สภาวฒั นธรรมจงั หวัดนครปฐม
รว่ มกบั สำนกั งานวัฒนธรรมจังหวดั นครปฐม
โครงการวฒั นธรรมสัญจรศึกษาดูงานทอ่ งเที่ยวเชิงวฒั นธรรม
นครปฐม - ชลบรุ ี - ระยอง - จันทบุรี
ระหว่างวันท่ี ๑๙ - ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
สำนักงานเลขานกุ ารสภาวฒั นธรรมจังหวดั นครปฐม
สำนักงานวฒั นธรรมจังหวดั นครปฐม
โทรศัพท์ ๐ ๓๔๓๔ ๐๓๔๙ ตอ่ ๑๓
โทรสาร ๐ ๓๔๓๔ ๐๓๔๙ ตอ่ ๑๔
กำหนดการ
โครงการวัฒนธรรมสัญจรศกึ ษาดูงานทอ่ งเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม
นครปฐม - ชลบุรี - ระยอง - จนั ทบรุ ี
ระหวา่ งวันที่ ๑๙ - ๒๑ สงิ หาคม ๒๕๖๕ จดั โดย สภาวัฒนธรรมจงั หวัดนครปฐม
เดินทางวนั ที่ ๑ วนั ศุกรท์ ี่ ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๖๕
๐๕.๐๐ น. ลงทะเบยี นท่ีลานจอดรถดา้ นหลังโรงแรมเวล
๐๕.๓๐ น. ออกเดนิ ทางไปจงั หวดั ชลบุรี (ของวา่ งและเครือ่ งดมื่ แจกบนรถ)
๐๘.๓๐ - ๐๙.๓๐ น. (ใช้เวลาเดนิ ทางประมาณ ๓ ช่วั โมง)
๐๙.๔๕ - ๑๑.๑๕ น. รบั ประทานอาหารเชา้ รา้ นปา้ อยุ้ พัทยา
เท่ยี วสวนนงนชุ ชมสวนพฤกษศาสตร์ สโตนเฮนจ์
๑๑.๓๐ - ๑๒.๓๐ น. หุบเขาไดโนเสาร์ สวนตะบองเพชร สวนแบบฝรงั่ เศส
๑๓.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. ศาลาเทวดา ฯลฯ
รบั ประทานอาหารกลางวนั รา้ นอาหารจานใหญ่/ไรป่ ้าแมว
๑๕.๓๐ - ๑๗.๐๐ น. - แวะสกั การะพระบรมธาตเุ จดยี ม์ หาจักรีพฒั น์
วดั ญาณสงั วราราม และส่ิงศักดสิ์ ิทธใ์ิ นพระอุโบสถ
๑๗.๓๐ - ๒๐.๐๐ น. แบบพุทธคยา พระมหามณฑปพระพทุ ธบาท ชมความงาม
๒๐.๓๐ น. ของศาลามังกรเลน่ นำ้
- ชมอเนกกุศลศาลา (วหิ ารเซียน)
ออกเดินทางไปจงั หวดั ระยอง
- ลงทะเบยี นเข้าทพ่ี กั โรงแรมไนซบ์ ีชรีสอรท์
- เดนิ เลน่ รมิ หาดแม่พมิ พ์
รบั ประทานอาหารเยน็ รา้ นแสงจันทร์ซีฟดู้
กลับที่พกั โรงแรมไนซ์บชี รีสอร์ท พักผอ่ นตามอัธยาศัย
๑
เดินทางวันท่ี ๒ วนั เสารท์ ่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๕
๐๗.๐๐ น. รบั ประทานอาหารเช้าทโ่ี รงแรม
๐๘.๐๐ น. ออกเดนิ ทางไปจนั ทบุรี เลยี บชายฝง่ั ทะเลชมววิ หาดคุ้งพมิ าน
๐๙.๓๐ - ๑๐.๐๐ น. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑.๓๐ ชว่ั โมง)
๑๐.๓๐ - ๑๑.๓๐ น. - จุดชมววิ นางพญา
- เจดียก์ ลางน้ำบา้ นหวั แหลม
๑๑.๓๐ - ๑๒.๓๐ น. ถงึ จันทบุรี
๑๒.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. - สักการะศาลสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช
และชมพิพธิ ภณั ฑค์ ่ายตากสิน
๑๖.๓๐ น. รับประทานอาหารกลางวนั (ตามอธั ยาศยั )
๑๘.๐๐ น. ณ ชุมชนหลังวัดโรมัน
- ชมอาสนวิหารพระนางมารีอา
- เช็คอินชุมชนเกา่ ริมน้ำจนั ทบูร เลอื กซอ้ื พริกไทย
และของฝาก
- เทีย่ วชุมชนขนมแปลกจนั ทบรู บา้ นหนองบวั
ชิมขนมโบราณหายาก
- เข้าทพ่ี กั ชบารีสอร์ท ท่พี กั สไตลญ์ ่ีปุ่นกลางสวนผลไม้
ถา่ ยภาพสวยยามเยน็ และยามเชา้ ในรสี อร์ท
รับประทานอาหารเย็น ณ ชบารีสอร์ท
๒
เดินทางวันที่ ๓ วนั อาทติ ย์ท่ี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
๐๗.๐๐ น. อาหารเช้าในรสี อรท์
๐๘.๐๐ น. ออกเดนิ ทาง
๐๘.๔๐ - ๐๙.๓๐ น. เดินทางผ่านถนนยมจนิ ดา จังหวัดระยอง
ชมสถาปตั ยกรรมเม่ือกวา่ ร้อยปีทผ่ี า่ นมา
๑๒.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. - แวะชมพิพธิ ภัณฑเ์ มอื งระยอง แล้วออกเดินไปยงั
บางแสน - อา่ งศลิ า
๑๔.๓๐ น. (ใชเ้ วลาเดนิ ทางประมาณ ๓ ช่วั โมง)
๑๗.๓๐ น. - รบั ประทานอาหารกลางวัน (ตามอธั ยาศยั )
ณ ตลาดอา่ งศิลา และแวะชอ้ื ของฝาก
- สกั การะขอพรเจ้าแมเ่ ขาสามมุข ชมทศั นียภาพ
แบบเบิร์ดอาย ววิ บนเขาสามมขุ
ออกเดินทางกลับนครปฐม
ถึงนครปฐมโดยสวัสดิภาพ
หมายเหตุ กำหนดการนอ้ี าจเปลี่ยนแปลงไดต้ ามความเหมาะสม
๓
สวนนงนชุ พัทยา
ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีพื้นที่กว่า ๑,๗๐๐ ไร่ ได้รับการยกย่องให้ติด
๑ ใน ๑๐ ของสวนที่สวยที่สุดในโลก สวนนงนุช มีการโชว์การจัดสวนแบบต่าง ๆ
อันเป็นศิลปะการจัดสวนจากทั่วมุมโลก แต่หาใช่แต่ความสวยงามจากพรรณไม้
สวนนงนุชยังเป็นสวนพฤกษชาติทีไ่ ด้ยอมรับจากนักพฤกษศาสตร์จากทั่วโลกวา่ เปน็
แหลง่ รวมรวบพันธไุ์ มท้ สี่ ำคญั ท่ใี หญ่มากท่ีสุดในเอเชยี และตดิ อนั ดับโลก
ชมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด บางชนิดหาชมได้ยากยิ่ง ไม่มีอยู่โดยทั่วไป
เช่น สวนกล้วยไม้ สวนสับปะรดสี สวนบอนไซ สวนตุ๊กตากระถาง สวนฝรั่งเศส
สวนเนินลายผีเสอ้ื สโตนเฮนจ์ ศาลาเทวดารวมถงึ สวนสัตวข์ นาดเลก็ เปน็ ต้น
๔
วัดญาณสังวราราม
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร
ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ตัง้ อยู่เลขท่ี ๙๙๙
ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง
จงั หวดั ชลบรุ ี มีสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้
กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระนามเดิม
เจริญ คชวัตร เป็นสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสงั ฆปริณายก พระองค์ ท่ี ๑๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธาน
จัดสรา้ งวัด และทรงต้ังช่ือวัดตามสมณศักดเิ์ ดมิ ของพระองค์ (สมเดจ็ พระญาณสงั วร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ว่า “วัดญาณสังวราราม” เขตพุทธาวาส
ประกอบดว้ ย ศาสนสถานต่าง ๆ ไดแ้ ก่ พระอโุ บสถ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์
พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร. สก. ศาลา สว. กว. ศาลา มวก. สธ. ศาลาสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระปกเกล้าอริยเขต และอริยาคารพระเจดยี ์พุทธคยา
จำลอง วิหารพระศรีอริยเมตไตรย รวมถึงพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาส ศาสดาท่ี
เขาชจี รรย์ ก็ถอื วา่ อยูใ่ นเขตพุทธาวาสเช่นกัน สำหรับศาสนสถานและหมู่อาคารในเขต
พุทธาวาสนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความตั้งใจสร้างเพื่อน้อมถวายและเทิดทูนอดีต
บูรพมหากษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมถึง
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว รัชกาลท่ี ๙ และพระบรมราชจกั รวี งศท์ ุกพระองค์
๕
อเนกกุศลศาลา
วิหารเซียน เป็นแหล่งเรียนรูท้ ี่รวบรวมงานศิลปะของไทย-จีน ที่สำคัญ
อาคารมีสถาปัตยกรรมเป็นวิหารแบบจีนและมีศาลาแบบเก๋งจีนอยู่โดยรอบ มีการ
จัดวางตำแหน่งสิ่งปลกู สร้างในทศิ ทางถกู ตอ้ งตามหลักวิชาภูมลิ ักษณ์ หรือ "ฮวงจุ้ย"
ตามความเชื่อของคนจีน วิหารเซียน มีชื่อภาษาจีนว่า "ต้า ผู่ อี่" ก่อสร้างเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๓๑ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๙ ในวาระทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ โดยอาจารย์สง่า
กุลกอบเกียรติ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ก่อสร้างวิหารเซียนขึ้นในบริเวณ
โครงการพัฒนาพื้นที่วัดญาณสังวราราม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยการ
ดำเนินงานได้รับพระราชทานฤกษ์ในการก่อสร้างและพระราชทานนามอาคารว่า
"อเนกกุศลศาลา" จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พระองค์ฯ ได้
เสด็จพระราชดำเนินฯ ทรงเปิดเมื่อวนั ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ภายในบริเวณ
ประกอบด้วย หอกลาง หรือ หอเซียน เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อปิดทองของลื้อท่งปิง
พิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะจีนและวัตถุโบราณล้ำค่ารูปสลักหินแกรนิตแสดงท่า
การตอ่ สจู้ ากจีน เป็นตน้
๖
หาดแมพ่ มิ พ์
ชายหาดแหลมแม่พิมพ์ หรือหาด
แม่พิมพ์ที่นักท่องเที่ยวเรียกกันน้ัน
เปน็ ชายหาดชอ่ื ดังแหง่ หนึง่ ของจังหวัด
ระยอง ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยว
พักผ่อนกันมากตลอดทั้งปี ชายหาด
แหลมแม่พิมพ์มีธรรมชาติสวย หาดทราย
ที่ทอดยาวราว ๔ กิโลเมตร ช่วงต้น
ของหาดติดต่อกับหาดวังแก้วคอ่ นข้าง
เงียบสงบ หาดทรายกว้าง ร่มรื่นด้วยทิวสนและต้นหูกวาง มีศาลาพักผ่อนชมวิว
ตั้งอยูเ่ ป็นระยะ ๆ เปน็ การเลน่ นำ้ ทะเลและพักผอ่ นกบั ธรรมชาตทิ ี่แทจ้ รงิ ตั้งแตช่ ่วง
กลางหาดไปจนสุดชายหาดแหลมแม่พิมพ์เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งของแหล่ง
ท่องเทย่ี ว มรี สี อร์ท รา้ นอาหารทะเล ร้านค้าและบรกิ ารต่าง ๆ ทรี่ องรับและอำนวย
ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว แต่ก็ยังคงความสวยงาม ร่มรื่น หาดทรายกว้างขวาง
เล่นน้ำไดเ้ ป็นอยา่ งดี สมเป็นหาดทรายยอดนิยมแหง่ หนึง่ ของจงั หวัดระยอง
ถนนเลียบชายหาดคุ้งวิมาน หรือ ชื่อ
อย่างเป็นทางการว่า ถนนเฉลิมบรู พาชลทติ
เป็นถนนที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในภาค
ตะวันออก เนื่องจากว่าเป็นถนนเลียบ
ชายหาดของจังหวัดจันทบุรีผ่านหาด
คุ้งวิมาน อ่าวคุ้งกระเบน หาดแหลมสงิ ห์
ทั้งสองฝั่งถนนติดทะเล และภูเขาไม่ค่อยมีรีสอร์ทมาคั่นกลาง ตัวถนนโค้งไปตาม
ภูเขา และทะเล ผ่านจุดชมวิวสวย ๆ หลายแห่งเช่น หาดแหลมสน ปากแม่น้ำ
จันทบุรี จุดชมวิวเนินนางพญา ฯลฯ ถนนเส้นนี้เป็น ๑ ใน ๑๐ สถานที่ท่องเที่ยว
ของ Dream destinations ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแนะนำ ระหว่างทาง
แวะชมวิวทีจ่ ุดชมววิ นางพญา
๗
เจดียก์ ลางนำ้ บ้านหัวแหลม
อยใู่ กล้กับเนินนางพญา แค่ขบั รถลงมาจากเนินฯ ประมาณ ๓๐๐ เมตร
มาเดินชมวิวทะเลสวย ๆ บนสะพานไม้ที่ทอดยาวกลางน้ำทะเลใส ๆ ระยะทาง
ประมาณ ๕๐ เมตร สะพานนี้สร้างขึ้นโดยชาวบ้าน เพื่อเป็นทางเดินไปสักการะ
เจดยี ์กลางนำ้ อายกุ วา่ ๒๐๐ ปี ซ่งึ สรา้ งขึ้นเปน็ ทีย่ ึดเหนย่ี วจติ ใจชาวประมงตัง้ อยู่บน
โขดหินกลางทะเลสวยงาม บริเวณสะพานนี้สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและ
พระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจน มีนักท่องเที่ยวสามารถมามาชมวิถีชีวิตชาวประมง
ของหมู่บ้านหัวแหลม มีสัตว์ทะเลสด ๆ ไว้บริการในราคาจับต้องได้ ปลาหมึกย่าง
ไข่ปลาหมึก และน้ำจิ้มแซ่บ ๆ ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวลงไปที่เจดีย์ระหว่างเวลา
๖ โมงเชา้ ถึง ๖ โมงเยน็
๘
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพิพิธภัณฑ์ค่ายตากสนิ
ศาลสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชเดิม
เป็นศาลไม้อยู่ข้างศาลหลักเมืองจันทบุรี ปี
พุทธศักราช ๒๔๖๓ หม่อมเจ้ามหิเดชชยางกูร
สมุหเทศาภิบาลจันทบุรี ได้สร้างศาลข้ึน
หน้าค่ายทหารกองพันนาวิกโยธิน (ค่ายตากสิน)
อาศัยอาคารคอนกรีต สี่เหลี่ยมจตุรมุขมีบันใด
ด้านหน้าและด้านข้างรวม ๓ ด้าน ภายใน
ประดิษฐานเทวรูป ที่กล่าวว่าเป็นเทพเจ้า
ประจำองค์พระเจ้าตากสิน กรมศิลปากรเป็น
ผูอ้ อกแบบ
บริเวณใกลก้ บั ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสนิ เปน็ ทต่ี ง้ั ของพพิ ิธภัณฑค์ า่ ยตากสนิ ภายใน
มีพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพลอยเเดงที่พิพิธภัณฑ์ ค่ายตากสิน
จังหวัดจันทบุรี สง่างามสมพระเกียรติ เป็นพระบรมรูปองค์แรกในโลกที่หล่อด้วย
พลอยเเดง เปดิ ใหป้ ระชาชนเขา้ ถวายสักการะไดร้ ะหวา่ งเวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น.
