ตำบลศิลาทิพย์ ตั้งอยู่ในอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
โดยทำเลที่ตั้งของตำบลศิลาทิพย์นั้นตั้งอยู่ห่างจาก อ.เมือง
จ.ลพบุรี ไปทางทิศใต้ ประมาณ 110 กิโลเมตร ตั้งอยู่ห่าง
จาก อ.ชัยบาดาล ไปทางทิศเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร
โดยทัศนียภาพของตำบลศิลาทิพย์นั้นรายล้อมไปด้วย ภูเขา
และธรรมชาติที่สวยสดงดงาม โดยสถานที่ท่องเที่ยวภายใน
ตำบลศิลาทิพย์มีมากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งส่วนมาก
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเชิงวิถีชีวิตของชาวบ้าน
ในชุมชน ที่อยู่กันอย่างเรียบง่ายและใกล้ชิดธรรมชาติ
ตำตำบบลลศิศลิลาทาิทพิพย์ย์
1. ศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตร
ไร่ทรัพย์ผาสุก ซึ่งศูนย์การเรียนรู้แห่ง
นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรชั้น
เยี่ยม เนื่องจากภายในศูนย์การเรียนรู้
แห่งนี้เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่
ความรู้ทางด้านการเกษตรและปศุสัตว์
ที่เปิดให้คนที่สนใจสามารถเข้ามาดูงาน
ขอคำแนะนำ และนำไปปรับใช้กับการ
ทำการเกษตรของตนเองได้
2. กลุ่มแม่บ้านพริกแกง ตำบล
ศิลาทิพย์ ที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่
ผลิตของดีประจำตำบลศิลาทิพย์เลยก็
ว่าได้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชม
และซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับบ้านได้
3. จุด Check in หน้าองค์การ
บริหารส่วนตำบลศิลาทิพย์ สถานที่นี้
ถือว่าเป็น Land mark ประจำตำบล
ศิลาทิพย์เลยก็ว่าได้ ซึ่งจุดนี้เป็นรูปปั้ น
ลิงขนาดใหญ่ ถือได้ว่าใครผ่านไปผ่าน
มาต้องสังเกตเห็นและรู้ได้ทันทีเลยว่า
ท่านอยู่ในเขตจังหวัดลพบุรีแล้ว
ตำบลศิลาทิพย์
4. วัดตะเคียนคู่เป็นวัดที่อยู่คู่กับชาว
บ้านในตำบลศิลาทิพย์มาอย่างช้านานอีกทั้ง
วัดแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุ ทธ
รูปองค์ใหญ่ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาว
บ้านในตำบลและผู้ที่พบเห็น
5. ศาลเจ้าแม่ตะเคียน ซึ่งศาลแห่งนี้
ตั้งอยู่ภายในวัดตะเคียนคู่ และศาลเจ้าแม่
ตะเคียนคู่นี้มีชื่อเสียงอย่างมากเกี่ยวกับการ
ให้โชคลาภ เลขเด็ดจึงเป็นที่นิยมและมีชื่อ
เสียงอย่างมากในหมู่นักเสี่ยงโชค
6. กลุ่มแม่บ้านตะกร้าสานพลาสติก
ตำบลศิลาทิพย์ เกิดจากรวมตัวกันหลัง
เสร็จงานประจำเพื่ อที่จะหารายได้เสริมโดย
การทำตะกร้าสานจากเส้นพลาสติก ไม่เพียง
ตะกร้าสานฯเท่านั้น ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น
พรมเช็ดเท้า และเปลนอน อีกทั้งยังเปิดให้ผู้
ที่สนใจสามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้การทำ
ตะกร้าสานพลาสติกและการทำสินค้าอื่นๆ
ของกลุ่มแม่บ้านได้อีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นสถาน
ที่ท่องเที่ยวภายในตำบลศิลาทิพย์ ซึ่งท่านที่สนใจและอยาก
ทราบข้อมูลเพิ่ มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด
สามารถอ่านข้อมูลและรายละเอียดทได้จากหนังสือคู่มือการ
เที่ยวประจำตำบลศิลาทิพย์เล่มนี้ได้ คู่มือการท่องเที่ยวเล่ม
นี้จะรวบรวมข้อมูลพื้ นฐานและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานที่
ท่องเที่ยวภายในตำบลศิลาทิพย์ไว้ทั้งหมด หวังว่าผู้อ่านทุก
ท่านจะได้รับประโยชน์จากหนังสือคู่มือเล่มนี้ไม่มากก็น้อย
ศูนย์การเรียนรู้การเกษตร
ไร่ทรัพย์ผาสุก
โ ค ร ง ก า ร U 2 T 2 5 6 4
ศูนย์การเรียนรู้การเกษตร
ไร่ทรัพย์ผาสุก
ประวัติความเป็นมา
บ้านซับผาสุก หมู่ 9 ตำบลศิลาทิพย์อำเภอชัยบาดาล จ.ลพบุรี
