ออกแบบปรับปรุงอาคารภายใต้แนวคิดการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม อาคารพาณิชย์ย่านเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานี จัดทำโดย 63201140052 เกศกนก โพธิ์ศรี 63201140076 จิรภิญญา เชื้อสะอาด 63201140144 ธิดาวรรณ มาลาสาย 63201140182 พิมนภัส ศรีลาภา เสนอ อาจาร์ยลลิดา บุญมี รายวิชาอนุรักษ์สถาปัตยกรรม 2011 414 หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาคการศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2566
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาอนุรักษ์สถาปัตยกรรม จัดทำเพื่อเป็นแนวทางการศึกษา เกี่ยวกับการออกแบบปรับปรุงอาคาร ในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับออกแบบปรับปรุงอาคารภายใต้ แนวคิดการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม อาคารพาณิชย์ย่านเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อที่จะเป็นองค์ ความรู้ที่ใช้เป็นแนวทางการออกแบบสถาปัตยกรรมในแนวทางการอนุรักษ์สืบต่อไป รายงานฉบับนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งที่รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ใน การศึกษาของนักศึกษาของคณะศิลปประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ หรือผู้ที่ต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการออกแบบปรับปรุงอาคารภายใต้แนวคิดการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม หากรายงานฉบับนี้มีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คณะผู้จัดทำ 11 ตุลาคม 2566
สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1 1.3 ขอบเขตของการทำโครงการ 1 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1 1.5 สถานที่ทำโครงการ 1 บทที่ 2 นิยามศัพท์ที่สำคัญ 2 บทที่ 3 วิเคราะห์โครงการ 4 3.1 วิเคราะห์พื้นที่เขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี 4 3.2 วิเคราะห์พื้นที่ตั้งอาคาร 7 3.3 วิเคราะห์อาคาร 7 3.4 วิเคราะห์คุณค่าความแท้ 8 3.5 วิเคราะห์คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย 9 3.6 วิเคราะห์คุณค่าทางวัฒนธรรม 9 บทที่4 แนวทางการอนุรักษ์ 11 4.1 วิธีดําเนินงาน 11 4.2 การอนุรักษ์ 11 4.3 การปรับปรุง 13 บทที่5 สรุป 20 อ้างอิง 22
สารบัญภาพ หน้า ภาพที่1 แผนที่เทศบาลนครเมืองอุบลราชธานี 4 ภาพที่2 แผนที่ตั้งอาคาร ถนน 19 อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 7 ภาพที่3 สภาพอาคารพาณิชย์ในปัจจุบันModel 8 ภาพที่4 สภาพอาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน 8 ภาพที่5 ภาพถ่ายทางอากาศเมืองอุบล ริมน้ำมูลฝั่งอำเภอเมืองถ่ายภาพโดยทหาร 10 อเมริกันที่มาตั้งฐานทัพที่อุบลราชธานีระหว่างปี 2507-2517 ภาพที่6 ภาพอาคารก่อนการปรับปรุงอาคาร 12 ภาพที่7 ภาพอาคารหลังการปรับปรุงอาคาร 12 ภาพที่8 แปลนอาคารชั้นที่1 ก่อนการปรับปรุงอาคาร 14 ภาพที่9 แปลนอาคารชั้นที่1 หลังการปรับปรุงอาคาร 14 ภาพที่10 แปลนอาคารชั้นที่2 ก่อนการปรับปรุงอาคาร 14 ภาพที่11 แปลนอาคารชั้นที่2 หลังการปรับปรุงอาคาร 14 ภาพที่12 แปลนอาคารชั้นที่3 ก่อนการปรับปรุงอาคาร 15 ภาพที่13 แปลนอาคารชั้นที่3 หลังการปรับปรุงอาคาร 15 ภาพที่14 ด้านหน้าอาคารก่อนการปรับปรุงอาคาร 15 ภาพที่15 ด้านหน้าอาคารหลังการปรับปรุงอาคาร 15 ภาพที่16 บริบทด้านหน้าของอาคารพาณิชย์หลังการปรับปรุงตอนกลางวัน 16 ภาพที่17 บริบทด้านหน้าของอาคารพาณิชย์หลังการปรับปรุงตอนกลางคืน 16 ภาพที่18 บริบทอาคารภายนอก 17 ภาพที่19 บริบทอาคารภายนอก 17 ภาพที่20 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่1 18 ภาพที่21 บริบทมุมมองภายนอกอาคารชั้นที่1 18 ภาพที่22 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่2 19 ภาพที่23 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่2 19 ภาพที่24 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่3 20 ภาพที่25 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่3 20
