การประเมนิ สถานการณ์ และการประเมนิ ผ้ปู ว่ ยฉกุ เฉนิ
(Scene Size Up and Assessment)
การประเมนิ สถานการณ์
(scene size up)
วตั ถุประสงค์
1.มคี วามรู้ความเข้าใจ เห็นความสาคัญของการประเมินสถานการณ์
2.เข้าใจในหลักการประเมนิ สถานการณ์
บทนา
การประเมินสถานการณ์ เป็นขั้นตอนแรกในการปฏิบัติการฉุกเฉินของชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน
โดยจะเริ่มตั้งแต่ได้รับข้อมูลให้ออกปฏิบัติการฉุกเฉิน ระหว่างการเดินทางไปจุดเกิดเหตุ จนกระท่ังถึงที่เกิดเหตุ
และเมื่อมาถึง ณ จุดเกิดเหตุ ก่อนการเร่ิมเข้าไปในท่ีเกิดเหตุ ผู้ปฏิบัติการที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นเหตุการณ์ใดก็ตาม ท้ังในภาวะฉุกเฉินทั่วไปและในภาวะภัยพิบัติ ซึ่งผู้ปฏิบัติการ
จะต้องพิจารณาดูว่ามีส่ิงใดบ้างที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ร่วมงาน และผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือผู้ป่วย
ผู้ปฏิบัติการต้องตระหนักว่า “หากผู้ปฏิบัติการเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตัวผู้ปฏิบัติการคนน้ัน ก็จะไม่มี
ประโยชน์สาหรบั ผเู้ จ็บป่วยฉุกเฉนิ ”
หลักสาคัญของการประเมินสถานการณ์
1. การใชอ้ ปุ กรณ์ป้องกนั ตนเอง (body substance isolation :BSI)
2. การประเมนิ ความปลอดภยั ของสถานท่ีเกิดเหตุ (scene safety)
3. การประเมินกลไกการบาดเจ็บหรือเจบ็ ป่วย (mechanism of injury: MOI or nature of illness:
NOI)
4. การประเมินจานวนผเู้ จบ็ ปว่ ยฉุกเฉิน(number of patient)
5. การขอแหล่งสนบั สนนุ เพ่มิ เติม(additional resources)
การใช้อปุ กรณ์ป้องกันตนเอง (body substance isolation: BSI)
ผ้ปู ฏบิ ตั กิ าร ควรปฏิบัตติ นตามมาตรฐานการป้องกันตนเอง(standard precaution) ตามสภาพผปู้ ่วย
ฉกุ เฉนิ ใชอ้ ุปกรณป์ ้องกันตนเองทีเ่ พยี งพอและเหมาะสม สาหรับแต่ละสถานการณ์ เชน่ หนา้ กาก กาวน์
แว่นตา ถุงมือ รองเท้าบตู๊ เปน็ ต้น รวมทง้ั ผู้ปฏิบตั ิการควรจะตอ้ งทราบแนวทางในการใชอ้ ปุ กรณ์ป้องกันตนเอง
แต่ละชนิด ดงั น้ี
1. การป้องกนั การแพร่กระจายเชื้อ
1.1 ล้างมือ/สขุ อนามยั ส่วนบุคคล
1.2 การทาความสะอาด และการทาลายเชอื้ หลงั การใชอ้ ปุ กรณ์
2. การใชอ้ ุปกรณ์ในการป้องกันการสมั ผัสสารคัดหลั่ง
2.1 ป้องกนั ดวงตา โดยการสวมแวน่ ตา
2.2 ถงุ มอื ถงุ มอื นับวา่ เปน็ อปุ กรณ์การป้องกันตนเองหลัก ที่ผูป้ ฏิบัติการควรจะต้องใช้ในทกุ ๆ
ปฏบิ ัตกิ าร และควรเปล่ียนทุกครง้ั เมื่อจะสมั ผสั ผปู้ ว่ ยรายอ่ืน
2.3 กาวน์ หรอื ผ้ายางกันเปื้อน ใชใ้ นกรณที มี่ ีการกระเดน็ เป้ือนมาก ๆ เช่น บาดแผลจากอบุ ัตเิ หตุ
รนุ แรง การคลอดบุตร เปลย่ี นเมอ่ื มีความจาเป็น
2.4 ผ้าปิดปาก – จมูก (mask) ใช้ในกรณีที่อาจมีการกระเด็นของเลือด หรือสารคัดหล่ัง หรือกรณี
สงสัยวา่ ผปู้ ว่ ยมกี ารตดิ เชอ้ื ของโรคท่ตี ิดตอ่ ทางลมหายใจ
การประเมนิ ความปลอดภัยของสถานทเี่ กดิ เหตุ (scene safety)
ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ เป็นส่ิงสาคัญท่ีผู้ปฏิบัติการทุกคนต้องตระหนักและพึงปฏิบัติ
เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อภาวะอันตรายจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อตัว