มีชาวบ้านกลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานคือ ปู่ไว ภู่คง ปู่ลี สามพี่น้อง
ที่พาครอบครัว ย้ายหนีโรคห่ามาจากบ้านโคกสลุง โดยบริเวณนี้เป็น
คลองน้ำซับริมคลองมีดอกโศกอยู่มาก ปู่ไวตั้งใจเรียกว่า
บ้านดอกโศก แต่เพี้ยนตามคนเรียกเรื่อยมาเป็น "บ้านซับโศก“
ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ปู่ไว ปู่ปลี ภู่คง และคนอื่น ๆ
ที่ย้ายตามมา ได้พร้อมใจเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากซับโศกมาเป็น
“บ้านซับผาสุก“ ตามความเชื่อที่ว่าจะนำความผาสุกสงบ
มาสู่คนในหมู่บ้านชาวบ้านซับผาสุกผูกพันกับธรรมชาติ ชุมชน
จึงร่วมใจอนุรักษ์ผืนป่าให้คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์
ทั้งคนรุ่นหลังยังพร้อมใจปลูกต้นไม้ปลูกสมุนไพรเพิ่ ม
เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และใช้รักษาโรค
ชาวบ้านซับผาสุก มีวิถีชีวิตเชิงเกษตรกรรม
เช่น ทำนา เลี้ยงสัตว์ และจับสัตว์หาปลาแม่น้ำ
“มีแพะก็เหมือนมีเงินอยู่ในบ้านพร้อมที่จะขาย จากโครงการ
9101 ชาวบ้านต่างประสบผลสำเร็จในเรื่องของการซื้อแพะต่อยอด
จากสามแม่เป็นหกแม่ เป็นสิบแม่” ฟาร์มแพะเนื้อ เป็นการเลี้ยง
แพะเนื้อเพื่อขายเนื้อแพะทั้งตัว ผสมผสานกับการท่องเที่ยวเชิงวิถี
ชีวิตด้วย คุณวิลาศ นามกร เป็นผู้ดูแลแพะได้แสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับการเลี้ยงแพะไว้ว่า “ตอนนี้การเลี้ยงแพะจดเป็นวิสาหกิจ
แล้ว รวบรวมแพะให้สมาชิกเอาแพะมาขายให้เรา ไปขายต่อให้
พ่อค้าขายทั้งตัวชั่งกิโลขาย เลี้ยงสัตว์สร้างรายได้ให้เกษตรกร
ซึ่งมันไม่ต้องลงทุนเยอะ”
ปัจจุบันนอกจากชาวบ้านเลี้ยงแพะเพื่อขายเนื้อ และสร้าง
เป็นจุดขายใหม่ในเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนอีกด้วย เพราะที่ฟาร์ม
เลี้ยงแพะแบบธรรมชาติ ปล่อยให้อิสระออกอาหารแทะเล็มกินหญ้า
เอง ผู้เลี้ยงต้องให้ความเอาใจใส่ต่อการจัดหาปัจจัยการผลิตที่แพะ
ต้องการใช้ในการดำรงชีวิตและการให้ผลผลิตแต่ค่าใช้จ่ายในการ
ดูแลน้อยกว่ามาก
นอกจากการเลี้ยงแพะแล้ว ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ยังเป็น
ศูนย์กลางทางการเกษตรให้กับเกษตรกรในพื้ นที่ได้มาแลกเปลี่ยน
เรียนรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรม ในแต่ละปีทางศูนย์การเรียนรู้จะจัดฝึก
อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรให้เกษตรกรมาปรับใช้ในครัว
เรือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและรายได้ให้กับชุมชนและ
ตัวบุคคล อาทิเช่น การจัดอบรมปลูกผักสลัด ทำโรงเรือนระบบน้ำ
ไฮดรอลิคที่สามารถสั่งการและตั้งเวลาการรดน้ำได้จากมือถือ อีก
ทั้งยังมีโคก-หนอง-นาโมเดล ซึ่งจัดทำไว้เพื่อเป็นต้นแบบให้ผู้ที่
สนใจได้เข้ามาศึกษา เรียนรู้ สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดได้
โคก-หนอง-นา โมเดล ที่กล่าวไปข้างต้นหมายถึง การจัดการพื้นที่ซึ่ง
เหมาะกับพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับ
ภูมิปัญญาพื้ นบ้านที่อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้ นที่นั้นๆ โคก-
หนอง-นาโมเดล เป็นการที่ให้ธรรมชาติจัดการตัวมันเองโดยมี มนุษย์เป็นส่วน
ส่งเสริมให้มันสำเร็จเร็วขึ้น อย่างเป็นระบบ
โคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นแนวทางทำเกษตรอินทรีย์และการสร้าง
ชีวิตที่ยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบดังนี้
1. โคก: พื้นที่สูง
– ดินที่ขุดทำหนองน้ำนั้นให้นำมาทำโคก บนโคกปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์
4 อย่าง” ตามแนวทางพระราชดำริ
