The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน ม.3 นราพร 123

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 123 นราพร รอบครอบ, 2023-10-18 11:26:24

วิจัยในชั้นเรียน ม.3 นราพร 123

วิจัยในชั้นเรียน ม.3 นราพร 123

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรีย รี น เรื่อ รื่ ง วิธีวิธี การทางประวัติศาสตร์ ของนักเรีย รี นชั้น ชั้ มัธยมศึกษาปีที่ ปี ที่ 3 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E วิจั วิ ย จั ในชั้น ชั้ เรียน นางสาวนราพร รอบครอบ วิจัวิยจันี้เป็น ป็ ส่วส่นหนึ่งของรายวิชวิาการฝึก ฝึปฏิบั ฏิติกติารสอนในสถานศึกษา 1 ตามหลักลั สูต สู รครุศ รุ าสตรบัณฑิตฑิ สาขาวิชวิาพุท พุ ธศาสนศึก ศึ ษา มหาวิทยาลัยลัราชภัฏภัอุด อุ รธานี ปีการศึก ศึ ษา 2566


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E นราพร รอบครอบ วิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1 ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในโลกสังคมปัจจุบันและอนาคต เพราะการศึกษามีความ จำเป็นกับทุกคน ทั้งในด้านการดำรงชีวิตและงานในอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะการเตรียมคนเข้าสู่ ทศวรรษที่ 21 เเต่ขณะเดียวกันโลกมีการเปลี่ยนเเปลงเกิดขึ้นทุกวัน จึงจำเป็นจะต้องมีการกลับมา ทบทวนและออกเเบบการศึกษากันใหม่เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพของโลกและสังคมปัจจุบัน ที่กำลังก้าว ล้ำทางด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ที่มีความทันสมัยและสะดวกสบายรอบด้าน และเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างมาก ดังนั้นการศึกษาจึงควรที่จะพัฒนาไปในทางดีที่ขึ้นกว่าเดิม ทั้งเรื่อง ความรู้ ความคิด ค่านิยมต่างๆสิ่งเหล่านี้ควรปรับให้เข้ากับบริบทสังคม เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้น เลยได้มีแนวทางการปรับการศึกษาใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรจัดให้สอดคล้องกับ ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งการจักการศึกษาของไทยในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับความต้องการของบุคคล สังคม และประเทศ ซึ่งการศึกษาในอดีตมีการจัดการเรียนการสอนที่สร้างความอ่อนแอทางสติปัญญา ทำลายศักยภาพในการเรียนรู้ สร้างคนที่ขาดความรู้ คิดไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น จึงมองว่าการศึกษาที่ ผ่านมาไม่ตอบสนองต่อการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนเท่าที่ควร ซึ่งผู้สอนส่วนใหญ่มักจะเน้นผู้สอนเป็น ศูนย์กลาง เน้นการถ่ายทอดความรู้และเนื้อหา โดยละเลยการพัฒนาให้ผู้เรียนมีศักยภาพ ขาดการนำ ปัญหาและสิ่งแวดล้อมมาเรียนรู้โดยมองข้ามสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน จึงเป็นผลให้ผู้เรียนมีเเต่ ความรู้ไม่มีความคิด ระดับการพัฒนาที่แตกต่างของประเทศย่อมเป็นปัญหาต่อการจัดการการศึกษา ทำให้สังคมไทยเกิดปัญหาขาดการเรียนรู้และพัฒนาเท่าที่ควร เพราะไม่ทราบว่าจะจัดการศึกษา อย่างไร จึงจะสอดคล้องกับความเป็นอยู่และสภาพของสังคมไทย ประวัติศาสตร์ถือได้ว่า เป็นสาระหนึ่งที่มีความสำคัญ และเป็นรากฐานของสรรพวิทยาการ ทุกลาขาช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิด รวมถึงเกิดความรู้ความเข้าใจ และภาคภูมิใจในความเป็น ไทย เช่นเดียวกับ สืบแสง พรหมบุญ (2563: 5) ที่ได้กล่าวว่า วิชาการใดก็ตามจำเป็นต้องเรียนจาก ประสบการณ์ในอดีตของมนุษย์นอกจากเป็นความรู้ที่สำคัญแล้ว ยังเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าของมนุษย์ ในสังคม เพรา:เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแม้ว่าแตกต่างกันในด้านพฤติกรรม เวลา สถานที่ และตัว บุคคล แต่ก็สามารถหาเหตุร่วมกันของหลายๆ เหตุการณ์ได้ ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง มีเหตุผล นอกจากนี้ ยังตามารถนำข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจาก


2 ประสบการณ์ในอดีต มาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ในปัจจุบัน และเป็นแนวทาง สำหรับอนาคตได้ จากการศึกษาการจัดการเรียนการสอนแบบ 5E เป็นการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็น กระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการใช้กระบวนการคิดและทักษะต่างๆเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา หรือค้นหาคำตอบทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ซึ่งเป็นแนวคิดในการจัดการ เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 2. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 4. ขั้นขยาย ความรู้ (Elaboration) และ 5. ขั้นประเมิน (Evaluation) ต่อมาสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้เผยแพร่โดยการจัดอบรมการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้อีกครั้งทั่ว ประเทศ เมื่อมีการประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยเรียกว่า วิธีการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) โดยทฤษฎีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มีความเชื่อว่า การเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการฝึกให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหา ความรู้โดยผู้สอนตั้งคำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผลจากการค้นพบ ความรู้หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเองแล้วสรุปเป็นหลักการ กฎเกณฑ์หรือวิธีการ ต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการควบคุม ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมในสภาพต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง (สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2559, หน้า 48) จากการศึกษางานวิจัย ที่เกี่ยวกับรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ของ ธนิตพงศ์ ธีระธนิตโรจน์ (2558) พิชิต ทองล้น (2556) และพงษ์พิศ พงษ์อินทร์ธรรม (2556) พบว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีความสามารถในกระบวนการแก้ปัญหาและสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได จากสภาพปัญหาและความสำคัญดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ กระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คำถามการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความ รูแบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หรือไม่


3 2. หลังจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการ ทางประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E จะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่า ก่อนเรียนหรือไม่ 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E หรือไม่ อย่างไร วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรูแบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E สมมติฐานของการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความ รูแบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E มีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับ มาก


4 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 384 คน จากห้องเรียน จำนวน 10 ห้อง 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2.2 ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 3. เนื้อหาการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์โดยมีหัวข้อดังต่อไปนี้ 3.1 จุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์เรื่องราว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 3.2 ข้อจำกัดของเรื่องราว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 3.3 ความสำคัญของการวิเคราะห์เรื่องราว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 3.4 กรณีตัวอย่างในการศึกษาเรื่องราว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ โดยใช้วิธีการ ทางประวัติศาสตร์ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาในการทดสอบ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E หมายถึง กระบวนการเรียนรู้แบบหนึ่งที่ตอบสนองความ ต้องการของผู้เรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และค้นพบความ จริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงบทบาทของตนได้อย่าง เต็มที่ในการแสวงหาแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การดำเนินกิจกรรม อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้สอนต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเองและดำเนินกิจกรรมให้ครบวงจร อย่างต่อเนื่อง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนทั้งในด้านทักษะกระบวนการที่จำเป็นและความรู้ใน