ผู้ช่วยเหลือ ถ้าประเมินสถานการณ์แล้วพบว่าไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ผู้ปฏิบัติการก็ไม่ควรเสี่ยงเข้าไปใน
สถานการณ์น้ันๆ ทงั้ น้ีเพอ่ื การป้องกันไม่ใหผ้ ู้ชว่ ยเหลอื ได้รบั อนั ตราย รวมทง้ั การป้องกันไม่ให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
ไดร้ ับอนั ตราย และถ้าประเมินสถานการณแ์ ลว้ พบว่า ที่เกิดเหตุไม่มีความปลอดภัย ผู้ปฏิบัติการไม่ควรจะเข้าไป
ในท่ีนั้น ๆ พร้อมทั้งหาแนวทางในการทาให้สถานการณ์นั้นมีความปลอดภัยเพียงพอ ที่จะสามารถเข้าไป
ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินได้ สถานการณ์ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุเป็นพลวัต(dynamic)ท่ีสามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังน้ันผู้ปฏิบัติการจึงจาเป็นต้องมีการประเมินอยู่ตลอดเวลา มีสติ อยู่ทุกขณะ
เพื่อท่ีจะสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที เมื่อมีการเปล่ียนแปลงในสถานการณ์นั้นๆ โดยไม่ให้
ตนเอง ผ้รู ว่ มทีม ตลอดจนผู้อยู่ในเหตกุ ารณ์หรอื ผ้ปู ่วย ไม่ให้ได้รับอนั ตรายเพม่ิ
สิ่งทีค่ วรปฏบิ ตั ิเพื่อทาให้สถานการณป์ ลอดภัย ในสถานการณ์ต่างๆ เชน่
กรณีอบุ ตั เิ หตจุ ราจร
1. เมอ่ื เกดิ เหตุการณอ์ บุ ัตเิ หตุจราจร ใหส้ ังเกตส่ิงทเ่ี ปน็ อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตจากสถานการณ์
อบุ ตั ิเหตจุ ราจร เชน่ หมอ้ แปลงไฟฟา้ สายไฟ เสาไฟ ไฟไหม้ ระเบิด วัตถุอันตราย สภาพการจราจร สภาพถนน
จุดท่ีเกิดเหตุ
2. ตดิ ตอ่ ประสานงานกับโรงพยาบาล หน่วยกูภ้ ัย ตารวจ หรอื หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องฯลฯ
ในกรณที สี่ ถานการณ์รนุ แรงเกินความสามารถท่ีจะกระทาได้เอง
กรณีวัตถอุ นั ตรายหรือสารเคมี
1.เม่ือสงสยั ว่าเหตุการณน์ นั้ เป็นเหตุการณ์ทเ่ี กดิ จากวัตถอุ นั ตราย กอ่ นเข้าไป ณ จดุ เกดิ เหตุ
ส่ิงทพี่ ึงปฏบิ ตั ิ ตอ้ งพยายามหาข้อมลู ว่าวัตถุอนั ตรายนัน้ คืออะไร และจะทาให้เกิดอันตรายตอ่ ผู้ชว่ ยเหลอื
อย่างไร
2.ประสานงานให้มีผู้เช่ยี วชาญเรื่องวตั ถุอนั ตรายโดยเฉพาะเขา้ ควบคุมสถานการณ์
กรณีการทารา้ ยรา่ งกาย/จลาจล
1. ประสานเจ้าหนา้ ท่ตี ารวจควบคมุ สถานการณน์ นั้ ให้ได้ก่อนท่ีจะเข้าไปใหก้ ารดแู ลรกั ษา
2. การปฏิบัติงานในสถานการณอ์ าชญากรรม ห้ามเขา้ ไปยงุ่ เกี่ยวในเหตกุ ารณ์ ยกเวน้ ในเร่อื งการ
ดแู ลรกั ษาผู้ป่วยเท่านน้ั และการเก็บรักษาหลักฐานพยานตา่ ง ๆ
การประเมนิ กลไกการบาดเจ็บหรือการป่วยฉุกเฉิน (mechanism of injury: MOI or nature of illness:
NOI)
การประเมินกลไกการบาดเจ็บหรือการป่วยมีความสาคัญสาหรับการวางแผนการเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยได้
อย่างเหมาะสม ทาให้ผู้ปฏิบัติการสามารถค้นหาปัญหาของผู้ป่วยได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การดูแล
ผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเรว็ และทันท่วงทีมากขึน้
กรณีป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุ เป็นการพิจารณาถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้บาดเจ็บเพื่อพยากรณ์
