The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัมมนาพระสุตตันตปิฎกบทที่6-(สัญชัย ทิพย์โอสถ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sunchait65, 2022-12-20 10:31:32

สัมมนาพระสุตตันตปิฎกบทที่6-(สัญชัย ทิพย์โอสถ)

สัมมนาพระสุตตันตปิฎกบทที่6-(สัญชัย ทิพย์โอสถ)

แผนการสอนประจำสัปดาห์ที่ 6
เร่อื ง การใชส้ มาธิเพื่อการรกั ษาจิตใจสำหรบั นกั ท่องเท่ียว กรณศี ึกษา Monk Chat Program ของ

โรงเรยี นสามัคควี ิทยาทาน อำเภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งใหม่

The Use of Mindfulness Meditation for Tourists, a Case Study Monk Chat
Program at Sammakkee School Chiang Mai Sub-District,
Chiang Mai Province

สญั ชยั ทิพยโ์ อสถ1
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตล้านนา
MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY ; LANNA CAMPUS

[email protected]/20/12/2565
1. รายละเอียดบทนำ

พฤติกรรมของมนุษย์มาจากทัศนคติ ทัศนคติเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมหลายอย่างของ
มนุษย์ที่แสดงออกมา พฤติกรรมที่แสดงออกจึงเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติ ความรู้และทัศนคติของคน
นั้นอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจที่ปัจจัยแทรกซ้อนหลายอย่างภายในจิตของมนุษย์ การศึกษาทัศนคติ
สามารถชว่ ยใหท้ ราบพฤติกรรมของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง ทัศนคติคอื พรอ้ มทีจ่ ะตอบสนอง หรอื แสดง
ความรู้สึกต่อวัตถุ สิ่งของ คนหรือสัมผัสอื่นๆ การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่ไม่ชอบและ
ชอบ ถ้าไม่ชอบก็หลีกเลียงถอยหนี (ชูชีพ อ่อนโคกสูง, 2522, น.103) ทัศนคติมีผลต่อการปฏิบัติ คิด
อย่างไรทำอย่างนนั้ ดงั ภาษิตที่กล่าวไวว้ ่า “จิตเปน็ นาย กายเปน็ บา่ ว” คดิ ดีย่อมทำในสิ่งที่ดี ทัศนคติมี
ลักษณะเปน็ ระดับความรู้สึกท่ีดีหรือไม่ดตี ่อกันกับวตั ถุทางจติ วิทยา (Psychological Objects) ค าว่า
วัตถุทางจิตวิทยา มีความหมายอันอาจใช้กับ ศาสนา ระบบการเมือง ลักษณะของงาน ชาติ กลุ่มคน
เป็นต้น จุดเริ่มต้นของทัศนคติอาจเห็นได้จากปฏิกิริยาโต้ตอบง่าย ๆ ในการชอบหรือเข้าหา
(approach) หรือการไม่ชอบหรือถอยห่าง (withdrawal) สรุป “ทัศนคติ” หมายถึงความรู้สึกนึกคิด
หรอื ทา่ ทขี องบคุ คลทมี่ ีต่อบคุ คลวัตถุส่ิงของ หรอื สถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจะเป็นการแสดงถงึ ความพร้อม
ทางจติ ใจของบคุ คล ท่ีมีตอ่ ส่ิงใดสงิ่ หนึ่งซง่ึ สามารถเปล่ียนแปลงได้ และมแี นวโนม้ ที่จะก าหนดทิศทาง
การแสดงออกของพฤติกรรมของบุคคล ที่แสดงออกมาทางอารมณ์ว่า ชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ทัศนคติ
เป็นนามธรรมส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ การแสดงออกที่มาจากประสบการณ์ ความรู้ความคิด
ความเช่ือ การเรียนรู้ รวมเปน็ ภมู ิหลังของบคุ คลน้ัน (สมปราชญ์ จอมเทศน์, 2515, น.41-42)

1 อาจารย์ผรู้ ับผดิ ชอบหลักสูตรศลิ ปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพทุ ธศาสตรเ์ พือ่ การพฒั นา

2

ทัศนคตคิ รอบคลุมในการประเมินค่าความรสู้ ึกเกี่ยวกับอารมณ์เป็นการรวบรวมความรู้สึกนึก
คิด ความเชื่อและความจริง ประเมินทั้งทางบวกและทางลบ ทุกอย่างสัมพันธ์กันมีทัศนคติเป็น
แกนกลาง ความรู้และความรู้สึกเหล่านี้มีแนวน้ามทจี่ ะก่อใหเ้ กิดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่งึ ได้ (โสภา
ชพู ิชัยกุล, 2522, น.15) วงจรชวี ติ มกี ารเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ชวี ิตเปน็ สิง่ ไม่ซบั ซ้อนกใ็ ช่ ไมซ่ บั ซ้อน
ก็ใช่ มุมมองของชีวิตในทางพระพุทธศาสนามองว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบาง แตกสลายได้ง่าย เกิดมา
ตอ้ งดน้ิ รนต่อสู้เพ่ือให้อย่รู อด ท่ามกลางการแข่งขนั กัน ความเจริญของโลกรุ่งเรืองข้ึนด้วยวัตถุเพียงใด
สุขและทุกข์ของมนุษย์เจริญตามขึ้นเพียงนั้น แต่สุขของโลกนั้นย่อมมีทุกข์เจือปนอยู่ด้วยทุกกรณี
ถึงแม้ว่าเรามีความยินดีในการเกิด เราก็มีความทุกข์ในการตาย ความเกิดขึ้นมาพร้อมกับความตาย
(หลวงปรญิ ญาโยควิบูลย์, 2509)

ดงั พุทธศาสนสุภาษิตท่ีวา่ “เอถ ปสฺสถมิ ํ โลกํ จิตตฺ ํ ราชรถูปมํ ยตฺถ พาลา วิสีทนตฺ ิ นตถฺ ิ สงฺโค
วิชานตํ” "สูท้งั หลาย จงมาดโู ลกนี้ อันตระการ ดุจราชรถ ทพี่ วกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่
ไม่" คำว่า โลกมีทั้งโดยตรง ได้แก่ แผ่นดินเป็นทีอ่ ยู่อาศยั โลกโดยอ้อม ได้แก่ สัตว์ผู้อาศัย และโลกมี
ลักษณะ 3 ประการ คือ 1) สิ่งที่ให้โทษโดยส่วนเดียว เปรียบด้วยยาพิษ 2) เป็นสิ่งท่ีให้โทษในเม่ือเกิน
พอดี เปรียบด้วยของมึนเมา 3) สงิ่ ทเี่ ป็นอุปการะ เปรยี บดว้ ยอาหารและเภสชั ถา้ ใช้ในทางผิดอาจเป็น
โทษได้ ผู้หมกอยู่ในโลก คือ คนผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโลกโดยถ่องแท้ อาการที่หมกอยู่ในโลก
เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ระเริงจนเกินพอดี ในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งที่เป็นอุปการะ โทษของ
การหมกอย่ใู นโลกจนเกนิ ไป ยอ่ มไดท้ กุ ขบ์ ้าง สขุ บ้าง แม้สุขก็สขุ เพยี งสามิสสขุ มีเหย่อื เจอด้วยของล่อ
ใจเปน็ เหตใุ หต้ ิดอยู่ ดุจเหยอื่ คือ เนื้อทีเ่ บด็ เก่ียวไว้ เปน็ ผจู้ ะพงึ ถกู จงู ไปไดด้ ้วยตามปรารถนา ผู้ไม่ข้อง
อยู่ในโลก บัณฑิตพิจารณาเห็นความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้น ๆ ว่าอย่างอย่างไร ไม่ข้อง ไม่พัวพันในสิ่งอัน
ลอ่ ใจให้ใคร ๆ ไม่อาจยวั่ ให้ตดิ ด้วยประการใดประการหน่งึ ยอ่ มเป็นอิสระแกต่ น

