ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิต ตามหลักพระพุทธศาสนา เสนอต่อ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ, (เพ็ชรทองมา) ดร. จัดทำโดย 1. นางสาวพรรณนลิน เค้าศิริวัตน์ รหัสนักศึกษา 6620640432001 2. นางสาวสรณ์กฤศจันทร์ บังเศียร รหัสนักศึกษา 6620640432004 3. นายเกียรติศักดิ์ ป้องศรี รหัสนักศึกษา 6620640432009 4. นางสโรชา สังขนิตย์ รหัสนักศึกษา 6620640432011 5. นายวัชรินทร์ นพแท่น รหัสนักศึกษา 6620640432020 รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา ED41103 สารัตถะพุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัญฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมโศกราช
ก คำนำ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา ED41103 สารัตถะพุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก โดยมีจุดประสงค์ เพื่อศึกษา และนำเสนอ ความหมายของ ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อให้มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของ ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา นอกจากความรู้เกี่ยวกับ ความหมายของ ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ยังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้า หาข้อมูล ตลอดจนผู้สนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตและจุดมุ่งหมาย ของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ขอกราบขอบพระคุณ พระครูวินัยธรวุฒิชัย ชยวุฑฺโฒ, (เพ็ชรทองมา) ดร. เป็นอย่างสูงที่กรุณาตรวจ ให้คำแนะนำเพื่อแก้ไข ให้ข้อเสนอแนะตลอดการทำงาน ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้ที่ นำไปใช้ให้เกิดผลตามความคาดหวัง คณะผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ชีวิต และจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา 1 1. ความหมายของชีวิต (Meaning of Life) 1 2. เป้าหมายของชีวิต (Life Goals) 3 3. ความหมายของอุดมคติ (Ideology) 10 4. พุทธวิธีสร้างสันติสุขให้กับชีวิต 15 5. หลักการดำเนินชีวิตตามแนวพุทธศาสนา 22 ภาคผนวก 32 - แบบทดสอบ เรื่อง ชีวิต และจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา 33 - เฉลยแบบทดสอบ เรื่อง ชีวิต และจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา 35 บรรณานุกรม 37
1 ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา 1. ความหมายของชีวิต (Meaning of Life) ชีวิต คือ ความเป็น, ตรงข้ามกับ ความตาย (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554) พระพุทธศาสนา คำว่า “ชีวิต” มีรากศัพท์มาจากคำว่า ชีว + อิ + ต ซึ่งเป็นกริยากิตก์ แปลว่า “เป็นอยู่แล้ว” หากมีคำถามว่า ชีวิต คือ อะไร ก็ตอบได้ว่าชีวิต คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ รูปธรรมกับนามธรรม ด้วยเหตุที่ชีวิตมีรูปร่างอัน เป็นวัตถุธาตุ เรียกว่ารูปขันธ์ เป็นตัวธรรมชาติ มีอารมณ์ เรียกว่าเจตสิก (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์) และมีจิต (วิญญาณขันธ์) โดยมุ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตมนุษย์ หรือ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เมื่อ แบ่งแยก ส่วนประกอบทั้ง 5 ออกไป ก็ไม่มีตัวตนเหลืออยู่ หลักขันธ์ 5 แสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นการประชุมเข้า ของส่วน ประกอบต่างๆ ส่วนประกอบแต่ละอย่างนั้นเอง ก็ไม่ใช่ตัวตน สิ่งทั้งหลายล้วนอยู่ในรูปของกระแส ซึ่ง เป็นไป ตามลักษณะของเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์ที่เนื่องอาศัยกันและกัน และเรียกความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยนี้ ว่า “กฎธรรมชาติ” ท่านพุทธทาส ได้อธิบาย ความหมายของชีวิตไว้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเสนอคำตอบไปสู่เป้าหมายในทาง พุทธศาสนานั่นคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ ชีวิตนั้นอาจนิยามได้ว่าประกอบกันขึ้นจากร่างกายและจิตใจ ร่างกายหรือที่เรียกว่ารูปนั้นประกอบกันขึ้นมาจากธาตุตามธรรมชาติอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จนกระทั่งเกิด เป็นอวัยวะสำคัญอันมีผลต่อจิตใจ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผ่านระบบประสาทตามหลักกายภาพ ในขณะ ที่จิตใจหรือที่เรียกว่า นาม นั้นมีความสลับซ้ำซ้อนยิ่งนักและเป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดทุกข์ พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) กล่าวว่า ชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องประกอบกับธรรมะ มี ความสมบูรณ์ทางจิตใจ โดยมุ่งเน้นถึงความเป็นผู้มีใจสูง เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กาหนดใน พระพุทธศาสนาเป็นผู้ที่รู้จักการงดเว้นจากการทำความชั่ว การทำความดีให้เกิดขึ้น การเป็นผู้ที่มีจิตใจสูง มีใจ บริสุทธิ์ มีใจสงบ มีศีล 5 บริบูรณ์ การมีความเห็นที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การรู้จักทำตนให้เป็นผู้มี ความงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ การเป็นผู้มีความเมตตาปราณี มีความยินดีกับผู้ที่ได้รับความดี ไม่ ยินดี ยินร้าย และไม่หวั่นไหวในสิ่งที่เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องที่เลวร้าย รวมทั้งการรู้จักประพฤติตนตามทางสาย กลางอันเป็นทางสายเอกของพระพุทธศาสนาที่ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกจนเข้าถึงความ ดับ คือ พระนิพพาน นักปรัชญากรีกโบราณท่านหนึ่งคือ ธาเลส (Thales) ได้ตั้งปัญหาขึ้นว่า มนุษย์ โลก หรือสิ่งต่างๆ ที่ อยู่รอบๆตัวเราจะรู้ได้อย่างไร โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจของเทพเจ้าเหมือนนักปรัชญาในอดีตที่ใช้วิธีการที่สั่งสอน กันมา และได้คำตอบว่า มนุษย์ และโลกตลอดถึงสรรพสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและดำเนินไปด้วยกฎแห่งธรรมชาติ
2 เพื่อแสวงหาความจริงอันแท้จริงกลุ่มนักปรัชญากรีกได้พยายามทอนย่อยกฎทางธรรมชาติให้เป็นหน่วยย่อยๆ นี้ว่า “ปฐมธาตุ” และธาเลสก็ได้ตั้งเป็นทฤษฎีว่า ความแท้จริงอันสุดท้ายนั้นคือ ปฐมธาตุ ทุกสิ่งเกิดจากปฐม ธาตุนี้เอง และยังให้ทรรศนะว่ามนุษย์ก็เกิดขึ้นมาโดยการลอกเลียนแบบมานั้นเอง โสเครติส กล่าวว่า มนุษย์คือสัตว์ที่มีเหตุผล มีมันสมองเปรื่องปราด ส่วนท่านพลาโต้นักปรัชญากรีกผู้ เรืองนามได้กล่าวว่ามนุษย์คือสัตว์สังคมหรือสัตว์หมู่ เขาเกิดในสังคมอยู่ในสังคมและตายในสังคม” นักปรัชญาฮินดูมองชีวิตในความหมายของการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฎ โมกษะ มีความหมายถึง การหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่ความอมตนิรันดร์ ถ้ามองชีวิตในความหมายของการแสวงหาความเป็น จริง การบรรลุโมกษะ เพราะทุกชีวิตมีอยู่และเป็นไปเพื่อโมกษะเท่านั้น แต่คำว่า “มนุษย์” ในทรรศนะพุทธปรัชญา แตกต่างจากฮินดูโดยแท้ คือไม่มีชีวาตมันหรืออัตตาที่ เที่ยงแท้ถาวรในตัวมนุษย์ พุทธศาสนาถือว่า “มนุษย์” แต่ละคนนั้นประกอบด้วย “รูปและนาม” หรือการ รวมกันเข้าของรูปกับนาม จึงมีชื่อเรียกว่ามนุษย์ สภาพที่แท้จริงของมนุษย์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็น อนัตตา พุทธปรัชญาถือว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตนเองซึ่งเป็นสมุฏฐานให้มนุษย์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏะสงสารอยู่ไม่ขาดระยะ ดังนั้นคำว่า "กรรม" เป็นคำกลางๆ จะมุ่งไปทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ การกระทำดี เรียกว่า "กุศลกรรม" ส่วนการกระทำชั่ว เรียกว่า "อกุศลกรรม" ถ้าเรากระทำอะไรลงไปด้วยกาย เรียกว่า" กายกรรม" ทำด้วยวาจา เรียกว่า "วจีกรรม" นึกคิดด้วยใจ เรียกว่า "มโนกรรม" การศึกษาให้รู้แจ้งในเรื่องกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญ ที่นำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีผลเป็นความสุข สงบแก่ ผู้ศึกษา มีประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้น และทำให้เห็นว่าการเกิดของเรามีความหมาย ไม่ใช่เกิดมาโดย ความบังเอิญ มีชีวิตอยู่อย่างเลื่อนลอย และตายไปอย่างน่าสมเพชเวทนา เรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนหายงมงาย และตื่นเต้นต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ช่วยคลี่คลายความข้องใจในความสับสนของ ชีวิต เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชน ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง เพื่อชีวิตของตนเองจะได้ดีขึ้น อาริสโตเติล ได้กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม วิชาสังคมวิทยาสมัยนี้กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อ มนุษย์มีการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคมแล้วย่อมมีการตั้งกฎเกณฑ์ทางสังคมเพื่อเป็นหลักในการยึดถือปฏิบัติ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยกฎเกณฑ์นี้ไม่จาเป็นต้องเป็นข้อความทางกฎหมายอย่างเดียว แต่หาก เป็นคุณธรรมและจริยธรรมที่มนุษย์เข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคมแล้วก็ควรที่จะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติเพื่อ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความเห็นอกเห็นใจกันความ นับถือกัน เป็นต้น ซึ่งทาให้มนุษย์มองว่า คุณธรรมและจริยธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสำหรับทำให้เป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ เมื่อมนุษย์ต้องการคุณธรรม และจริยธรรม มนุษย์ก็ย่อมที่จะมองหาหลักคุณธรรมและจริยธรรม อันหนึ่งอันใดเป็นแนวทางปฏิบัติตาม คุณธรรมและจริยธรรมเหล่านั้นก็คือ หลักธรรมทางศาสนานั่นเอง
3 สรุป การตระหนักถึงความหมายของชีวิตช่วยให้เรามีความชัดเจน และมั่นคงต่อเป้าหมายทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การรับรู้ถึงเหตุผลในการใช้ชีวิตอยู่ของตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและรู้สึกมั่นคงเมื่อ เผชิญกับอุปสรรคในชีวิต 2. เป้าหมายของชีวิต (Life Goals) มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ล้วนแสวงหาสิ่งที่ตนเองปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือ ศาสนาความเชื่อใดก็ตาม ต่างก็มีเป้าหมายชีวิตเป็นของตนเองทั้งสิ้น สิ่งนี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้เราต้องมี กิจกรรม มีการงาน มีหน้าที่รับผิดชอบ ต้องดิ้นรนแสวงหา เพื่อให้ได้มาในสิ่งซึ่งตนปรารถนา ใครมีความสนใจ หรือมีความพอใจในด้านใดก็จะมีกิจกรรมในด้านนั้นๆเป้าหมายที่บุคคลผู้นั้นตั้งเอาไว้ก็จะเป็นไปในทางนั้น เป้าหมายของนักกีฬาเมื่อลงแข่งขันย่อมอยากยืนอยู่บนแท่นของผู้ชนะ ดารา นักร้อง นักแสดง เมื่อสวม บทบาทแล้วย่อมต้องการการยอมรับจากผู้ชมเป้าหมายของนักธุรกิจก็มุ่งหวังที่จะทำให้ธุรกิจหรือกิจการของตน เจริญก้าวหน้ามีกำไรมากในขณะที่บางคนอาจไม่เคร่งครัดกับชีวิตมากมายนักเพียงได้บรรลุเป้าหมายในระดับ หนึ่งก็เติมเต็มชีวิตได้แล้วแพทย์บางท่านมีความสุขกับการได้รักษาคนไข้ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ นักการเมืองบางท่านพอใจที่ได้ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนที่บ้านเกิดของตน ครูอาจารย์บางท่าน มี ความสุขกับการเป็นครูประจำชั้น ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้เติบโตเป็นคนดีของสังคมในภายหน้าและอีก หลากหลายผู้คนที่วางแผนชีวิตของตนแตกต่างกันไประดับของเป้าหมายก็แตกต่างกันไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคิด ความเห็นหรือทัศนคติของแต่ละคนที่มีต่อเป้าหมายนั้นนั่นเองอย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวโดยองค์ความรู้ใน พระพุทธศาสนาแล้วที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นอาจถือได้ว่าเป็นเป้าหมายชีวิตในระดับหนึ่งที่ทุกคนต้องการแต่ใน เบื้องลึกยิ่งกว่านี้พระพุทธศาสนายังได้กล่าวถึงเป้าหมายชีวิตในระดับสูงยิ่งขึ้นไปอีกโดยพระพุทธองค์ได้ กล่าวถึงความเป็นจริงของโลกและชีวิตในมุมมองที่กว้างขวางมากและตรงจุดนี้เองที่พระพุทธศาสนาได้สร้าง โอกาสให้กับชาวโลกทุกคนได้ไขว่คว้าเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามาศึกษาแสวงหาคำตอบให้กับตัวเองเพื่อที่จะ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ก้าวขึ้นไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป้าหมายของชีวิตที่ทุกคนพึง กำหนดไว้เพื่อที่จะบรรลุถึงความสำเร็จ สามารถแบ่งได้ 3 ระดับ คือ 1. เป้าหมายบนดิน หรือเป้าหมายชีวิตในระดับต้น 2. เป้าหมายบนฟ้า หรือเป้าหมายชีวิตในระดับกลาง 3. เป้าหมายเหนือฟ้า หรือเป้าหมายชีวิตในระดับสูงสุด 2.1 เป้าหมายบนดิน หมายถึง เป้าหมายระดับต้นของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้เป็นสิ่งที่ทุกคนพึง กระทำให้บรรลุผลสำเร็จให้ได้ นั่นคือการดำรงตนเป็นคนดีที่โลกต้องการคนดีหรือที่พระพุทธศาสนา เรียกว่า สัตบุรุษ คือ บุคคลที่ไม่ว่าใครต่างก็พึงปรารถนา อยากที่จะคบหาและเข้าใกล้ เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าคนดีนี้
4 จะไม่นำสิ่งเลวร้ายมาสู่ตัวเรานอกจากนี้ยังจะมอบแต่สิ่งดีๆ ให้แก่เราอีกด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึง ลักษณะของสัตบุรุษไว้ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างไร คือ สัตบุรุษในโลกนี้เป็นผู้มี ความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาแล้วมีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มี โลกอื่นมี มารดามีคุณ บิดามีคุณ สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนิน ชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้และโลกอื่นให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล มีความเชื่อมั่นในเรื่องของกรรมเชื่อในเรื่องผลของบุญและบาปทำให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งการ จะบรรลุผลเช่นนี้ได้ พระพุทธศาสนาได้วางหลักปฏิบัติที่ใช้ได้ผลจริงมาแต่ครั้งโบราณกาล นั่นคือ การทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา เป็นประจำสม่ำเสมอจนกระทั่งติดเป็นนิสัยประจำตัวในที่สุด และเมื่อปฏิบัติ อย่างจริงจังแล้วย่อมได้รับผลเป็นความสุขในปัจจุบันชาตินี้ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนี้ 3 ประการเป็นไฉน คือ ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ สีลมัย บุญกิริยาวัตถุ ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันให้ผลเลิศต่อไป ซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ความประพฤติเสมอ เมตตาจิต บัณฑิต ครั้นเจริญธรรม 3 ประการ อันเป็นเหตุให้เกิดความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลก อันไม่มีความ เบียดเบียน บุคคลผู้มีใจรักในการเสียสละ ชอบแบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็น แบ่งปันทรัพย์สมบัติให้ กับผู้อื่นในยามที่เขาจำเป็นต้องใช้ บุคคลนั้นย่อมเป็นที่รักของผู้อื่น และย่อมจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยให้กับ บุคคล รอบข้างได้ สิ่งนี้เป็นข้อที่พึงปฏิบัติในขั้นต้นของการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งเรียกว่า การทำทาน ยิ่งกว่านั้น ใน การอยู่ร่วมกันในสังคม ความคิดความเห็นของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยง การกระทบกระทั่งกันได้ การผิดใจกันถือเป็นเรื่องที่เราจะต้องประสบ บุคคลใด สามารถยับยั้งชั่งใจ ตั้งสติระงับ ตนเอง ไม่ให้ตัวเองก้าวออกไปสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น ทั้งการกระทำและคำพูดได้ บุคคลนั้นย่อม ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ก่อศัตรู จะเป็นผู้มีมิตรดี และประสบความสุข ในบั้นปลาย ซึ่งเรียกว่า การรักษาศีล ที่กล่าวมา นั้นถือเป็นข้อปฏิบัติในการควบคุมกายและวาจาให้เป็นปกติ ให้สงบจากสิ่งที่เป็นบาป อกุศลทั้งปวง ซึ่งการที่จะ ควบคุมกายและวาจาให้สงบระงับอย่างได้ผลนั้นอยู่ที่การควบคุมใจให้สงบเสียก่อนเพราะการกระทำและคำพูด จะปรากฏออกมาเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ หากว่าใจดี สิ่งที่ออกมาทางกายและวาจาก็จะดีตามไป ด้วย ใจนั้นควบคุมกายอีกชั้นหนึ่ง ดังคำกล่าว ว่า ”ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ดังนั้น การที่จะควบคุมใจให้สงบนิ่งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าต้องเจริญภาวนา คือ การนำใจ ที่เคยซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ที่ไปติดอยู่กับคน สัตว์ หรือสิ่งของภายนอก นำกลับเข้ามาไว้ภายในตัว ที่ ศูนย์กลางกาย ให้ใจได้กลับเข้ามาสู่ฐานที่ตั้ง ที่เป็นแหล่งกำเนิดความสุขที่แท้จริง ใจก็สงบนิ่ง เบิกบาน ผ่องใส ส่งผลให้ความคิดความเห็นออกมาในทางที่ดี เหมาะสมที่จะนำไปใช้ควบคุมกายและวาจาได้ ผลก็คือ การ กระทำทางกายและวาจาก็จะออกมาในทางดีด้วย เราเองก็มีความสุข และเป็นสุขทางใจที่พิเศษกว่า สุขไหนๆ เป็นสุขที่อยู่เหนือความสะดวกสบายจากเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ สุขที่เกิดจากความ เพลิดเพลิน จาก
5 การได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่อันน่ารื่นรมย์ก็เทียบไม่ได้ เป็นสุขที่แสวงหาได้จากการหยุด ใจให้นิ่งเท่านั้น และ ยังพร้อมที่จะมอบความสุขนี้เผื่อแผ่ไปยังบุคคลรอบข้างให้ได้รับความสุขเหมือนกับเราไปด้วย การ กระทบกระทั่งใจกันย่อมไม่เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขและเมื่อเกิดการกระทำเช่นนี้มาก ขึ้นในทุกๆมุมโลกชาวโลกก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข สันติภาพก็ย่อมบังเกิดขึ้นในโลกซึ่งเรียกว่า การเจริญ ภาวนา ทั้งทาน ศีล ภาวนา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายชีวิตในระดับต้นเป็นสิ่งที่ผู้หวัง ความสุขที่แท้จริงต้องประพฤติปฏิบัติให้เกิดขึ้นให้ได้ 2.2 เป้าหมายบนฟ้า เป้าหมายชีวิตในระดับต่อมา คือ เป้าหมายระดับกลาง เป็นเป้าหมายในระดับที่ สูงขึ้นมาจากเป้าหมายบนดิน เป้าหมายบนฟ้านี้มีความสำคัญต่อชีวิตของทุกๆ คน เพราะชีวิตของเราไม่ได้จบ ลงตรงที่เชิงตะกอน ชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่ หรือกล่าวอีกนัย หนึ่งว่าตายแล้วไม่สูญ แม้หลับตาลาจากโลกนี้ ไปแล้ว ก็ยังมีโลกหน้ารอคอยอยู่อีก ดังนั้นชีวิตในปรโลกจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดี จะเป็นสุขหรือทุกข์ ทรมาน ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนาได้สอนเรื่องนี้ไว้ ซึ่งถือเป็นหลักตัดสินว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เรียกว่า หลักกรรม หรือหลักแห่งการกระทำ หลักกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ กรรมดี และกรรมชั่ว บุคคลใด กระทำความดีย่อมได้รับผลคือบุญ เมื่อหลับตาลาโลกไปแล้ว เขาย่อมไปเสวย ผลบุญ ณ แดนสวรรค์ อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย แต่ถ้ากระทำความชั่ว เขาย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือบาป เมื่อละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วเขาย่อมไปเสวยผลบาปที่ตัวทำไว้ ต้องได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก ดังที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี ประพฤติกายทุจริต วจี ทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือกรรม ด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเป็น เหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทร ก็ดี ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ สมาทาน กรรมด้วย อำนาจสัมมาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกาย แตก ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังนั้น บุคคลใดก็ตามเมื่อทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลทั้งสิ้น และผลนั้นย่อมบังเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน คือ ในชาตินี้ และในอนาคต คือ ภพชาติเบื้องหน้า และแม้จะมีบางคนที่ยังมีความลังเลสงสัย