หนันั นั งนั งสืสื สื อสื ออิอิ อิ เ อิ เล็ล็ ล็ ก ล็ กทรอนินิ นิ ก นิ กส์ส์ ส์(ส์E-BOOK) . รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท๒๑๐๒ โรงเรียนโพนงามศึกษา สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ลิลิตตะเลงพ่าย
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย จัดทำ โดย นายพุทธสิริ คำ ทะสูน พร้อมคณะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕/๑ เสนอ ครูธีรภัทร์ แก้วศรีรัง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษา ไทยพื้นฐาน โรงเรียนโพนงามศึกษา สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย จัดทำ โดย ๑.นางสาวธิญาดา ขานคำ ภา เลขที่๑๗ ๒.นางสาวราชาวดี อุระ เลขที่๒๑ ๓.นายพุทธสิริ คำ ทะสูน เลขที่ ๓๔ ๔.นางสาวชลลดา ศรีสมัย เลขที่๓๕ ๕.นางสาวปานทิพย์ เหล่ายา เลขที่๓๖ ๖.นางสาวพรรณิภา ขันอาษา เลขที่๓๗ ๗.นางสาววราภรณ์ จันทยงค์ เลขที่๓๘ ๘.นายนนธวัช บุตรสุวรรณ เลขที่๕ เสนอ ครูธีรภัทร์ แก้วศรีรัง รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ภาษาไทย ท๓๒๑๐๒ โรงเรียนโพนงามศึกษา สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๗
การทำ e-bookออนไลน์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการศึกษารายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท ๓๒๑๐๒ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการแปลความหมายของ บทกลอนเรื่อง ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย นำ มาคิด วิเคราะห์และประวัติของผู้แต่ง ในe-book ออนไลน์ เล่มนี้ทำ เพื่อแปลความหมายแปลบทกลอนเป็นหลัก พุทธสิริ คำ ทะสูน พร้อมคณะ คำ นำ ก
สารบัญ คำ นำ ก สารบัญ ข ประวัติผู้แต่ง ๑ บทกลอน ๒-๓ ถอดความ ๔ ข้อคิดและคุณค่า ๕ วิเคราะห์คุณค่า ๖-๗ การนำ ไปใช้ในชีวิตประจำ วัน ๘ อ้างอิง ๙ สรุป ๑๐ เรื่อง หน้า ข
ประวัวั วั ติ วั ติ ติ ผู้ ติ ผู้ ผู้ แ ผู้ แต่ต่ ต่ ง ต่ ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรส องค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติ แต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย (ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นท้าวทรงกันดาล) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2333 มีพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวา สุกรี ผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชันษาได้ 12 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2345 ผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วเสด็จไปประทับ ณวัดพระเชตุพนวิมล มังคลาราม ทรงศึกษาหนังสือไทยและภาษาบาลีตลอดทั้งวิชาอื่น ๆ จาก สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน จนมีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางคดี โลก และคดีธรรม มีผลงานอันเป็นพระราชนิพน ธ์เรื่องต่าง ๆ เป็น จำ นวนมาก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงให้รวมวัด ในแขวงกรุงเทพมหานคร ขึ้นเป็นคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกลาง แล้วได้ สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสให้ดำ รงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะเจ้า คณะรอง และทรงตั้งเป็นเจ้าคณะกลาง ๑