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเป็นสิ่งที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นหัวข้อสำคัญต่อการรักษา อัตลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรมของชาติและท้องถิ่น แต่ในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมความหลากหลาย วิธีการทั้งในเชิง ปรัชญาและการปฏิบัติ วิธีการที่ใช้ปัจจุบันมีทั้งการสงวนรักษา การบูรณะ การ ปฏิสังขรณ์ การสร้างใหม่ และ การสร้างเลียนแบบ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการปฏิบัติในการอนุรักษ์จะ ขึ้นอยู่กับความสามารถหรือความ เชี่ยวชาญของช่างและความพึงพอใจของเจ้าของอาคาร ในปัจจุบัน การอนุรักษ์อาคาร ได้รับความนิยม เป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากอาคารพาณิชย์บางอาคารถูกขายหรือ ให้เช่า เป็นโอกาสให้คน ภายนอกที่สนใจเข้ามาลงทุนธุรกิจใช้ตึกอาคารพาณิชย์เก่าเพื่อแสวงผลกําไรเพราะเห็น ถึงศักยภาพที่เป็น จุดขายด้านการท่องเที่ยวของพื้นที่ภายในท้องถิ่น 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1. การศึกษาวิธีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมประเภทอาคารพาณิชย์โครงสร้างคอนกรีต เสริมเหล็ก เพื่อเป็นพื้นฐานต่อการซ่อมหรือเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอย่างถูกหลักปรัชญา 2. การศึกษาทางด้านขั้นตอนการอนุรักษ์วัสดุก่อสร้าง ระบบการก่อสร้าง และวิธีการ ซ่อมแซมรักษาอาคารประเภทอาคารพาณิชย์ 1.3 ขอบเขตของการทำโครงการ 1. พื้นที่ศึกษาครอบคลุมอาคารพาณิชย์ในย่านเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานี 2. สถาปัตยกรรมประเภทอาคารพาณิชย์ 3. อาคารพาณิชย์ที่มีอายุไม่น้อยกว่าห้าสิบปี 1.4ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ องค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมประเภทอาคารพาณิชย์ในจังหวัด อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานอนุรักษ์ในเขตย่านเมืองเก่า 1.5 สถานที่ทำโครงการ คณะศิลปะประยุกต์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ การเก็บ ข้อมูลสำรวจภาคสนามในพื้นที่ ย่านเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานี
2 บทที่ 2 นิยามศัพท์ที่สำคัญ มรดกวัฒนธรรม มรดกวัฒนธรรม หมายถึง ผลงานสร้างสรรค์ของชนในชาติที่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันมีคุณค่า ที่ตกทอดมาจากรุ่นก่อนเป็นประจักษ์พยานของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ หมายรวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ มนุษย์ได้สร้างขึ้น และระบบนิเวศซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าไม่สามารถหาทดแทนได้ เป็นเครื่องหมายที่ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของผู้คนในอดีต แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเอกลักษณ์ของพื้นที่ มีการสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและควรค่าแก่การสืบสานต่อไปในอนาคต มรดกวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องได้ และมรดกวัฒนธรรมที่ จับต้องไม่ได้ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องได้หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องและ มองเห็นได้ ได้แก่ โบราณสถาน อนุสาวรีย์ สถาปัตยกรรม อาคารกลุ่มอาคาร ย่านชุมชนท้องถิ่น เมืองเก่า แหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดี แหล่งภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม โบราณวัตถุและ ผลงานศิลปะแขนงต่างๆ เป็นต้น มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับ ต้องหรือแสดงออกมาทางกายภาพได้ ได้แก่ ภูมิปัญญาความรู้ ความหมาย ความเชื่อ ความสามารถ ขนบธรรมเนียมประเพณีจารีตที่บุคคลหรือชุมชนได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการด ารงชีวิตอยู่ และได้ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้แหล่งมรดกวัฒนธรรม คือ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องได้ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีความผูกพัน เกี่ยวข้องกับมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้อย่างแยกไม่ออก 1. โบราณสถาน หมายถึง อสังหาริมทรัพย์ทั้งที่เป็นสิ่งก่อสร้างและสถานที่ ซึ่งโดยอายุ หรือโดยลักษณะ แห่งการก่อสร้าง หรือ โดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือเกี่ยวกับวัตถุที่พบอยู่ใน อสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ทางศิลปะสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิชาการ หรือสังคม ๒. การอนุรักษ์หมายถึง การดูแลรักษาเพื่อให้คงคุณค่า่ไว้ โดยการอนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่ เกี่ยวข้องแต่ละแหล่งนั้นอาจทำได้ด้วย การป้องกัน การสงวนรักษา การบูรณะ การปฏิสังขรณ์ หรือการ ประยุกต์การใช้สอย การอนุรักษ์มีวิธีการในระดับที่แตกต่างกันแล้วแต่สถานการณ์และปัจจัยอื่นๆในแต่ละ