๙
อาสนวหิ ารพระนางมารอี า
อาสนวิหารพระนางมารีอา
ปฏิสนธินิรมล เป็นอาสนวิหารประจำ
มิสซังโรมันคาทอลิกจันทบุรี ตั้งอยู่
บริเวณริมคลองจันทบุรี ตรงข้าม
ชุมชนเก่าแก่จันทบูร ตำบลจันทนิมิต
อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี วิหาร
ปัจจุบันนี้เป็นหลังที่ ๕ ซึ่งบาทหลวง
เอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์ ชาวฝรั่งเศส
ได้ทำพิธีเสกขึ้นในวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๒ และก่อสร้างขึ้นโดยคุณพ่อเปรี
กาล เดิมวิหารติดยอดแหลมบริเวณหอระฆังทัง้ ๒ หอ แต่ในช่วงสงครามโลกคร้งั ที่
สอง ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ทางรัฐบาลได้มคี ำสั่งให้ทำการรือ้ ออกด้วยเหตผุ ลว่าจะเป็นเป้า
ทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบ จนภายหลังสงครามยุติก็ได้นำมาติดตั้งอีกครั้งในวันท่ี
๑๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ วหิ ารแห่งน้มี อี ายรุ วมแลว้ กว่า ๑๐๙ ปี
ชุมชนเกา่ แมน่ ้ำจันทบูรณ์
ชุมชนเกา่ แก่ริม แมน่ ้ำจนั ทบรุ ี ซึง่ ชาวจนี และญวน ได้อพยพเข้ามาตงั้ ถ่นิ ฐาน
ตงั้ แตส่ มัยรตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น ตอ่ มาไดพ้ ฒั นามาเปน็ ศูนยก์ ลางทางเศรษฐกิจและ
การค้าของจันทบุรีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทำใหเ้ รียกได้ว่าเป็นเมอื งเกา่ ท่เี คยเจริญรงุ่ เรอื ง ในชว่ งท่ี มีการค้าขยายตัว มจี ำนวน
ประชากรอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานช่ัวคราวในย่านนี้ถึงปีละ ๑๐๐ คนเศษ มีพ่อค้าต่างถ่ิน
อาทิ แขก กหุ ลา่ พมา่ เข้ามาตัง้ ร้านค้าช่วั คราวรวมท้งั มพี อ่ ค้าเร่จากบอ่ พลอยไพลิน
บ่อนาวง ที่มาซื้อขายสินค้าตา่ ง ๆ และนำพลอยมาขายปีละนบั พันคน ปี พ.ศ. ๒๔๕๑
จึงไดป้ ระกาศพระราชบัญญตั ิสขุ าภิบาลให้เป็นเมอื งแหง่ แรก
๑๐
วัฒนธรรมการตั้งบ้านเรือนหรือ ร้านค้า
ที่หันหลังให้แม่น้ำ หันหน้าเข้าสู่ถนน
บ้านเรือนเป็นเรือนติดดิน นิยมสร้าง
เป็นเรือนหลังใหญ่ทรงจั่ว ใช้วัสดุใน
ท้องถิ่นก่อสร้าง อาทิ ไม้แฝก ใบจาก
นิยมยื่นชายคาออกมาเพื่อเป็นร้านค้า
ติดระเบียงทางเดิน ด้านหน้าตาม
ลักษณะที่เป็นพักอาศัยกึ่งพาณิชย์อัน
เป็นลักษณะวัฒนธรรมการค้าขายของ
ชาวจีน
ชมุ ชนขนมแปลกจันทบุรี
ชุมชนขนมแปลก ริมคลองบัว ถือเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวแสนเก๋ของจังหวัด
จันทบุรี มีลักษณะเปน็ ชุมชนเก่าแกท่ ่ียังคงเอกลักษณข์ องตวั ชุมชนมาเป็นเวลากว่า
๑๐๐ ปี นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวท่ีนีจ่ ะได้สัมผัสกับวิถีชวี ติ ชุมชน บ้านเรือน
ไม้อาคารเก่าแก่ประดับด้วยลวดลายฉลุสวยงาม ที่สำคัญในทุกวันเสาร์-อาทิตย์
นักท่องเที่ยวจะได้แวะเดินชิม
ขนมโบราณอร่อย ๆ ที่หาทาน
ได้ยากอีกด้วย เช่นก๋วยเตี๋ยว
ลุงยวย, ขนมติดคอ, ข้าวเหนยี ว
เหลือง เจ้นุช, ขนมอี๋ น้ำเยี่ยว
วัว, ส้มตำทอด, ปาท่องโก๋, กุ้ง
แห้งย่าลุ่ย, โรงน้ำอ้อยยายอี๊ด,
บ้านส้มตำท่าม่วง หรือโรงงาน
นำ้ ออ้ ย เปน็ ต้น
๑๑
ถนนยมจนิ ดา
ถนนยมจินดาเป็นถนน
เก่าแก่ที่ทอดตัวยาวขนานไป
กับแม่น้ำระยอง เป็นแหล่ง
การค้าและเศรษฐกิจแห่งแรก
ของเมืองระยองชวนชมิ อาหาร
รสเลิศดั้งเดิม ชมบ้านโบราณที่
น่าสนใจ ถือเป็นต้นกำเนิด
ประวัติศาสตร์เมืองระยองมา
ยาวนานคงเปรียบเสมือนผู้เฒ่าที่เหลือเพียง ลมหายใจรวยริน เดินเที่ยวตลาดเก่า
เมืองระยองยามคำ่ ดื่มดำ่ อาหารเครอ่ื งดม่ื และบรรยากาศเก่า ๆ ทแ่ี ฝงไปดว้ ยเสน่ห์
นา่ ค้นหา เปน็ ความสขุ แบบเรยี บง่าย
พิพธิ ภัณฑ์เมืองระยอง
พิพิพิธภัณฑ์ เกิดจากความตั้งใจของ
กลุ่มชมรมอนุรักษ์ฟื้นฟเู มืองเก่าระยอง
ใหเ้ ปน็ ที่รวบรวมของเกา่ ของดขี องเมือง
ระยอง ทั้งภาพถ่ายโบราณหาชมยาก
ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่แสดงถึงชีวิต
ความเป็นอยู่ของชาวระยองในอดีต ตัว
พิพิธภัณฑ์ได้รับการเอื้อเฟื้อสถานที่ให้
ใช้พื้นที่ของบ้านสัตย์อุดม บ้านเดิมของขุนศรีอุทัยเขตร์ (โป๊ง สัตย์อุดม) เจ้าของ
โรงสี โรงหนงั และอูต่ อ่ เรือในอดีต
๑๒
บางแสน-อ่างศิลา
เส้นทางระหว่างอ่างศิลา-บางแสนนั้น อยู่ติดริมทะเล จะมีช่วงที่สามารถลง
เล่นน้ำทะเลได้ มีทำเลที่ตั้งที่ดีลมพัดเย็นสบายแทบจะตลอดเลย อีกทั้งยังมี
รา้ นอาหารทะเลเรยี งรายกันอยู่บนเสน้ ทางน้ี ซึง่ แน่นอนว่า อยูต่ ดิ ทะเลแบบนี้ มีชื่อ
ในเรื่องความสด รสชาติดี ของอาหารทะเลอยู่แล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ของชาวไทย มีถนนตัดเลียบชายหาด ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้านอาหาร ที่พัก เครื่อง
เล่นต่าง ๆ ให้เช่า และห้องอาบน้ำจืด ในอดีตนั้นชาวบ้านเรียกพื้นที่อ่างศิลาใน
ปัจจบุ ันวา่ "อา่ งหิน" เพราะมหี นิ กอ้ นใหญอ่ ยู่มาก ต่อมาได้มกี ารเปล่ียนชอื่ ให้กลาย
มาเป็นอ่างศลิ า ด้วยเหตุผลที่วา่ "เรียกชื่อวา่ อา่ งศิลานั้น เพราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูก
เนิน มีศิลาก้อนใหญ่ ๆ เป็นศิลาดาด และเป็นสระยาวรี อยู่ ๒ แห่ง ๆ หนึ่งลึก ๗
ศอก กว้าง ๗ ศอก ยาว ๑๐ วา แหง่ หนง่ึ ลึก ๖ ศอก กวา้ ง ๑ วา ๒ ศอก ยาว ๗ วา
เป็นที่ขังน้ำฝน น้ำฝนไม่ร่ัวซมึ ไปได"้ นอกจากผลิตภณั ฑท์ ่ีทำด้วยหินแล้ว อ่างศิลา
ยังถือเปน็ ท่รี ับลมชมทะเลได้เชน่ กัน เปน็ ตวั เลอื กทีค่ อ่ นข้างเงยี บสงบหน่อย
๑๓
เจา้ แม่เขาสามมุข
มหี ญงิ สาวมกุ เป็นชาวบา้ นยากจน กบั หน่มุ แสนลูกกำนันบา้ นอ่างหนิ ผู้ร่ำรวย
จุดเริ่มต้นของความรักเกิดจาก วันหนึ่งสาวมุกได้เก็บว่าวของหนุ่มแสนที่หลุดลอย
มาได้ หนมุ่ แสนจึงมอบว่าวนน้ั ให้เปน็ ทรี่ ะลึก ต่อมาทง้ั คกู่ ไ็ ด้รกั กัน แต่ทางบ้านของ
หนุ่มแสนกีดกันสาวมุขเพราะฐานะที่ยากจน หนุ่มแสนถูกบังคับให้แต่งงานกับ
ผู้หญิงที่จัดเตรียมไว้ให้ สาวมุขเสียใจมากจึงได้พลีชีพกระโดดหน้าผาและตกตาย
เม่ือหนมุ่ แสนทราบเรอ่ื งก็กระโดดหน้าผาฆ่าตวั ตายตาม ชาวบ้านจึงตงั้ หนา้ ผานั้นว่า
สามมขุ และหาดดา้ นลา่ งจงึ ต้ังวา่ หาดบางแสน ต่อมาจึงได้สรา้ ง ศาลเจา้ แมส่ ามมขุ
เปน็ ศาลเจา้ แบบจีน เพ่ือเป็นอนุสรณแ์ ห่งความรกั ของท้งั สอง
๑๔
“สำรับอาหารภาคตะวันออก” ในฐานะมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม :
ความกลมกล่อมของสังคมพหุวัฒนธรรมกับการสรา้ งตวั ตน
ในสมรภูมิการทอ่ งเท่ยี วเชิงอาหารของไทย
"Eastern Thai Cuisine" as an Intangible Cultural Heritage :
The Harmony of Multicultural Society and Identity Formation in
the Gastronomy Tourism Battlefield of Thailand
อภิลกั ษณ์ เกษมผลกลู 1
Aphilak Kasempholkoon
1 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
๑๕
บทคดั ย่อ
การศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาสำรับอาหารพื้นเมืองของชาวเมืองชายทะเล
ฝง่ั ตะวันออก ได้แก่ จงั หวัดชลบุรี ระยอง จนั ทบุรี และตราด มวี ัตถุประสงค์ในการ
สืบสวนทวนความที่มาของวัฒนธรรมอาหารในภาคตะวันออกที่เป็นผลจาก
ปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชนต่างๆ ในภาคตะวันออกจนเกิดเป็นสำรับอาหารท้องถ่ิน
รวมถึงการวิเคราะห์ความพยายามในการสรา้ งตัวตนความเป็น “สำรับอาหารภาค
ตะวันออก” ในท่ามกลางการแข่งขันของการการท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทย
การศกึ ษาครั้งน้ีเป็นการวิจยั เชิงคณุ ภาพ โดยเก็บขอ้ มลู จากเอกสารและงานวิจัยใน
ฐานข้อมูลของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา
พบว่า สำรับอาหารในภาคตะวันออกเกิดจากการผสมผสานและปรับประยุกต์มา
จากอาหารของกลุ่มชนต่างๆ ที่สำคัญในภาคตะวันออก ได้แก่ ชาวชอง ชาวลาว
ชาวไทย ชาวจีน ชาวมลายูและชาวญวน การปรับประยุกต์ดังกล่าวนำมาสู่การ
สร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารที่สำคัญของภาคตะวันออก อาหารดังกล่าวนำมาสู่การ
พัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่สำคัญในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็น
ความพยายามในการยกระดับสำรับอาหารภาคตะวันออกให้โดดเด่นในท่ามกลาง
การแข่งขนั ของตลาดการท่องเที่ยวเชงิ อาหารของไทย
คำค้น (keywords) : สำรับอาหารภาคตะวันออก, มรดกภูมิปัญญาทาง
วฒั นธรรม, การท่องเทยี่ วเชงิ อาหาร,สังคมพหวุ ัฒนธรรม
๑๖
1. ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา
หากจะกล่าวถึงอาหารเมืองชายทะเลคนส่วนใหญ่มักถึงอาหารทะเล
จำพวกที่ปรุงอย่างง่ายไม่ซับซ้อนเช่น ปิ้ง ย่าง ลวก มักเรียกรวมว่า “ซีฟู้ด”
(seafood) หากแต่เมื่อจำกัดขอบเขตให้แคบลงว่าเป็นอาหารเมืองชายทะเล
ตะวันออก ภาพของอาหารตะวันออกในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่อาจจะต่างไป
