武则天ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
“บูเช็กเทียน”
COMPLIER BY
SAPIENS
则武天ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
COMPLIER BY
SAPIENS
คำนำ
"บูเช็กเทียน" เป็นเรื่องราวของพระนางบูเช็กเทียนฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์
จีน เดิมทีพระนางเป็นเพียงลูกสาวของพ่อค้าที่มีฐานนะและได้รับโอกาสเข้ามาเป็นขุนนาง จน
ได้แต่งงานกับหญิงตะกูลชั้นสูง เมื่อนางเกิดมาก็ได้รับการศึกษาที่ไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป บิดา
ของนางส่งให้นางศึกษาในเรื่องของประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง และวรรณกรรม
สนับสนุนให้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ จนเข้าสู่วัยสาวหน้าตาของนางก็ถูกเลื่องลือไปทั่วเมืองเรื่อง
ความงดงาม จึงทำให้นางได้เข้าสู่วังหลวงในตำแหน่งนางสนมชั้นล่างสู่การขึ้นครองราชย์เป็น
ฮ่องเต้ แต่กว่าการจะได้มาของอำนาจพระนางจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค์มากมาย ไม่มีหนทางสู่
อำนาจใดที่ง่ายดายสำหรับอิสตรี
641211680 จิรัชญา พุ่มสะอาด
641211681 ณัฐณิชา กล่ำเสือ
641211685 ณิชาภัทร รอดบุญเกิด
นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ
สาขาธุรกิจและภาษา ชั้นปีที่ 2
สารบัญ หน้า
1-3
- ประวัติบูเช็กเทียน 4-13
- การเข้าสู่วังหลวง 14-28
- บทบัญญัติ 12 ประการ 29-33
- ผลงานหลังจากการได้อำนาจ 34-42
- สิ้นยุคฮ่องเต้หญิงบูเช็กเทียน 43-50
- ภาพยนตร์และละคร “บูเช็กเทียน” 51-52
- บรรณานุกรม
“ในเมื่อชะตากรรมไม่สร้าง
ความยิ่งใหญ่ให้กับข้า
ข้าจึงสร้างความยิ่งใหญ่ให้
ชะตากรรมข้าเอง”
- บูเช็กเทียน -
ภาพวาดจักรพรรดิบูเช็กเทียนจากอัลบั้มภาพเหมือนจักพรรดิ 86 องค์ที่เก็บไว้ในหอสมุดอังกฤษ
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
1
“ประวัติิ
บูเช็กเทียน”
บูเช็กเทียน (เป็นภาษาแต้จิ๋ว ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า อู่เจ๋อเทียน) มีชื่อ
เดิมว่า “อู่จ้าว” คําว่า “จ้าว” เป็นตัวอักษรจีน 1ใน 19 ตัวที่บูเช็กเทียนคิด
ประดิษฐ์ขึ้นให้เป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว โดยประดิษฐ์ขึ้นมา จากตัวอักษร 3 ตัว คือ
日 月 空 曌พระอาทิตย์ พระจันทร์ ท้องฟ้า รวมกันเป็นคําว่า “จ้าว ” มีสมญา
นามว่า “อู่เม่ยเหนียง” มีความหมายว่า “โฉมงามเลอเสน่ห์” เกิดเมื่อวันที่16
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624 เมืองหยางโจว ในรัชสมัยพระเจ้าถังเกาจู่แห่งราชวงศ์ถัง
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 2.
บิดาชื่อ อู่ซื่อเยว์เป็นพ่อค้าไม้แห่งเมืองปิงโจว (ปัจจุบันคืออําเภอ เหวินสุ่ย
ในมณฑลซานซี) ร่วมทุนกับเพื่อนชื่อสี่เหวินป่าว นอกจากจะ ขายไม้แล้ว ยังเพาะ
ชํากล้าต้นไม้ออกขายอีกด้วย จนได้กําไรมีเงินมีทองมั่งคั่งเป็นเศรษฐีขึ้นมาในเวลา
ไม่นานนัก บิดาของบูเช็กเทียนมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าถังเกาจู่ ภายหลังจากที่
พระเจ้าถังเกาจู่ไปล้มล้าง ราชวงศ์สุย และได้ขึ้นปกครองเป็นราชวงศ์ถัง ทําให้
คิดถึงสหายเก่าก็เลยแต่งตั้งให้บิดาของบูเช็กเทียนเป็นเสนาบดีอาวุโสและมีการ
พระราชทานของต่างๆให้มากมาย แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ขุนนาง ด้วยกัน
หลังจากนั้นบิดาของบูเช็กเทียนก็ได้พบกับมารดา แต่มารดามาจากตระกลสูงศักดิ์
เป็นบุตรีของหยางต๋า เสนาบดีแห่งรางวงศ์สุย จึงได้ตัดสินใจแต่งงานกันเพื่อให้ได้
เป็นที่ยอมรับในหมู่ขุนนาง จนสุดท้ายได้ตั้งครรภ์และมีลูกคือ“บูเช็กเทียน” ด้วย
ทางครอบครัวมีฐานะและมีชนชั้นสูงจึงทําให้นางบูเช็กเทียนมีวาสนาได้รับการ
ศึกษาตั้งแต่เด็กจนสามารถอ่านออกเขียนได้ซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสําหรับเด็กผู้
หญิงในสังคมจีนโบราณ
SAPIENS
พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
2
“เข้าสู่วัง”
บูเช็กเทียนเป็นหญิงที่มีความเฉลียวฉลาด หลักแหลมและแก่นกล้า ครั้น
เมื่ออายุ 14 ปีเริ่มเข้าสู่วัยสาว มีรูปโฉมที่งดงามเปล่งปลั่ง เมื่อจักรพรรดิไท่จง
จักรพรรดิรัชกาลที่สองแห่งราชวงศ์ถังของประเทศจีนได้มาพบกับหญิงสาว ต่างก็
ให้ความสนใจในความงาม ความฉลาดและจิตวิญญาณของบูเช็กเทียน จึงได้มี
รับสั่งให้เข้าถวายตัวแต่งตั้งให้เป็นไฉเหริน
"ไฉเหริน-ผู้ทรงปัญญา เป็นชื่อเรียกนางสนมทางวังหลัง" ตามกฎมณ
เทียรบาล ผู้ที่อยู่ใต้ฮองเฮาลงไปมีสนมเอก 4 คน เรียกตามลำดับว่า
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 5.