– ปลูกพืช ผัก สวนครัว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทำให้พออยู่ พอกิน
พอใช้ พอร่มเย็น เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู่ขั้นก้าวหน้า
คือ ทำบุญ ทำทาน เก็บรักษา ค้าขาย และเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย
– ปลูกที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ
2. หนอง: หนองน้ำหรือแหล่งน้ำ
– ขุดหนองเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้งหรือจำเป็น และเป็นที่รับน้ำยาม
น้ำท่วม (หลุมขนมครก)
– ขุด “คลองไส้ไก่” หรือคลองระบายน้ำรอบพื้นที่ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน
โดยขุดให้คดเคี้ยวไปตามพื้ นที่เพื่ อให้น้ำกระจายเต็มพื้ นที่เพิ่ มความชุ่มชื้น
ลดพลังงานในการรดน้ำต้นไม้
– ทำ ฝายทดน้ำ เพื่อเก็บน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่
โดยรอบไม่มีการกักเก็บน้ำ น้ำจะหลากลงมายังหนองน้ำ และคลองไส้ไก่ ให้
ทำฝายทดน้ำเก็บไว้ใช้ยามหน้าแล้ง
– พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ทั้งการขุดลอก หนอง คู คลอง เพื่อกักเก็บน้ำ
ไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และเพิ่มการระบายน้ำยามน้ำหลาก
3. ที่นา :
ปปกดิ–ลลลน–ูักอบยพดดคื้พกืืวสชน้คนยอาัแนรทกาผี่เ่นหนาคนาราามดใรทนีิหัไ้ตน้ำนดมเ้ใาีใกชคมห้ป้กษวคปลัาตานลอรมูรนกคดสอูาขิวภง้นัาบแยทวคลทอรุัิี้มะงยนก์ปคยทัว่ร้นงริาีมยงยป์ืาพนลณืู้เกนพืคน่แบื้อ้นำลาใใชนะนชี้ควเนิปนต็าโนกดเเิพลทืนย็ี่่กอรเัรๆบคิุ่มนม้หจหำรายืญกอา้กจมาุลานิ้รนำฟททืท้่ำนวรใีมฟหยู้์
รรู้าบ้ยาไนซดึ้ซ่งัอบีผกผลทัา้ผงสุลยกิัตงคืทเอีป่ไ็ขดน้้ากจวาาไกรรทซโ์คำเบกกอา-รหร์เรนีก่แอษลงตะ-ขรน้าทาีว่ยัหโ่งมอยเมืดนมลอะีลกขิ ดอ้วงยศเูปน็นย์กกาารรสเรรี้ยางน
ภายในศูนย์การเรียนรู้ฯ ยังเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านและ
เกษตรกรที่สนใจอยากปลูกพื ชผักแต่ไม่มีพื้ นที่ในการ
ทำการเกษตรได้เข้ามาเช่า ซึ่งทางศูนย์การเรียนรู้ได้แบ่ง
พื้นที่เป็นล็อคล็อคละ 1,500 บาทต่อปี พื้นที่ส่วนนี้ผู้เช่า
จะปลูกพืชผักอะไรก็ได้แล้วแต่ผู้เช่า ซึ่งพืชผักส่วนมากจะ
เป็นพืชผักสวนครัว เช่น กะเพรา ต้นหอม เป็นต้น
สามารถสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน
ดังนั้นศูนย์กลางเรียนรู้บ้านซับผาสุกจึงถือว่าเป็น
ศูนย์กลางการเรียนรู้ให้กับคนในชุมชน ซึ่งเป็นการยก
ระดับและพั ฒนาความรู้ความสามารถในด้านเกษตรกรรม
และปสุสัตว์ เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและเป็นการ
สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้าง
ชุมชนที่เข้มแข็ง มีการร่วมมือร่วมใจกันระหว่างภาค
ประชาชนและหน่วยงานรัฐ ซึ่งเป็นต้นแบบของการสร้าง
ชุมชนเข้มแข็ง
ร า ย ก า ร พั น ธุ์ ไ ม้
ตำ บ ล ศิ ล า ทิ พ ย์
1.ต้นตะเคียนสูง
ไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ ลำต้นเปลา
ตรง มีความสูงของต้นประมาณ 20-40 เมตร
วัดรอบได้ถึงหรือกว่า 300 เซนติเมตร
ลักษณะของเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ กลม
หรือเป็นรูปเจดีย์แบบต่่ำเปลือกต้นหนาเป็นสี
น้ำตาลดำ แตกเป็นสะเก็ด กะพื้นเป็นสีน้ำตาล
อ่อน ส่วนแก่นไม้ตะเคียนเป็นสีน้ำตาลแดง
สรรพคุณของต้นตะเคียนทอง มีหลาก
หลายและสามารถใช้ได้ทั้งต้น อาทิ ช่วยแก้
เลือดกำเดาไหล ช่วยขับเสมหะ แก้อาการ
เหงือกบวม ปวดฟัน ห้ามเลือด ยาสมานแผล
เป็นต้น
3.ต้นพะยูง 2.ต้นยางนา
ต้นพะยูง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาด ต้นยางนา จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่