5 เนื้อหาสาระที่เรียนอีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียน เป็นผู้รักการศึกษาค้นคว้าและสามารถที่จะแสวงหาความรู้ ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองรวมถึงควบคุมให้เกิดการเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และสามารถนำไปใช้ได้โดยมี เนื้อหาการสอนเกี่ยวกับ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 2. การสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E หมายถึง การเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ โดยอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือประสบการณ์ การเรียนรู้อย่างมีความหมายด้วยตนเอง ใช้คำถามกระตุ้นความสนใจในการเรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีอิสระในการคิด ค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหา และค้นหาคำตอบจากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 2.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัย ความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายกลุ่ม เรื่องที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น ถือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่ เพิ่งเรียนรู้มาเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามกำหนดประเด็นที่จะศึกษา 2.2 ขั้นสำรวจ (Exploration) เป็นการทำความเข้าใจกับประเด็นหรือคำถามที่สนใจ ที่ จะศึกษาถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทาง การสำรวจตรวจสอบตั้งสมมติฐาน กำหนด ทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ 2.3 ขั้นอธิบาย (Explanation) เป็นการนำข้อมูลที่ได้รับอย่างเพียงพอจากการสำรวจ ตรวจสอบแล้วจึงนำข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบ ต่าง ๆ 2.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับแนวคิด ที่ได้จากการนำความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหัวข้อสรุปที่ได้ไป อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ 2.5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใดจากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อผ่านกระบวนการการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชา


6 ประวัติศาสตร์โดยประเมินวัดผลจากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อีกทั้งยังหมายถึง ความสำเร็จ ความสมหวัง ในด้านการเรียนรู้ หรือความรู้ความสามารถของบุคคลอันได้มาจากการ เรียนรู้ หรือประสบการณ์ทั้งปวงที่ได้กับจากการฝึกอบรม และเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมตามสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน 4. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึก การให้ความสำคัญ เป็นการแสดงออก ทางอารมณ์ในลักษณะความชอบ ความพอใจ ที่มีต่อการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู แบบ 5E และความรู้สึกที่ดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ ดีต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตนไม่ได้รับการตอบสบองความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 2. เป็นแนวทางสำหรับครู และผู้ที่สนใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการ สืบเสาะหาความรู้แบบ 5E กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไปตามความ เหมาะสม


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกการ นำเสนอเนื้อหาตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 2. การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E 2.2 บทบาทครูและนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความ รูแบบ 5E 2.3 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E 3. แผนการจัดการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ 3.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.2 หลักการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 5. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 5.1 ความหมายของความพึงพอใจในการเรียนรู้ 5.2 เครื่องมือและการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7. กรอบแนวคิดการวิจัย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดวิสัยทัศน์ หลักการจุดมุ่งหมายสมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และการจัดการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้


7 1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็น กำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ 2. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการที่สำคัญดังนี้ 2.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอฃภาคและมีคุณภาพ 2.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการ จัดการเรียนรู้ 2.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 3. การจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่สำคัญในการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การปฏิบัติ ทั้งนี้การที่ผู้เรียนจะมีคุณภาพและบรรลุตามมาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัดหรือไม่ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอน ต้องวิเคราะห์มาตรฐาน การเรียนรู้/ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยยึดหลักการจักการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจักการเรียนรู้ที่คำนึกถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดการ เรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง และการจัดการเรียนรู้ที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ครูผู้สอน ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด การจัดการเรียนรู้ ที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน


8 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลเมืองโลกไว้ ดังนี้ 5.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5.2 ซื่อสัตย์สุจริต 5.3 มีวินัย 5.4 ใฝ่เรียนรู้ 5.5 อยู่อย่างพอเพียง 5.6 มุ่งมั่นในการทำงาน 5.7 รักความเป็นไทย 5.8 มีจิตสาธารณะ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E การนำเสนอเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ผู้วิจัยได้แบ่ง การนำเสนอออกเป็น 3 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบ เสาะหาความรูแบบ 5E 2) บทบาทครูและนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรูแบบ 5E และ 3) ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แบบ 5E มีรายละเอียด ดังนี้


9 1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ได้มีนักวิชาการให้ความหมายเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ แบบ 5E ไว้ดังนี้ วีณา ประชากูล และประสาท เนื่องเฉลิม (2556, หน้า 228) ให้ความหมายของ การ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ คือ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วยวิธีการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้โดยผู้สอนมีบทบาทในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ นักเรียนได้ใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ด้วยตัวเอง แล้วสรุปผลออกมาเป็นหลักการ หรือวิธีการในการแก้ปัญหาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ประโยชน์ ณฐกรณ์ ดำชะอม (2556, หน้า 21) สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ไว้ว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการหนึ่งที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหา ความรู้ คิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีระบบของการคิดใช้กระบวนการของการค้นคว้าหา ความรู้ ซึ่งประกอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ ครูมีหน้าที่จัดบรรยากาศการสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ คิดแก้ปัญหาโดยใช้การทดลอง และอภิปรายซักถามเป็นกิจกรรมหลักในการสอน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2558, หน้า 20) กล่าวว่า วิทยาศาสตร์เป็นการสืบเสาะหาความรู้ โดยมนุษย์ได้พัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้การสืบ เสาะหาความรู้ด้วยการตอบคำถามที่สงสัยอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น เป็นแนวความคิดหลักหรือ ทฤษฎีที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ศศิวิมล สนิทบุญ (2559, หน้า 198) ได้สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ไว้ว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ ซึ่งครูมีหน้าที่เพียงเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ จัดเตรียมสภาพการณ์และกิจกรรมให้เอื้อต่อกระบวนการที่ฝึกให้คิดหาเหตุผล สืบเสาะหาความรู้ รวมทั้งการแก้ปัญหาให้ได้โดยใช้คำถามและสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เช่น ของจริง สถานการณ์ ให้ นักเรียนลงมือปฏิบัติการสำรวจค้นหาด้วยตนเอง พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2560, หน้า 56) ให้ความหมายวิธีสอนแบบสืบเสาะหมายถึง การ จัดการเรียนการสอนโดยวิธีให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองหรือสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก เพื่อให้นักเรียนบรรลุเป้าหมาย วิธี สืบเสาะความรู้จะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของการเรียน จากการให้ความหมายข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เป็นการจัดการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียน โดยครูเป็นผู้กระตุ้นให้ นักเรียนเกิดความคิดในการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วย


10 ตนเองโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการเสาะแสวงหาความร โดยมีเนื้อหาการสอนเกี่ยวกับ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. บทบาทครูและนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E บทบาทครูและฃนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ในการเรียนการสอนสังคมศึกษา ดังแสดงในตาราง ตางรางที่ 1 บทบาทครูและนักเรียนในการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ขั้นการเรียนรุ้ บทบาทครู บทบาทนักเรียน 1.การสร้าง ความสนใจ - สร้างความสนใจ - สร้างความอยากรู้อยากเห็น - ตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียน - คำตอบที่ยังไม่ครอบคลุมสิ่งที่นักเรียนรู้หรือ ความคิดเกี่ยวกับความคิดรวบยอดหรือเนื้อหา สาระ - ถามคำถาม เช่น ทำไมสิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น ฉันได้เรียนรู้อะไร บ้างเกี่ยวกับสิ่งนี้ - แสดงความสนใจ 2. การสำรวจ และค้นหา - ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน ในการสำรวจตรวจสอบ - สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่าง นักเรียนกับนักเรียน - ซักถามเพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ ของนักเรียน - ให้นักเรียนคิดข้อสงสัยตลอดจนปัญหาต่าง ๆ - ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่นักเรียน - คิดอย่างอิสระแต่อยู่ในขอบเขตกิจกรรม - ทดสอบการคาดคะเนและ สมมติฐาน - คาดคะเนและตั้งสมมติฐานใหม่ - พยายามหาทางเลือกและ อภิปรายทางเลือกเหล่านั้นกับคนอื่น ๆ - บันทึกการสังเกตและให้ข้อคิดเห็นลง ข้อสรุป 3. การอธิบาย และลงข้อสรุป - ส่งเสริมให้นักเรียนอธิบายความคิดรวบยอด หรือแนวคิดหรือคำจำกัดความด้วยคำพูดของ นักเรียนเอง - ให้นักเรียนแสดงหลักฐานให้เหตุผลและ อธิบายให้กระจ่าง - ให้นักเรียนอธิบายให้คำจำกัดความและ - อธิบายการแก้ปัญหาหรือ คำตอบที่เป็นไปได้ - ฟังคำอธิบายของคนอื่น อย่างคิดวิเคราะห์ - ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นได้อธิบาย - ฟังและพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่ง ที่ครูอธิบาย