กุ้ยเฟย (กุยฮุย-สนมผู้สูงศักดิ์)
ซู่เฟย (สนมผู้อ่อนโย)
เต่อเฟย (สนมผู้ทรงคุณธรรม)
เสียนเฟย (สนมผู้เฉลียวฉลาด)
ต่ำกว่าลงไปก็มีสนมอีกมากมาย โดยจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป หญิงเหล่านี้
แท้จริงแล้วก็คือนางบำเรอของฮ่องเต้เพียงองค์เดียว นอกจากนี้ยังมีนางกำนัลอีก
นับพัน ล้วนรับใช้ฮ่องเต้ทั้งสิ้น
ดังนั้นในหมู่ประชาชนทั่วไปการที่ลูกสาวถูกเกณฑ์เข้าวังนั้น ก็มิใช่เรื่อง
มงคล เพราะฮ่องเต้มีนางบำเรออีกนับไม่ถ้วน เมื่อเข้าวังไปแล้วก็อาจจะไม่ได้รับ
ความโปรดปรานส่วนใหญ่ก็อยู่จนแก่เฒ่า
แต่บูเช็กเทียนในวัย 14 ปีนั้นยังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องใดๆ ในวังหลวง
บูเช็กเทียนจึงเข้าวังไปด้วยความเบิกบานสำราญใจตามประสาวัยรุ่น
พระเจ้าไท่จงให้ความสนใจแก่บูเช็กเทียนเป็นอย่างมาก ในระหว่างนั้น
ก็ได้ม้าจากภาคตะวันตกมาตัวหนึ่งตัว ม้าสูงใหญ่ แข็งแรง ฝีเท้าจัด แต่พยศยิ่งนัก
ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ จึงได้ขอคำแนะนำจากสตรีในวัง
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 6.
โดยบูเช็กเทียนตอบไปว่า “ข้าสามารถทำให้มันเชื่องได้ แต่ฉันต้องการของ ๓
ประการ ประการแรกคือแส้เหล็ก ประการที่สองคือกระบองเหล็ก และประการที่สามคือ
กริช(ศัสตราวุธขนาดสั้นมีคม 2 ด้าน มีด้าม และฝักด้ามจับ)” พระเจ้าไท่จงถามกลับไปว่า
หากมันไม่เชื่อฟังหล่ะ “ถ้าแซ่เหล็กไม่ทำให้มันเชื่อฟัง ข้าจะใช้กระบองทุบหัวมัน และถ้าไม่
ทำเช่นนั้น ข้าจะใช้กริชตัดคอมัน” บูเช็กเทียนตอบ
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 7.
พระเจ้าไท่จงรู้สึกพึงพอใจในความห้าวหาญของบูเช็กเทียนเป็นอย่างมาก จึง
ได้ให้บูเช็กเทียนมาเป็นเลขาส่วนตัวของพระองค์ บูเช็กเทียนได้รับประสบการณ์มากมาย
โดยใช้เวลาเป็นสิบปีในการศึกษาเกี่ยวกับเอกสารและการดำเนินกิจการราชการของรัฐ
และได้มีโอกาสเข้าปรนนิบัตรยังห้องบรรทมอยู่หลายครั้ง แต่แม้กระนั้นพระเจ้าไท่จงก็ไม่
ยอมแต่งตั้งให้บูเช็กเทียนมีตำแหน่งที่สูงขึ้น
จนในที่สุดพระเจ้าไท่จงก็สิ้นพระชนม์ ตามประเพณีแล้วบรรดามเหสีจะต้อง
ออกไปวัด โกนหัวและกลายเป็นแม่ชีเพื่อสวดภาวนาจิตวิญญาณ บูเช็ดทียนได้ไปที่วัด
กานเย่ และกลายเป็นภิกษุณี ในวันครบรอบปีแรกของการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิไท่
จง จักพรรดิเกาจง จักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ถัง เป็นพระราชโอรสองค์เล็กใน
จักรพรรดิถังไท่จง ก็ได้ไปที่วัดเพื่อถวายเครื่องหอม และได้พบกับบูเช็กเทียน ทำให้รู้สึก
ประหลาดใจในความงามของนางเป็นอย่างมาก
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 8.
หลังจากนี้จักพรรดิเกาจงก็ได้เข้ามาเยี่ยมชมที่วัดเป็นประจำโดยหวังที่จะได้
พบกับหญิงม่าย บูเช็กเทียนรู้ถึงลักษณะและจุดอ่อนของจักรพรรดิเกาจงดี จึงพยายามยั่ว
ยุให้พระองค์พานางกลับไปที่ราชสำนักด้วยบูเช็กเทียนเข้ามาปรากฎตัวในช่วงเวลาที่
เหมาะสม หวังฮองเฮา พระมเหสีของจักรพรรดิเกาจงพึ่งจะสูญเสียความโปรดปรานไป
เนื่องจากนางไม่สามาราถมีบุตรให้กับจักรพรรดิเกาจงได้ มีเพียงแค่ลูกบุญธรรมพระนาม
ว่าหลี่จง ในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นบูเช็กเทียนก็ได้รับเชิญให้กลับไปที่ราชสำนักของ
จักรพรรดิเกาจง
SAPIENS
พระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 10.
บูเช็กเทียนที่เมื่อเข้าวังได้ไม่นานก็รับรู้ได้ความริษยาอาฆาตระหว่างฮองเฮา
หวังกับเซียวซูเฟย สนมเอกอีกพระองค์ของจักพรรดิเกาจง เนื่องจากจักรพรรดิเกาจง
หลงเซียวซูเฟยมากทำให้ฮองเฮาหวังรู้สึกไม่ชื่นชอบฮองเฮารู้อยู่แล้วว่าจักรพรรดิเกาจง
กำลังหลงบูเช็กเทียนอยู่ ณ ตอนนี้ จึงคิดที่จะเชิญบูเช็กเทียนเข้ามา หวังว่าจะให้
จักรพรรดิเกาจงหันไปสนใจบูเช็กเทียนและเลิกสนใจเซียวซูเฟย แต่หารู้ไม่บูเช็กเทียนนี่
แหละที่จะเข้ามากำจัดทุกคนหมดเลย รวมถึงจัวฮองเฮาด้วย
หลังจากที่บูเช็กเทียนอยู่วังไปได้สักระยะนึงก็พยายามที่จสร้างความสัมพันธ์
ที่ดีกับคนในวัง ไม่ว่าจะเป็นกับขันที หรือนางกำนัลต่างก็รักและชื่นชอบในบูเช็กเทียนแต่
สำคัญที่สุดคือจักพรรดิเกาจงที่รักและหลงบูเช็กเทียนมากทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยทำ
ให้บูเช็กเทียนมีโอกาสได้มีโอรสพระองค์แรกกับจักรพรรดิเกาจง มีพระนามว่า หลี่หง แต่
ไม่ยังไงก็ตามหลี่หงก็ยังไม่มีทางที่จะอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทเพราะตำแหน่งนั้นปัจจุบัน
คือหลี่จงบุตรบุญธรรมของฮองเฮาหวังบูเช็กเทียนเลยมีความคิดที่จะกำจัดฮองเฮาหวัง
และบุตรบุญธรรมออกไปจึงได้ให้กำเนิดบุตรมาอีก 3 คน เป็นผู้หญิงมีพระนามว่าอันติ้ง
SAPIENS
สุภาพสตรีในราชสำนักถัง
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 12.