ผลัดใบหรือผลัดใบระยะสั้นขนาดใหญ่ มีความ
สูงของต้นได้ถึง 50 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่ม
กลมทึบ โคนต้นมักเป็นพู พอน ลำต้นมีลักษณะ
เปลาตรง เปลือกต้นเกลี้ยงเป็นสีออกเทาอ่อน
หลุดลอกออกเป็นชิ้นกลม ๆ เนื้อไม้เป็นสี
น้ำตาลแดง เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ ส่วนตามกิ่ง
อ่อนและยอดอ่อนมีขนและมีรอยแผลใบเห็นได้
ชัด ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
สรรพคุณของต้นยางนา สามารถช่วย
บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด บำรุงโลหิต แก้ตับ
อักเสบ เป็นต้น
ประโยชน์ของต้นยางนา น้ำมันสามารถ
นำมาทำน้ำมัน หรือน้ำยาเพื่ออุดรอยรั่วต่าง ๆ
สร้างความทนทาน
ใหญ่ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ มีลักษณะคล้ายกับต้น
ประดู่ โดยมีความสูงของต้นได้ถึง 25 เมตร เมื่อ
โตเต็มที่ลำต้นจะมีลักษณะเปลาตรง มีเรือนยอด
เป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ทึบ เนื้อไม้เป็นสีแดงอม
ม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียด มีความแข็ง
แรงทนทาน การขยายพั นธุ์ที่นิยมทำกันก็คือ
การนำเมล็ดมาเพาะให้เป็นต้นกล้า
สรรพคุณของพะยูง สามารถช่วยรักษาโรค
ไข้พิษซึม ปากเปื่ อย เท้าเปื่ อย และสามารถรักษา
โรคมะเร็ง แต่ปัจจุบันเป็นไม้สงวน หากครอบ
ครองถือมีความผิด เนื่องจากเป็นไม้ราคาแพง
5.ต้นมะฮอกกานี 4.ต้นสัก
ต้นสักจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาด
ใหญ่ ที่มีความสูงของต้นตั้งแต่ 20 เมตรขึ้น
ไป และอาจสูงได้ถึง 30 เมตร มีลำต้นเปลา
ตรง เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลมค่อนข้างทึบ
เปลือกต้นหนาเป็นเทา หรือสีน้ำตาลอ่อนแกม
เทา เปลือกต้นเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ
ตามความยาวของลำต้น เนื้อไม้สักเป็นเสี้ยน
ตรง เนื้อหยาบ มีความแข็งปานกลาง เลื่อย
ไสกบตกแต่งได้ง่าย และไม่ค่อยยืดหดหรือ
บิดงอง่ายเหมือนไม้ชนิดอื่น ขยายพันธุ์ด้วย
การใช้เมล็ดและแบบไม่อาศัยเมล็ด
สรรพคุณของต้นสัก สามารถนำมา
ใช้ได้ทุกส่วน ต้มเป็นยาลดระดับน้ำตาลใน
เลือด บำรุงโลหิต แก้อาการอ่อนเพลีย แก้
เจ็บคอ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น
และต้นสักนิยมนำมาแปรรูปทำเฟอร์นิเจอร์
ต่าง ๆ และถือเป็นต้นไม้มงคลของไทย
มะฮอกกานีใบใหญ่จะเป็นทรงกระบอก ใช้
เวลานานกว่าที่กิ่งก้านจะแผ่พุ่ มกว้างออกไป
โตเต็มที่จะสูงได้ถึง 15-20เมตรขนาดของ
ทรงพุ่มกว้างประมาณ 4-6 เมตร ลำต้น
เป็นสีน้ำตาลเข้มปนดำ เปลือกลำต้นหยาบ
ส่วนมะฮอกกานีใบเล็ก ทรงพุ่มเป็นวงรี
หรือรูปไข่ สวยงามกว่า เส้นผ่านศูนย์กลาง
ของทรงพุ่ม อยู่ที่ประมาณ 5-6เมตร ระยะ
ห่างจากหลุมปลูกถึงตัวบ้านอย่างน้อยๆ ก็
ควรจะมีถึง 7 เมตร ต้นมะฮอกกานีใบเล็กโต
เต็ม 15-18เมตร เตี้ยกว่ามะฮอกกานีใบใหญ่
เล็กน้อย
สรรพคุณสามารถต้มทานเพื่ อเป็นยา
เจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดศีรษะ
เป็นต้น ประโยชน์ของมะฮอกกานี นิยมปลูก
ไว้บริเวณบ้านเรือน ช่วยให้ร่มเงา เพราะ
มะฮอกกานีเป็นไม้แข็งแรง ทนทาน อีกทั้ง
ยังสามารถนำไปแปรเป็นเครื่องใช้ได้
6.ต้นมะม่วง
มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึง
ขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10–30 เมตร ใบ
ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน
ปลายใบแหลม ดอก เป็นช่อ กลีบดอกมี 5
กลีบ เกสรสีแดงเรื่อๆ ดอกออกช่วงเดือน
ธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงฤดูร้อน
จะติดผล ผล ยาวประมาณ 5–20 ซม.
