบนี้ว่าละครดึกดำบรรพ์ ตามชื่อโรงละคร และเรียกวงดนตรีทีป่ ระกอบการแสดงละคร
นวี้ ่า วงป่ีพาทย์ดกึ ดำบรรพ์ บนเวทีมกี ารจดั ฉาก เป็น 3 ตอน คือ ฉากหนา้ ฉากกลาง และฉากสุดท้าย การสบั เปลีย่ น
ฉากทำไดเ้ ร็ว และงดงามเหมาะสมกับเนอื้ เรือ่ งทแ่ี สดง

22

การแตง่ กาย แตง่ แบบละครใน มกี ารเน้นเรื่องการแต่งหน้าหรือเสรมิ ความงดงามของใบหน้าผ้แู สดงมากข้ึน
นอกจากนน้ั ยังนิยมเขยี นหนา้ ผู้แสดงบางคนแทนการสวมหัวโขน เช่น เจ้าเงาะ นางศูรปนขา เปน็ ต้น

ดนตรี ใชว้ งป่พี าทยด์ ึกดำบรรพ์ ประกอบการแสดง

นางศรู ปนขา วงปีพ่ าทย์ดึกดำบรรพ์
ใชก้ ารเขยี นหน้าแทนการสวมหัวโขน

ละครพันทาง เรอื่ ง ผชู้ นะสบิ ทิศ

6. ละครพนั ทาง
เกิดข้ึนในสมัยรชั กาลที่ 5 เป็นละครท่ีแสดงให้ประชาชนท่ัวไปชม ผรู้ ิเร่ิมละครพันทาง คือ เจ้าพระยามหินทร

ศกั ดธิ์ ำรง (เพญ็ เพญ็ กุล)
โรงละคร แสดงในโรงละครชอ่ื ปรนิ ซ์เธียเตอร์ ของเจ้าพระยามหินทรศักด์ธิ ำรง มฉี ากประกอบตาม

ทอ้ งเร่ือง
การแตง่ กาย แต่งตามเร่ืองที่แสดง คือ แต่งเครื่องแบบละครยืนเคร่ือง ตัวละครรองอื่น ๆ แต่งกายตาม

สถานะ สว่ นตวั ละครอืน่ แตง่ ตามวัฒนธรรมของชาตนิ ้นั

23

การแสดง การแสดงคล้ายละครนอก มีการนำเอาลักษณะการพูดแบบละครพดู และการร่ายรำแบบละคร
ในเขา้ มาผสมผสานกัน ใชบ้ ทเจรจา และดำเนนิ เรื่องดว้ ยคำรอ้ ง มีทา่ รำ และมีระบำตา่ ง ๆ สอดแทรกในการแสดง
เร่ืองทแ่ี สดงมกั เป็นเรอื่ งตา่ งภาษา เช่น พระลอ สามก๊ก ราชาธิราช ผู้ชนะสบิ ทศิ เป็นต้น

ดนตรี วงดนตรีทใี่ ช้ประกอบการแสดงละครพันทาง คือ วงปี่พาทยไ์ ม้นวม เพลงทร่ี อ้ งและบรรเลงใน
ตอนทแี่ สดงเรื่องราวต่างชาติ ใช้เพลงไทยที่มีสำเนียงเป็นภาษาของชาติน้ัน เรยี กว่า เพลงภาษา เช่น เพลงพมา่ เห่
ญาณทอดแห มอญรำดาบ เปน็ ตน้

ละครพันทางเรอ่ื ง ราชาธิราช
ตอน สมงิ พระรามแต่งงาน

“ระบำพมา่ นิมติ ”
เป็นระบำชุดหนึ่ง ที่ใช้ประกอบอยู่ในการ
แสดงละครพันทาง เร่ือง ผู้ชนะสิบทศิ

24

ละครเสภา เรอ่ื ง ขุนช้าง ขนุ แผน
ตอน พลายบวั เกี้ยวนางตานี

7. ละครเสภา
ละครเสภามีตน้ กำเนดิ มาจากการเล่านทิ าน เมอ่ื มผี ู้นิยมเล่ามากข้นึ จึงมกี ารปรับปรงุ ใหเ้ กดิ การแข่งขัน บางคน