11 ขั้นการเรียนรุ้ บทบาทครู บทบาทนักเรียน ชี้บอกส่วนประกอบ ต่าง ๆ ในแผนภาพให้ นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็นพื้นฐาน ในการอธิบายความคิดรวบยอดหรือแนวคิด - อ้างอิงกิจกรรมที่ปฏิบัติมาแล้วใช้ข้อมูลที่ ได้จากการบันทึกการสังเกตประกอบ คำอธิบาย 4. การขยาย ความรู้ - คาดหวังให้นักเรียนได้ใช้ประโยชน์จาก การชี้บอกส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพ คำ จำกัดความและการอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว - ส่งเสริมให้นักเรียนนำสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ไป ประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะใน สถานการณ์ใหม่ๆ - ให้นักเรียนอธิบายอย่างหลากหลาย ให้นักเรียนอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดง หลักฐานและถามนักเรียนว่าได้เรียนรู้อะไรหรือ ได้แนวคิดอะไรที่จะนำกลวิธีจากการสำรวจ ตรวจสอบไปประยุกต์ใช้ - นำข้อมูลที่ได้จากแผนภาพคำจำกัดความ คำอธิบายและทักษะประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ใหม่ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิม - แก้ไขข้อมูลเดิมในการถามคำถามกำหนด จุดประสงค์ในการแก้ปัญหาตัดสินใจและ ออกแบบการทดลอง - ลงข้อสรุปอย่าสมเหตุสมผลจากหลักฐานที่ ปรากฏ - บันทึกการสังเกตและอธิบายตรวจสอบ ความเข้าใจกับเพื่อน ๆ 5. การ ประเมินผล - สังเกตนักเรียนในการนำความคิดรวบยอด ทักษะใหม่ไปประยุกต์ใช้ - ประเมินความรู้และทักษะของนักเรียน - หาหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนได้เปลี่ยน ความคิดหรือพฤติกรรม ให้นักเรียนประเมิน ตนเองเกี่ยวกับการเรียนรู้และกระบวนการ ทำงานถามคำถามปลายเปิด เช่น ทำไมนักเรียน จึงคิดเช่นนั้นมีหลักฐานอะไรนักเรียนรู้อะไร เกี่ยวกับสิ่งนั้นและจะอธิบายสิ่งนั้นอย่างไร - ตอบคำถามปลายเปิดโดยใช้ การสังเกตหลักฐานและคำอธิบายที่ยอมรับ มาแล้ว - แสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความคิดรวบยอดหรือทักษะ - ประเมินความก้าวหน้า หรือความรู้ด้วยตนเองถามคำถามที่ เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้มีการสำรวจ ตรวจสอบต่อไป จากที่กล่าวมาสรุปว่า การจัดการเรียนรู้แบบ 5E เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบหนึ่งที่ ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ และค้นพบความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงบทบาท ของตนได้อย่างเต็มที่ในการแสวงหาแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง


12 3. ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E นักวิชาการได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนรู้แบบ 5E ไว้ดังนี้ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2558, หน้า 49-50) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ ดังนี้ 1. ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงจากการเรียนรู้ มีโอกาสได้ศึกษา สำรวจ ค้นหา รวบรวมข้อมูล บันทึก ทดสอบความคิด ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ด้วย ตนเอง 2. ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่น รู้จักอภิปรายแสดงความคิดเห็นระหว่างกัน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล 3. ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหา คิดตัดสินใจ คิดอย่างมีวิจารณญาณ สร้างสรรค์ความรู้ และทักษะ 4. ผู้เรียนรู้จักประเมินการทำงานด้วยตนเอง และนำผลการประเมินไปปรับปรุงและ พัฒนาให้ดีขึ้น ไพฑูรย์ สุขศรีงาม (2561, หน้า 68-69) ได้กล่าวว่าประโยชน์ของการเรียนรู้แบบ 5E มี 4 ประการ ได้แก่ 1. เพิ่มศักยภาพด้านสติปัญญาเนื่องจากการเรียนแบบ 5E นักเรียนต้องเข้ามามีส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทุกขั้นตอน เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลการจัดกระทำข้อมูล การแปล ความหมายและลงข้อสรุปทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้วิธีในการแก้ปัญหาเรียนรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอน ความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้นจึงส่งเสริมความสามารถในด้านสติปัญญาทำให้นักเรียนมี ศักยภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น 2. ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เกิดจากแรงจูงใจภายใน ในการเรียนแบบสืบเสาะนักเรียนจะ มุ่งอยู่ที่ความสำเร็จของการแก้ปัญหาจนกระทั่งได้รับความรู้ใหม่ด้วยตนเองนักเรียนมีความคิดเป็น อิสระในการควบคุมนำทางตนเองไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องรางวัลและการ ลงโทษสามารถพัฒนาความมีวินัยในตนเองมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองไม่ท้อถอยเมื่อ เผชิญอุปสรรคหรือประสบความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ดังนั้น แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ซึ่งส่งเสริมให้เกิด ความรู้ที่มีความหมายได้ 3. เป็นการเรียนรู้ยุทธศาสตร์ในการเรียนการเรียนแบบสืบเสาะนักเรียนจะได้รับการ ฝึกฝนในวิธีการแก้ปัญหาตลอดจนการใช้ความพยายามในการค้นพบความรู้ยุทธวิธีในการศึกษาที่ใช้ กันมาก ได้แก่ กระบวนการใช้คำถามกระบวนการจัดกระทำข้อมูลซึ่งรวมถึงการบันทึกการวิเคราะห์ การประเมินและการปรับปรุงแก้ไข


