Edward Lee Thorndike เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ จัดทำ โดย นางสาวพันณิดา จันทสมบัติ รหัส 6622610205 ห้อง 2 เสนอ ดร.รอง ปัญสังกา รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาEA105 จิตวิทยาสำ หรับครู ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ วิทยาลัยสันตพล อุดรธานี
รายงานเรื่อ รื่ งนี้เ นี้ป็น ป็ ส่วส่นหนึ่ง นึ่ ของรายวิชวิาED105จิตจิวิทวิยาสำ หรับรัครู โดยมีจุมีดจุประสงค์ใค์นการศึกศึษาเกี่ย กี่ วกับกัทฤษฎีกฎีารเชื่อ ชื่ มโยงของธอร์นร์ ไดค์เค์พื่อ พื่ ให้ไห้ด้เด้รียรีนรู้เรู้กี่ย กี่ วกับกัชีวชีประวัติวัขติองธอร์นร์ ไดค์ และแนวคิดคิเกี่ย กี่ วกับกัจิตจิวิทวิยาที่ เกี่ย กี่ วข้อข้งกับกัการเชื่อ ชื่ มโยงตอบสนองกับกัสิ่ง สิ่ เร้าร้ที่ธ ที่ อร์นร์ ไดค์ไค์ด้ศึด้กศึษาไว้ เช่นช่วิธีวิธี การทดลอง และกฎแห่งห่การเรียรีนรู้ เป็น ป็ ต้นต้ ทั้ง ทั้ นี้ เนื้อ นื้ หาทั้ง ทั้ หมดได้มด้าจากการสืบสืค้นค้บนอินอิเทอร์เร์น็ต น็ บทความที่ เกี่ย กี่ วข้อข้งกับกัทฤษฎีกฎีารเชื่อ ชื่ มโยงของธอร์นร์ ไดค์ ขอขอบพระคุณคุดร.รอง ปัญปั สังสักา อย่าย่งสูงสูที่ใที่ ห้คห้วามกรุณรุาในการแนะนำ เพื่อ พื่ การแก้ไก้ข และให้ข้ห้อข้เสนอแนะ ตลอดการทำ รายงานเล่มล่นี้ ผู้จัผู้ดจัทำ หวังวัเป็น ป็ อย่าย่งยิ่ง ยิ่ ว่าว่รายงานเล่มล่นี้จ นี้ ะเป็น ป็ ประโยชน์ต่น์อต่ผู้ที่ผู้ ส ที่ นใจในการศึกศึษาเกี่ย กี่ วกับกัทฤษฎีนี้ฎีห นี้ รือรืผู้ที่ผู้ ต้ ที่ อต้งการหาข้อข้มูลมู ดพิ่ม พิ่ เติมติในการเรียรีนรู้เรู้รื่อ รื่ งจิตจิวิทวิยาไม่มม่ากก็น้ ก็ อน้ย นางสาวพันพัณิดณิา จันจัทสมบัติบั ติผู้จัผู้ดจัทำ 10 กรกฎาคม 2566 คำ นำ
ชีวประวัติ เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เกิด วันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ.1814 ที่เมือง วิลเลี่ยมเบอรี่ (WILLIAMBURY) และเสียชีวิตวันที่ 9 สิ่งหาคม ค.ศ.1949 รัฐนิวยอร์ค เป็นนัก จิตวิทยาอเมริกันที่ทำ งานเน้นการ ศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรม สัตว์ เขาเป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ สำ คัญที่สุดในศตวรรษที่20 เป็น หนึ่งในผู้สร้างจิตวิทยาการศึกษา และทฤษฎีที่เรียกว่า การเชื่อมโยง EDWARD LEE THORNDIKE เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็น ป็ นักจิต จิ วิท วิ ยาและนักการ ศึกษาชาวอเมริกัน เป็น ป็ เจ้า จ้ ของทฤษฎีการ เรียนรู้ที่เน้นความสัมพัน พั ธ์เชื่อ ชื่ มโยงระหว่า ว่ ง สิ่งเร้า (S) กับการตอบสนอง (R) เค้าเชื่อ ชื่ ว่า ว่ การเรียนรู้เกิดขึ้น ขึ้ ได้ต้องสร้างสิ่งเชื่อ ชื่ มโยง หรือพัน พั ธะเชื่อ ชื่ มโยง (Bond) ระหว่า ว่ งสิ่งเร้า กับการตอบสนอง จึง จึ เรียกทฤษฎีนี้ว่า ว่ ทฤษฎี พัน พั ธะระหว่า ว่ งสิ่งเร้ากับการตอบสนอง (Connectionism Theory) หรือทฤษฎี สัมพัน พั ธ์เชื่อ ชื่ มโยง หลักการเรียนรู้ ทฤษฎี สัมพัน พั ธ์เชื่อ ชื่ มโยง กล่าวถึง การเชื่อ ชื่ มโยง ระหว่า ว่ งสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยมีห มี ลัก พื้น พื้ ฐานว่า ว่ การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อ ชื่ มโยง ระหว่า ว่ งสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มัก มั จะออก มาในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ โดยการ ลองถูก ถู ลองผิด ผิ จนกว่า ว่ จะพบรูปแบบที่ดีและ เหมาะสมที่สุด แนวคิดของ เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี ธอร์น ร์ ไดค์ เขาได้เริ่ม ริ่ การ ทดลองเมื่อ มื่ ปี ค.ศ.1898 เกี่ยว กับการใช้หี ช้ หี บกล เขาทดลองการเรีย รี นรู้จ รู้ น มีชื่ มี อ ชื่ เสียง การเรียนรู้แบบเชื่อ ชื่ มโยง การที่ผู้เ ผู้ รีย รี นสามารถสร้า ร้ ง ความสัมพัน พั ธ์เ ธ์ ชื่อ ชื่ มโยง ระหว่า ว่ งสิ่งเร้า ร้ และการตอบ สนอง หากได้รับ รั ความพึง พึ พอใจ จะทำ ให้เกิดการเรีย รี นรู้ การทดลองของ ธอร์น ร์ ไดค์เป็น ป็ ที่รู้จั รู้ จั กกันดีที่สุด คือ“การจับแมวขังไว้ใว้ นกรง” EDWARD LEE THORNDIKE เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์
EDWARD LEE THORNDIKE เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ การทดลองของธอร์นไดค์ การทดลองใช้หี ช้ หี บกล ในการ ทดลอง ธอร์น ร์ ไดค์ได้นำ แมวไป ขังไว้ใว้ นกรงที่สร้า ร้ งขึ้น แล้วนำ ปลาไปวางล่อไว้น ว้ อกกรงให้ห่าง พอประมาณ โดยให้แมวไม่ สามารถยื่น ยื่ เท้าไปเขี่ยได้ จาก การสังเกต พบว่า ว่ แมวพยายาม ใช้วิ ช้ ธี วิ ก ธี ารต่างๆ เพื่อ พื่ จะออกไป จากกรงจนกระทั่งเท้าของมัน มั ไป เหยีย ยี บถูกคานไม้โม้ ดยบัง บั เอิญ ทำ ให้ประตูเ ตู ปิด ปิ ออก หลังจาก นั้นแมวก็ใช้เ ช้ วลาในการเปิด ปิ กรง ได้เร็ว ร็ ขึ้น
EDWARD LEE THORNDIKE เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ การทดลองของธอร์นไดค์ จากการทดลอง ธอร์น ร์ ไดค์อธิบ ธิ ายว่า ว่ การตอบ สนองซึ่ง ซึ่ แมวแสดงออก มาเพื่อ พื่ แก้ปัญ ปั หาเป็น ป็ การ ตอบสนองแบบลองผิด ผิ ลองถูก การที่แมวสามารถ เปิด ปิ กรงได้เร็ว ร็ ขึ้นในช่ว ช่ ง หลังแสดงว่า ว่ แมวเกิดการ สร้า ร้ งพัน พั ธะหรือ รื ตัวเชื่อ ชื่ ม ขึ้นระหว่า ว่ งคานไม้กั ม้ กั บการ กดคานไม้