บทกลอน บัดมงคลพ่าห์ไท้ ทวารัติ แว้งเหวี่ยงเบี่ยงเศียรสะบัด ตกใต้ อุกคลุกพลุกเงยงัด คอคช เศิกแฮ เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย พลอยพล้ำ เพลียกถ้าท่าน ในรณ บัดราชฟาดแสงพล- พ่ายฟ้อน พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ ถนัดพระอังสาข้อน ขาดด้าวโดยขวา อุรารานร้าวแยก ยลสยบ เอนพระองค์ลงทบ ท่าวด้น เหนือคอคชซอนซบ สังเวช วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ (สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงชนะศึกยุทธหัตถีแต่ทรงสูญเสียค่ารองบาทผู้รักษาท้ายช้างทรง (คือนายมหานุภาพ) ฝ่ายสมเด็จพระเอกาทศรถทรงรบชนะมางจาซโรแต่ทรงสูญเสียกลางช้างทรง (คือหมื่นภักดีศวร) เมื่อทหารพม่าสิ้นแม่ทัพก็หมดกำ ลังใจที่จะทำ ศึก พากันถอยหนี ทหารไทยไล่ตามตีทหารพม่าตั้งแต่ตำ บลตระพังตรุจน พ่ายหนีออกไปจากเมืองกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสถูปสวมพระศพพระมหาอุปราชาตรงสนามรบที่ตระพังตรุและบทให้เจ้า เมืองมล่วนความช้างของพระมหาอุปราชานำ ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาไปกราบทูลพระเจ้าหงสาวดีแล้วสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชทรงนำ ทัพไทยกลับสู่อยุธยา ส่งปูนบำ เหน็จความชอบแก่ผู้ที่ตามเสด็จพระองค์ไปในที่รบ (คือเจ้ายา มราฆพผู้เป็นกลางช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและขุนศรีคซผู้เป็นท้ายช้างทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถ) และ แม่ทัพนายกองที่รบจนถึงแก่ความตาย ในขณะเดียวกันก็ทรงลงโทษแม่ทัพในกองที่ตามเสด็จพระองค์และพระอนุชาไป ไม่ทัน โดยให้รับโทษประหารชีวิตตามกฎพระอัยการศึก แต่เวลานั้นใกล้วันพระขึ้น 15 ค่ำ จึงโปรดให้ขังนักโทษไว้ก่อน ครั้นถึงวันขึ้น 15 ค่ำ สมเด็จพระวันรัตหรือพนรัตได้นำ พระราชาคณะจำ นวน 25 รูป เฝ้าและทูลว่าบรรดาแม่ทัพนายกองที่ ตามเสด็จไม่ทันนั้นมีความผิดก็จริง แต่ก็มีความชอบที่ได้รับราชการมานานตั้งแต่สมัยสมเด็จพระอัยกา (คือสมเด็จพระ มหาจักรพรรดิ) แล้ว และเหตุการณ์ทั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าทรงชนะศึกด้วยพระเดชานุภาพของพระองค์เองโดย แท้ เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้าที่ทรงชนะกองทัพพระยามารตามลำ พังพระองค์เอง เป็นที่แซ่ซร้องสรรเสริญของเหล่า เทพยดาแล้วสมเด็จพระวันรัตก็สดุดีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ๒
พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง สเด็จใร้พิริยะราญ อรินาศ ลงนา เสนอพระยศยินก้อง เกียรติท้าวทุกภาย ผิวหลายพยุหยุทธ์ร้า โรมรอน ชนะอมิตรมวลมอญ มั่วมล้าง พระเดช บ่ ดาลขจร เจริญฤทธิ์ พระยา ไปทั่วธเรศออกอ้าง เอิกฟ้าดินไหว (สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปลื้มปิติจึงพระราชทานอภัยโทษแก่แม่ทัพนายกองและยกทัพ ไปตีเมือง ตะนาวสี ทะวาย และมะริด เป็นการแก้ตัว) ๓
ถอดความ สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชดำ รัสอันไพเราะไม่มีสุรเสียงขุ่นแค้นพระทัยเลยแม้แต่น้อยว่า “ผู้ทรงเป็นใหญ่แห่งประเทศมอญ พระเกียรคิยศเลื่องลือไปไกลทั่วทั้งสิบทิศ ข้าศึกได้ยินก็เกรงพระบรมเดชานุภาพ ไม่กล้าสู้รบ พากันหนีไป พระเจ้าผู้พี่ปกครองประเทศอันบริบูรณ์ยิ่ง เป็นการไม่สมควรเลยที่พระเจ้าพี่ประทับอยู่ใต้ร่มไม้ เชิญพระองค์เสด็จมาร่วมทำ ยุทธหัตถีร่วมกัน เพื่อแสดงเกียรคิไว้ให้เป็นที่ปรากฏ ต่อจากเราทั้งสองจะไม่มีอีกแล้ว การรบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงนี้ ต่อไปจะไม่ได้ไม่พบอีก การที่กษัตริย์ทำ ยุทธหัตถีกัน ก็คงมีแต่เราสองพี่น้อง ตราบชั่วฟ้า ดินสลาย การทำ ยุทธหัตถีก็เปรียบประดุจการเล่นที่รื่นเริงของกษัตริย์เพื่อให้ชมเล่นเป็นขวัญตาแก่มนุษย์จนถึงเมืองสวรรค์ ขอทูลเชิญ เทวดาและพรหมทั้งปวงมาประชุมในสถานที่นี้เพื่อชมการยุทธหัตถี ผู้ใดเชี่ยวชาญกว่า ขอทรงอวยพรให้ผู้นั้นรับชัยชนะ หวังจะ ให้พระเกียรติยศในการรบครั้งนี้ดำ รงอยู่ชั่วฟ้าดิน ว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้กระทำ สงครามกัน ใครรู้เรื่องก็จะได้ยกย่อง สรรเสริญกันตลอดไป ” เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ตรัสพรรณนาดังนั้น