จากกลุม่ จำพวก “ซฟี ูด้ ” ข้างต้น และต่างไปจากอาหารเมืองชายทะเลปกั ษ์ใต้ เช่น
ผัดเส้นจันท์ ของเมืองจันทบุรี ฮ่อยจ๊อ ของเมืองชลบุรี แกงป่าแสนตุ้ง ของเมือง
ตราด แกงสม้ ผกั กระชบั ของเมืองระยอง หรอื อาหารขนึ้ ช่ือร่วมกันของเมอื งระยอง
จนั ทบุรี และตราด คือ แกงหมชู ะมวง
“สำรับอาหารภาคตะวันออก” ดังกล่าวมาข้างต้นเป็นมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage) ที่สำคัญ โดยนับเป็นมรดกภูมิ
ปัญญาทางวัฒนธรรมประเภทองค์ความรู้ทางธรรมชาติและจักรวาล สำรับอาหาร
ภาคตะวันออกเป็นผลมาจากความอุดมสมบูรณข์ องทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาเป็น
วัตถุดิบในการปรุงอาหาร ทั้งอาหารจากทะเล ป่าชายเลน และแหล่งน้ำจืด ผลไม้
พืชผลทางการเกษตร ซึ่งถือเป็นเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว
ประทับใจนอกเหนือไปจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมในภาค
ตะวันออก สิ่งนี้เองนำมาสู่การปรับกลยุทธ์ในการท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวเชิง
อาหารในภาคตะวันออก ดังปรากฏในแผนปฏิบัติการส่งเสริมการตลาดปี 2564
ของการทอ่ งเที่ยวแหง่ ประเทศไทย (กองตลาดภาคตะวันออก) กลยทุ ธ์ที่ 1 กระตุ้น
การเตบิ โตของนักทอ่ งเทยี่ วภายในประเทศอยา่ งสมดุล แผนงาน 1.1 กระตุน้ ความถ่ี
ในการเดินทางสัมผัสคุณค่าแบรนด์ประเทศไทย โดยมุ่งนำเสนอสินค้าและบริการ
ด้านการท่องเที่ยวทีส่ ร้างคุณค่าประสบการณ์ สร้างสรรค์ประสบการณ์เรียนรู้จาก
วัตถุดิบ อาหารทะเล ผลไม้ภาคตะวันออก พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการ
๑๗
ท่องเท่ียวด้านอาหาร นำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออก
เพื่อสร้างการรับรู้สินค้าและบริการด้านอาหารภาคตะวันออกในแนวคิด Food
Fruit for Fun โดยมีเป้าหมายเพื่อเสนอขายอาหารทะเลและผลไม้ เส้นทาง
ทอ่ งเทย่ี วด้านอาหาร กจิ กรรมดา้ นอาหารและผลไม้ ท่พี กั คาเฟ่ ทะเล เกาะ แหล่ง
ท่องเที่ยวเชิงเกษตร แหล่งทอ่ งเท่ียวเพ่ือการเรียนรกู้ จิ กรรมและเทศกาลอาหารภาค
ตะวนั ออก
การท่องเที่ยวเชิงอาหารในปัจจุบันได้รับการขับเคลื่อนจากการเติบโต
ของเทคโนโลยี สื่อออนไลน์เป็นส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง
อาหาร โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวในการ
ค้นหาข้อมูล แหล่งท่องเที่ยว เส้นทางท่องเที่ยวชิมอาหาร แหล่งผลิตอาหารที่เปน็
ต้นฉบับ ร้านอาหารแนะนำ เมนูแนะนำท้องถิ่น เป็นต้น โดยการท่องเที่ยวเชิง
อาหารที่โดดเด่น ระดับโลกเช่น เส้นทางชิมไวน์ ทัวร์ชิมอาหารของญี่ปุ่นการ
ท่องเที่ยวชิมผลไม้ในสวนภาคตะวันออก หรือแม้แต่การเข้าร่วมในเทศกาลกินเจ
เป็นต้น ทั้งนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ท่องเที่ยวเชิงอาหารของโลก ที่องค์การ
ท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ได้แสดงให้เห็นว่า การท่องเที่ยวเชิงอาหารสร้างรายได้มี
มูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านเหรียญสหรฐั ฯ โดยนักท่องเที่ยวชาวตา่ งประเทศทีน่ ิยม
รูปแบบการท่องเทีย่ เชิงอาหารมากท่ีสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี
โดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่มีการใช้จ่ายด้าน
อาหารมากที่สุด กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่สำคัญ มีรูปแบบกิจกรรมการ
ท่องเที่ยวแบบการเยี่ยมชมและชิมอาหาร เข้าเรียนทำอาหารรับประทานอาหาร
แบบทอ้ งถิ่น และการซื้อทัวร์ท่องเทีย่ วเก่ยี วกบั อาหาร ปจั จุบันไดร้ บั ความสนใจจาก
นักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความตื่นตัวในการรื้อฟื้นและพัฒนาตำรับ
อาหารโบราณหลายชนิด ตอ่ มาไดน้ ำมรดกภูมปิ ัญญาดังกล่าวมาสร้างสรรค์เป็นทุน
ทางวัฒนธรรมเพ่อื การทอ่ งเที่ยวจนกลายเปน็ แหล่งท่องเท่ยี วเชงิ อาหารทีส่ ำคญั แหง่
หนง่ึ ของประเทศ (พรรณี สวนเพลง และคณะ,2559: 38-39)
๑๘
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับ
นโยบายเร่อื งอาหารและการท่องเทย่ี วเชิงอาหาร เพ่ือดึงดดู นกั ท่องเที่ยวให้กลับมา
ภายหลังจากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจอันเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
ทั่วโลก ซึ่งจากการวิเคราะห์ของภาคธุรกิจมองว่าท่ามกลางสถานการณ์ความไม่
แน่นอนในอนาคต หากไทยยงั ตอ้ งการรักษาความสามารถในการแข่งขนั ในด้านการ
ท่องเที่ยวต่อไปภายหลังโควิด-19 จำเป็นต้องสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่
(Alternative Tourism) ที่เพิ่มเติมขึ้นมาและหนึ่งในนั้นคือ “การท่องเที่ยวเชิง
อาหาร” เพราะรายได้จากการท่องเท่ยี วไทยทั้งหมดกว่า 20% มาจากคา่ ใชจ้ า่ ยดา้ น
อาหาร (ณชา อนันต์โชติกุล และคณะ, 2564: 7-8) และเมื่อทุกคนเห็นโอกาสทาง
การตลาดร่วมกันจึงย่อมเกิดการแข่งขันเพื่อให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะไปสร้าง
ประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ของตน “สมรภูมิการท่องเที่ยวเชิงอาหาร” จึง
เกิดขึ้นและเกิดความพยายามในการหาจุดขายของตนเองซึ่งรวมถึงตลาดการ
ท่องเที่ยวเชิงอาหารในภาคตะวันออกด้วยเช่นกันที่พยายามรื้อฟื้นอาหารโบราณ
และตอกยำ้ อาหารยอดนิยมท่ีเป็นผลมาจากการมีกลุ่มคนหลากหลายกล่มุ อาศยั อยู่
มาแต่อดีตจนเป็นสังคมพหวุ ัฒนธรรมเพื่อนำเสนอให้แก่นักท่องเท่ยี ว
การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการสืบสวนทวนความที่มาของ
วัฒนธรรมอาหารในภาคตะวันออกที่เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชนต่าง ๆ ใน
ภาคตะวันออกจนเกิดเป็นสำรับอาหารท้องถิ่น รวมถึงการวิเคราะห์ความพยายาม
ในการสร้างตวั ตนความเป็น “สำรบั อาหารภาคตะวันออก”ในท่ามกลางการแข่งขัน
ของการการท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทย โดยมุ่งศึกษาสำรับอาหารพื้นเมืองใน
จังหวัดชายทะเลฝั่งตะวันออกรวม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี
และตราด เป็นสำคัญ
๑๙
2. เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง
จากการสำรวจเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำให้รับรู้ว่า แม้ว่าการ
ท่องเที่ยวเชิงอาหารจะโดดเด่น และปรากฏอยู่ในหลากหลายนโยบายของภาครัฐ
แต่การศึกษาวิจัยนับแต่งานวิจยั พื้นฐาน การวิเคราะห์สังเคราะห์ และการวิจัยเชงิ
ประยุกต์ที่เกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยวเชงิ อาหารยังมีจำนวนไม่มาก โดยส่วน
ใหญ่เนน้ การศึกษาเชงิ พื้นท่ี ดงั จะได้นำเสนอดังน้ี
2.1 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอาหารและ
การท่องเที่ยวเชิงอาหารในภาคตะวันออก
การศึกษาวิจยั เกยี่ วกับการท่องเทย่ี วเชิงอาหารที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่
เป็นการศึกษาที่มุ่งให้ความหมาย ประเมินศักยภาพ และให้แนวทางในการ
พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ดังเช่นงานของ ภัทรพร พันธุรี (2558). การจัด
กิจกรรมการทอ่ งเท่ียวเชิงอาหารโดยผา่ นประสบการณ์ของนกั ทอ่ งเท่ียวในประเทศ
ไทย, ณิชาพร ฤทธิบูรณ์ จินณพัษ ปทุมพร (2560) แนวทางการส่งเสริมการ
ท่องเที่ยวบนพืน้ ฐานอัตลักษณ์อาหารพื้นถิ่นอำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแกน่
,เบญจมาภรณ์ ชำนาญฉา.(2561) ศึกษาเรื่อง การท่องเที่ยวเชิงอาหาร: ศักยภาพ
และความได้เปรียบของประเทศไทย, กชกร จุลศิลป์ (2561) เรื่อง กลยุทธ์การ
จัดการการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารของนักท่องเที่ยวไทยใน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีงานในลักษณะเปรียบเทียบระหว่าง
วัฒนธรรม ดังเช่นในงานของ ณนนท์ แดงสังวาลย์ และประสพชัย พสุนนท์.
(2563). การทอ่ งเทยี่ วเชงิ อาหารในสังคมตา่ งวัฒนธรรม: ประเทศไทยและมาเลซีย.
ส่วนงานวจิ ัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอาหารในภาคตะวันออกพบงาน
ของ ญาดา ชอบทำดี และ นรินทร์ สังข์รักษา. (2562) เรื่อง รูปแบบการท่องเท่ยี ว
เชิงอาหารพื้นถิ่นชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก, ณรงค์ พลีรักษ์ และ ปริญญา นาค
๒๐
ปฐม. (2563). ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ในจังหวัดชลบุรี
ระยอง จันทบุรี และตราด นอกจากนี้ยังพบงานวิจัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิง
อาหารที่แยกเป็นรายจังหวัดหรือพื้นที่ ดังเช่นงานของนักรบ เถียรอ่ำ, ชัยยนต์
ประดิษฐศิลป์ (2556) การพัฒนาและการจัดการท่องเที่ยวเพื่อเศรษฐกิจชุมชน:
กรณศี ึกษา ตำบลปากน้ำประแส อำเภอแกลง จงั หวัดระยอง.