จงึ ใสท่ ำนอง มีเครื่องประกอบจังหวะ หรือแตง่ นทิ านเปน็ กลอนส่งประกวด เครอ่ื งดนตรีประกอบจังหวะท่นี ยิ ม คอื กรบั
จึงกลายเปน็ การขับเสภาขึน้

เสภามีมาแต่สมัยอยุธยา โดยอยู่ในพระราชานุกูลของพระเจ้าแผ่นดิน ดังจะได้เห็นจากรัชสมัยของ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีข้อความกล่าวว่า “หกทุ่มเบิกเสภา ดนตร”ี ซึ่งหมายความว่า มีการนิยมขับเสภาในเขต
พระราชฐานนั่นเอง ในอดีตเสภาไมม่ ีการบรรเลงดนตรีประกอบ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย
ไดม้ กี ารใช้วงปพ่ี าทยบ์ รรเลงประกอบ

โรงละคร ใช้แสดงบนเวที มีการเปลี่ยนฉากไปตามทอ้ งเรอ่ื ง
การแต่งกาย ผู้แสดงแต่งกายตามทอ้ งเร่ือง
การแสดง มีท้ังท่ีตัวละครร้องเองและมีผู้ขับร้องให้ ดำเนินเรื่องด้วยการขับเสภาประกอบการขับร้อง
มีการร่ายรำประกอบการแสดงเลก็ น้อย ทา่ ทางการรำงดงามเหมอื นกับละครใน อาจมีบทตลกสอดแทรกได้ เรื่องท่นี ยิ ม
แสดงคอื เรื่อง ขนุ ชา้ ง ขุนแผน ไกรทอง เปน็ ตน้
ดนตรี ใช้วงปี่พาทย์เคร่ือง 5 ผสมด้วยกรบั เสภา ต่อมาในรัชกาลท่ี 2 นำกลองสองหน้ามาตีประกอบ
จงั หวะแทนตะโพน

ละครเสภา เรือ่ งไกรทอง ตอน พฆิ าตชาละวนั

25

ละครร้อง
เร่ือง สาวเครือฟา้

8. ละครรอ้ ง
เป็นละครทีเ่ กดิ ข้นึ ในสมัยรัชกาลท่ี 5 กรมพระนราธปิ ประพันธ์พงศท์ รงริเรม่ิ ขน้ึ เรยี กวา่ ละครหลวงนฤมิตร

เรอื่ งท่ีแสดงสว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งพงศาวดารและนยิ ายโบราณของไทย
โรงละคร แสดงในโรงละครเวที มฉี ากประกอบตามทอ้ งเรื่อง และจะแสดงท่โี รงละครปรดี าลัย

ภายหลงั จึงเรยี ก ละครปรีดาลยั ตามชอื่ โรงละคร
การแตง่ กาย แต่งตามเน้อื เร่ืองทแ่ี สดง
การแสดง ใช้ผู้หญิงแสดงบทสำคัญ ผู้ชายเป็นตัวตลกหรือตวั ประกอบเท่านั้น ไม่ใช้ท่ารำ ตัวละครร้อง

เอง มีลูกคู่ร้องรับเฉพาะส่วนที่เป็นท่อนเอื้อน มีการพูดสลับบทร้อง หรือพูดแทรกตลก ดำเนินเร่ืองด้วยการร้อง
เช่น สาวเครอื ฟ้า
ววิ าห์พระสมุทร ตุ๊กตายอดรัก เป็นต้น

ดนตรี ใช้วงปี่พาทยไ์ ม้นวมประกอบการแสดง

ละครร้อง เร่อื ง วิวาห์พระสมทุ ร

ในปัจจุบัน การแสดงละครร้องได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นละคร
เพลง แตม่ รี ปู แบบการแสดงท่ีใกล้เคียงกันกบั ละครร้องในอดตี
“ แม่นาคพระโขนง เดอะมิวสิคลั ”

26

ละครพดู เรอื่ ง เหน็ แก่ลกู

9. ละครพดู
เร่ิมแสดงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 ใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาเม่ือ

พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี 6 ขณะดำรงพระอสิ รยิ ยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จกลับ
จากประเทศอังกฤษ ทรงรเิ ร่มิ ละครพดู อย่างมีแบบแผน เรียกคณะละครของทานว่า ละครทวีปัญญา ต่อมาเปล่ียนชื่อ
เปน็ ละครศรอี ยุธยา มีละครพูดอีกคณะหน่ึงในสมยั เดียวกัน คือ ละครพดู ของเจ้าพระยาธรรมศักดม์ิ นตรี

