E-BOOK หนั งสืออิเล็กทรอนิ กส์
เรื่อง อารยธรรมอินเดีย
2ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
เสนอ ครูญานี อนันตอาจ
จัดทำโดย : ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ 2/1
โรงเรียนนครสวรรค์
อารยธรรมอินเดีย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดียมีแหล่งกำเนิ ดในบริเวณลุ่ม
แม่น้ำสินธุทางตอนเหนื อของอินเดียในอดีต ซึ่ง
ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วง
ประมาณ 2,500 – 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดย
จริงๆแล้ว พัฒนาการของอินเดียในสมัยนี้ เริ่มต้นเมื่อ
ประมาณ 400,000 ปีมาแล้วโดยพบหลักฐาน
โบราณคดีสมัยหินเก่าในลุ่มแม่น้ำโซน (Soan) แคว้น
ปัญจาบ เรียกว่า วัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโซน ในสมัย
วัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำสิ นธุ มีซากเมืองโบราณที่สำคัญคือ
เมืองฮารัปปา และเมืองโมเฮนโจดาโร เมืองทั้งสองตั้ง
ริมแม่น้ำสินธุ โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมและการวาง
ผังเมือง โดยชาวดราวิเดียน เป็นผู้ที่สร้างอารยธรรมนี้
ชนกลุ่มนี้ รู้จักการใช้โลหะ ทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
รู้จักการทอผ้า เพาะปลูก สร้างที่อยู่ด้วยอิฐ ทำระบบ
ชลประทาน และการเขียนอักษรรูปภาพ
ต่อมาเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอารยันจากเอเชียกลางได้อพยพมา
ทางตอนเหนื อและขับไล่ชาวดราวิเดียน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมให้ไปอยู่ทางใต้
ยุคหินเก่า
ซึ่งก็คือประมาณ 4,000,000 - 150,000 ปีก่อน พบเครื่องมือหินกะเทาะหลายแห่ง เช่น
รัฐทมิฬนาฑู (Tamil nadu) ทางตอนใต้ของอินเดีย โดยมนุษย์สมัยนั้ นอาศัยอยู่แบบ
เร่ร่อน ล่าสัตว์ หาของป่า
ยุคหินกลาง
ซึ่งก็คือประมาณ 40,000 - 10,000 ปีก่อน พบเครื่องมือหินขัด (เครื่องมือหินที่เล็ก
และเบา ประณีตมากขึ้น) และมนุษย์สมัยนั้ นยังรู้จักการเขียนภาพบนผนั งถ้ำ พบใน
หลายพื้นที่ เช่นแคว้นมัธยประเทศ
อารยธรรมอินเดีย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์(ต่อ)
ยุคหินใหม่
7,000-4,000 ปีก่อน มนุษย์รู้จักการทำเกษตรและปศุสัตว์ อยู่รวมกันเป็นชุมชน
สร้างบ้านด้วยดินเหนี ยว พบในแคว้นบาลูจิสถานและตอนเหนื อของแคว้นซินต์
ยุคโลหะ
4,500 - 3,000 ปีก่อน เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของอินเดียโบราณ ที่เรียกว่า
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิ นธุ
อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันเป็นพวกเร่ร่อน จึงไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ หลัก
ฐานที่ใช้ศึกษาจึงได้มาจากคัมภีร์พระเวท (คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) โดย
เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอารยันซึ่งบันทึกภายหลังสมัยที่ชาวอารยันเข้ามา สร้าง
อารยธรรมนี้ จึงเรียกว่า สมัยพระเวท (1,500-900 BC) และสมัยมหากาพย์ (900-500
BC)
7,000-4,000 ปีก่อน มนุษย์รู้จักการทำเกษตรและปศุสัตว์ อยู่รวมกันเป็นชุมชน