2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับอัตลักษณ์อาหารและอาหาร
ภาคตะวนั ออก
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับอัตลักษณ์อาหารส่วนใหญ่เป็นการ
นำเสนออัตลักษณ์ในรายภูมิภาคและในรายพื้นที่ ดังเช่นงานของ กฤตวิทย์ กฤตม
โนรถ และ ศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์. (2561) การท่องเที่ยวเชิงอาหารผ่านอัตลักษณ์
อาหารทั้ง 4 ภูมิภาค ผลการศึกษาพบว่า อาหารเป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญในแต่ละ
ภูมิภาค ซึ่งสามารถแบ่งการสร้างอัตลักษณ์ได้ 3 ประเภท 1. อัตลักษณ์ที่มี
ความสำคัญ 2. อัตลักษณ์ทางเลือก และ 3. อัตลักษณ์ในจินตนาการ ส่วน
การศกึ ษาอตั ลักษณอ์ าหารภาคตะวันออก พบการศึกษาไม่มาก ดังเช่นงานของ ทศ
พร หงษาชาติและสวรรยา ธรรมอภิพล. (2555) วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถน่ิ
ชมุ ชนชายฝง่ั ทะเล กรณศี ึกษาชมุ ชนคลองยี่รดั ตำบลบา้ นสวน อำเภอเมือง จงั หวัด
ชลบรุ ี,กนกวรรณ สาโรจน์วงศ์. (2560). ความนิยมในการบรโิ ภคอาหารทอ้ งถ่นิ ของ
ประชาชนในจังหวดั ตราด, กรกนก มาหยา. (2560) ความนยิ มในการบริโภคอาหาร
ทอ้ งถิ่นของประชาชนในจังหวัดจันทบรุ ี, เรณมุ าศ กุละศริ ิมา และคณะ (2561) กล
ยุทธ์การพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการ
ประกอบธุรกิจร้านอาหาร/ภัตตาคารและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเมืองพัทยา
จังหวัดชลบุรี, เปรมฤดี ทองลา. (2562) การศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
หนองบวั อำเภอเมอื ง จงั หวัดจนั ทบุรี
๒๑
2.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสังคมพหุวัฒนธรรมใน
ภาคตะวนั ออกกับอาหาร
เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกับสงั คมพหวุ ัฒนธรรมกับอาหารในภาค
ตะวันออกส่วนใหญ่ เป็นการศกึ ษาในลักษณะความสัมพันธร์ ะหว่างคนไทยกบั กลมุ่
ชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น เอนก รักเงิน. (2553) การสืบทอดและร่วมสร้างสำนึกทาง
วัฒนธรรมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง อำเภอเขาคิชฌกูฏ
จังหวดั จนั ทบุรี, กมลา ศรีเมือง (2558). วฒั นธรรมชองกับวิถเี กษตรกรรมพื้นบา้ น :
กรณีศึกษาชุมชนชองในอำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี, วงธรรม สรณะ และ
คณะ. (2563) ความหลากหลายทางชวี ภาพเชิงพื้นที่ทม่ี ีผลตอ่ การสร้างความม่ันคง
ทางอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง จังหวัดจันทบุรี นอกจากนี้ยังเป็นการศึกษา
ความสัมพันธ์ของระหว่างกลุ่มศาสนาต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่โดยมีอาหารเป็น
ส่วนหนึ่งในการหลอมรวม เช่น งานของจุฑารัตน์ เจือจื้น (2555) แนวทางการ
จดั การท่องเท่ียวทางวัฒนธรรม บา้ นนำ้ เชีย่ ว จงั หวัดตราด, ชลติ เฉยี บพิมาย, เฉลมิ
เกียรติ เฟื่องแก้ว และสุเมษย์ หนกหลัง (2563) กระบวนการจัดการท่องเที่ยวโดย
ชุมชนของชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดตราด, พระครูสมุห์ชินวรวัตร ถิรภทฺโท
(จุลเจือ) และ ศุภกิจ ภักดีแสน. (2565).การอยู่ร่วมกันในสังคมชีวิตวิถีใหม่ของ
ชมุ ชนพหุวัฒนธรรมริมฝัง่ แม่น้ำจันทบูร อำเภอเมือง จงั หวัดจนั ทบรุ ี
๒๒
3. ผลการศึกษา
ปจั จุบันการทอ่ งเทยี่ วเชิงอาหารมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
มีการเชื่อมโยงและสง่ เสริมสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทอ้ งถน่ิ จากการแข่งขันท่ีเพิ่ม
มากขึ้นรวมถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ทำให้อุตสาหกรรมการ
ท่องเทีย่ วเชิงอาหารในภาคตะวนั ออกตอ้ งมกี ารปรับตัวอยตู่ ลอดเวลา นกั ท่องเท่ียว
มคี วามตอ้ งการทจี่ ะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ซง่ึ ส่วนใหญจ่ ะเป็นประสบการณ์
ด้านเอกลกั ษณ์เฉพาะและวฒั นธรรมในแตล่ ะทอ้ งถ่นิ ทไ่ี ด้ไปเยอื น ทำใหท้ ้องถิ่นต้อง
กระตือรอื รน้ อยตู่ ลอดเวลา เนอ่ื งจากการแขง่ ขนั ด้านการทอ่ งเท่ียวเชิงอาหารมีเพิ่ม
มากขึน้ พฤติกรรมการบริโภคของนกั ท่องเทยี่ วเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส ในขณะ
ที่สื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่รวดเร็ว สามารถเข้าถึงได้
ทุกท่ที กุ เวลาไดเ้ ข้ามาสร้างกระแสให้เติบโดยิ่งขึ้น และถกู นำมาเป็นส่ือกลางในการ
สื่อสารผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารการกิน (ญาดา ชอบทำดี และ นรินทร์ สังข์
รักษา, 2562: 408-409)
สถานการณ์ข้างต้นนับเป็นผลมาจากการพัฒนาตามนโยบายประเทศ
ไทย 4.0 รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-
2564) ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทย
ผ่านการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรแบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming)
โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารร่วมไปกับการพัฒนากรรมวิธีการผลิตภาค
เกษตร มุ่งเน้นประสบการณ์การสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมท้องถิ่น และ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารทเ่ี ปน็ มิตรกบั สงิ่ แวดล้อมและอาหารเพื่อสขุ ภาพ
ด้วยเหตุนี้ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจึงทำให้สมรภูมิการทอ่ งเที่ยวเชงิ
อาหารของภาคตะวนั ออกชดั เจนมากขึ้น มีการแยกตัวจากความเป็น “อาหารภาค
กลาง” และแข่งขันอยูใ่ นท่ามกลาง “อาหารอีสาน”“อาหารเหนือ” และ “อาหารใต้”
๒๓
มีการออกร้านในกรุงเทพมหานคร ในเทศกาลอาหารต่างๆ ซึ่งแต่เดิมจะพบเพียง
ซมุ้ “อาหารภาคกลาง” “อาหารอสี าน” “อาหารเหนือ” และ “อาหารใต”้ ปัจจุบนั
มีป้ายซุ้ม “อาหารภาคตะวันออก” อย่างชัดเจน และมีการจัดงานเทศกาลอาหาร
ภาคตะวนั ออกอย่างแพร่หลายท้ังในพื้นที่ภาคตะวันออกและ นอกพื้นที่โดยเฉพาะ
ในกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ในบทความนี้ผู้วิจัยจะได้นำเสนอที่มาและตัวตนของ
อาหารภาคตะวนั ออกดงั นี้
3.1 กลุ่มชนในสังคมพหุวัฒนธรรมกับการ “ก่อร่าง” อาหารภาค
ตะวันออก
“สังคมพหุวัฒนธรรม“ (Multicultural Society) ตามเงื่อนไขทาง
ประชากร สังคมพหุวัฒนธรรมจะหมายถึงสังคมที่มีประชากรตั้งแต่สองกลุ่ม
วฒั นธรรมข้นึ ไป แตล่ ะกลมุ่ จะมลี กั ษณะวัฒนธรรมเป็นของตนเอง มีอตั ลักษณ์และ
ชุมชนของตนเอง แต่ในบางครั้งอาจมีลักษณะที่ซ้อนทับกันระหว่างกลุ่ม ซึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาจเป็นเรื่องของการพึ่งพิงทางอำนาจ หรื อเป็น
ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน (ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม
การศึกษา และอทิ ธพิ ลทางการเมอื ง)
(โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ, 2547 ; 137 อ้างใน แพร ศิริศักดิ์
ดำเกิง, 2549: 20) อย่างไรก็ตามนักวิชาการที่ให้ความสนใจสังคมพหุวัฒนธรรม
ไมไ่ ดใ้ หค้ วามหมายตอ่ ความหลากหลายเพียงแค่เปน็ ความหลากหลายของชาติพันธุ์
เท่านน้ั หากแต่หมายถึงสังคมทมี่ คี วามหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ุ
ชนกล่มุ นอ้ ยต่างๆ (แพร ศิริศักดด์ิ ำเกงิ , 2549: 20).
จากนิยามสังคมพหุวัฒนธรรมข้างต้น จะเห็นได้ว่าการรวมตัวของกลุ่ม
วัฒนธรรมย่อมทำให้การแสดงอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชัดเจนและเกิดเป็นความ
หลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ดังเช่นในภูมิภาคชายฝั่งทะเล
ตะวันออกที่มีกลุ่มชนหลากหลาย ส่งผลต่อความหลากหลายของวัฒนธรรมอาหาร
ดว้ ยเช่นกัน ทง้ั นเ้ี ป็นผลจากท่ีเมอื งชายฝ่ังทะเลตะวนั ออกลว้ นเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
๒๔
จึงทำให้มคี วามสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับประเทศตา่ งๆ รวมไปถึงการตั้งถิ่นฐานของ
คนหลากหลายเชอ้ื ชาติ นอกจากนสี้ ภาพภมู ิศาสตรข์ องเมอื งชายฝัง่ ทะเลตะวันออก
ยังมีภูเขาใหญ่และปา่ อันอดุ มสมบูรณจ์ ึงทำให้เป็นที่อยู่ของชนกลุ่มต่างๆ ด้วย โดย
จะไดจ้ ำแนกกลุ่มชนท่ีมีอิทธิพลต่ออาหารในภาคตะวนั ออกดังนี้
ก. กลมุ่ คนไทย คนไทยโดยส่วนใหญอ่ ย่พู ้นื ที่ราบลุ่มทำนา ทำประมงนำ้
จืดและประมงชายฝัง่ เป็นไทยพื้นถ่ินมาแตเ่ ดมิ บางส่วน และบางส่วนเปน็ คนไทยท่ี
ย้ายมาจากหวั เมอื งในภาคกลางในคราวสงครามเสียกรุงศรอี ยุธยา ดงั ในบันทึกของ
พระบริหารเทพธานี อดีตเจ้าเมืองตราด บันทึกว่า ถิ่นฐานของต้นตระกูลชาวตราด
นั้นไม่ได้อยู่ในจังหวัดนี้ แต่มีถิ่นวงศ์ตระกูลอยู่ทางบ้านลาดพลี (ราชบุรี) ชาวบ้าน
ลาดพลนี ไี้ ดพ้ ากันอพยพหนีกองทพั พมา่ มาหลายรอ้ ยครัว จะเปน็ สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา
หรือกรุงธนบุรีระบุไม่ได้แน่ชัด เมื่อพวกต้นตระกูลอพยพมาถึงเมืองตราด ซึ่งเวลา
นั้นเป็นปา่ อย่แู ตเ่ ป็นตำบลท่มี ีพลเมืองอยูแ่ นน่ หนากวา่ ท่ีอื่นๆ และมีคนไทยมากกวา่
ชาติอ่นื