อวัยวะท่ีได้รับบาดเจ็บและวางแผนให้การช่วยเหลือ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของเหตุการณ์ในสถานที่เกิด
เหตุ เชน่ สภาพของรถ ลักษณะการชน ความเร็วของรถ ข้อมูลสภาพของผู้บาดเจ็บ เช่น ระดับความรู้สึกตัว ใน
เหตกุ ารณน์ น้ั มีผเู้ สยี ชีวิตหรอื ไม่ หรอื มผี ูบ้ าดเจ็บตดิ ภายในหรอื กระเด็นออกนอกรถหรือไม่
การประเมินกลไกการบาดเจ็บ (mechanism of injury: MOI) สามารถประเมินได้โดยการสอบถาม
จากผู้ป่วย ครอบครวั หรอื ผู้เห็นเหตกุ ารณ์ ซ่ึงข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการประเมนิ กลไกการบาดเจ็บ จะทาให้ผู้ปฏิบัติการ
สามารถคาดการณ์ไดว้ ่าการบาดเจ็บในครั้งน้ี ส่งผลกระทบต่อการทาหนา้ ท่ีของอวัยวะส่วนตา่ งๆอยา่ งไร
กรณีป่วยฉุกเฉินท่ีไม่ใช่จากอุบัติเหตุ เป็นการพิจารณาจากข้อมูลอาการของผู้ป่วยฉุกเฉิน(nature of
illness: NOI) ผู้ปฏิบัติการสามารถสอบถามลกั ษณะอาการ การปว่ ยฉกุ เฉนิ จากครอบครัว หรือญาติ โดยข้อมูล
เบ้ืองต้นบางส่วนได้จากศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ ก่อนมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว เช่น “รับแจ้งว่าเป็นผู้ป่วยมีอาการ
เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก” หรือ “เป็นผู้ป่วยหมดสติ ปลุกไม่ตื่น”เป็นต้น ซ่ึงข้อมูลเหล่าน้ี ผู้ปฏิบัติการ
สามารถนาไปใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการซักถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ป่วยหรือญาติ เพ่ือให้สามารถคาดการณ์ได้
ในเบ้ืองต้นว่าการป่วยฉุกเฉินของผู้ป่วยรายนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับระบบใดของร่างกายหรือโรคอะไรได้บ้าง
เพอ่ื ทจ่ี ะวางแผนการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมต่อไป
การประเมินจานวนผู้ป่วยฉุกเฉิน (number of patients)
เปน็ การประเมนิ ดวู ่าในเหตุการณ์น้ันมจี านวนผ้ปู ว่ ยฉกุ เฉนิ จานวนเท่าใด จาเป็นต้องใช้แผนอบุ ตั เิ หตุหมู่
หรือปฏิบตั ิการด้าน สาธารณภยั หรอื ไม่ เพ่ือวางแผนการช่วยเหลอื และขอกาลงั สนับสนุน
การขอแหลง่ สนบั สนนุ เพิม่ เตมิ (additional resources)
พจิ ารณาว่าในเหตุการณ์ครง้ั นั้น จาเปน็ ต้องขอความชว่ ยเหลอื ก่อนจากหน่วยงานอืน่ ทเี่ กี่ยวขอ้ งหรอื ไม่
เชน่ หน่วยดบั เพลงิ เจ้าหน้าทตี่ ารวจมูลนธิ ิ ก้ภู ยั ตา่ ง ๆ หรือชุดปฏิบัตกิ ารฉุกเฉินระดับสูง เปน็ ตน้
การประเมนิ ผ้ปู ่วยฉุกเฉนิ
(assessment)
บทนา
การประเมินผปู้ ่วยฉกุ เฉนิ เป็นบทบาทสาคัญมากของผู้ปฏิบัติการ ที่จะต้องทาการประเมินผู้ป่วย ในทุก
ครั้งท่ีออกปฏบัติการฉุกเฉิน ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉิน อาจเป็นผู้ป่วยที่มีการเจ็บป่วยที่รุนแรง หรือเป็นผู้ป่วยทีมีการ
เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยหรือปานกลาง ทั้งนี้ หลังการประเมินผู้ป่วยแล้ว ผู้ปฏิบัติการจะต้องสามารถบอกได้ว่า
ผู้ปว่ ยฉกุ เฉนิ รายน้ันๆ มีความรุนแรงของการเจบ็ ปว่ ยมากหรอื น้อย จะต้องใช้การประเมนิ แบบใด จึงจะเหมาะสม
เพ่ือใหผ้ ปู้ ่วยได้รบั การดแู ลทีม่ ีประสทิ ธิภาพสูงสดุ
1.การประเมินเบ้อื งต้น (primary assessment)