3 กรณี โดยอาจจะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน และให้หมายรวมถึงการอนุรักษ์เพื่อรื้อฟื้น ฟื้นฟูเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ และการสืบสานให้ยังคงมีอยู่ต่อไปด้วย 3. ความแท้หมายถึง ความเป็นของแท้ซึ่งแสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะตน เป็น ปัจจัยเชิงคุณภาพที่ใช้เป็นตัวชี้วัดคุณค่าของมรดกวัฒนธรรม แสดงความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางวิชาการ โดยสามารถพิจารณาได้ในลักษณะความแท้ของการสร้างสรรค์ วัสดุ ฝีมือช่าง สภาพโดยรอบ และ ประโยชน์ใช้สอย 4. บูรณภาพ หมายถึง ความครบถ้วนแห่งองค์ประกอบทั้งหมดของมรดกวัฒนธรรมที่ผสานกลมกลืนกัน ทั้งที่เป็นสิ่งก่อสร้าง และองค์ประกอบของสภาพโดยรอบที่มีความเกี่ยวข้องกัน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง ของมรดกที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม 5. ภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์หมายถึง แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่เป็นองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรม ได้แก่ สวน ที่โล่ง ผืนน้ำ และพืชพันธุ์ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในมุมมองด้านประวัติศาสตร์หรือศิลปะ มักประกอบด้วยพันธุ์ไม้มาแต่ดั้งเดิม จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งหมายความว่าสามารถที่จะเสื่อมสลายและ ฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้ รูปลักษณ์ของภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์สะท้อนถึงความสมดุลอย่างยั่งยืนระหว่างวัฏจักรแห่ง ฤดูกาลกับการเจริญเติบโตและเสื่อมสลายของธรรมชาติ และความปรารถนาของศิลปินและช่างฝีมือในอัน ที่จะรักษาสภาพเดิมของภูมิทัศน์ให้คงไว้ตลอดไป ทั้งนี้สามารถใช้เรียกได้ทั้งสวนขนาดเล็กและ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มีระเบียบแบบแผน หรือเป็นสภาพภูมิทัศน์แบบธรรมชาติ ตลอดจนผลงานการออกแบบพื้นที่เปิดโล่งในลักษณะอื่นๆด้วย 6. ภูมิทัศน์วัฒนธรรม หมายถึง สภาพภูมิประเทศที่มนุษย์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับสภาพ ภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติ แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงชีวิต คติ ความเชื่อ หรือความศรัทธาในศาสนา จนเกิดความเป็นเอกลักษณ์ที่ข้ามกาลเวลา 7. มรดกสิ่งก่อสร้างพื้นถิ่น หมายถึง สิ่งก่อสร้างที่มีผลสืบเนื่องมาจากความเชื่อและประโยชน์ใช้สอยที่มี ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นหรือภูมิภาค แฝงไปด้วยความงามที่แสดงออกทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของ ชุมชน ซึ่งสัมพันธ์กับอาณาบริเวณที่ตั้งตามลักษณะของวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ตลอดจนสภาพดิน ฟ้าอากาศที่แตกต่างกัน มีการก่อสร้างที่ได้รับการถ่ายทอดกันมา มีการประยุกต์ใช้ระบบการก่อสร้างและ งานฝีมือแบบดั้งเดิมอย่างมีประสิทธิภาพ 8. การบริหารจัดการมรดกวัฒนธรรม หมายถึง กระบวนการคุ้มครองและการจัดการองค์ประกอบที่ หลากหลายของมรดกวัฒนธรรมให้ดำรงคุณค่าไว้ เพื่อสร้างความเข้าใจ และทำให้เกิดความตระหนักใน ความสำคัญทางวัฒนธรรมโดยคำนึงถึงความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไป
4 บทที่ 3 วิเคราะห์โครงการ (ภาพที่1 แผนที่เทศบาลนครเมืองอุบลราชธานี) 3.1 วิเคราะห์พื้นที่เขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี ที่ตั้งและอาณาเขต จังหวัดอุบลราชธานีตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย อยู่สูงจาก ระดับน้ำทะเล ปานกลาง 123 เมตร มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 16,112.65 ตารางกิโลเมตร หรือ 10.07 ล้านไร่ และอยู่ห่างจาก กรุงเทพมหานครประมาณ 629 กิโลเมตร ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดอ้านาจเจริญจังหวัดยโสธร และสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว ทิศตะวันออก ติดต่อกับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดยโสธร ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่โดยทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นที่ราบสูงลาดเอียงไปทางทิศตะวันออก โดยมีแม่น้ำโขง เป็นแนวกั้น เขตแดนระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมีแม่น้ำ ชีไหลมาบรรจบกับ แม่น้ำมูลที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี ซึ่งแม่น้ำมูลจะไหลผ่านกลางจังหวัดจากทิศ ตะวันตกมายังทิศตะวันออกแล้ว ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม ส่วนบริเวณชายแดนตอนใต้มีภูเขา สลับซับซ้อนหลายแห่ง โดยมีเทือกเขา บรรทัดและเทือกเขาพนมดงรักเป็นแนวกั้นเขตแดนระหว่างจังหวัด อุบลราชธานีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาวและราชอาณาจักรกัมพูชา
5 ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดอุบลราชธานี ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของมรสุมที่พัดประจ้าฤดูกาล 2 ชนิด คือ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดพามวลอากาศเย็นและแห้งจากประเทศจีนเข้าปกคลุมประเทศ ไทยตั้งแต่ประมาณ กลางเดือนตุลาคมถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย ท้าให้จังหวัดอุบลราชธานีมี อากาศหนาวเย็นและแห้งทั่วไป และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดพามวลอากาศ ชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้าปก คลุมประเทศไทยในช่วงฤดูฝน (ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึง ประมาณกลางเดือนตุลาคม) ท้าให้มีฝนตกชุกทั่วไป ฤดูกาล ฤดูกาลของจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาตามลักษณะของลมฟ้าอากาศของประเทศไทยสามารถ แบ่งออก ได้เป็น 3 ฤดู ดังนี้ ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ มรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทย อากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นและแห้ง โดยมีอากาศ หนาวจัดในบางวัน และเดือนที่มีอากาศหนาวมากที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของบริเวณ ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่แผ่ลงปกคลุมประเทศไทยในช่วงดังกล่าว ด้วย ฤดูร้อน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นที่มีอากาศร้อนอบ อ้าว โดยทั่วไป โดยเฉพาะเดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวที่สุดของปี ฤดูฝน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่มรสุมตะวันตก เฉียงใต้พัดเอา ความชื้นจากทะเลและมหาสมุทรมาปกคลุมประเทศไทย ประกอบกับในช่วงดังกล่าวร่อง ความกดอากาศต่ำที่พาดอยู่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทยจะเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านบริเวณภาคเหนือและ ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ท้าให้อากาศเริ่มชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตั้งแต่ประมาณ กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยเฉพาะเดือน สิงหาคมเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกหนาแน่นมากที่สุดในรอบ ปี แต่อย่างไรก็ตามนอกจากปัจจัยดังกล่าวที่ให้มีฝนตกชุก แล้วยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพายุหมุนเขตร้อนที่ เคลื่อนตัวเข้าใกล้หรือเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงดังกล่าวด้วย อุณหภูมิ ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดอุบลราชธานีส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงและมีเทือกเขาสลับ ซับซ้อน ท้าให้อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน และในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น โดย อุณหภูมิ เฉลี่ยตลอดทั้งปี 27.4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 22.6 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิ สูงสุดเฉลี่ย 33.4 องศาเซลเซียส เดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวมากที่สุดในรอบปี ซึ่งเคย วัดอุณหภูมิสูงที่สุดได้ 42.6 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2559 ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะมี
6 อากาศหนาวที่สุดในเดือนมกราคมวัดอุณหภูมิ ต่ำที่สุดได้ 6.7 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2518 (ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาเกษตรอุบลราชธานี) ฝน โดยพื้นที่บริเวณทางตอนเหนือต่อเนื่องถึงพื้นที่ทางด้านตะวันออกของจังหวัดเป็นบริเวณที่มีฝน ตกชุกมากกว่า บริเวณอื่น ๆ ซึ่งปริมาณฝนเฉลี่ยตลอดทั้งปีของจังหวัดอุบลราชธานีอยู่ระหว่าง 1,600 - 1,800 มิลลิเมตร โดยเฉพาะ พื้นที่ทางด้านตะวันออกของจังหวัด ส่วนพื้นที่ทางด้านตะวันตกของจังหวัด เป็นบริเวณที่มีฝนน้อย ปริมาณฝน ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตร โดยเฉพาะบริเวณอำเภอเขื่อนใน และวารินช้าราบ สำหรับปริมาณฝนเฉลี่ยตลอด ทั้งปีของจังหวัดอุบลราชธานี 1,626.9 มิลลิเมตร และมี จำนวนวันที่ฝนตก 121 วัน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มี ฝนตกชุกมากที่สุดในรอบปี มีปริมาณฝน เฉลี่ย 314.3 มิลลิเมตร และมีฝนตก 20 วัน ปริมาณฝนมากที่สุดใน 24 ชั่วโมง วัดได้ 254.3 มิลลิเมตร เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2530 (ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาเกษตรอุบลราชธานี) พายุหมุนเขตร้อน พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวผ่านหรือเข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี มีแหล่งกำเนิดจากทะเลจีนใต้ และ มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก โดยเคลื่อนตัวผ่านประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาวก่อนจะ เข้าสู่ประเทศ ไทย ท้าให้พายุหมุนเขตร้อนอ่อนกำลังเป็นพายุดีเปรสชันเป็นส่วนใหญ่ ท้าให้ไม่ก่อให้เกิด ความเสียหายมากนัก แต่ยังคงท้าให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากจนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ สำหรับ ช่วงเวลาที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อน ตัวผ่านจังหวัดนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปจนถึงเดือน พฤศจิกายน โดยเฉพาะเดือนกันยายนถึงเดือน ตุลาคมเป็นช่วงที่พายุหมุนเขตร้อนมีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่ จังหวัดนี้ได้มากที่สุด
7 (ภาพที่2 แผนที่ตั้งอาคาร ถนน 19 อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี) 3.2 วิเคราะห์พื้นที่ตั้งอาคาร อาคารหลังนี้ตั้งอยู่ที่ ถนน 19 อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีตั้งอยู่บนมุมสะพาน เสรี-ประชาธิปไตย 2497 อยู่ทางขาเข้าเมือง อาคารจะอยู่ทางด้านซ้ายมือถ้าเดินทางมาจากทางฝั่ง อำเภอวารินชำราบ บริเวณด้านข้างติดศูนย์รถจักรยานยนต์Yamaha และติดโรงพิมพ์ ฝั่งตรงข้ามเป็น ตลาดสดเทศบาล 3 (ตลาดใหญ่) เป็นย่านเมืองเก่าของจังหวัดอุบลราชธานีที่เป็นย่านคนจีนอยู่อาศัย ข้อดีที่ตั้งอาคาร 1. อาคารอยู่ในย่านเมืองเก่าของจังหวัดอุบลราชธานี 2. อาคารอยู่ใกล้ถนนคนเดินริมมูลที่เป็นย่านเศรษฐกิจของจังหวัด 3. สามารถมองเห็นตัวอาคารได้อย่างชัดเจน ทั้งขาเข้าเมืองและขาออกจากเมือง ข้อเสียที่ตั้งอาคาร 1. บริเวณหน้าอาคารมีการจราจรหนาแน่นตลอดเวลา 2. พื้นที่บริเวณหน้าอาคารมีพื้นที่ในการจอดรถค่อนข้างน้อยและแคบ 3. พื้นที่จอดรถยนต์ค่อนข้างลำบาก เพราะที่ตั้งอาคารตั้งอยู่มุมสะพานพอดี 3.3 วิเคราะห์อาคาร อาคารหลังนี้เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น มี4คูหา 1คูหามีความกว้าง 4เมตร ยาว 12เมตร มี ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กอาคารชั้นที่3 ของอาคารด้านบนเป็นดาดฟ้า เปิดโล่ง ด้านหน้าอาคารมีFIN ตกแต่งหน้าอาคาร อาคารชั้นที่1 มีประตูเหล็กดัดยืด เป็นทางเข้าหลัก อาคารชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 ด้านหน้าอาคารเป็นหน้าต่างกระจกบานผลัก 6 บาน มีลูกกรงเหล็กอยู่ด้านใน ตัวอาคารมีการทาสีโทนสีเหลืองนวล ตัวอาคารสูงประมาณ 10เมตร พื้นที่อาคารประมาณ 870 ตาราง เมตร
8 สภาพอาคารในปัจจุบัน สภาพอาคารในปัจจุบันมีสภาพสมบูรณ์ในเชิงของโครงสร้างของอาคารที่ยังคงแข็งแรง เนื่องจาก อาคารเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐฉาบปูนที่มีความแข็งคงทนต่อสภาพอากาศ ภายนอก อาคารมีการหลุดลอกของสีผนัง และมีราขึ้นบนผนังด้านนอกอาคาร บานหน้าต่างมีการชำรุดและมีสภาพ ทรุดโทรมตามกาลเวลา (ภาพที่3 สภาพอาคารพาณิชย์ในปัจจุบันModel) (ภาพที่4 สภาพอาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน) 3.4 วิเคราะห์คุณค่าความแท้ คุณค่าความแท้ของอาคาร อาคารพาณิชย์หลังนี้เป็นอาคารที่ถูกสร้างในยุคเศรษฐกิจใหม่ในสมัยปี 2500 อาคารเป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีFIN เป็นตัวแต่งของอาคารที่ โดยอาคารในพื้น ที่รอบๆก็มีลักษณะของโครงสร้างที่เหมือนๆกัน ความแท้ของอาคารแสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเองมี ลักษณเฉพาะตน รวมถึงวัสดุ ฝีมือช่าง สภาพแวดล้อมโดยรอบ และประโยชน์ใช้สอยก็มีลักษณะเฉพาะใน สมัยนนั้น
9 3.5 วิเคราะห์คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย อาคารหลังนี้มีคุณค่าด้านประโยชน์การใช้สอยหลายๆด้าน เช่น - มีการใช้ประโยชน์กานใช้งานอย่างต่อเนื่อง (Functional) - มีการใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ (Economic) - มีประโยชน์ต่อสังคม (Soclal) ประโยชน์การใช้งานอย่างต่อเนื่อง (Functional) มีการใช้อาคารหลังนี้มาโดยตลอดตั้งแต่สร้างแล้วเสร็จจนถึงปัจจุบัน ทั้งมีการให้เช่าหรือซื้อขาย กับเจ้าของอาคาร มีทั้งการปรับเปลี่ยนด้านการใช้งานที่แล้วแต่เจ้าของผู้ให้เช่าหรือเจ้าของอาคารหรือคูหา นั้นๆ ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ (Economic) อาคารถูกสร้างขึ้นมาในช่วงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของจังหวัดอุบลราชธานีอาคารหลังนี้จึงมีส่วน สำคัญในด้านเศรษฐกิจของช่วงเวลานั้น แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจในย่านนี้จะซบเซาลงเพราะพิษเศรษฐกิจใน ยุคปัจจุบันก็ตาม ประโยชน์ต่อสังคม (Soclal) อาคารถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานไม่ว่าจะทางด้านการใช้สอยหรือทางด้านเศรษฐกิจสังคมหรือผู้คน โดยรอบพื้นที่ตั้งอาคารก็มักจะได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในย่าน เศรษฐกิจนี้ ผู้คนโดยรอบก็สามารถสร้างรายได้จากการที่ผู้คนเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในย่านนี้ได้สังคมก็จะได้ ประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วย 