แต่ก็ได้เสียชีวิตไป (ตามประวัติศาสตร์แล้วบอกว่าบูเช็กเทียนเป็ยผู้ฆ่าบุตร
สาวของตนเอง แต่จุดนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด) อย่างไรก็ตามผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งตอน
นี้ก็คือฮองเฮาหวัง ทำให้จักรพรรดิเกาจงรู้สึกว่าฮองเฮาเป็นคนไม่ดี จึงได้ทำการปลด
ออกจากตำแหน่งฮองเฮาทันทีเลยก้ไม่ได้เพราะต้องได้รับการสนับสนุนจากขุนนางก่อน
ทางด้านบูเช็กเทียนที่รู้ว่าก็ยังมีคนในวังที่ไม่ชอบตนจึงไปบอกจักรพรรดิเกางจงว่ายังไม่
ต้องปลดฮองเฮาออกไป แต่ข่าวลือก็ได้ออกไปภายนอกวัง ทำให้มีเสียงกล่าวว่าร้าย
ฮองเฮากันอยู่มาก
วันนึงจักรพรรดิเกาจงและบูเช็กเทียนล้มป่วยพร้อมๆกัน ทำให้มีข่าวลืออก
ไปภายนอกวัง คนก็ลือกันว่าเป็นเพราฮองเฮาหวังที่ใช้พวกไสยศาสตร์ทำให้จักรพรรดิ
เกาจงและบูเช็กเทียนล้มป่วยพร้อมๆกัน จักรพรรดิเกาจงจึงให้คนเข้าไปค้นที่ห้องของ
ฮองเฮาหวัง ซึ่งก็พบของที่ใช้ทำไสยศาสตร์อยู่จริง ทำให้จักรพรรดิเกาจงปลดฮอองเฮา
หวังออกกลายเป็นสามัญชนธรรมดา รวมทั้งปลดบรรดาเสนาบดีทุกคนที่ไม่เห็นด้วยออก
ไปทั้งหมด และได้แต่งตั้งบูเช็กเทียนขึ้นมาเป็นฮองเฮาคนใหม่ พร้อมตำแหน่งรัชทายาท
ตอนนี้ก็กลายเป็นหลี่หง บุตรของบูเช็กเทียน
SAPIENS
การแต่งกายสตรีในราชวงศ์ถัง
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
3
“บทบัญญัติ
12 ประการ”
บูเช็กเทียนฮองเฮาร่วมกับพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน ถัง
จากศักราชเซีMยนชิMง (ค.ศ.656-660) หลงส้วย (ค.ศ. 661-663) หลิน เต๋อ
(ค.ศ. 664-665) เฉียนฟง ( “ฟ้าประทาน” ค.ศ.666-667) จ่งจาง (“มหาบัญญัติ”
ค.ศ.668-669) จนถึงเสียนเฮิง (“เสถียรภาพ” ค.ศ. 670-673) นับเป็นเวลา ๑๗ ปี
บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลําดับ
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 15.
เหล่าขุนนางและประชาราษฎรทั้งหลาย ก็เกิดความคุ้นชินต่อการ
ออกว่าราชการยังท้องพระโรงพร้อมกันทั้งสองพระองค์ จึงมักเรียกฮ่องเต้กับ
ฮองเฮาอย่างสนิทสนมว่า “เอ้อเซิ่ง”สองสมเด็จจนติดปาก
ในปลายศักราชเสียนเฮิง เหล่าขุนนางและประชาราษฎรจึงพร้อมใจ
กันถวายพระนามถังเกาจงฮ่องเต้ว่า “เทียนหวาง(ฮ่องเต้แห่งสวรรค์)” และบูเช็ก
เทียนฮองเฮาเป็น “เทียนโห้ว (ฮองเฮาแห่งสวรรค์)” พร้องทั :ง เปลีMยนศักราช
ใหม่เป็น “ส้างหยวน” (ศักราชแห่งความเป็นเลิศ ค.ศ. 674-676) และประกาศ
อภัยโทษทั่วราชอาณาจักร
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 16.
ในปีแรกแห่งศักราชส้างหยวน บูเช็กเทียนก็ประกาศบัญญัติปกครองแผ่นดิน
12ประการคือ
1. ส่งเสริมการทําไร่ทํานา ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม
2. ยกเลิกภาษีอากรและการเกณฑ์แรงงานทั้งหมดในเขตชานเมือง หลวง
ฉางอัน 3 แห่ง คือ ทางเหนือ ทางตะวันออก และทางตะวันตก
3. ยุติสงครามและแผ่คุณธรรมไปทั่วหล้า
4. ห้ามการฟุ้งเฟ้อ ขจัดเรื่องลามก
5. ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการเกณฑ์แรงงาน
6. เปิดให้มีการเสนอความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
7. ห้ามการใส่ร้ายป้ายสี
8. ให้เจ้านายและขุนนางทั้งหลายอ่านหนังสือ “เต้าเต๋อจิง”ของ “เล่าจื๊อ”
9. บิดดาอยู่แต่มารดาถึงแก่กรรมให้ไว้ทุกข์ 3 ปี (ก่อนหน้านี้หากมารดา
ถึงแก่กรรมขณะที่บิดายังมีชีวิตอยู่ บุตรธิดาไม่ต้องไว้ทุกข์)
10. ขุนนางทีีได้รับการแต่งตั้งก่อนศักราชส้างหยวน ให้เข้ารับตำแหน่งโดย
ไม่ต้องตรวจสอบอีก
11. ขุนนางในเมืองหลวงตั้งแต่ชั้น 8 ขึ้นไป ให้เพิ่มเบี้ยหวัดเงินปี
12. ขุนนางที่ได้รับตําแหน่งตำกว่าความสามารถ ให้เลื่อนตําแหน่งขึ้นมา
อย่างเหมาะสม
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 17.
หลักการปกครองแผ่นดิน 12 ประการนี้ ล้วนแต่เป็นคุณแก่บ้านเมือง
ทั้งสิ้น ในสังคมศักดินาที่ยกย่างเพศชายดูแคลนเพศหญิงการที่บูเช็กเทียนกล้าที่
จะเสนอข้อราชการอันเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินและประชาราษฎรก็ถือได้ว่าเป็น
เรื่องใหญ่ที่ผิดธรรมดา อันเป็นการลบล้างคําสบประมาทต่ออิสตรีไปโดยสิ :นเชิง
ซึ่งในขณะนั้นบูเช็กเทียนมีอายุ ประมาณ 46-47 ชันษา เพราะหลักการปกครอง
อันล้ำยุคสมัยนี้เอง จึงทําให้บูเช็กเทียนสามารถที่จะปกครองแผ่นดินถังมาได้ช้า
นาน และได้วางรากฐานให้แก่บูเช็กเทียน ในการตั้งตนเป็นฮ่องเต้หญิงคนแรก
และ คนสุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน ด้วยความเห็นชอบของเหล่าขุนนางและ
เหล่าประชาราษฎรในภายหลัง
ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิของปีที่ 2 แห่งศักราชส้างหยวนอาการปวดพระ
เศียรของถังเกาจงฮ่องเต้ก็ยิ่งหนักขึ้นแม้แต่การนั่งออกขุนนางฟังข้อข้าราชการก็
แทบจะทนไม่ไหวจึงทรงดําริที่จะมอบอํานาจการปกครองให้บูเช็กเทียนทั้งหมด
โดยแต่งตั้งให้เป็น “ผู้สําเร็จราชการแผ่นดิน” ออกว่าราชการด้วยขุนนางน้อย
ใหญ่แต่พระองค์เดียว
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 18.