กดการเรียนรู้ที่สำ คัญมี 3 กฎ คือ 1. กฏแห่งผลที่พึง พึ พอใจ (Law of effect) พันพัธะหรือรืตัวเชื่อชื่มระหว่า ว่ งสิ่งสิ่เร้า ร้ และการตอบสนองจะ เข้ม ข้ แข็ง ข็ หรือรือ่อนกำ ลัง ย่อ ย่ มขึ้นขึ้อยู่กั ยู่ กับผลต่อเนื่อนื่งหลัง จากที่ได้ต ด้ อบสนองไปแล้ว ดังดันั้นนั้การได้รั ด้ บรัผลที่พึงพึพอใจ จึงจึเป็น ป็ ปัจจัยจัสำ คัญในการเรียรีนรู้ 2. กฎแห่งการฝึกฝึหัด (Low of exercise) การฝึกหัดหัหรือรืการกระทำ บ่อ บ่ ยๆด้ว ด้ ยความเข้า ข้ใจจะทำ ให้ การเรียรีนรู้นั้รู้นนั้คงถาวรถ้าไม่ไม่ ด้ก ด้ ระทำ ซ้ำ บ่อ บ่ ยๆการเรียรีนรู้ นั้นนั้จะไม่ค ม่ งถาวรและในที่สุดสุอาจจะลืมได้ กฏแห่ง ห่ การฝึกหัดหัแบ่ง บ่ เป็น ป็ สองกดย่อ ย่ ยคือ •กฎแห่ง ห่ การได้ใด้ ช้ •กฎแห่ง ห่ การไม่ไม่ ด้ใด้ ช้ 3. กฏแห่งความพร้อ ร้ ม (Low of readiness) การเรียรีนรู้จรู้ะเกิดขึ้นขึ้ ได้ดีด้ถ้ดี ถ้าผู้เผู้รียรีนมีคมีวามพร้อร้มทั้งทั้ร่าร่งกาย และจิตจิ ใจ •เมื่อมื่บุคคลพร้อร้มที่จะทำ แล้วได้ทำด้ ทำเขาย่อย่มเกิดความพอใจ •เมื่อมื่บุคคลพร้อร้มที่จะทำ แล้วไม่ไม่ด้ทำด้ ทำเขาย่อย่มเกิดความไม่ พอใจ •เมื่อมื่บุคคลไม่พม่ร้อร้มที่จะทำ แต่เค้าต้องทำ เขาย่อย่มเกิดความ ไม่พม่อใจ
กฎข้อ ข้ นี้นั นี้ บนัว่า ว่ เป็น ป็ กฎที่สำ คัญ และได้รั ด้ บรัความสนใจจากธอร์นร์ ไดค์มากที่สุด สุ กฎนี้มี นี้ ใมี จความว่า ว่ พันพัธะหรือ รื ตัวเชื่อ ชื่ มระหว่า ว่ งสิ่งสิ่ เร้า ร้ และการตอบสนองจะเข้ม ข้ แข็ง ข็ หรือ รื อ่อนกำ ลังย่อ ย่ มขึ้น ขึ้ อยู่ กับผลต่อเนื่อ นื่ งหลังจากที่ได้ ตอบสนองไปแล้ว จะมีผ มี ลให้ พันพัธะสิ่งสิ่เร้า ร้ และการตอบสนอง เข้ม ข้ แข็ง ข็ ขึ้น ขึ้ ส่ว ส่ นการทำ โทษนั้นนั้ จะไม่มี ม่ ผ มี ลใดๆต่อความเข้ม ข้ แข็ง ข็ หรือ รื การอ่อนกำ ลังของพันพัธะ ระหว่า ว่ งสิ่งสิ่เร้า ร้ และการตอบ สนอง กดการเรียนรู้ที่สำ คัญ
นอกจากกฎการเรียนรู้ ที่สำ คัญทั้ง 3 กฎนี้แล้ว ธอร์นไดค์ ยังได้ตั้งกฎ การเรียนรู้ย่อยอีก 5 กฎ 1 .กา รตอบสนอ งมากรูปแบบ (LO W OF M ULTIPLE RESPONSE) 2. กา รตั้ง จุดมุ่งหมาย (LO W OF SET OR ATTITUDE) 3. กา ร เ ลื อกกา รตอบสนอ ง (LO W OF PARTIAL ACTIVITY) 4. กา รนำ คว ามรู้ เดิมไปใ ช้ แก้ปัญหา ใหม่ (LO W OF ASSI M ILATION ANALOGY) 5. กา รย้ายคว ามสัมพันธ์ (LO W OF SET OR ASSOCIATIVE SHIFTING)