กว้าง 4–8 ซม. ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุก
เปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเหลืองส้ม มีเมล็ด
ภายใน 1 เมล็ด
สรรพคุณ การทานมะม่วงทำให้
สดชื่น มีวิตามินสูงช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ได้อย่างดี บำรุงผิวพรรณและร่างกาย
ส่วนต่าง ๆ ของต้นมะม่วงมีสรรพคุณที่
แตกต่างกันไป อาทิ การทานผลมะม่วง
ช่วยแก้ร้อนใน การใช้เปลือกมาต้มช่วย
แก้โรคคอตีบ เป็นต้น
7.มะพร้าว
เป็นไม้ตระกูลปาล์ม ลำต้นสูงเป็น
ปล้อง ใบแตกออกที่ยอดเป็นทางยาว
และมีใบย่อยแตกออกสองข้าง ใบเล็ก
ยาวเช่นเดียวกันกับต้นตาล ดอกสีขาว
นวลเป็นพวง เป็นฝอยเล็กๆ เหมือนจั่น
หมาก เรียกว่าจั่นมะพร้าว ผลออกเป็น
ทะลาย ผลอ่อนจะมีสีขาว พอผลโตขึ้นก็
เริ่มมีสีเขียว เมื่อผลแก่เปลือกนอกจะ
เป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล เป็นพืชที่ขึ้นดี
แม้ในดินธรรมดา มีอยู่ทุกภาคของ
ประเทศไทย
มีสรรพคุณมากมาย อาทิ แก้ท้อง
เสีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย แม้แต่กาบ
มะพร้าวก็สามารถนำมารักษาแผลได้
9.ต้นเพกาเตี้ย 8.ต้นไผ่กินซุง
เป็นไม้ยืนต้น สูงไม่เกิน 2–4 เมตร พืชล้มลุกอายุหลายปี เป็นไม้พุ่มเป็น
ใบเป็นใบประกอบ 2-3 ชั้น ออกตรงกัน กอ ลำต้นตั้งตรง กลม เป็นทรงกระบอก
ข้ามแบบถี่ๆบริเวณปลายกิ่งมีใบย่อยเป็น กลวง ขนาด 1-4.5 เซนติเมตร ผิว
รูปไข่ ปลายใบแหลม โคนสอบเว้าลึกหรือ เกลี้ยงสีเขียว ไม่มีหนาม เนื้อเเข็ง มีช้อ
เบี้ยวเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อตามซอก ปล้องชัดเจน แต่ละปล้องยาว 20- 30
มีเมล็ดจำนวนมาก โดยทั่วไปดอกออก เซนติเมตร มีเหง้าใต้ดินสั้น ไม่ทอดขนาน
ช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม ไปทางระดับ
ดอกจะบานเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น
แต่ “เพกาเตี้ย” มีดอกและฝักเรื่อยๆ ประโยชน์ของต้นไผ่กินซุงสามารถใช้
ขยายพั นธุ์โดยทั่วไปด้วยเมล็ด ทำกระดาษ เครื่องจักสาน ทำเฟอร์นิเจอร์
ตลอดจนนำมาปรุงอาหารได้
มีคุณประโยชน์ในทุกส่วน สรรพคุณ
เช่น ราก ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง 10.ต้นกล้วย
เมล็ดใช้เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย เป็นต้น
ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร
ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกัน
เป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบ
เดี่ยวขนาดใหญ่
สรรพคุณของต้นกล้วย สามารถ
ใช้ได้ทุกส่วน อาทิ ราก สามารถแก้ขัดเบา
หัวปลีช่วยขับน้ำนม ผล สามารถรักษาโรค
กะเพาะ แก้ท้องเสีย เป็นต้น คนไทยนิยม
รับประทานเป็นผลไม้ อีกทั้งกล้วยยังมี
สารอาหารมาก ดีต่อร่างกาย
11. ผักเหหลียง
ผักเหลียงเป็นพันธุ์ไม้ป่า มีถิ่น
กำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณ
คาบสมุทรมาลายู พบแพร่กระจายทั้ง
ในประเทศไทย มาเลเซีย และหมู่เกาะ
บอร์เนียว เติบโตได้ดีในภูมิอากาศ
ร้อนชื้น พบแพร่กระจายบนพื้นที่สูง
กว่าระดับน้ำทะเล 50-200 เมตร
โดยประเทศไทยพบแพร่กระจายทั่วไป
บริเวณเชิงเขา และที่ราบในภาคใต้
บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี
ระนอง พังงา และกระบี่ สรรพคุณ
ของผักเหลียว ช่วยบำรุงเส้นเอ็น
กระดูก สายตา
12.ผักเชียงดา
ผักเชียงดาเป็นพื ชที่พบได้ในเอเชียใต้และ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น อินเดีย พม่า