การประเมินเบ้ืองต้น เป็นการประเมินสภาพผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่ผู้ปฏิบัติการจะต้องกระทาเป็นลาดับแรก
หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่ามีความปลอดภัยเพียงพอในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งการประเมิน
เบื้องต้น ณ จุดเกิดเหตุต้องใช้ทักษะ ความรู้ ความสามารถของผู้ปฏิบัติการ ภายใต้การตัดสินใจท่ีรวดเร็ว เพ่ือ
ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้มีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด โดยใช้เวลาในการประเมินไม่เกิน 30 วินาที เพ่ือค้นหา
ปญั หาเรง่ ดว่ นท่เี ป็นภาวะคกุ คามต่อชีวติ (life threatening) โดยมีขั้นตอนในการประเมิน ดงั น้ี
1. การประเมินสภาพทั่วไปของการเจ็บป่วย (general impression)
2. การประเมนิ ความรสู้ ึกตวั (level of consciousness : LOC)
3. การประเมินทางเดนิ หายใจ (airway)
4. การประเมินการหายใจ (breathing)
5. การประเมนิ การไหลเวยี นโลหติ (circulation)
การประเมินสภาพท่วั ไปการเจบ็ ปว่ ย (general impression)
เป็นการประเมินสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวผู้ป่วย และอาการสาคัญของผู้ป่วย โดยใช้การสังเกต
อย่างรวดเร็ว แยกให้ชัดเจนว่าเป็นการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไปหรือได้รับบาดเจ็บ ถ้าแยกไม่ได้หรือไม่แน่ใจให้
การดแู ลเหมือนผ้ปู ว่ ยไดร้ บั บาดเจ็บ ผูป้ ระเมินทาการประเมินดว้ ยการสังเกตก่อนการเข้าไปสัมผัสตัวผู้ป่วยโดยให้
ได้ข้อมูลสาคัญที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ สภาพผู้ป่วยท่ีไปพบ อยู่ในสภาพอย่างไร มีวัถตุหรือกล่ินท่ีผิดปกติอยู่ใน
พนื้ ที่ใกลๆ้ หรือไม่ เพศ และอายุของผ้ปู ว่ ยโดยประมาณ
การประเมินความรสู้ กึ ตัว (level of consciousness : LOC)
ถ้าในข้ันตอนของการการประเมินสภาพทั่วไปการเจ็บป่วย พบว่า ผู้ป่วยนอนแน่นิ่งอยู่ หากเป็น
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือไม่รู้สึกตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนทาการประเมินระดับความรู้สึกตัว
ให้ยึดตรึงกระดูกสันหลังส่วนคอ(c-spine protection) ให้อยู่กับท่ีไว้ก่อนเสมอ ก่อนทาการช่วยเหลืออย่างอื่น
ตอ่ ไป
ก่อนทาการประเมินผู้ป่วยทุกครั้ง ผู้ปฏิบัติการต้องแนะนาตัวว่าเป็นใคร มาจากหน่วยงานใด และจะ
มาทาการช่วยเหลือผู้ป่วย แล้วจึงทาการประเมินความรู้สึกตัวตามลาดับ โดยใช้หลักการประเมินระดับคาม
รสู้ กึ ตวั ที่ใช้ไดง้ ่ายและสามารถตรวจได้อยา่ งรวดเร็ว ไดแ้ ก่ จาแนกระดับความรสู้ กึ ตัว เป็น A-V-P-U ดังน้ีมีดงั น้ี
- A= Alert รู้สึกตวั ดี
- V= Response to verbal stimuli ตอบสนองต่อเสียงเรยี ก
- P= Response to painful stimuli ตอบสนองตอ่ ความเจบ็ ปวด
- U= unresponsive ไมร่ ้สู ึกตวั
หมายเหตุ ในการประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย ถ้าประเมินพบว่า ผู้ป่วยไม่มีการตอบสนอง /
ไมห่ ายใจหรอื หายใจเฮอื ก ใหเ้ ริ่มปฏบิ ตั ติ ามขัน้ ตอนการช่วยฟนื้ คืนชีพ (CPR 2015) เลย
การประเมินทางเดนิ หายใจ (airway)
เป็นการประเมินผู้ป่วย เพ่ือตรวจดูว่ามีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น และต้องช่วยชีวิตแบบฉุกเฉินหรือไม่
