จัดทำโดย ด.ญ.กิรณา บุญพันธ์ ม.2/1 เลขที่22 เสนอ ครูสุดา จันทอง ประวัติ วั ติ การละครไทย
สมัยน่านเจ้า ไทยมีนิยายเรื่อ รื่ งหนึ่งคือ"มโนห์รา"ปัจจุบันยังมี ในประเทศจีนตอนใต้ในอาณาจักรน่านเจ้าเดิม นิยายเรื่อ รื่ งนั้นคือ"นามานโนห์รา" เป็นนิยายพวกไตพวกที่ไม่อพยพลงมาจากดิน แดนเดิมยังไม่มีหลักฐานปรากฏเด่นชัดว่า ว่ นำ มา เล่นเป็นละครหรือ รืไม่ส่วนการละเล่นของไทยนั่น เจ้ามีระบำ อยู่แล้วคือระบำ หมวกและระบำ นกยูง
สมัยสุโขทัย เป็นสมัยที่เริ่ม ริ่ มีความสัมพันธ์กับชาติที่นิยม อารยธรรมของอินเดียเช่นพม่ามอญขอมและละว้า ว้ ไทยได้รู้จักเลือกศิลปะวัฒ วั นธรรมที่ดีของชาติที่ สมาคมด้วยศิลปะแห่งการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือรำ และระบำ มีการกำ หนดแบบแผนแห่งศิลปะการ แสดง 3 ชนิดไว้เ ว้ป็นที่แน่นอนและบัญญัติคำ เรีย รี ก ศิลปะแห่งการแสดงโขนละครฟ้อนรำ ส่วนละคร แก้บนกับละครยก อาจมีสืบเนื่องจากสมัยนี้
สมัยกรุงธนบุรี สมัยนี้เป็นช่วงต่อเนื่องหลังจากที่กรุงศรีอ รี ยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อ ปีพ.ศ 2310 เหล่าศิลปิน ปิ ได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆเพราะผล จากสงครามบางส่วนก็เสียชีวิต วิ บางส่วนก็ถูกกว่า ว่ ต้อนไปอยู่พม่า พระเจ้ากรุงธนบุรีไรี ด้ปราบดาภิเษกพ.ศ 2311 ทรงส่งเสริม ริฟื้นฟู การละครขึ้นใหม่รวบรวมศิลปิน ปิ ตลอดทั้งบทละครเก่าพระองค์ได้ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อ รื่ งรามเกียรติ์ขึ้น 5 ตอนคือตอน หนุมานเกี้ยวนางวานริน ริ ตอนท้าวมาลีวราชว่า ว่ ความ ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด(เผารูปเทวดา) ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัท ตอนปล่อยม้าอุปการ มีคณะละครหลวงและเอกชนเกิดขึ้น
สมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูร ฟู วบรวมสิ่งต่างๆที่สูญเสีย รวบรวมตำ ราฟ้อนรำ ขึ้นให้เป็นหลักฐานสำ คัญ ที่สุดในประวัติการละครไทยมีบทละครที่ปรากฏ 4เรื่อ รื่ งคือ บทละครเรื่อ รื่ งอุณรุฑ บทละครเรื่อ รื่ งรามเกียรติ์ บทละครเรื่อ รื่ งดาหลัง บทละครเรื่อ รื่ งอิเหนา
สมัยรัชกาลที่ 2 เป็นสมัยที่วรรณคดีเจริญ ริ รุ่งเรือ รื ง เป็นยุคทองแห่งศิลปะการละคร มีนักปราชญ์ราชกวีที่ วีที่ปรึก รึ ษา 3 ท่านคือกรม หมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีแ รี ละสุนทรภู่ มีบทละครในเกิดขึ้นได้แก่ อิเหนา รามเกียรติ์ ส่วนบทละครนอกเรื่อ รื่ งไกรทอง คาวีไวี ชยเชษฐ์ สังข์ทอง มณีพิชัย
สมัยรัชกาลที่3 เป็นยุคที่ละครหลวงซบเซาเนื่องจากพระองค์ ไม่สนับสนุนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลิก ละครหลวงเสียแต่มิได้ขัดขวางผู้จะจัดแสดง ละครทำ ให้เกิดคณะละครของเจ้านายและ ขุนนางขึ้นแพร่หลายๆคณะหลายโรงมีบท ละครเกิดขึ้นมากมาย
สมัยรัชกาลที่ 4 ในสมัยนี้ได้เริ่ม ริ่ มีการติดต่อกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวยุโรปพระองค์ทรงให้ฟื้นฟูล ฟู ะครหลวงขึ้นและอนุญาตให้ คนทั่วไปทั้งชายและหญิงแสดงละครได้สำ หรับละครที่ ไม่ใช่ของหลวงมีข้อยกเว้น ว้ คือห้ามใช้รัดเก้ายอดเครื่อ รื่ ง แต่งกายลงยาพานทองหีบทองเป็นเครื่อ รื่ งยกบททำ ขวัญ วั ห้ามใช้แตรสังข์หัวช้างห้ามทำ สีเผือกยกเว้น ว้ หัวช้าง เอราวัณ วั มีประกาศกฎหมายภาษีมหรสพพ.ศ 2402 เก็บ จากเจ้าของคณะละครตามประเภทการแสดงและเรื่อ รื่ งที่ แสดง
สมัยรัชกาลที่ 5 ในสมัยนี้เกิดละครประเภทต่างๆขึ้น มากมายเช่นละครพันทาง ละครดึกดำ บรรพ์ ละครร้องละครพูด และลิเกทรงส่งเสริม ริ การละคร โดยเลิกกฎหมายการเก็บอากรมหรสพ เมื่อพ.ศ 2450
สมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนี้นับได้ว่า ว่ เป็นยุคทองแห่ง ศิลปะการละครยุคที่ 2 พระองค์ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรม มหรสพขึ้นเพื่อบำ รุงวิช วิ านาฏศิลป์ และการดนตรียั รียั งทรงเป็นบรมครู ของเราศิลปิน ปิ ทรงพระราชนิพนธ์บท โขนละครฟ้อนรำ ไว้เ ว้ป็นจำ นวนมาก
สมัยรัชกาลที่7 ในสมัยนี้การเมืองเกิดภาวะคับขันและเศรษฐกิจของไทยทรุดโทรมทำ ให้ ยกเลิกกรมมหรสพและต่อมากับฐานะเป็นกองขึ้นอีกครั้งนี้เกิดละครแนวใหม่คือละครเพลงหรือ รื เป็นที่รู้จักกันว่าละครจันทโรภาส
สมัยรัชกาลที่ 8 พระองค์ได้ตั้งวิท วิ ยาลัย นาฏศิลป์อยู่กรม ศิลปากรมีรำ วง มาตรฐานมี 10 เพลง โดยจอมพลป.พิบูล สงคราม
สมัยรัชกาลที่ 9 ในสมัยของพระองค์ได้มีการฟื้นฟูพิ ฟู พิ ธี ไหว้ค ว้ รูนาฏศิลป์และดนตรีมี รีมี การ พัฒนารูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ ได้แก่แสงสีเสียงและอุปกรณ์ที่ทัน สมัย