ข. กลุ่มคนจีน นับเป็นกลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ในเมืองชายฝั่งทะเล
ตะวันออกใกล้เคียงกับคนไทย จีนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นจีนแต้จิ๋ว เดินทางมากับเรือ
สำเภาเพอื่ ค้าขาย ต่อมาได้อพยพเขา้ มาอยูเ่ พราะเห็นทำเลการทำมาหากินเล้ียงชีพ
มีทั้งที่ตั้งรกรากอยู่ตามเกาะต่างๆ และที่ทำการค้าที่ตลาดในเมือง นอกจากนี้ยังมี
จนี บางกลุ่มถูกกวาดตอ้ นมาเป็นคราวๆ เน่อื งจากไทยยกกองทพั ไปรบกบั ญวนและ
เขมร เม่ือสมยั กรุงธนบรุ ี และรตั นโกสินทร์
ค. กลุ่มคนแขกมลายู-แขมจาม เป็นแขกมลายูหรือแขกพวกเดียวกัน
กับแขกครัว ครัง้ แรกได้มาอยูท่ ี่ตำบลนำ้ เชย่ี วจังหวดั ตราด ตอ่ มาภายหลังมีจำนวน
มากข้ึนไดแ้ ยกยา้ ยไปอยูท่ ่ีต่างๆ ในเมืองตราดและจันทบุรี ท้ังน้ีปราฏในบันทึกของ
พระบริหารเทพธานีว่า เจ้าเมืองตราดยุคแรกเป็นแขก เรียกว่าเจ้าเมืองแขกด้วย
ภายหลังในสมัยรชั กาลที่ ๓ ตอนสงครามเขมรและญวน ครั้งนั้นทัพเรือเจ้าพระยา
พระคลังและทัพบกเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อได้ชัยชนะแก่หัวเมือง
๒๕
ต่างๆ ในประเทศเขมรและญวนแล้ว พลเมืองได้ถูกกวาดต้อนส่งข้ามาในพระราช
อาณาเขตสยามทีละคราวโดยทางทัพเรือเชื่อว่าคงถูกแยกย้าย แบ่งให้มาอยู่ใน
ตำบลนำ้ เช่ียว และแบ่งนำส่งไปทีก่ รงุ เทพฯ หรอื ทห่ี ัวเมืองอ่นื ๆ ในภาคตะวันออกบา้ ง
ง. กลุ่มคนญวน (เวียดนาม) คนญวนในเมืองตราดเข้ามาภาค
ตะวันออกครั้งใหญ่ ๒ คราว คือในคราวเมื่อองเชียงสือหนีจากกรุงเทพฯ มาโดย
เรอื ใบไดม้ าพกั ที่เกาะกดู จงั หวัดตราด อกี คร้งั หนึ่งคอื ถกู กวาดต้อนมาในคราวท่ไี ทย
ชนะสงครามกับญวน ทมี่ ีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแมท่ ัพแล้วได้
กวาดต้อนพลเมอื งมาซึง่ รวมถงึ ชาวญวนดว้ ย นอกจากน้นั จงึ ให้ไปอยจู่ งั หวดั จันทบุรี
ญวนทอี่ ยใู่ นจงั หวัดตราดและจันทบรุ ีน้ีพระบรหิ ารเทพธานีเชื่อวา่ มีเช้ือสายญวนกำ
ปอด (ในเมอื งเขมร)
จ. กลุ่มคนลาว ลาวกลุ่มใหญ่ในหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก คือ
จังหวัดชลบุรี ที่อำเภอพนัสนิคม เข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 มีพระบรมรา
ชานุญาตให้กลุ่มลาวอาสาปากน้ำมาสร้างภูมิลำเนาข้ึนในพื้นที่รกร้างระหวา่ งเมอื ง
ชลบุรกี บั เมอื งฉะเชิงเทรา โดยลาวบกุ เบกิ เมืองพนสั นิคม เปน็ ลาวเมอื งนครพนม
ฉ. กลุ่มคนชอง ชองเป็นชนพื้นเมืองของจังหวัดระยอง จันทบุรีและ
ตราด มีภูมิลำเนาอยูต่ ามชายแดนและเชิงเขารอยต่อไทย-กัมพูชา ทำมาหากินด้วย
การหาของปา่ ลา่ สตั ว์ ทำไร่ ทำนา และปลกู ตน้ กระวาน
กลุ่มชนเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสรรค์และถ่ายทอดมรดกทาง
วัฒนธรรมอาหารของตนต่อคนในภูมิภาคชายฝั่งทะเลตะวันออก ดังจะได้นำเสนอ
ดงั นี้
3.1.1 กลุ่มชนพ้ืนเมืองและไทยพื้นถิ่นกับอาหารภาคตะวันออก
(ชอง ไทย)
พื้นฐานของอาหารไทยคือสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยงเช่น ไก่ และอาหารป่า
ตอ่ มาเม่ือไดป้ ฏิสมั พนั ธ์กบั กล่มุ ชนพืน้ เมอื งคอื กลมุ่ ชอง ซึ่งมีความชำนาญในการหา
และใช้ของป่า จึงได้มีการผสมผสานจนกลายเป็นอาหารที่แสดงความเป็น
๒๖
ภาคตะวันออก คือ การใส่กระวาน และเร่วหอม ไปในอาหาร ดังที่ ธิติมา อุรพีพัฒ
นพงศ์ (2561) กลา่ ววา่ ผปู้ ลูกเร่วทสี่ ำคญั คือชาวชอง ทอี่ ยู่ในจังหวัดจันทบุรีอาศัย
อยู่หนาแน่นที่เขตอำเภอเขาคิชกูฏ ในอดีตชาวชองมีอาชีพในการเพาะปลูก
เครอื่ งเทศโดยเฉพาะกระวาน และเรว่ ต้งั แตส่ มยั รัชกาลท่ี 5 ก็ได้มกี ารกล่าวถึงชาว
ชองกบั เรว่ หอมไวแ้ ล้ว เมื่อคร้งั ทพี่ ระองคเ์ สด็จประพาสจนั ทบุรพี .ศ. 2419 ซ่ึงไดพ้ บ
ชาวชองดังที่มีการกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์ว่า “เร่วกระวานนี้มีแถวป่าสีเซ็นต่อ
เขตแดนกับเมืองพระตะบอง มีชนชาติหนึ่งเรียกว่าชองอยู่ในแถบป่าสีเซ็น พูด
ภาษาหนง่ี ต่างหากคล้ายๆ กนั กับภาษาเขมร ชอบลูกปดั และของทองเหลืองเหมือน
อย่างกระเหรี่ยงเมืองกาญจนบุรีเป็นกองส่วยเร่ว ส่วยกระวานขึ้นเมืองจันทบุรีกับ
ไทยบา้ ง กับญวนบา้ ง ไปเทย่ี วเก็บตามเขา และเนินที่ติดต่อกบั เขตแดนและป่าอ่ืนๆ
อีกก็มีคือ ป่าน้ำเขียว ป่าตะเคียนทอง และป่าไพรขาว แต่เร่วกระวานพวกนี้ พวก
สว่ ยไปเก็บมาสง่ ครบจำนวนแลว้ จึงได้ซอ้ื ขาย มนี ้อยมีมาก”
3.1.2 กลุ่มชนผู้อพยพย้ายถิ่นจากภัยเหตุความไม่สงบในบ้านเมือง
กบั อาหารภาคตะวันออก
(ลาว ญวน แขกมลาย)ู
กลุ่มชนผู้อพยพย้ายถิ่นจากภัยเหตุความไม่สงบในบ้านเมืองกับอาหาร
ภาคตะวันออก คือ กลุ่มลาว ญวน แขกมลายู กลุ่มเหล่านี้มีอิทธิพลต่ออาหาร
พื้นเมืองภาคตะวันออกไม่น้อย ตัวอย่างเช่น ขนมชื่อควยลิง (จันทบุรี) ซึ่งเล่าว่ามี
นิทานที่มาว่าแรกเรมิ่ ได้แรงบนั ดาลใจมาจากอวยั วะเพศลิง หรือ ควยตาอุย้ (ตราด)
มีนิทานเล่าว่าแรกเริ่มได้แรงบันดาลใจมาจากอวัยวะเพศของตาอุ้ย (อภิลักษณ์
เกษมผลกูล, 2551) ขนมชนดิ น้ีสนั นษิ ฐานว่าช่อื “ควยลิง” เปน็ ช่ือเก่ากอ่ นจะแผลง
เป็นชื่ออืน่ ทั้งนี้เนื่องจากพบว่าขนมดังกล่าวมีท่ีมาจากขนมกูบาฆูลิง ของมุสลิมใน
ปัตตานี
“กูบาฆูลิง” ในภาษามลายูถิ่น แปลเป็นภาษาไทยคือ “ควาย (กูบา)
กลิ้ง (ฆูลิง)” หรือ “ขนมเปียกปูนมลายู” เป็นสูตรขนมชาววัง นิยมทำในช่วง
๒๗
เทศกาลเดอื นรอมฏอน มีจำหนา่ ยในจังหวดั ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส (ชุมศักดิ์
นรารตั นว์ งศ์, 2561) ขนมน้ีเม่อื คราวทีก่ ลมุ่ แขกมลายมู าอยทู่ ่เี มืองจนั ทบุรี ตราด ได้
นำมาถ่ายทอดและต่อมามีการปรับและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนชื่อ กูบาฆูลิง
เรียกสน้ั ลงเหลือเพียง ฆลู ิง ต่อมาจงึ เพ้ียนเสียงเปน็ ควยลงิ และต่อมาจึงแต่นิทาน
เล่าในภายหลัง ขนมชนิดนี้เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นอิทธิพลของกลุ่มชนที่
อพยพมาในหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกที่มีต่ออาหารท้องถิ่นและกลายเป็น
อาหารทอ้ งถิน่ ยอดนยิ มในปจั จุบัน
รูปที่ 1 ขนมควยลิงเมืองจันทบุรี รปู ท่ี 2 ขนมกูบาฆลู ิง
(วสนั ตพ์ รรษ จำเรญิ นสุ ิต,2562)
3.1.3 กล่มุ ชนพอ่ ค้าวาณชิ ต่างชาติกบั อาหารภาคตะวันออก (จีน)
กลุ่มพ่อค้าที่สำคัญคือ กลุ่มชาวจีน (แต้จิ๋ว) ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ในภาค
ตะวันออกและมบี ทบาทสำคญั ต่อวัฒนธรรมอาหารด้วยเช่นกนั อาหารทคี่ นไทยเชอื้
สายจนี รับประทานในชวี ติ ประจำวันสว่ นใหญจ่ ะมรี สจดื ผดั แกงจืด ตม้ ตนุ๋ มักปรงุ
รสด้วยชีอิ๊ว น้ำซอส เต้าเจี้ยว อาหารจีนในภาคตะวันออกที่โดดเด่นคือ อาหารจนี
ของจังหวดั ชลบุรี สว่ นใหญ่คล้ายกับอาหารในชมุ ชนจนี ท่ัวไป ท้งั ของคาว ของหวาน
๒๘
ได้แก่ หฉู ลาม กระเพาะปลา ไสก้ รอก (กว๋ ยบะ) สว่ นของหวานหรือขนมที่ทำข้ึนอยู่
กับเทศกาล เช่น ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมจ้าง นอกจากนี้ยังมีเทศกาลกินเจ ที่มี
ความโดดเด่นดว้ ยเชน่ กัน
อย่างไรก็ตามอาหารจีนที่โดดเด่นและแสดงอัตลักษณ์ของชลบุรี คือ
ฮอ่ ยจ๊อ ซึ่ง ฮ่อยจ๊อ มาจากภาษาจนี แต้จิ๋วว่า หอยจ้อ หรือ โหยจ้อ คำว่า หอย หรือ
โหย แปลวา่ ป.ู สว่ นคำว่า จอ้ แปลวา่ พทุ รา. หอยจ้อ จึงมีความหมายตามตัวอักษร
วา่ ผลพุทราเนือ้ ปู ฮ่อยจอ๊ เปน็ อาหารของชาวจนี แต้จวิ๋ ทำจากเนื้อปูเป็นหลัก ผสม
กับหมูสามชั้นที่ต้มแล้วหั่นละเอียด ไข่ ต้นหอมซอย และแป้งสาลีเล็กน้อย ปรุงรส
ดว้ ยเกลือ นำ้ ตาล และพรกิ ไทย ห่อด้วยฟองเตา้ หู้เป็นแท่งยาว ใชป้ า่ นมัดเป็นปล้อง
ๆ นำไปนึ่งจนสุก ทิ้งให้เย็น แล้วห่ันตามรอยมัด จะได้ฮ่อยจ๊อเป็นลกู ๆ มีขนาดพอ
ๆ กับผลพุทรา เวลารับประทานต้องนำไปทอด จะได้ฮ่อยจ๊อที่กรอบนอกนุ่มใน
(สำนกั งานราชบณั ฑติ ยสภา, 2553) สิ่งนเ้ี ปน็ ตัวอย่างหนึ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงอิทธิพล
ของคนจนี ทีม่ ตี อ่ วฒั นธรรมอาหารชายฝงั่ ทะเลตะวันออก
3.2 “สำรับอาหารภาคตะวันออก” ในฐานะมรดกภูมิปัญญาทาง
วฒั นธรรม
องค์การการศึกษา วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ โดย
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับตอ้ ง
ไม่ได้ ให้คำจำกัดความของ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” หรือ “มรดกทาง
วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” (Intangible Cultural Heritage) ไว้ว่า หมายถึง การ
ปฏิบัติ การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครื่องมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และ
พื้นที่ทางวัฒนธรรมทีเ่ กีย่ วเน่ืองกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลุ่มชน หรือในบางกรณี
ปัจเจกบุคคลยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิ
ปัญญา ทางวัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งนี้ เป็นสิ่งซึ่ง
ชุมชนและกลุ่มชนสรา้ งข้ึนมาอย่างสม่ําเสมอ เพือ่ ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน
เปน็ ปฏสิ ัมพันธ์ของพวกเขาทมี่ ตี ่อธรรมชาตแิ ละประวตั ศิ าสตรข์ องตน และทำใหค้ น
๒๙
