The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nakin, 2023-02-20 07:50:21

การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา

การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ● ปัจจัย ตัวแปร และข้อจํากัดของการออก แบบแนวทางการแก้ปัญหา ● การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและตัดสินใจ เลือกรูปแบบวิธีการแก้ปัญหา ● การวางแผนและดําเนินการแก้ปัญหา


สารบัญ เรื่อง สารบัญ หัวข้อที่1 ปัจจัย ตัวแปร และข้อจํากัด ของการออกแบบแนวทางการแก้ ปัญหา หัวข้อที่2 การวิเคราะห์เชิง เปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกรูป แบบวิธีการแก้ปัญหา หัวข้อที่3 การวางแผนและดําเนิน การแก้ปัญหา บรรณานุกรม หน้า ก 1-6 7-13 14-16 17


ปัจจัย ตัวแปร และข้อจํากัดของการ ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา กระบวนการเทคโนโลยี (Technological Process). คือ ขั้นตอนการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการซึ่งจะ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทรัพยากรให้เป็นผลผลิตหรือ ผลลัพธ์ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนการเทคโนโลยีก่อให้ เกิดประโยชน์ใช้สอย ตามที่มนุษย์ต้องการและเปลี่ยนแปลงการ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํากิจกรรมต่างๆของมนุษย์ เพราะมนุษย์ มีความต้องการในการสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆในการ ดํารงชีวิต ซึ่งจะนําไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น ต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น และบางครั้งปัญหาอาจเกิดการผลิตสิ่งของ ต่างๆไม่ตรงตามความต้องการไม่ได้คุณภาพจึงต้องมีการออกแบบ เพื่อจะนํามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว. ความสําคัญของกระบวนการทางเทคโนโลยี. 1. เป็นพื้นฐานปัจจัยจําเป็นในการดําเนินชีวิตของมนุษย์. 2. เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา. 3. เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ.


ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนทางเทคโนโลยีทั้งหมด 7 ขั้นตอน ได้แก่. 1.กําหนดปัญหาหรือความต้องการ (Identification the problem,need or preference). ละเอียด หรือกําหนดขอบเขตการแก้ปัญหา ระบุความต้องการ ให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร โดยเขียนเป็นข้อความสั้น ๆให้ได้ใจ ความชัดเจน. 2.รวบรวมข้อมูลเพื่อแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความ ต้องการ(Information). เมื่อกําหนดปัญหาหรือความต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ เก็บรวบรวมข้อมูลและความรู้ทุกด้านที่ เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือ ความต้องการเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมสําหรับแก้ปัญหา หรือ สนองความต้องการที่กําหนดไว้ ทําได้หลายวิธี เช่น. • รวบรวมข้อมูลจากหนังสือ วารสารต่างๆ. • สํารวจตัวอย่างในท้องตลาด. • สัมภาษณ์พูดคุยกับคนอื่น. • ระดมสมองหาความคิด. • สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต และจากแผ่นซีดีเสริมความรู้ ฯลฯ. ข้อมูลเหล่านี้จะนําไปสู่การได้วิธีการแก้ปัญหา หรือสนอง ความต้องการในหลายแบบ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สําคัญมาก ซึ่งจะเป็นช่องทางที่สามารถใส่เนื้อหาที่เราต้องการให้นักเรียนได้ เรียนรู้ และถือว่าเป็นช่องทางของการบูรณาการได้ดีที่สุด.