ศรีลักา และทางภาคเหนือของไทย สำหรับ
ประเทศไทยผักเชียงดาจะพบได้ในบริเวณ
ภาคเหนือ ที่มีอากาศหนาว ซึ่งมีอยู่หลาก
หลายสายพันธุ์ แต่ที่พบมากก็คือ ผักเชียง
ดาในสายพันธุ์ Gymnema inodorum ซึ่ง
ในภาคเหนือนั้นผักเชียงดา เป็นผักพื้นบ้านที่
ชาวเหนือในแถบจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย
แม่ฮ่องสอน ลำพู น ลำปาง แพร่ น่าน และ
พะเยา นิยมปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อนำยอดไป
ประกอบอาหาร
สรรพคุณของผักเชียงดา อาทิ ช่วยเพิ่ม
กำลัง เป็นยารักษาเบาหวาน ช่วยบำรุง
สายตา แก้อาการหวัด ลดไข้ โรคภูมิแพ้
เป็นต้น
ผักเชียงดาขยายพั นธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด
และปักชำแต่นิยมขยายพั นธุ์โดยการปักชำ
กิ่ง มากกว่าผักเชียงดาเจริญเติบโตได้ใน
ดินร่วนที่มีการระบายน้ำได้ดี
13.ต้นผักติ้ว
ผักติ้วเป็นผักพื้นบ้านที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้บริโภค ถิ่นกำเนิดของผัก
ติ้วพบแพร่กระจายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว พม่า และเวียดนาม
ในประเทศไทยพบได้ในทุกภาค แต่พบมากในภาคเหนือ และอีสาน เกิดขึ้นเอง
ตามธรรมชาติ นิยมนำเอาส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกอ่อนมาปรุงอาหาร
เพราะรสเปรี้ยวใช้แทนใบมะขามหรือมะนาวได้ เช่น แกงเห็ด หรือต้มยำต่างๆ
หรืออาจนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก มีงานวิจัยพบว่าผัก
ติ้วมีฤทธิ์สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ และไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย
สรรพคุณของต้นผักติ้วสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งจาก ลำต้น แก่ ดอก ราก
ตลอดจนน้ำยางลำต้น สามารถช่วย ขับลม แก้อาการปวดท้อง แก้ปวดเมื่อย
ป้องกันโรคหลอดเลือด แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
พริกแกงศิลาทิพย์
ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น พริกแกงตำบลศิลาทิพย์
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนพริกแกงศิลาทิพย์
พริกแกงศิลาทิพย์ Contact
มากกว่าพริกแกงที่ได้
คือความยั่งยืนของชุมชน 091-262-9199
ม.1 ตำบลศิลาทิพย์
อ.ชัยบาดาล
จ.ลพบุรี 15130
พริกแกงศิลาทิพย์
ชาวบ้านในตำบลศิลาทิพย์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร
ทำไร่ ทำสวน จนกระทั่งปลายปี60-61 ในช่วงหน้าแล้งชาวบ้านไม่
สามารถประกอบอาชีพทำไร่ ทำสวนได้ จึงมีการไปปรึกษากับบริษัทเบ
ทาโกร อยากจัดตั้งกลุ่มขึ้น ทางบริษัท จึงให้คำแนะนำและพาชาวบ้าน
ไปศึกษาการทำพริกแกงที่จังหวัดพิ จิตรเพื่ อเป็นแนวทางการประกอบ
อาชีพ กลับมาจากศึกษาดูงานก็ได้เริ่มหาเงินทุน โดยการระดุมทุนจาก
กองทุนหมู่บ้าน ในตอนต้นของการรวมกลุ่ม อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ
ในการจัดทำพริกแกง ได้ยืมจากองค์การบริหารส่วนตำบลศิลาทิพย์
และทางบริษัทเบทาโกรหลังจากการรวมกลุ่มเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจึงได้
มีการจัดทำหุ้นจัดซื้อพริกแกง ฝากทำหุ้นละ ประมาณ 50 บาท
ซึ่่งมีสมาชิกภายในกลุ่ม 23 คน
ขั้นตอนการทำ
พริกแกงศิลาทิพย์
พริกแกงตำบลศิลาทิพย์
1 . เ ต รี ย ม วั ต ถุ ดิ บ ดั ง นี้
พริกใหญ่ 7 กิโลกรัม
ผิวมะกรูด 4 กิโลกรัม
พริกเล็ก 14 กิโลกรัม กระชาย 20 กิโลกรัม