ถ้าผู้ป่วยทีไ่ ม่มปี ฏกิ ิรยิ าตอบสนองต่อการกระตุ้น แสดงว่าอาจมีภาวะอดุ กน้ั ทางเดนิ หายใจ
1. ถา้ ผ้ปู ว่ ยพูดคยุ ได้ / ร้องไห้ได้ แสดงว่าไม่น่าจะมปี ญั หาภาวะทางเดนิ หายใจอดุ กน้ั
2. ถ้ามีภาวะทางเดินหายใจอดุ กั้น เปิดทางเดนิ หายใจ ดว้ ยวธิ ี manual airway maneuver
เพือ่ ป้องกนั ลิน้ อดุ ก้ันทางเดนิ หายใจ
- ใชว้ ิธี Head tilt-chin lift ในผ้ปู ว่ ยฉุกเฉินทว่ั ไป
ภาพแสดง การเปดิ ทางเดนิ หายใจด้วยวธิ ี Head tilt-chin lift
- ใชว้ ธิ ี Jaw thrust หรอื Chin lift ในผปู้ ว่ ยอบุ ตั ิเหตุ
ภาพแสดง การเปิดทางเดนิ หายใจ ดว้ ยวิธี Jaw thrust
3. ดแู ลทางเดินหายใจให้โล่ง ถ้าทางเดนิ หายใจไม่โลง่ ควรตอ้ งทาทางเดินหายใจใหโ้ ล่งทันที ก่อนทาการ
ประเมินการหายใจต่อไป เชน่ ดดู เสมหะ
การประเมินการหายใจ (breathing)
เปน็ การประเมนิ ว่าผปู้ ่วยหายใจได้หรือไม่ และถ้าหายใจได้ ลักษณะการหายใจเป็นอย่างไร (หายใจเร็ว
หายใจช้า หรอื ไมห่ ายใจ) โดยการดู และสังเกตการเคลอื่ นไหวของทรวงอก ไม่มีภาวะเขียวท่ี ริมฝีปาก ปลายมือ
ปลายเท้า ผู้ป่วยพูดได้เป็นประโยค หากประเมินพบว่ามีลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ ให้ทาการช่วยเหลือท่ี
เหมาะสม เชน่ การให้ออกซิเจน หรอื การใช้ self- inflating bag เป็นต้น
การประเมนิ การไหลเวยี นโลหิต (circulation)
เป็นการประเมนิ เพ่ือดูความเพียงพอของปริมาณเลือดในระบบไหลเวียน โดยการประเมินดังนี้
1. ตรวจชีพจร
โดยคลาชีพจรทค่ี อ (carotid pulse) และข้อมือ เปรียบเทยี บกัน เพ่ือประเมนิ ภาวะช็อคจากการ
สญู เสยี เลือด และประมาณการค่าความดันโลหติ ซสิ โตลคิ (systolic Blood pressure) ดังนี้
- คลาชีพจรไดท้ ค่ี อ ประมาณคา่ systolic BP ประมาณ 60 มลิ ลิเมตรปรอท
- คลาชีพจรได้ทข่ี าหนีบ ประมาณคา่ systolic BP ประมาณ 70 มิลลิเมตรปรอท
- คลาชีพจรได้ทข่ี ้อมือ ประมาณคา่ systolic BP ประมาณ 80 มิลลเิ มตรปรอท
grเ
2. ประเมนิ ผิวหนัง โดยดูสผี ิว อุณหภูมิ ความช้นื เชน่ ภาวะเหงื่อออก ตัวเยน็ ช้นื แหง้ หรอื ร้อน
สผี ิวซดี หรอื เขียวคลา้
3. ตรวจการคืนกลับของเลอื ดในหลอดเลือดฝอย (capillary refill) ในผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยการกดบริเวณ
เล็บของผู้ป่วยฉุกเฉิน แล้วปล่อย ถ้ามีการไหลกลับภายใน 2 วินาที ถือว่าปกติ แต่ถ้านานกว่า 2 วินาที ถือว่า
ผิดปกติ
4. ประเมินจุดเลือดออกมาก (major bleeding) โดยการดูตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้าอย่างรวดเร็วว่า
มีตาแหน่งใดของร่างกายท่ีมีเลือดออกจานวนมาก ที่อาจทาให้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ และสังเกตเส้ือผ้าภายนอกว่ามี
สว่ นใดท่ีชุ่มเลอื ด ถ้าพบวา่ ตาแหน่งใดมีเลือดออกมากๆ ใหท้ าการห้ามเลอื ดไวก้ อ่ น
ข้อมูลที่ผู้ปฏิบัติการได้จากการประเมินเบ้ืองต้นน้ี หากพบว่ามีความผิดปกติและเกินศักยภาพของ
พนกั งานฉุกเฉินการแพทย์ ให้แจง้ ขอรบั การสนับสนุนการจากชุดปฏิบัติการในระดับที่สูงกว่ามาทาการช่วยเหลือ
ผู้ป่วยต่อไป เช่น ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว หรือประเมินพบว่ามีปัญหาเก่ี ยวกับทางเดินหายใจ การหายใจ