สร้างบ้านด้วยดินเหนี ยว พบในแคว้นบาลูจิสถานและตอนเหนื อของแคว้นซินต์
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
แบ่งเป็น 3 สมัย
1. สมัยมหากาพย์
2. สมัยจักวรรดิ
3. สมัยมุสลิม
1.สมัยมหากาพย์
เป็นสมัยที่มีการใช้ตัวหนั งสือบันทึกเรื่องราว การปกครองเริ่มแรก
ปกครองแบบชนเผ่าอารยัน มีราชาเป็นผู้ปกครองอำนาจสูงสุดเด็ดขาด
ในสมัยนี้ มีมหากาพย์ดัง 2 เรื่องคือ
- รามายณะของฤษีวาลมิกิ
- มหาภารตะฤษีวยา
ที่สะท้อนเกี่ยวกับการปกครองสังคม เศรษฐกิจ ของชาวอารยันสมัยนั้ นมีความ
เชื่อในเรื่องการบูชายัน ภูตผีปีศาจ และอำนาจต่างๆทางธรรมชาติ ซึ่งต่อมาได้มี
การบูชารูปปั้ นของเทวะและเทวี ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของศาสนาฮินดู
ปลายสมัย ชนเผ่าอารยันขยายตัวออกไป มีการดำเนิ นการปกครองแบบ
ราชาธิปไตยจากราชา เปลี่ยนเป็น กษัตริย์ เป็นสมมติเทพ
2.สมัยจักรวรรดิ
เป็นสมัยที่มีความสำคัญต่อการวางพื้นฐานของแบบแผนทางสั งคม
ศิลปะ วัฒนธรรมอินเดีย ที่ยังคงสืบเนื่ องต่อมาถึงปัจจุบัน
สมัยจักรวรรดิแบ่งเป็น 5 สมัยคือ
- จักรวรรดิมคธ
- จักรวรรดิเมารยะ
- สมัยแบ่งแยกและรุกรานจากภายนอก
- สมัยจักรวรรดิคุปตะ
- อินเดียหลังสมัยจักรวรรดิคุปตะ
จักรวรรดิมคธ พระเจ้าพิมพิสาร
เป็นพระมหากษัตริย์แห่งแคว้นมคธ
ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของลุ่มแม่น้ำคงคา เป็นแคว้นที่มีอนุภาพ
มากที่สุดในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงสองพระองค์
คือ พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าอชาตศัตรู
ระบอบการปกครองกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดมีขุนนาง 3 ฝ่าย คือ
- ฝ่ายบริหาร
- ฝ่ายตุลาการ
- ฝ่ายการทหาร
รวมเรียกว่า “มหามาตระ” พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์
ทั้งสองพระองค์ ทำให้จักรวรรดิมคธกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ใน
ขณะเดียวกันศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง เนื่ องจากการตีความที่มุ่งเน้ นไปที่อิทธิ
ปาฏิหารย์แห่งองค์เทพเจ้าเป็นหลัก แทนที่จะศึกษาเพื่อการหลุดพ้นจากบ่วง
ทุกข์ตามหลักคำสอนในคัมภีร์
พระเจ้าพิมพิสารเป็นกษัตริย์ พระเจ้าอชาตศัตรูพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร
ผู้ทรงธรรมทรงอุปถัมภ์ กษัตริย์แคว้นมคธ
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี
2. สมัยจักรวรรดิ (ต่อ)
จักรวรรดิเมารยะ
จักรวรรดิเมารยะ ในกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์
นั นทะที่ปกครองจักรวรรดิมคธเสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์เมารยะได้มีอำนาจขึ้น
ปกครอง ปัจจุบันคือพื้นที่ทางภาคเหนื อของอินเดีย
ระเบียบการปกครอง รวมอำนาจไว้ที่พระมหากษัตริย์และเมืองหลวง
จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดทางด้านบริหาร กฎหมาย การศาลและการทหารมี
สภาเสนาบดีและสภาแห่งรัฐเป็นสภาปรึกษา
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์เมารยะคือ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรง
นำหลักพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครอง และทำนุบำรุงพุทธศาสนาอย่าง
จริงจัง นอกจากนี้ ยังให้อิสรภาพในการเลือกนั บถือศาสนา โดยเฉพาะศาสนา
พราหมณ์ ทรงยกเลิกการแบ่งชั้นวรรณะ สมัยแบ่งแยกและการรุกรานจาก
ภายนอก
จากความเสื่อมอำนาจของราชวงศ์เมารยะมีผลกระทบต่ออินเดีย 2
ประการ
1. อาณาจักรใหญ่น้ อยแบ่งแยกออกเป็นอิสระ
2. เกิดการรุกรานจาก กรีก อิหร่าน เปอร์เชีย ศกะ กุษาณะ
เมื่อมาตั้งถิ่นฐานก็ย่อมรับวัฒนธรรมอินเดยไว้ด้วย และกรีก
เปอร์เชียก็ได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนเองเช่น ด้านศิลปกรรม ได้แก่
สถาปัตยกรรม และประติมากรรมให้แก่อินเดียเช่นกัน
ขบวนของพระเจ้าอโศกบนสถูปสาญจี พระพุทธศาสนา เปลี่ยนกษัตริย์ผู้โหดร้าย
ให้กลายเป็นผู้ทรงธรรม
2. สมัยจักรวรรดิ (ต่อ)
สมัยแบ่งแยกและการรุ กรานจากภายนอก
จากความเสื่อมอำนาจของราชวงศ์เมารยะมีผลกระทบต่ออินเดีย 2
ประการ
- อาณาจักรใหญ่น้ อยแบ่งแยกออกเป็นอิสระ
- เกิดการรุกรานจาก กรีก อิหร่าน เปอร์เชีย ศกะ กุษาณะ
เมื่อมาตั้งถิ่นฐานก็ย่อมรับวัฒนธรรมอินเดยไว้ด้วย และกรีกเปอร์เชีย
ก็ได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนเองเช่น ด้านศิลปกรรม ได้แก่ สถาปัตยกรรม
และประติมากรรมให้แก่อินเดียเช่นกัน
อารยธรรมสมัยคุปตะ
ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของอินเดีย เนื่ องจากพระเจ้าจันทรคุปต์
มีความพยายามที่จะฟื้ นฟูอาณาจักรมคธให้รุ่งเรือง มีมหาวิทยาลัยต่างๆเกิดขึ้น
มากมาย เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยพาราณสี มีเมืองหลายเมือง
กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษา เช่น เมืองสาญจี มีความเจริญรุ่งเรืองในหลายๆ
ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอด
จนการค้าขายกับต่างประเทศ ได้แก่
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1
- ได้สถาปนาพระองค์เองเป็นผู้ปกครองบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา ในพิธี
บรมราชาภิเษกได้โปรดให้ออกเหรียญที่ระลึกประทับตราราชวงค์เรียกว่า
"คุปตะ"
พระเจ้าจันทรคุปต์ มหาวิทยาลัยนาลันทา
2. สมัยจักรวรรดิ (ต่อ)
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 หรือพระเจ้าวิกรมาทิตย์
- ทำการขยายอาณาเขตออกไปทางภาคตะวันตก ได้รับสมญาว่าเป็นองค์
อุปถัมภ์การเล่าเรียนศิลปวิทยาการ
- ยุคทองของวรรณคดีสันสกฤต
- กวีที่มีชื่อเสียงคือ กาลิทาส
- บทละครที่มีชื่อเสียงที่สุดของกาลิทาสคือ เรื่องศกุนตลา
- แพทย์ในสมัยราชวงศ์คุปตะได้รับการยกย่องว่ามีวิธีการและเทคนิ คสูง
ในการรักษาโรคฌฉพาะในการผ่าตัด
- จิตรกรรมที่ขึ้นชื่อ คือ ภาพเขียนที่ถ้ำอชันตา
การแพทย์ในสมัยนี้ มีวิธีการผ่าตัด และเรียนรู้การทำสบู่และปูนซีเมนต์
ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาเป็นอย่างดีถึงแม้พระองค์จะนั บถือพราหมณ์ ทรง
อนุญาตให้ชาวลังกามาสร้างวัดพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทขึ้น
หลวงจีนฟาเหียนเดินทางมานำพระไตรปิฏกกลับไปเป็นการส่ งเสริม
พระพุทธศาสนาให้แพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ
หลังสมัยจักรวรรดิคุปตะ
- ราชวงศ์คุปตะเริ่มเสื่อมอำนาจลงชนต่างชาติได้รุกรานอินเดีย ภาคเหนื อ
แบ่งแยกเป็นแคว้นเล็กๆ มีราชวงศ์ต่างๆเข้ามายึดครอง
- หลังการสิ้นสุดจักรวรรดิคุปตะ ชนชาติที่มากรุกรานนั บถือพราหมณ์ จึง
ได้กวาดล้างชาวพุทธให้สิ้นซาก และวัด แต่พระพุทธศาสนาในอินเดียยังคง
รุ่งเรืองอยู่
กาลิทาส ภาพเขียนที่ถ้ำอชันตา
3. สมัยมุสลิม
มุสลิมที่เข้ารุกรานอินเดีย คือมุสลิมเชื้อสายเติร์กจากเอเชียกลาง
เข้าปกครองอินเดียภาคเหนื อ ตั้งเมืองเดลี เป็นเมืองหลวง เมื่อเข้ามาปกครอง
มีการบีบบังคับให้ชาวอินเดียมานั บถือศาสนาอิสลาม ราษฎรที่ไม่นั บถือ
ศาสนาอิสลามจะถูกเก็บภาษี “จิซยา” ในอัตราสูง หากหันมานั บถือจะได้รับ
การยกเว้น การกระทำของเติร์กส่งผลให้สังคมอินเดียเกิดความแตกแยก
ระหว่างพวกฮินดูและมุสลิมจนถึงปัจจุบัน
ชาวเติร์กมุสลิมในรัฐอิสลามสมัยราชวงศ์อัล-อับบาสี
จักรพรรดิออรังเซ็บแห่งอินเดีย เอกสาร jizya จากศตวรรษที่ 17
ผู้แนะนำ jizya อีกครั้ง จักรวรรดิออตโต
สั งคมและวัฒนธรรมอินเดีย
ระบบวรรณะ
ในคัมภีร์ 4 วรรณะ ดังนี้
1. วรรณะพราหมณ์ เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม มีสีเครื่องแต่งกาย
ประจำวรรณะคือสีขาวซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์มีหน้ าที่กล่าวมนต์ ให้คำปรึกษา
กับพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนสอนมนต์ให้แก่คนทั่วไป ส่วนพวกที่เป็นนั กบวชก็
ทำหน้ าที่สอนไตรเภทและประกอบพิธีทางศาสนา
2. วรรณะกษัตริย์ เกิดจากพระอุระของพระพรหม และถือว่าสืบเชื้อสาย
มาจากพระอาทิตย์ สีเครื่องแต่งกายประจำวรรณะคือสีแดงซึ่งหมายถึงนั กรบ
ทำหน้ าที่รบเพื่อป้องกันหรือขยายอาณาจักร รวมทั้งเป็นนั กปกครอง เป็น
พระเจ้าแผ่นดินหรือคณะผู้ปกครองแบบสามัคคีธรรม
3.วรรณะแพศย์ เกิดจากโคนขา หรือ สะโพกของพระพรหมของพระ
พรหมมีสีเครื่องแต่งกายประจำวรรณะคือ สีเหลือง เป็นพวกแสวงหาทรัพย์
สมบัติ ได้แก่พวกพ่อค้า คหบดี เศรษฐี และเกษตรกร
4. วรรณะศูทร เกิดจากพระบาท(เท้า) ของพระพรหม มีสีเครื่องแต่ง
กายประจำวรรณะคือสีดำหรือสีอื่น ๆ ที่ไม่มีความสดใส มีหน้ าที่เป็นกรรมกร
ลูกจ้าง
ยังมีอีกวรรณะหนึ่ งซึ่งถือว่าเป็นพวกต่ำสุด คือ จัณฑาล ลูกที่เกิดจากพ่อ
แม่ต่างวรรณะกัน ซึ่งจะถูกรังเกียจและเหยียดหยาม
ลำดับเหตุการณ์ สำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ของอินเดีย
สมัย ช่วงเวลา/เหตุการณ์ สำคัญ
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิ นธุ 2,500 -1,500 ปีก่อน ค.ศ. เมืองฮารัปปาและโม
เฮน-ดาโร เจริญรุ่งเรือง
สมัยพระเวทและมหากาพย์ 1,500 - 500 ปีก่อน ค.ศ. พวกอารยันอพยพเข้าสู่
อินเดีย รวบรวมคัมภีร์ฤคเวท แต่งคัมภีร์อุ
ปนิ ษัท กำเนิ ดศาสนาพราหมณ์ เกิดระบบวรรณะ
พระพุทธเจ้า 563 - 483 ปีก่อน ค.ศ. พระพุทธเจ้าประสูติ -
ปรินิ พพาน
อะเล็กซานเดอร์มหาราช 327 ปีก่อน ค.ศ. พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช
ราชวงศ์เมารยะ กษัตริย์กรีกรุกรานอินเดียทางเหนื อ
ราชวงศ์คุปตะ
321 - 185 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์แรกของอินเดีย มี