กระเทียม 50 กิโลกรัม
หอม 20 กิโลกรัม กะปิ 7 กิโลกรัม
ข่า 15 กิโลกรัม
เกลือ14 ถุง
ตะไคร้ 50 กิโลกรัม
ขั้นตอนการทำ นำพริกใหญ่และพริกเล็กไปปั่ น
พริกแกงศิลาทิพย์ ให้ละเอียดและนำกระเทียม หอม
ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด กระชาย
2
หั่นซอยให้เป็นชิ้นเล็กๆ
นำพริกใหญ่และพริกเล็กที่เรา
3 ปั่ นไว้อีกทั้งหอม กระเทียม ข่า
ตะไคร้ ผิวมะกรูดกระชายที่เรา
ได้หั่นซอยเทลงไปในกะละมัง
ที่เราเตรียมไว้
4 นำวัตถุดิบทุกอย่างคุกเข่าใน
กะละมังที่เราเตรียมไว้ใส่กะปิ
กับเกลือลงไปและคลุกเคล้า
ให้เข้ากัน
5 นำใส่เครื่องปั่ นหรือเครื่อง
บดพริกแกง 3 รอบเพื่อให้
พริกแกงละเอียด
โดยผลิตภัณฑ์พริกแกง
ของตำบลศิลาทิพย์
จะจัดจำหน่ายเป็นกิโล
กิโลกรัมละ 100 บาท
ทั้งแบบกระปุกและแบบถุง
ช่องทางการจัดจำหน่าย
·ตลาดประชารัฐบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอชัยบาดาล
จังหวัดลพบุรี (ทุกวันจันทร์)
·ร้านค้าในเขตตำบลศิลาทิพย์
·กลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนตำบลศิลาทิพย์
พ ริ ก แ ก ง ศิ ล า ทิ พ ย์
NEW LOGO
พริกแกง วิสาหกิจชุมชนตำบลศิลาทิพย์
ตำบล
ศิลาทิพย์
วัดตะเคียนคู่
ตำ บ ล ศิ ล า ทิ พ ย์
อำ เ ภ อ ชั ย บ า ด า ล จั ง ห วั ด ล พ บุ รี
ป ร ะ วัติ ค ว า ม เ ป็ น ม า
วัดตะเคียนคู่
วัดถือเป็นสถานที่ศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน หากจะเอ่ยได้
ว่าวัดนั้นผูกพั นกับเราเพี ยงใด ก็สามารถอธิบายได้เลยว่าเกี่ยวพั นกับ
เราตั้งแต่เกิด ชาวไทยนับถือศาสนาพุ ทธเป็นศาสนาประจำชาติ และวิถี
ชีวิตสัมพั นธ์ไปกับพุ ทธศาสนา ตั้งแต่ตอนเกิด หลายคนมักพาลูกหรือ
เด็กแรกเกิดไปให้พระที่ศรัทธาตั้งชื่อให้ หรือเข้าสู่วัยกลางคน ชาวพุ ทธมี
ธรรมเนียม ประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดเป็นเวลานานนั้นคือ การบวชเพื่ อ
ทดแทนพระคุณแด่บิดา-มารดา วัดเป็นสถานที่ในการจัดงานต่างๆไป
จนถึงจนสิ้นอายุไข วัดเป็นที่ประกอบพิ ธีกรรมทางศาสนาต่างๆมากมาย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าวัดที่เป็นศูนย์รวม
จิตใจให้กับพุ ทธศาสนิกชน
พ ร ะ พุ ท ธ รู ป อ ง ค์ ใ ห ญ่
ณ วั ด ต ะ เ คี ย น คู่
วัดตะเคียนคู่ตั้งอยู่ที่บ้านตะเคียนคู่ หมู่ที่ 12 ตำบลศิลาทิพย์
อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
พื้นที่ตั้งวัดเป็นราบอยู่ริมถนนคชเสนีย์ การคมนาคมสะดวก
อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มีศาลาการเปรียญ สำหรับปูชนียวัตถุ
มีพระประธานองค์ใหญ่และพระพุ ทธรูปประจำวัดอีก 12 องค์
ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้วัดจึงมีความสำคัญต่อตัวบุคคลและ
ชุมชนเป็นอย่างมาก และในตำบลศิลาทิพย์ก็มีวัดอยู่มากมาย และ
หนึ่งในนั้นก็คือวัดตะเคียนคู่ วัดตะเคียนคู่เป็นหนึ่งในวัดที่มีความ
สำคัญมากๆต่อชาวบ้านในชุมชนเนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานขององค์
พระพุ ทธรูปใหญ่กลางแจ้งและศาลเจ้าแม่ตะเคียนคู่เป็นที่เคารพบูชา
ของชาวบ้านเป็นอย่างมาก อีกทั้งวัดตะเคียนคู่ มีทัศนียภาพและวิว
ทิวทัศที่สวยงาม ร่มรื่น และสงบ จึงถือว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่า
แวะมาพั กผ่อนหย่อนใจและเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน
[email protected]
บริ เวณองค์ พระพุ ทธรู ปใหญ่ ประดิ ษฐานกลางแจ้ ง