ด้วยที่ว่าโลกนี้วิจิตรตระการตาเปรียบด้วยราชรถโบราณที่ประดับด้วยเครื่องอลังการอย่าง
สวยสดงดงาม มิใช่เพื่อให้หลงชม ดุจดูละคร เห็นแก่สนุก แต่เพื่อให้หยั่งเหน็ ลงในถึงคุณและโทษแหง่
สิ่งนั้น จะได้ไม่ตื่นเต้นไม่ติดในสิ่งนั้น (กองพุทธศาสนศึกษา, 2555, น.34-35) โลกได้พัฒนานวัตตก
รรมเพื่ออำนวยความสะดวก เทคโนโลยีก็สามารถกลับมาทำลายเราได้ในเวลาอันรวดเร็วโลกได้
เพลิดเพลินไปกับวัตถุจนคิดทำนวัตกรรมหุ่นยนต์ใช้แทนมนุษย์ได้แต่มนุษย์พากันลืมเรื่องน้ำใจและ
กำลงั ใจที่มีให้กันผลท่ีเกิดขนึ้ ก็คือความไม่มีสุขเพราะว่าไปหลงไหลในวตั ถนุ ยิ มจนเกินไป เพราะว่าโลก
นเ้ี ตม็ ไปด้วยกันแก่งแย่งแขง่ ขนั รบราฆา่ ฟันกนั ไปทกุ บ้านทุกเมือง

3

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มนุษย์ก่อขึ้นเอง การทำลายธรรมชาติ สร้างมลพิษ สร้างกระแส
วัตถุนยิ มโดยไม่สนใจทางด้านจิตวญิ ญาณ ก่อใหเ้ กิดปญั หาระยะสั้นและระยะยาวผกู กนั เป็นลูกโซ่เกาะ
เกี่ยวกันไปจนกลายเป็นปัญหาของโลกในปัจจุบันและจะก่อปัญหาไปเรื่อย ๆ หรือเป็นปัญหาที่มา
พร้อมกับการเกิดเป็นมนุษย์ เพราะหลกั คำสอนทางศาสนาบอกวา่ การเกดิ ข้นึ มาเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์
ปญั หาชวี ิตเกดิ จากกเิ ลสตัณหาของมนุษย์ ถ้าสามารถลดละกิเลสตัณหาของมนุษย์ได้ปัญหาก็จะลดละ
หรือหมดไปในที่สุด พุทธปรัชญานั้น สามารถ จะแก้ปัญหาให้โลกได้ ถ้ารู้จักเลือกและนำหลักธรรมท่ี
เหมาะสมกับสถานการณ์ พุทธปรัชญาสามารถให้คำช้ีแนะวิธีแก้ปัญหาไว้หลายแห่ง เช่น หลักการใช้
สมาธิ หรือโยนิโสมนสิการ คอื การฝึกจิตใจใหห้ นกั แน่นแน่วแน่ การพิจารณาโดยแยบคาย ในส่วนของ
ฆราวาสผู้ดำเนินชีวิตในระดับโลกิยะทั่วไปวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการมีประโยชน์ต่อการด ำรงชีวิตอยู่
เสมอ เช่น ความมีสติอยู่ตลอดเวลาไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตเมื่อประสบปัญหาพยายามทำความ
เข้าใจปัญหาหรือความทุกข์ โดยกำหนดรู้ เข้าใจสาเหตุของปัญหา แล้วคิดหาวิธีปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา
นั้น (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), 2553, น.682) เพราะโยนิโสมนสิการหรือการฝึกสติ สมาธิ
เป็นหลักการท่ีคอยหล่อเล้ียงสติ เช่นเมื่อบคุ คลได้รับอารมณ์ต่าง ๆ เขา้ มาท้ังทด่ี ี และไม่ดี ถ้ามีการฝึก
สมาธหิ รือโยนโิ สมนสิการพจิ ารณาหาเหตผุ ล ทำให้เขา้ ใจ ตามความเป็นจรงิ คิดหาทางแก้ไขได้ถูกต้อง
หรือเรียกว่า ทำให้คนมีความคิด ในการแก้ปัญหานั้นเอง หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการมองโลกใน
โยนิโสมนสิการนี้ เมื่อพิจารณาในลักษณะสามมิติ คือ พิจารณาด้านที่เป็นคุณ (อัสสาทะ ) พิจารณา
ด้านที่เป็นโทษ (อาทีนวะ ) และพิจารณา ในด้านที่เป็นทางออก (นิสสรณะ) และธรรมข้อน้ีจะแนะนำ
ทางออกที่เป็นปัญหาของโลกได้อย่างไร อันเป็นข้อที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ผู้มีสติปัญญาคิดว่า
ทางนี้เป็นทางตัน เพราะเราลืมศีลธรรมของมนุษย์หรือว่าศาสนาไปหรือเปล่าเมื่อกลับมาคิดด้วย
เหตุผลก็พบแต่ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหนึ่งที่จะนำความสุขกลับมาให้มนุษย์โลกได้การศึกษา
พระพุทธศาสนาช่วยนำมาช่วยโลกให้เป็นสุขจะเห็นได้ว่าแต่ก่อนไม่เคยมีชาวตะวันตกที่สนใจในพุทธ
ศาสนาปัจจุบันมีคนตะวันตกสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นสิ่งที่สำคัญก็คือบทความหรือว่าหนังสือท่ี
ช่วยอธิบายความรู้ความเข้าใจในการศึกษาพระพุทธศาสนา คำถามที่สำคัญที่คนส่วนใหญ่จะถาม คือ
พระพุทธศาสนานั้นเป็นปรัชญาหรือศาสนาอะไร เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คำสอน
ของพระพทุ ธเจ้าเรอ่ื งสมาธใิ ชป้ ระโยชน์อยา่ งไรไดบ้ ้าง

การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ กรณีศึกษา Monk Chat
Program ของโรงเรยี นสามคั คีวิทยาทาน อำเภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม่

ดังนั้น การศึกษาเรื่อง การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
กรณีศึกษา Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

4

เพอื่ ศึกษา 1) วธิ ีการฝึกสมาธิตามแนวทางพระพุทธศาสนา 2) การใช้สมาธเิ พ่ือการรักษาจิตใจสำหรับ
นักท่องเที่ยวต่างประเทศ กรณีศึกษา Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอ
เมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแนวทางในการนำไปหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิต ด้วยการ Learning
by doing เรียนแล้วด้วยการนำไปใชเ้ มือ่ เจอปญั หาและจะแก้หาทางออกอยา่ งไรไดบ้ า้ ง

ดังนั้นด้วยการใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ กรณีศึกษา
Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อาจจะเป็น
แนวทางในการแก้ปัญหาสังคมที่เกิดในปัจจุบันได้ในระดับจุลภาค คือ ครอบครัว และระดับมหภาค
คือ ระดบั ประเทศชาตหิ รอื โลกจะทำให้เกิดสันติสุขข้นึ ในสงั คมได้

ผู้วิจยั ดำเนนิ การเชิงลึกจากการลงพ้ืนที่ พบวา่ นักทอ่ งเทีย่ วท่ีเข้ารว่ มโครงการ Monk Chat
Program ของโรงเรยี นสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง จังหวดั เชยี งใหม่ ไดห้ ลักธรรมและแนวทางการ
เจริญสมาธิ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ซึ่งสอดรับกับแผนงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยมีการ
บูรณการระหวา่ งศาสตร์ คือ พุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ทางจิต คือ จิตวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์ มี
การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ทางราชการ เช่น บุคลากรทางการศึกษาที่มคี วามเกี่ยวข้อง เป็นตน้
ผู้วิจัยมีประสบการณ์ในการทำงานในพื้นท่ีโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน ดังนั้น โครงการวิจัยนี้ จะ
ก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการที่นำไปสู่การปฏิบัติ ประโยชน์เชิงชุมชนเพื่อการศึกษาและสังคมท่ี
เข้มแข็งต่อไป ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน และประโยชน์เชิงนโยบายในการพัฒนาชุมชน
แห่งการศึกษาต่อไปที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติให้มีแนวทางหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ
และทุกข์กายของประชาชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาประเทศชาติและสร้าง
สันตสิ ขุ กับโลกตอ่ ไป