เหล่านั้นเกิดความภูมิใจในตัวตนและความรู้สึกสืบเนื่องก่อให้เกิดความเคารพต่อ
ความหลากหลายทางวฒั นธรรม และการคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ (กลุม่ สงวนรักษา
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม , สถาบันวัฒนธรรมศึกษา, 2559: 89.) ทั้งนี้มีการ
แบง่ ประเภทของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม 5 ประเภทได้แก่
(ก) ประเพณีและการแสดงออกของมุขปาฐะ รวมถึงภาษาในฐานะ
พาหะของมรดกวฒั นธรรมทีจ่ ับตอ้ งไมไ่ ด้
(ข) ศิลปะการแสดง
(ค) แนวปฏบิ ัตทิ างสงั คม พิธกี รรม และงานเทศกาลตา่ งๆ
(ง) ความร้แู ละวถิ ปี ฏบิ ตั เิ กี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
(จ) ฝมี อื ชา่ งแนวประเพณนี ยิ ม (ดั้งเดมิ )
อาหารเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม (ง) ความรู้
และวิถีปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งครอบคลุมทั้งองค์ความรู้ วิธีการ
ทักษะ ความเชื่อ แนวปฏิบัติและการแสดงออกที่พัฒนาขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์
ระหว่างคนกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ โดยนัยนี้มุ่งเน้น
การให้ความสำคัญของอาหารและโภชนาการ ในฐานะสิ่งที่มนุษย์บริโภค และเน้น
การสงวนรักษาองค์ความรู้ทั้งวิธีการปรุงอาหาร วิธีการบริโภค และคุณค่าของ
อาหาร
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในการจัดประเภทอาหารจะจัดอยู่ในข้อ (ง) แต่มรดก
ประเภทนี้ก็ยังตรงกับข้ออื่นด้วย เช่น (ค) แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงาน
เทศกาลต่างๆ ซึ่งในการขึ้นทะเบียน ICH ของยูเนสโกไม่ได้กำหนดให้ต้องเลือก
ประเภทใดประเภทหน่งึ ดงั เชน่ ในกรณกี ารขนึ้ ทะเบยี น "วาโชก"ุ (Washoku) ซ่ึงคือ
การปรุงอาหารตามแบบฉบบั ของชาวญ่ีปนุ่ ท่จี ะใชเ้ ครอ่ื งปรุงตามฤดกู าล ผสานกับ
รสชาตแิ ละรูปแบบในการกินอาหารแบบพ้ืนเมอื งของชาวญปี่ ุ่นทมี่ ีมานานนับร้อยปี
เสนอในฐานะ (ค) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกโลกภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรม” ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
๓๐
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 โดยได้รับการจารึกว่า “วาโชกุ (Washoku),
วัฒนธรรมการกินแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น, โดยเฉพาะการเฉลิมฉลองปีใหม่”
(UNESCO, 2013, para 1)
สายป่าน ปรุ วิ รรณชนะ (2553: 65) สรปความปาฐกถาของ วรรณี วิบลู
สวัสดิ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งกล่าวถึง มาร์วิน แฮร์ริส (Marvin Harries) ผู้แต่งหนังสือ
Good to Eat ทกี่ ลา่ ววา่ มนุษยเ์ ป็นสิง่ มชี ีวิตประเภท omnivorous คอื กนิ อาหาร
ท้งั ท่ีเปน็ เนอ้ื สตั ว์ และประเภททีเ่ ป็นผกั รา่ งกายของมนษุ ยน์ มี่ คี วามสามารถในการ
ยอ่ ยอาหารได้ทุกอยา่ ง แตถ่ ้าเรามาดชู นดิ ของอาหารทม่ี ีอย่ใู นโลก และเปรยี บเทียบ
กับประเภทของอาหารที่มนุษย์เราเอามากินในแต่ละสังคม ก็จะพบว่า diet (ฃนิด
อาหาร) ของมนุษย์ในสังคมต่างๆ นั้น มีชนิดไม่มากนัก พูดง่ายๆ ว่ามีของอีกหลาย
ชนิดที่กินได้แต่คนไม่เอามากิน ในทางชีววิทยาถือว่ากินได้ ไม่อันตราย ไม่เป็นพิษ
แต่คนก็ไม่เอามากิน แต่คนในบางสงั คม อาหารที่คนอื่นไม่กิน คนในสังคมนั้นกเ็ อา
มากิน” แล้วก็ข้อสรุปของแฮร์ริสก็อาจจะสรุปได้อีกอย่างหนึ่งว่า วัฒนธรรมด้าน
อาหารการกินน้ันมลี ักษณะที่นา่ สนใจหลายประการ จะสรุปไดก้ ค็ ือ
ก. อาหาร วัฒนธรรมการกินนั้น เป็น arbitrary คือเป็นรสนิยมท่ี
สร้างขึ้นในแต่ละวัฒนธรรม ในที่นี้ก็มีตัวอย่างการกินแมลงสาบทอด หรือว่าการ
กนิ ตั๊กแตนทอดของอริสโตเติล
ข. ในแต่ละวัฒนธรรมก็มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้ว่า อะไรคืออาหารที่มรี สเลศิ
อะไรเปน็ อาหารจานเด็ด อะไรเป็น gourmet food แล้วก็อะไรคอื อาหารต้องห้าม
จากแนวความคิดข้างต้นน่าสนใจว่าสำรับภาคตะวันออกมีลักษณะ
อย่างไร โดยจะได้นำเสนอและได้จำแนกความเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ของสำรับอาหารภาคตะวนั ออกดงั น้ี
๓๑
3.2.1 การแสดงเทคนคิ ความรู้และทกั ษะของอาหารภาคตะวันออก
สบื เนื่องจากสภาพภมู ศิ าสตร์ที่ตง้ั ของภาคตะวันออกอยู่ติดชายฝั่งทะเล
ทำให้อาหารส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารทะเล เนื้อสัตว์ทะเลส่วนใหญ่มักคาว ผู้ปรุง
อาหารจึงจำเป็นต้องมีเทคนิคและทักษะในการดับคาวเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีของ
อาหาร อาหารภาคตะวันออกเช่นกัน แม่ครัวจะมีวิธีการดับคาวโดยกรรมวิธีต่างๆ
กอ่ นนำไปปรุง หรือดบั คาวโดยใชเ้ ครื่องเทศเฉพาะ ซงึ่ เปน็ เครื่องเทศท่ีนำมาจากใน
ปา่ เพราะในภาคตะวันออกก็มีพื้นที่อกี ส่วนหนึ่งท่ีเป็นปา่ และเขา เปน็ แหล่งอาหาร
ป่าและสัตว์น้ำจืด รวมถึงเครื่องเทศต่างๆ ในป่าด้วย เครื่องเทศที่โดดเด่นคือ
กระวาน และ เร่วหอม ธิติมา อุรพีพัฒนพงศ์.(2561) กล่าวว่าคนภาคตะวันออก
แถบจันทบุรี ตราด เร่วหอมอยู่ในมื้ออาหารในชีวิตประจำวันมานานแลว้ เร่วหอม
เป็นส่วนผสมที่ใส่ลงมานิดเดียวกท็ ำให้อาหารหลายจาน เช่น ก๋วยเต๋ียวหรือแกงปา่
ทีค่ นภาคอนื่ ๆ คนุ้ เคยมีกลน่ิ และรสชาตทิ เี่ ปน็ เอกลักษณ์
นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารบางชนิดมักมีส่วนผสมของผลไม้ซึ่งแสดงถึง
ความโดดเด่นเรื่องผลไมอ้ ีกด้วย เช่น ไก่บ้านตม้ ระกำ ยำกบสม้ มะปีด๊ (สมจ๊ีด) แกง
ไก่ใส่หน่อสับปะรด สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และทักษะของแม่ครัวชาว
ตะวนั ออกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
3.2.2 การสืบทอดมรดกวฒั นธรรมอาหารของภาคตะวันออก
อาหารในภาคตะวันออกมีการสร้างสรรค์และสืบทอดเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมอย่างยาวนาน อย่างไรก็ดีจากการสำรวจข้อมูลในหนังสือวัฒนธรรม
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาของจังหวัดชลบุรี ระยอง
จันทบุรี และตราด จัดทำโดยคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ
ในคณะกรรมการอำนวยการจดั งานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว.
ซึ่งพิมพ์แยกรายจังหวัดทกุ จงั หวดั เมื่อ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นยุคก่อนการแข่งขันเรื่อง
การท่องเที่ยวเชิงอาหาร ทำให้เห็นการนำเสนออาหารของแต่ละจังหวัดในภาค
ตะวันออกที่คัดเลือกมานำเสนอไว้ในหนังสือดังกล่าว ผู้วิจัยมีข้อสังเกตว่า การ
๓๒
นำเสนอเรื่องราวอาหารในหนังสือดังกล่าวนั้นเห็นว่า จังหวัดชลบุรี มีการนำเสนอ
อาหารที่หลากหลาย อาจเป็นเพราะเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญมาแต่เดิม ส่วน
จังหวัดระยอง จันทบรุ แี ละตราด สว่ นใหญ่ยงั เน้นนำเสนออาหารแปรรูป ในลกั ษณะ
ของฝาก มีการนำเสนออาหารท่ีเปน็ เมนูบา้ งแต่มามาก นอกจากนี้ยังพบวา่ ในขณะ
นนั้ (พ.ศ.2542) จังหวดั จันทบุรียังไม่มีการนำเสนอหมูชะมวงในฐานะอาหารสำคัญ
ของจังหวัด ขณะที่จังหวัดระยองและจังหวัดตราดมีการนำเสนอหมูชะมวงเป็น
อาหารสำคัญของจังหวัด ซึ่งปัจจุบันภาพจำและความรับรู้เรื่องหมูชะมวงน้ัน
จังหวัดจันทบุรี กลับมีความโดดเด่นกว่า แม้ว่าในความเป็นจริงหมูชะ มวงเป็น
อาหารประจำถิ่นของทั้งระยอง จันทบุรี และตราด มาแต่เดิม สำหรับอาหารภาค
ตะวันออกจากหนังสือดังกล่าวนำเสนออาหารหลากหลายรายจังหวัด ดังจะได้
นำเสนอดังน้ี
ก. อาหารจังหวัดชลบุรี แบ่งเป็น 1) อาหารจีน เช่น หูฉลาม
กระเพาะปลา ไสก้ รอก (กว๋ ยบะ) ห้อยจ๊อ กระดูกหมหู รอื ไก่ตุน๋ ยาจีน คบั บะ ผัดผัก
ต่างๆ หมู เป็ด ไก่ต้ม ขนมจ้าง บ๊ะจ่าง ขนมโก๋ ขนมเปี๊ยะ ปลิงทะเล หมูเย็น
(ตือคาตั้ง) ห้อยจ๊อ 2) อาหารไทย อาหารลาว เช่น แกงเขียวหวาน แกงอ่อม แกง
ฉู่ฉี่ แกงคั่ว กุ้งหลน เต้าเจี้ยวหลน กะปิคั่ว หมี่กรอบ ปลาร้าสับ ข้าวหลาม ผักตม้
ของหวาน เช่น ขนมหม้อแกง สังขยา บ้าบิ่น ถั่วแปบ ขนมชั้น ฝอยทอง ทองหยิบ
มันแกงบวด กลวั ยบวชชี ขนมบัวลอย ขา้ วตม้ และ 3) อาหารทะเล เช่น ตมั ยำปลา
ทู ยำไข่แมงดา แกงคั่วส้มกับสับปะรด ฉาบไข่แมงดา (คณะกรรมการอำนวยการ
จัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั . (2542) (2))
ข. อาหารจังหวัดระยอง ชาวระยองคุ้นเคยกับการทำ "หมูต้มใบ
ชะมวง" มาช้านานแลว้ และ ปลาทูต้มหวาน ใช้ปลาทูหรือปลาโมง่ แล้วใส่หนังหมู
นอกจากนีย้ ังมีการแปรรปู ผลไม้คอื ทุเรียนทอด (คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน
เฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั . (2542) (4))
๓๓
ค. อาหารจังหวัดจันทบุรี นำเสนอก๋วยเตี๋ยวเส้นจันท์ ซึ่งมีอายุกวา่ 70
ปี และปลาจ่อม เป็นการถนอมอาหารคล้ายกับปลาร้า ปลาจ่อมเป็นปลาตัวเล็ก ๆ
ท่เี หลือจากการคัดเลอื กแล้วมาคลุกเคล้ากบั เกลอื และขา้ วคว่ั ให้เช้ากัน แลว้ นำหมัก
ในโอ่งมังกร นอกจากปลาแล้วสามารถใช้กุ้งทำได้เช่นเดียวกันเรียกว่า "กุ้งจ่อม"
(คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว.