3.6 วิเคราะห์คุณค่าทางวัฒนธรรม อาคารหลังนี้มีคุณค่าทางวัฒนธรรมหลายๆด้าน เช่น - มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ (Historic) - มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ (Aesthetic and Symbolic) - มีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรม (Architectural) - มีความสำคัญต่อทิวทัศน์ของเมือง ภูมิประเทศ และระบบนิเวศน์ (Townscape, Landscape and Ecological) ความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์(Historic) ความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์อาคารหลังนี้มีอายุมามากกว่า 50ปี และยังถูกสร้างขึ้นในช่วง เศรษฐกิจใหม่ของจังหวัดอุบลราชธานีจึงนับว่าอาคารหลังนี้อยู่ในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่น สงครามเวียดนาม ที่ฐานทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่จังหวัดอุบลราชธานีในช่วงปี 2507-2517
10 (ภาพที่5 ภาพถ่ายทางอากาศเมืองอุบล ริมน้ำมูลฝั่งอำเภอเมือง ถ่ายภาพโดยทหารอเมริกันที่มาตั้งฐานทัพที่อุบลราชธานีระหว่างปี 2507-2517) ความงดงามเป็นเอกลักษณ์(Aesthetic and Symbolic) ความงดงามเป็นเอกลักษณ์ด้านหน้าของอาคารมีเอกลักษณ์ความสวยงามที่โดดเด่นในช่วงสมัย นั้น บริเวณด้านหน้าอาคารมีFIN ตกแต่งอาคารด้านหน้า ซึ่งFIN น่าจะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่โด่งดัง ในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากอาคารบริเวณโดยล้อมมีลักษณะอาคารที่คล้ายคลึงกันกับตัว อาคารพาณิชย์หลังนี้ ความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรม (Architectural) ความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรม อาคารหลังนี้มีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมในช่วงเวลา นั้น สืบเนื่องจากอาคารพาณิชย์หลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงของเวลาที่เป็นการพัฒนาเขตเมืองจังหวัด อุบลราชธานีจึงทำให้อาคารหลังมีลักษณะอาคารที่โดดเด่นในช่วงเวลานั้น อาคารหลังนี้จึงมีความสำคัญ ด้านสถาปัตยกรรม ความสำคัญต่อทิวทัศน์ของเมือง ภูมิประเทศ และระบบนิเวศน์(Townscape, Landscape and Ecological) ความสำคัญต่อทิวทัศน์ของเมือง ภูมิประเทศ และระบบนิเวศน์ อาคารตั้งอยู่บริเวณมุมสะพาน เสรีประชาธิปไตย 2497 และยังอยู่ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าของจังหวัด จึงมีความสำคัญทางด้านทิวทัศน์ของ เมือง และยังอยู่ในเขตพัฒนาเมืองในสมัยนั้นจึงมีความสำคัญต่อภูมิประเทศ และระบบนิเวศน์
11 บทที่ 4 แนวทางการอนุรักษ์ การอนุรักษ์ หมายถึง การปรับปรุงหรือป้องกันอาคารและบริเวณใกล้เคียงในหมู่บ้านหรือเมือง ขนาดเล็ก หรืออาจเป็นส่วนของเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สัญญา สัญญาวิวัฒน์ได้ให้ความหมายของคําว่า พัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น ในหนังสือทฤษฎีและแนวความคิดในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้วีระ โรจน์พจนรัตน์ ได้เสนอการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมที่เป็น สถาปัตยกรรมการดำเนินการอาจปฏิบัติในระดับและวิธีการต่างๆ ขึ้นอยู่กับสภาพของอาคารและสถานที่ แต่ละแห่งเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถจําแนก ได้ดังนี้ 1. การคุ้มครองป้องกัน (Protection) 2. การบํารุงดูแลรักษา (Maintenance) 3. การอนุรักษ์ทางวิทยาศาสตร์(Scientific Conservation) 4. การเสริมมั่นคงแข็งแรง (Consolidation) 5. การบูรณปฏิสังขรณ์ (Restoration) 6. การสร้างรูปแบบขึ้นใหม่ (Reconstruction) 7. การบูรณะแบบจัดชิ้นส่วนเก่าใส่ตามแบบเดิม (Anastilosis) 4.1 วิธีดําเนินงาน 1. ศึกษาทำความเข้าใจพื้นที่อนุรักษ์ โดยการรอบรวมข้อมูลทั้งเป็นเอกสารและข้อมูลทาง กายภาพเพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวมของการพัฒนาในแนวทางอนุรักษ์อาคารสถาปัตยกรรม 2. การประเมินคุณค่าและความสำคัญของอาคาร 3. การศึกษาปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม 4. กำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการและแนวทางการอนุรักษ์ 5. ปฏิบัติงานตามแบบและแนวทางการอนุรักษ์ 4.2 การอนุรักษ์ การอนุรักษ์อาคารพาณิชย์มีลำดับของการอนุรักษ์อาคาร ดังนี้ 1. การอนุรักษ์และการบูรณะ (Conservation and Restoration) 2. การคงสภาพอาคาร (Preservation) 3. การปรับปรุงอาคาร (Adaptation, Renovation) 4. การต่อเติมหรือการสร้างอาคารใหม่ในสภาพแวดล้อมเก่า (Addition, Infill)