และการไหลเวียน
การประเมินเบื้องต้น เป็นการประเมินที่จะต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยฉุกเฉินทุกราย โดยมีขั้นตอนในการ
ปฏิบตั ิ ดงั ที่กลา่ วมา แตม่ เี หตผุ ลสาคัญ 4 ประการ ท่ีจะต้องหยดุ การประเมนิ เบื้องต้นชั่วคราว ไดแ้ ก่
1) หัวใจหยดุ เต้น (cardiac arrest)
2) ทางเดินหายใจอดุ กน้ั (airway obstruction)
3) สถานทเี่ กิดเหตไุ ม่ปลอดภยั (scene unsafety)
4) ภาวะคุกคามชวี ิต (life threatening)
การประเมินเบื้องตน้ สาหรับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุหรือป่วยฉุกเฉิน มีแนวทางการ
ปฏิบัติเช่นเดียวกัน แต่ในผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินที่มีประวัติชัดเจนว่าไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ อาจไม่ต้องทาการยึดตรึง
ศีรษะก็ได้ และเม่ือผู้ปฏิบัติการทาการประเมินเบ้ืองต้นแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าผู้ป่วยน้ันมีการบาดเจ็บ
หรือเจบ็ ป่วยทีร่ นุ แรงมากหรอื ไม่ หากพบวา่ เปน็ ผบู้ าดเจบ็ รุนแรง (severe injury) หรือเป็นผู้เจ็บป่วยที่ไม่ทราบ
ประวตั แิ น่นอนหรอื ไม่รู้สกึ ตัว จาเปน็ จะต้องรีบทาการเคลื่อนย้ายนาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ให้รีบรายงานศูนย์รับ
แจ้งเหตแุ ละสั่งการ และทาการประเมนิ ตามระบบอยา่ งรวดเรว็ (rapid scan assessment) แตถ่ ้าขอ้ มูลที่ได้จาก
การประเมนิ เบอื้ งต้นพบว่าถ้าเป็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุท่ีมีการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยไม่มีปัญหาคุกคามต่อชีวิต
หรือถ้าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่สามารถบอกอาการการเจ็บป่วยได้ว่ามีปัญหาบริเวณใด ก็ให้ทาการประเมินเฉพาะ
ตาแหน่งทีเ่ ปน็ ปญั หา (focused assessment) ซ่งึ จะกล่าวตอ่ ไป
2.การประเมินขน้ั ที่สอง (secondary assessment)
ไม่วา่ จะเปน็ ผปู้ ่วยฉกุ เฉินจากอบุ ัติเหตหุ รือผูป้ ว่ ยฉกุ เฉินทางอายุรกรรม การทีจ่ ะสามารถตัดสินว่าผู้ป่วย
ฉุกเฉินรายน้ันๆ เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินท่ีมีระดับความฉุกเฉินเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรง ต้องอาศัยข้อมูลจากการ
ประเมนิ เบือ้ งตน้ (primary assessment) ดงั นน้ั หลังจากประเมนิ สถานการณว์ ่ามีความปลอดภัยเพียงพอท่ีจะ
เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินแล้ว ต้องทาการประเมินเบื้องต้นก่อนเสมอ ก่อนท่ีจะให้การช่วยเหลืออ่ืนๆ ต่อไป
และหลังจากที่ได้ทาการประเมินเบื้องต้นแล้ว และแก้ไขภาวะคุกคามต่อชีวิตท่ีเป็นปัญหาเร่งด่วนแล้ว ข้ันตอน
การปฏิบัติในการประเมินผู้ป่วยต่อไปคือ การทาการประเมินข้ันท่ีสอง (secondary Assessment) ซ่ึง มี
ลกั ษณะการปฏบิ ัติในการประเมิน 2 รูปแบบ ทั้งนี้ ขนึ้ อยู่กับสภาพและอาการผู้ป่วยฉุกเฉินที่ได้ข้อมูลจากผลการ
ประเมินเบอ้ื งต้น (primary assessment) คอื กลมุ่ ผู้ป่วยทม่ี ีอาการไม่คงท่ี และกล่มุ ผปู้ ่วยทม่ี ีอาการคงท่ี
การซักประวัติ (History taking)
หลักการในการซักประวตั ผิ บู้ าดเจ็บ ควรยดึ หลักที่สามารถปฏบิ ัติได้งา่ ย โดยใชเ้ วลานอ้ ยและเขา้ ใจได้