คำสำคัญ การใช้สมาธิ, การรักษาจิตใจ, นักท่องเที่ยวต่างประเทศของMonk Chat
Program,
2. วัตถุประสงคข์ องการวิจยั

1) เพื่อศึกษาวธิ กี ารฝึกสมาธิตามแนวทางพระพุทธศาสนา
2) เพ่ือวิเคราะห์การใชส้ มาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วตา่ งประเทศ กรณีศึกษา
Monk Chat Program ของโรงเรยี นสามัคคีวทิ ยาทาน อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่

3. วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย
1. รูปแบบการวิจัย เป็นระเบียบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ใช้

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัย 3
ข้ันตอน คือมขี ้นั ตอนในการดำเนนิ งานดงั น้ี

5

ขัน้ ตอนท่ี 1. เพอ่ื ศึกษาวธิ กี ารฝกึ สมาธิตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ขั้นตอนที่ 2 เพื่อวิเคราะห์การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา
Monk Chat Program ของโรงเรยี นสามคั ควี ทิ ยาทาน อำเภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งใหม่

ขัน้ ตอนการดำเนินการวจิ ัย

ขนั้ ตอนการวจิ ยั วธิ ีดาเนินการวิจัย ผลลัพธท์ ต่ี ้องการ

1. เพ่ือศกึ ษาวธิ ีการ 1.ศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎเี ก่ียวกบั วธิ ีการฝกึ สมาธิ ไดว้ ิธกี ารฝึกสมาธิตาม
ฝึกสมาธิตาม ตามแนวทางพระพุทธศาสนา แนวทางพระพทุ ธศาสนา
แนวทาง 2.กล่มุ ตัวอยา่ งผู้ให้ข้อมลู คือ นกั ทอ่ งเทย่ี ว
พระพทุ ธศาสนา 3.ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่นกั ท่องเท่ียว กรณีศึกษา ไดแ้ นวทางการใชส้ มาธิ
Monk Chat Program ของโรงเรียน เพ่ือการรกั ษาจติ ใจสาหรบั
2 เพ่ือวเิ คราะหก์ ารใชส้ มาธิเพ่อื สามัคคีวิทยาทาน อาเภอเมือง จังหวัด
การรกั ษาจิตใจสาหรบั เชียงใหม่ นกั ทอ่ งเท่ยี ว เกดิ การ
นกั ทอ่ งเท่ยี ว กรณีศกึ ษา 4.สรา้ งเคร่อื งมอื เป็นแบบสมั ภาษณ์ ถา่ ยทอดหลกั ธรรมและ
5.การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ใช้วธิ สี ัมภาษณ์ แนวทางการเจรญิ กรรม
Monk Chat Program 6. วิเคราะห์แบบ (Content Analysis) ตามทางพระพทุ ธศาสนา
ของโรงเรยี นสามคั ควี ิทยาทาน
อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ 1.จดั สนทนากลมุ่

(Focus Group Discussion)
2.กลมุ่ ตวั อย่างผใู้ ห้ขอ้ มลู คือ ผูท้ รงคุณวฒุ ิ
และผเู้ ก่ียวขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษา 25 ทา่ น
3 . ป รั บ ป รุ ง ก า ร พั ฒ น า ก ล ยุ ท ธ์ ต า ม
ขอ้ เสนอแนะรว่ มกบั สมาชิกชมรม
4.นาเสนอรูปแบบแนวทางการฝึกสมาธิ
3 เพ่ือวิเคราะห์การใชส้ มาธิเพ่ือการรักษา
จิตใจสาหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึก ษา
Monk Chat Program ของโรงเรียน
สามคั ควี ทิ ยาทาน

แผนภูมิภาพที่ 3.1 แสดงขน้ั ตอนการดำเนนิ การวจิ ยั และผลลพั ธ์ทเี่ กดิ ขนึ้
3.2 พื้นทีก่ ารวิจัย
พื้นที่วิจยั โรงเรยี นสามัคคีวทิ ยาทาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
3.3. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง

6

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ แบบสัมภาษณ์ (Key Informants 25 คน/รูป
ประชากรที่ศึกษาได้แก่ นักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคี
วทิ ยาทาน อำเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่

- การเลือกกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key - Informant) ใช้
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) และมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ รวมจำนวน 25 รูป/คน
ประกอบด้วยนักท่องเท่ียว กรณีศึกษา Monk Chat Program ของโรงเรียนสามคั คีวทิ ยาทาน อำเภอ
เมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 25 คน (กลุ่มประธานตัวอย่าง Focus group 20 รูป/คน สัมภาษณ์
เชิงลกึ 5 รูป/คน (In-depth interview 5 people)

3.4 เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
การวจิ ัยในครัง้ นี้ คือ เชิงคุณภาพ 1) เครือ่ งมอื ในการวิจัยการใช้สมาธเิ พ่ือการรักษาจิตใจ

สำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ ในขั้นตอนนี้มีเครื่องมือสร้างขึ้น มีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิง
คุณภาพครั้งนี้ เป็นแบบบันทึกการเก็บข้อมูลภาคสนามที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น ได้แก่ 1) บันทึกข้อมูลการ
เดินทาง 2) แบบสำรวจสภาพพื้นที่เบื้องต้น 3) แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นรายบุคคล 4) แบบสนทนา
กลุ่ม (ย่อยและกลุ่มใหญ่) 5) แบบสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม 6) แบบบันทึก (จากการสังเกตหรือ
สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ) 7) อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ปากกา
กระดาษ เคร่อื งบันทกึ เสยี ง กลอ้ งถ่าย ภาพนิ่งและภาพเครื่องไหว

3.5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล/ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู
เมอื่ ได้สรา้ งและตรวจสอบเคร่อื งมอื ดงั กล่าวเสรจ็ แลว้ คณะผวู้ จิ ัยได้ดำเนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ดังน้ี
1. เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับงานวิจัย
2. เก็บข้อมูลจากเครื่องมือวิจัยโดยผูว้ จิ ัยเป็นผู้กำหนดการวิจัยด้วยวิธกี ารต่อไปนี้ การสังเกต
อย่างไม่มีส่วนร่วมได้มอบหมายให้ผู้ร่วมวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง การ
สัมภาษณ์เชิงลึกได้มอบหมายให้ผู้รว่ มวจิ ัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลัก ผู้วิจัย 1 คนต่อผู้ให้
ข้อมูล 3 คน ได้จัดเวทเี พือ่ สนทนากลุ่ม (Focus group) จำนวน 5 รปู /คน ประกอบดว้ ย คณะทมี วิจัย
7 รูป/คน และสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่าง 5 รูป/คน และการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล จำนวน 20
รูป/คน รวม 25 รูป/คน ณ Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่เวลา 08.30 – 16.10 น.พร้อมทั้งมอบผู้ดำเนินการดังนี้ ในการสนทนากลุ่มนั้นได้
จัดเป็นรูปแบบตัว ยู (U) ได้กำหนดผู้ให้ข้อมูลสำคัญนั่งเรียงลำดับกันไป ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็น
คณะผู้วิจัย และคณะผู้วิจัยได้สร้างความคุ้นเคยโดยการแนะนำตัวให้ผู้เข้าสนทนากลุ่มทราบเป็น

7

รายบคุ คล และขอใหผ้ ใู้ ห้ข้อมลู สำคัญแนะนำตวั เปน็ รายบุคคลเพื่อสร้างความคนุ้ เคยก่อนสนทนากลุ่ม
ตามลำดบั หวั ขอ้ ทกี่ ำหนดไว้

การตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลวิจัยเชิงคณุ ภาพ เมื่อได้เก็บข้อมูลทั้งหมดแล้ว ผู้วิจัยได้
ตรวจสอบคุณภาพข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่น (Reliability) ดังนี้ คือ วิธี Data Triangulations
method วธิ ี Investigations method และวธิ ี Theory method
1. การตรวจสอบความแบบสามเส้าจากการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้ให้ข้อมูล (สัดส่วนผู้วิจัย 1 : 3
คน จำนวน ผู้วิจัย 7 ท่าน รวมผู้ให้ข้อมูลทัง้ สิ้น 25 รูป/คน) ตอบข้อคำถามในลักษณะคล้ายกันหรือ
ตรงกนั ขอ้ คำถามจะถามเวลาใด ขอ้ มูลจากทไ่ี ด้ ก็ถกู ต้องตรงกัน ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากสถานท่ีใดก็ได้ข้อมูลท่ี
ถูกต้องตรงกัน หากข้อมูลในส่วนใดยังไม่ตรงกัน ผู้วิจัยต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ี
ถูกต้องตรงกนั เพิ่มเตมิ
2. การตรวจสอบความแบบสามเส้าจากการสังเกตอย่างไม่มีส่วนร่วม ได้แก่ผู้ให้ข้อมูล
พฤติกรรมของนักศึกษา ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป้าหมายการวิจัยจำนวน 5 คน ได้ข้อมูลในลักษณะที่
สอดคล้องคล้ายกันหรือตรงกัน ขอ้ สังเกตจะสงั เกตเวลาใด ขอ้ มลู จากที่ได้ ก็ถกู ต้องตรงกัน ข้อมูลที่ได้
จากสถานที่ใดก็ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน หากข้อมูลในส่วนใดยังไม่ตรงกันผู้วิจัยต้องค้นหาข้อมูล
เพิม่ เติมเพอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่ีถกู ต้องตรงกันเพ่ิมเตมิ
3. การตรวจสอบความแบบสามเส้าจากการศึกษาเอกสาร ขอ้ มลู จากเอกสารอย่างนอ้ ยจาก 3
ฉบับ เช่น ข้อมูลพื้นฐานของ มมร. วิทยาเขตล้านนา และข้อมูลพื้นฐานจังหวัดเชียงใหม่ และข้อมูล
แหล่งท่องเที่ยว ข้อมูลจากเอกสารฉบับใดถูกตอ้ งตรงกัน หากข้อมูลในส่วนใดยังไม่ตรงกนั ผู้วิจัยตอ้ ง
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกันเพิ่มเติมวิธี Investigation’s method ผู้เก็บ
ขอ้ มูลทำการเกบ็ ข้อมูลโดยไมม่ ีอคติ วิธี Theory method การเก็บข้อมูลทฤษฎีทีก่ ำหนดยืนยันความ
ถกู ต้องไมค่ ลาดเคล่อื น
3.6 การตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มลู
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลวิจัยเชิงคุณภาพ เมื่อได้เก็บข้อมูลทั้งหมดแล้ว
คณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบคุณภาพข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่น (Reliability) ดังนี้ คือ วิธี Data
Triangulations method วธิ ี Investigations method และวิธี Theory method
3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย (Analytic Induction) คือการนำ
ข้อมูลแต่ละด้านมาสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ การวิเคราะห์โดยจำแนกชนิดข้อมูล (Typological
Analysis) เปน็ การวเิ คราะหต์ ัวแปรทม่ี ีก่ตี วั แปรก็วเิ คราะห์ตามน้ัน คือ
1. การกระทำ (Acts) เปน็ การวเิ คราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณเ์ ปน็ รายบุคคลเพ่ือสังเคราะห์
ข้อมูลให้ได้ตรงกัน กิจกรรมคล้ายกันโดยการสนทนากลุ่ม การหาความหมายของข้อมูลเชิงลึก จาก

8

การศึกษาชีวปิ ระวัติบุคคลสำคัญในพื้นท่ี การศึกษาสภาพแวดลอ้ มทั่วไป การมีส่วนร่วมของคณะวจิ ัย
ในการเก็บข้อมูลตามภาระงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละหวั ขอ้ เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต
แบบไมม่ สี ่วนรว่ ม การสังเกตสภาพพนื้ ที่ท่ัวไป การสมั ภาษณช์ วี ประวตั ิบคุ คลสำคัญ การศกึ ษาเอกสาร
แล้วนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหานำมาเขียนร่วมรายงานร่วมกันเพื่อให้เห็นว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเป็นไปใน
ทิศทางเดียวกันหรอื ไม่

2. การเปรยี บเทียบข้อมลู โดยการนำข้อมูลเช่น การสัมภาษณเ์ ชิงลึก การสงั เกตแบบไม่มีส่วน
ร่วม การสังเกตสภาพพื้นที่ทั่วไป การสัมภาษณ์ชีวประวัติบุคคลสำคัญ การศึกษาเอกสาร มา
เปรียบเทียบขอ้ มลู ใหม้ คี วามสอดคล้องตรงกัน

3. เป็นการวิเคราะหข์ ้อมูลเชิงเน้ือหาโดยการนำข้อมูลจาก 25 ชุดมาเขียนเรียงกันว่าคนท่ี 1-
25 ว่าให้ข้อสัมภาษณ์การสังเกตและการศึกษาเอกสารว่าอย่างไรและนำมาเปรียบเทียบว่าเหมือนกนั
หรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร และคณะผวู้ จิ ัยนำมาสรปุ ประเด็นใหส้ อดคลอ้ งตรงกนั

3.8 การเขียนรายงานการวิจัย
ผู้วจิ ยั ไดท้ ำการสำรวจพื้นท่แี ละศึกษาข้อมลู ต่างๆ จากน้ันไดท้ ำเครือ่ งมือในการวจิ ัย เปน็ แบบ
สัมภาษณท์ ง้ั รายบุคคล รายกลุ่ม และแบบสงั เกตสิ่งแวดล้อมจากนั้นได้มอบหมายให้คณะทำงานได้ไป
ดำเนินการเมื่อเสร็จแล้วจะได้นำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบการบรรยายเชิงวิเคราะห์ รวม 5 บท
พรอ้ มรูปภาพประกอบการศึกษาวิจยั การใช้สมาธิเพ่อื การรักษาจิตใจสำหรบั นักท่องเที่ยว กรณีศึกษา
Monk Chat Program ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยได้นำ
ผลการวิจัยมาจัดทำเป็นบทความวิจัย เพื่อนำมาใช้ในการเผยแพร่ที่ง่ายต่อความเข้าใจและสามารถ
นำไปขยายผลในชมุ ชนอืน่ ๆ ต่อไป
3. สรุปผลการวิจยั
1. วิธีการฝึกสมาธิตามแนวทางพระพุทธศาสนา ตามหลักการในอานาปานสติสูตรการเจรญิ
สติ (สติปัฏฐาน 4) ครงั้ หนง่ึ พระพุทธองค์ประทับอยู่ในนิคมชื่อกัมมาสทัมมะของชาวกุรุ ในแคว้นกุรุ
ทรงแสดงสติปัฏฐาน 4 แก่ภิกษุทั้งหลายในฐานะเป็นทางสายเอกเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์
ทั้งหลาย เป็นไปเพื่อล่วงพ้นหรือข้ามแดนแห่งความโศกความคร่ำครวญรำพัน เพื่อความตั้งอยู่ไม่ได้
แหง่ ทกุ ข์โทมนัส เป็นไปเพอ่ื บรรลธุ รรมที่ควรรู้ และเพื่อทำนิพพานใหแ้ จ้ง
โดยพยัญชนะ สติปัฏฐาน แปลว่า การตั้งสติ หรือธรรมเป็นที่ตัง้ ท่ัวไปแห่งสติ ถือเอาความวา่
เป็นท่ีรองรบั สติ ถ้าจะถามวา่ ควรตั้งสตลิ งทใ่ี ด กต็ อบว่า ควรลงท่ีอารมณ์ 4 อย่าง หรือ ธรรม 4 อย่าง
คือ กาย , เวทนา , จิต และธรรม สติบริสุทธิ์น้ันมี 1 แต่หย่ังลงในอารมณ์หรือธรรมทั้ง 4 เรียกว่า สติ
ปฏั ฐาน 4 เปรยี บเหมือนโคตวั หน่ึงมี 4 ขา อาศยั ขาทั้ง 4 น้นั เดินไป
เนื่องจากพระไตรปิฎกฉบับนี้สำหรับผู้บวชใหม่และชาวพุทธทั่วไป และเนื่องจากสติปัฏฐาน
เป็นเร่ืองยากยง่ิ จึงขอถอดความโดยย่อและอธิบายไปด้วยตลอดท้ังพระสูตร