พระมหาอุปราชาได้ทรงสดับก็บังเกิดขัตติยะมานะกล้าหาญขึ้น รีบไสช้างเข้าต่อสู้ โดยเร็วด้วยความกล้าหาญ ช้างทรงของผู้เป็นใหญ่ทั้งสองพระองค์ เปรียบเหมือนช้างเอราวัณและช้างคิรีเมขล์อันเป็นพาหนะของ วัสวดีมาร ต่างส่ายเศียรและหงายงาโถมแทงอยู่ขวักไขว่ สองกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่งามเลิศล้ำ น่าชมยิ่งหนัก ประหนึ่งพระอินทร์และไพ จิตราสูรทำ สงครามกัน หรือไม่ก็เหมือนกับพระรามรบกับทศกัณฐ์ กษัตริย์อื่นในทุกประเทศและทุกทิศไม่เสมอเหมือน กษัตริย์ แห่งกรุงสยามก็สามารถต้านพระมหาอุปราชาได้ ทั้งสองไม่ทรงเกรงกลัวกันเลย และไม่ได้ลดความห้าวหาญลงแม้แต่น้อย พระหัตถ์ก็ยกพระแสงของ้าวขึ้นกวัดแกว่งตามแบบฉบับ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรโถมเข้าใส่ไม่ทันตั้งหลักยั้งตัว ช้างทรงของ พระมหาอุปราชาได้ล่างใช้งาทั้งคู่ค้ำ คางเจ้าพระยาไชยานุภาพแหงนสูงขึ้น จึงได้ทีถนัด พระมหาอุปราชาเห็นเป็นโอกาส จึงเงื้อ พระแสงของ้าวจ้วงฟันอย่างแรงราวกับจักรหมุน แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระมาลาหลบพร้อมกับใช้พระแสงของ้าวปัดเสีย ทัน อาวุธของพระมหาอุปราชาจึงไม่ถูกพระองค์ ทันใดนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรเบนสะบัดได้ล่าง จึงใช้งางัดคอช้างของพระมหาอุปราชาจนหงาย ช้างของพระมหาอุปราชา เสียท่าต้องถอยหลังพลาดท่าในการรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงเงื้อพระแสงของ้าวฟันถูกพระมหาอุปราชาที่พระอังสาขวาขาด สะพายแล่ง พระอุระของพระมหาอุปราชาถูกฟันจนเป็นรอยแยก พระวรกายก็เอนซบอยู่บนคอช้างเป็นที่น่าสลดใจ สิ้นพระชนม์แล้วได้ไปสถิต ในแดนสวรรค์ ควาญช้างของสมเด็จพระนเรศวร คือ นายมหานุภาพก็ถูกปืนข้าศึกเสียชีวิต ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทำ ยุทธหัตถีกับ มางจาชโร (พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา) พระเอกาทศรถได้ใช้พระแสงของ้าวฟันถูกมางจาชโรตายซบอยู่บนหลัง พลายพัชเนียรนั่นเอง และกลางช้างของพระเอกาทศรถ คือ หมื่นภักดีศวรก็ถูกปืนข้าศึกตาย ทั้งสองพระองค์รบกับข้าศึกในครั้งนี้ด้วยพระบรมเดชานุภาพ เพราะมีแค่ทหารสี่คนและพระองค์ทั้งสองเท่านั้น พระเกียรติจึงแผ่ไป ไกล ทหารที่ติดตามไปตายสองและรอดกลับมาสอง กองทัพไทยติดตามมาทันเมื่อพระมหาอุปราชาขาดคอช้างแล้ว ต่างก็รีบเข้ามาช่วยรบ ฆ่าฟันทหาร พม่า มอญ ไทยใหญ่ ลาว เชียงใหม่ ตายลงจำ นวนมากเหลือคณานับ ที่เหลือบุกป่าฝ่าดงหนีไป ทั้งนี้เป็นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์โดยแท้ ๔
ข้อคิด 1.ความซื่อสัตย์ จากเนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมาย ทั้งฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะ จากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้าน เมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำ ให้เราสามารถ ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดาทหารส่งผลให้ชาติ บ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ เราก็เช่นเดียวกัน....ถ้าเรารู้จักมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำ มาซึ่ง ความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และชาติบ้านเมือง 2.ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่ง คนไทยควรภาคภูมิใจ คุณค่า 1.การมีวาทศิลป์ในการพูด จากเรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เรา เห็นถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในโคลงสี่สุภาพ 2.ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ 3.เป็นข้อคิดไห้คนไทยรู้จักรักชาติ และมีความเสียสละ ๕ข้อคิดและคุณค่า
คุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าทางด้านเนื้อหาของลิลิตตะเลงพ่ายจะมีตั้งแต่คุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคม คุณธรรมข้อคิด ตลอดจนวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ในด้านประวัติศาสตร์ลิลิตตะเลงพ่ายได้บอกเล่าเหตุการณ์สำ คัญ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้านสังคม คุณค่าทางด้านสังคม ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นสรรณคดีที่ปลุกกระแสรักชาติให้กับคนในสังคมไทย เมื่ออ่านแล้ว จึงเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติ และซาบซึ้งถึงการเสียสละของบรรพบุรุษไทยที่เสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้อง ชาติ วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนในปัจจุบันให้เกิดความหวงแหนในแผ่นดิน และภูมิใจที่ ได้เกิดมาเป็นคนไทย วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ก็มีบรรยายไว้ในลิลิตตะเลงพ่าย เช่น ก่อน ออกรบก็ต้องมีการปลุกขวัญกำ ลังใจทหาร กษัตริย์ต้องสรงน้ำ แต่งเครื่องต้นสวยงามก่อนออกสู่สนามรบ ผู้คนมีความศรัทธาอย่างเข้มแข็งในพระพุทธศาสนา เห็นได้จากการนำ พระพุทธรูปออกไปในการสู้รบด้วย ตัวอย่าง ขุนเสียมสามรรถต้าน ขุนตะเลง ขุนต่อขุนไป่เยง หย่อนห้าว ยอหัตถ์เทิดลบองเลบง อังกุศ ไกวแฮ งามเร่งงามโทท้าว ท่านสู้ศึกสาร ถอดคำ ประพันธ์ได้ว่า สมเด็จพระนเรศวรต้านทานพระมหาอุปราชาไว้ได้ ทั้งสองพระองค์ไม่ได้ทรงยำ เกรง กลัวกันเลย สมเด็จพระนเรศวรใช้พระหัตถ์ยกพระแสงของ้าวกวัดไกว กวัดเหวี่ยงไปมา เพื่อสู้กับข้าศึก วิเคราะห์คุณค่า ๖
ด้านวรรณศิลป์ ด้านวรรณศิลป์ลิลิตตะเลงพ่ายถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่ง เพราะมีสำ นวนโวหารที่ไพเราะควบคู่ไปกับการ เลือกสรรถ้อยคำ อย่างประณีตทำ ให้สื่อความได้ชัดเจนและไพเราะ ไม่ว่าจะเป็นตอนทำ ศึกสงคราม หรือตอนที่เศร้าโศกผู้แต่งก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม สื่อออกมาผ่าน การเล่นเสียง การซ้ำ คำ การเล่นคำ พ้อง การสร้าง จินตภาพ และการใช้ภาพพจน์ต่างๆ เช่น อุปมา อุปลักษณ์ พรรณนาโวหารเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในวรรณคดีเรื่องนี้ ตัวอย่าง พรรณนาโวหาร อุรารานร้าวแยก ยลสยบ เมมอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น เหนือคอคชซอนซบ สังเวช วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ พรรณนาการสิ้นพระชนม์บนคอช้างของพระมหาอุปราชาแห่งพม่า หลังจากทำ ยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวร ๗
การนำ ไปใช้ในชีวิตประจำ วัน 1.มีความเสียสละ อดทน กล้าหาญเเละมีความรักชาติ 2.การเป็นผู้นำ ที่ดี 3.หมั่นตั้งใจฝึกฝนวิชาตวามรู้อยู่เสมอ 4.มีความสามัคคีในหมู่คณะ ๘
สรุป ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาล บริรักษ์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลอง ตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยตะเลงในที่นี้ หมายถึง มอญ แต่ในลิลิตตะเลงพ่าย กล่าวถึงการรบระหว่างไทยกับพม่า ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เพื่อสดุดี วีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพน วิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยตะเลงในที่นี้หมายถึง มอญ แต่ ในลิลิตตะเลงพ่าย กล่าวถึงการรบระหว่างไทยกับพม่า ๙
" ตอนที่ 10 ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย : ลิลิตตะเลงพ่าย " https://www.baanjomyut.com/library_2/lilit_taelg_def eat/10.html " ถอดบทประพันธ์เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย: (ยุทธหัตถี และชัยชนะของ ไทย)" http://bnbody51.blogspot.com/2010/09/blogpost_1615.html?m=1 อ้างอิง ๑๐
ขอบคุคุคุณ คุณครัรั รั บ รั บ