จักรพรรดิที่สำคัญ คือ พระเจ้าจันทรคุปต์
พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียง
ใต้
ค.ศ. 320 - 540 มีศูนย์อำนาจที่แคว้นมคธ แม่น้ำ
คงคา ศาสนาพราหมณ์มีการพัฒนาเป็นศาสนา
ฮินดู แต่พระพุทธศาสนายังคงเจริญรุ่งเรือง
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มีความเจริญ
ก้าวหน้ า
ลำดับเหตุการณ์ สำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ของอินเดีย
สมัย ช่วงเวลา/เหตุการณ์ สำคัญ
แตกแยกและอ่อนแอ คริสต์ศตวรรษที่ 6-10 หลังสมัยคุปตะ ทางเหนื อถูก
ต่างาติรุกรานและตั้งอาณาจักร ศาสนาอิสลามเริ่ม
เผยแผ่เข้าสู่อินเดียทางเหนื อ ในช่วงกลางคริสต์
ศตวรรษที่ 9 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 อาณาจักร
โจฬะทางใต้ของอินเดียนั บถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมี
ความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า
สุลต่างแห่งเดลี ค.ศ. 1206-1526 ตั้งโดยผู้นำมุสลิมเชื้อสายเติร์ก เรียก
หรือราชวงศ์มัมลูก ว่า ราชวงศ์มัมลูก แต่เนื่ องจากตั้งเมืองหลวงที่เดลี จึง
มักเรียกว่าสุลต่านแห่งเดลี มีการรับวิธีทำกระดาษ
ดินปืน เครื่องกระเบื้องจากจีน ใน ค.ศ. 1498
โปรตุเกสเดินทางถึงอินเดียทางเรือ
จักรวรรดิโมกุลหรือมุคัล ค.ศ. 1526-1858 ตั้งโดยบาบูร์ เชื้อสายพวกมองโกล
สุลต่านที่ยิ่งใหญ่คือ อักบาร์มหาราช(ค.ศ.1556-1605)
ส่งเสริมให้มีขันติธรรมทางศาสนาเพื่อให้คนที่นั บถือ
ศาสนาแตกต่างกันอาศัยอยู่ร่วมกันได้ และชาห์ จะ
ฮาน(ค.ศ.1628-1658) ผู้สร้างทัชมาฮาล ต้นคริสต์
ศตวรรษที่ 18 ราชวงศ์โมกุลเสื่อมอำนาจ ชาติตะวัน
ตกขยายอำนาจในอินเดีย
ลำดับเหตุการณ์ สำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ของอินเดีย
สมัย ช่วงเวลา/เหตุการณ์ สำคัญ
อังกฤษปกครองอินเดีย ค.ศ.1858-1947 อินเดียอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ
โดยสมเด็จพระราชินี าถวิกตอเรียเป็นจักพรรดินี ของ
อินเดีย รัฐบาลอังกฤษตั้งข้าหลวงใหญ่หรืออุปราชเป็น
ผู้ปกครอง ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอินเดีย
เริ่มเรียกร้องเอกราช ผู้นำที่สำคัญได้แก่ มหาตมาคานธี
ยวาหร์ลาล เนห์รู
อินเดียได้เอกราช ค.ศ.1947 อินเดียได้รับเอกราช แต่แบ่งประเทศเป็น 2
แบ่งเป็น 2 ประเทศ ส่วน คือ อินเดียซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู กับ
ปากีสถานซึงประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ทั้ง 2
ประเทศมีความขัดแย้งกันเรื่องแคว้นแคชเมียร์กันมา
จนถึงปัจจุบัน
บังกลาเทศ ค.ศ.1971 ปากีสถานตะวันออกแยกออกจากประเทศ
ปากีสถานเป็นประเทศใหม่ คือ บังกลาเทศ
รายชื่อผู้จัดทำ
ด.ช.ณัฐพล อัษญคุณ เลขที่ 2
ด.ช.ณัฐสิทธิ์ สอนทอง เลขที่ 3
ด.ช.ดนั ยณัฐ อ่อนสมบูรณ์ เลขที่ 4
ด.ช.เตชิต เตชสุนทรกุล เลขที่ 6
ด.ช.นั กรบ ร้อยแว่น เลขที่ 10
ด.ช.รัฐพล ฤทธิ์เทพ เลขที่ 19
ด.ช.รัฐศาลธ์ ศรีสาตร์ เลขที่ 20
ด.ช.วชิรสิทธิ์ เสถียรพัฒนากูล เลขที่ 21
ด.ญ.ณัชชา ดีจักรวาล เลขที่ 24
ด.ญ.ณัฐณิชา โพธิ์ฤทธิ์ เลขที่ 26
ด.ญ.ปุณยพศวีร์ อินสว่าง เลขที่ 29
ด.ญ.วรินทรา วชิรินทราวัฒน์ เลขที่ 33