88/7 ถนนติวานนท์ ต�ำบลตลาดขวัญ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทร. 0-2951-0000, 0-2589-9850-8 โทรสาร 0-2591-5449 E-mail: [email protected] พิมพ์ครั้งที่ 1 จ�ำนวน 100 เล่ม ISBN : 978-616-11-5159-1 พิมพ์ที่ บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จ�ำกัด 158/3 ซ.ยาสูบ 1 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 02 6178611 รายงานประจ�ำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
ค�ำน�ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จัดตั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 โดยเป็นการรวมภารกิจของหน่วยงานซึ่งประกอบไปด้วยสถาบันวิจัยไวรัส สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (เดิม) กองพยาธิวิทยาคลินิก กองกีฏวิทยาทางการแพทย์และส่วนหนึ่งของกองพิษวิทยา มีอ�ำนาจหน้าที่ตามประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาฉบับที่4เล่ม 126ตอนที่98ก หน้า74(ข้อ21)ลงวันที่29ธันวาคม 2552ในการเป็นห้องปฏิบัติการ อ้างอิงด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข และห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา ให้บริการตรวจวิเคราะห์ ทางห้องปฏิบัติการและตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการทางด้านชันสูตรโรค ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา พาราสิต ทางด้านสุขภาพ ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม พิษวิทยา ชีวเคมีทางด้านคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ ก�ำจัดพาหะน�ำโรคและให้บริการการทดสอบความช�ำนาญทางห้องปฏิบัติการ รวมทั้งการให้บริการเชื้อ/สารมาตรฐาน นอกจากภารกิจตามราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทางสถาบันฯ ได้มีแนวทางในการพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการให้ เป็นที่พึ่งพาของประเทศในระดับชาติ(National Reference Laboratory) ซึ่งประกอบไปด้วยการสร้างเครือข่าย ทางห้องปฏิบัติการ (Network) การจัดท�ำศูนย์ข้อมูลด้านชันสูตรโรคระดับชาติ(Data Center) การด�ำเนินการทาง ห้องปฏิบัติการให้ได้คุณภาพมาตรฐานสากลควบคู่กับการพัฒนาหน่วยงานด�ำเนินการแผนทดสอบความช�ำนาญทาง ห้องปฏิบัติการ (Laboratory Quality & PT Provider) การสร้างงานวิจัยและนวัตกรรม (Research & Innovation) และการจัดท�ำคู่มือทางห้องปฏิบัติการส�ำหรับประเทศ (National Laboratory Guideline) รายงานประจ�ำปี2566 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อมูลผลการด�ำเนินงาน ที่ผ่านมาตามแผนปฏิบัติราชการประจ�ำปีของสถาบันฯ ผลงานตามนโยบายและขอสั่งการของคณะผูบริหารกรมฯ ซึ่งมีเนื้อหาประกอบไปด้วยผลงานเด่นของห้องปฏิบัติการ รายงานสถานการณ์จากห้องปฏิบัติการ การเฝ้าระวังโรคทาง ห้องปฏิบัติการ การด�ำเนินงานของศูนย์ฝึกอบรมเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ งานตามค�ำรับรองการปฏิบัติราชการ ผลงานวิจัย รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ บทบาท สวส. ในเวทีโลก สรุปข้อมูลงานบริการตรวจวินิจฉัยหรือยืนยันทาง ห้องปฏิบัติการ และการด�ำเนินงานด้านการบริหารจัดการของสถาบันฯ โดยรายงานประจ�ำปี2566 ฉบับนี้เป็นการ รวบรวมผลการด�ำเนินงานของสถาบันฯ ที่มาจากความร่วมมือของบุคลากรภายในสถาบันฯ และบุคลากรภายนอก ที่เป็นเครือข่ายทางห้องปฏิบัติการทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้บริหารเป็นอย่างดี ทางสถาบันฯ หวังว่าข้อมูลที่ได้จากรายงานประจ�ำปีฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ในเชิงการป้องกัน แก้ไข ส่งเสริมและ สนับสนุนงานชันสูตรและคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้จากห้องปฏิบัติการสู่หน่วยงานทั้งภายในและภายนอก สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท ่านอธิบดีท ่านรองอธิบดีคณะผู้บริหารกรมฯ และคณะผู้บริหารสถาบันฯ รวมทั้ง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยวิทยาศาตร์สาธารณสุขที่ร่วมกันปฏิบัติงาน เสียสละเวลา เต็มใจในการท�ำงาน และช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้คลี่คลายผ่านส�ำเร็จลุล่วงด้วยดี (นายแพทย์อาชวินทร์โรจนวิวัฒน์) ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 3
ค�ำน�ำ 3 สารบัญ 4 ผังโครงสร้าง 8 แผนที่ตั้ง WEBSITE QR CODE 9 ท�ำเนียบผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่ม/ฝ่าย/งาน 10 บทที่ 1 วิสัยทัศน์ พันธกิจ บทบาทหน้าที่ 15 บทที่ 2 ผลงานเด่น 17 2.1 รายงานสถานการณ์โรคจากห้องปฏิบัติการ 17 2.1.1 สถานการณ์โรคโควิดในระบบเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ 17 2.1.2 สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ 19 2.1.3 สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทย 21 2.1.4 สถานการณ์โรคจากห้องปฏิบัติการ (โนโรไวรัส) 21 2.1.5 สถานการณ์เอชไอวีในประเทศไทย ปีพ.ศ. 2565-2566 23 2.1.6 สถานการณ์โรคหัด และหัดเยอรมัน 24 2.1.7 สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า 26 2.1.8 สถานการณ์การตรวจยืนยันเชื้อ Non-typhoidal Salmonella ในระดับสายพันธุ์ 27 2.1.9 สถานการณ์เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ 28 2.1.10 สถานการณ์โรคริกเก็ตเซีย 29 2.1.11 สถานการณ์โรคเลปโตสไปโรสิสทางห้องปฏิบัติการ 31 2.2 การเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ 32 2.2.1 ห้องปฏิบัติการตรวจ “โควิด 19” 32 2.2.2 ห้องปฏิบัติการตรวจ Mpox virus 33 2.3 ผลงานเด่นของกลุ่ม ประจ�ำปี2566 35 2.3.1 กลุ่มแบคทีเรียวิทยาทางการแพทย์ 35 2.3.2 กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ 37 หน้า สารบัญ 4 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.3 กลุ่มเชื้อราวิทยาและพาราสิตวิทยา 39 2.3.4 กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา 41 2.3.5 กลุ่มวินิจฉัยโรคกลาง 42 2.3.6 กลุ่มพันธุกรรมทางคลินิก 43 2.3.7 กลุ่มสัตว์ทดลอง 45 2.4 ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์การแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Training Center for Excellencein MedicalSciences (TEMs)) 46 2.5 งานตามค�ำรับรองการปฏิบัติราชการ 48 ตัวชี้วัดที่ 1.1.1 ระดับความส�ำเร็จของการขอรับรองห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 49 ตัวชี้วัดที่ 1.2.1 จ�ำนวนชุดทดสอบ TB-LAMP ที่เตรียมส�ำหรับการตรวจวินิจฉัยวัณโรค 51 ตัวชี้วัดที่ 1.2.2 ระดับความส�ำเร็จของการพัฒนาสมรรถนะห้องปฏิบัติการและ ระบบเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว 53 ตัวชี้วัดที่ 1.2.3 ระดับความส�ำเร็จในการจัดท�ำแนวทางการขนส่งเชื้อโรคและ ตัวอย่างของประเทศไทย 55 2.6 งานวิจัยและการเผยแพร่ผลงาน 59 2.6.1 งานวิจัย 59 2.6.2 การเผยแพร่ผลงาน 64 2.7 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ 75 2.7.1 ด้านบุคลากร 75 2.7.2 ด้านผลงานวิชาการ 79 2.7.3 ด้านการบริการภาครัฐ 82 2.7.4 ด้านอื่นๆ 82 2.7.5 ด้านสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร 83 หน้า สารบัญ รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 5
บทที่ 3 บทบาท สวส. ในเวทีโลก 84 3.1 โครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาระหว่างประเทศของไทยด้านสาธารณสุขกับ ประเทศเพื่อนบ้าน 84 3.2 โครงการผู้น�ำห้องปฏิบัติการระดับโลก (Global Laboratory Leadership Program; GLLP) 85 3.3 การด�ำเนินการภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation 2005; IHR) 89 บทที่ 4 เรื่องเล่า สวส. 91 4.1 เรื่องเล่าจากผลงานที่ได้รับรางวัล 91 4.1.1 รางวัลจากการน�ำเสนอผลงานวิชาการ 91 4.1.2 รางวัลอื่นๆ 96 4.2 เรื่องเล่าจากห้องปฏิบัติการด้านชันสูตรโรค 98 4.2.1 ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (Biosafety Level 3; BSL3) 98 4.2.2 โครงการรองรับโรคอุบัติใหม่อุบัติซ�้ำ (โครงการ EID) 99 4.2.3 ห้องปฏิบัติการอื่นๆ 102 4.3 เรื่องเล่าจากห้องปฏิบัติการด้านคุ้มครองผู้บริโภค 103 4.3.1 สัตว์ทดลองกับการทดสอบความปลอดภัยของเครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์สุขภาพตามมาตรฐานสากล 103 4.3.2 โครงการ 108 กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ 104 4.4 เรื่องเล่าจากการบริหารจัดการองค์กร 105 4.4.1 การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม 105 4.5 เรื่องเล่าจากการจัดการความรู้ 107 หน้า สารบัญ 6 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
หน้า สารบัญ บทที่ 5 ความรู้สู่ประชาชน 109 FACT SHEET 109 บทที่ 6 ผลการด�ำเนินงานด้านบริหารจัดการ 121 6.1 การด�ำเนินงานด้านระบบคุณภาพ 121 6.1.1 การทดสอบความช�ำนาญทางห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 123 6.1.2 การสอบเทียบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ 128 6.1.3 กิจกรรม 5 ส 131 6.2 การด�ำเนินงานของฝ่ายบริหารทั่วไป ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 134 6.3 การจัดประชุมและอบรมสัมมนา 145 6.3.1 การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา/ฝึกงาน/ดูงาน ให้แก่หน่วยงาน/บุคลากรในประเทศ 145 6.3.2 การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา ให้แก่หน่วยงาน/บุคลากรต่างประเทศ 174 บทที่ 7 กิจกรรมภายในหน่วยงาน 178 7.1 กิจกรรมการจัดประชุม/อบรม/สัมมนาของกลุ่ม/ฝ่าย/งาน 178 7.2 กิจกรรมประจ�ำสัปดาห์ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 187 ภาคผนวก 188 1. งานบริการตรวจวินิจฉัย/ยืนยัน การประเมินคุณภาพชุดตรวจ 188 2. ค�ำสั่งแต่งตั้งคณะท�ำงานจัดท�ำหนังสือรายงานประจ�ำปี2566 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 201 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 7
ผังโครงสร้าง ฝ่ายบริหารทั่วไป งานสารบรรณ งานการเจาหน้าท้ ี่ งานพัสดุ งานยานพาหนะ งานธุรการ งานการเงนิ กลุ่มเชื้อราวิทยาและพาราสิตวิทยา ฝ่ายเชื้อราวิทยาพาราสิต และสัตว์รังโรค ฝ่ายริกเก็ตเซีย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจยวั ิทยาศาสตร์สาธารณสขุ กลุ่มกีฎวิทยาทางการแพทย์ ฝ่ายวิจัยและทดสอบแมลงทาง ชีววิทยา ฝ่ายวิจัยและทดสอบเคมีกำจัดแมลง ฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านแมลงพาหะ นำโรค ฝ่ายอนุกรมวิธานและสนับสนุน งานกีฎวิทยาทางการแพทย์ กลุ่มไวรัสวิทยาทางการแพทย์ กลมไวร ุ่ัสวิทยาทางการแพทย์ 1 ฝ่ายไวรัสระบบทางเดินหายใจ ฝ่ายไวรัสระบบทางเดินอาหาร ฝ่ายไวรัสก่อมะเร็ง ฝ่ายไวรัสตับอักเสบ กลมไวร ุ่ัสวิทยาทางการแพทย์ 2 ฝ่ายไวรัสระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิต ฝ่ายอาโบไวรัส กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา ฝ่ายปฏิบัติการด้านเชื้ออันตรายสูง และภูมิคุ้มกนวั ิทยา ฝ่ายเลปโตสไปโรสีส เมดิออยโดสีส และบรูเซลโลสิส ฝ่ายริกเก็ตเซีย ฝ่ายปฏิบัติการด้านเชื้อถ่ายทอด ทางการให้เลือด อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สายบังคับบัญชา รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่กำกับ ผู้อำนวยการสถาบันวิจยวั ิทยาศาสตร์สาธารณสุข กลุ่มพัฒนาคุณภาพและวิชาการ ฝ่ายพัฒนาระบบคุณภาพและความปลอดภัยทาง ห้องปฏิบัติการ ฝ่ายพัฒนาองค์กรตามระบบราชการ ฝ่ายบริหารงบประมาณและการจัดการโครงการ ฝ่ายแผนงาน กำกับติดตามและประเมินผล กลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ ฝ่ายวิเทศสัมพนธั ์ ศูนย์ทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ กลุ่มพันธุกรรมทางคลินิก ฝ่ายโลหิตวิทยา กลุ่มวินิจฉัยโรคกลาง หน่วยวินิจฉัยโรคกลาง ฝ่ายทรัพยากรกลางทาง ห้องปฏิบัติการ ศูนย์ประสานงานการตรวจวิเคราะห์ และเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ ฝ่ายเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อและ เครื่องมือปลอดเชื้อ กลุ่มแบคทีเรียทางการแพทย์ ฝ่ายแบคทีเรียทั่วไป ฝ่ายซาลโมเนลล่าและชิกเกลล่า ฝ่ายแบคทีเรียลำไส้ ฝ่ายมัยโคแบคทีเรีย ฝ่ายแบคทีเรียไร้อากาศ ฝ่ายตรวจวินิจฉัยแบคทีเรียทาง การแพทย์ กลุ่มพิษวิทยาและชีวเคมี ศูนย์พิษวิทยา กลุ่มสัตว์ทดลอง ศูนย์สัตว์ทดลอง 8 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
แผนที่ตั้ง WEBSITE QR CODE แผนที่แสดงที่ตั้งของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (สวส.) URL: http://nih.dmsc.moph.go.th/login/showimgdetil.php?id=1106 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 9
ต�ำแหน่ง ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ ส�ำนักงาน ภายใน มือถือ ผู้อ�ำนวยการ ดร.นพ.อาชวินทร์โรจนวิวัฒน์ 0 2951 0000-11, 0 2591 1912 99354-5 08 1845 1961 รองผู้อ�ำนวยการ ดร.มาสเกียรติบุญยฤทธิ์ 0 2951 0000-11 99343 08 4021 3555 รองผู้อ�ำนวยการ นายอธิวัฒน์ปริมสิริคุณาวุฒิ 0 2951 0000-11 99312 09 9195 5453 รองผู้อ�ำนวยการ นางสาวอัจฉรียา อนุกูลพิพัฒน์ 0 2951 0000-11 99312 08 9494 8658 ฝ่ายบริหารทั่วไป หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป นางชนันท์ภัสส์พรหมขัติแก้ว 0 2951 0000-11, 0 2581 5449, 0 2598 9865 99200 - หัวหน้างานสารบรรณ นางชนันท์ภัสส์พรหมขัติแก้ว 0 2951 0000-11, 0 2589 3408 99215 - หัวหน้างานการเจ้าหน้าที่ นางสาวปิ่นดารา เทพสิงห์ทอง 0 2951 0000-11 99695 - หัวหน้างานพัสดุ นายณัฐกฤษ ยาใจ นางสาวพษมนวรรณ แพทย์ประเสริฐ (3 ตุลาคม 2565) 0 2598 9865 0 2598 9865 99616 99616 - - หัวหน้างานการเงิน นางชนันท์ภัสส์พรหมขัติแก้ว 0 2951 1299 99251 - หัวหน้างานยานพาหนะ นายด�ำรงฤทธิ์วินิจ 0 2951 0000-11, 0 2589 9860 99249 08 9768 8697 หัวหน้างานธุรการ นายวินัย บางสุด 0 2951 0000-11 99328 - กลุ่มพัฒนาคุณภาพและวิชาการ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาคุณภาพ และวิชาการ นางดวงกมล อัศวุตมางกุร 0 2951 0000-11, 0 2589 9867 99447 08 6974 1111 หัวหน้าฝ่ายพัฒนาระบบ คุณภาพและความปลอดภัย ทางห้องปฏิบัติการ นางดวงกมล อัศวุตมางกุร 0 2951 0000-11, 0 2589 9867 99447 08 6974 1111 หัวหน้าฝ่ายพัฒนาองค์กร ตามระบบราชการ นางสาววราลักษณ์เลิศสุภางคกูล 0 2951 0000-11 99259 08 6620 1450 หัวหน้าฝ่ายบริหาร งบประมาณและการจัดการ โครงการ นางสาวพิมพ์มาดา อณพัชทัศพงศ์ 0 2951 0000-11 99456 09 9249 9647 ท�ำเนียบผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่ม/ฝ่าย/งาน 10 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