แต่พระราชดําริของถังเกาจงฮ่องเต้เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคย
ปรากฎเลยในประวัติศาสตร์จีนที่แล้วมาว่ามีฮอ่องเต้องค์ใดทรงมอบอํานาจการ
ปกครองให้แก่ฮองเฮาแล้วพระองค์ถอยกลับไปอยู่เบื้องหลังแม้ในหมู่ขุนนาง
สามัญชนคนรุ่นใหม่จะสนับสนุนบูเช็กเทียนก็ตาม แต่ในกรณีนี้ยังติดข้องอยู่กับ
ความคิดที่ว่าบุรุษเพศจะต้องเป็นใหญ่ จึงยังลังเลที่จะให้การสนับสนุนแก่พระรา
ชดําริของถังเกาจงฮ่องเต้
อีกประการหนึ่งนั้น ถึงแม้หลักคํำของเหล่าขุนนางฝ่ายพวกผู้ดีมีสกุล
เช่น ฉางซุนอู๋จี้ ฉู่ซุ่ยเหลียง อีจื้อหนิง เป็นต้น จะถูกขจัดไปหมดแล้วก็ตามแต่
พรรคพวกก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่พอสมควร และพวกนนี้เองที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการ
คัดค้านพระราชดําริของถังเกาจงฮ่องเต้อย่างไม่ยอมลดละ ห่าวซู่จุ้นเสนาบดีฝ่าย
อาลักษณ์กราบทูลทักท้วงว่า
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 19.
“โอรสสวรรค์ทรงงานภายนอก ฮองเฮาทรงงานภายในเป็นลิขิตของ ฟ้า
พระเจ้าเว่ยเหวินตี้ (ค.ศ.187-226) เคยมีพระราชโองการไว้ว่าแม้จะมีฮ่องเต้องค์
น้อยก็มิให้ฮองเฮสออกขุนนางดังนั้นจึงได้ตัดเสียซึ่งต้นตอแห่งความวิบัติ เหตุไฉน
พระองค์จึงมิทรงมอบราชสมบัติของพระ อัยกาและพระบิดาแก่หลานเหลน แต่
กลับจักส่งให้บูเช็กเทียน”
หลี่อี้เอียนเสนาบดีฝ่ายอาลักษณ์อีกคนหนึ่งก็สนับสนุนว่า “คําของ
ห่าวซู่จุ้นถูกต้องยิ่งนัก พระองค์พึงไตร่ตรองให้จงดี” ถังเกาจงฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้น ก็
ล้มเลิกความตั้งใจเสีย
อย่างไรก็ตามในบันทึกประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงบูเช็กเทียนเลยว่ามี
ท่าทีอย่างไรดังนั้นจึงสันนิษฐานกันว่าบูเช็กเทียนคงจะไม่ยินดียินร้ายนัก เพราะตาม
ความจริงอํานาจก็อยู่ในมือของพรนางอยู่แล้วการแต่งตั้งให้เป็นผู้สําเร็จราชการ
แทนพระองค์ก็เพียงให้สมบูรณ์ในทางรูปแบบอีกด้านหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบ
ต่ออํานาจที่อยู่ในมือของ พระนางแต่อย่างใด
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 20.
แต่ในช่วงนี้บูเช็กเทียนยังคงสนใจที่จะแสวงหาคนดีมีความสามารถมา
ช่วยราชการต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนและให้ขุนนางรุ่นใหม่เหล่านี้เข้าเฝ้าถวาย
ความเห็นและปรึกษาข้อราชการด้วยอย่างใกล้ชิด จนมีคนขนานนามขุนนางเหล่า
นี้ว่า “ผู้รู้ประตูเหนือ” ก็เพราะว่าประตูเหนือเป็นประตูเข้าวังหลังอันเป็นที่
ประทับของบูเช็กเทียน ขุนนางรุ่นใหม่ได้รับอนุญาตพิเศษจากบูเช็กเทียนให้เข้า
เฝ้าถวายข้อราชการได้ทุกเวลาถึงตําหนักของพระองค์
บูเช็กเทียนก็ยังไม่ปลอดพ้นจากการรังควานของเหล่าขุนนางผู้ดีเก่า
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ทําให้พระองค์ทรงปวดร้าวในใจอย่าง แสนสาหัสผู้
ที่ก่อเรื่องรบกวนจิตใจของพระนางนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่กลับเป็นโอรสในอุทร
ของพระนางเอง
ถังเกาจงฮ่องเต้มีราชโอรสทั้งหมด 8 พระองค์ด้วยกัน เรียงตามอายุ
ก็คือ อดีตไท่จื่อหลี่จง เกิดแต่สนมหลิวสื้อ หยวนอ๋องหลี่เสี้ยว เกิดแต่สนมเจิ้นเสื้อ
สิ้นชีพแล้วเมื่อศักราชหลินเต๋อที่ 1 เจ๋ออ๋องหลี่ส้างจิน เกิดแต่สนมหยางสื้อ สีีอ๋อง
หลี่ซู่เจี๋ย เกิดแต่สนมเอกเซียวซู่เฟย ไท่จื่อหลี่หง ยงอ๋องหลี่เสียน อิงอ๋องหลี่เจ๋อ
เซียงอ๋องหลี่ต้าน 4 องค์หลังนี้ล้วนเกิดแต่บูเช็กเทียนทั้งสิ้น
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 21.
ไท่จื่อหลี่หงเป็นโอรสองค์โตของบูเช็กเทียน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น
ไท่จื่อเมื่อบูเช็กเทียนได้เป็นฮองเฮา อุปนิสัยของหลี่หงค่อนข้างจะเหมือนกับพระ
บิดา เป็นคน “มีเมตตา กรุณา อ่อนน้อม สุขุม” ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงโปรดปราน
ยิ่งนัก
แต่ตรงกันข้ามกับพระมารดาที่ทรงโปรดปรานคบหากับสามัญชน
คนรุ่นใหม่ หลี่หงกลับชอบที่จะสนิทกับพวกขุนนางผู้ดีเก่าซึ่งอิทธิพลทางกระแส
ความคิดยังคงมีความหนาแน่นมาก หลี่หงจึงมักจะยืนอยู่ข้างฝ่ายขุนนางผู้ดีเก่า
ความคิดในเรื่องการปกครองบ้านเมืองก็มักจะคล้อยตามพวกนั้นไปและตั้งตน
เป็นอริกับพระมารดาอยู่เนืองๆ
การประกาศหลักการปกครองบ้านเมืองแบบใหม่ของบูเช็กเทียน
หลี่หงก็ไม่เห็นด้วย และมีหนังสือทูลคัดค้านอยู่เป็นประจําดังนั้นแม่ลูกสองฝ่ายจึง
ไม่ลงรอยถึงขั้นประคารมกันอยู่เป็นประจํา บูเช็กเทียนจึงไม่ทรงโปรดโอรสองค์นี้
นัก
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 22.