งา่ ย โดยท่ัวไปใชห้ ลัก SAMPLE ในการซกั ประวัติผ้บู าดเจ็บ ดงั น้ี
S (signs and symptoms) คือ อาการและอาการแสดงที่ผ้บู าดเจ็บบอกกลา่ ว
A (allergy) คือ ประวัตกิ ารแพ้ยา อาหาร หรือส่งิ อ่นื
M (medication) คอื ประวตั กิ ารใชย้ า หรอื ยาที่ใช้อยูป่ ระจา
P (past pertinent history) คือ ประวัติการเจบ็ ป่วยในอดตี
L (last meal) คอื อาหาร เครอื่ งด่ืม ท่ผี ูบ้ าดเจ็บได้รับคร้ังล่าสุดกอ่ นเกิดการบาดเจบ็
E (events leading to present illness) คอื เหตุการณ์สาคญั ก่อนการเกดิ เหตุท่ีนามาสู่การบาดเจบ็ ครง้ั น้ี
สาหรับหลกั การในการซักประวตั ิผปู้ ่วยทางอายรุ กรรม ดรู ายละเอียดในบทท่ี 3-5
การประเมินมุ่งส่วนสาคญั (focused assessment)
การประเมนิ มงุ่ สว่ นสาคญั เป็นการประเมนิ ข้นั ทสี่ องทีใ่ ช้สาหรับการประเมินผู้ป่วยฉุกเฉินท่ีมีอาการคงท่ี
(stable) ไมม่ ปี ญั หาคุกคามตอ่ ชีวติ กล่าวคือหลงั จากการประเมินเบ้ืองต้น (primary assessment) พบว่าผู้ป่วย
มีอาการคงที่ ไม่มีปัญหาคุกคามต่อชีวิต ไม่มีปัญหาเร่ือง ทางเดินหายใจ การหายใจหรือระบบการไหลเวียน
รวมทั้งระบบประสาท สามารถใชก้ ารประเมินมุง่ ส่วนสาคญั (focused assessment) ในการประเมนิ โดยไม่ต้อง
ทาการประเมินตามระบบอย่างรวดเร็ว (rapid scan assessment) และอาจพจิ ารณาทาการประเมินตามระบบ
อยา่ งละเอยี ด (detailed assessment) เพอื่ คน้ หาความผดิ ปกตเิ พ่ิมเติมได้
ในผปู้ ว่ ยฉกุ เฉนิ จากอุบัตเิ หตุ ก็จะเปน็ กลมุ่ ทหี่ ลงั การประเมินเบ้ืองตน้ พบว่า มีการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
(Minor injury) ซึ่งผู้บาดเจ็บในกลุ่มนี้ไม่จาเป็นต้องตรวจประเมินให้ครบทุกระบบ สามารถประเมินเฉพาะ
ตาแหนง่ ทผ่ี ู้บาดเจบ็ มอี าการ เนน้ ที่ส่วนของร่างกายทไี่ ด้รับบาดเจ็บ (focused assessment)
แต่ในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินทางอายุรกรรม การประเมินมุ่งส่วนสาคัญ มีความสาคัญมาก เนื่องจากการ
ประเมินมุ่งส่วนสาคัญในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะเน้นเรื่องการซักประวัติและจากการตรวจประเมินในส่วนท่ีมีอาการ
เก่ียวข้องกับการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และตามอาการท่ีผู้ป่วยบอก หากสามารถซักประวัติและประเมินในส่วนท่ีมี
อาการใหไ้ ดข้ อ้ มูลทมี่ คี วามครอบคลมุ จะเปน็ ประโยชน์อย่างยิ่งในการวางแผนการดแู ลผู้ป่วยต่อไป
การประเมนิ ซา้ และประเมนิ ต่อเนื่อง (Reassessment &Ongoing assessment)
เป็นการประเมินเพอ่ื ตดิ ตามและเฝา้ ระวังการเปลยี่ นแปลงอาการของผู้ป่วยฉุกเฉิน เป็นระยะๆ หลังจาก
ที่ได้ทาการประเมินเบื้องต้น และทาการแก้ไขภาวะคุกคามชีวิตในเบ้ืองต้นแล้ว รวมทั้งการประเมินประสิทธิภาพ
การดูแลท่ีได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งจะทาการประเมิน ในขณะการลาเลียงผู้ป่วยเพื่อนาส่ง
โรงพยาบาล หรือระหว่างรอชุดปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับที่สูงกว่า โดยผู้ปฏิบัติการจะต้องทาการประเมินเป็น
ระยะๆ ตามสภาพความรนุ แรงของผูป้ ว่ ยแต่ละราย ดังน้ี