12 การอนุรักษ์และบูรณะส่วนที่มีความทรุดโทรม การแตกร้าวของกำแพง การหลุดลอกสีบนผนัง เพื่อยืดอายุของอาคารให้มีการใช้งานที่ยาวนานมายิ่งขึ้น การคงสภาพอาคาร ยังมีการคงสภาพส่วนที่เป็น เอกลักษณ์ของอาคารเช่น FIN ที่อยู่ด้านหน้าอาคาร โครงสร้างของอาคารและพื้นที่การใช้งานที่ยังคง สภาพเอาไว้เช่น ส่วนของห้องน้ำและบันได การปรับปรุงอาคารมีการปรับปรุงส่วนของห้องน้ำให้พร้อมใช้ งาน มีการปรับปรุงด้านหน้าส่วนของประตูบานเหล็กดัดยืด หน้าต่างชั้น 2และชั้น 3 ของอาคารที่มีการ ปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนของวัสดุหน้าต่างและประตู และยังมีการต่อเติมในส่วนของพื้นที่ภายในอาคาร โดยมีการต่อเติมผนัง เพื่อกั้นพื้นที่การใช้งานให้เป็นสัดส่วน (ภาพที่6 ภาพอาคารก่อนการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่7 ภาพอาคารหลังการปรับปรุงอาคาร)
13 4.3 การปรับปรุง อาคารพาณิชย์หลังนี้แต่เดิมมีการให้เช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือทำกิจการค้าขายมีทั้งหมด 4คูหา เป็น อาคารพาณิชย์ 3ชั้น มี 1คูหา ที่มีการเปิดทำการเป็นโรงพิมพ์อีก 1คูหา มีการเข้าพักอยู่อาศัย ส่วน 2 คูหา ถูกปล่อยว่างไม่มีการทำกิจการหรือเข้าพักอาศัย จึงได้นำมาทำการศึกษา เพื่อปรับปรุงอาคาร พาณิชย์หลังนี้ภายใต้แนวทางการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจำนวน 1 คูหา ที่มีพื้นที่ติดกับบริษัท ก กิจเจริญ ไทยอุบล จำกัด ในการศึกษาได้มีการนำอาคารพาณิชย์จำนวน 1คูหา มาปรับปรุงอาคารเป็นกิจการร้านกาแฟ และยังมีพื้นที่ทำกิจกรรมภายในร้าน โดยมีการจัดพื้นการใช้งานออกเป็น 3ส่วน ดังต่อไปนี้ พื้นที่ชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่ของเคาน์เตอร์สำหรับรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เข้ามาสั่งกาแฟหรือ ขนมภายในร้าน และยังมีพื้นที่นั่งพักคอยบริเวณด้านหน้าอาคาร ภายในร้านยังมีเก้าอี้บาร์สำหรับนั่งดื่ม กาแฟหรือทานขนม พื้นที่ชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่นั่งดื่มกาแฟ ทานขนมมีโต๊ะนั่งแบบบาร์นั่ง และโต๊ะนั่งสำหรับ บุคคลที่เข้ามานั่งทำงานภายในร้าน มีการจัดไว้จำนวน 3 โต๊ะ ตามผนังมีการตกแต่งด้วยภาพวาดทิวทัศน์ ภูเขาน้ำตก มีการห้อยโคมไฟเต็งลั้ง (โคมจีน) เพื่อเพิ่มบรรยากาศภายในร้าน พื้นที่ชั้นที่ 3 เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมสำหรับนักเรียนหรือบุคคลที่สนใจเข้ามาใช้บริการมี กิจกรรมการเล่มหมากล้อม หมากรุก เกมกระดาน โดยมีการจัดโต๊ะแบบนั่งพื้น เบาะรองนั่งจำนวน 6ชุดมี ที่นั่ง 4ที่นั่งต่อโต๊ะ การตกแต่งมีการนำภาพวาดแขวนไว้ตามผนังและมีฉากกั้นก่อนเข้ามานั่งพื้นที่ด้านใน การตกแต่งอาคารมีแนวคิดมาจาก คนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในเมืองอุบลราชธานีตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2403 คนจีนที่อพยพเข้ามาในเมืองอุบลราชธานีกลุ่มหลัก คือกลุ่มชาติพันธุ์จีนแต้จิ๋ว แซ่แต้ และแซ่ตั้ง ซึ่งมีบทบาทด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สาเหตุที่นำมาเป็นแนวคิดในการปรับปรุง อาคาร สืบเนื่องจากอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณที่มีแต่คนจีนอาศัย จึงได้นำมาซึ่งแนวคิดการออกแบบและ ปรับปรุงอาคารให้มีกลิ่นอายของความเป็นชาติพันธุ์จีนแต้จิ๋ว แต่ยังคงไว้ซึ่งความทันสมัยของยุคปัจจุบัน และยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของอาคารดั่งเดิมไว้
14 (ภาพที่8 แปลนอาคารชั้นที่1 ก่อนการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่9 แปลนอาคารชั้นที่1 หลังการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่10 แปลนอาคารชั้นที่2 ก่อนการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่11 แปลนอาคารชั้นที่2 หลังการปรับปรุงอาคาร)
15 (ภาพที่12 แปลนอาคารชั้นที่3 ก่อนการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่13 แปลนอาคารชั้นที่3 หลังการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่14 ด้านหน้าอาคารก่อนการปรับปรุงอาคาร) (ภาพที่15 ด้านหน้าอาคารหลังการปรับปรุงอาคาร)
16 การปรับปรุงมีการเพิ่มหลังคากระเบื้องทรงจีน มุ้งด้วยกระเบื้องสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีมงคลของจีน แต่งขอบหลังคาด้วยสีแดงมีการตกแต่งหลังคาด้วยโคมไฟห้อยระย้า เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ตัวอาคารมีกลิ่น อายของจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายความทันสมัยให้เข้าด้วยกัน แต่ยังมีการใช้สีดั้งเดิมเป็นสีหลักของ ตัวอาคาร และยังมีการปรับเปลี่ยนประตูทางเข้าให้เป็นประตูกระจกบานผลัก ยังมีการเพิ่มหน้าต่างกระจก บานใหญ่ให้สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกของตัวอาคารทำให้บุคคลภายนอกสามารถมองเห็น ภายในอาคารได้ (ภาพที่16 บริบทด้านหน้าของอาคารพาณิชย์หลังการปรับปรุงตอนกลางวัน) (ภาพที่17 บริบทด้านหน้าของอาคารพาณิชย์หลังการปรับปรุงตอนกลางคืน)