(2542) (1))
ง. อาหารจังหวัดตราด นำเสนออาหารคาว-หวาน ที่สำคัญได้แก่
น้ำพริกกะปี หมูต้มชะมวง แกงส้มลูกเถาคัน ย่ำหอยขาว ยำหอยปากเป็ด หอย
ปากเป็ดดอง แตงไทยดอง ปลานวลจันทร์ต้มกระเทียมพริกไทย หอยขาวดอง
แมงกะพรนุ น้ำจิ้ม แมงกระพนนำ้ แดง ขนมชน้ั ขา้ วเกรียบปากหม้อ ขา้ วเกรียบออ่ น
น้ำตาลชัก และเพรียง(คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว. (2542) (3))
อาหารภาคตะวันออกดังนำเสนอล้วนเปน็ อาหารท่ีส่งต่อมาจากรุ่นสูร่ นุ่
ผ่านการคิดสรา้ งสรรค์และสืบทอดกันมาทั้งในวัฒนธรรมและข้ามวัฒนธรรม สั่งสม
สืบมาจนกลายเป็นสำรบั ภาคตะวันออกดังท่ีเหน็ ในปจั จบุ ัน
3.2.3 อาหารภาคตะวนั ออกกับการสะทอ้ น “ความเป็นภาคตะวันออก”
อาหารเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเรียนรู้และทำความเข้าใจวิถขี องมนุษย์
ในแต่ละวัฒนธรรม อาหารภาคตะวันออกก็เช่นกันย่อมสะท้อนความเป็นภาค
ตะวนั ออกท่ซี อ่ นอยภู่ ายใน ดงั ท่ีผู้วจิ ยั จะได้สะทอ้ นให้เหน็ ดงั นี้
ก. สะท้อนกลมุ่ คนในภาคตะวันออก
อาหารภาคตะวันออกสะท้อนให้เห็นความหลากหลายของคนในภาค
ตะวันออก ทั้งคนต่างเชื้อชาติ เช่น ขนมปายของกลุ่มคนชอง แกงส้มของคนไทย
ขา้ วหลามของคนลาว หมูชะมวงทป่ี รับมาจากพะโล้ของคนจีน หรอื ต่างศาสนา เช่น
กล่มุ ไทยพุทธ มกี วนกระยาสารท กลมุ่ ญวนครสิ ต์มขี นมข้าวเกรียบอ่อน กลุ่มเขมร-
แขกจาม มุสลิมมีขนมชั้น ขนมควยลิง - ควยตาอุ้ย หรือกลุ่มคนหลากหลายที่ต้ัง
๓๔
ภูมิศาสตร์เช่น คนเชิงเขากินกลอย คนพื้นราบกินปลาน้ำจืด คนทะเลกินปลาทะเล
กลุ่มคนหลากหลายวิถี เช่น คนทำนา คนทำสวน คนทำไร่ คนหาของปา่ สิ่งเหล่าน้ี
แสดงให้เห็นที่มาของความกลมกล่อมและการสร้างสรรค์อาหารของชาวภาค
ตะวันออกได้เปน็ อยา่ งดี
รูปท่ี 3 แกงหมชู ะมวงเมอื งระยอง รูปท่ี 4 ขนมช้นั เมืองตราด
ข. สะทอ้ นประวัตศิ าสตรใ์ นภาคตะวันออก
สืบเนื่องมาจากความหลากหลายของกลุ่มคนในข้อ ก ซึ่งเป็นผลมาจาก
การอพยพย้ายถิ่นของผู้คนหลากหลายเมืองเข้ามายังพื้นที่ภาคตะวันออกด้วย
เหตุผลนานปั การ ทั้งจากภยั สงคราม จากการค้า รวมถึงการไปมาหาสู่กันโดยท่ัวไป
ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์การอพยพของกลุ่มชาวญวนครั้งแรกในคราวองเชียงสือ
กษตั รยิ ์กรุงญวน (เวยี ดนาม) ไดห้ ลบหนีราชภัยเข้ามาทางเกาะกูด จังหวัดตราด (มี
ชื่อปรากฎวา่ น้ำตกคลองเจา้ หรือ น้ำตกเจ้าอนัมก๊ก ที่เกาะกูด ในปัจจุบัน) เพื่อขอ
ความช่วยเหลือจากบาทหลวงที่หมู่บ้านญวน เมืองจันทบุรี แล้วเดินทางมายังพระ
นคร พ่ึงพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก คร้ังที่สองใน
คราวศึกอานามสยามยุทธ (สงครามไทย-เวียดนาม) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนง่ั
เกล้าเจ้าอยู่หวั ท่ีเข้ามาทางเมอื งตราด และผา่ นหวั เมอื งภาคตะวันออกเช่นเคย
๓๕
รูปท่ี 5 ขนมข้าวเกรยี บปากหม้อเมืองตราด รปู ที่ 6 ขนมข้าวเกรียบออ่ นเมืองชลบุรี
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของชาวญวนที่ไปมาหาสู่กันเรื่อยมา ร่องรอย
วัฒนธรรมญวนจึงมีให้เห็นหลงเหลือในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย หนึ่งในจำนวนนั้นคือ
วฒั นธรรมอาหาร “ข้าวเกรยี บปากหม้อ” ซง่ึ พบได้ต้ังแต่ตราด จันทบุรี ระยอง และ
ชลบุรี โดยข้าวเกรียบปากหม้อทีก่ ล่าวถึงนี้ เป็นขนมหวาน ไส้ข้าวเกรียบปากหมอ้
เมืองตราด และจันทบุรี เป็นถั่วเขียว คลุกมะพร้าว น้ำตาล ส่วนไส้ของข้าวเกรียบ
ปากหม้อชลบุรี (ศรีราชา) ซึ่งเรียกว่าข้าวเกรียบก่อน เป็นถั่วเหลือง คลุกมะพร้าว
น้ำตาลและงาดำ สำหรับแผ่นแป้งข้าวเกรียบเมืองตราดและจันทบุรีเดิมเป็น
สีน้ำตาลเพราะผสมน้ำตาลทรายแดงทีแ่ ผ่นขา้ วเกรียบ สว่ นของชลบุรไี ม่ผสมจึงเป็น
สีขาว นอกจากน้ยี ังมีขนมญวนที่เรียกว่า ขนมไขเ่ ตา่ ชาววัง (บวั ลอยญวน) และขนม
บนั ดกุ๊ ที่ปจั จุบนั กลายเป็นอาหารพนื้ บ้านเมอื งตราด จันทบรุ ีและระยอง
รปู ที่ 7 ขนมบัวลอยญวนเมืองตราด รปู ท่ี 8 ขนมบันดุ๊กเมืองจนั ทบรุ ี
๓๖
ค. สะท้อนความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพภูมิศาสตร์ใน
ภาคตะวันออก
เหตุที่อาหารภาคตะวันออกมีความหลากหลายน้ัน เป็นผลมาจากการที่
ภูมิประเทศของจังหวัดชายฝ่ังทะเลตะวันออกคอื ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
มคี วามคลา้ ยคลงึ กันกัน คอื มีลกั ษณะชัดเจนอยู่ 2 ลกั ษณะ คอื มีพ้นื ท่ีเปน็ ชายทะเล
กับพน้ื ที่เป็นป่าเขา ทีส่ งู ท่ีลุม่ ทำให้วิถชี วี ติ และการกนิ อยู่แตกตา่ งกนั ไป ชาวบา้ นที่
อาศัยอยู่ติดทะเลหรือตามเกาะตามแก่ง ย่อมมีชีวิตผูกพันกับทะเล อาชีพหลักคือ
การประมง สว่ นพน้ื ทอ่ี กี ส่วนหนงึ่ ซงึ่ มีลักษณะเป็นภูเขา ทดี่ อน ทีล่ ุ่ม เปน็ ปา่ เหมาะ
แก่การทำเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ อาหารภาคตะวันออกจึงเด่นที่อาหารทะเล
และเครือ่ งเทศจากปา่ เช่น ไขแ่ มงดาฉาบ ของจงั หวัดชลบรุ ี มาจากการมีภูมศิ าสตร์
ติดทะเลและชลบุรีเป็นแหลง่ ปลกู ออ้ ยจำนวนมาก หรือ แกงป่าแสนตุ้งของจังหวัด
ตราด - จันทบุรี มาจากการใช้เนื้อสัตว์ป่าและเครื่องแกงที่ได้ส่วนผสมเครื่องเทศ
จากป่าเพิ่มเติมไปจากท้องถิ่นอื่น คือ เร่ว กระวาน และใส่หน่อสับปะรด ซึ่งเป็น
ผลไม้ขึ้นชื่อของภาคตะวันออก เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากความหลากหลายทาง
ชวี ภาพและปัจจยั จากสภาพภมู ิศาสตรเ์ ป็นสำคัญ
รปู ที่ 9 แกงป่าแสนตุ้งเนอ้ื ตะกวด รูปท่ี 10 ไขแ่ มงดาฉาบ
๓๗
3.3 ความกลมกล่อมของสังคมพหุวัฒนธรรมกับการสร้างตัวตนใน
สมรภมู กิ ารทอ่ งเทย่ี วเชิงอาหาร
อาหารจากความเป็นพหวุ ฒั นธรรมดงั กลา่ วมาข้างต้น นำมาสู่การพฒั นา
เป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่สำคัญในปัจจุบัน เกิดความพยายามในการปรับ
ทัศนคติของนักท่องเท่ียวจากเดิมที่สนใจการท่องเทีย่ วในแหลง่ ท่องเท่ียวธรรมชาติ
และอาหารทะเลประเภทปิ้งย่าง มาเป็นกลยุทธ์ด้านอาหารท้องถิ่นที่ทำให้เกิดการ
ท่องเที่ยวในเมือง ให้คุณค่าและความหมายแก่วิถีวัฒนธรรมของชาวประมง ชาวภูเขา
และชาวสวนผลไม้ ทั้งสำรับอาหารคาวหวาน ตลอดจนเรื่องเล่า ความเชื่อ
กระบวนการเลือกสรรวัตถุดิบ และการปรุงรสที่มีเอกลกั ษณ์เฉพาะตน รวมถึงการ
สร้างสรรค์แหล่งอาหารเด่น ส่ิงเหลา่ นสี้ ะท้อนให้เห็นความพยายามในการยกระดับ
สำรับอาหารภาคตะวันออกให้โดดเด่นในท่ามกลางการแข่งขันของตลาดการ
ทอ่ งเท่ียวเชงิ อาหารของไทย ทั้งนี้ผู้วจิ ยั พบวธิ กี ารสร้างตัวตนของอาหารทอ้ งถิน่ ของ
เมอื งชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออกดงั น้ี
3.3.1 การสร้างตัวตนด้วยการเผยตำรับอาหารพื้นบ้านที่แปลกใหม่
หรือใกล้สูญของชนพน้ื เมือง
การสร้างตัวตนด้วยวิธีนี้เป็นการนำเสนอความ “หายาก” ที่ช่วยสร้าง
“ประสบการณใ์ หม”่ ใหแ้ กน่ กั ท่องเทย่ี ว ส่งผลให้นกั ท่องเท่ียวเกดิ ความประทบั ใจท่ี
ได้เข้าถึงอาหารที่ “หายาก” เหล่านี้ จากการสำรวจข้อมูลพบว่าในปัจจุบันแต่ละ
จังหวัดในภาคตะวันออกพยายามนำเสนออาหารทแี่ ปลกใหม่ หรอื หายากเพื่อสร้าง
จุดขายให้แกก่ ารทอ่ งเที่ยวเชิงอาหารในพ้ืนที่ของตน้ ดังตัวอยา่ งเช่น ขนมปาย ของ
ชาวชอง จันทบุรี นำเสนอโดยสำนักศลิ ปวฒั นธรรมและพัฒนาชมุ ชน มหาวทิ ยาลัย
ราชภัฏรำไพพรรณี ขนมปายนี้มักทำในช่วงที่มีการจัดงานบุญสำคญั ๆ ใช้วัตถุดิบท่ี
หาได้ง่าย นำมาคลุกเคล้า แล้วนำไปทอด รับประทานเป็นของว่าง ที่จังหวัดตราด
โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดตราด นำเสนอ “ขนมสากกะเบอื รุน” คือขนมที่ทำ
จากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำแล้วนำไปนวด จากนั้นนำไปต้มให้พอสุก แล้วนำมาบด
๓๘
ด้วยสากกะเบือ (รุน ในภาษาถนิ่ เมอื งตราดคือ ดุน หรือบด จึงไดช้ ่อื ว่า สากกะเบือ
รุน) แล้วนำมาปั้นเป็นก้อน นำไปคลุกกับน้ำตาล งาขาว และถั่วลิสงบด ขณะท่ี
จังหวัดระยอง โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดระยอง รื้อฟื้นการทำ
“ขนมนิ่มนวล” ที่หาทานได้ยาก ลักษณะคล้ายขนมถั่วแปบแต่ตัวแป้งทำจากข้าว
เหนียวควั่ จนสุกแล้วนำมาโม่เปน็ แป้งนวดกับน้ำเช่ือมหวานทเ่ี คย่ี วจนเข้มขน้ จนแป้ง
น่มิ โรยดว้ ยผงแป้งบางๆ ทำให้มีสีขาวนวลข้างในมไี ส้ ทำด้วยมะพรา้ ว นำ้ ตาล สว่ น
ตัวอย่างของจังหวัดชลบุรีคือ “ขนมก้นถั่ว” โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด
ชลบุรี ได้รอื้ ฟนื้ ข้นึ มาเป็นขนมทีใ่ ช้ในงานบญุ ตา่ งๆ รูปทรงเหมอื นขนมถว้ ยตะไล ทำ
จากแปง้ ขา้ วเจ้า แปง้ มัน นำ้ ตาลและกะทิ จดุ เด่นของขนมชนดิ นค้ี อื มถี ั่วเขียวผ่าซกี
คั่วใส่อย่ทู ก่ี ้นถว้ ย
3.3.2 การสร้างตัวตนด้วยการเชื่อมโยงอาหารพื้นบ้านกับแหล่ง
ท่องเท่ียวเชงิ พหุวัฒนธรรม
แนวทางการสร้างตัวตนกับความเป็นพหุวัฒนธรรมที่น่าสนใจคือความ
พยายามในการเชื่อมโยงอาหารพืน้ บ้านกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงพหุวฒั นธรรมเพื่อให้
การท่องเที่ยวเชิงอาหารมีความหมายและมีคุณค่า อาหารท้องถิ่นจะนำพา
นักท่องเที่ยวไปสู่วิถี บ้านเรือน และผู้คนผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น
ตลาด 100 ปี หลังวดั โรมนั จ.จันทบรุ ี แหล่งล้มิ รสอาหารถิ่นจันทบูรณ์ ท่เี ป็นชุมชน
ไทย ญวน และจนี , ชุมชนขนมแปลก บ้านหนองบวั จันทบรุ ี แหล่งทำน้ำตาลออ้อย
สูต่ ลาดขนมโบราณ ชมุ ชนไทย-จนี , ชมุ ชนบา้ นน้ำเชีย่ ว จังหวัดตราด ชุมชนแห่งนี้มี
ความงดงามของความเป็นพหุวัฒนธรรม “สองศาสนา สามวัฒนธรรม” มีการอยู่
ร่วมกันของสองศาสนา คอื ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม และสามวัฒนธรรม คือ
ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยเช้ือสายจีน สิ่งเหล่าน้ีสะท้อนผ่านอาหาร
และเช่ือมโยงแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วในชมุ ชนได้เปน็ อยา่ งดี นอกจากนีย้ ังมชี มุ ชนไทย-จนี ที่
ถนนยมจินดา จงั หวัดระยอง, ชุมชนไทย-จีน บา้ นชากแง้ว ชลบุรี อกี ด้วย
๓๙
3.3.3 การสร้างตัวตนด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของมรดก
วฒั นธรรมอาหารถ่นิ
การสร้างตัวตนที่สำคัญอีกประการหนึ่งในสมรภูมิการแข่งขันการ
ท่องเที่ยวเชิงอาหารของหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกคือการตอกย้ำภาพความ
เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม แม้เป็นทรี ับรู้อยู่แล้วกย็ ังคงดำเนินการอย่างตอ่ เนื่อง ผลิต