ต�ำแหน่ง ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ ส�ำนักงาน ภายใน มือถือ หัวหน้าฝ่ายแผนงาน ก�ำกับ ติดตามและประเมินผล นางสาวสุภาวดีสายแถม 0 2591 0000-11 99456 08 6890 3515 กลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ หัวหน้ากลุ่มความร่วมมือ ระหว่างประเทศ นายอธิวัฒน์ปริมสิริคุณาวุฒิ 0 2951 0000-11 99312 09 9195 5453 หัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ นางสาวพจพร พินรอด นายอธิวัฒน์ปริมสิริคุณาวุฒิ (26 เมษายน 2566) 0 2951 0000-11 0 2951 0000-11 99350-1 99312 - 09 9195 5453 กลุ่มวินิจฉัยโรคกลาง หัวหน้ากลุ่มวินิจฉัย โรคกลาง นางสาวอัจฉรียา อนุกูลพิพัฒน์ 0 2951 0000-11 99312 08 9494 8658 หัวหน้าศูนย์ประสานงาน การตรวจวิเคราะห์และ เฝ้าระวังโรคทาง ห้องปฏิบัติการ นายสุทธิวัฒน์ล�ำใย 0 2951 2153 99248 - หัวหน้าหน่วยวินิจฉัย โรคกลาง นางสาวอัจฉรียา อนุกูลพิพัฒน์ 0 2951 0000-11 99312 08 9494 8658 หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรกลาง ทางห้องปฏิบัติการ นางสาวอัจฉรียา อนุกูลพิพัฒน์ 0 2951 0000-11 99312 08 9494 8658 หัวหน้าฝ่ายเตรียมอาหาร เลี้ยงเชื้อ และเครื่องมือ ปลอดเชื้อ นางทิพมาศ สุทธิวราคม 0 2951 0000-11 99441 08 3021 4197 กลุ่มไวรัสวิทยาทางการแพทย์ กลุ่มไวรัสวิทยาทางการแพทย์ 1 หัวหน้ากลุ่มไวรัสวิทยา ทางการแพทย์1 ดร.พิไลลักษณ์อัคคไพบูลย์โอกาดะ 0 2951 0000-11 99305 08 1751 8634 หัวหน้าฝ่ายไวรัสก่อมะเร็ง ดร.พิไลลักษณ์อัคคไพบูลย์โอกาดะ 0 2951 0000-11 99305 08 1751 8634 หัวหน้าฝ่ายไวรัสระบบทาง เดินหายใจ ดร.พิไลลักษณ์อัคคไพบูลย์โอกาดะ 0 2951 0000-11 99305 08 1751 8634 หัวหน้าฝ่ายไวรัสระบบทาง เดินอาหาร นายรติกร กัณฑะพงศ์ ดร.รัตนา ตาเจริญเมือง (1 พฤษภาคม 2566) 0 2951 0000-11 0 2951 0000-11 99207 99301 08 9896 9617 หัวหน้าฝ่ายไวรัสตับอักเสบ ดร.เกรียงศักดิ์ฤชุศาศวัต 0 2951 0000-11 99313 08 5917 0044 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 11
ต�ำแหน่ง ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ ส�ำนักงาน ภายใน มือถือ กลุ่มไวรัสวิทยาทางการแพทย์ 2 หัวหน้ากลุ่มไวรัสวิทยา ทางการแพทย์2 นางสุมาลีชะนะมา 0 2951 0000-11 99304 08 9079 1304 หัวหน้าฝ่ายไวรัสระบบ ประสาทและระบบไหล เวียนโลหิต นางอัจฉริยา ลูกบัว 0 2951 0000-11 99312 08 6895 7798 หัวหน้าฝ่ายอาโบไวรัส นางสุมาลีชะนะมา 0 2951 0000-11 99304 08 9079 1304 กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา หัวหน้ากลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา ดร.เดชา แปงใจ 0 2951 0000-11 99437 08 5063 2674 หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการด้าน เชื้อถ่ายทอดทางการให้เลือด ดร.สุภาพร สุภารักษ์ 0 2951 0000-11 99185 08 3899 9844 หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ด้านเชื้ออันตรายสูงและ ภูมิคุ้มกันวิทยา นายเรืองชัย โลเกตุ 0 2951 0000-11, 0 2965 9729 98384 08 6062 6316 ฝ่ายเลปโตสไปโรสิส เมลิออยโดสิสและบรูเซลโลสิส ดร.วัชรีสายสงเคราะห์ 0 2951 0000-11 99446 08 9483 4927 กลุ่มแบคทีเรียวิทยาทางการแพทย์ หัวหน้ากลุ่มแบคทีเรีย วิทยาทางการแพทย์ ดร.ปิยะดา หวังรุ่งทรัพย์ 0 2951 0000-11 99302 09 0954 9613 นางสาวอัจฉรียา อนุกูลพิพัฒน์ (8 กุมภาพันธ์2566) 0 2951 0000-11 99312 08 9494 8658 หัวหน้าฝ่ายตรวจวินิจฉัย แบคทีเรียทางการแพทย์ ดร.อรพรรณ ศรีพิชัย 0 2951 0000-11 99302 08 1695 9415 หัวหน้าฝ่ายมัยโคแบคทีเรีย ดร.จณิศรา ฤดีอเนกสิน 0 2951 0000-11, 02 580 1593, 0 2580 1567 98775 09 5252 3475 หัวหน้าฝ่ายแบคทีเรียทั่วไป นายเอกวัฒน์อุณหเลขกะ 0 2951 0000-11 99416 06 2396 5546 หัวหน้าฝ่ายแบคทีเรีย ไร้อากาศ ดร.ปิยะดา หวังรุ่งทรัพย์ นางสาวชุติมา จิตตประสาทศีล (8 กุมภาพันธ์2566) 0 2951 0000-11 0 2951 0000-11 99302 99403 09 0954 9613 08 9110 9720 หัวหน้าฝ่ายซาลโมเนลลา และชิกเกลลา นายชัยวัฒน์พูลศรีกาญจน์ 0 2951 0000-11 99250 08 9890 3342 หัวหน้าฝ่ายแบคทีเรียล�ำไส้ นางสาวศรีวรรณา หัทยานานนท์ 0 2951 0000-11 99417, 99411 08 9045 7039 12 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
ต�ำแหน่ง ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ ส�ำนักงาน ภายใน มือถือ กลุ่มเชื้อราวิทยาและพาราสิตวิทยา หัวหน้ากลุ่มเชื้อราวิทยา และพาราสิตวิทยา ดร.เดชา แปงใจ 0 2951 0000-11 99437 08 5063 2674 หัวหน้าฝ่ายเชื้อราวิทยา พาราสิตและสัตว์รังโรค ดร.เดชา แปงใจ 0 2951 0000-11 99437 08 5063 2674 หัวหน้าฝ่ายริกเก็ตเซีย ดร.เดชา แปงใจ 0 2951 0000-11 99437 08 5063 2674 กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ หัวหน้ากลุ่มกีฏวิทยา ทางการแพทย์ ดร.พรรณเกษม แผ่พร 0 2951 0000-11 99236 08 5920 9868 หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนา ด้านแมลงพาหะน�ำโรค ดร.จักรวาล ชมภูศรี 0 2951 0000-11 99244 08 1925 1224 หัวหน้าฝ่ายวิจัยและ ทดสอบเคมีก�ำจัดแมลง ดร.สุนัยนา สท้านไตรภพ 0 2951 0000-11 99252 - หัวหน้าฝ่ายวิจัยและ ทดสอบแมลงทางชีววิทยา นางสาวนิตยา เมธาวณิชพงศ์ 0 2951 0000-11 99238 08 1541 2439 หัวหน้าฝ่ายอนุกรมวิธาน และสนับสนุนงานกีฎวิทยา ทางการแพทย์ ดร.ภูเบศร์ยะอัมพันธ์ 0 2951 0000-11 99236 - กลุ่มพันธุกรรมทางคลินิก หัวหน้ากลุ่มพันธุกรรม ทางคลินิก ดร.เกรียงศักดิ์ฤชุศาศวัต 0 2951 0000-11 99313 08 5917 0044 หัวหน้าฝ่ายโลหิตวิทยา นางสาวสาวิตรีด้วงเรือง 0 2951 0000-11 99325 08 0443 1194 ศูนย์พิษวิทยา หัวหน้าศูนย์พิษวิทยา นางสาวดุษฎีพลภัทรพิเศษกุล 0 2951 0000-11 99716 - กลุ่มสัตว์ทดลอง หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทดลอง ดร.นวขนิษฐ์สัจจานนท์ 0 2951 0000-11 99230 08 7690 0070 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 13
14 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
วิสัยทัศน์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงของประเทศ ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสาธารณสุข ในการสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรม เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน พันธกิจ ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนที่ 98 ก หน้า 74 ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552 กฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 มีดังนี้ 1. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพ ด้านชันสูตรโรค และด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และสาธารณสุข 2. พัฒนาระบบและก�ำหนดมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพด้านชันสูตรโรค และด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และสาธารณสุข 3. เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านสุขภาพ ด้านชันสูตรโรค และด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และ สาธารณสุข 4. เป็นศูนย์ข้อมูลด้านสุขภาพ ด้านชันสูตรโรค และด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และ สาธารณสุข 5. พัฒนาคุณภาพห้องปฏิบัติการ สนับสนุนด้านวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการชันสูตรโรคแก่ ห้องปฏิบัติการเครือข่าย ห้องปฏิบัติการภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพทางการ แพทย์และสาธารณสุข เพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร วิสัยทัศน์ พันธกิจ บทบาทหน้าที่ บทที่ 1 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 15
6. ด�ำเนินการตามกฎหมายว ่าด้วยเชื้อโรคและพิษจากสัตว์และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและเป็น ศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ 7. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย บทบาทหน้าที่ 1. วิจัยและพัฒนา องค์ความรู้ผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อการวินิจฉัย ป้องกัน ควบคุม และรักษาโรค 2. วิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ และประเมินเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองการระบาดของโรคอุบัติใหม่ โรคข้ามพรมแดน และโรคที่เกิดจากภัยพิบัติ 3. พัฒนาระบบเฝ้าระวังเชิงรุกทางห้องปฏิบัติการของโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุข และแจ้งเตือนภัย 4. พัฒนาคุณภาพและเครือข่ายห้องปฏิบัติการ รวมทั้งก�ำหนดมาตรฐานวิธีวิเคราะห์ด้านการแพทย์และ สาธารณสุข 5. เป็นศูนย์ข้อมูลของเชื้อโรคและพาหะน�ำโรค ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและสารสนเทศภูมิศาสตร์ ด้านสาธารณสุข 6. เป็นศูนย์เก็บรักษาจุลินทรีย์แมลง และตัวอย่างทางการแพทย์ 7. ด�ำเนินการตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง 8. ปฏิบัติงานหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานร ่วมกับหน ่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งในและต ่างประเทศ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 16 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
ผลงานเด่น 2.1 รายงานสถานการณ์โรคจากห้องปฏิบัติการ 2.1.1 สถานการณ์โรคโควิดในระบบเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับ กองระบาดวิทยากองโรคติดต่อทั่วไป สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองกรมควบคุมโรคและศูนย์ความร่วมมือ ไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุขพร้อมด้วยโรงพยาบาลเครือข่าย 14 แห่งทั่วประเทศ ด�ำเนินโครงการ “เฝ้าระวัง สายพันธ์ไข้หวัดใหญ่” ซึ่งได้รวมการติดตามเฝ้าระวังเชื้อก่อโรคโควิด 19 และไวรัสระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ไปในระบบเฝ้าระวังด้วยตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก เพื่อรายงานอุบัติการณ์ของ สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคให้เกิดประสิทธิผล โดยเก็บตัวอย่างผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยอาการปอดบวม ปอดอักเสบ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 กรกฎาคม 2566 จ�ำนวน 5,856 ราย พบผู้ป่วยที่มีผลบวกต่อเชื้อ SARS-CoV-2 ทั้งหมด 479 ราย พบว ่ามีอายุน้อยที่สุดคือ 1 เดือน อายุมากที่สุดคือ 93 ปีเป็นเพศชาย 218 ราย เพศหญิง 261 ราย โดย 98% มีอาการไข้ไอ 50% พบมีน�้ำมูกร่วม และ 2% มีอาการปอดบวม/ปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ สถานการณ์สายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี2565 พบสายพันธุ์โอมิครอน BA.1, BA.2, BA.4, BA.5 และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆในตระกูล ปัจจุบัน Omicron เป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจาย ในประเทศ จากสถานการณ์กลายพันธุ์ภายในสายพันธุ์ของโอมิครอนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นสายพันธุ์ ย่อยหลากหลายกลุ่มในตระกูล รวมถึงสายพันธุ์ลูกผสม ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังคงให้ความส�ำคัญกับการ ติดตาม Omicron จ�ำนวน 9 สายพันธุ์จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตรา การเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ และการกลายพันธุ์ในต�ำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 2 สายพันธุ์ได้แก่ XBB.1.5* และ XBB.1.16* และ สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 7 สายพันธุ์ได้แก่ BA.2.75*, CH.1.1*, XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2*, XBB.2.3* และ EG.5* (ข้อมูล ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2566) บทที่ 2 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 17
ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เฝ้าระวัง การเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด 19 โดยรวบรวมตัวอย่างที่พบ สารพันธุกรรมเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ทั่วประเทศ (ทั้งส ่วนกลางและส ่วนภูมิภาค) ด้วยความร ่วมมือของ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในการน�ำส่งตัวอย่างจากภูมิภาค ทั้งนี้เชื้อไวรัสSARS-CoV-2 มีวิวัฒนาการปรับเปลี่ยน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นของการระบาด ผลการเฝ้าระวังสายพันธุ์กลายพันธุ์ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งจีโนม ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2566 จ�ำนวนรวมทั้งสิ้น 3,518 ตัวอย่าง พบจ�ำนวนและสัดส่วน ของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ดังรูป โดยพบสัดส่วนของสายพันธุ์ลูกผสม XBB* มากถึงร้อยละ 50 ข้อมูลสายพันธุ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 ถึงปัจจุบัน พบการติดเชื้อและแสดงอาการรุนแรงทุกช่วงอายุ (0-70 ปีขึ้นไป) กลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนการติดเชื้อที่พบอาการรุนแรง และเสียชีวิตสูงที่สุด โดยสัดส่วน ของสายพันธุ์ที่พบในผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงสัมพันธ์กับสัดส่วนของสายพันธุ์ที่พบในประเทศเป็นหลักในช่วงเวลานั้นๆ ได้แก่BA.5.2*, BN.1* และ XBB.1.16* ส�ำหรับสัดส่วนของสายพันธุ์ที่พบเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตค่อนข้างมาก ได้แก่สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16*, XBB.1.5*, และ XBB.1.9* ตามล�ำดับ สายพันธุ์ จ�ำนวน B.1.1.529 1 BA.1* 2 BA.2.* 39 BA.2.75.* 76 BA.4* 5 BA.5.2* 100 BA.5* 8 BN.* 77 BN.1.1* 74 BN.1.2* 502 BN.1.3* 678 BQ.1* 33 CH.1* 128 Other 47 XBB.* 272 XBB.1.16* 626 XBB.1.5* 338 XBB.1.9* 512 จ�ำนวนรวม 3,518 เอกสารอ้างอิง https://gisaid.org https://www.who.int/publications/m/item/weekly-epidemiological-update-on-covid-19---27-july-2023 ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก (Public Health Emergency of International Concern) ของโรคโควิด 19 ที่ใช้มานานกว่า 3 ปีหลังพบตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลง และผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยังเน้นย�้ำการเฝ้าระวังเชื้อก่อโรคโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสถานการณ์สาธารณสุขโลก ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร ่วมกับเครือข ่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อ SARS-CoV-2 อย ่างต ่อเนื่อง และเผยแพร ่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย ่างสม�่ำเสมอ เพื่อติดตามผลกระทบจากสายพันธุ์ต่างๆ ที่อาจมีต่อระบาดวิทยา ความรุนแรง ของโรค ประสิทธิผลของมาตรการทางสาธารณสุข และทางสังคม หรือคุณสมบัติ ของอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของเชื้อไวรัส เป็นข้อมูลสนับสนุนการออกแบบการรักษา การให้ยาต้านไวรัส หรือ แอนติบอดีสังเคราะห์ 18 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.2 สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับ กองระบาดวิทยา กองโรคติดต่อทั่วไป สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค และศูนย์ความร่วมมือ ไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุขพร้อมด้วยโรงพยาบาลเครือข่าย 12 แห่งทั่วประเทศ ด�ำเนินโครงการ “เฝ้าระวัง สายพันธ์ุไข้หวัดใหญ่”เพื่อรายงานอุบัติการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่เป็นรายสัปดาห์และรายงานการเปลี่ยนแปลง สายพันธุ์และการดื้อยาเป็นรายเดือน สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคไข้หวัดใหญ ่ให้เกิดประสิทธิผล โดยเก็บตัวอย่างผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยอาการปอดบวม ปอดอักเสบ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 22 กรกฎาคม 2566 จ�ำนวน 7,509 ราย น�ำมาตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ด้วยวิธี Real-time RT-PCR พบผลบวก 674 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.9 ส ่วนใหญ ่พบเป็นไข้หวัดใหญ ่ชนิด A/H3 ร้อยละ 4.9 พบไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H12009 ร้อยละ 2.0 และไข้หวัดใหญ่สับทัยป์B ร้อยละ 2.0 สัดส่วนชนิด ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พบแสดงในรูปที่ 1 รูปที่ 1 แสดงสัดส่วนร้อยละของชนิดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบในปีงบประมาณ 2566 ข้อมูลจากโครงการเฝ้าระวังฯ ในปีพ.ศ. 2565-2566 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงชนิดของเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูกาลต่างๆ นับตั้งแต่รอยต่อของปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาวในเดือนตุลาคม 2565 จนสิ้นสุด ฤดูหนาวในเดือนมีนาคม 2566 พบเชื้อไข้หวัดใหญ ่ชนิด A/H3 เป็นส ่วนใหญ ่และพบไข้หวัดใหญ ่ชนิด B และชนิด A/H12009 ประปราย และเมื่อเข้าฤดูร้อนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ลดลงอย่างชัดเจนและมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นเมื่อเข้าฤดูฝนโดยพบไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H12009 มากขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่า A/H3 นับตั้งแต่ช่วง ปลายเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2566 รายละเอียดแสดงในรูปที่ 2 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 19
รูปที่ 2 แสดงจ�ำนวนตัวอย ่างผู้ป ่วยที่ส ่งตรวจ และผลการตรวจหาเชื้อสาเหตุก ่อโรคไข้หวัดใหญ ่สะสม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 – 22 กรกฎาคม 2566 แหล่งข้อมูล:ผลการเฝ้าระวังเชื้อไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่กองระบาดวิทยาและสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองกรมควบคุมโรค ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ส่วนผลจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เมื่อเทียบกับสายพันธุ์วัคซีน ด้วยวิธีWhole Genome Sequencing พบว ่าตัวแทนของเชื้อไข้หวัดใหญ ่ที่แยกได้จากตัวอย ่างผู้ป ่วย ได้แก่ เชื้อไข้หวัดใหญ ่ชนิด A/H3 พบเป็นสายพันธุ์ A/Darwin/9/2021(H3N2) -like virus เชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1 พบเป็นสายพันธุ์ A/Sydney/5/2021(H1N1)pdm09-like virus และเชื้อไข้หวัดใหญ ่ชนิด B พบเป็นสายพันธุ์ B/Austria/1359417/2021 (B/Victoria lineage)-like virus ซึ่งสอดคล้องกับสายพันธุ์ที่กระทรวงสาธารณสุข ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในเดือนมิถุนายน 2566 โดยเป็นสายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบ quadrivalent vaccines อ้างอิงจากวัคซีนที่ใช้ส�ำหรับประเทศทางซีกโลกใต้ประกอบด้วยเชื้อ 4 สายพันธุ์คือ • an A/Sydney/5/2021 (H1N1)pdm09-like virus; • an A/Darwin/9/2021 (H3N2)-like virus; • a B/Austria/1359417/2021 (B/Victoria lineage)-like virus; and • a B/Phuket/3073/2013 (B/Yamagata lineage)-like virus ในภาพรวมของการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ โดยกระทรวงสาธารณสุข นับตั้งแต่ 1 มกราคม – 22 กรกฎาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ 78,158 ราย อัตราป่วย 118.11 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 1 ราย เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 อย่างไรก็ตามระบบเฝ้าระวังโรคและ สายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ยังคงมีความส�ำคัญและจ�ำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบอุบัติการณ์แนวโน้ม การระบาดใหญ่และการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ที่ต่างไปจากเดิม เพื่อวางมาตรการการควบคุมและป้องกันโรค ได้อย่างเหมาะสมและทันการณ์ เอกสารอ้างอิง 1. Recommended compositionof influenzavirusvaccines foruseinthe2023southernhemisphereinfluenza season https://www.who.int/publications/m/item/recommended-composition-of-influenza-virus-vaccines-for- use-in-the-2023-southern-hemisphere-influenza-season 2. สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ประเทศไทย พ.ศ. 2566 ประจ�ำสัปดาห์ที่ 29 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค 20 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.3 สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทย โรคไข้เลือดออกเดงกีเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งแบ่งเป็น 4 ซีโรทัยป์คือ เดงกี1 เดงกี2 เดงกี3 และ เดงกี4 มียุงลายบ้านและยุงลายสวนเป็นพาหะน�ำโรค จึงมักพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากในช่วงฤดูฝนที่มี แหล่งเพาะพันธุ์ยุงบริเวณที่พักอาศัยมากขึ้น สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทย สัปดาห์ที่ 30 พ.ศ. 2566 รายงานโดยกองโรคติดต่อ น�ำโดยแมลง กรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 8 สิงหาคม 2566 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกรวม 54,148 ราย เสียชีวิต44ราย มีอัตราป่วย81.82ต่อประชากรแสนคน และอัตราป่วยตายร้อยละ0.08ซึ่งจ�ำนวนผู้ป่วยสะสม มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบ ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปี2565 คิดเป็น 3 เท่า และเป็นล�ำดับที่สองเมื่อเปรียบเทียบ ข้อมูลสัปดาห์เดียวกันย้อนหลังห้าปีพบอัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5-14 ปีรองลงมาคือกลุ่มอายุ 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามล�ำดับ ปีพ.ศ. 2566 พบผู้ป่วยสูงสุดในเดือนกรกฎาคม จ�ำนวน 19,673 ราย จังหวัดที่พบ ผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ เชียงราย จันทบุรีตราด น่าน และระยอง งานบริการตรวจวิเคราะห์ของฝ่ายอาโบไวรัส สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข เป็นส่วนหนึ่งของ ระบบเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก ผลตรวจในแต่ละปีถูกน�ำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพยากรณ์โรคและวางแผน รับมือการระบาดในปีงบประมาณพ.ศ.2566 ฝ่ายอาโบไวรัสตรวจตัวอย่างน�้ำเหลืองผู้ป่วยสงสัยโรคไข้เลือดออก เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยและยืนยันการติดเชื้อไวรัสเดงกีนับตั้งแต ่ตุลาคม 2565 ถึง 8 สิงหาคม 2566 มีจ�ำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 133 ตัวอย่าง จากผู้ป่วย 85 ราย โดยแบ่งเป็น 2 วิธีคือ การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ ไวรัสเดงกีวิธีIn-housecaptureELISA จ�ำนวน 102ตัวอย่าง พบผลบวก30ตัวอย่าง (ร้อยละ 29.4)และการ ตรวจสารพันธุกรรมไวรัสเดงกีวิธีReal-time PCR จ�ำนวน 31 ตัวอย่าง พบผลบวก 11 ตัวอย่าง (ร้อยละ 35.5) ซีโรทัยป์ของไวรัสเดงกีที่ตรวจพบ ได้แก่ เดงกี1 จ�ำนวน 4 ตัวอย่าง และเดงกี2 จ�ำนวน 2 ตัวอย่าง จากข้อมูลตัวอย่างที่ส่งมาตรวจ ณ ฝ่ายอาโบไวรัส หากจ�ำแนกเป็นรายภาคพบว่า ภาคเหนือมีจ�ำนวน ส่งตัวอย่างผู้ป่วย 23 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ราย ภาคกลางรวมภาคตะวันออกและตะวันตก 54 ราย และภาคใต้5 ราย สามารถยืนยันผลบวกได้ 12, 1, 20 และ 3 ราย ตามล�ำดับ จังหวัดที่ส่งตัวอย่างตรวจมาก ที่สุดคือสุโขทัย ชนิดของซีโรทัยป์ที่ตรวจพบในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566คือเดงกี1 เดงกี2 และเดงกี3 เดือน ที่มีการส่งตรวจมากที่สุด คือ เดือนพฤษภาคม 2.1.4 สถานการณ์โรคจากห้องปฏิบัติการ (โนโรไวรัส) ไวรัสโนโร (Norovirus) ก่อให้เกิดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร สามารถระบาดได้ง่ายในเวลา อันรวดเร็ว เนื่องจากได้รับเชื้อเพียง 18 ตัว ก็สามารถท�ำให้เกิดการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อได้ไวรัสโนโร ประกอบด้วย 10 จีโนกรุ๊ป (Genogroup) คือ GI - GX โดยจีโนกรุ๊ปที่มักก่อโรคในมนุษย์คือ จีโนกรุ๊ป 1 (GI) และ จีโนกรุ๊ป 2 (GII) พบได้ในคนทุกกลุ่มอายุและทั่วโลก สามารถติดต่อได้จากคนสู่คนโดยกินอาหารหรือ น�้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีอาการอาเจียน ท้องเสีย และอาจมีไข้ร่วมด้วย จากผลการตรวจวิเคราะห์ ตัวอย ่างจากผู้ป ่วย ชนิด อุจจาระ อาเจียน สวอปอุจจาระ และตัวอย ่างจากสิ่งแวดล้อม น�้ำที่ใช้อุปโภค บริโภค รวมทั้งน�้ำแข็ง จากการระบาดในจังหวัดชัยภูมิเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2566 และ จังหวัดภูเก็ต ในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 โดยวิธีMultiplex real-time RT-PCR พบสารพันธุกรรมไวรัสโนโร รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 21
ทั้งจีโนกรุ๊ป 1 (GI) จีโนกรุ๊ป 2 (GII) และการติดเชื้อร่วมของทั้ง 2 จีโนกรุ๊ป จึงได้ด�ำเนินการหาล�ำดับเบส เพื่อศึกษาจีโนทัยป์ (Genotype) พบว่ามีความหลากหลายของจีโนทัยป์ซึ่งประกอบด้วย GI.2, GI.3, GI.4, GI.5, GI.7, GII.2, GII.3, GII.4, GII.8 และ GII.17 โดย GII.17 เป็นจีโนทัยป์ที่พบมากที่สุดในการระบาดที่จังหวัด ชัยภูมิโดยมีความเหมือนกับ GII.17 ที่พบในประเทศเกาหลีใต้ ส่วนสายพันธุ์ที่พบในการระบาดที่จังหวัดภูเก็ต เป็นจีโนทัยป์GII.8ซึ่งมีความเหมือนกับ GII.8 ที่พบในประเทศบราซิล เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลายประเทศจึงท�ำให้มีการหมุนเวียนของจีโนทัยป์ของไวรัสโนโร ที่หลากหลาย ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการระบาดของเชื้อไวรัสโนโรแต่ละจีโนทัยป์อาจเกิดขึ้นจากกลุ่มตัวอย่าง ที่อยู่ในแต่ละจังหวัดที่เกิดการระบาดที่แตกต่างกัน สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการปนเปื้อน ในน�้ำแข็งหรือน�้ำใช้การศึกษาระบาดวิทยาระดับโมเลกุลของเชื้อไวรัสโนโร จึงมีความจ�ำเป็นต่อการเฝ้าระวัง และการวางแผนการป้องกันและควบคุมโรค ซึ่งการศึกษานี้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกด้านคุณลักษณะทาง พันธุกรรมของเชื้อ เส้นทางการระบาดและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการระบาดของเชื้อไวรัสโนโร ส�ำหรับการตรวจหาไวรัสโนโรโดยวิธีMultiplex Real-time RT-PCR นั้น ห้องปฏิบัติการได้ด�ำเนินการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับศูนย์วิทยาศาสตร์ทั้ง 15 แห่งไปเมื่อวันที่ 3-5 เมษายน 2566 และขณะนี้อยู่ระหว่าง ด�ำเนินการทดสอบความช�ำนาญการตรวจวิเคราะห์หาไวรัสโนโรในตัวอย่างผู้ป่วย น�้ำและอาหาร นอกจากนี้ ห้องปฏิบัติการฝ่ายไวรัสระบบทางเดินอาหารได้ด�ำเนินการตรวจวิเคราะห์ล�ำดับเบสไวรัสโนโร โดยวิธีDNA sequencing เพื่อวิเคราะห์สายพันธุ์ไวรัสโนโรที่เป็นสาเหตุและเพื่อให้ทราบเส้นทางการระบาดของเชื้อโนโร ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสนับสนุนการเฝ้าระวังสายพันธุ์ไวรัสโนโร การวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาด ของโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษจากไวรัสโนโร 22 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.5 สถานการณ์เอชไอวีในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2565-2566 ในปี2565 องค์การเอดส์แห ่งสหประชาชาติ(UNAIDS) มีประเด็นส�ำหรับการรณรงค์ด้านเอชไอวี คือ “Equalize: ท�ำให้เท่าเทียม” ซึ่งประเทศไทยได้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหา เอดส์ปีพ.