3.เลือกวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ (Selection of the best possible solution). ในขั้นนี้ เป็นการตัดสินใจเลือกแนวคิดที่ดีที่สุดสําหรับ แก้ปัญหา โดยนําข้อมูล และความรู้ที่รวบรวมได้มา ประกอบกันจนได้ข้อสรุปว่า จะเลือกวิธีการแก้ปัญหา หรือวิธีการสนองความต้องการเป็นแบบใด โดยวิธีการที่ เลือกอาจยึดแนวที่ว่า เมื่อเลือกแล้วจะทําให้สิ่งนั้นดีขึ้น (Better) สะดวกสบายหรือรวดเร็วขึ้น(Fasterspeed) ประหยัดขึ้น (Cheaper) รวมทั้งวิธีการเหล่านี้ จะต้อง สอดคล้องกับทรัพยากร (Resource) ที่มีอยู่ 4.ออกแบบและปฏิบัติ (Design and making). ขั้นตอนนี้ต้องการให้นักเรียนรู้จักคิดออกแบบ ซึ่งไม่ จําเป็นต้องเป็นสิ่งของเครื่องใช้เสมอไป อาจเป็นวิธีการ ก็ได้ และการออกแบบไม่จําเป็นต้องเขียนแบบเสมอไป อาจเป็นแค่ลําดับความคิด หรือจินตนาการให้เป็นขั้นตอน ซึ่งรวมปฏิบัติการลงไปด้วย นั่นคือเมื่อออกแบบแล้วต้อง ลงมือทํา และลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ออกแบบไว้. 5.ทดสอบ (Testing to see if it works). เป็นการนําสิ่งประดิษฐ์หรือวิธีการนั้นทดลองใช้เพื่อ ทดสอบว่าใช้งานหรือทํางานได้ หรือไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไร ถ้ายังไม่ได้ก็ไปสู่ขั้นตอนต่อไป คือ ปรับปรุง แก้ไข.


6.การปรับปรุง (Modification and improvement). หลังจากการทดสอบผลแล้วพบว่า สิ่งประดิษฐ์ที่ สร้างขึ้น หรือวิธีการที่คิดขึ้นไม่ทํางานมีข้อบกพร่อง ก็ ทําการปรับปรุงแก้ไข โดยอาจเลือกวิธีการใหม่ก็ได้คือ ย้อนไปขั้นตอนที่ 3. 7.ประเมินผล (Assessment). หลังจากปรับปรุงแก้ไขจนใช้งานได้ดีตามวิธีการที่ ออกแบบแล้ว ก็นํามาประเมินผลโดยรวมโดยพิจารณา ดังนี้ • สิ่งประดิษฐ์สามารถแก้ปัญหาหรือสนองความ ต้องการที่ระบุไว้ได้หรือไม่. • สวยงาม ดึงดูดใจผู้ใช้หรือไม่. • แข็งแรงทนทานต่อการใช้งานหรือไม่. • ต้นทูนสูงเกินไปหรือไม่


การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ. ไม่ว่าเราจะทํางานใดก็ตาม ปัญหาเป็นสิ่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ การแก้ปัญหามีหลายวิธี ขึ้นกับ ชนิดของาน วิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งอาจแก้ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ และการแก้ปัญหาอาจ จําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น จึงควรยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลงทาง และสับสน วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับงาน แตกต่างกันไป ก่อนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วย กระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะขอยก วิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนโดยทั้วไป มาให้ พิจารณาดูจํานวนหนึ่ง การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วย วิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนมากจําเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถทําซ˷าได้ง่ายในกระบวนการ ทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จําเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทํางานให้เหมาะสม กับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


วิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยี สารสนเทศ เป็นวิธีคล้ายกับการแก้ปัญกาทาง วิศวกรรมมาก แต่ในการนําระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ ในการแก้ปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ใดๆ ก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและศึกษา ความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจาก คอมพิวเตอร์ไม่ใช้เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหได้ทุก เรื่อง นอกจากนี้ยังจะต้องมีการศึกษาถึงความคุ้ม ค่าในการลงทุน เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า ต้องเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับงาน จัดหา เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่เกินความจําเป็น การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยี สารสนเทศ เหมาะกับระบบงานที่ต้องทํางานอย่างใด อย่างหนึ่งซึ่งซากและมีปริมาณงานมากหรืองานที่ ต้องการความรวดเร็วในการคํานวณเกินกว่าคน ธรรมดาจะทําได้ วิธีการโดยทั้วไปคือ ปรับเปลี่ยน วิธีการหรือระบบการทํางานแบบเดิม มาใช้ระบบงาน ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทํางานเป็นบางส่วน หรือ ทั้งหมด เท่าที่สามารถจะทําแทนคนได้.


การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและ ตัดสินใจเลือกรูปแบบวิธีการแก้ปัญหา คุณเชื่อหรือไม่ว่าคุณต้องแก้ปัญหาและตัดสินใจ ทุกวัน? ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมจะพิสูจน์ด้วยตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถ้าพรุ่งนี้คุณต้องออกจากบ้าน คุณต้อง เลือกชุดแต่งกาย ระหว่างทางถ้าคุณหิว คุณต้อง เลือกประเภทอาหารหรือร้านอาหารที่อยาก รับประทาน เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวล้วน เป็นปัญหาระดับพื้นฐานที่คุณสามารถแก้ได้อย่าง ง่ายดาย ไม่มีความซับซ้อน แม้ว่าบางปัญหาอาจ จะยากตอนเริ่มต้น เช่น การเดินทางไปเรียน หนังสือในสถานที่แห่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แม้ว่าครั้ง แรกคุณอาจจะประสบปัญหาบ้างในการเลือก เส้นทางหรือการคํานวณเวลา แต่เมื่อเราสามารถ แก้ปัญหาด้วยการค้นหาเส้นทางที่ดีที่สุดได้แล้ว เราพบว่าการไปเรียนครั้งถัดไปไม่ใช่ปัญหาอีกต่อ ไป เนื่องจากเราสามาถจัดการกับปัญหาได้แล้ว


ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาเรียกว่า “ความเคยชินต่อปัญหา จนรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” แต่โดยแท้จริงแล้ว “กระบวนการแก้ปัญหาและตัดสินใจ” ดําเนินอยู่ตลอด เวลาเพียงแต่มันเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของความเคย ชินแทน และที่สําคัญสิ่งที่เจอเป็นปัญหาพื้นฐานที่ไม่ มีความซับซ้อน ไม่ต้องการการวิเคราะห์เชิงรูปธรรม มากนัก การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจแบบที่ผมจะกล่าวต่อไป นี้ เน้นจัดการกับปัญหาที่มีความซับซ้อน ต้องมีการ วิเคราะห์ปัญหา กําหนดเป้าหมายในการแก้ปัญหา สร้างทางเลือกในการแก้ ประเมินแต่ละทางเลือก และ เลือกวิธีที่ดีที่สุด เราจะไม่นําหลักการดังกล่าวไปใช้กับ การตัดสินใจปัญหาพื้นฐานทั่ว ๆ ไป เช่น การเลือกดื่ม กาแฟโดยการวิเคราะห์ปริมาณน˷าตาล คาเฟอีน และ ประเมินผลกระทบจากการดื่มกาแฟคาปูชิโน เปรียบเทียบกับกาแฟเอสเปรสโซ หรือการเลือก รับประทานโดยการประเมินแคลอรี่ที่เกิดขึ้นระหว่าง ข้าวผัดกับข้าวขาหมู เป็นต้น ซึ่งถ้าเราต้องวิเคราะห์และ ประเมินทางเลือกตลอดเวลาในทุกกิจกรรม ผมว่าเรา อาจบ้าได้


ในเบื้องต้นก่อนแก้ปัญหา เราควรทําความเข้าใจกับ คําว่า “ปัญหา” ก่อนว่ามันหมายถึงอะไร “ปัญหา (Problem) หมายถึง ความเบี่ยงเบนของผลดําเนินงาน ที่เกิดขึ้นจริง (Actual Performance) จากผลดําเนิน งานที่ควรจะเป็น (Should Performance)” เช่น รายได้ จากการขายต˶ากว่า 2000 ล้านบาท , ของเสียใน กระบวนการผลิตเกิน 3%, อัตราการลาออกของ พนักงานสูงกว่า 5% เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น แล้วย่อมสร้างความไม่พอใจกับผู้เกี่ยวข้อง แต่มีปัญหาอีกประเภทหนึ่งเรียกว่าเป็นปัญหาที่สร้าง ขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาศักยภาพของ บุคลากร หรือเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ กระบวนการให้ดีขึ้น เช่น การตั้งเป้าหมายยอดขายให้ สูงกว่าเดิมที่ทําได้แล้วอีก 10%, การลดของเสียใน กระบวนการผลิตจากเกณฑ์ที่ยอมรับแล้วให้เหลือ 0.5% เป็นต้น ซึ่งแท้จริงแล้วความเบี่ยงเบนถูกสร้างขึ้น จากความคาดหวังให้มีผลการปฏิบัติงานสูงขึ้นกว่าเดิม นั่นเอง