13 4. ส่งเสริมการจดจำความรู้ ในการเรียนรู้นั้นสิ่งที่เรียนรู้อย่างมีความหมายถูกเก็บไว้ ในหน่วยความจำระยะยาวของสมองและสามารถเรียกกลับมาใช้ได้อีกเมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกมา กระตุ้นทำให้เกิดการระลึกได้ถึงความรู้ดังกล่าวซึ่งถูกเรียกมาใช้ได้อีกครั้ง ดังนั้น ความรู้ที่เก็บไว้ซึ่งจะ ถูกนำมาใช้อยู่ตลอดเวลาความรู้จึงคงทนไม่หลงลืมไปกระบวนการจดจำความรู้ก็จัดเป็นกระบวนการ แก้ปัญหาด้วยเนื่องจากเป็นกระบวนการที่นำเอาความรู้ใหม่ไปเก็บบันทึกไว้อย่างเป็นระบบแล้ว สามารถเรียกมาใช้ได้อีกตามความต้องการในกระบวนการนี้สิ่งที่สำคัญก็คือการเลือกรับความรู้ตามที่ ตนสนใจความรู้ใหม่จะถูกนำไปบูรณาการกับความรู้ที่มีอยู่ก่อนแล้วทำให้เกิดเป็นความรู้ที่กว้างขวาง และมีความหมายการเรียนแบบสืบเสาะก็เช่นกันนักเรียนจะนำความรู้เดิมที่มีอยู่มาใช ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ข้อดีของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ คือ ทำให้นักเรียน มีโอกาสได้พัฒนาความคิดได้อย่างเต็มศักยภาพได้ฝึกความคิดได้ทำกิจกรรมต่าง ๆด้วยตนเอง ทำให้ เกิดความรู้ที่คงทนและสามารถเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นได้เร็วยิ่งขึ้น แผนการจัดการเรียนรู้ การนำเสนอเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ผู้วิจัยได้แบ่ง การนำเสนอออกเป็น 3 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ 2) ความสำคัญของ แผนการจัดการเรียนรู้และ 3) รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ นีรนุจ บุริสัย (2559, หน้า 14) กล่าวถึงความหมายของแผนการจัด การเรียนรู้ว่า เป็นการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า เพื่อสอนวิชาหนึ่งเป็น ลายลักษณ์อักษร โดยกำหนด สาระสำคัญ จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้รวมทั้งการใช้สื่อและการวัดผลประเมินผล วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2559, หน้า 297) ให้ความหมายว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับ เนื้อหา และจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร อาภรณ์ ใจเที่ยง (2561, หน้า 202–203) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ หมายถึง การนำวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำ การสอนตลอดภาคเรียนมาสร้าง เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน และการวัดประเมินผล โดยจัด เนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อม ของโรงเรียนในด้านวัสดุอุปกรณ์ และตรงกับชีวิตจริงในห้องเรียน


14 สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอน สร้างขึ้นไว้ ล่วงหน้า โดยการจัดเนื้อหาสาระ สื่อ อุปกรณ์ การวัดและการประเมินผล ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ หรือจุดหมายของหลักสูตร รวมทั้งการกำหนดคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ที่ต้องการให้ เกิดกับผู้เรียน 2. ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2559, หน้า 2) ได้อธิบายถึงความสำคัญของ แผนการจัดการ เรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1. ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิค วิธีการสอน การเรียนรู้ สื่อเทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสาน ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมด้านต่าง ๆ 2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิค การเรียนการสอน การเลือกใช้สื่อ การวัดและประเมินผลตลอดจนประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็น 3. เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอน และครูที่สอนแทน นำไปใช้ปฏิบัติการสอน อย่างมั่นใจ 4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและ ประเมินผลที่จะเป็น ประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป 5. เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซึ่งสามารถนำไป เสนอเป็น ผลงานทางวิชาการ 6. ครู อาจารย์ เกิดความตื่นตัวในการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรเอกสาร ตำราและสิ่ง ที่เกี่ยวข้อง 7. ครู อาจารย์เกิดแนวคิดใหม่ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของการจัดทำ แผนการ สอน หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย 8. ครู อาจารย์ มีการวางแผนการสอนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ มีความมั่นใจในการ สอน สอนได้ครบถ้วน และเป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตร 9. มีข้อมูลสำหรับการปรับปรุงและพัฒนาแผนการสอนจากบันทึก หลังสอน 10. นักเรียนได้เรียนรู้จากครู อาจารย์ ที่มีการวางแผนการสอน หรือวางแผนการ จัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 11. นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ ที่ได้รับการออกแบบจากครู อาจารย์ 12. นักเรียนได้เรียนรู้เต็มตามศักยภาพจากครู อาจารย์ และจากตนเอง


15 13. ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยแท้จริงในการจัดทำแผนการสอน ครูผู้สอน จะต้องมีความรู้ ความข้าใจเกี่ยวกับหลักในการจัดทำแผนการสอน เริ่มตั้งแต่ สามารถแปลงหลักสูตร ไปสู่การสอน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสามารถวิเคราะห์หลักสูตร เพื่อกำหนดกรอบการจัดการเรียนการ สอน สามารถกำหนดโครงสร้างการสอน อันจะนำไปสู่การจัดทำรายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนการสอนตาม ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง และคณะ (2557, หน้า 53) ได้อธิบายถึงความสำคัญ ของแผนการจัดการ เรียนรู้ไว้ว่า 1. เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร 2. เพื่อให้จัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจและ ความต้องการของ ผู้เรียน 3. เพื่อให้สามารถเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ให้พร้อม ก่อนทำการสอนจริง 4. เพื่อให้ผู้สอนมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในการจัดการเรียนรู้ 5. เพื่อให้เกิดการปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนรู้จากข้อจำกัดที่พบ 6. เพื่อให้ผู้อื่นสอนแทนได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น 7. เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับการพิจารณาผลงาน และคุณภาพ ในการปฏิบัติการสอน 8. เพื่อเป็นเครื่องมือบ่งชี้ความเป็นวิชาชีพของครูผู้สอน ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นอกจากความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักการจัดทำและเขียนแผนการสอนแล้ว ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ในด้านแนวคิด หลักการ จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เทคนิคการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ด้วย เพื่อที่จะนำความรู้ดังกล่าวมาใช้ประกอบการ จัดทำรายละเอียด ในแต่ละองค์ประกอบของ แผนการสอนให้สมบูรณ์ชัดเจนถูกต้อง และสัมพันธ์สอดคล้องกัน เป็นแผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง 3. รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง และคณะ (2556, หน้า 54-58) ให้ความเห็นว่า แผนการจัดการเรียนรู้มี หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานต้นสังกัด สถานศึกษา หรือผู้สอนที่จะเลือกใช้รูปแบบที่ คิดว่ามีความเหมาะสมและสะดวกต่อการนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบของแผนการจัดการ เรียนรู้ที่นิยมใช้ทั่วไป มีดังต่อไปนี้


16 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ แผนการจัดการเรียนรู้ชนิดนี้ จะเป็นการเรียงรายละเอียดขององค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ตามลำดับ โดยใช้ความเรียง เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยม แต่มีข้อจำกัดในกรณีที่รายละเอียด อยู่คนละหน้ากัน เนื่องจากยากต่อการมองเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่าง รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ …………… กลุ่มสาระการเรียนรู้.....................................ชั้น..................ภาคเรียนที่.......................... เรื่อง.........................................................ระยะเวลา.......................................ชั่วโมง _______________________________________________________________ สาระสำคัญ ............................................................................................................................. ............ ...................................................................................................................... ................... จุดประสงค์การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... เนื้อหาสาระ ............................................................................................................................. ............ กิจกรรมการเรียนรู้ ......................................................................................................................................... สื่อการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ............ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง แผนการเรียนรู้ชนิดนี้เป็นการนำ รายละเอียดของแต่ ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มาเขียนลงในตารางภายใน หน้าเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการ มองเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละองค์ประกอบ แต่มีข้อจำกัด ในด้านพื้นที่ในการเขียน และภาระในการ ตีตาราง