ซึ่ งอยู่ บนเนิ นเขาสามารถเดิ นทางขึ้ นสั กการะได้
2 ทาง 1.เดิ นขึ้ นบั นได 2.นำรถยนต์ ขึ้ นไปได้
อี กทั้ งบริ เวณรอบ ๆ องค์ พระพุ ทธรู ปใหญ่
มี องค์ พระพุ ทธอี กหลาย ๆ หลายปาง ผู้ คนมั กมา
กราบสั กการะขอพร และแวะไปศาลเจ้ าแม่ ตะเคี ยนคู่
หรื อเจ้ าแม่ ตะเคี ยนเงิ น และเจ้ าแม่ ตะเคี ยนทอง
จุด Check In
ตำบลศิลาทิพย์
จุด Check in ของตำบลศิลาทิพย์
ตั้งอยู่หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล
ศิลาทิพย์ จุด check in ดังกล่าวเป็นรูปปั้ น
ลิงขนาดใหญ่ เป็นที่พั กผ่อนหย่อนใจและเป็น
สถานที่ถ่ายรูปของคนในตำบลศิลาทิพย์และ
ผู้ที่พบเห็นสามารถเข้ามาถ่ายรูป Check in
กับรูปปั้ นลิงนี้ได้
สาเหตุที่จุด Check in ของตำบลศิลาทิพย์เป็นรูปปั้ นลิง
ขนาดใหญ่ เนื่องจากตำบลศิลาทิพย์อยู่ในจังหวัดลพบุรีและ
ลิงถือว่าสัญลักษณ์ของจังหวัดลพบุรีและเป็นสัตว์ที่มีประวัติ
ความเป็นมาคู่กับจังหวัดลพบุรีมาอย่างช้านาน อีกทั้งยัง
เป็นการบอกเป็นนัย สำหรับผู้ที่ผ่านไปผ่านมาอีกว่า ท่านได้ถึง
จังหวัดลพบุรีแล้ว
เมืองลพบุรี แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างคน
กับลิง ถึงแม้จะผ่านมาหลายยุคหลายสมัย แต่คนกับลิงก็ยัง
คงอยู่ร่วมกันได้เสมอมา และกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ
เมืองลพบุรี
กลุ่ มแม่ บ้ าน
ตะกร้ าสานพลาสติ ก
หมู่ 11 ต.ศิ ลาทิ พย์
ตะกร้า
สานพลาสติก
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลศิลาทิพย์
ประวัติความเป็นมา
กลุ่มแม่บ้านตะกร้าสานพลาสติก หมู่11 ต.ศิลาทิพย์ เกิดจากการรวมกลุ่ม
ของแม่บ้านในหมู่11จำนวน 15 ครัวเรือน โดยมีประธานกลุ่มแม่บ้านฯ คือ นาง
ทองขาว ทามี เป็นผู้ควบคุมดูแล โดยกลุ่มแม่บ้านนี้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2562
โดยการช่วยเหลือของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ (กศน.) จังหวัด
ลพบุรี ในช่วงแรกในการก่อตั้งกลุ่ม ทางกศน.ได้ช่วยเหลือโดยการจัดสรรงบ
ประมาณค่าวัสดุ อุปกรณ์ในการทำตะกร้าสานพลาสติก รวมถึงจัดหาครูมาฝึก
อบรมทำตะกร้าสานให้กับกลุ่มแม่บ้านอีกด้วย โดยการฝึกอบรมใช้เวลาทั้งหมด
30 ชม. ทั้งนี้ทางกศน. ได้นำงบประมาณและนำครูมาฝึกอบรมให้กับกลุ่มแม่บ้าน
ตะกร้าสานพลาสติก หมู่11 ต.ศิลาทิพย์ เป็นประจำทุกปี ซึ่งไม่เพียงแต่จะสอน
การทำตะกร้าสานเพียงเท่านั้นยังมีการสอน การทำพรมเช็ดเท้าและเปลนอนอีก
ด้วย เพื่อเป็นการสร้างอาชีพเสริมให้กับแม่บ้านในหมู่บ้าน
ในช่วงแรกแม่บ้านในหมู่บ้านผลิตตะกร้าสาน
พลาสติกเพื่อทำใช้กันเองในหมู่บ้าน ทำเพื่อเป็นงาน
อดิเรกเท่านั้น แต่เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์มีความ
สวยงามจึงทำให้มีการบอกต่อปากต่อปาก ทำให้มี
ลูกค้าเข้ามาสั่งสินค้าแต่เป็นการผลิตแบบ Make
to order และไม่มีการจัดส่ง ลูกค้าต้องมารับ
สินค้าเองที่กลุ่มแม่บ้านฯเท่านั้น และเนื่องจาก
สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคระบาด COVID-19
ทำให้ลูกค้าไม่สามารถมารับสินค้าด้วยตัวเองได้ ซึ่ง
ให้เกิดการล่าช้าของการขายสินค้า กำลังการผลิต
ของกลุ่มแม่บ้านฯ อยู่ที่1ชิ้นต่อ1คนต่อ1วัน ซึ่ง
สมาชิกของกลุ่มแม่บ้านฯมีทั้งหมด 15คน ดังนั้น
กำลังการผลิตเท่ากับ 15 ชิ้นต่อวัน
กระเป๋าสานพลาสติกขนาดกลาง
ราคา 100 บาท
กระเป๋าสานพลาสติกขนาดเล็ก
หูจับแบบสาน ราคา 120 บาท