ศ. 2560 – 2573 โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา เพื่อเป้าหมายในการ ลดจ�ำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่ให้เกิน 1,000 คนต่อปีลดการเสียชีวิตจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลง เหลือไม ่เกินร้อยละ 10 จากการคาดประมาณสถานการณ์เอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยในปี2564 คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ประมาณ 6,500คน/ปี(เฉลี่ย18คน/วัน)ผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์9,300ราย/ปี(เฉลี่ย26ราย/วัน)และมีผู้ติด เชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ ประมาณ 520,000คน โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ร้อยละ 97 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ ป้องกัน ในการรณรงค์ให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ตรวจเอชไอวีVCT Day ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ในการตรวจ หาการติดเชื้อเอชไอวีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถตรวจได้ง่าย และให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องปกติหากผล ตรวจพบมีเชื้อก็ให้เข้าสู่ระบบการรักษาฟรีและครอบคลุมทุกสิทธิ์การรักษาและมีประเด็นสื่อสารในการรณรงค์ ตรวจเอชไอวีปี2566 คือ “Normalize HIV Testing: ตรวจฟรีตรวจง่าย ตรวจเอชไอวีให้เป็นเรื่องปกติ” มีการรณรงค์ตรวจเอชไอวีในประเด็นส�ำคัญ ได้แก่ 1. ตรวจฟรีรักษาฟรีคุณภาพชีวิตดีคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ตรวจเอชไอวีฟรีปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาล ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห ่งชาติโดยควรตรวจหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงประมาณ 1 เดือน หากผล ตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่ระบบการรักษาฟรีครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาด้วยยาต้านไวรัสทันที ช่วยลดการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เมื่อกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ตรงเวลาและสม�่ำเสมอจะช่วย กดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดได้ส�ำเร็จจนตรวจไม่พบ ไม่ถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่น ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม ่ ลดการเสียชีวิตเนื่องจากเอดส์หากผลตรวจไม่พบเชื้อจะได้รับค�ำปรึกษาและความรู้ที่ถูกต้องในการป้องกัน 2. ตรวจง ่าย ด้วยตนเอง ตรวจให้เป็นเรื่องปกติชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ท�ำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องปกติเนื่องจากสามารถตรวจได้ง่าย ใช้ตรวจหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงประมาณ 90 วัน ปัจจุบันมี2 ชนิด คือ ชุดตรวจที่ตรวจจากเลือดเจาะปลายนิ้ว รู้ผลภายใน 1 นาทีและชุดตรวจที่ตรวจจากน�้ำในช่องปาก รู้ผลภายใน 20 นาทีตรวจและทราบผลด้วยตนเอง ได้ทุกที่ ทุกเวลา มีความเป็นส่วนตัว และสามารถหาซื้อที่ร้านขายยาทั่วไป นอกจากนี้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข และกองระบาด กรมควบคุมโรค ได้ด�ำเนินการพัฒนาระบบเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในหน่วยบริการ สุขภาพ โดยใช้ชุดตรวจหาการติดเชื้อรายใหม่ชนิดทราบผลเร็ว (HIV-1 Rapid Recency Test) เพื่อใช้เฝ้า ระวังความชุกการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ที่มีประสิทธิภาพ น�ำไปสู่การพัฒนาตอบโต้ทางสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อยุติปัญหาเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทย สถานการณ์เอชไอวีประเทศไทยในปี2565คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่จ�ำนวน 561,578คน (ข้อมูลจาก Thailand Spectrum-AEM, 27 เม.ย. 66) และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง 507,009 คน คิดเป็นร้อยละ 90 (ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป ่วยเอดส์ แห่งชาติ) โดยในปี2564 ระบบบริการ (NAP) มีผู้ลงทะเบียนต้องการดูแลรักษาการติดเชื้อจ�ำนวน 305,493 คน ในจ�ำนวนนี้ได้รับยาต้านไวรัส 289,116 คน คิดเป็นร้อยละ 94.63 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 23
จากสถานการณ์ของกรุงเทพมหานคร โดยข้อมูลของกรมการปกครองในเดือน ธันวาคม 2564 พบว่า จ�ำนวนประชากรในกรุงเทพมหานคร มี5,527,994 คน เป็นเพศชาย 2,592,292 คน เพศหญิง 2,935,702 คน เป็นกลุ่มเยาวชนที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี1,361,578 คน เป็นเพศชาย 696,704 คน เพศหญิง 664,874 คน ในปี2565 คาดการณ์ว่า จากจ�ำนวนประชากรในพื้นที่ทั้งหมดมีประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เข้าถึงยาก มีโอกาสติดเชื้อ เอชไอวีมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย 81,537 คน (เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 42,388 คน และ กลุ่มเสี่ยงต�่ำ 39,235คน )ชายขายบริการทางเพศ4,367คน กลุ่มสาวประเภทสอง 26,804คน พนักงานบริการทาง เพศหญิง 13,770 คน ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด 2,388 คน (ที่มา: ผล AEM กทม. ปี2565) ซึ่งมีการคาดประมาณ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ในปี2565 จ�ำนวน 81,465 คน เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ จ�ำนวน 1,128 คน ซึ่งในจ�ำนวนรายใหม่เหล่านี้เป็นกลุ่มเยาวชนที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปีจ�ำนวน 633 คน (คิดเป็นร้อยละ 56) มีผู้เสียชีวิตภายในปี2565 จ�ำนวน 1,708 คน ข้อมูลจากส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(NAP Program) ในปีพ.ศ. 2564 พบว่า มีผู้ที่ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีและมีชีวิตอยู่ จ�ำนวน 80,827 คน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัส และมีชีวิตอยู่ จ�ำนวน 64,640 คน และมีผลการตรวจพบว่ามีปริมาณไวรัสในกระแสเลือด น้อยกว่า 1,000 copies/mL จ�ำนวน 52,671 คน (ที่มา: ศูนย์รวมข้อมูลสารสนเทศด้านเอชไอวีประเทศไทย HIV Info HUB) 2.1.6 สถานการณ์โรคหัด และหัดเยอรมัน ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 10 สิงหาคม 2566 มีตัวอย่างจากผู้ป่วยไข้ออกผื่น หรือสงสัยหัด หัดเยอรมัน ส ่งตรวจทางห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และศูนย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์จ�ำนวน 301 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต ในจ�ำนวนดังกล่าวตรวจพบผู้ป่วยยืนยันโรคหัด 6 ราย (ร้อยละ 2.0), ผู้ป่วยยืนยันโรคหัดเยอรมัน 3 ราย (ร้อยละ 1.0) ผู้ป ่วยยืนยันโรคหัดจ�ำนวน 6 ราย แยกตามกลุ ่มอายุได้ดังนี้กลุ ่มอายุ 1-4 ปีจ�ำนวน 2 ราย (ร้อยละ 33.3) กลุ่มอายุ5-9 ปีจ�ำนวน 2 ราย (ร้อยละ 33.3) กลุ่มอายุ10-14 ปีจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) และ กลุ่มอายุมากกว่า 35 ปีจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) แยกตามจังหวัดที่พบผู้ป่วย พบที่จังหวัดตราด จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) จังหวัดยโสธรจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) จังหวัดระยอง จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) จังหวัดสกลนครจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) จังหวัดอ�ำนาจเจริญ จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) และจังหวัดอุดรธานีจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) ผู้ป่วยส่วนใหญ่เคยได้รับวัคซีนแล้ว 2 ครั้ง จ�ำนวน 3 ราย (ร้อยละ 50.0) เคยได้รับวัคซีน 1 ครั้ง จ�ำนวน 2 ราย (ร้อยละ 33.3) และไม่ทราบ/ไม่แน่ใจประวัติการได้รับ วัคซีน จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 16.7) ผู้ป่วยยืนยันโรคหัดเยอรมันจ�ำนวน 3 ราย แยกตามกลุ่มอายุได้แก่ อายุน้อยกว่า 1 ปีจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ33.3)อายุ15-24 ปีจ�ำนวน 1ราย(ร้อยละ33.3)และอายุมากกว่า35 ปีจ�ำนวน 1ราย(ร้อยละ33.3) แยกตามจังหวัดที่พบผู้ป่วย พบที่จังหวัดระยอง จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 33.3) จังหวัดสงขลาจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 33.3) และจังหวัดสุราษฎร์ธานีจ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 33.3) ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจประวัติ การได้รับวัคซีน จ�ำนวน 2 ราย (ร้อยละ 66.6) และเคยได้รับวัคซีน 1 ครั้ง จ�ำนวน 1 ราย (ร้อยละ 33.3) ในปีงบประมาณ 2566 มีตัวอย่างส่งตรวจหาสารพันธุกรรมไวรัสหัดและหัดเยอรมัน จ�ำนวน 45 ราย ซึ่งผลการตรวจให้ผลเป็นลบทุกตัวอย่าง 24 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2% 1% 97% Measles positive Rubella positive Non-measles Non-rubella รูปที่ 1 แสดงร้อยละผู้ป่วยยืนยันโรคหัดและหัดเยอรมันจากตัวอย่างส่งตรวจในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (1 ตุลาคม 2565 ถึง 10 สิงหาคม 2566) 0 5 10 15 20 25 30 35 1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 31 33 35 37 39 41 43 45 47 49 51 53 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24 26 28 30 32 34 36 38 40 42 44 46 48 50 52 1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 31 2564 2565 2566 ราย ปีพ.ศ. Non‐measles Non‐rubella Measles positive Rubella positive 2564 2565 2566 รูปที่ 2 กราฟแสดงจ�ำนวนผู้ป ่วยยืนยันโรคหัดและหัดเยอรมันทางห้องปฏิบัติการจ�ำแนกตามวันเริ่มป ่วย รายสัปดาห์(ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึง 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566) รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 25
2.1.7สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า (ข้อมูลถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2566) ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 10 สิงหาคม 2566 มีตัวอย่างส่งตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรัส พิษสุนัขบ้า ด้วยวิธีNested RT-PCR จ�ำนวน 62 ตัวอย่าง จากผู้ป่วยสงสัยโรคพิษสุนัขบ้าจ�ำนวน 14 ราย เป็นเพศชาย 10 ราย เพศหญิง 4 ราย ซึ่งผู้สงสัยป่วยมีอายุอยู่ในช่วง 3 – 75 ปีและมีประวัติได้รับวัคซีนป้องกัน โรคพิษสุนัขบ้า 5 ราย ไม่ได้รับวัคซีน 2 ราย ไม่ทราบประวัติวัคซีน 7 ราย ชนิดตัวอย่างที่ส่งตรวจประกอบด้วย เนื้อสมอง ปัสสาวะ น�้ำไขสันหลัง และปมรากผม โดยชนิดตัวอย่างส่งตรวจน�้ำลายคิดเป็นร้อยละ 31 รองลงมา คือปัสสาวะ ร้อยละ 27 และ ปมรากผม น�้ำไขสันหลัง และเนื้องสมอง คิดเป็นร้อยละ 24 13 และ 5 ตามล�ำดับ รายละเอียดตามรูปที่ 1. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบผลเป็นบวก ในตัวอย ่างผู้ป ่วยสงสัยติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า จ�ำนวน 4 ราย ซึ่งเป็นตัวอย่างส่งตรวจในเดือนมกราคม จ�ำนวน 1 ราย, มีนาคม จ�ำนวน 1 ราย, เมษายน จ�ำนวน 1 ราย และพฤษภาคม จ�ำนวน 1 ราย และให้ผลเป็นลบ จ�ำนวน 10 ราย รายละเอียดดังรูปที่ 2. รูปที่ 1 แสดงจ�ำนวนผู้ป่วยสงสัยโรคพิษสุนัขบ้าที่ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปีงบประมาณ 2566 รูปที่ 2 แสดงร้อยละของจ�ำนวนตัวอย่างส่งตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสพิษสุนัขบ้าด้วยวิธีNested RT-PCR ในปีงบประมาณ 2566 26 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.8สถานการณ์การตรวจยืนยันเชื้อ Non-typhoidal Salmonella ในระดับสายพันธุ์ Non-typhoidal Salmonella เป็นเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella spp.) ก่อให้โรคระบบทางเดินอาหาร หรือที่เรียกว่าโรค Salmonellasis โดยทั่วไปมีการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน และอุจจาระร ่วง พบได้โดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนของเชื้อนี้เข้าไป ความรุนแรงของอาการป ่วย จะแตกต่างไปตามชนิดและปริมาณเชื้อที่บริโภค ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงไม่จ�ำเป็นต้องใช้ยาต้านจุลชีพ เพราะอาการจะหายไปเองภายใน 7 วัน แต่ในผู้ป่วยในกลุ่มที่เรียกว่า YOPI ได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก (Young) ผู้ป่วยที่สูงอายุ (Old) ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ (Pregnant) และผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน (Immune deficient) ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้จ�ำเป็นต้องมีการรักษาและวินิจฉัย จากแพทย์ร่วมกับผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทราบสายพันธุ์และรูปแบบการดื้อยาต้านจุลชีพเพื่อเป็นแนวทาง การรักษาที่เหมาะสม จากข้อมูลการตรวจยืนยันสายพันธุ์ (ซีโรวาร์) ของเชื้อซาลโมเนลา ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฏาคม พ.ศ. 2566 ฝ่ายซาลโมเนลล่าและชิกเกลล่าได้รับตัวอย่างเชื้อบริสุทธิ์ที่ตรวจจากผู้ป่วย อาหาร และสิ่งแวดล้อม จ�ำนวน 96ตัวอย่างจ�ำแนกได้เป็น 33ซีโรวาร์ซีโรวาร์ที่พบสูงสุด5อันดับแรกคือSalmonella Amsterdam, Salmonella Brunei, Salmonella Weltevreden, Salmonella enterica subsp. enterica serovar 42:z4,z23:- และ Salmonella Enteritidis พบในสัดส่วนร้อยละ 12.5, 11.46, 10.42, 9.38 และ 6.25 ตาม ล�ำดับ โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 สายพันธุ์ของเชื้อ Non-typhoidal Salmonella ที่ตรวจพบ 10 อันดับแรก ล�ำดับ สายพันธุ์ จ�ำนวน ร้อยละ 1 Salmonella Amsterdam 12 12.50 2 Salmonella Brunei 11 11.46 3 Salmonella Weltevreden 10 10.42 4 Salmonella enterica subsp. enterica serovar 42:z4,z23:- 9 9.38 5 Salmonella Enteritidis* 6 6.25 6 Salmonella Agona 5 5.21 7 Salmonella enterica subsp. enterica serovar 4,5,12:i:- 5 5.21 8 Salmonella Rissen 4 4.17 9 Salmonella Montevideo 3 3.13 10 Salmonella Muenster 3 3.13 สายพันธุ์อื่นๆ ( 23 Serovar) 28 29.12 * พบจากตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วย (Hemo-culture) จ�ำนวน 2 ตัวอย่าง รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 27