การถ่ายโอน การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มื่ การเรีย รี นรู้ห รู้ รือ รื กิจกรรมในสถานการณ์หนึ่งส่งผลต่อ การเรีย รี นรู้ห รู้ รือ รื กิจกรรมในอีกสถาน กรณ์หนึ่งการส่งผลนั้นอาจจะอยู่ใยู่ น รูปของการสนับสนุนหรือ รืส่งเสริม ริ ให้ สามารถเรีย รี นได้ดีขึ้น (การถ่ายโอน ทางบวก) หรือ รื อาจเป็น ป็ การขัดขวาง ทำ ให้เรีย รี นรู้ห รู้ รือ รืประกอบกิจกรรมอีก อย่า ย่ งหนึ่งได้ยาก หรือ รื ช้า ช้ ลง (การถ่าย โอนทางลบ) ก็ได้ การถ่ายโอนการ เรีย รี นรู้นั รู้ นั บว่า ว่ เป็นพื้น พื้ ฐานของการ เรีย รี นการสอน
การประยุกต์ใช้ใน การเรียนการสอน 1. ในการเรีย รี นการสอนครูต้องให้ความ สำ คัญ และความเข้าใจในความแตก ต่างของผู้เ ผู้ รีย รี น ทั้งแตกต่างทางด้าน อารมณ์ ด้านความชอบ ความสนใจ การตอบสนองได้ไม่เม่ท่ากัน ต้องสร้า ร้ ง ทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเนื้อหาวิชวิาที่เรีย รี น ให้กับผู้เ ผู้ รีย รี น เช่นช่ชี้ใชี้ ห้เห็นประโยชน์ เป็น ป็ ต้น 2. การวางเงื่อนไข ครูควรมีก มี ารวาง เงื่อนไขในการเรีย รี น เช่นช่หากผู้เ ผู้ รีย รี น สอบหรือ รื ทำ ผลงาน ได้สำ เร็จ ร็ จะให้ทำ กิจกรรมนันทนาการเพื่อ พื่ คลาย ความเครีย รี ด เป็น ป็ ต้น และควรใช้ก ช้ าร วางเงื่อนไขที่ แตกต่างกันไม่ใม่ช่ใช่ช้เ ช้ พีย พี ง เงื่อนไขเดียว อาจจะเป็น ป็ การให้ผู้เ ผู้ รีย รี น ทำ กิจกรรมสนุกๆ การเล่นเกม การพา ไปทัศนศึกษา การให้ดูวิ ดู ดีวิ ดีโอ
การประยุกต์ใช้ใน การเรียนการสอน 3. ในการสอน ควรมีก มี ารใช้ก ช้ ารเสริม ริ แรงทางบวกแก่ผู้เ ผู้ รีย รี น เช่น ช่ การให้ คะแนน การให้ของ รางวัล วั การกล่าว คำ ชมเชย เป็น ป็ การกระตุ้น ตุ้ ให้ผู้เ ผู้ รีย รี น เกิดพฤติกรรมที่พึง พึประสงค์ และ ควรสังเกตว่า ว่ การเสริม ริ แรง แบบใด ที่ผู้เ ผู้ รีย รี นชอบส่งผลต่อการตอบ สนองพฤติกรรมที่ดี ควรมีก มี ารใช้ การเสริม ริ แรงที่หลากหลาย 4 . ครูผู้สผู้ อนไม่ค ม่ วรใช้ก ช้ ารลงโทษที่ รุนแรงเกินไป เพราะนอกจากจะไม่ เกิดการเรีย รี นรู้แ รู้ ล้วยัง ยั ทำ ให้ผู้เ ผู้ รีย รี นผู้ เรีย รี นเกิดความอคติอีกด้วย ควรใช้ วิธี วิ ก ธี ารงดการเสริม ริ แรงเมื่อ มื่ ผู้เ ผู้ รีย รี นมี พฤติกรรมไม่พึ ม่ ง พึประสงค์
การประยุกต์ใช้ใน การเรียนการสอน 5. ก่อนดำ เนินการสอนครูต้องคำ นึง ถึงความพร้อ ร้ มของผู้เ ผู้ รีย รี นทั้งด้าน ร่า ร่ งกาย ด้านอารมณ์ ด้านอุปกรณ์ การเรีย รี น และครูผู้สผู้ อนต้องสร้า ร้ ง ความพร้อ ร้ มทางความรู้ใรู้ ห้กับผู้เ ผู้ รีย รี น ด้วย คือการอธิบธิายของความรู้เ รู้ ดิม เพื่อ พื่ ให้ผู้เ ผู้ รีย รี นเกิดการจำ ได้ถึงเนื้อหา ก่อนหน้าที่เคยศึกษาให้สามารถเชื่อม โยงความรู้ไรู้ ด้ 6. ครูผู้สผู้ อนควรมีก มี ารกระตุ้นให้ผู้ เรีย รี นเกิดการฝึกฝึหัด คือ การให้การ บ้าน การให้ทำ แบบฝึกฝึหัดบ่อยๆ แต่ ควรแบบฝึกฝึหัดที่เป็นเรื่อ รื่ งเดียวกันแต่ มีรู มี รู ปแบบที่หลากหลาย เพื่อ พื่ ไม่ใม่ ห้ผู้ เรีย รี นเกิดความ-เบื่อหน่าย