นอกจากราชโอรสถังเกาจงฮ่องเต้ยังมีราชธิดาอยู่หลายองค์ที่เกิดแต่
พระสนมเอกเซียวซู่เฟยมีอยู่ 2 องค์ คืออี้หยางกงจู่กับซวนเฉิงกงจู่ ทั้งสองล้วน
มีอายุเลย 30 แล้วแต่เนื่องจากเซียวซุ่เฟยถูกลงโทษและถูกประหารชีวิตในภาย
หลัง ทั้งจึงพลอยต้องรับเคราะห์ถูกจองจําออยู่ในตําหนักของวังหลังด้วย หลี่หง
สงสารพี่สาวทั้งสองเป็นอันมาก เมื่อมีโอกาศจึงกราบทูลขออภัยโทษแก่ถังเกาจง
ฮ่องเต้และเสนอให้จัดหาคู่ครองอภิเษกสมรสให้ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงอนุมัติ เมื่อ
บูเช็กเทียนทรงทราบเรื่องนี้ก็โกรธหลี่หงทีีทําหักหน้าแต่ก็จัดการให้ราชธิดาทั้ง
สอง อภิเษกสมรสกับนายกองทหารวังโดยมิได้ทัดทานแต่ประการใด
ต้นฤดูร้อนแห่งศักราชส้างหยวนปีที่ 2 ไท่จื่อหลี่หงติดตามพระบิดา
ไปยังพระตําหนักเฮ่อปี้ บูเช็กเทียนรินสุราให้ดื่มเมื่อหลี่หงดื่มสุรารับประทาน
อาหารอิ่มก็กลับยังตําหนักตน หลังจากนั้นรู้สึกปวดท้องเป็นกําลัง แพทย์หลวงรีบ
เข้าไปให้การรักษาก็ไร้ผล หลี่หงนอนครวญครางอยู่ 2-3 วันก็สิ้นใจในอายุ 24
ชันษา ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโอรสโปรด
จึงรับสั่งให้จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่ ประหนึ่งฮ่องเต้เลยทีเดียว
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 23.
เมื่อหลี่หงถึงแก่ชีวิตลง หลี่เสียนโอรสองค์รองของบูเช็กเทียนองค์ที่ 6
ของถังเกาจงฮ่องเต้ก็ได้ขึ้นเป็นไท่จื่อแต่หลี่เสียนก็สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้บูเช็ก
เทียนพอๆกับหลี่หงหรืออาจจะยิ่งกว่า หลี่เสียนได้รับการศึกษาในคําสอนของขง
จื้อมาแต่เล็ก และยืนอยู่ข้างฝ่ายขุนนางผู้ดีเก่าคัดค้านหลักการปกครองบ้านเมือง
ใหม่ของพระมารดาเช่นกัน
ในด้านชีวิตส่วนตัวนั้นก็ไม่ได้เข้มงวดแบบพี่ชาย แต่ฝักใฝ่ในอิสตรี เป็น
ที่ยิ่ง มิหนําซํ้ายังเลี้ยงกระเทยชื่อจ้าวเต้าเซิงให้นอนร่วมเตียง ร่วมกันเสียอีก ให้
แก้วแหวนเงินทองเป็นรางวัลในการปรนนิบัติของจ้าวเต้าเซิงเป็นอันมาก และ
การจับจ่ายใช้สอยก็สิ้นเปลืองโดยไม่ได้คํานึงถึงการประหยัดในบัญญัติประการที่
5 ของพระมารดา เสนาบดีฝ่ายการคลังมีหนังสือตักเตือนไป ไท่จื่อหลี่เสียนก็มิฟัง
ในระหว่างนั้นก็เกิดข่าวลือแพร่ไปในวังหลวงว่า หลี่เสียนไม่ใช่โอรส
ในอุทรของบูเช็กเทียน แต่เป็นของหานกว๋อฟูเหริน พระพี่นางของบูเช็กเทียน
หานกว๋อฟูเหรินเป็นม่าย หญิงม่ายย่อมไม่สามารถมีบุตรได้ถังเกาจงฮ่องเต้ก็ไม่
ได้รับหานกว๋อฟูเหรินเป็นสนม ดังนั้นเมื่อหานกว๋อฟู เหรินเกิดมีบุตรบูเช็กเทียน
จึงจําต้องรับมาเป็นบุตรตน
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 24.
เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหลี่เสียน ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่สบายใจนานไปก็
ชักคล้อยตามจึงยิ่งมีความห่างเหินกับบูเช็กเทียนยิ่งขึ้น
บูเช็กเทียนมีโหรหลวงประจําพระองค์อยู่คนหนึ่งชื่อหมิงฉงเอี๋ยนโหร
หลวงคนนี้เคยทูลถวายคําทํานายแก่บูเช็กเทียนว่าไท่จื่อหลี่เสียนมีลักษณะไม่
ต้องด้วยเจ้าใหญ่นายคนแต่อิงอ๋อง หลี่เจ๋อนั้นภูมิฐานนัก ละม้ายคล้ายกับ
พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้พระอัยกา ส่วนอ๋องหลี่ต้านก็ สง่าผ่าเผยสมกบผู้สูงศักดิ์
ต่อมาคําทํานายนี้ก็รู้ไปถึงหูหลี่เสียนอีก หลี่เสียนก็ยิ่งตื่นตระหนก วิตก
กังวลไปว่าตําแหน่งไท่จื่อของตนจะสั่นคลอนไปเสียแล้ว ทําให้รู้สึกเคียดแค้น
หมิงฉงเอี๋ยนเป็นอย่างมาก บูเช็กเทียนได้ฟังคําทํานายของหมิงฉงเอี๋ยนแล้ว
ประกอบกับท่าทาง อันกระด้างกระเดื่องของหลี่เสียนที่ทําให้เกิดความไม่พอใจ
เสมอมา แม้จะคล้อยตามแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนัก
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 25.
จึงส่งหนังสือ “เสี้ยวจื่อจ้วน” (ประวัติคนกตัญญู) และ “ส้าวหยางเจิ้นฟ่าน”
(แบบอย่างการปกครอง) ไปให้หลี่เสียนอ่านเพื่อว่าหลี่เสียจะได้สํานึกและแก้ไข
ตัวเองเสียใหม่ แต่หลี่เสียนกลับเข้าใจไปในอีกทางหนึ่งหาว่าบูเช็กเทียนว่าตนว่า
ไม่มีความกตัญญูไร้ความสามารถ จึงยิ่งอกสั่นขวัญเสียให้เสียดายตําแหน่ง ไท่จื่อ
เป็นอย่างยิ่ง
ขึ้นศักราชใหม่ “เถียวลู่” (“ฝนทั่วฟ้า” ค.ศ. 679) หมิงฉงเอี๋ยนก็ถูก
ลอบฆ่าตาย แม้บูเช็กเทียนจะมีรับสั่งให้จับตัวฆาตรกรให้ได้แต่ก็ไม่ประสบผล
บูเช็กเทียนทราบดีว่าหลี่เสียเคียดแค้นหมิงฉงเอี๋ยน จึงเชื่อแน่ว่าคงเป็นฝีมือของ
หลี่เสียน แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะเอาผิดไท่จื่อหลี่เสียนได้ในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม หูตาของบูเช็กเทียนมีอยู่ทั่วไปในวังหลวงแล้วในที่สุด
ก็รู้แน่ชัดว่า ไท่จื่อหลี่เสียนเป็นผู้สั่งการจึงมีโองการให้เสนาบดีฝ่ายอาลักษณ์
เสนาบดีฝ่ายมหาดเล็กและเสนาบดีฝ่ายประวัติศาตร์ร่วมกับขุนนางฝ่ายอัยการ
อีกหลายคนร่วมกันสอบสวนคดีนีเพราะหมิงฉงเอี๋ยนเป็นถึงโหรหลวงไฉนจะ
ปล่อยให้ถูกลอบฆ่าตายโดยจับคนผิด ไม่ได้
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 26.