โรงละคร การจัดฉากตามท้องเรือ่ ง ตามความเป็นจริงของเรื่องท่แี สดง
การแตง่ กาย แต่งตามบคุ คลในเรื่องอย่างธรรมดาสามัญ ตามสงั คมในสมัยนัน้ ๆ
การแสดง ในช่วงแรกนิยมให้ผู้ชายเป็นผู้แสดงจนกระทั่งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยูห่ ัว จึงโปรดให้มกี ารแสดงละครพูดจากบทพระราชนพิ นธเ์ รือ่ ง กลแตก จึงเปลี่ยนจากผู้ชายลว้ นเป็นชายจรงิ หญิง
แท้ การแสดงดำเนินเร่อื งดว้ ยการวิธีพดู ตัวละครแสดงท่าทางตามธรรมชาติ ประกอบกบั บทบาทไปตามเนื้อเรอื่ ง ไมม่ ี
ดนตรหี รือการรอ้ งเพลง แตม่ ฉี ากเปลย่ี นไปตามเนอ้ื เร่ือง
ดนตรี ไม่มีกำหนดว่าตอ้ งเป็นดนตรีชนิดใด เนื่องจากชว่ งเวลาท่ีมกี ารแสดงละครพูดได้เร่มิ มีวงดนตรี
สากลเข้ามาสู่ประเทศไทย การนำดนตรีมาประกอบจึงขึ้นอยกู่ ับผู้จัดวา่ จะนำดนตรีชนดิ ใดมาใชป้ ระกอบการแสดง และ
ตอ้ งไมท่ ำใหเ้ สยี รูปแบบของละครพูดดว้ ย

สรปุ
การละครไทยเป็นศิลปะการแสดงที่มีมาช้านาน มีรูปแบบที่หลากหลายเพื่อสร้างสุข ความบันเทิงให้กับผู้ชม

ละครแต่ละประเภทมลี ักษณะการแสดงท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์และมีคุณค่า บางประเภทมกี ารพัฒนาให้ทนั สมยั เหมาะสมกบั ยุค
และตอบสนองความต้องการของผู้ชม การละครไทยจึงเป็นศิลปะการแสดงท่ีทรงคุณค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์และ
พฒั นาสืบไป

27

ราวงมาตรฐาน

ประวัติความเป็นมา
รำวงมาตรฐาน คอื การรำที่มที ่ารำเป็นแบบแผนแน่นอน รำวงมาตรฐานมวี ิวัฒนาการมาจาก “รำโทน” เป็นการ

รำและการรอ้ งของชาวบ้าน ซ่งึ จะมีผรู้ ำท้งั ชายและหญงิ รำกันเปน็ คู่ ๆ รอบ ๆ ครกตำขา้ วทว่ี างคว่ำไว้ หรือไม่ก็รำกนั เป็น
วงกลม โดยมีโทนเป็นเคร่ืองดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำ และการร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผน
กำหนดไว้ คงเป็นการรำ และการรอ้ งงา่ ย ๆ มุ่งเน้นความสนุกสนานรนื่ เริงเปน็ สำคญั เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล
เพลงหลอ่ จรงิ นะดารา เพลงตามองตา เพลงใกลเ้ ข้าไปอีกนดิ ฯลฯ ดว้ ยเหตุท่กี ารรำชนดิ น้ีมโี ทนเปน็ เครอ่ื งดนตรีประกอบ
จังหวะ จึงเรียกการแสดงชดุ น้วี ่า “รำโทน”

ตวั อยา่ งเพลงรำโทน โทน เคร่อื งดนตรที ีใ่ ช้
ประกอบการแสดงรำโทน
เพลงตามองตา
ตามองตา สายตาก็จอ้ งมองกนั
รูส้ ึกเสยี วซา่ นหัวใจ จะวา่ รักฉนั กไ็ มร่ กั
จะวา่ หลง ฉนั กไ็ มห่ ลง ฉันยังอดโค้งเธอไมไ่ ด้
เธอชา่ งงามวิไล เธอช่างงามวไิ ล
เหมอื นดอกไมท้ ี่เธอถือมา เหมอื นดอกไม้ทเี่ ธอถือมา