1. ผู้ป่วยที่มีการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากหรือบาดเจ็บสาหัส ควรมีการประเมินผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
ทุก 5 นาที จนกระทง่ั นาผู้ปว่ ยมาถึงโรงพยาบาลหรือจนกว่าชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูงจะมาถึง และรับผู้ป่วย
ไปดูแลตอ่
2. ผู้ป่วยที่มีอาการการเจ็บป่วยที่มีความรุนแรงในระดับปานกลาง ควรมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง
ทุก 15 นาที จนกระทั่งนาผ้ปู ว่ ยมาถงึ โรงพยาบาล
3. ผู้ป่วยท่ีมีอาการการเจ็บป่วยท่ีมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อย ควรมีการประเมินสภาพอย่างต่อเนื่อง
อยา่ งน้อยทุก 30 นาที จนกระท่ังนาผปู้ ว่ ยมาถึงโรงพยาบาล (ถา้ มกี ารนาสง่ โรงพยาบาล)
ในการประเมินผู้ป่วยฉุกเฉินซ้า เป็นระยะๆ นี้ ผู้ปฏิบัติการจะต้องทาการบันทึกผลการประเมิน ในแบบ
บันทึกรายงานด้วย เพ่ือประเมินการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วย และเป็นข้อมูลสาคัญสามารถใช้เป็นข้อมูล
ประกอบการวางแผนการรักษาพยาบาลต่อไป เมือ่ ผู้ป่วยมาถงึ โรงพยาบาล
สิง่ สาคญั ท่ีผู้ปฏิบตั ิการ จะตอ้ งทาการประเมนิ ซ้าอย่างต่อเน่อื ง เพอื่ เฝา้ ระวังการเปลี่ยนแปลงอาการของ
ผูป้ ว่ ยมดี งั นี้
1.การติดตามประเมินอาการการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยเป็นระยะ (monitoring &reassessment)
คอื
1.1 ระดบั ความรู้สึกตวั หรือสญั ญาณทางประสาทและสมอง
1.2 ทางเดนิ หายใจ โลง่ สะดวกดหี รือไม่
1.3 การตรวจวัดสัญญาณชีพ ได้แก่ การประเมนิ หายใจเปน็ อย่างไร หายใจช้า หายใจเรว็ หรอื
ผิดปกติอย่างอ่ืนหรือไม่ การประเมินการเต้นของชีพจร ท้ังอัตราและจังหวะการเต้นของชีพจร ความแรง เบา
รวมทง้ั การวัดความดนั โลหิต (ถา้ สามารถวัดได้)
1.4 การเปลย่ี นแปลงอื่นๆ ทส่ี ังเกตได้ ขณะใหก้ ารดูแลผ้ปู ว่ ย
2.การตรวจดปู ระสทิ ธิภาพของการรักษาพยาบาลเมอื่ แรกรับ ได้แก่
2.1 การเปิดทางเดินหายใจ และการช่วยการหายใจ มีความเหมาะสม ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
หรอื ไม่ เช่น การจดั ทา่ เปดิ ทางเดนิ หายใจ การใหอ้ อกซเิ จนเพยี งพอหรือไม่
2.2 การหา้ มเลอื ด มปี ระสิทธิภาพหรือไม่ สามารถหยดุ เลอื ดได้หรือไม่ หรือมจี ุดเลือดออก
บรเิ วณอน่ื ของร่างกายอีกหรือไม่ วิธีการห้ามเลอื ดเหมาะสมหรอื ไม่
2.3 การดามส่วนทีค่ วรระมดั ระวังการเคล่อื นไหว หรือส่วนท่ีมกี ระดูกหัก เชน่ ผู้บาดเจ็บที่ไม่
รู้สึกตัวได้รับการใส่อุปกรณ์ดามคอหรือไม่ มีบริเวณใดที่มีอาการบวมผิดรูปบ้าง ได้รับการดาม และใช้อุปกรณ์
การดามที่เหมาะสมกับอวยั วะนนั้ ๆ หรือไม่
2.4 ประเมนิ และตรวจรา่ งกายซ้าในตาแหน่งท่ผี ูป้ ่วยมอี าการหรือได้รับบาดเจ็บ
ในระหวา่ งการนาสง่ นอกจากจะตอ้ งทาการประเมินผูป้ ว่ ยอย่างตอ่ เนื่องดังกลา่ วแล้ว ถ้ายังไม่ได้ทา
การซักประวตั ิผูป้ ่วย หรอื ได้ประวตั ิยงั ไม่ครบถ้วน ก็สามารถซกั ประวัติเพ่มิ เติมได้ ในขณะนาสง่
เอกสารอา้ งอิง
Mick JS. Mosby’s paramedic textbook. 4thed. Burlington: Ascend learning company;
2012
Sinclair community college. Paramedic nurse practical skill. Dayton OH: United states
of America; 2016