ในที่สุดก็ได้ความว่าไท่จื่อหลี่เสียนให้จ้างเต้าเซิงกระเทยคู่ใจเป็น ผู้ลอบฆ่าหมิงฉง
เอี๋ยนจริงพร้อมกันนั้นยังพบเสื้อเกราะในกรงม้าอีกหลายร้อยตัวเห็นได้ชัดว่า
ไท่จื่อหลี่เสียนเตรียมการที่จะก่อกบฏเพื่อรักษาตําแหน่งไท่จื่อของตนเองไว้ด้วย
การเสี้ยมสอนและการยุยงส่งเสริมจากพวกขุนนางผู้ดีเก่าที่คิดจะล้มล้างอํานาจ
ของบูเช็กเทียน
บูเช็กเทียนโกรธเป็นอย่างมาก ถอดหลี่เสียนออกจากตําแหน่ง ไท่จื่อ
ลงเป็นสามัญชนในทันที ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงโปรดหลี่เสียนอยู่จึงขอให้บูเช็กเทียน
ยกเลิกบทลงโทษเสีย บูเช็กเทียนทรงทูลตอบว่า “เป็นบุตรแต่คิดคด ฟ้าดินย่อม
จักมิเห็นด้วย ล้างญาติเพื่อพิทักษ์ความ ยุติธรรม ไฉนเลยจักอภัย”
เมื่อยืนยันดังนี้แล้วก็ให้นายกองทหารวังนําตัวหลี่เสียนออกนอกจาก
เมืองเลาะหยางไปขังไว้ ณ เมืองฉางอัน ส่วนพรรคพวกผู้ร่วมสมทบด้วยกับหลี่
เสียนให้ประหารชีวิตให้หมด ส่วนเสื้อเกราะหลายร้อยตัวให้เผาทิ้งเสียต่อหน้า
สาธารณะ
SAPIENS
ภาพขบวนพระศพของหลี่เสียนที่ พระราชสุสานเฉียนหลิง
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 28.
ต่อมาหลี่เสียนก็ถูกย้ายที่คุมขังจากเมืองหลังไปยังเมืองปาโจว (อําเภอปา
เสี้ยน มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) และถูกบูเช็กเทียนส่งคนนําโองการไปให้ปลดชีวิต
ตนเองเสีย เมื่อไท่จื่อหลี่เสียนถูกถอดจึงมีการแต่งตั้งให้โอรสองค์ที่ 3 ของบูเช็ก
เทียน องค์ที่ 7 ของถังเกาจงฮ่องเต้ คือ อิงอ๋องหลี่เจ๋อขึ้นมาเป็นแทนและเปลี่ยนชื่อ
เป็นไท่จืออหลี่เซี่ยนให้มีการอภัยโทษทั่วราชอาณาจักรตามประเพณี
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
4
“ผลงานหลัง
จากได้อำนาจ”
เมื่อครั้นตอนเป็นเด็กบิดามารดาของบูเช็กเทียนได้แนะนำและสอนให้
รู้จักกับพระพุทธศาสนา และก่อนหน้านี้ในช่วงที่จักรพรรดิไท่จงสวรรคตไปบูเช็ก
เทียนก็ได้มีโอกาสบวชเป็นภิกษุณีในศาสนาพุทธอยู่ไม่น้อยกว่า 2 ปี ทำให้ได้รับ
อิทธิพลจากคำสอนในพุทธศษสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 30.
ภายหลังจากที่ได้รับอำนาจบูเช็กเทียนได้ช่วยในการเผยแพร่และรวบรวมพระพุทธ
ศาสนาเหนือศาสนาเต๋า บูเช็กเทียนให้ความเคารพและนับถือกับพระไวโรจนว่าเป็นศูนย์กลาง
ของโลก คล้ายกับความปรถนาของบูเช็กเทียนที่จะเป็นจักรพรรดิผู้ศักดิ์สิทธิ์ นิกายชาวพุทธขอ
งบูเช็กเทียนยังสนับสนุนให้ผู้ติดตามนับถือผู้ปกครองทางโลกของพวกเขาในฐานะตัวแทนของ
พระไวโรจน ซึ่งเป็นความเชื่อที่บูเช็กเทียนถือว่าค่อนข้างดีในฐานะจักรพรรดินี
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 31.
บูเช็กเทียนสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าที่เกิดใหม่และเป็นผู้สืบสกุลของ
กษัตริย์โจวโบราณในปีพ.ศ.692 บูเช็กเทียนได้ออกคำสั่งห้ามฆ่าสุกร และในต่อมาก็ได้มีการ
โปรดให้สร้างวัดต้าหยุนหรือวัดเมฆใหญ่ขึ้นในแต่ละจังหวัดที่อยู่ภายใต้อาณาเขตของเมืองหลวง
ทั้งสองคือ ฉางอัน และลั่วหยาง โปรดให้แต่งตั้งตำแหน่งพระภิกษุอาวุโส 9 ตำแหน่ง โปรดให้
ตั้งแท่นบูชาบรรพบุรษ 7 ชั้นไว้ในวัดหลวง แต่พระนางก็ยังรักษาพิธีบวงสรวงอดีตจักรพรรดิ
แห่งราชวงศ์ถังทั้งสามพระองค์อคือจักรพรรดิถังเกาจู่ จักรพรรดิถังไท่จง จักรพรรดิถังเกาจง
SAPIENS
พระไวโรจน
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 33.