17 ตัวอย่าง รูปแบบของแผนจัดการเรียนรู้แบบตาราง แผนจัดการเรียนรู้ที่ .................... กลุ่มสาระการเรียนรู้.......................................ชั้น..................ภาคเรียนที่.......................... เรื่อง.....................................................................ระยะเวลา...................................ชั่วโมง สาระสำคัญ จุดประสงค์ การเรียนรู้ เนื้อหา สาระ กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการ เรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล การเรียนรู้ หมายเหต นอกจากนี้กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบแผนจัดการเรียนรู้ไว้ เพื่อเป็นกรอบนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปปรับใช้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม ดังนี้


18 กลุ่มสาระการเรียนรู้.......................................ชั้น..........ภาคเรียนที่.................. แผนการจัดการเรียนรู้ที่........เรื่อง...................หน่วย................ระยะเวลา.............ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1.1 ................................................................................................................. 1.2 ................................................................................................................. 1.3 ................................................................................................................ 2. สาระการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ 3. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ...................................................................................................................... ................... ............................................................................................................................. ............ .................................................................................................. ....................................... 4. สื่อและอุปกรณ์ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... รูปแบบของแผนการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้ปรับใช้เพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้


19 ตัวอย่างรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่...... กลุ่มสาระการเรียนรู้..................... รหัส........................... หน่วยการเรียนรู้ที่.........เรื่อง............................................. เวลาเรียน..........ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่.........เรื่อง............................................ เวลาเรียน..........ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่....... ภาคเรียนที่............................. ชื่อครูผู้สอน .................................................................................................................. .......................... _________________________________________________________________________ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ....................................................................................................... ตัวชี้วัด............................................................................................................ สาระสำคัญ ....................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... สาระการเรียนรู้ .................................................................................................................... ... ............................................................................................................................. ............ .................................................................................................................. ....................... จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) 1. ............................................................................................................. ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 2. ............................................................................................................. ด้านคุณลักษณะ (A) 3. ............................................................................................................. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. .................................................................................................................. 2. ..................................................................................................................


20 กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engage) ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ขั้นที่ 2 สำรวจ (Explore) ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ขั้นที่ 3 อธิบาย (Explain) ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(Expand) ............................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ขั้นที่ 5 ประเมินผล (Evaluate) ............................................................................................................................. ............ ......................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 1. สื่อการเรียนรู้ 2. แหล่งการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล 1. การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. การประเมินหลังเรียน 3. การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)


21 บันทึกหลังสอน 1. ผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ด้านทักษะกระบวนการ (P) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…….………....................………ผู้สอน (........................................) ตำแหน่ง.......................... วันที่….....เดือน….........………..พ.ศ………… สรุปได้ว่า การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ใช้รูปแบบการจัดทำแผนแบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engage) ขั้นที่ 2 สำรวจ (Explore) ขั้นที่ 3 อธิบาย (Explain) ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Expand) ขั้นที่ 5 ประเมินผล (Evaluate)


22 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การนำเสนอเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 2) หลักการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไกรฤกษ์ พลพา (2556, หน้า 59) ได้ให้ความหมายว่าเป็นผลการเรียนแสดงถึง ความสามารถหรือความสำเร็จรวมถึงประสิทธิภาพที่ได้จากการเรียนที่ได้รับจากการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ทักษะในด้านแก้ปัญหาความสามารถในการนำไปใช้ และ การคิดวิเคราะห์ เป็นต้น ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 165) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ของ การเรียนรู้ของผู้เรียน ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถถึงระดับมาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึงระดับใด หรือ มีความรู้ ความสามารถดีเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน นันทวัน คำสียา (2559, หน้า 46) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จของผู้เรียนในด้านความรู้ทักษะ และสมรรถภาพ สมอง ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนต่อการเรียนรู้ ภาวนา แง่มสุราช (2560, หน้า 92) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือ ความสามารถของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากคะแนนสอบที่กำหนดให้ หรือคะแนนที่ ได้จากงานที่ครูมอบหมาย จากความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น พอจะสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อผ่าน กระบวนการการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์โดยประเมินวัดผลจาก แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อีกทั้งยังหมายถึง ความสำเร็จ ความสมหวัง ในด้านการเรียนรู้ หรือความรู้ความสามารถของบุคคลอันได้มาจากการเรียนรู้ หรือประสบการณ์ทั้งปวงที่ได้กับจากการ ฝึกอบรม และเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน


23 2. หลักการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จุฬารัตน์ สุวรรโรจน์ (2558 : 65) กล่าวว่าเมื่อครูทำการสอนนักเรียนจบบท จำเป็นต้อง มีเครื่องมือที่มีความเชื่อมั่น และความเที่ยงตรงในการประเงินผลการเรียนการสอนนั้น ข้อสอบ วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนับว่า เป็นเครื่องมือในการประเมินการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง ดังนั้นการ สร้างข้อทดสอบที่ดี จะต้องมีการวางแผนหลักการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพดังนี้ 1. ก่อนที่จะลงมือสร้างข้อทดสอบ จะต้องทำตารางวิเคราะห์หลักสูตร ตาราง วิเคราะห์หลักสูตรเป็นตารางที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าพฤติกรรมกับเนื้อหาวิชาช่วยให้ครูทราบดีว่า ต้องสร้างข้อสอบวัดเนื้อหาพฤคิกรรมอย่างละเท่าไร เพราะแต่ละเนื้อหาแต่ละพฤติกรรมมีความสำคัญ ต่าง กัน ตารางวิเคราะห์หลักสูตร จึงควรเตรียมไว้ก่อนเริ่มสอนและเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ควรนำไป ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างข้งสอบ เพื่อตรวจความถูกต้องอีกครั้ง 2. แบบทดสอบทั้งฉบับ จะต้องประกอบด้วยข้อสอบหลาย ๆ ข้อ และหลายรูปแบบ ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของเนื้อหาวิชาบางตอน อาจเหมาะกับรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะแล้วรวบรวมข้อ ทดสอบให้เป็นหมวคหมู่ตามประเภทของข้อสอบ เช่น แบบเติมคำ แบบถูกผิด หรือแบบ หลาย ตัวเลือก เป็นต้น 3. เขียนคำชี้แงในการทำช้อสอบแต่ละประเภทให้รัดกุมชัดเจน เพื่อให้นักเรียนทราบ ว่าแต่ละข้อต้องทำอะไร 4. ควรให้ข้อทคสอบแต่ละข้อจบในหน้าเดียวกัน ไม่ควรมีคำถามอยู่หน้าหนึ่ง คำตอบ อยู่อีกหน้าหนึ่ง เพราะอาจทำให้เกิดการสับสน หรือเสียเวลาพลิกไปพลิกมา 5. สร้างข้อสอบทันทีภายหลังสิ้นสุดการสอน เพื่อทำให้ใไส้ข้อสอบวัดได้ตรงตาม เนื้อหามากยิ่งขึ้น 6. ควรสร้างข้อสอบให้มีความยากพอเหมาะ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อสอบที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้แบบทดสอบมีความเชื่อมั่นสูงสุด 7. แบบทคสอบให้มีจำนวนมากกว่าที่ต้องการในตารางวิเคราะห์หลักสูตรประมาณ 25-50 % เพราะภายหลังจากการตรวงทาน หรือการวิเคราะห์ข้อสอบแล้วอาจมีการตัดข้อสอบ บางข้อที่ใช้ไม่ได้ออกไป 8. สร้างข้อสอบเสร็จแล้วควรตรวจทานแก้ไขขั้นสุดท้าย โคยพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้ 8.1 ข้อสอบจะต้องวัดพฤติกรรมและเนื้อหาตารางวิเกราะห์หลักสูตร 8.2 ข้อสอบจะต้องมีคำถามที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกจ้องและมีตัวเลือกที่ถูก 8.3 ข้อสอบจะต้องเขียนให้ถูกหลักภาษา 8.4 ข้อสอบทดสอบทุกข้อต้องมีความเป็นอิสระจากกัน 8.5 คำถามในแต่ละข้อต้องชัดเจน รัดกุมและเข้าใจง่าย