9

อนึ่ง เมื่อพูดถึงสัมมาสติในมรรคมีองค์ 8 พระพุทธองค์ก็ทรงชี้มาที่สติปัฏฐาน 4 ว่าเป็น
สัมมาสติ เมอ่ื ตอ้ งการเจริญสัมมาสติกใ็ หเ้ จริญสัมมาสตนิ น่ั เอง
สตปิ ฏั ฐาน 4

สตปิ ัฏฐาน 4 ประกอบดว้ ย
1.การพิจารณากาย (กายานุปสั สนา)
2.การพิจารณาความรู้สึก (เวทนานปุ ัสสนา)
3.การพิจารณาจติ (จติ ตานุปสั สนา)
4.การพิจารณาธรรมทีเ่ กดิ กับจติ (ธัมมานุปัสสนา)
ในการพิจารณากาย , เวทนา , ธรรม , จิต นี้ ทรงสอนให้มีความเพียร (อาตาปะ) มี
สัมปชัญญะ และมีสติควบไปด้วยเสมอ เพื่อกำจดั ให้หมดไปซงึ่ ความยินดี และความเสียใจในโลก
มนุษย์เราส่วนใหญ่ท่องเท่ียวอยู่ในความพอใจ ความเสียใจ หรือความยินดียินร้ายในโลก ที่
เปน็ เช่นน้เี พราะขาดสติสัมปชัญญะระลึกรู้ความจริงของส่ิงทั้งปวง จงึ หลงยึดมั่นถือมั่นว่า เรา ของเรา
ตัวตนของเรา มีความเพลิดเพลินหรรษา ความคร่ำครวญเศร้าโศก ยินดีเมื่อได้ ยินร้ายเมื่อเสีย และ
คร่ำครวญเม่ือสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมดาของมัน บุคคลผู้ไม่รู้กฎธรรมดา หลงยึดอยู่ผูเ้ ดียว
ก็ต้องไดร้ ับความเดือดร้อนเปน็ เครือ่ งตอบแทน
เป็นที่ประจักษ์ว่า ธรรมยิ่งสูงขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันมากเพียงน้ัน
ธรรมที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับจิตใจ ความเสื่อม ความเจริญของจิตใจ ความเดือดร้อนและ
ความสงบสุขของจิตใจ เปน็ เรอื่ งทบี่ คุ คลต้องประสบอยู่ทุกวนั ไม่วา่ งเวน้ ผูฉ้ ลาดในกระบวนการของจิต
เทา่ น้นั จึงจะสามารถประคับประคองจิตให้อยู่ในปกตภิ าพ คือผอ่ งใสอยูไ่ ด้
สติปัฏฐานจะช่วยให้ท่านฉลาดในกระบวนการของจิต มีอานุภาพกำจัดอภิชฌา (ความยินดี)
และโทมนสั (ความเสียใจ) เสยี ได้ คงอยู่ในโลกอย่างอิสระ ไม่มีส่ิงเสยี บแทงผูกพนั ไม่มีสงิ่ เผาลนให้เร่า
ร้อนวนุ่ วาย ไมม่ ีอะไรสามารถมาชักจูงให้หลงติดอยู่ได้ เป็นผอู้ ยู่บนโลกเพยี งแต่ร่างกาย สว่ นใจของเขา
อยู่เหนือโลก ท่านลองคดิ ดเู ถิดว่า บุคคลเช่นนน้ั จะสง่าสงู ส่งเพียงใด
ต่อไปนี้ ขอเสนอรายละเอียดของสติปัฏฐานตามสมควร จะไม่ให้พิสดารนัก กล่าวแต่โดยย่อ
พอเป็นทางแหง่ การปฏิบัติ
1.กายานุปัสสนา แปลว่า การพิจารณากาย โดยใจความสำคัญว่า กายนี้ก็สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่
สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เราเขา มันเป็นธรรมดาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจยั
ทรุดโทรม มันย่อมทรุดโทรมไป เมอื่ เหตุปจั จัยดับ มันกด็ บั ไป ไมใ่ ชเ่ รา ไม่ใชข่ องเรา บังคับบัญชาไม่ได้
เกิดขน้ึ ตามธรรมดาของสิง่ มีเหตุ และดบั ไปตามธรรมดาเมือ่ เหตุดบั
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มี 6 ปัพพะ (บรรพ) คำว่า “ปัพพะ” หรือ “บรรพ” นั้น แปลว่า
หวั ข้อ หรอื ตอน

10

ตอนที่ 1 ทรงสอนให้มีสติกำหนดลมหายใจเข้าออก เรียกในภาษาบาลีว่า อานาปานสติ วิธี
เจริญอานาปานสติสมาธินี้ คลุมเอาสติปัฏฐานทั้ง 3 ข้างปลายไว้ด้วย คือ เจริญอานาปานสติสมาธิ
อย่างเดียวก็ชื่อว่าได้เจริญเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนาไปด้วย ดังจะกล่าว
ภายหลงั ตอนทว่ี ่าด้วยวธิ เี จรญิ อานาปานสติ

อานาปานสติสมาธินี้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญมาก ว่าเป็นยอดของกรรมฐาน เป็นธรรม
เครื่องอยู่สบายประจำวันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวกทั้งหลาย ทำให้
สบายกาย สบายใจ บรรเทาความกลัดกลุ้มรุ่มเร้า เป็นเหตุให้บรรลุคุณวิเศษในทางธรรม เป็นเหตุให้
บรรลุถึงวชิ ชาและวมิ ุตตา ดงั ทพ่ี ระพทุ ธองคต์ รัสไว้วา่

“ภิกษุทั้งหลาย! อานาปานสติ อันบุคคลใดอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว บุคคลนั้นย่อม
สามารถทำสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ ผู้ใดอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ซึ่งสติปัฏฐาน 4 ผู้นั้นย่อมทำ
โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ ผู้ใดอบรมแลว้ ทำให้มากแล้ว ซึ่งโพชฌงค์ 7 ผู้นั้นย่อมทำวิชชา (ความรู้
แจง้ ) และวิมตุ ตา (ความหลุดพน้ ) ใหบ้ ริบูรณ์”
วิธเี จรญิ อานาปานสติสมาธิ