ผลงานอีกประการหนึงคือการส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปะ บูเช็กเทียน
เป็นทั้งกวีและศิลปินมีการเขียนภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตศิลปะของบูเช็ก
เทียน เนื่องจากได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับชีวิตทางการเมื่องที่ทะเยอทะยานของนาง
อย่างมาก
ความสำเร็จขั้นสุดท้ายคือการสนับสนุนสิทธิสตรี บูเช็กเทียนเริ่มรณรงค์
อย่างมากมายเพื่อยกระดับตำแหน่งของสตรี บูเช็กเทียนแนะนำให้นักวิชาการเขียนและ
แก้ไขชีวประวัติของผู้หญิงที่เป็นแบบอย่างเพื่อช่วยในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการ
เมืองของนาง บูเช็กเทียนยืนยันว่าผู้ปกครองในอุดมคติคือผู้ปกคองเหมือนแม่ที่ปกครอง
ลูกของนาง บูเช็กเทียนได้ทำการขยายเวลาไว้ทุกขสำหรับมารดาที่เสียชีวิตให้เท่ากับ
บิดาที่เสียชีวิต และยกตำแหน่งตระกูลมารดาของนาง โดยเสนอตำแหน่งทางการระดับ
สูงของญาติของนาง นางเคยคิดว่าเจ้าหญิงจะเอื้อต่อการประณีประนอมความขัดแย้ง
ทางการทูต เนื่องจากนางได้ก่อตั้งพันธมิตรการแต่งงานขึ้นเพื่อช่วยเหลือนโยบายต่าง
ประเทศที่ขยายขอบเขตของเธอ
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
5
“สิ้นยุคฮ่องเต้
หญิงบูเช็กเทียน”
ตลอดระยะเวลาที่บูเช็กเทียนฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองอยู่นั้นก็ถูกโจมตีด้วย
เรื่องราวมากมาย อีกทั้งพระองค์ชอบซุบเลี้ยงเด็กหนุ่มไว้ปรนนิบัติหลายคน ทำให้โดน
โจมตีว่า มักมากในกามคุณ จุดนี้ยังมีจุดที่ขัดแย้งกันอยู่ของนักประวัติศาสตร์ โดยผู้ที่อยู่
ใกล้ชิดคอยปรนนิบัติบูเช็กเทียน มีนามว่า เซี่ยไหว้อี้ เดิมมีนามว่า ฝงเสี่ยวเป๋า เซี่ยไหว้อี้
ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่ารู้จักกับเซียนจินกงจู่ ธิดาของบูเช็กเทียนฮ่องเต้
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 35.
ภายหลังจึงได้เข้าถวายตัวปรนนิบัติบูเช็กเทียนฮ่องเต้ บูเช็กเทียนฮ่องเต้ให้
ไปเป็นสมภารที่วัดไป่หม่าสื้อแต่ให้เข้านอกออกในทางวังหลวงได้อย่างเสรีและให้เปลี่ยน
ชื่อเป็นเชี่ยไหวอี้
เซี่ยไหว้อี้ได้เป็นคนโปรดของบูเช็กเทียนจึงอาศัยความโปรดปรานของบูเช็ก
เทียนก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ตั้งแต่ทุจริตติดสินบนไปจนถึงลักตัวหญิงสาวไปข่มขืน
ภายในวัด เมื่อรู่สึกเบื่อก็จะทำการฆ่าปิดปากหรือไม่ก็หาใหม่ ทำให้ขุนนางหลายคนรู้สึก
ไม่ชอบในตัวเซี่ยไหว้อี้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง ส่วนทางด้านประชาชนก็เคียดแค้น
แต่ก็เกรงกลัวมิกล้าทำสิ่งใด แต่ในที่สุดแล้วเรื่องราวความชั่วช้าเลวทรามของเซี่ยไหว้อี้ก็
รู้เข้าถึงหูของบูเช็กเทียนในคราแรกบูเช็กเทียนก็ไม่เชื่อแต่เพราะมีเหล่าขุนนางทั้งหลาย
ต่างร้องทุกข์เรื่องราวของเซี่ยไหว้อี้อยู่ทุกวันจึงได้ทำการให้คนไปคอยติดตามและสังเกต
พฤติกรรมของเซี่ยไหว้อี้โดยไม่ให้รู้ตัว การนั้นเองทำให้บูเช็กเทียนได้รับรู้ว่าความชั่วช้า
เลวทรามที่เคยได้ยินมาของเซี่ยไหว้อี้เป็นความจริง บูเช็กเทียนรู้สึกทั้งกริ้วและเสียใจ
มากจึงได้ทำการสั่งให้องครักษ์ประหารเซี่ยไหว้อี้แล้วนำกระดูกไปเผาไปทำเจดีย์ที่วัดไป
หม่าลื้อ
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 36.
หลังจากนั้นบูเช็กเทียนฮ่องเต้ที่มีอายุถึง 70 ชันษาเศษๆแล้ว ก็ได้ทรงโปรด
จางฮี้จือและจางชางจง สองคนพี่น้องอีกทั้งสองได้ประพฤติตัวเหมือนกันกับเซี่ยไหว้อี้
ขุนนางน้อยใหญ่พากันเกลี่ยดชังและไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะสามารถจัดการได้อย่างไร
ครั้นถึงปีที่บูเช็กเทียนฮ่องเต้มีอายุ 81 ชันษา ประชวรมิสามารถออกทำงานได้เป็น
เดือนๆ ข้อราชการทั้งหลายก็ให้พวกขุนนางน้อยใหญ่ว่ากันไปตามหน้าที่ ส่วนที่เป็นข้อ
ราชการสำคัญก็ให้เข้าเฝ้าขอความเห็นจากพระองค์ถึงแท่นบรรทม ในช่วงเวลระหว่าง
นั้นผู้ทำหน้าที่ปรนนิบัติอยู่เดียงข้างพระองค์ก็มีแต่จางอี้จือกับจางชางจงสองพี่น้อง
เท่านั้น
โดยกฎมนเทียรบาล เพศชายจะไม่อาจเข้าอยู่วังหลวงได้ยกเว้นพวกขันทีที่
ถูกตอนอวัยวะเพศแล้วเท่านั้น พี่น้องตระกูลจางสองคนนั้นเดิมทรงโปรดให้เข้าออกใน
ฐานะขุนนางในวังหลวงต่อมาจึงได้ให้เข้ามาอยู่ในวังหลวง จึงมีขุนนงในวังหลายคน
กราบทูลทักท้วงบูเช็กเทียนอยู่หลายคราว่าตามกฎมนเทียรบาล ควรตอนพี่น้องทั้งคู่
เสียก่อนจึงจะให้เข้ามาอยู่ในวังหลวงได้ แต่บูเช็กเทียนฮ่องเต้ก็นิ่งเฉยแต่ได้ทำการแก้
ปัญหาด้วยการสร้างที่พักต่างหากในวังหลวง ให้แยกอยู่ออกจากผู้อื่นขุนนางทั้งหลาย
จึงจำต้องอนุโลมตามไม่กล้าขัดใจใดๆ
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 37.
การนั้นทำให้พี่น้องตระกูลจางสองคนนั้นได้ใจ ในบางคราถึงกับถวายคำ
ปรึกษาราชการและมีอำนาจเพ็ดทูลให้ถอดถอนหรือแต่งตั้งขุนนางได้ ขุนนางทั้งหลาย
ยิ่งรู้สึกไม่พอใจไปกันใหญ่แต่ก็เกรงกลัวในอำนาจของพี่น้องตระกูลจางสองคนนั้น
ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูและการมีอำนาจของพี่น้องสองคนล้วนมาจากความโปรดปรานขอ
งบูเช็กเทียนฮ่องเต้
จนกระทั่งวันหนี่งบูเช็กเทียนมีอาการประชวร พี่น้องทั้งสองคนเริ่มวิตก
กังวลเพราะเกรงกลัวว่าหากบูเช็กเทียนเสด็จสวรรคตแล้วตนเองจะไร้ที่พึ่งเพราะพวก
ขุนนางทั้งหลายก็เกลี่ยดชังทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง วันใดที่ไร้การควบคุมจากบูเช็กเทียนวัน
นั้นก็คงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต ทั้งคู่จึงได้พยายามเร่งแสวงหาพรรคพวกให้มากขึ้น
หวังว่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะป้องกันตนเอง
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 38.