ต่อมาในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2487 ได้มอบหมายให้กรมศิลปากร ปรับปรุงการเล่นรำวง
พื้นบ้าน ให้มีระเบยี บเรยี บร้อย เป็นแบบฉบบั อันดีงามของนาฏศิลป์ไทยและเพือ่ เปน็ การอนรุ กั ษ์ศลิ ปะการละเลน่ พื้นเมือง
กรมศิลปากรจึงแต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้นใหม่ 4 เพลง คือ งามแสงเดือน ชาวไทย คืนเดือนหงาย และรำมาซิมารำ
พร้อมทั้งปรับปรงุ เครื่องดนตรที ี่ใช้บรรเลงประกอบการเลน่ รำวงมาเปน็ วงปี่พาทยห์ รือวงดนตรสี ากล

บทเพลงรำวงมาตรฐานน้ี ทา่ นผู้หญิงละเอยี ด พบิ ูลสงคราม ไดแ้ ตง่ บทรอ้ งอีก6 เพลง คือ ดวงจนั ทร์วันเพ็ญ
ดอกไม้ของชาติ หญงิ ไทยใจงาม ดวงจนั ทร์ขวญั ฟา้ ยอดชายใจหาญ และ บูชานักรบ

28

ผคู้ ดิ ประดษิ ฐ์ท่ารำประกอบเพลงรำวงท้งั 10 เพลงนัน้ คือ คณะอาจารยด์ ้านนาฏศลิ ป์ของกรมศิลปากร
ไดช้ ่วยกนั คดิ ประดิษฐ์ท่ารำให้งดงามถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ กำหนดให้เป็นแบบมาตรฐาน ผู้คิดประดษิ ฐท์ า่ รำของรำวง
มาตรฐาน คอื หมอ่ มตว่ น (นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก) ครมู ัลลี คงประภัทร์ ครูลมุล ยมะคุปต์ และครผู ัน โมรากลุ ตอ่ มาได้
มกี ารนำรำวงนไี้ ปสลับกับวงลลี าศทำใหช้ าวต่างประเทศร้จู กั รำวง เพอ่ื ใหป้ ระชาชนชาวไทยไดเ้ ลน่ กนั แพรห่ ลายและมีแบบ
แผนอนั เดยี วกัน กรมศิลปากรจงึ เรยี กว่า“รำวงมาตรฐาน”

รูปแบบและลักษณะการแสดง
รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงรำหมู่ ประกอบด้วยผู้แสดง 8 คน ท่ารำประดิษฐ์ขึ้น จากท่ารำมาตรฐานในเพลง

แม่บท ความสวยงามของการรำอยู่ทก่ี ระบวนท่ารำท่ีมีลักษณะเฉพาะในแต่ละเพลง รวมท้ังรูปแบบการแสดงในลักษณะ
การแปรแถวเปน็ วงกลม

การรำแบง่ เป็นขัน้ ตอนตา่ ง ๆ ได้ดงั น้ี
ขน้ั ตอนที่ 1 ผแู้ สดงชาย และหญิงเดินออกมาเป็นแถวตรงสองแถว หันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วย

การไหว้
ขั้นตอนท่ี 2 รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลง และรำตามบทร้อง รวม 10 เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลง

ตา่ ง ๆ
ขัน้ ตอนที่ 3 เมือ่ รำจบบทร้องในเพลงที่ 10 ผู้แสดงรำเข้าเวที ทีละคู่ ตามทำนองเพลงจนจบ

การแตง่ กายของรำวงมาตรฐานนัน้ ประกอบดว้ ย 4 แบบ (ตามกรมศลิ ปากร) ดังนี้

แบบที่ 1 แบบพน้ื บา้ น
ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเส้อื คอพวงมาลยั เอวคาดผ้าหอ้ ยชายด้านหนา้
หญิง นงุ่ โจงกระเบน ห่มผา้ สไบอัดจบี ปล่อยผม ประดบั ดอกไม้ท่ผี มด้านซ้าย คาดเขม็ ขดั ใส่เครือ่ งประดั

29

แบบท่ี 2 แบบรัชกาลที่ 5
ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเส้ือราชประแตน ใสถ่ งุ เท้าและรองเทา้
หญิง นุ่งโจงกระเบน สวมเส้ือลูกไม้ สไบพาดบ่าผกู เปน็ โบว์ ทิง้ ชายไว้ข้างลำตวั ใส่ถงุ นอ่ งและรองเทา้