ขั้นตอนการแก้ปัญหาและตัดสินใจ อย่างมีประสิทธิภาพ 1) ความชัดเจนต่อประเด็นปัญหา (Frame the Issue Properly) เป็นด่านแรกที่จําเป็นและสําคัญที่สุด เราจะไม่ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือตัดสินใจได้ ดี ถ้าเราล้มเหลวกับความชัดเจนต่อประเด็นปัญหา หรือ อาจเรียกอีกอย่างว่าไม่สามารถกําหนดกรอบของปัญหา ได้เหมาะสม ผมชอบยกตัวอย่างง่าย ๆ สําหรับการเรียนรู้ ในหัวข้อนี้คือ การหาของในห้องเก็บของไม่เจอ โดยความ ชัดเจนต่อประเด็นปัญหาของเรื่องนี้คือ เรากําหนดกรอบ ของปัญหาว่าเกิดจาก “หลอดไฟเสีย” หรือ “ไม่มี แสงสว่าง” ซึ่งทั้งสองประเด็นปัญหาเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้น จริง ๆ ต่อปัญหา


ถ้าเรามีความชัดเจนและเข้าใจประเด็นปัญหาที่ เกิดขึ้น การแก้ปัญหาจะส่งผลกระทบต่อ เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ถ้าเรา กําหนดกรอบของปัญหาคือหลอดไฟเสีย เป้าหมายของการแก้ปัญหาคือการได้หลอดไฟ ปกติ (ไม่เสีย) แต่ถ้าเรากําหนดกรอบปัญหาคือไม่ มีแสงสว่าง เป้าหมายของการแก้ปัญหาคือการมี แสงสว่าง ซึ่งทั้งสองประเด็นมีวิธีการได้มาแตก ต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากตัวอย่างข้างต้นเราสามารถเทียบเคียงกับ ปัญหาทางธุรกิจได้เช่นกัน เช่น ปัญหายอดขาย ต˶ากว่าเป้า 15% ซึ่งจากการวิเคราะห์มีประเด็น ปัญหามากมายหลายสาเหตุ ความชัดเจนต่อ ประเด็นปัญหาจึงมีความสําคัญมาก และในความ เป็นจริงของโลกธุรกิจ การกําหนดกรอบปัญหา อาจไม่ได้มีแค่เพียงประเด็นเดียว และประเด็น ปัญหาอาจมีภาวะซ้อนทับกันอยู่


2) การพัฒนาทางเลือกแก้ประเด็นปัญหา (Generate Alternatives) หลังจากเรากําหนดกรอบของปัญหา ได้อย่างเหมาะสมแล้ว เราต้องสร้างหรือพัฒนาทาง เลือกแก้ประเด็นปัญหาดังกล่าว ถ้าเรามีเพียงทาง เลือกเดียวมีนัยยะว่าการตัดสินใจครั้งนั้นอาจจะไม่มีใช่ การตัดสินใจที่แท้จริงและเหมาะสม จึงจําเป็นต้อง สร้างทางเลือกหลาย ๆ ทางเพื่อนําแต่ละทางเลือกมา ประเมิน เปรียบเทียบซึ่งกันและกันในมิติต่าง ๆ 3) การประเมินแต่ละทางเลือก (Evaluate the Alternatives) เมื่อได้ทางเลือกที่สมเหตุสมผลแล้ว นํา แต่ละทางเลือกมาประเมินถึงความเป็นไปได้ (Feasibility), ความเสี่ยง (Risk), ความเกี่ยวข้องหรือ ผลกระทบกับส่วนอื่น (Implications), เวลา (Time) และอื่น ๆ โดยปกติแล้วมีเครื่องมือประเมินหลายชนิด เช่น การวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Analysis), เมทริกจําลําดับความสําคัญ (Prioritization Matrix), แผนผังต้นไม้ (Decision Trees)


4) เลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Choose the Best Alternative) เมื่อดําเนินการอย่างเหมาะสมกับแต่ละทาง เลือก ขั้นตอนสุดท้ายคือเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ถ้า กระบวนการคิดแก้ปัญหาเกิดจากบุคคลเดียว การ ตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุดจะเกิดจากมุมมองของคนหนึ่งคน แต่ถ้ากระบวนการเกิดจากทีม (Cross – Functional Team) ซึ่งเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นเสมอ มุมมองของการ เลือกย่อมมีความแตกต่างกัน ก่อให้เกิดอคติ ความ คลุมเครือ และความเห็นที่แตกต่างกันได้ ซึ่งทําให้ยากต่อ การตัดสินใจครั้งสุดท้าย ดังนั้นถ้ามีปัญหานี้เกิดขึ้นเรา สามารถใช้เครื่องมือมาช่วยแก้ ได้แก่ Catchball, Point – Counterpoint and Intellectual Watchdog โดยสรุปเราต้องอยู่กับการคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจอยู่ ตลอดเวลา ทั้งระดับปัญหาที่ไม่ซับซ้อนและไม่ต้อง วิเคราะห์เชิงรูปธรรม ไปจนถึงระดับปัญหาทางธุรกิจที่มีค วามซับซ้อนและต้องการเครื่องมือแก้ปัญหาเชิงรูปธรรม ซึ่งในประเด็นหลังจะช่วยเรื่องการพัฒนาศักยภาพทาง ความคิดอย่างมีเหตุผลให้กับทีมตัดสินใจ (The decision Team) ได้เป็นอย่างดี


การวางแผนและดําเนินการแก้ปัญหา กระบวนการที่จําเป็นในการแก้ปัญหามี 4 ขั้น ตอน ดังนี้คือ 1) การทําความเข้าใจปัญหา - ทําความเข้าใจถ้อยคําต่าง ๆ ในปัญหา - แยกแยะให้ออกว่าสิ่งที่ต้องการหาคือ อะไร - ข้อมูลและเงื่อนไขกําหนดให้มีอะไรบ้าง เพียงพอที่จะหาคําตอบได้หรือไม่ 2) การวางแผนในการแก้ปัญหา แบ่งได้ 2 กรณีคือ 2.1 มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาใน ลักษณะนั้น ๆ มาก่อน - พิจารณาสิ่งที่ต้องการหา - เลือกปัญหาเก่าที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับปัญหาที่จะแก้ ทําให้ได้แนวทาง - ปรับปรุงแนวทางในการแก้ปัญหา เก่าให้สอดคล้องเหมาะสมกับปัญหาใหม่ - วางแผนแก้ปัญหา


2.2 ไม่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาลักษณะนี้มา ก่อน - พิจารณาสิ่งที่ต้องการหา - หาวิธีการเพื่อให้ได้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง ที่ต้องการหากับข้อมูลที่มีอยู่ - พิจารณาดูว่า ความสัมพันธ์นั้นสามารถหา คําตอบได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือ หาความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น - วางแผนแก้ปัญหา 2.3 ดําเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ เมื่อวางแผนเสร็จแล้วก็ดําเนินการแก้ปัญหา ตามแผนที่ วางไว้ ระหว่างการดําเนินการ ถ้าเห็นแนวทางอื่นที่ดีกว่า ก็สามารถนํามาปรับเปลี่ยน ได้ 2.4 ตรวจสอบการแก้ปัญหา เมื่อได้วิธีการแก้ ปัญหาแล้ว จําเป็นต้องตรวจสอบว่า วิธีการที่ใช้ให้ ผลลัพธ์ที่ถูกต้องหรือไม่ (3) ดําเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ เมื่อได้มีการวางแผนแล้วก็ดําเนินการแก้ปัญหา ระหว่างการดําเนินการแก้ปัญหา อาจทําให้เห็นแนวทาง ที่ดีกว่าที่คิดไว้ก็สามารถ ปรับเปลี่ยนได้ (4) การตรวจสอบ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จําเป็นต้อง มีการตรวจสอบผลลัพธ์ว่า ได้ดําเนินการ แก้ปัญหาตาม แผนที่วางไว้ถูกต้องหรือไม่ กระบวนการแก้ปัญหา สามารถสรุปออกมาเป็นแผนภาพดังนี้


บรรณานุกรม https://sites.google.com/site/karkae payhadwykrabwekhnoloyi/krabwnkarkae-payha ปัจจัย ตัวแปร และข้อจํากัดของ การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา https://bananatraining.com/การ วิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือก รูปแบบวิธีการแก้ปัญหา http://www.kbyala.ac.th/การวางแผน และดําเนินการแก้ปัญหา


ผู้เขียน เด็กชายคินทร์ อุยนาคธรรม 30727


Click to View FlipBook Version