วิชาประวัติศาสตร์
รหสั วิชา ส23104
ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3
ภาคเรียนที่ 2
ครผู ้สู อน
นายทสั พร ชุรี
คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาพัฒนาการของไทยในสมยั รตั นโกสินทรท์ างด้านการเมืองการปกครอง
สังคม เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามช่วงสมัยต่างๆ
เหตุการณ์สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีผลต่อการพัฒนาชาติไทย โดย
วิเคราะห์สาเหตุปัจจัยและผลของเหตุการณ์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
สมัยรัตนโกสินทร์ และอิทธิพลต่อการพัฒนาชาติไทย และบทบาทของไทย
ในสมยั ประชาธิปไตย
ตัวชีว้ ดั (รายวิชาพืน้ ฐาน)
ส 4.3 ม.3/1 วิเคราะหพ์ ัฒนาการของไทยสมัยรตั นโกสินทรใ์ นดา้ นตา่ งๆ
ส 4.3 ม.3/2 วิเคราะหป์ จั จยั ทีส่ ่งผลต่อความม่ันคงและความเจริญรุ่งเรือง
ส 4.3 ม.3/3 วิเคราะหภ์ มู ิปญั ญาและวฒั นธรรมไทยสมยั รัตนโกสินทร์และ
อิทธิพลตอ่ การพัฒนาชาติไทย
ส 4.3 ม.3/4 วิเคราะห์บทบาทของไทยในสมัยประชาธิปไตย
สปั ดาหท์ ี่ 3
เรือ่ ง การฟื้นฟเู ศรษฐกิจ
ตัวชี้วัด (รายวิชาพืน้ ฐาน)
ส 4.3 ม.3/1 วเิ คราะห์พัฒนาการของไทย
สมยั รตั นโกสนิ ทร์ในด้านต่างๆ
เศรษฐกิจของไทยในสมยั
รตั นโกสินทร์ตอนตน้
เริ่มฟื้นตัวในตอนปลายรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา และ
เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 3 ผลผลิตทาง
การเกษตรและการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศ
ขยายตัวขึ้นมาก รายได้ของประเทศในส มั ย
รตั นโกสินทร์ตอนตน้ มีทีม่ า 2 ทางดังน้ี
1. รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ มี 5
ประเภทได้แก่
1.1 การค้าสำเภาหลวง เป็นรายได้หลักที่สำคัญของ
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยพระคลังสินค้า
(หน่วยงานของรัฐ ขึ้นอยู่กับกรมคลัง หรือกรมท่า) ทำ
หน้าที่แต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสินค้าไปขายยัง
ต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน รองลงมา คือ
ชวา มลายู และอินเดีย
1.2 กำไรจากการผูกขาดการค้า เป็นรายได้ของรัฐที่มี
มาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยพระคลังสินค้า เป็นผู้ควบคุม
การซื้อขายสินค้าผูกขาดและสินค้าต้องห้าม หรือทำ
หน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพ่อค้าไทยกับพ่อค้าชาว
ตา่ งประเทศ
(1) สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่รัฐ (พระคลังสินค้า) เป็น
ผู้ซื้อขายแต่เพียงผู้เดียวเพื่อความมั่นคงของประเทศ
ห้ามมิให้ราษฎรซื้อขายสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ อาวุธ
ปนื กระสุนปืน ดินปะสิว
(2) สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายาก มีราคาแพง
และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น งาช้าง รังนก
หนังกวาง และไม้ฝาง ราษฎรไทยต้องนำมาขายให้แก่
ทางราชการก่อน มิให้นำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศ
โดยตรง
(3) อำนาจของพระคลังสินค้า พระคลังสินค้ามีอำนาจ
ในการเลือกซ้อื สินค้าจากเรือสำเภาชาวต่างประเทศได้
ก่อนพ่อค้าเอกชน เรียกว่า การเหยียบหัวตะเภา เช่น
เครื่องแก้ว พรม ผ้าแพร ฯลฯ สำหรับสินค้าต้องห้าม
พ่อค้าไทยกับพ่อค้าขายต่างประเทศจะซื้อขายกัน
โดยตรงไม่ได้ แต่ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้า ซึ่งทำ
กำไรให้รัฐอยา่ งมากในฐานะพอ่ ค้าคนกลาง
1.3 ภาษีปากเรือหรือ ภาษีเบิกร่อง เป็นค่าธรรมเนียม
ซึ่งเก็บจากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอด
เทียบท่าในไทย โดยเก็บตามขนาดความกว้างของปาก
เรือ (หรือส่วนกว้างที่สุดของเรือ) คิดอัตราภาษีเป็นวา
เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 เก็บจากเรือสินค้าอังกฤษวา
ละ 1700 บาท เปน็ ต้น
1.4 ภาษีสินค้าขาเข้า เรียกเก็บจากพ่อค้าชาว
ต่างประเทศที่นำสินค้าเข้ามาขายในไทย เช่น ในสมัย
รัชกาลที่ 2 เรียกเก็บจากพ่อค้าชาติตะวันตกร้อยละ
8 ของราคาสินค้าเปน็ ตน้
1.5 ภาษีสินค้าออก เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกใน
อัตราที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้า เช่น
ขา้ วสาร หาบละ 1 สลึง และน้ำตาลหาบละ 2 สลึงเป็น
ต้น
2.รายได้ภายในประเทศ เป็นรายได้ของรัฐที่ได้
จากภาษีอากรภายในประเทศและมีมาตั้งแต่สมัย
อยุธยา มี 4 ประเภท คือ
2.1 จังกอบ คือ ภาษีค่าผ่านด่าน เรียกเก็บจากพ่อค้า
ที่นำสินค้าบรรทุกใส่ยานพาหนะและเดินทางผ่านด่าน
ขนอน (ที่ตั้งเก็บภาษี) ทั้งทางบกและทางน้ำ ในอัตรา
10 หยิบ 1
2.2 อากร คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรในการ
ประกอบอาชีพต่างๆ เชน่ อากรสวน อากรต้มกล่ันสุรา
อากรค่าน้ำ (การจับสัตว์น้ำ) และอากรค่ารักษาเกาะ
(การเกบ็ ไขเ่ ตา่ และรังนก) เปน็ ตน้
2.3 ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ราษฎรนำมาทดแทน
แรงงานหรือทดแทนการเข้าเวรรับราชการ ถ้าเป็น
สิ่งของไดแ้ ก่ ดีบุก พริกไทย มูลคา้ งคาว ฯลฯ
2.4 ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บ
จากราษฎร เป็นค่าบริการที่ทางราชการจัดทำให้ เช่น
การออกโฉนดที่ดิน หรือ เงินค่าปรับไหมที่ฝ่ายแพ้คดี
จะต้องจ่ายให้แก่ฝา่ ยชนะ ซึ่งรัฐจะเก็บครึ่งหนึ่งเป็นค่า
ฤชา
การปรบั ปรงุ การจดั เก็บรายได้ภายในประเทศเพิ่มเตมิ
1. เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน เป็นเงินที่ชาวจีนต้องเสียเพื่อ
ทดแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเริ่มมีตั้งแต่ในสมัย
รัชกาลที่ 2 (คนละ 1.50 บาทต่อ 3 ปี) ผู้เสียค่า
ราชการดังกล่าวแล้วจะได้รบั การผูกปี้ข้อมือด้วยไหมสี
แดง
2. เงินค่าราชการ เป็นเงินที่ไพร่หรือราษฎรชายชาว
ไทยต้องจ่ายแทนการเข้าเวรรับราชการ (แต่เดิมจ่าย
เป็นสิ่งของ แทนการถูกเกณฑ์แรงงาน เรียกว่า ไพร่
ส่วย) ในสมัยรัชกาลที่ 3 กำหนดให้จ่ายคนละ 8 บาท
ต่อปี ซึ่งเป็นผลดีต่อราษฎร ทำให้มีเวลาประกอบ
อาชีพส่วนตวั มากขึ้น
3. การเดินสวน เดินนา คือ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
ออกไปสำรวจที่นาและที่สวนของราษฎรเพื่อเตรี่ยม
จัดเก็บคา่ อากรสวน อาการนาในแตล่ ะปี
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ค่าอากรมิได้เก็บเป็นเงินแต่เก็บ
เป็นขา้ วเปลือกแทน ทีเ่ รียกว่า “หางขา้ ว”
4. ระบบเจ้าภาษีนายอากร เป็นระบบการจัดเก็บภาษี
อากรที่มีในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยทางราชการใช้วิธีเปิด
ประมูลตำแหน่งเจ้าภาษีในท้องที่หนึ่งๆ เอกชนผู้ได้รับ
ตำแหน่งจะเป็นตัวแทนของทางราชการในการผูกขาด
การเก็บภาษีอากรต่างๆจากราษฎรในท้องที่นั้นๆ
รายได้ส่วนหนึ่งส่งให้ทางราชการ และส่วนที่เหลือเป็น
ผลกำไรของเจ้าภาษี
ข้อเสียของระบบเจ้าภาษีนายอากร ผู้ประมูลตำแหน่ง
เจ้าภาษีนายอากรได้ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวจีน มัก
ขูดรีดภาษีประเภทต่างๆจากราษฎรมากเกินไป ทำให้
ราษฎรเดือดร้อน ถกู ยกเลิกไปในสมยั รัชกาลที่ 4
ผู้มีบทบาทสนบั สนนุ การค้ากบั ตา่ งประเทศ
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
เสนาบดีกรมท่า (กรมพระคลัง) ในสมัยรัชกาลที่ 2 มี
บทบาทส่งเสริมการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศ
โดยเฉพาะกับประเทศจีน จนได้รับขนานนามว่า
“เจ้าสวั ”
เอกสารอา้ งองิ
https://sites.google.com/a/srisawat.ac.th/prawatis
astr-thiy/home/smay-ratnkosinthr-txn-tn