24 8.6 ถ้าเป็นข้อทคสอบแบบหลายตัวเลือกต้องพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้ 9. ควรให้เพื่อนครูช่วยกันอ่านและตรวจทานอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบด้านภาษาและ ป้องกันการแปลความหมายที่คลาดเคลื่อน 10. นำข้อสอบที่เสร็จสมบูรณ์ไปทดสอบกับผู้เรียน ดังนั้นจะเห็นให้ว่า แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือในการวัดผลการศึกมาที่สามารถวัด คุณลักษณะและความสามารถด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน การเขียนข้อสอบให้มีคุณภาพนั้น ต้องอาศัย องค์ประกอบหลายประการโดยเริ่มตั้งแต่การวางแผนจนได้ข้อทดสอบ โดยผู้สอนต้องมีความชำนาญ ในเนื้อหาและมีความรอบคอบในการสร้างข้อทดสอบอย่างยิ่ง เพื่อจะได้ให้ผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ทาง เรียนตามวัดถุประสงค์ที่กำหนดไว้ต่อไป ความพึงพอใจในการเรียนรู้ การนำเสนอเกี่ยวกับความพึงพอใจในการเรียนรู้ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมายความพึงพอใจในการเรียนรู้ และ 2) เครื่องมือและการวัดความพึง พอใจในการเรียนรู้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของความพึงพอใจในการเรียนรู้ ความพึงพอใจ (Sais faction) มีลักษณะเป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปเป็น ร่างได้ การจะทราบว่าบุคคลใดมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกตได้จากการแสดงออกที่ค่อนข้าง สลับซับช้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดความพึงพอใจโดยตรง แต่สามารถวัดได้ทางอ้อมโดยการสอบถาม ความคิดเห็น ซึ่งต้องเป็นดวามคิดเห็นที่ตรงกับความรู้สึกที่แห้จริง นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ให้ ความหมายของความพึงพอใจไว้ดังนี้ จิตใส เกตุแก้ว (2556 : 7) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจาก ความเครียด เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองทั้งหมด หรือบางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง ความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้นและในทางกลับกันถ้าความถ้าความ ต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนองความเครียดและความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น สุดารัตน์ อะหลีแอ (2558 : 48) ได้สรุปความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกดี ความชอบ และการให้คุณค่าของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดการ เรียนรู้ ผู้สอน ความพร้อมและบรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม แล้วประสบผลสำเร็จตามความต้องการของผู้เรียน สุชาติ พิพัฒน์ (2559 : 60) กล่าวว่าความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึก นึกคิดของบุดคล


25 ในด้านความพึงพอใจหรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการทำงานในทางบวกและทางลบ ทางบวกจะ ทำงานได้ประสิทธิภาพ ถ้าทางลบก็จะทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก การให้ความสำคัญ เป็นการแสดงออกทาง อารมณ์ในลักษณะความชอบ ความพอใจ ที่มีต่อการสอนโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E และความรู้สึกที่ดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ นต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตนไม่ได้รับการตอบสบองความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น 2. เครื่องมือและการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ โยชิน ตันสนยุทธ (2556 : 66-67) กล่าวถึง เครื่องมือวัดความพึ่งพอใจ ว่าการวัคความ พึงพอใจ วิธีง่ายที่สุด คือ การถาม หรือการใช้แบบสอบถาม ซึ่งใช้มาตราส่วนประมาณค่าแบบ 5 ตัวเลือกของลิเศิร์ท ( Likert ) ซึ่งประกอบด้วยชุดคำถาม และมี 5 ตัวเลือกสำหรับเลือกคำตอบ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด คะแนนความพึงพอใจสามารถนำมาวิเคราะห์ว่าบุคคลม ความพึงพอใจค้านสูงหรือต่ำ โคยใช้วิธีทางสถิติ โยธิน แสวงดี (2558 : 9) กล่าวว่า มาตรวัดความพึงพอใจสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการ ทราบความคิดเห็น อาจทำโดยก าหนดคำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจทางหนึ่ง ต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการ ที่ดี จึงจะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง 3. การสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสังเกตพฤติกรรมของ กลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพูด กิริยาท่าทาง วิธีการนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและสังเกต อย่างมีระเบียบแบบแผน จากการทบทวนการวัดความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้เลือกวิธีการวัดความพึงพอใจ ได้แก่ แบบสอบถาม และเลือกใช้การวัดตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert) ในการประเมินระดับความพึงพอใจ ซึ่งมี 5 ระดับ ได้แก่ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อย ที่สุด อารีย์ สุรารักษ์ (2561 : 12) กล่าวถึง ความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้มีความสุข ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากความรู้ทางบวกอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่มีระบบ ย้อนกลับและความรู้สึกนี้ท าให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกเพิ่มขึ้นได้อีก จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกที่สลับซับซ้อนและความรู้สึกนี้จะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอื่น ๆ ดังนั้น


26 ความรู้สึกในทางบวก ความรู้สึกในทางลบ และความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและ ระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อ ระบบความพึงพอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกว่าทางลบ การที่จะใช้วิธีการวัดและเครื่องมือชนิคใดในการวัดความพึงพอใจขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการวัด หรือจุดประสงค์ที่ต้องการวัดเป็นสำคัญ ดังนั้นการเลือกวิธีวัดและเครื่องมือที่เหมาะสมย่อมได้ข้อมูลที่ ตรงกับสิ่งที่ต้องการวัคและนำสิ่งที่ได้จากการวัดไปใช้ประโยชน์ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้การวัดความพึงพอใจ ในการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. การใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้การสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน 3. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ณฐกรณ์ดําชะอม (2557: 4-109) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรูดวยกระ บวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E และวิธิีการทางประวัติศาสตร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่มีตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประวัติศาสตร์และการคิดอย่างมืวิจารณญาณ โดยมีจุดมุ่งหมายใน การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และ วิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประวัติศาสตร์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน มัยยมบ้านบางกะปิ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 80 คน โดย ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม ห้องเรียนละ 40 คน แล้วสุมอย่างง่ายอีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีการจับฉลากเป็น กลุ่มทดลองที่ 1 ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และ กลุ่มทดลอง ที่ 2 จำนวน 40 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ5 E แผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประวัติศาสตร์ และแบบสอบวัด ความสามารถในการคิดวิจารณญาณ แผนการทดลอง Randomized control Group Pretest - Posttest Design การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีทางสถิติ -test แบบ dependent และ I-test แบบ Independent group ในรูป Difference Score ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั่นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังจัดการเริยนรู้ด้วยกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้แบบ 5E แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