ผู้จะเจริญอานาปานสติ เมื่อได้บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ธูปเทียนหรือด้วยการน้อมนึกถงึ
คุณพระรัตนตรยั แลว้ นง่ั ตั้งกายให้ตรง เอาเทา้ ขวาทับเทา้ ซ้าย มือขวาทบั มอื ซ้าย หรอื จะนั่งบนเก้าอี้ก็
ได้ แต่อย่าพิง (เพื่อให้ร่างกายตั้งตรงจริงๆ) แล้วหายใจเข้าลึกๆยาวๆ ผ่อนหายใจออกช้าๆทำดังนี้
หลายๆครั้งจนรู้สึกว่าจิตสงบพอสมควรแล้วจึงหายใจตามปกติ มีสติกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่
ตลอดเวลา เมื่อหายใจเขา้ ออก อาจนบั ไปดว้ ย (นับในใจ)ว่า 1-1 , 2-2 ไปจนถงึ 10-10 แลว้ ตงั้ ต้นใหม่
นี้สำหรับผู้เริ่มทำ แต่ผู้ที่ทำจนชำนาญแคล่วคล่องดีแล้ว ไม่ต้องนับก็ได้ เพียงแต่หายใจเข้าก็มีสติรู้ว่า
“เข้า” เมอื่ หายใจออกก็มีสติรวู้ ่า “ออก”

การทำดังน้ี ทำให้ใจสงบ ทำใหจ้ ิตประณีต ทำใหใ้ จเยือกเยน็ เป็นทีอ่ ยอู่ ย่างสบายของใจ และ
สามารถทำใหอ้ กุศลบาปธรรมที่เกดิ ขึน้ แลว้ ในใจสงบระงับไดอ้ ย่างรวดเร็ว

ในมหาสตปิ ัฏฐานสตู ร พระพุทธองคต์ รัสถึงวธิ ที ำอานาปานสตสิ มาธิไวด้ ังน้ี
ภกิ ษใุ นศาสนานี้ อยปู่ า่ หรอื โคนไม้หรือสุญญาคาร นั่งคูบ้ ลั ลงั ค์ ต้ังกายให้ตรง ตั้งสติไว้เฉพาะ
หน้า (คอื ตงั้ สตไิ วท้ รี่ ิมฝปี ากเบือ้ งบนหรอื ที่ปลายจมกู ) มสี ตหิ ายใจเข้าหายใจออก
1.เมอื่ หายใจเข้า-ออก ยาว ก็รูช้ ดั วา่ ยาว
2.เม่อื หายใจเข้า-ออก สน้ั กร็ ู้ชัดวา่ สนั้
3.เธอสำเหนียกวา่ เราจกั เป็นผู้กำหนดร้กู องลมทั้งลมหายใจเข้า-ออก
4.เธอสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารทั้งหมดหายใจเข้า-ออก สี่ข้อนี้จัดเป็นกายา
นปุ สั สนา
เธอสำเหนียกวา่

11

5.เราจักกำหนดรู้ปตี ิ หายใจเข้า-ออก
6.เราจกั กำหนดรูส้ ุข หายใจเข้า-ออก
7.เราจกั กำหนดรู้สงั ขาร หายใจเข้า-ออก
8.เราจะระงับจิตสงั ขาร หายใจเขา้ -ออก สีข่ ้อน้จี ดั เป็นเวทนานปุ ัสสนา
เธอสำเหนยี กว่า
9.เราจักกำหนดรจู้ ติ หายใจเข้า-ออก
10.เราจักทำจติ ใหป้ ราโมช หายใจเขา้ -ออก
11.เราจักยงั จติ ใหต้ ้ังม่นั หายใจเขา้ -ออก
12.เราจกั ยงั จิตใหห้ ลดุ พ้น หายใจเข้า-ออก ส่ขี ้อนจี้ ดั เปน็ จติ ตานปุ ัสสนา
เธอสำเหนยี กว่า
13.เราจักพจิ ารณาความไมเ่ ที่ยง หายใจเข้า-ออก
14.เราจกั พจิ ารณาความคลายกำหนัด หายใจเขา้ -ออก
15.เราจักพจิ ารณาความดบั ทกุ ข์ หายใจเข้า-ออก
16.เราจกั พิจารณาการละกเิ ลส หายใจเข้า-ออก สี่ข้อนีจ้ ดั เป็นธัมมานปุ สั สนา
จะเหน็ วา่ อานาปานสติสมาธิน้ันครอบคลุมเอาสติปัฏฐานทั้ง 4 ไวด้ ว้ ย ดังกลา่ วแลว้
อนงึ่ พระพทุ ธองคท์ รงยกย่องอานาปานสติสมาธิ เช่น
“ภกิ ษทุ ้ังหลาย! เมอื่ ตถาคตยังเปน็ โพธิสัตว์ อยกู่ ่อนแตต่ รัสรู้ ตถาคตอยดู่ ้วยวิหารธรรมคือ
อานาปานสติสมาธินี้แหละเป็นส่วนมาก เพราะอานาปานสตินี้เอง กายของตถาคตก็ไม่ลำบาก
จักษุกไ็ ม่ลำบาก จิตก็หลดุ พน้ จากอาสวะ”
“ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญโพชฌงค์ 7 ไปด้วยกันกับอานาปานสติ อัน
อาศัยวเิ วก อาศยั ความคลายกำหนัด และอาศยั ความดับทุกขน์ ้อมไปเพื่อการปล่อยวาง อานาปาน
สตทิ ภ่ี ิกษุอบรม ทำใหม้ ากแลว้ ย่อมมผี ลมาก มอี านสิ งคม์ าก”
ทา่ นวา่ ผเู้ จรญิ กรรมฐานอยา่ งอื่น เมื่อบรรลุอรหตั ตผลแลว้ อาจสามารถกำหนดอายุตนเองได้
บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ผู้เจริญอานาปนสติสมาธิย่อมสามารถรับรู้วันนิพพานของตนของตนอย่างแน่นอน
ดงั เชน่ พระเถระรปู หนึง่ สวดปาติโมกข์ในวันเพ็ญอโุ บสถแลว้ ออกมาดดู วงจันทร์ ตรวจดูอายุสังขารของ
ตน รู้ว่าจักสิ้นอายุนิพพานในวันนี้ จึงกล่าวกับภิกษุผู้ห้อมล้อมอยู่ว่า เคยเห็นภิกษุนิพพานในอากาศก็
เห็น ที่นั่งคู้บัลลังก์นิพพานก็เคยเหน็ ข้าพเจ้าจะเดินจงกรมนิพพาน ดังนี้แล้วจึงขีดเครื่องหมายลงบน
พน้ื ดนิ พูดกับภิกษทุ ั้งหลายวา่ ข้าพเจ้าจักเดินจากตรงนี้ไปถึงสุดโน้นแล้วเดนิ กลับมา พอถึงที่ตรงนี้จัก
นพิ พาน ทา่ นทำได้ตามที่พูดนัน้
อานาปานสติ มีอานิสงค์มากดังพรรณนามา

12

ตอนที่ 2 อิริยาปถปัพพะ ว่าดว้ ยอริ ยิ าบถ ทา่ นสอนใหม้ สี ตอิ ย่อู ิริยาบถ ไม่ว่า ยนื , เดนิ , น่ัง
หรอื นอน เม่ือเดินก็มีสตวิ า่ “บัดนี้เราเดินอยู่ ” เป็นตน้

คนส่วนมาก เวลาเดิน , ยนื , นัง่ , นอน สตสิ มั ปชัญญะหาไดอ้ ย่ทู เ่ี ดิน ยนื น่ัง นอน ไม่ เพราะ
ใจไปมัวคดิ ส่งิ อืน่ มากมาย

ตอนที่ 3 สัมปชัญญปัพพะ ว่าด้วยสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทุกขณะ เมื่อก้าวไป-ถอยกลับ
(ซอยละเอียดลงไปในอริ ิยบถปัพพะนั่นเอง) เหลยี วซ้าย , ขวา , เหยยี ดแขน , คู้แขน , กิน , ดม่ื , เคยี้ ว
, ลิ้มรส , ถ่ายอจุ จาระ , ถา่ ยปัสสาวะ

ตอนที่ 4 ปฏิกูลปัพพะ ว่าด้วยความปฏิกลู โสโครกนา่ รังเกียจของร่างกาย ตั้งแต่ปลายผมลง
ไป ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา มีผม , ขน , เล็บ , ฟัน , หนัง , เนื้อ , เอ็น , กระดูก ฯลฯ ล้วนเป็นอสุภะไม่
สะอาดทัง้ สิน้ มที วารทง้ั 9 อัน เป็นทไ่ี หลออกแห่งสิง่ โสโครกในกาย