ซ้ำประเพณีพิธีกรรม วัฒนธรรมอาหาร ผ่านการจัดเทศกาลอาหาร การแปรรูป
ผลไม้ และอาหารต่างๆ เพื่อแสดงความเปน็ เจ้าของมรดกวัฒนธรรมอาหารถิ่น
4. สรุปและอภปิ รายผล
4.1 สรุปผล
วัฒนธรรมอาหารในภาคตะวันออกเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชน
ต่าง ๆ ในภาคตะวันออกจนเกิดเป็นสำรับอาหารทอ้ งถิ่น การวิจยั ครั้งนี้มขี อบเขต
ในการศึกษาอาหารพื้นเมืองในจงั หวัดชายทะเลฝั่งตะวันออกรวม 4 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด จากการศึกษาพบว่า สำรับอาหารภาค
ตะวันออก” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยได้แสดงเทคนิค ความรู้และ
ทักษะของอาหารภาคตะวันออก มีการสืบทอดมรดกวัฒนธรรมอาหารของภาค
ตะวันออก และอาหารภาคตะวันออกยังการสะท้อน “ความเป็นภาคตะวันออก”
ทงั้ ก) สะท้อนกลมุ่ คนในภาคตะวนั ออก ข) สะทอ้ นประวตั ิศาสตรใ์ นภาคตะวนั ออก
และ ค) สะท้อนความหลากหลายทางชวี ภาพและสภาพภมู ศิ าสตร์ในภาคตะวนั ออก
กลุ่มชนในสังคมพหุวัฒนธรรมกับการ “ก่อร่าง” อาหารภาคตะวันออกที่สำคัญ
ได้แก่ กลุ่มคนไทย กลุ่มคนจีน กลุ่มคนแขกมลายู-แขมจาม กลุ่มคนญวน
(เวียดนาม) กลุ่มคนลาว และกลุ่มคนชอง กลุ่มชนเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการ
สร้างสรรค์และถา่ ยทอดมรดกทางวฒั นธรรมอาหารของตนต่อคนในภมู ภิ าคชายฝง่ั
ทะเลตะวันออก ความเปน็ สังคมพหวุ ัฒนธรรมนี้เป็นความกลมกลอ่ มของสังคมพหุ
๔๐
วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการสร้างตัวตนในสมรภูมิการท่องเที่ยวเชิงอาหารได้แก่ 1)
การสร้างตัวตนด้วยการเผยตำรับอาหารพื้นบ้านที่แปลกใหม่หรือใกล้สูญของชน
พื้นเมือง 2)การสร้างตัวตนด้วยการเชื่อมโยงอาหารพื้นบ้านกับแหล่งท่องเที่ยวเชงิ
พหุวัฒนธรรม และ 3) การสร้างตัวตนด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของมรดก
วฒั นธรรมอาหารถ่นิ
4.2 อภปิ รายผล
การแข่งขันในสมรภูมิการทอ่ งเทยี่ วเชิงวฒั นธรรมอาหารระหว่างอาหาร
เมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกกับภมู ิภาคอื่นๆ นั้น มีกลยุทธท์ ี่สำคัญคือการเชือ่ มโยง
การท่องเที่ยวเชิงอาหารกับแหลง่ ท่องเทีย่ วทีเ่ กี่ยวข้อง สอดคล้องกับท่ี สริตา พันธ์
เทียน, ทรงคุณ จันทจร, มาริสา โกเศยะโยธิน (2560) ศึกษาเรื่อง รูปแบบการ
จัดการทอ่ งเทีย่ วเชงิ อาหารไทยโดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเขตจงั หวัดลมุ่
แม่น้ำภาคกลาง กล่าวว่ารูปแบบการจัดการท่องเทีย่ วเชิงอาหารไทยโดยใช้แนวคิด
เศรษฐกิจสรา้ งสรรค์สามารถพัฒนาการทอ่ งเทีย่ วเชิงอาหารรว่ มกบั แหล่งท่องเที่ยว
โดยให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้าน
ขายอาหารใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นในการประกอบอาหารให้เป็นเอกลักษณ์ หรือ
สถานท่พี กั มีการประชาสัมพนั ธใ์ ห้แก่นกั ท่องเทีย่ วที่มาพักถึงกิจกรรมด้านอาหารใน
ท้องถิน่ และจดั เปน็ โปรแกรมการทอ่ งเที่ยวแบบพักคา้ งรว่ มกัน เป็นตน้ นอกจากน้ี
ความเป็นสังคมพหวุ ัฒนธรรมทส่ี ่งผลตอ่ การสรา้ งตัวตนในสมรภูมิการท่องเที่ยวเชิง
อาหารได้แก่ 1) การสร้างตัวตนด้วยการเผยตำรับอาหารพื้นบ้านที่แปลกใหม่หรือ
ใกล้สูญของชนพืน้ เมือง 2)การสรา้ งตัวตนด้วยการเชือ่ มโยงอาหารพืน้ บ้านกับแหล่ง
ทอ่ งเท่ยี วเชิงพหุวัฒนธรรม และ 3) การสร้างตัวตนดว้ ยการแสดงความเป็นเจ้าของ
มรดกวัฒนธรรมอาหารถิน่ ยังสอดคลอ้ งกับงานของภาณวุ ัฒน์ ภักดอี กั ษร และปทุม
มาลัย พัฒโร. (2564). ศึกษาการวิเคราะห์ปัจจัยองค์ประกอบเชิงสำรวจของ
แรงจูงใจนกั ท่องเทย่ี วตา่ งชาติเพื่อการท่องเท่ียวเชิงอาหารในจังหวัดภูเก็ต ประเทศ
ไทย. พบวา่ นกั ท่องเท่ยี วตา่ งชาตมิ แี รงจงู ใจหลัก 5 ดา้ นเรยี งตามลำดบั ความสำคัญ
๔๑
ได้แก่ 1) ประสบการณ์อาหารท้องถิ่น 2) งานเลี้ยงและกิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร 3)
การได้รับและแบ่งปันความรู้ด้านอาหาร 4) สังคมและการพักผอ่ น และ 5) ความรู้
ทางวฒั นธรรมและความพึงพอใจ ด้วยเหตนุ ก้ี ารสรา้ งประสบการณ์ใหม่ด้านอาหาร
ให้แก่นักท่องเที่ยวจึงเป็นการสร้างความประทับใจและเป็นเสน่ห์เชิญชวนให้
นกั ท่องเทีย่ วกลบั มาท่องเทยี่ วอีกครั้งอยา่ งไม่รเู้ บอ่ื
5. ขอ้ เสนอแนะ
5.1 การศึกษาในครั้งต่อไปอาจศึกษาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว
เชิงอาหารของเมืองชายฝงั่ ทะเลตะวนั ออกดว้ ยอตั ลกั ษณ์อาหารถิน่
5.2 ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลอาหารถิ่นเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก
เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและประโยชน์ในเชิงการพัฒนาธุรกิจอาหารท้องถิ่นใน
อนาคต
๔๒
เอกสารอา้ งองิ
กลมุ่ สงวนรักษามรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม , สถาบันวฒั นธรรมศกึ ษา (2559). พระราชบัญญัติ
ส่งเสริมและรักษามรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2559 และอนุสัญญาวา่
ดว้ ยการสงวนรักษามรดกวฒั นธรรมที่จบั ต้องไมไ่ ด้ ค.ศ. 2003 . กรุงเทพฯ: กรม
สง่ เสริมวัฒนธรรม.
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั . (2542)(1)
วฒั นธรรม พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ เอกลักษณ์และภมู ปิ ัญญา จังหวดั
จันทบุรี. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการฝา่ ยประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ใน
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั .
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั . (2542) (2)
วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ เอกลกั ษณ์และภมู ิปัญญา จังหวัดชลบรุ ี.
กรุงเทพฯ : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการ
อำนวยการจดั งานเฉลิมพระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั .
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั . (2542) (4)
วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ เอกลกั ษณ์และภูมปิ ัญญา จังหวดั ระยอง.
กรุงเทพฯ : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการ
อำนวยการจดั งานเฉลิมพระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั .
ชุมศกั ดิ์ นรารตั น์วงศ์ (2561) ขนมกูบาฆลู งิ (ควายกล้งิ ) สยามรัฐออนไลน์ เขา้ ถงึ จาก
https://siamrath.co.th/n/37138 สืบค้นเม่อื 10 มิถุนายน 2564
ญาดา ชอบทำดี และ นรนิ ทร์ สงั ขร์ ักษา (2562). รูปแบบการท่องเทีย่ วเชงิ อาหารพนื้ ถ่นิ ชายฝงั่
ทะเลภาคตะวนั ออก. วารสารวิทยาลัยดสุ ติ ธานี ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 เดือนพฤษภาคม -
สิงหาคม 2562
ณชา อนนั ต์โชติกุล และคณะ. (2564). พลกิ ท่องเทีย่ วไทย ใหฟ้ น้ื ได้อยา่ งทรงพลงั (ตอนที่ 2) .
KKP Insight. กรงุ เทพฯ: กลุ่มธรุ กจิ การเงินเกียรตนิ าคนิ ภทั ร.
๔๓
ธิตมิ า อรุ พีพัฒนพงศ.์ (2561). เร่วหอม เครื่องเทศกลนิ่ หอมละมนุ ในชามก๋วยเตี๋ยวเมืองจันท์.
เข้าถึงจาก https://themomentum.co/kitchenpedia-local-alive-amomum-
villosum-advertorial/ สบื ค้นเมอ่ื 20 เมษายน 2565
เบญจมาภรณ์ ชำนาญฉา.(2561) การทอ่ งเที่ยวเชิงอาหาร: ศักยภาพและความไดเ้ ปรยี บของ
ประเทศไทย . สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ปที ่ี 24 ฉบับท่ี 1 มกราคม -
มถิ ุนายน 2561
พรรณี สวนเพลงและคณะ (2559). การท่องเท่ียวเชิงอาหาร. รายงานภาวะเศรษฐกิจทอ่ งเท่ียว
ฉบับที่ 4 . กรงุ เทพฯ: สำนกั งานปลัดกระทรวงทอ่ งเทีย่ วและกฬี า.
แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง (2549). แนวคิดพหวุ ัฒนธรรม (Multiculturalism) . กรุงเทพฯ: สำนกั งาน
คณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ ในงานประชมุ ทางวชิ าการระดับชาติสาขาสงั คมวิทยา
ครัง้ ที่ 3.
ภาณวุ ฒั น์ ภกั ดอี กั ษร และปทมุ มาลัย พฒั โร. (2564). การวิเคราะหป์ ัจจยั องค์ประกอบเชิงสำรวจ
ของแรงจูงใจนกั ท่องเท่ยี วต่างชาตเิ พ่ือการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจงั หวดั ภูเก็ต
ประเทศไทย. วารสารมนษุ ยศาสตรว์ ิชาการ ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม-ธนั วาคม).
วสนั ตพ์ รรษ จำเริญนสุ ติ . (2562). ชาวมสุ ลมิ จ.ยะลา ยังคงสนใจซ้ือ "ขนมควายกล้งิ " เพือ่ ละศลี อด
กันอยา่ งตอ่ เน่อื ง. สำนักข่าวกรมประชาสัมพนั ธ์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/ เขา้ ถงึ เม่อื 23 มีนาคม 2565
สรติ า พนั ธเ์ ทยี น, ทรงคณุ จนั ทจร, มาริสา โกเศยะโยธนิ (2560) รูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิง
อาหารไทย โดยใช้แนวคิดเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ในเขตจงั หวัดลมุ่ แม่น้ำภาคกลาง.
Research and Development Journal Suan Sunandha Rajabhat University.
Vol. 9 3rd Supplementary (July) 2017
๔๔
สายป่าน ปรุ วิ รรณชนะ. (2553). ปาฐกถา "อาหารในมิติทางคติชนวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา" ของ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณี แอนเดอรส์ ัน ใน อภิลักษณ์ เกษมผลกูล และ ชนกพร
พัวพฒั นกุล, บรรณาธิการ. เปดิ ตำรับ สำรบั ศาลายา : ชวนชมิ สารพัดอาหาร ใน
ถ่นิ ยา่ นบา้ นเรา .นครปฐม : สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหดิ ล.
สำนักงานราชบัณฑติ ยสภา. (2553). ฮ่อยจ๊อ .บทวทิ ยุรายการ “รู้ รกั ภาษาไทย” ออกอากาศทาง
สถานวี ทิ ยกุ ระจายเสียง แหง่ ประเทศไทย เมื่อวนั ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เขา้ ถงึ ได้
จาก http://legacy.orst.go.th/?knowledges สบื ค้นเมอ่ื 25 มีนาคม 2565
อภิลักษณ์ เกษมผลกลู . (2551) “ขนมโบราณในเมอื งตราด : ความรูท้ โี่ ลกลืมจำแต่ไมเ่ คยลืมกิน”.
ศลิ ปวัฒนธรรม กรกฎาคม.
UNESCO. (2013). Washoku, traditional dietary cultures of the Japanese, notably for
the celebration of New Year. Retrieved 24 June 2022, from
https://ich.unesco.org/en/RL/washoku-traditional-dietary-cultures-of-the-
japanese-notably-for-the-celebration-of-new-year-00869
๔๕
๔๖
๔๗
๔๘