แบบท่ี 3 แบบสากลนยิ ม
ชาย นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกไท้ ใสร่ องเทา้
หญงิ ชดุ ไทยเรือนต้น

แบบท่ี 4 แบบราตรสี โมสร

ชาย นุ่งกางเกง สวมเสือ้ พระราชทาน เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า

หญงิ ชุดไทยจักรพรรดิ

ทา่ รา ราวงมาตรฐาน

ลำดบั ท่ี ช่ือเพลง คำรอ้ ง ทำนอง ทา่ รำ
๑ เพลงงามแสงเดอื น กรมศิลปากร กรมศิลปากร
จม่ืนมานิตยเ์ นรศ (ครูมนตรี ตราโมท)

30

(เฉลมิ เศวตนนั ท์)

ทา่ สอดสร้อยมาลา

๒ เพลงชาวไทย กรมศลิ ปากร กรมศลิ ปากร

จมน่ื มานิตยเ์ นรศ (ครูมนตรี ตราโมท)

(เฉลิม เศวตนนั ท์)

ทา่ ชักแปง้ ผัดหนา้

๓ เพลงรำซิมารำ กรมศลิ ปากร กรมศลิ ปากร

จมน่ื มานิตย์เนรศ (ครูมนตรี ตราโมท)

(เฉลมิ เศวตนันท์)

ท่ารำส่าย

๔ เพลงคืนเดือนหงาย กรมศิลปากร กรมศิลปากร
(ครมู นตรี ตราโมท)
จมื่นมานิตยเ์ นรศ

(เฉลมิ เศวตนนั ท)์

ลำดับที่ ชื่อเพลง คำรอ้ ง ทำนอง ทา่ สอดสรอ้ ยมาลาแปลง
๕ เพลงดวงจันทร์วนั กรมศลิ ปากร
เพญ็ ท่านผ้หู ญิงละเอียด (ครูมนตรี ตราโมท) ทา่ รำ
พบิ ลู สงคราม

31

ท่าแขกเต้าเข้ารงั

ทา่ ผาลาเพยี งไหล่

๖ เพลงดอกไม้ของ จมืน่ มานติ ย์เนรศ กรมศิลปากร
ชาติ (เฉลิม เศวตนนั ท์ (ครมู นตรี ตราโมท)

ท่ารำย่วั

๗ เพลงหญิงไทยใจงาม ทา่ นผ้หู ญงิ ละเอยี ด กรมประชาสัมพนั ธ์
พบิ ลู สงคราม (ครูเอ้ือ สนุ ทร
สนาน)

ทา่ พรหมสีห่ น้า

ลำดับ ชื่อเพลง คำรอ้ ง ทำนอง ท่ารำ
ท่ี
๗ เพลงหญงิ ไทยใจงาม ท่านผ้หู ญงิ ละเอียด กรมประชาสมั พนั ธ์
(ตอ่ ) พิบลู สงคราม (ครเู ออ้ื สุนทร

32

สนาน)

ท่ายูงฟ้อนหาง

๘ เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้า ท่านผ้หู ญงิ ละเอียด กรมประชาสมั พนั ธ์

พบิ ูลสงคราม (ครูเออ้ื สนุ ทร

สนาน)

ท่าชา้ งประสานงา

ทา่ จนั ทรท์ รงกลดแปลง

๙ เพลงยอดชายใจหาญ ทา่ นผ้หู ญงิ ละเอียด กรมประชาสัมพันธ์

พบิ ูลสงคราม (ครเู อ้อื สนุ ทร

สนาน)

ลำดับที่ ชื่อเพลง คำรอ้ ง ทำนอง ญ ทา่ ชะนรี า่ ยไม้
ช ท่าจอ่ เพลงิ กาฬ

ทา่ รำ

33

๑๐ เพลงบชู านกั รบ ทา่ นผหู้ ญงิ ละเอียด กรมประขาสัมพนั ธ์
พิบูลสงคราม (ครูเออ้ื สนุ ทร
สนาน)

เทยี่ วท่ี ๑
ญ ทา่ ขัดจางนาง
ช ท่าจนั ทร์ทรงกลด

เทย่ี วที่ ๒
ญ ท่าล่อแกว้
ช ทา่ ขอแก้ว

34


Click to View FlipBook Version