ตอนที่ 5 ธาตุปพั พะ วา่ ดว้ ยธาตุ 4 คือ ดนิ นำ้ ลม ไฟ คือ ใหพ้ จิ ารณากายนี้ว่าสักแต่เป็น
ธาตุ 4 คมุ กันเขา้ ไม่เที่ยง ไม่ย่งั ยืน ตอ้ งแปรปรวนไป และแตกดับในท่สี ดุ

ตอนท่ี 6 นวสีวถกิ าปัพพะ ว่าดว้ ยซากศพท่เี ขาท้งิ ไวใ้ นป่าชา้ ซ่งึ มลี ักษณะตา่ งๆถึง 9 ประการ
คอื

(1)ซากศพที่ตายวันเดียว สองวัน สามวันบ้าง ขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่า
เกลียด ฯลฯ แล้วน้อมพิจารณาว่า แม้ร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ไม่อาจล่วงพ้นความ
เปน็ อย่างนีไ้ ปได้เลย

(2) ซากศพทฝ่ี ูงสตั ว์ต่างๆมีกาเปน็ ต้นจกิ กิน
(3) ซากศพทเ่ี ป็นรา่ งกระดูก ยังมีเน้ือและเลอื ด มีเสน้ เอ็นรัดรึงอยู่
(4) ซากศพที่เปน็ รา่ งกระดูกเป้ือนเลอื ดไม่มีเน้ือติดอยู่แล้ว
(5) ซากศพทเ่ี หลือแตก่ ระดกู ไมม่ เี นอื้ และเลือดแล้ว แต่ยงั มเี อน็ รัดรงึ อยู่
(6) ซากศพที่ปราศจากเนื้อ เลือด และกระดูกเส้นเอ็น ไม่คุมกันเป็นรูปร่างแล้ว กระดูก
กระจัดกระจายเร่ียรายไปคนละทศิ คนละทาง
(7) ซากศพที่เหลอื แตก่ ระดูกสขี าวเหมอื นสีสงั ข์
(8) ซากศพที่เปน็ กระดูกเรยี งรายเกินปีหนึ่งไปแลว้
(9) ซากศพที่กระดกู เปน็ จุณ คอื ละเอยี ดแล้ว
บคุ คลเหน็ ซากศพดังน้ีแลว้ น้อมเข้ามาพิจารณากายของตนว่า กายของเรานี้ก็ต้องเป็นอย่างน้ี
ไม่อาจลว่ งพ้นความเปน็ อย่างนไี้ ปไดเ้ ลย
ทัง้ หมดนเ้ี ป็นกายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน-การตั้งสตพิ ิจารณากาย
2.เวทนานุปัสสนา-การพจิ ารณาเวทนา (ความรู้สึก) การตามดูเวทนาของตน ตามรเู้ วทนาของ
ตน เชน่ -เมื่อเสวยสุขเวทนา กร็ ู้ว่าเสวยสขุ เวทนา (รูส้ ึกสขุ )

13

-เมอ่ื เสวยทกุ ขเวทนา ก็ร้วู ่าเสวยทกุ ขเวทนา (รู้สึกทุกข์)
-เมอ่ื เสวยอทุกขมสุขเวทนา (อุเบกขา) ก็รวู้ ่าเสวยอทุกขมสุขเวทนา (รู้สกึ เฉยๆ)
-เมอ่ื เสวยสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสขุ เวทนา อันเจือด้วยอามสิ ก็รู้
ความสุขโสมนัสและทุกขโทมนัสมอันเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ เรียกว่าสขุ เวทนาหรอื ทุกขเวทนา ที่เจือด้วยอามิส
เมื่อบุคคลพิจารณาเวทนาอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็นธรรมดาอย่างหนึ่ง คือ ความสิ้นไป ความเสื่อม
ไป ความเกิดขึ้นแล้วดับไปของเวทนา เขาย่อมเห็นแจ้งว่ามันสักแต่ว่าเป็นเวทนา ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุ
ปัจจัยและดับไปตามเหตปุ จั จัย จงึ กลายเปน็ ผ้ไู มย่ ึดม่ันถือมน่ั อะไรๆในโลก มชี วี ิตเบาสบาย
3.จิตตานุปสั สนา-การพิจารณาจิต (ตามดูจิต) ของตน เช่น
-จติ มรี าคะหรือปราศจากราคะ ก็รู้
-จติ มีโทสะหรือปราศจากโทสะ ก็รู้
-จิตมโี มหะหรอื ปราศจากโมหะ ก็รู้
-จติ หดห่หู รอื ฟุ้งซ่าน กร็ ู้
-จิตเป็นมหัคคตะ (จิตมีเมตตาเป็นต้น ซึ่งกว้างใหญ่เป็นอัปปมัญญา) หรือจิตเป็นอมหัคคตะ
(จิตแคบ) กร็ ู้
-จิตต่ำหรือจติ สงู ก็รู้
-จติ ตั้งมนั่ หรือไมต่ งั้ มั่น ก็รู้
-จิตหลุดพ้นหรือไม่หลุดพน้ ก็รู้
เมือ่ บุคคลพิจารณาจติ ตามดจู ิตอยเู่ ช่นนี้ ยอ่ มเหน็ ธรรมดา คือ ความสนิ้ และความเสื่อมในจิต
เธอย่อมเห็นจิตสักแต่ว่าจิตเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปจั จัย จึงเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลก มีชีวิตเบา
สบาย
4.ธัมมานุปัสสนา-การพิจารณาธรรม (ตามดูธรรม) ทั้งส่วนอกุศลและกุศลที่เกิดขึ้นในจิตของ
ตน ทรงแสดงไว้หลายอยา่ ง ดังน้ี
(1) นวิ รณ์ 5 คือ กามฉันท์ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อทุ ธัจจกุกกุจจะ วิจกิ จิ ฉา เมื่อมันอยู่ในจิตก็รู้
วา่ มีอยู่ เม่ือมันไมม่ อี ยู่ก็รู้ว่ามนั ไมม่ อี ยู่
(2) ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาณ ทรงสอนให้รู้จักขันธ์ ความเกิดขึ้นแห่ง
ขันธ์ และความดับแหง่ ขันธ์
(3) อายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 –อายตนะภายใน คือ ตา , หู , จมูก , ลิ้น , กาย , ใจ
อายตนะภายนอก 6 คือ รูป , เสียง , กลิ่น , รส , โผฏฐัพพะ , ธัมมารมณ์ ทรงสอนให้รู้จักตืกิเลสท่ี
เกิดข้ึนเพราะอาศัยตาเห็นรูป และผูกพันสัตว์ไว้ในภพ (หู จมูก ฯลฯ ก็ทำนองเดียวกัน) ทรงสอนให้

14

รู้จกั วธิ ที ี่ไม่ให้กิเลสเกิดและวธิ ีละกเิ ลสซง่ึ เกิดขึน้ แลว้ เพราะอาศัยตา , หู , รปู , เสียงเปน็ ต้นนั้น ตลอด
ทงั้ ใหร้ ู้จกั วิธที ำมใิ หก้ ิเลสทีล่ ะได้แล้วเกดิ ขนึ้ อกี

รวมความว่า ทรงสอนให้รู้จักอายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 กิเลสที่เกิดขึ้นเพราะ
อาศยั อายตนะ การละกิเลส และการทำใหก้ เิ ลสท่ลี ะได้แลว้ ไม่เกดิ ขึน้ อีก