17 (ภาพที่18 บริบทอาคารภายนอก) (ภาพที่19 บริบทอาคารภายนอก)
18 (ภาพที่20 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่1) (ภาพที่21 บริบทมุมมองภายนอกอาคารชั้นที่1)
19 (ภาพที่22 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่2) (ภาพที่23 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่2)
20 (ภาพที่24 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่3) (ภาพที่25 บริบทมุมมองภายในอาคารชั้นที่3)
21 บทที่5 สรุป แนวทางการอนุรักษ์อาคารพาณิชย์สำหรับพื้นที่เขตเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อสร้างความ สมดุลระหว่างการอนุรักษ์เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์วิถีชีวิตในอดีตและการพัฒนาเพื่อธุรกิจ การท่องเที่ยว โดยจะกล่าวถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือ การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมหรือชุมชนนั้นมีสิ่งที่ ต้องคำนึงถึงในหลายแง่มุม ในแง่ของการอนุรักษ์อาคารจะครอบคลุมในด้านของความแท้ด้านรูปแบบของ อาคาร ความแท้ของวัสดุอาคาร ความแท้ด้านช่างฝีมือและความแท้ด้านบริบทโดยรอบและบริบทความ เป็นย่าน ในด้านของชุมชนและสังคมจะครอบคลุมด้านความสัมพันธ์ในชุมชน การมีส่วนร่วมของคนใน ชุมชน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการใช้งานอาคาร ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาพื้นที่ในเขตอนุรักษ์และ กระทบต่อการดำเนินชีวิต ในแง่ของเศรษฐกิจครอบคลุมในเรื่องของการใช้ศักยภาพของพื้นที่มรดกทาง วัฒนธรรมเพื่อเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว การพัฒนานี้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินและราคาของ อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ แหล่งท่องเที่ยวดึงดูดทั้งผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมเยือนและเข้ามาลงทุนทางธุรกิจ ก่อให้เกิดความหลายหลายทั้งความหลายหลายของการประกอบอาชีพและความหลากหลายของคน ดังนั้นแนวทางการอนุรักษ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเริ่มจากเป็นการตั้งเป้าหมายของการอนุรักษ์ว่ามี จุดประสงค์ต่อการอนุรักษ์พื้นที่นั้นไว้อย่างไรไม่ว่าจุดประสงค์นั้นจะมาจากภาครัฐหรือมาจากชุมชน อาจ อนุรักษ์ไว้โดยให้ความสำคัญเรื่องคุณค่าของประวัติศาสตร์การสืบทอดการเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมา หรืออนุรักษ์ไว้เพราะเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งแต่ ละแนวทางย่อมให้ความสำคัญกับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นนั้นแตกต่างกัน จึงได้ทำการอนุรักษ์ สถาปัตยกรรมที่เป็นไปตามกระบวนการการอนุรักษ์สากลและแนวทางการอนุรักษ์เพื่อการท่องเที่ยวที่ เกิดขึ้นในพื้นที่เขตเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานีให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และการพัฒนาเพื่อธุรกิจการ ท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตเมืองเก่าจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาพบว่าศักยภาพในการพัฒนาหรือปรับปรุงอาคารพาณิชย์เก่าให้อยู่ในหลักเกณฑ์ ของการอนุรักษ์นั้นสามารถทำได้ดีหากมีความรู้ในการพัฒนาให้อาคารกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์และ อายุการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้นลักษณะที่คงความเก่าโดยที่ไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับตัวอาคาร มากนักถือเป็นข้อดีในการอนุรักษ์ให้อาคารนั้น ๆ คงความแท้ในด้านรูปแบบสถาปัตยกรรมและด้านวัสดุ อาคารเอาไว้
22 อ้างอิง สำนักวิทยบริการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. (2558). ภาพเก่าเล่าเรื่อง..เมืองอุบลราชธานี. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2566. จากhttp://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/picture/?p=859 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิฑูรย์ เหลียวรุ่งเรือง. ผู้ช่วยศาสตราจารย์องุ่นทิพย์ ศรีสุวรรณ. อาจารย์ ไชยยันต์ ปานะจำนงค์. (2553). การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมล้านนาประเภทอาคารไม้. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2566. จากhttps://archive.lib.cmu.ac.th/full/res/2553/tressct540105_53_full.pdf นางสาวอรวรรณ ศาสนียกุล. (2559). แนวทางการอนุรักษ์ตึกแถวเอกชนในพื้นที่เมืองเก่า กรณีศึกษา ตึกแถวบนถนนถลางและถนนเยาวราช เมืองเก่าภูเก็ต. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2566. จาก http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2016/TU_2016_5816030265_5369_482 8.pdf
23