สรุป การสร้า ร้ งแรงจูงใจนับว่าว่ สำ คัญมากเพราะ จะทำ ให้ผู้เ ผู้ รียรีนเกิดความพอใจเมื่อมื่เขา ได้รับรั สิ่ง ที่ต้องการหรือรืรางวัลวัรางวัลวัจึงเป็น ป็ สิ่งควบคุม คุ พฤติกรรมของผู้เ ผู้ รียรีน นั่นก็คือในขั้นแรกครูจึง ต้องสร้า ร้ งแรงจูงใจภายนอกให้กับผู้เ ผู้ รียรีน ครู จะต้องให้ผู้เ ผู้ รียรีนรู้ผ รู้ ลการกระทำ หรือรืผลการ เรียรีน เพราะการรู้ผ รู้ ลจะทำ ให้ผู้เ ผู้ รียรีนทราบ ว่าว่การกระทำ นั้นถูกต้องหรือรื ไม่ถูม่ถู กต้อง ดีหรือรื ไม่ดีม่ ดีพอใจหรือรื ไม่พม่อใจ ถ้าการกระทำ นั้นผิดผิ หรือรื ไม่เม่ ป็น ป็ ที่พอใจเขาก็จะได้รับรัการ แก้ไข ปรับรั ปรุงให้ถูกต้อง เพื่อพื่ที่จะได้รับรั สิ่งที่เขา พอใจต่อไป นอกจากนี้ในการเรียรีนการสอน ครูจะต้อง สอนในสิ่งที่คล้ายกับโลกแห่งความจริงริที่เขาจะ ออกไปเผชิญชิ ให้มากที่ สุด เพื่อพื่ที่นักเรียรีนจะได้ เกิดการถ่ายโอนการเรียรีนรู้จ รู้ ากการเรียรีนในชั้นชั้ เรียรีนไป สู่สังคมภายนอกได้อย่าย่งดี
มัณมัฑรา ธรรมบุศย์. (ม.ป.ป.). ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์. สืบค้นเมื่อมื่ 10 กรกฎาคม 2566 จากhttps://sites.google.com/site/psychologybkfo/home/citwith ya-kar-reiyn-ru/thvsdi-kar-reiyn-ru-khxng-th-xrn-dikh ทฤษฎีการเชื่อ ชื่ มโยงของธอร์นไดค์. (Thorndike's Connectionism Theory). (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อมื่ 10 กรกฎาคม 2566 จากhttps://www.baanjomyut.com/library_m/behaviorism/o๔.html ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์. (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อมื่ ๖ ธันธัวาคม ๒๕๖๕ จาก https://sites.google.com/site/supoldee/thxn-dit ธีรธีะยุทธ โพธิ์ทธิ์อง. (ม.ป.ป.). ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อ ชื่ มโยงของธอร์นไดค์. สืบค้น เมื่อมื่ 10 กรกฎาคม 2566 จาก https://sites.google.com/site/thirayutgo๒/thvsdi-karreiyn-ru/thvsdi-khwam-samphanth-cheuxm-yong-khxng-th-xrndin 2. ทฤษฎีสัมพันพัธ์เชื่อ ชื่ มโยงของธอร์นไดค์. (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อมื่ ๖ ธันธัวาคม ๒๕๖๕. จาก https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/ ๒๐๑๐/๖๐๙๖/๙/Chapter๒_๓๐-๕๕_.pdf บรรณานุกรม