27 ประวัติศสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อน และหลังจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 3) ผสสัมฤทธิ์ทางการเวียน ประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใต้รับการจัจการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้แบบ 5E ในกลุ่มทดลองที่ 1 กับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ในกลุ่มทดลองที่ 2 แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ นิตยา พรมพื้น (2562: 4-56) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้5 ขั้น (5 STEPs) ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจใน ระดับประเทศ สาระเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น (5 STEPs) สำหรับพัฒนาผลสัมฤทธิ์ การเรียนรู้แบบมีการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจในระดับประเทศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนภูกระดึงวิทยาคม อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบมีการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจในระดับประเทศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนภูกระดึงวิทยาคม อำเภอ ภูกระดึง จังหวัดเลย จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น (5 STEPs) ระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่เรียนในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนภูกระดึงวิทยาคม อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้5 ขั้น (5 STEPs) และ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยมีค่าความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 0.57 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.47 ถึง 0.80 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้ ในการวิจัย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที แบบไม่อิสระ ผลการวิจัยสรุป ได้ว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้5 ขั้น (5 STEPs) มีประสิทธิภาพ 75.54/92.68 และ 2) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 นางเดือนเพ็ญ สังข์งาม (2563: 4-102) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มี ความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 และ 2) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกา เหนือที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน โกสุมวิทยาสรรค์ จังหวัดมหาสารคาม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น


28 มัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบ One Group Pre–test Post– test Design ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียว ดังตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า มี 2 ชนิด ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5E) และ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางงการเรียน จำนวน 30 ข้อ ซึ่งเครื่องมือ เหล่านี้ได้รับการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน คำนวณค่า IOC ได้ 0.80 ขึ้นไปทุก รายการ สถิติที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติทดสอบที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพสำหรับการ จัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 85.61/82.61 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือที่จัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว ติณณ์ณภัทร เพชรศิริวรรณ (2563: 6-109) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้แบบ 5E เรื่อง ภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่อง ภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ตรวจสอบประสิทธิผลของกิจกรรมการ เรียนรู้ ตามเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนพรเจริญวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนทั้งสิ้น 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 50 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) จำนวน 16 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.70/86.80 ซึ่งผ่าน เกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ 80/80 2) กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6118 (คิด เป็นร้อยละ 61.18) ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ตั้งแต่ร้อยละ 50 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


29 และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ที่สุด (X= 4.58, S.D. = 0.56) สุกัญญา เพ็ชรนาค (2563: 3-84) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการ วิจัยเพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบ ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบการสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 28 คน โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ใช้ วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม การวิจัยแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัด ทักษะการคิดวิเคราะห์ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบที กรณีกลุ่มไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียน มี ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบการสืบเสาะหาความรู้ 5E โดยรวมอยู่ในระดับมาก กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคิดการวิจัยในครั้งนี้ ปรากฏดังภาพที่ 1 การจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์สำหรับ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ประเด็นการศึกษาของผู้วิจัยส่วนใหญ่มีขอบเขตอยู่ที่การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ สืบเสาะหาความรูแบบ 5E ผู้วิจัยได้กำหนดหัวข้อการดำเนินการวิจัยตามลำดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุมภวาปี อำเภอ กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 384 คน จากห้องเรียน จำนวน 10 ห้อง 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน จากห้องเรียนจำนวน ห้อง (ห้อง 6) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 3 ชนิด ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส23102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 5 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชา ประวัติศาสตร์ (ส23102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ


31 3. แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชา ประวัติศาสตร์(ส23102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชา ประวัติศาสตร์ (ส23102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 5 แผน ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหา คุณภาพ ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับ หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และ วัฒนธรรมสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และศึกษาคู่มือการเขียนแผนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็น สำคัญ ระดับชั้นมัธยมศึกษา แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม 1.2 ศึกษาเทคนิควิธีการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้จากคู่มือการจัดการการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การเขียนแผนจัดการเรียนรู้ของคู่มือครูตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1.3 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระ การ เรียนรู้ กำหนดเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 1.4 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน โดยแต่ละแผนจะประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ สื่อและ แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เกณฑ์การวัดและประเมินผล กิจกรรมข้อเสนอแนะ และบันทึก หลังการสอนในแต่ละแผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาเรื่องราว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่4 เรื่องข้อจำกัดของเรื่องราว เหตุการณ์ทาประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องกรณีตัวอย่างในการศึกษาเรื่องราว เหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์


32 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของมาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัด และประเมินผล เกณฑ์การวัดและประเมินผล กิจกรรมข้อเสนอแนะและบันทึกหลังการสอน 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องทางด้านเนื้อหา การ สื่อความหมายและเวลาที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งพร้อมแบบประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์(ส23102) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เกณฑ์การประเมินดัดแปลงมาจาก มาตราส่วนประมาณค่าของ บุญชม ศรี สะอาด (2553 : 103) ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับต้องปรับปรุง 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส23102) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการประเมิน จากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่ามีคุณภาพอยู่ ในเกณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ 1.8 พิมพ์แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชา ประวัติศาสตร์ (ส23102) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ฉบับจริง เพื่อนำไปใช้จริงกับกลุ่ม ตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมายต่อไป 2. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหา คุณภาพตามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรมสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง เวลาเรียน แนวดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดผล ประเมินผลและการ ติดตามผล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส23102) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3


33 2.2 ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบจากตำราการวัดผลการศึกษา (สมนึก ภัททิยธนี. 2553 : 98) 2.3 สร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ โดยยึดตามจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อกำหนด ข้อสอบ โดยสร้างเป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 60 ข้อ ซึ่งจะใช้จริง 40 ข้อ (เขียนข้อสอบเผื่อไว้ 50%) โดยข้อสอบในแต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว การตรวจให้ คะแนนแบบทดสอบมีหลักเกณฑ์คือ ตอบถูกในแต่ละข้อให้คะแนนข้อละ 1 คะแนน ถ้าตอบผิด ในแต่ ละข้อให้ 0 คะแนน ถ้าตอบมากกว่า 1 ข้อ หรือไม่ตอบให้ 0 คะแนน 2.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรง ด้วยการประเมิน ความ สอดคล้องระหว่าข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สูตร IOC (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 50) ผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบและจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน 2.5 ปรับปรุงข้อความในข้อสอบบางข้อตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และ จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับทดลอง 2.6 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนที่เคยเรียนเนื้อหานี้มาก่อน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัด อุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน 2.7 วิเคราะห์ข้อสอบเพื่อหาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ แบบอิงกลุ่มโดยใช้เทคนิค 30% ข้อสอบที่เข้าเกณฑ์ต้องมีค่าความยากตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.80 และค่า อำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ถึง 1.00 (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 57 - 58) 2.8 นำแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้ใช้จำนวน 40 ข้อ มาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR-20 ตามวิธีของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KuderRichardson Method) (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 88 - 89) 2.9 พิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์(ส23102) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ฉบับจริง ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เพื่อ นำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป


34 3. การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชา ประวัติศาสตร์ (ส23102) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ5E มัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็น แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยดำเนินการสร้าง และหาคุณภาพตามขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้จากตำราวัดผลทางการ ศึกษาของ สมนึก ภัททิยธนี (2564 : 36-42) ดังนี้ 3.1 ศึกษาข้อความที่แสดงถึงความพึงพอใจในการเรียนรู้ โดยสร้างแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ผู้วิจัยกำหนดค่าคะแนนเป็น 5 ระดับ ตามวิธีของ ลิเคริท (Likert) โดยกำหนดขอบเขตการวัดความพึงพอใจของนักเรียนออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้าน เนื้อหา 2) ด้านปฏิบัติงาน 3) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และ 4) ด้านการวัด และประเมินผล แล้วสร้างข้อคำถามจำนวน 25 ข้อ ต้องการใช้จริง 20 ข้อ 3.2 นำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นทั้ง 25 ข้อ เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความสอดคล้องของข้อคำถามกับประเด็นที่ต้องการวัดด้านความพึงพอใจ ใน การเรียนรู้ในแต่ละข้อ โดยมีเงื่อนไขการให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับประเด็นด้านความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับประเด็นด้านความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถามนั้นไม่สอดคล้องกับประเด็นด้านความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ 3.3 พิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชา ประวัติศาสตร์ (ส23102) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไป ทดลองใช้ 3.4 หาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้เป็นรายข้อ โดยนำ แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้มาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ดังนี้ พึงพอใจน้อยที่สุด ให้น้ำหนักคะแนนเป็น 1 พึงพอใจน้อย ให้น้ำหนักคะแนนเป็น 2 พึงพอใจปานกลาง ให้น้ำหนักคะแนนเป็น 3 พึงพอใจมาก ให้น้ำหนักคะแนนเป็น 4


35 พึงพอใจมากที่สุด ให้น้ำหนักคะแนนเป็น 5 นำมาวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 3.4.1 วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยคะแนนรวมนั้นได้หักคะแนนของข้อนั้น ๆ ออกแล้ว (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 71) 3.4.2 นำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่คัดเลือกไว้ใช้จำนวน 20 ข้อ มาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ทั้งฉบับ โดยวิธีการใช้สูตร สัมประสิทธิ์แอลฟา ( -Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 90) 3.5 พิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ฉบับจริง จำนวน 20 ข้อ เพื่อ นำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยที่มีแบบแผนการวิจัยเชิงทดลองแบบ One Group PretestPosttest Design (อรัญ ซุยกระเดื่อง, 2557 : 34) มีลักษณะการทดลองดังภาพที่ 2 กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง O1 X O2 เมื่อ O1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) O2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์(ส23102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาพที่ 2c รูปแบบการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design


36 การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมก่อนการทดลอง 1.1 เตรียมกลุ่มตัวอย่าง โดยการจัดทำบัญชีรายชื่อนักเรียน จัดทำตารางกำหนดวัน เวลาในการทดลอง พร้อมทั้งทำเรื่องขออนุญาตทางโรงเรียน 1.2 จัดเตรียมสถานที่และเครื่องมือในการทดลอง 1.3 ผู้วิจัยแนะนำกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการเรียนด้วยรูปแบบกระบวนการสืบ เสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส23102) ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เวลาในการแนะนำนักเรียนประมาณ 30 นาที 2. ขั้นดำเนินการทดลอง 2.1 ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pretest) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและได้วิเคราะห์คุณภาพแล้ว 2.2 ทำการทดลอง โดยให้กลุ่มตัวอย่างเรียนจากโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู แบบ 5E เรื่อง วิธีการทาประวัติศาสตร์ 2.3 ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Posttest) ซึ่งกระทำทันทีเมื่อสิ้นสุดการเรียน โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเป็น แบบทดสอบข้อเดียวกันกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน แต่มีการสลับข้อ 2.4 ให้กลุ่มตัวอย่างตอบความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E เรื่อง วิธีการทาประวัติศาสตร์รายวิชา ประวัติศาสตร์(ส23102) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. นำคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนมาวิเคราะห์ เพื่อหาประสิทธิภาพ ของกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส23102) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้มาตรฐาน E1/E2 ตามเกณฑ์ 80/80


37 2. นำคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) 3. นำผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์รายวิชาประวัติศาสตร์(ส 23102) โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มาทำการวิเคราะห์โดยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ด้วยเกณฑ์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2556 : 103) คะแนน 1.00 - 1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด คะแนน 1.51 - 2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนน 2.51 - 3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนน 3.51 - 4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนน 4.51 - 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ 1.1 หาค่าความตรงรายข้อของแบบทดสอบ/และแบบสอบถามโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ เรียกว่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) เป็นความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ โดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก มีสูตรในการ คำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 153) R IOC N = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทุกคน N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ แบบปรนัยเป็นรายข้อ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 154-156)


38 P P H L P n + = 2 n P P r H − L = เมื่อ P แทน ค่าความยาก r แทน ดัชนีอำนาจจำแนก PH แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง PL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ n แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบทั้งหมดของกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ 1.3 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (D) ของแบบทดสอบ ภาคปฏิบัติเป็นรายข้อ โดยวิธีการของวิทนีย์และซาเบอร์ส (Whitney and Sabers) มีสูตรในการ คำนวณ ดังนี้ (ไพศาล วรคำ. 2559 : 299-308) P = H L mim max mim S + S - (2nX ) 2n(X - X ) D = H L max mim S - S n(X - X ) เมื่อ P แทน ค่าความยากของแบบทดสอบภาคปฏิบัติ D แทน ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบภาคปฏิบัติ SH แทน ผลรวมคะแนนในกลุ่มสูง SL แทน ผลรวมคะแนนในกลุ่มต่ำ n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Xmax แทน คะแนนสูงสุดในข้อนั้น Xmin แทน คะแนนต่ำสุดในข้อนั้น 1.4 การหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยคะแนนรวมนั้นได้หักคะแนนของข้อนั้น ๆ ออกแล้ว มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 71) X (Y-X ) i i r = ( ) i i i i 2 2 2 2 i i i i N X (Y - X ) - X (Y - X ) N X - ( X ) N (Y - X ) - (Y - X )


39 เมื่อ X (Y-X ) i i r แทน ค่าอำนาจจำแนกของข้อคำถามข้อที่ i Xi แทน ชุดของคะแนนจากคำถามข้อที่ i Y แทน ชุดของคะแนนรวมจากข้อคำถามทุกข้อ N แทน จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่นำมาวิเคราะห์ 1.5 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบแบบปรนัยทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-20 โดยวิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson Method) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 88 - 89) tt r = 2 k pq 1 - k -1 S เมื่อ tt r แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ p แทน ค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนค่าความยากแต่ละข้อ (q = 1 - p) S 2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนรวม k แทน จำนวนข้อสอบในแบบทดสอบ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ร้อยละ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 211) f N p = x 100 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจำนวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 213)


40 X X = n เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 225) n X - X ( ) S = n(n - ) 2 2 1 เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ข้อมูลแต่ละค่าของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ ตามเกณฑ์ 80/80 วิเคราะห์โดยใช้สูตร E1/E2 ดังนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2556 : 10) X N E = × A 1 100 F N E = × B 2 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดปฏิบัติ กิจกรรมหรืองานที่ทำ


41 ระหว่างเรียน F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติทุกชิ้นรวมกัน B แทน คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้าย (การสอบหลังเรียน) N แทน จำนวนผู้เรียน 4. สถิติที่ใช้ในการการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 244) D t = n D - ( D ) n - 2 2 1 , df = n - 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อทราบ ความมีนัยสำคัญ D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่คะแนน


นราพร รอบครอบ วิจัวิยจันี้เป็น ป็ ส่วส่นหนึ่งของรายวิชวิาการฝึก ฝึปฏิบั ฏิติกติารสอนในสถานศึก ศึ ษา 1 ตามหลักลั สูต สู รครุศ รุ าสตรบัณฑิตฑิ สาขาวิชวิาพุท พุ ธศาสนศึกษา มหาวิทวิยาลัยลัราชภัฏอุด อุ รธานี ปีก ปี ารศึก ศึ ษา 2566


Click to View FlipBook Version