แต่มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ขณะเดียวกันนั้นในเมืองหลวงเลาะหยางก็มีใบ
ประกาศปิดอยู่ทั่วไปว่า จางอี้จือกับจางชาง พี่น้องตระกูลจางทั้งสองคนมีใจคิดกบฏ มิ
ช้านานเรื่องราวก็อื้อฉาวเข้าไปในวังหลวง ก็มีเสียงติฉินนินทา ต่าง ๆ นานา บูเช็ก
เทียนฮ่องเต้อดรนทนต่อไปไม่ได้ จึงทรงแต่งตั้งให้ ขุนนางผู้ใหญ่ 3 คนดำเนินการ
สอบสวนกรณีนี้ ขุนนาง 2 คน รู้ดีว่าบูเช็กเทียนให้สอบสวนแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น จึงไม่
ได้กระตือรือร้นมากนัก แต่ขุนนางอีกคนหนึ่งเป็นคนเถรตรงจะสอบสวนเอาความผิด
ให้ได้แต่ถูกขุนนางอีกสองคนห้ามไว้ก่อน บูเช็กเทียนฮ่องเต้จึงต้องจำใจรับพี่น้องทั้ง
สองมาสอบสวนด้วยตนเองแต่ผ่านไปยังไม่ทันสิ้นสุดบูเช็กเทียนฮ่องเต้ก็ให้อภัยโทษแก่
ทั้งสองเสียก่อน
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 39.
ขุนนางทั้งหลายเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้การณ์แล้ว เพราะหากพี่น้องทั้งสอง
คนมาแอบอ้างชิงเอาราชสมบัติไปบ้านเมืองจะต้องปั่นป่วนเป็นแน่ บูเช็กเทียนฮ่องเต้
เองก็ได้แต่บรรทมอยู่กับพระแท่น พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็ร่วมคิดกับขุน
นางอื่นๆหาทางที่จะจับทั้งสองฆ่าเสีย แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจของไท่จื่
อมาประกอบด้วย จึงพากันไปเข้าเฝ้าหลี่เซี่ยนแจ้งแผนการให้ฟัง ไท่จื่อหลี่เซียนก็เห็น
ด้วย ในวันนัดหมายขุนนางหลายๆคนได้นำทหารวัง 500 คนไปยังประตูเสียนอู่เหมิน
และได้เข้าไปเชิญไท่จื่อหลี่เซียนออกมาจากทางตะวันออก แต่ไท่จื่อหลี่เซียนกลับรู้สึก
ลังเลและได้พูดว่า “ผู้ชั่วร้ายก็ควรจักขจัดอยู่ แต่พระมารดา กำลังประชวร หากทำให้
ตกพระทัย เกิดเหตุอันมิพึงประสงค์ขึ้นมาแล้ว พวกท่านจักทำประการใด” แต่เมื่อได้
เห็นท่าทีที่มุ่งมั่นของเหล่าทหารก็จนปัญญา จึงได้กลับไปทำตามจุดประสงค์เดิม
SAPIENS
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 40.
เมื่อถึงพระตำหนักก็ได้เข้าเฝ้าบูเช็กเทียนฮ่องเต้ที่ยังบรรทมอยู่ บูเช็กเทียน
ฮ่องเต้ตกพระทัยจึงรับสั่งถามขึ้นว่า " ใครก่อกบฏ ?" จางเจี่ยนจือขุนนางคนหนึ่งคุกเข้า
และกราบทูลว่า “จางอี้จือกับจางชางจงสองคนพี่น้องคิดกบฎข้าพระองค์จึงประหาร
เสียตามคำบัญชาของไท่จื่อ เนื่องจากเกรงว่าพี่น้องทั้งคู่จักรู้ตัวก่อนจึงมิได้มากราบทูล
ให้ทรงทราบล่วงหน้า” บูเช็กเทียนฮ่องเต้ก็มิรู้ที่จะรับสั่งประการใดอีกจึงรับสั่งแก่ไท่จื่อ
ว่า “สองคนพี่น้องก็ตายไปแล้ว เจ้าก็กลับไปวังตะวัน ออกของเจ้าเถอะ" ขุนนางผู้ใหญ่
ชื่อหวนเอี้ยนจึงฉวยโอกาสกราบทูลว่า "ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมอบไห่จื่อให้อยู่ในความ
คุ้มครองของพระองค์ บัดนี้ไท่จื่อสมควรจักเสวยราชสมบัติได้แล้ว ใคร่ขอให้พระองค์จง
มอบราชสมบัติแก่ไท่จื่อ ตามลิขิตของฟ้าเถิด"
บูเช็กเทียนในวัย 83 ชันษา สุดที่จะต้านทานกับความประสงค์ของเหล่า
ขุนนางได้ พระองค์ตัดพ้อว่า "คนอื่นเข้ามารับราชการด้วยการชักจูงสืบเชื้อสายกันมา มี
แต่พวก เจ้าที่ข้าได้ส่งเสริมมากับมือเองคิดไม่ถึงเลยว่ากลับกล้าทำกับข้าถึงปานฉะนี้”
บูเซ็กเทียนฮ่องเต้สุดที่จะรักษาอำนาจไว้ได้อีกต่อไป
SAPIENS
พระเจ้าถังจงจง
ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน 41.
จึงมีพระราชโองการประกาศมอบราชสมบัติให้กับไท่จื่อหลี่เซี่ยนไท่จื่อหลี่
เชี่ยนจึงขึ้นเถลิงราชสมบัติในพระนามเดิมว่าพระเจ้าถังจงจงฮ่องเต้ สถาปนาพระราช
มารดาให้เป็นสมเด็จพระมหารชินีบูเซ็กเทียน พระเจ้าถังจงจงฮ่องเต้ ทรงตั้งศักราชใหม่
เป็นเสินหลง (มังกรเทพค.ศ. 705) ต่อมาใน เดือน 2 ก็ให้พื้นราชวงค์ถังตามเดิม และ
ฟื้นขนบธรรมเนียมประเพณีดุจดังที่เคยปฏิบัติในสมัยราชวงค์ถัง ก่อนการสถาปนารา
ชวงค์โจวของบูเช็กเทียนฮ่องเต้ขึ้นมาเยี่ยงเก่าเดือน 11 ในปีนั้นบูเช็กเทียนทรุดโทรม
มากและก็ได้เสด็จสวรรคต ณ ตำหนักช่างหยางในพระชนมายุ 83 ชันษาด้วยพระ
อาการสงบนี่ก็คือชั่วชีวิตหนึ่งของสตรีที่ถือคติว่า
" ในเมื่อชะตากรรมไม่ยอมสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับเรา ก็เหตุไฉนเล่า เรา
จึงไม่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับซะตากรรมของเราเสียเอง "
นี่ก็คือชั่วชีวิตของสตรีที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของสตรีคนแรกสุดของโลก เมื่อพันกว่าปี
ก่อน!
SAPIENS
สุสานบูเช็กเทียน