2.1.9 สถานการณ์เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR) จัดเป็นภัยคุกคามที่ส�ำคัญต่อสุขภาพของ ประเทศไทยและทั่วโลก เนื่องจากสถานการณ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับการคิดค้นยาต้านจุลชีพ กลุ ่มใหม ่เพื่อต ่อสู้กับเชื้อดื้อยากลับลดลง สถานการณ์เช ่นนี้ท�ำให้ทุกคนอยู ่ในความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจาก เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ เนื่องจากไม่มียารักษา ดังนั้น การดื้อยาต้านจุลชีพจึงเป็นวิกฤติร่วมของทุกประเทศทั่วโลก ประเทศไทยได้มีการแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีพ.ศ. 2559 เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564 เป็น ยุทธศาสตร์แห่งชาติฉบับแรกเพื่อแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทยอย่างบูรณาการภายใต้แนวคิดสุขภาพ หนึ่งเดียว ซึ่งต่อมาได้มีการขยายระยะเวลาด�ำเนินการจนถึงปี2565 เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี ผลการด�ำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ นับว่าประสบผลส�ำเร็จในหลายประเด็น และสามารถบรรลุ เป้าประสงค์ในการลดปริมาณการบริโภคยาต้านจุลชีพในมนุษย์และในสัตว์ตามเป้าหมาย ตลอดจนการพัฒนา สมรรถนะของระบบจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศที่พัฒนาขึ้นจนเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งได้รับการตรวจประเมินผลการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว ่างประเทศ โดยผู้ประเมินภายนอก (องค์การ อนามัยโลก) อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการท�ำงานเพื่อแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพยังคงมีความท้าทายอยู่อีกมาก เช่น อัตราการป่วยจากเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพที่ยังคงเพิ่มขึ้น และประชาชนยังมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ที่ไม่เพียงพอ จ�ำเป็นต้องด�ำเนินการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคณะกรรมการนโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ จึงมีมติเห็นชอบให้มีการจัดท�ำแผนปฏิบัติการด้านการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 ขึ้น รายละเอียดของแผนปฏิบัติการฯ ฉบับที่ 2 จะเน้นในส่วนของการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยทุกภาคส่วน ส�ำหรับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นผู้ด�ำเนินการหลักในยุทธศาสตร์ที่ 1 การเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพ ภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์คือ ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยา แบบบูรณาการบนแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว และระบบแจ้งเตือนเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศแบบบูรณาการ โดยมีกลยุทธ์ดังนี้ 1. พัฒนาระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาแบบบูรณาการบนแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว 2. พัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการและเครือข ่ายเพื่อตรวจวิเคราะห์การดื้อยาต้านจุลชีพในคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม และห่วงโซ่อาหาร 3. พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อพัฒนามาตรฐานข้อมูล 4. พัฒนาบุคลากรที่มีสมรรถนะในการวิเคราะห์และประมวลผลการจัดการข้อมูลเฝ้าระวังในทุกระดับ 5. เสริมสร้างความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ และพัฒนาระบบแจ้งเตือนการระบาด เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพที่มีความส�ำคัญสูงหรือเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพอุบัติใหม่ในประเทศไทย ดังนั้น การด�ำเนินงานในปัจจุบันและอนาคตของการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข คือ เน้นการร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในและนอกกรมฯ คือ ส�ำนักคุณภาพและความปลอดภัย อาหาร กรมอนามัย กรมปศุสัตว์กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค และส�ำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา ในการสร้างระบบเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาแบบบูรณาการบนแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว เพื่อแก้ปัญหา การดื้อยาต้านจุลชีพให้กับประชาชนในประเทศไทย ตลอดจนให้ข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกเพื่อร่วมมือกับ นานาชาติในการแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาระดับโลกต่อไป 28 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.10 สถานการณ์โรคริกเก็ตเซีย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อริกเก็ตเชีย ด้วยเทคนิค indirect immunofluorescence assay (IFA) 2 โรค ได้แก่ การตรวจหาเเอนติบอดีต่อเชื้อริกเก็ตเซียที่มีสาเหตุมาจาก โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) โดยเชื้อ Orientia tsutsugamushi และโรคมิวรีนไทฟัส (Murine typhus) โดยเชื้อ Rickettsia typhi ซึ่งเป็นวิธีทดสอบโดยใช้ชุดตรวจที่ห้องปฏิบัติการพัฒนาขึ้นเอง จากการเพาะเลี้ยง เชื้อริกเก็ตเซียเพื่อผลิตเป็นชุดทดสอบส�ำหรับงานบริการตรวจวิเคราะห์รวมทั้งสนับสนุนให้เครื่อข ่ายกรม วิทยาศาสตร์การแพทย์และจ�ำหน่ายให้กับห้องปฏิบัติการเอกชน / มหาวิทยาลัย ซึ่งสถานการณ์ของโรคติดเชื้อ ริกเก็ตเซีย และแนวโน้มของโรค จากตัวอย่างส่งตรวจของสถาบันฯ ในปีงบประมาณ 2566 (กันยายน 2565- สิงหาคม 2566) พบว่า มีตัวอย่างส่งตรวจโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย จ�ำนวน 1,041 ตัวอย่าง เฉลี่ย 86.8 ตัวอย่าง ต่อเดือน โดยมีตัวอย่างส่งตรวจมากที่สุดเดือนกันยายน 2565 ร้อยละ 12.58 (131/1,041) รองลงมาได้แก่ เดือนสิงหาคม 2566 ร้อยละ 11.91 (124/1,041) และเดือนมีนาคม ร้อยละ 8.93 (93/1,041) ตามล�ำดับ ดังรูปที่ 1 0 50 100 150 ก.ย.-65 ต.ค.-65 พ.ย.-65 ธ.ค.-65 ม.ค.-66 ก.พ.-66 มี.ค.-66 เม.ย.-66 พ.ค.-66 มิ.ย.-66 ก.ค.-66 ส.ค.-66 131 84 75 78 75 58 93 71 77 83 92 124 จํานวนตัวอย่างส่งตรวจโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย ปีงบประมาณ 2566 0002.00 4.00 6.00 ร้อยละ จํานวนผู้ติดเชื้อริกเก็ตเซีย ปีงบประมาณ 2566 (ร้อยละ) รูปที่ 1 จ�ำนวนตัวอย่างส่งตรวจโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย สถาบันฯ ปีงบประมาณ 2566 (ก.ย. 2565-ส.ค. 2566) เมื่อพิจารณาผลการตรวจวิเคราะห์ในภาพรวม พบการติดเชื้อ O. tsutsugamushi สาเหตุของ โรคสครับไทฟัสร้อยละ 1.10 ซึ่งพบรายงานการติดเชื้อในเดือนธันวาคม 2565 มากที่สุดร้อยละ 5.31 (4/78) รองลงมาได้แก่เดือนตุลาคม 2565 ร้อยละ 3.57 (3/84) และเดือนกันยายน 2565 ร้อยละ 1.53 (2/131) ส�ำหรับการติดเชื้อ R. typhi สาเหตุของโรคมิวรีนไทฟัส พบได้ร้อยละ1.41 ในเดือนเมษายน 2566 โดยผลการตรวจวิเคราะห์ในภาพรวมตลอดปีงบประมาณ พบการติดเชื้อโรคมิวรีนไทฟัสได้ร้อยละ 0.10 ดังรูปที่ 2 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 29
-2.00 0.00 2.00 4.00 6.00 ก.ค.-65 ก.ย.-65 พ.ย.-65 ธ.ค.-65 ก.พ.-66 เม.ย.-66 พ.ค.-66 ก.ค.-66 ก.ย.-66 ร้อยละ จํานวนผู้ติดเชื้อริกเก็ตเซีย ปีงบประมาณ 2566 (ร้อยละ) scrub typhus Murine typhus รูปที่ 2 จ�ำนวนผู้ติดเชื้อริกเก็ตเซีย ที่ส่งตรวจ ณ สถาบันฯ ปีงบประมาณ 2566 (ก.ย. 2565-ส.ค. 2566) ดังนั้นจะเห็นได้ว ่า สถานการณ์และแนวโน้มของโรคสครับไทฟัสจะพบได้มากกว ่าโรคมิวรีนไทฟัส โดยตรวจพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวป่าภูเขา หรือเป็นช่วงที่มีการกระจาย ของพาหะของโรค ได้แก่ ไรอ่อน ตามพื้นที่ทางการเกษตร หรือปศุสัตว์ซึ่งสอดคล้องกับข่าวสารและรายงาน โรคในระบบเฝ้าระวัง 506 ส�ำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค จากแนวโน้มการส่งตรวจที่ยังคงเพิ่มขึ้น ท�ำให้ห้องปฏิบัติการพัฒนาการผลิตชุดตรวจโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย ให้เพียงพอ เพื่อรองรับการตรวจวิเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถผลิตชุดตรวจเพื่อสนับสนุนให้กับเครือข่าย ให้สามารถตรวจได้รวดเร็ว เพื่อการรักษาได้ทันเวลา เป็นการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในกลุ่มไข้ไม่ทราบ สาเหตุเพื่อช่วยวินิจฉัยได้ถูกต้อง แม่นย�ำ นอกจากนี้ทางห้องปฏิบัติการได้พัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อ ริกเก็ตเซียด้วยวิธีเรียลไทม์ พีซีอาร์ซึ่งมีความไวความจ�ำเพาะสูง เพื่อเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 30 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.1.11 สถานการณ์โรคเลปโตสไปโรสิสทางห้องปฏิบัติการ ปีพ.ศ. 2566 (กันยายน 2565-กรกฎาคม 2566) โรคเลปโตสไปโรสิส มีสาเหตุจากเชื้อ Leptospira interrogans สายพันธุ์ก่อโรคที่สามารถติดต่อจาก สัตว์รังโรคสู่คนโดยรับเชื้อจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น เลือดหรือปัสสาวะของสัตว์ผ่านบาดแผลหรือรอย ถลอกบริเวณผิวหนังขณะท�ำกิจกรรมในพื้นที่ชื้นแฉะหรือแหล่งน�้ำท่วมขังที่มีเชื้อเลปโตสไปราปนเปื้อน สาเหตุ หลักของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเลปโตสไปโรสิสเกิดจากภาวะแทรกซ้อนที่ผู้ป่วยแสดงอาการไม่เฉพาะเจาะจงใน ระยะแรกของการติดเชื้อ ดังนั้น แพทย์จ�ำเป็นต้องใช้อาการทางคลินิก การซักประวัติและผลการตรวจวิเคราะห์ ทางห้องปฏิบัติการประกอบการวินิจฉัยโรคเลปโตสไปโรสิสออกจากโรคติดเชื้ออื่นๆ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่ อวัยวะอื่นซึ่งน�ำไปสู่การเสียชีวิตถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง ห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ เปิดให้บริการตรวจวิเคราะห์โรคเลปโตสไปโรสิส ซึ่งวิธีตรวจวิเคราะห์ผ่านมาตรฐานคุณภาพสากล ISO 15189 ในการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคเลปโตสไปโรสิสจากซีรัมด้วยวิธีMicroscopic AgglutinationTest (MAT) หรือ วิธีIndirect Fluorescent Antibody (IFA) ตรวจยีนจ�ำเพาะสารพันธุกรรมเชื้อเลปโตสไปราจากเลือด (EDTA) ด้วยวิธีPolymerase Chain Reaction (PCR) และเพาะเชื้อจากเลือด (heparin) หรือเพาะเชื้อจากตัวอย่างน�้ำ จากแหล่งน�้ำสงสัยการปนเปื้อน โดยช่วงเดือนกันยายน 2565 ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 ห้องปฏิบัติการได้ตรวจ วิเคราะห์ตัวอย่างซีรัมด้วยวิธีMAT จ�ำนวน 429 ตัวอย่าง (ตัวอย่างจากงานบริการตรวจวิเคราะห์157 ตัวอย่าง และงานโครงการวิจัยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 1 แห่ง จ�ำนวน 272 ตัวอย่าง) พบผลบวก 120 ตัวอย่าง ที่ซีรัม ท�ำปฏิกิริยาต่อชนิดซีโรวาร์จากมากไปน้อยที่ระดับไตเตอร์ >1:00 ดังนี้Shermani (109 ตัวอย่าง), Batislava (3 ตัวอย่าง), Cynopteri/Mini/Panama (ซีโรวาร์ละ 2 ตัวอย่าง) และ Grippotyphosa/Hebdomadis (ซีโรวาร์ละ 1 ตัวอย่าง) คิดเป็นเป็นตัวอย่างที่ให้ผลบวกต่องานบริการและงานวิจัยร่วมร้อยละ 10.19 (16/157) และ 38.24 (104/272) ตามล�ำดับ งานบริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างซีรัมส่งตรวจด้วยวิธีIFAจ�ำนวน 234 ตัวอย่าง พบผลบวกที่ให้ระดับไตเตอร์IgM >1: 100 ทั้งหมด 24 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 10.26 ขณะที่ตัวอย่าง เลือด 17 ตัวอย่าง ตรวจไม่พบสารพันธุกรรมเชื้อเลปโตสไปราด้วยวิธีPCR และตรวจไม่พบการเพาะเชื้อจากน�้ำ จากแหล่งน�้ำใกล้บริเวณพบผู้ป่วยสงสัยโรคเลปโตสไปโรสิสที่ส่งในช่วงดังกล่าวข้างต้น 5 ตัวอย่าง ข้อมูลข้าวต้นเป็นเพียงรายงานผลตรวจวิเคราะห์โรคเลปโตสไปโรสิสส ่วนหนึ่งที่ด�ำเนินการภายใต้ ห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ขณะที่ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลมักนิยมตรวจ คัดกรองโรคเลปโตสไปโรสิสด้วยวิธีImmunochromatography (IC) จากชุดตรวจส�ำเร็จรูปเพื่อช่วยแพทย์ รักษาผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรสิสก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่การตรวจยืนยันด้วยวิธีMAT(วิธีมาตรฐานที่ก�ำหนด โดยองค์การอนามัยโลก) หรือการตรวจด้วยวิธีIFA ยังมีความจ�ำเป็น รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 31
2.2 การเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ 2.2.1 ห้องปฏิบัติการตรวจ “โควิด 19” อดีต • สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ที่เมืองอู ่ฮั่น มณฑลหูเป ่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงเดือนธันวาคม 2562 เป็นสถานการณ์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ทั่วโลกยังไม่มีวิธีตรวจทางห้องปฏิบัติการ แบบจ�ำเพาะต่อเชื้อดังกล่าว • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยเทคโนโลยีNext-generation sequencing (ผู้ป่วยรายแรกที่พบนอกประเทศจีน) และพัฒนาต่อยอด สู่วิธีตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยเทคนิค Real-time RT-PCR และขยายขีดความสามารถการตรวจ ทางห้องปฏิบัติการ โดยความร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์จ�ำกัด วิจัยพัฒนา “ชุดตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัส โคโรนา 2019” ปัจจุบัน • ประเทศไทย มีชุดตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งผลิตได้เองในประเทศ ที่มีความไว ความจ�ำเพาะสูง ถูกต้อง แม่นย�ำ สร้างความมั่งคงด้านสุขภาพของประเทศไทย มีแหล่งผลิตชุดน�้ำยาภายใน ประเทศเพื่อการให้บริการตรวจคนไทย และสนับสนุนการคัดกรองเพื่อกักกันในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการ ควบคุมและป้องกันโรคภายในประเทศ • ประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการเครือข ่ายตรวจสารพันธุกรรมโรคโควิด 19 มากกว่า 500 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาแนวทางและควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง • เฝ้าระวังการกลายพันธุ์เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 อนาคต • พัฒนาระบบเฝ้าระวังโดยผนวกเข้ากับการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก • จัดท�ำ Dashboard แสดงข้อมูลการเฝ้าระวัง ผลลัพธ์ 1. ประเทศไทยมีความพร้อมของห้องปฏิบัติการ สามารถเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อในพื้นที่ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการเตรียมมาตรการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และป้องกันได้ทันการ เสริมสร้างความเข้มแข็งของการธ�ำรงรักษาความมั่นคงของประเทศด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ 2. ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ในประเทศ รวมถึงมาตรการด้านสาธารณสุขและสังคมใน การด�ำเนินการด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อตามสถานการณ์ของประเทศ สร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ประชาชนในการด�ำเนินการของภาครัฐเพื่อการตรวจจับสถานการณ์ระบาด/ฉุกเฉินที่ผิดปกติได้ 32 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.2.2 ห้องปฏิบัติการตรวจ Mpox virus โรคฝีดาษวานร (Mpox) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัส ลักษณะอาการคล้ายผู้ป่วย โรคฝีดาษ แต่อาการรุนแรงน้อยกว่า ภายหลังการก�ำจัดโรคฝีดาษได้ส�ำเร็จและการยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษ ในปีพ.ศ. 2523 โรคฝีดาษวานรได้อุบัติขึ้น ส ่วนใหญ ่พบในแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก แต่เมื่อปีพ.ศ.2565 พบการระบาดนอกพื้นที่เสี่ยงในแถบทวีปยุโรป และอเมริกา โรคฝีดาษวานร เกิดจาก เชื้อไวรัสฝีดาษวานร (Mpox virus) สัตว์ที่เป็นพาหะ ได้แก่สัตว์ฟันแทะและสัตว์ตระกูลลิง ไวรัสฝีดาษวานรเป็นไวรัสที่มีดีเอ็นเอสายคู่ที่มีโครงสร้างห่อหุ้มเซลล์ (enveloped double-stranded DNA) ซึ่งเป็นไวรัสในสกุล Orthopoxvirus ของวงศ์Poxviridae ไวรัสฝีดาษวานรมี2 สายพันธุ์หลักที่จ�ำแนก ตามการศึกษาวิวัฒนาการทางพันธุกรรม ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (แถบลุ่มน�้ำคองโก) และสายพันธุ์ แอฟริกาตะวันตก การแพร ่เชื้อของโรคติดต ่อจากสัตว์สู ่คนอาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับเลือด ของเหลว ในร่างกาย รอยโรคผิวหนังหรือเยื่อเมือกของสัตว์ติดเชื้อโดยตรง การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกพอและผลิตภัณฑ์ อื่นจากสัตว์ติดเชื้อ การแพร่เชื้อจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสรอยโรค สารคัดหลั่ง ละอองฝอย และ บริเวณที่ปนเปื้อน รวมถึงการรับเชื้อผ ่านจากแม ่สู ่ลูกในครรภ์ผ ่านทางรก ปัจจุบันยังไม ่แน ่ชัดว ่าโรคฝีดาษ วานรสามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ และจ�ำเป็นต้องท�ำการวิจัยเพื่อเข้าใจความเสี่ยงนี้มากขึ้น ผู้ป่วยจะแสดงอาการของโรคหลังติดเชื้อระหว่าง 0-5 วัน อาการป่วยคือมีไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะ เจ็บคอ ต่อมน�้ำเหลืองโต ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง และอ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน หลังจากมีไข้จะมีผื่นขึ้นที่ ใบหน้าและบริเวณแขนขา มากกว่าที่ล�ำตัวผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้ว หลุดออกมา อาการป่วยประมาณ 2-4 สัปดาห์ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้อัตราตายของโรคพบสูงสุด ในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งอาจสูงถึงร้อยละ 10 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 33
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง รายการเชื้อโรคที่ประสงค์ควบคุมตามมาตรา 18 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2565 ประกาศ ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ก�ำหนดให้Mpox virus เป็นเชื้อโรคกลุ่มที่ 3* หน่วยงาน ต้องมีสถานที่ปฏิบัติงานกับ Mpox virus ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ลักษณะของสถานที่ผลิตหรือ มีไว้ในครอบครอง และการด�ำเนินการเกี่ยวกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์พ.ศ. 2563 การเตรียมความพร้อมตอบโต้สถานการณ์ระบาด/ฉุกเฉินของโรคฝีดาษวานรทางห้องปฏิบัติการ ฝ ่ายไวรัสระบบทางเดินหายใจ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข เตรียมความพร้อมตอบโต้ สถานการณ์ระบาด/ฉุกเฉินของโรคฝีดาษวานร โดยประยุกต์ใช้วิธีReal-time PCR ในการตรวจหาเชื้อ Genus orthopoxvirus (OPXV) และ Mpox virus (MPXV) จากชนิดตัวอย่าง Oropharyngeal swab ของเหลวจาก ตุ่มน�้ำ (vesicles) หรือตุ่มหนอง (pustules) swab จากตุ่มแผลหรือรอยโรคผิวหนังส่วนบนของตุ่มน�้ำ/ตุ่มหนอง (lesion roofs) สะเก็ดแผล (crusted lesion) และถ่ายทอดสู่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์15 แห่ง การตรวจหาสารพันธุกรรม Mpox virus (MPXV) ด�ำเนินการในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 เสริม สมรรถนะ (biosafety level 2enhanced,BSL2+)สวมชุดPPEตามมาตรฐานการปฏิบัติงานและใส่หน้ากาก N95 หรือ FFP2 respirator โดยใช้มาตรการที่ลดโอกาสเสี่ยง ได้แก่ เตรียมตัวอย่างในตู้ชีวนิรภัย (certified Biosafety cabinet class II) เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของตัวอย่าง รวมถึงการปั่นตัวอย่างจ�ำเป็นต้องมีฝาครอบ ภาชนะที่ใส่ตัวอย่างก่อนน�ำเข้าเครื่องปั่นเหวี่ยง ผู้ปฏิบัติงานไม่จ�ำเป็นต้องมีประวัติฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ นอกจากนี้เพื่อให้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ก่อเกิด ประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการด้านการควบคุมโรคของประเทศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มขีดความสามารถ ของห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 โดยจัดเตรียมชุดตัวอย่างทดสอบความ ช�ำนาญส�ำหรับห้องปฏิบัติการที่มีความประสงค์ตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสฝีดาษวานร ปัจจุบันมีเครือข่าย ห้องปฏิบัติการได้รับอนุมัติให้ด�ำเนินการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสฝีดาษวานรแล้ว จ�ำนวน 65 แห่ง กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2566) ผลลัพธ์ ประเทศไทยมีความพร้อมของห้องปฏิบัติการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสฝีดาษวานรกระจายทั่วทุกภูมิภาค ของประเทศไทย ช่วยสนับสนุนการควบคุมโรค การเตรียมมาตรการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และป้องกันได้ทันการณ์ เสริมสร้างความเข้มแข็งของการธ�ำรงรักษาความมั่นคงของประเทศด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ 34 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3 ผลงานเด่นของกลุ่ม ประจ�ำปี 2566 2.3.1 กลุ่มแบคทีเรียวิทยาทางการแพทย์ เรื่อง ความก้าวหน้าของการพัฒนาบริการตรวจวัณโรคด้วยนวัตกรรมชุดตรวจทีบีแลมป์ หน่วยงาน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ฝ่ายมัยโคแบคทีเรีย ปัญหาและความส�ำคัญ วัณโรคเป็นโรคติดต ่อเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ Mycobacterium tuberculosis เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส�ำคัญ ในแต่ละปีมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทั่วโลกจ�ำนวนมาก ผลกระทบ มีต่อสุขภาพและมีผลเสียต่อเศรษฐกิจ แนวโน้มของอัตราการป่วยเป็นวัณโรคของประเทศไทยจากปีพ.ศ. 2543 ถึงปีพ.ศ. 2564 ลดลงอย่างช้าๆ ประมาณ 241 เหลือ 143 ต่อประชากรแสนราย โดยเฉลี่ยลดร้อยละ 4.7 ต่อปี (รวมระยะที่มีการระบาดโรคโควิด-19 ในช่วงปีพ.ศ. 2663-2565 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท�ำให้การตรวจค้นพบ วัณโรคลดลง) ต�่ำกว่าเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกก�ำหนด ปัจจุบันอัตราการป่วยเป็นวัณโรคของประเทศไทย สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 1.1 เท่า และยังไม่บรรลุเป้าหมายการยุติวัณโรคตามแผนปฏิบัติการระดับชาติ การยุติวัณโรคเป็นเป้าหมายในการพัฒนาอย ่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติเป้าหมายที่ 3 คือ การสร้างเสริมให้ประชากรมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส ่งเสริม สวัสดิภาพที่ดีในทุกกลุ่มวัย ซึ่งองค์การอนามัยโลกก�ำหนดเป้าหมายลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่เหลือ 20 และ 10 ต่อประชากรแสนคน ในปีพ.ศ. 2573 และ ปีพ.ศ. 2578 ตามล�ำดับ แต่จากปัจจัยปัญหาต่างๆ เช่น ไม่ได้รับ การตรวจ วิธีการตรวจผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการแต่จ�ำนวนหนึ่งไม่รู้ว่าป่วย เป็นแหล่งโรครวมทั้งการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น แรงงานที่เคลื่อนย้าย เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค และเป็นแหล่งโรค จ�ำนวนผู้ป ่วยรายใหม ่ต ่อปีของประเทศไทยยังไม ่ลดลงตามเกณฑ์ มีผู้ป ่วยที่ไม ่ถูกตรวจพบโรคยังแพร ่โรค มีการติดต่อในชุมชน ต้องเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนวิธีการร่วมกับน�ำนวัตกรรมที่เหมาะสมมาใช้เพื่อการเร่งรัดค้นหา ผู้ติดเชื้อวัณโรคและผู้ป่วยวัณโรคให้ครอบคลุม และรวดเร็ว กิจกรรมและผลการด�ำเนินงาน การพัฒนาวิธีการตรวจทางอณูชีววิทยา เพื่อการตรวจหาเชื้อวัณโรคที่สามารถใช้งานได้ในโรงพยาบาล ระดับต่างๆ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งมีความจ�ำเป็น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาชุดตรวจ วัณโรคด้วยเทคนิคแลมป์ (loop-mediated isothermal amplification, LAMP) โดยการตรวจหาสาร พันธุกรรมที่อุณหภูมิเดียว ไม่ต้องใช้เครื่อง PCR ที่มีราคาแพง ให้ผลตรวจรวดเร็ว สามารถตรวจรู้ผลภายใน 2 ชั่วโมง อ่านผลด้วยการสังเกตการเปลี่ยนสีของน�้ำยาด้วยตาเปล่า จึงเป็นวิธีการตรวจที่ง่าย มีความไวและ ความจ�ำเพาะสูง สามารถใช้ตรวจค้นหาผู้ป่วยวัณโรคได้ในจุดบริการผู้ป่วย ลดปัญหาการส่งต่อตัวอย่างที่อาจ ท�ำให้เกิดความล่าช้า และมีค่าใช้จ่าย ผู้ป่วยวัณโรคได้รับการตรวจและรักษารวดเร็วขึ้น ลดการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากนี้ชุดทดสอบยังมีราคาถูก เพิ่มการเข้าถึงการตรวจ และ สปสช. จัดให้เป็นวิธีการตรวจหนึ่งในชุดสิทธิ ประโยชน์ผลผลิตจากงานวิจัยนี้มีการเผยแพร่ในวารสารนานาชาติและวารสารระดับชาติหลายฉบับ และ ถ่ายทอดแก่หน่วยบริการเพื่อการใช้ประโยชน์ การพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการตรวจวัณโรค เพื่อให้สามารถตรวจวัณโรคได้ด้วยชุดตรวจแลมป์ ท�ำการถ่ายทอดความรู้และเทคนิค น�ำร่องในเขตสุขภาพที่ 1 (ภาคเหนือตอนบน) เขต 2 (ภาคเหนือตอนล่าง) รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 35
และเขต 7 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สร้างการรับรู้แก่หน่วยบริการ 72 แห่ง เพื่อการน�ำไปใช้งานอย่าง กว้างขวางและขยายผล ด�ำเนินการประเมินความถูกต้องในการตรวจวิเคราะห์ตรวจรับรองคุณภาพ และ ขึ้นทะเบียนห้องปฏิบัติการกับ สปสช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และ หน่วยบริการที่สนใจ ขอรับการตรวจประเมินและสามารถเปิดให้บริการตรวจวัณโรคด้วยเทคนิคแลมป์จ�ำนวน 43 แห่ง จ�ำนวนตัวอย่างที่ตรวจวิเคราะห์มากกว่า 3,000 ตัวอย่าง การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์และถ่ายทอดองค์ความรู้ นวัตกรรมได้รับ การจดอนุสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาในปีพ.ศ. 2566 และมีการถ ่ายทอดเทคโนโลยีสู ่การผลิต เชิงพาณิชย์ระหว ่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กับบริษัทเออีซีเฮลธ์แคร์ เพื่อผลิตชุดทดสอบจ�ำหน่ายแก่ ห้องปฏิบัติการตรวจวัณโรคที่ให้บริการตรวจด้วยเทคนิคแลมป์ในพื้นที่ต่างๆ กิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่ส�ำคัญ ในปี2566 ด�ำเนินการจัดกิจกรรมสนับสนุนการใช้งานชุดทดสอบ โดยจัดการแถลงข ่าวและประชาสัมพันธ์ผ ่านสื่อในรูปแบบต ่างๆ ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ออกอากาศ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เรื่อง DMSc-TB FastAmp (TB-LAMP) ชุดตรวจหาเชื้อวัณโรค/ไทยประดิษฐ์ คิดเก่ง และทางสถานีโทรทัศน์MCOT 9 อสมท เรื่อง ชุดตรวจหาเชื้อวัณโรคทีบี-แลมป์เทคโนโลยีเพื่อคนไทย ห่างไกล“วัณโรค”เป็นต้น นอกจากนี้ร่วมออกบูธนิทรรศการ 10 ผลงานเด่นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม และ 9 สิงหาคม 2566 การส่งผลงานประกวดรางวัลเลิศรัฐ ในปี2566 ได้ส่งผลงาน “นวัตกรรมชุดตรวจดีเอ็นเออย่างง่าย กับการพัฒนาบริการการตรวจวัณโรค” เข้าประกวดรางวัลเลิศรัฐ ประจ�ำปีพ.ศ. 2566 ประเภทนวัตกรรม การบริการ ซึ่งผลการพิจารณาได้รับรางวัลเลิศรัฐ ผลงานนวัตกรรมบริการตรวจวัณโรคด้วยชุดตรวจทีบี-แลมป์ ชุดตรวจดีเอ็นเออย ่างง ่ายนี้สามารถใช้งานได้ในห้องปฏิบัติการตรวจวัณโรคทุกระดับ ช ่วยเพิ่มขีด ความสามารถของหน ่วยบริการในการตรวจวัณโรคด้วยวิธีการตรวจสารพันธุกรรมอย ่างง ่าย ซึ่งเป็นวิธีที่มี ประสิทธิภาพ ได้ผลเร็ว และประหยัด เพื่อการตรวจค้นหาวัณโรคได้อย่างทั่วถึง เพิ่มขึ้น ช่วยให้เริ่มการรักษา ได้อย่างรวดเร็ว ลดการแพร่ติดต่อและลดการเกิดโรค สนับสนุนการยุติวัณโรค เพื่อประชาชนสุขภาพดี 36 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.2 กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ เรื่อง นวัตกรรมป้องกันก�ำจัดยุงลายพาหะน�ำโรคไข้เลือดออกในภาวะโลกร้อน ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะหลักน�ำโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็น โรคติดเชื้อไวรัสเดงกี(dengue virus) ในแต ่ละปีมีรายงานผู้ป ่วยไข้เลือดออกหลายหมื่นถึงแสนกว ่าคนและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 100 คน โรคนี้ยังเป็นปัญหาที่ส�ำคัญทางสาธารณสุข เนื่องจากยังไม่มีวิธีการรักษาที่จ�ำเพาะ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันได้มีวัคซีน ป้องกันไข้เลือดออกที่ชื่อว่า “เด็งวาเซีย” (Dengvaxia®) แล้วก็ตาม แต่พบว่าวัคซีนนี้มีข้อก�ำจัด คือ สามารถ ป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกีทั้ง 4 ซีโรทัยป์ได้เพียงร้อยละ 65.6 และใช้ได้ผลดีกับกลุ่มอายุ ระหว่าง 9-45 ปีและวัคซีนนี้ยังไม่จัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติเนื่องจากมีราคาแพง ดังนั้น การควบคุม และป้องกันการระบาดของโรคไข้เลือดออกจึงมุ ่งเน้นไปที่การควบคุมยุงลายแบบบูรณาการ โดยการก�ำจัด แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างสม�่ำเสมอ ลดจ�ำนวนยุงตัวเต็มวัยโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ก�ำจัดยุง ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกัน ก�ำจัดยุงลาย รวมถึงฉีดพ่นสารเคมีก�ำจัดยุงลาย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังมีรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกจาก ทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคไข้เลือดในปัจจุบัน คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ท�ำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งจากภัยความร้อน อุทกภัยและภัยแล้ง โดยเฉพาะภัยความร้อนจากอุณหภูมิ ที่สูงขึ้น พบว่า ในช่วงเดือนเมษายน ปี2566 ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 44.6 องศาเซลเซียส เนื่องจาก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นซึ่งเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของยุง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศที่ท�ำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจึงมีผลในการเร ่งวงจรชีวิตของยุงให้เร็วขึ้น โดยใช้เวลาเพียงไม ่ถึง 9 วัน จากเดิมที่ไข่กลายเป็นตัวยุงใช้เวลาประมาณ 9 - 14 วัน ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลท�ำให้ลูกน�้ำยุงและ ตัวยุงมีขนาดเล็กลง แต่มีอัตราเมตาบอลิซึมสูงขึ้น จึงมีความต้องการกัดดูดเลือดคนถี่ขึ้น จากงานวิจัยที่ผ่านมา มีรายงานว ่ายุงลายมีอัตราการติดเชื้อไวรัสเดงกีและอัตราการกัดสูงในฤดูร้อน โดยพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะท�ำให้ระยะฟักตัวของไวรัสเดงกีในยุง (Extrinsic incubation period, EIP) สั้นลง คือ ที่อุณหภูมิ30 ºC มีEIP 12 วัน แต่ที่อุณหภูมิ32-35 ºC มีEIP 7 วัน จากการที่ยุงลายมีอัตราการกัดสูงในฤดูร้อน จึงเป็นการ เพิ่มโอกาสการแพร่เชื้อไวรัสเดงกีมาสู่คนได้มากขึ้น จนเริ่มมีผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมมากขึ้นและสูงสุดในฤดูฝน นอกจากนี้ยุงลายยังสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่ยุงสู่ลูกได้ท�ำให้ไวรัสเดงกียังคงอยู่ในไข่ยุงลายและ ลูกน�้ำยุงลาย โดยไข่ยุงลายสามารถทนแล้งได้นานหลายเดือน ซึ่งภาวะโลกร้อนนี้มีผลท�ำให้ยุงลายเจริญเติบโต ได้เร็วขึ้น กัดดูดเลือดถี่หรือบ่อยขึ้น และไวรัสเดงกีเจริญในตัวยุงลายได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการแพร่เชื้อ ไวรัสเดงกีได้มากขึ้นจึงท�ำให้เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งท�ำให้ประชาชนและหน่วยงานสาธารณสุข มีความจ�ำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เคมีก�ำจัดยุงและสารเคมีก�ำจัดยุงมากขึ้น เพื่อควบคุมประชากรยุงลายและ ป้องกันการระบาดในวงกว้างของโรคไข้เลือดออก ซึ่งจากการใช้สารเคมีก�ำจัดแมลงถี่และต่อเนื่องเป็นระยะเวลา นานเป็นสาเหตุท�ำให้ยุงลายที่รอดชีวิตจากการฉีดพ่นสารเคมีก�ำจัดแมลงมีการพัฒนากลไกการดื้อต่อสารเคมี ก�ำจัดแมลง โดยในหลายพื้นที่มีรายงานการทดสอบยืนยันการกลายพันธุ์ของยีนเป้าหมายของสารเคมีก�ำจัด แมลงบริเวณที่สารเคมีก�ำจัดแมลงออกฤทธิ์ในยุงลาย ดังนั้น เมื่อยุงลายเริ่มพัฒนาการดื้อต่อสารเคมีก�ำจัดแมลง ระดับพันธุกรรมแล้วจะท�ำให้ไม ่สามารถใช้สารเคมีก�ำจัดแมลงในการควบคุมยุงลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุท�ำให้เกิดระบาดของโรคไข้เลือดออกและท�ำให้ยังคงพบผู้ป่วยไข้เลือดออก รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 37
อยู่ในพื้นที่เดิมๆ (endemic areas) อย่างไรก็ตาม สารเคมีก�ำจัดแมลงยังมีความจ�ำเป็นในการควบคุมก�ำจัด ยุงลายและตัดวงจรการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้อย่างเฉียบพลันและทันกาล สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข โดยกลุ ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์มีนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กันยุงใช้กับเครื่องไฟฟ้า ชนิดของเหลว และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สเปรย์ก�ำจัดยุงที่มีประสิทธิภาพในการก�ำจัดยุงลายและยุงลายดื้อสารเคมีก�ำจัด แมลงระดับพันธุกรรม โดยในช ่วงฤดูฝน เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ปีพ.ศ. 2566 ที่มีการระบาดของ โรคไข้เลือดออก ฝ ่ายวิจัยและพัฒนาด้านแมลงพาหะน�ำโรคได้น�ำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดังกล ่าวไปสนับสนุน ให้แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เสี่ยงโรคไข้เลือดออก 6 จังหวัด คือ กาญจนบุรีจันทบุรี ชุมพร นครปฐม นครราชสีมา และพิษณุโลก และเป็นพื้นที่ที่มีการตรวจพบยุงลายดื้อสารเคมีก�ำจัดแมลง ระดับพันธุกรรม ส�ำหรับน�ำไปใช้ในการก�ำจัดยุงลายและป้องกันการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้อย ่างมี ประสิทธิภาพ 38 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.3 กลุ่มเชื้อราวิทยาและพาราสิตวิทยา เรื่อง เครือข่ายเข้มแข็ง DGHP-BAC-ZOONOSIS ฝ ่ายริกเก็ตเซีย กลุ ่มเชื้อราวิทยา และพาราสิตวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน ่วยงานวิจัยหลัก โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก US.CDC ในปีงบประมาณ 2566 จ�ำนวนเงิน 2,789,490 บาท เพื่อด�ำเนินโครงการวิจัย DGHP-BAC-ZOONOSIS : การศึกษาความชุกและลักษณะทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากสัตว์สู่คนที่ส�ำคัญในประเทศไทย; เชื้อริกเก็ตเซีย คิวฟีเวอร์ บาร์โทเนโลซิส บรูเซลโลสิส เลปโตสไปโรสิส และ เมลิออยโดสิส มีหน่วยงานที่วิจัย ร ่วมกัน ได้แก่ โรงพยาบาล ในเขตรับผิดชอบของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ 1/1 (เชียงราย) ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 (สมุทรสงคราม) ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 (อุดรธานี) ศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ 9 (นครราชสีมา) โรงพยาบาลแม่สอด จ. ตาก และโรงพยาบาลนครพนม จ.นครพนม ซึ่งเป็น เครือข่ายที่เก็บและส่งต่อตัวอย่างผู้ป่วยในกลุ่มอาการไข้ไม่ทราบสาเหตุซึ่งอาจเข้าข่ายติดเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อ จากสัตว์สู่คนที่ส�ำคัญในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งเตือนภัย อธิบายความชุกของการติดเชื้อของ โรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย คิวฟีเวอร์บาร์โทเนโลซิส บรูเซลโลสิส เลปโตสไปโรสิส และ เมลิออยโดสิส ในพื้นที่ท�ำการ ศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์สามารถใช้ในการประกอบการรักษาโรคได้ถูกต้อง แม่นย�ำ ทันเวลา นอกจากนี้ ห้องปฏิบัติการฝ ่ายริกเก็ตเซียจะสามารถพัฒนาชุดตรวจให้บริการตรวจวิเคราะห์และยืนยันเชื้อริกเก็ตเซีย คิวฟีเวอร์บาร์โทเนโลซิส บรูเซลโลสิส เลปโตสไปโรสิส และเมลิออยโดสิส รวมถึงถ่ายทอดไปยังห้องปฏิบัติการ ส่วนภูมิภาค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 39
กิจกรรมโครงการในปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา สามารถด�ำเนินการได้ตามแผน โดยเน้นการลงพื้นที่ ชี้แจงโครงการในพื้นที่วิจัย เพื่อสร้างความรู้ให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานทางสุขภาพทั้งในกลุ่มผู้ป่วยด้านสาธารณสุข รวมทั้งด้านปศุสัตว์ ให้ตระหนักถึงความส�ำคัญของการตรวจวิเคราะห์ซึ่งไม ่ได้ให้ความส�ำคัญเรื่องจ�ำนวน ตัวอย่างเพียงอย่างเดียว แต่ทีมผู้วิจัยได้ให้ข้อมูลของวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการอ้างอิงชันสูตรโรคติดเชื้อ ริกเก็ตเซีย การพัฒนาชุดทดสอบ เพื่อรองรับการสนับสนุนให้กับห้องปฏิบัติการของสถาบันและศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทย์ทั่วประเทศ รวมทั้งความส�ำคัญของงานวิจัยที่จะช่วยพัฒนามาตรฐานการตรวจวินิจฉัยและวิเคราะห์ โรคติดเชื้อริกเก็ตเซียให้สามารถตรวจพบได้อย่างรวดเร็วถูกต้องและแม่นย�ำ สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการ ตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย คิวฟีเวอร์ บาร์โทเนโลซิส บรูเซลโลสิส เลปโตสไปโรสิส และ เมลิออยโดสิส ให้ได้ตามระบบมาตรฐานสากล และรายงานความชุกน�ำเสนอในภาพรวมของประเทศ เนื่องจากมีการรายงาน การศึกษาภายในประเทศค ่อนข้างน้อย หรืออาจมีการศึกษาเฉพาะในสัตว์หรือในคนอย ่างใดอย ่างหนึ่ง โดยยังขาดการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์และคนซึ่งจะน�ำมาสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริง ทางฝ่ายริกเก็ตเซียได้รับความอนุเคราะห์จากหน่วยงาน US.CDC ที่สนับสนุนแอนติเจนเชื้อบาโทเนลลา และค็อกเซียลา ที่ส�ำคัญส�ำหรับตรวจโรคที่ไม ่มีในประเทศ และไม ่สามารถเพาะเลี้ยงได้เองในประเทศไทย โดยได้น�ำแอนติเจนของมาเพาะเลี้ยงเองในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อน�ำไปผลิต ชุดทดสอบมาตรฐานเพื่อใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคดังกล่าวและให้บริการซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุนเป็นการต่อยอด งานวิจัยและการตรวจวินิจฉัยท�ำให้มีการพัฒนาต่อไปในระดับชีวโมเลกุลได้อย่างแม่นย�ำรวดเร็วเหมาะสมกับ สถานการณ์ของโรคและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีซึ่งบุคลากรในกลุ่มงานเชื้อราวิทยา และพาราสิตวิทยา สามารถเรียนรู้ได้ร่วมกัน จะเห็นได้ว่าการด�ำเนินโครงการวิจัย ส�ำเร็จได้ด้วยดีตามวัตถุประสงค์ เนื่องจากห้องปฏิบัติการและ โรงพยาบาลในเขตพื้นที่ของเครือข ่ายห้องปฏิบัติการ ได้ให้โอกาสทีมผู้วิจัยได้ถ ่ายทอดและแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ข้อมูลและประโยชน์ที่จะได้จากงานวิจัย นั่นคือผู้ป่วยได้รับการตรวจโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเสริมสร้าง ศักยภาพความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการ สุดท้ายเมื่อสิ้นสุดโครงการ ทีมผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยสามารถน�ำข้อมูลโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คนในแต่ละพื้นที่สุขภาพไปพัฒนาต่อยอดทั้งเชิงรุก เพื่อป้องกันโรค และเชิงรับเพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงทีเพื่อสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน 40 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.4 กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา เรื่อง การขึ้นทะเบียนอนุสิทธิบัตรวัตถุทดสอบการตรวจเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบซี ฝ ่ายปฏิบัติการด้านเชื้อถ ่ายทอดทางการให้เลือด ได้รับความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้น ประเภทอนุสิทธิบัตร จ�ำนวน 3 รายการ ได้แก่ 1) วัตถุทดสอบชนิดแห้งจากน�้ำเพาะเลี้ยงเซลล์ 8E5 ส�ำหรับตรวจหาปริมาณเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด (HIV viral load) ด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติ (เลขค�ำขอรับอนุสิทธิบัตร 2203003464 และถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์) 2) วัตถุทดสอบความช�ำนาญ การตรวจการติดเชื้อเอชไอวี(เลขค�ำขอรับอนุสิทธิบัตร 2303001807)และ3) วัตถุทดสอบความช�ำนาญการ ตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี(เลขค�ำขอรับอนุสิทธิบัตร 230300817) เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ที่พัฒนาขึ้นของสถาบันฯ ไม ่ให้ถูกละเมิด และน�ำไปสู ่การพัฒนาต ่อยอดหรือการถ ่ายทอดเทคโนโลยี ในเชิงพาณิชย์ต่อไป วัตถุทดสอบชนิดแห้งจากน�้ำเพาะเลี้ยงเซลล์8E5 ส�ำหรับตรวจหาปริมาณเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด (HIV viral load) ด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติ วัตถุทดสอบการตรวจการติดเชื้อเอชไอวี วัตถุทดสอบการตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 41
2.3.5 กลุ่มวินิจฉัยโรคกลาง เรื่อง การเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการส�ำหรับการตรวจวินิจฉัยเชื้อ Monkeypox ในปัจจุบันโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้ออันตรายสูงนั้นมีบทบาทส�ำคัญเนื่องมาจากความสามารถในการ ก่อโรคระบาดในวงกว้าง โรคฝีดาษลิง (Mpox, (ชื่อเดิม: monkeypox)) จัดอยู่ในกลุ่มของเชื้ออันตรายสูงตาม พระราชบัญญัติเชื้อโรค และพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 ไวรัสชนิดนี้เริ่มพบการระบาดนอกทวีปแอฟริกาตั้งแต่ ช่วงฤดูร้อนปีพ.ศ. 2564 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาในปีพ.ศ. 2565 ได้มีรายงานการระบาดในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักร่วมเพศ จนกระทั่งองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้โรคฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉิน ทางการแพทย์(PHEIC) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 พบผู้ป่วยต้องสงสัยโรคฝีดาษลิงที่เป็นชาวต่างชาติมาจากจังหวัด ภูเก็ตจ�ำนวน 3 ราย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขได้รับมอบหมายให้ตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยัน โดยการ ตรวจในครั้งนี้ด�ำเนินการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีทางชีววิทยาโมเลกุล ทั้งนี้การสกัดสารพันธุกรรมจากตัวอย่าง ผู้ป่วยนั้นด�ำเนินการภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL-3) และยังท�ำการตรวจเพิ่มโดยการดูรูปร่าง ของไวรัสจากตัวอย่างโดยตรงด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอน ซึ่งแม้ว่าการตรวจครั้งนี้ผู้ป่วยทั้ง 3 จะให้ผล เป็นลบ แต่ก็ท�ำให้เห็นว่าห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขมีความพร้อมในการรองรับ การตรวจเชื้อฝีดาษลิงได้ต่อมามีการประกาศอนุญาตให้สามารถท�ำการสกัดตัวอย่างเพื่อท�ำการทดสอบด้วย วิธีทาง molecular ได้ในห้องปฏิบัติการระดับ BSL-2 เสริมสมรรถนะ แต่กลุ่มวินิจฉัยโรคกลางยังคงจัดเตรียม ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 เพื่อใช้ส�ำหรับการแยกเชื้อ และการทดสอบหาระดับภูมิคุ้มกันของเชื้อฝีดาษลิง อยู่จนถึงปัจจุบัน นอกจากโรคฝีดาษลิงแล้ว กลุ่มวินิจฉัยโรคกลางยังมีการเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการเพื่อรองรับ โรคระบาดที่เกิดจากเชื้ออันตรายสูงอื่นๆ ที่มีการระบาดอยู่ในต่างประเทศ เช่น Ebola virus, Marburg virus เป็นต้น 42 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.6 กลุ่มพันธุกรรมทางคลินิก เรื่อง การประกันคุณภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มอาการดาวน์เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นปัญหาส�ำคัญทางสาธารณสุขของประเทศสามารถป้องกัน