(4) โพชฌงค์ 7 – โพชฌงค์ คือองค์แห่งธรรมอันเป็นปัจจัยอุดหนุนให้ตรัสรู้หรือรู้ธรรมอัน
สูงสุด มี 7 หัวข้อ คือ 1) สติ-ความระลึกได้ 2) ธัมมวิจยะ-การเลือกเฟ้นธรรม 3) วิริยะ-ความ
เพียร 4) ปีติ-ความเอิบอิ่ม 5) ปัสสัทธิ-ความสงบใจสงบจิต 6) สมาธิ-ความตั้งมั่นแห่งจิต
7) อเุ บกขา-ความวางเฉย

ทรงสอนให้ตามพิจารณาธรรมเหล่านี้ให้รู้ชัดว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่ในจิตให้ รู้ความเกิดขึ้นแห่ง
โพชฌงคท์ ่ยี ังไม่เกิด และรวู ธิ ที ำใหโ้ พชฌงคท์ เ่ี กดิ ขน้ึ แล้วถงึ ความบรบิ รู ณ์

(5) อรยิ สจั จ์ 4 เห็นอริยสัจจ์ 4 ตามความเปน็ จรงิ วา่ นท้ี กุ ข์ นี้เหตุใหเ้ กิดทุกข์ น้ีความดับทุกข์
นท้ี างให้ถึงความดบั ทุกข์

ทั้ง 5 น้เี ป็นธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ทรงสอนใหพ้ ิจารณานวิ รณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์
และอริยสจั จ์

อานิสงค์แห่งการเจริญสติปัฏฐาน ทรงแสดงไว้ตอนท้านของสติปัฏฐานว่า ผู้ใดก็ตามเจริญ
สติปัฏฐาน 4 เป็นเวลา 7 ปี เขาย่อมหวังได้ซึ่งผล 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผล หรือ
อนาคามิผล

ต่อจากนั้น ได้ทรงลดระยะเวลาลงเรื่อยมา คือ แม้เจริญสติปัฏฐาน 4 ไม่ถึง 7 ปีเพียง 6 ปี 5
ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี แล้วลดลงมาเพียง 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน หรือ 1
เดือน ลดลงอีกเหลอื เพียง 15 วัน หรือ 7 วัน แม้เจริญสติปฏั ฐาน 4 ให้ติดต่อกันเพียง 7 วัน ก็จะหวัง
ผลได้ 2 อย่าง อย่างใดอยา่ งหน่งึ คอื อรหตั ตผล หรอื อนาคามิผล

สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) กลา่ วคอื สติปัฏฐาน 4 มปี ระโยชน์เกอื้ กลู ต่อชวี ติ สุดจะพรรณนา
ให้หมดสิ้นได้ บุคคลขาดสติหรือเสียสติ ย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรง
ข้าม บุคคลผู้มสี ติสมบูรณ์ มีสัมมาสตยิ ่อมนำชวี ิตไปสู่ความสขุ ความรงุ่ เรือง ฉันนั้น

ความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระ
อรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนก็ต้องมีหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วน
พระอรหนั ตท์ ่านไมม่ ไี มเ่ ป็นอย่างนน้ั

เมื่อของเล่นเช่นตุ๊กตาเป็นต้นแตก เด็กร้องไห้เพราะไปยึดตุ๊กตานั้นเข้าอย่างจริงจัง เด็กนำ
ต๊กุ ตาเข้ามาผกู พนั ไว้กับชีวติ ของตนอย่างม่ันคง เมือ่ เด็กกำลังเลน่ ปลกู บา้ นด้วยเศษไมเ้ ล็กๆอยู่ เด็กอีก
คนหน่งึ มาร้ือเสีย ถา้ เด็กท่ีมารื้อโตกว่า เดก็ เจา้ ของบ้านก็จะร้องไห้ ถ้าเป็นเด็กเท่ากนั ก็จะตีกัน ถ้าเล็ก
กว่าเด็กเจา้ ของบ้านก็พุ่งเขา้ ทำร้าย

15

สิ่งที่ผู้ใหญ่ถือว่าหรือเห็นว่าเป็นของเด็กเล่นนั้นเป็นสิ่งมีความหมายจริงจังในความรู้สึกของ
เด็ก การได้ขนมของเด็กมีความหมายเท่ากับการได้ลาภชิ้นใหญ่ๆของผู้ใหญ่ เพราะความต้องการของ
เด็กมีเพียงการเลน่ การกนิ และการนอนเทา่ นัน้

เคยนึกบ้างหรือไม่ว่า คนส่วนมากแม้มีอายุมากแล้วยังมีความรู้สึกทำนองเดียวกับเด็กที่ติด
ของเล่น เพียงแต่ว่าของนั้นใหญ่ขึ้น เช่น รถยนต์ บ้าน กองทราย เป็นต้น แม้มนุษย์มีชีวิตสืบทอด
กันมาลงมานับเป็นล้านๆปีแล้ว แต่จิตของมนุษย์ก็ยังเยาว์อยู่มาก ยังเขลาต่อปัญหาชีวิต ส่วนหนึ่ง
เพราะมนุษย์อวดดีว่าตนรใู้ นสงิ่ ที่ตนไม่ร้เู ลย อวดดีวา่ ตนฉลาดในส่ิงที่ตนยงั เขลาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในเรื่องปัญหาชีวิตและกระบวนการแห่งจิตของตน จึงหลงใหลมัวเมาอยู่ในของเด็กเล่นมากกว่าการ
แสวงหาสารตั ถะแห่งชวี ติ ประมาทอยูใ่ นเงามดื แหง่ หายนะต่างๆ เพราะขาดสมั มาสติ พอสติจะเกิดข้ึน
บ้างก็ถูกมอมเมาใหเ้ ปน็ มจิ ฉาสติเสยี การระลึกนน้ั จงึ ดำเนนิ ไปในทางทผ่ี ิด

สัมมาสตจิ ะชว่ ยแกป้ ญั หาเร่ืองนี้ได้ จงึ จดั เป็นมรรคานำไปสู่ความพน้ ทุกขไ์ ด้อีกทางหนึง่
2 การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program
ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่

4. อภปิ รายผลการวิจัย
1. วิธีการฝกึ สมาธิตามแนวทางพระพุทธศาสนา
2 การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program

ของโรงเรยี นสามคั คีวทิ ยาทาน อำเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่

องค์ความรทู้ ่ไี ด้จากการศึกษา
สามารถสรปุ เป็นโครงสร้างไดด้ ังต่อไปน้ี

16

เนอ้ื หาทีจ่ ะสอน
1. การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program

ของโรงเรยี นสามคั ควี ทิ ยาทาน อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่
คำถามท้ายบท
1. วิธกี ารฝกึ สมาธติ ามแนวทางพระพุทธศาสนา
2 การใช้สมาธิเพื่อการรักษาจิตใจสำหรับนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา Monk Chat Program

ของโรงเรียนสามคั คีวทิ ยาทาน อำเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่
เอกสารอา้ งอิง บทท่ี 6
ชูชพี ออ่ นโคกสูง. (2522). จติ วทิ ยาการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พไ์ ทยวัฒนาพานชิ .
สมปราชญ์ จอมเทศน์. (2515). “ทฤษฎีและพฤตกิ รรมในองค์การ ”, คณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบัน

บัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์.
โสภา ชูพิชยั กุล. (2522). จติ วิทยาสงั คมประยุกต.์ กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พไ์ ทยวฒั นาพานิช.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). (2553). พทุ ธธรรม ฉบับปรับปรงุ และขยายความ ,พมิ พ์ครงั้ ที่20.

กรุงเทพมหานคร : บริษัท สหธรรมิก จำกดั .
สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550). พระไตรปิฎกฉบับประชาชน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช

วทิ ยาลัย.
แสง จันทรง์ ามและคณะ. (2553). พระไตรปฎิ กสำหรบั ผ้บู วชใหม่และชาวพุทธทวั่ ไป. กรงเทพฯ : เจริญวิทย์

การพมิ พ์.


Click to View FlipBook Version