ได้โดยการให้ความรู้แก่ประชาชนและบุคลากรทางสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินความเสี่ยงในการให้ก�ำเนิดบุตรเป็นกลุ่มอาการดาวน์และการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ก่อนคลอด ตลอดจนการให้ค�ำปรึกษาแนะน�ำทางพันธุกรรม การตรวจกลุ ่มอาการดาวน์ทางห้องปฏิบัติการมี 2 ระดับคือ การตรวจคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยก ่อนคลอด ปัจจุบันการตรวจคัดกรองที่เป็นที่ยอมรับ ในระดับสากลคือ การตรวจหาสารชีวเคมีในเลือดหญิงตั้งครรภ์ (Quadruple Test) เป็นการตรวจหาปริมาณ สารชีวเคมี4 ชนิด ได้แก่ alpha fetoprotein (AFP), Human chorionic gonadotropin (hCG), unconjugated estriol (uE3)และInhibin-A ในช่วงไตรมาสที่2ของการตั้งครรภ์แล้วน�ำค่าที่ได้พร้อมประวัติ หญิงตั้งครรภ์มาประเมินความเสี่ยงทารกในครรภ์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงหญิงตั้งครรภ์จะได้รับค�ำแนะน�ำ ในการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดต่อไป กระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบายให้มีการตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ ทุกกลุ ่มอายุ โดยบรรจุอยู ่ในชุดสิทธิประโยชน์ในหญิงตั้งครรภ์ของส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพแห ่งชาติ ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เป็นหน ่วยงานที่มีบทบาทส�ำคัญ ผลการตรวจที่น ่าเชื่อถือและรวดเร็วนับเป็น ประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันไม ่ให้มีผู้ป ่วยใหม ่เพิ่มมากขึ้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในฐานะที่มี ภารกิจหลักในการประกันคุณภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายก่อนขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการของส�ำนักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยด�ำเนินแผนทดสอบความช�ำนาญด้านการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ ด้วยวิธีQuadruple test เพื่อประเมินคุณภาพการตรวจคัดกรองกลุ ่มอาการดาวน์และเปรียบเทียบผล การทดสอบระหว่างห้องปฏิบัติการสมาชิก โดยใช้วัตถุทดสอบชนิดเดียวกัน ผลการประเมินจะช่วยติดตาม ความถูกต้อง และใช้เป็นดัชนีชี้วัดการพัฒนาคุณภาพการตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการสมาชิกได้อย่าง ต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ส�ำหรับผู้ด�ำเนินแผนในการปรับมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ สมาชิกให้เป็นไปในทางเดียวกัน ปีพ.ศ. 2566 มีห้องปฏิบัติการเข้าร ่วมเป็นสมาชิกรวมทั้งสิ้น 41 แห่ง ประกอบด้วยห้องปฏิบัติการสังกัดโรงเรียนแพทย์และมหาวิทยาลัย 5 แห่ง (ร้อยละ 12.19), โรงพยาบาลสังกัด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข 25 แห่ง (ร้อยละ 60.97), ห้องปฏิบัติการสังกัดกรมอนามัย 5 แห่ง (ร้อยละ 12.19) ห้องปฏิบัติการสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์3 แห่ง (ร้อยละ 7.31) และเอกชน 3 แห่ง (ร้อยละ 7.31) ผลการประเมินสมาชิกจ�ำนวน 2 รอบการทดสอบทุกห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานการยอมรับคุณภาพ และรายงานผลการประเมินความเสี่ยงสอดคล้องกันทุกห้องปฏิบัติการ เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของห้องปฏิบัติการ ในภาพรวมของประเทศที่มีการรายงานผลไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ผู้รับบริการได้รับผลที่ถูกต้องและ แม่นย�ำ สนับสนุนการควบคุมและป้องกันกลุ่มอาการดาวน์ของประเทศ รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 43
ห้องปฏิบัติการสมาชิกตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ 44 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
2.3.7 กลุ่มสัตว์ทดลอง เรื่อง การพัฒนาพื้นที่ทดลองสัตว์ชนิดหนูไมซ์และหนูแรทเป็นระบบปลอดเชื้อจ�ำเพาะ (Specific Pathogen Free, SPF area) กลุ่มสัตว์ทดลอง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข เป็นหน่วยงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่มีพื้นที่ส�ำหรับทดสอบและวิจัยที่ใช้สัตว์ทดลองซึ่งเป็นกระบวนการศึกษาระดับพรีคลินิก (Preclinical study) ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานส�ำคัญก่อนน�ำมาศึกษาในมนุษย์ (Clinical study) โดยใช้หลักสามประการใน การใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (3Rs) ประกอบด้วย การใช้ทางเลือกอื่นหรือวิธีการอื่นมาแทนการใช้สัตว์ (Replacement) การใช้สัตว์จ�ำนวนน้อยที่สุดแต่ให้ได้ถูกต้องแม่นย�ำสูงสุด (Reduction) และวิธีการใช้สัตว์ โดยให้สัตว์เจ็บปวดน้อยที่สุดและไม่เครียด (Refinement) ซึ่งการเลี้ยงดูแลสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ในระบบที่มีการป้องกันการติดเชื้อให้สัตว์ปลอดจากเชื้อก่อโรคที่ก�ำหนดไว้หรือ Specific Pathogen Free, SPF จะท�ำให้ตัวแปรที่จะส่งผลกระทบต่องานทดสอบหรือวิจัยน้อยลง กลุ่มสัตว์ทดลองเห็นความส�ำคัญในแนวคิดดังกล่าว จึงได้พัฒนาให้พื้นที่เลี้ยงดูแลสัตว์ชนิดหนูไมซ์และ หนูแรทเป็นระดับ SPF โดยปัจจัยของสภาพแวดล้อมที่ต้องควบคุมเป็นไปตามรูป ทั้งนี้ กลุ่มสัตว์ทดลองด�ำเนิน การควบคุม ตรวจวัด ตรวจสอบทุกปัจจัยที่มีผลกระทบดังกล่าวเป็นระยะตามที่มาตรฐานสัตว์ทดลองสากล AAALAC International ก�ำหนดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน จึงสามารถมั่นใจได้ว่าสัตว์ทดลองที่มีการ เลี้ยงดูแลในระบบดังกล่าวปลอดจากเชื้อก่อโรคที่ก�ำหนดไว้ ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้จากการใช้สัตว์ในพื้นที่ดังกล่าวมี ความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 45
2.4 ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Training Center for Excellence in Medical Sciences (TEMs)) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม เพื่อความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์การแพทย์(TEMs) มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี2565 ส�ำหรับเป็นแหล่งฝึกอบรม บุคลากรด้านห้องปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการตรวจวินิจฉัยและส่งเสริมงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค โดยได้รับงบประมาณจาก Division of Global Health Protection (DGHP) U.S.CDC ในปีงบประมาณ 2566 TEMs ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรทั้งด้านการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ และการวิเคราะห์ข้อมูลชีวสารสนเทศศาสตร์แก่เจ้าหน้าที่ของห้องปฏิบัติการเครือข่ายกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งในและประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนิสิต นักศึกษา และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ โดยได้จัดการฝึกอบรมไปแล้วจ�ำนวน 12 ครั้ง ประกอบด้วยหลักสูตรต่างๆ ดังนี้ 1. การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ด้วยเทคโนโลยีIllumina และ Nanopore NGS และการวิเคราะห์ข้อมูลชีวสารสนเทศศาสตร์ทั้งหลักสูตรส�ำหรับคนไทยและนานาชาติ 2. การตรวจน�้ำเสียเพื่อวิเคราะห์หา SARS-CoV-2 ด้วยวิธีDroplet digital PCR หลักสูตรนานาชาติ 3. One-day workshop on Nanopore sequencing and Bioinformatics for beginners หลักสูตร ส�ำหรับคนไทย 4. Real-time PCR diagnostic for beginners หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 5. การตรวจวิเคราะห์ไวรัสโนโร และแบคทีเรียชนิดที่วินิจฉัยยาก 6 ชนิด ด้วยวิธีReal-time PCR หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 6. ONT sequencing for Tuberculosis (TB) and SARS-CoV-2 whole genome sequencing หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 7. การตรวจวิเคราะห์เชื้อแบคทีเรียดื้อยาในน�้ำเสีย หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 8. Workshop for InfectiousSamplePackagingand Transport Instructors หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 9. Southeast Asia Pathogen Genomic Epidemiology training หลักสูตรนานาชาติ 10. Whole-genome sequencing of bacterial genomes: processing genome data and applications หลักสูตรส�ำหรับคนไทย 11. Whole-genome sequencing of bacterial genomes: next-generation sequencing Illumina platform หลักสูตรส�ำหรับคนไทย TEMs พัฒนาศักยภาพบุคลากรทางห้องปฏิบัติการ ให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการตรวจวิเคราะห์ เชื้อก ่อโรค สามารถระบุชนิดและสายพันธุ์ของเชื้อก ่อโรคอุบัติใหม ่ หรืออีกหลายโรคที่เพิ่งค้นพบและก�ำลัง เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพคนและสัตว์ เป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการ ทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน ในการตรวจจับและระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุก ่อโรคอย ่างรวดเร็ว และ 46 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
สามารถตอบสนองต ่อระบบสาธารณสุขของประเทศและภูมิภาคอย ่างยั่งยืน นอกจากนี้TEMs ยังสร้าง เครือข่ายวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์สมัยใหม่เสริมการตรวจจับ เชื้อก่อโรคที่เป็นภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็วและแม่นย�ำ และสามารถพัฒนาสู่งานวิจัยและ นวัตกรรมการตรวจวินิจฉัย การป้องกัน และการรักษาโรคได้อย่างแม่นย�ำ ลดอัตราการป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต ท�ำให้ประชาชนมีความมั่นคงด้านสุขภาพ รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 47
2.5 งานตามค�ำรับรองการปฏิบัติราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. 2546 หมวด 8 การประเมิน ผลการปฏิบัติราชการ ก�ำหนดให้ส่วนราชการด�ำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ ความคุ้มค่าในภารกิจ และ อาจจัดให้มีการประเมินผลภาพรวมของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับหรือหน่วยงานในส่วนราชการ ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ลงนามค�ำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจ�ำปีงบประมาณ 2566 กับกระทรวงสาธารณสุข และมีการถ่ายทอดตัวชี้วัดของกรมลงสู่หน่วยงาน ประกอบด้วย ตัวชี้วัดตามข้อตกลง การปฏิบัติราชการที่ผู้บริหารได้ลงนามไว้กับกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ การปฏิบัติราชการ ตัวชี้วัดผู้บริหารองค์การ นโยบายส�ำคัญของกระทรวงสาธารณสุข แผนบูรณาการ และ แผนงานโครงการขับเคลื่อนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจ�ำปีพ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงมาจาก ตัวชี้วัดตามยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข 20 ปีรวมทั้งตัวชี้วัดที่เป็นภารกิจหลักส�ำคัญของหน่วยงาน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข เป็นหน ่วยงานระดับกองในสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ได้รับการถ่ายทอดตัวชี้วัดจากกรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ ทั้งในส่วนของภารกิจหลัก และภารกิจสนับสนุน ซึ่งตัวชี้วัดดังกล ่าวได้ถูกน�ำไปสู ่การปฏิบัติโดยจัดท�ำเป็นค�ำรับรองการปฏิบัติราชการของหน ่วยงาน ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และผู้บริหารของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ได้ลงนามค�ำรับรอง กับผู้บริหารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีกรอบการประเมินผลของหน่วยงานประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ดังนี้ ที่มา : คู่มือการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามค�ำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภายในสังกัด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 48 รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
ตัวชี้วัดที่ 1.1.1 ระดับความส�ำเร็จของการขอรับรองห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในสถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มการระบาดของโรคติดเชื้ออันตราย ซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตในสัตว์ และมนุษย์ทั้งที่เป็นโรคอุบัติใหม ่และโรคอุบัติซ�้ำที่มีความรุนแรง เช ่น โรคไข้หวัดนก อีโบล ่า แอนแทรกซ์ สารพิษจากเชื้อโบทูลินั่ม บูเซโลสิส โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) เป็นต้น สร้างความเสียหายต่อ ชีวิตและเศรษฐกิจของโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการในการตอบโต้ ภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (Emerging Infectious Diseases: EID) ส�ำหรับการตรวจวิเคราะห์การวิจัย กับเชื้ออันตรายให้ทันต่อการระบาดของโรค จ�ำเป็นต้องยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 (Biosafety Level 3; BSL3) การพัฒนาระบบของห้องปฏิบัติการ BSL3 ให้มีความพร้อมและได้รับ การรับรอง ระบบห้องปฏิบัติการ (BSL3 Certification) จึงมีความจ�ำเป็นส�ำหรับการสร้างความเชื่อมั่นและ ส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosafety) และมั่นคงทางชีวภาพของระบบห้อง ปฏิบัติการ BSL3 ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเป็นการวางรากฐานของต้นแบบด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในการสนับสนุนทางด้านห้องปฏิบัติจุลชีววิทยาทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ รวมทั้งถือเป็นปัจจัย พื้นฐานที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีโอกาสการพัฒนาทางด้านการวิจัย เพื่อการรักษาและการป้องกันโรคสู่ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ในอนาคต ในปี2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด�ำเนินการขอการรับรอง ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 อาคาร 1 ซึ่งเพิ่งได้รับการปรับปรุงระบบใหม่ โดยมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 1. บ�ำรุงรักษาระบบห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) รายงานประจำปี 2566 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข 49