ยังไม่ปักใจเชื่อในเรื่อง ภพชาติเบื้องหน้าก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังควรที่จะสั่งสมบุญไว้ เพราะถ้าหากชาติหน้าไม่มีจริง เขาเมื่อสั่งสมบุญอยู่ ย่อมได้รับคำสรรเสริญ จากชนเป็นอันมาก ย่อมประสบความสุขในชาตินี้อย่างแน่นอน แต่ถ้าชาติหน้ามีจริง เขาย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ดังนี้อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มี จิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ (เพราะแผ่เมตตาไป ในสรรพสัตว์ทั้งปวง) เธอได้ความอุ่นใจ 4 ประการ ในชาตินี้ 1. ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่ ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดี ทำ ชั่วมีอยู่ ข้อนี้เป็น สถานที่ตั้งซึ่งจะเป็นได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว เราจะเข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ดังนี้ ความ อุ่นใจนี้อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง
6 2. ความอุ่นใจข้อที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่สัตว์ ทำดี ทำชั่วก็ไม่มี เราก็จะ รักษาตนให้เป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบากไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้ว เป็นที่สอง 3. ความอุ่นใจข้อที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำ เรา ไม่ได้คิดบาปให้แก่ ใครๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม 4. ความอุ่นใจข้อที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ เรา ก็ได้พิจารณาเห็นตน เป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วนดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่ เพราะฉะนั้น การวางแผนชีวิตที่ดี จะกำหนดเป้าหมายชีวิตเพียงเฉพาะเป้าหมายบนดินนั้นยังไม่ เป็น การเพียงพอ จะต้องคำนึงถึงเป้าหมายบนฟ้าด้วย เพราะเราไม่อาจทราบได้เลยว่าชีวิตของเราจะยืนยาวนาน เพียงใด และวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไร เราทราบแต่เพียงว่า วันนั้นจะต้องมาถึง อย่างแน่นอน และไม่ ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ นี้เป็นกฎธรรมดาของโลก มีข้อน่าสังเกตว่า สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการ สร้างบารมี มีเพียงโลกมนุษย์เท่านั้น เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จึงหมดโอกาสในการสร้างบารมี เพราะสวรรค์ เป็นที่สำหรับเสวยผลบุญเท่านั้น ไม่สามารถสร้างบุญเพิ่มได้อย่างในโลกมนุษย์ ดังนั้น สำหรับนักสร้างบารมี แล้วสวรรค์จึงเปรียบเสมือนที่พักชั่วคราวเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในการลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไป อนึ่ง ข้อจำกัดประการหนึ่งของการลงมาเกิดในโลกมนุษย์ คือ การลืมอดีต โดยเราไม่สามารถ จำเป้าหมายและมโน ปณิธานของตนเองเมื่อชาติที่แล้วได้ จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เรามีโอกาสออกนอก ลู่นอกทาง ซึ่งอาจมีผลทำให้ พลาดไปทำบาปและพลัดไปสู่อบายภูมิได้ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท เราจึงจำเป็นต้องสั่งสมบุญให้มากๆ และบ่อยๆ ให้ติดเป็นนิสัยให้ได้ ต้องทำจนเกิดเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต เหมือนลม หายใจเข้าและออกที่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติฉะนั้นผู้มีปัญญาและไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จึงตั้งเป้าหมาย บนฟ้าควบคู่ไปกับเป้าหมายบนดิน คือ แสวงหาความสุขในโลกนี้แล้ว ยังต้องวางแผนให้ไปมีความสุขในภพ เบื้องหน้าด้วย ซึ่งเป้าหมายบนฟ้านั้น พระพุทธศาสนาได้วางหลักปฏิบัติที่สมบูรณ์เอาไว้ คือ ต้องทำทาน รักษา ศีล และเจริญภาวนา เช่นเดียว กับเป้าหมายบนดิน แต่จะต้องปฏิบัติให้เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ต้องทำเป็น ประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด คือ จะต้องเป็นผู้ที่รักในการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ให้ยิ่งกว่า การประกอบอาชีพหรือหน้าที่ การงานในทางโลก ต้องสั่งสมทาน ศีล และภาวนา โดยหวังเอาบุญเป็นที่ตั้ง ไม่ หวังประโยชน์อื่นใดใน ทางโลกเป็นเครื่องตอบแทน ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ใจจะสะอาดบริสุทธิ์ เป็นสภาพใจที่ มีกิเลสเบาบาง กิเลสอาสวะเข้ามาบังคับบัญชาหรือครอบงำได้น้อย ใจมีพละกำลังมาก มีกำลังบุญมากเพียง พอที่จะ ไปสู่ภพภูมิอันเป็นสุคติได้ ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่า ทั้งทาน ศีล และภาวนาเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องทำ ถือว่าเป็นงานของ ชีวิตที่จะส่งผลให้สามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตทั้ง 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับกลาง ผู้ที่ตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบนดินได้ดีเพียงไรก็ย่อมมีโอกาสบรรลุเป้าหมายบนฟ้าได้ดีเพียงนั้นด้วยสำหรับผู้ที่ ไม่บรรลุเป้าหมายบนดินนั้นเขาย่อมไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายบนฟ้าได้เลย
7 2.3 เป้าหมายเหนือฟ้า เป็นเป้าหมายที่สูงกว่าเป้าหมายบนฟ้า ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหวังความสุขใน ภพเบื้องหน้าเป้าหมายเหนือฟ้านี้มุ่งไปที่ความหลุดพ้นจากทุกข์ปราศจากกิเลสทั้งปวง หลุดพ้นจากสังสารวัฏ เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถือได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป้าหมายระดับนี้มีปรากฏเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่ปรากฏในคำสอนของศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ อื่นใดในโลกเลย บุคคลผู้เห็นภัยในวัฏสงสารเห็นความจริงว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ไม่ได้เป็นเครื่องหมายแห่ง ความสุขอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ ยิ่งเกิดบ่อยก็ยิ่งประสบความทุกข์บ่อย ต่อเมื่อเข้าถึงพระนิพพานได้เมื่อไร จึง จะสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือน คือ อัตภาพ เมื่อไม่ พบได้ท่องเที่ยวไปแล้ว สิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ ดูก่อนช่างผู้ทำเรือน คือ อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักทำเรือน คือ อัตภาพของเราอีกไม่ได้ โครงบ้าน ของท่านทั้งหมด เราทำลาย แล้ว ยอดแห่งเรือน คือ อวิชชา เรารื้อแล้ว จิตของ เราถึงพระนิพพานแล้วเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่ง ตัณหาทั้งหลายแล้วเมื่อได้ศึกษาและเข้าใจถึงวงจรการเวียนว่ายตายเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว ก็เกิด ความ เบื่อหน่ายในการเกิด จึงคิดว่าเมื่อการเกิดนำมาซึ่งความทุกข์เช่นนี้แล้ว ถ้าหากว่าไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องเป็น ทุกข์ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมี 2 ด้านที่ตรงข้ามกันเสมอ มีมืดก็มีสว่าง มีดำก็มีขาว มีหนาวก็มีร้อน ดังนั้น เมื่อมี การเกิด ก็ต้องมีการไม่เกิด ผู้มีดวงปัญญายิ่งใหญ่เมื่อคิดเช่นนี้ได้ก็ลงมือศึกษาค้นคว้าหาวิธีการที่จะทำให้ วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้นั้นสำเร็จลุล่วงให้จงได้ บุคคลสำคัญประเภทนี้พระพุทธศาสนาให้ชื่อว่า “พระโพธิสัตว์” ท่านคือผู้มีใจใหญ่ที่ตั้งความปรารถนาจะไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ จะไปให้ถึงจุดที่ปราศจากความทุกข์โดย สิ้นเชิงนั่นคือพระนิพพานอันเป็นบรมสุขการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายเหนือฟ้าได้นั้น จะต้องสร้างความดีอย่าง ยิ่งยวดสร้างให้มากยิ่งกว่าผู้ที่ตั้งเป้าหมายเพียงบนดินหรือบนฟ้าจะต้องเป็นผู้ที่รักในการสั่งสมบุญเป็นชีวิต จิตใจเรียกได้ว่าชีวิตของเขานั้นเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบุญทุกลมหายใจของเขานั้นผ่านไปด้วยบุญ คือ เขาจะมี วิธีการสั่งสมให้บุญเกิด ขึ้นในทุกๆ ลมหายใจเข้าออกทีเดียว ดังนั้น บุคคลประเภทนี้จึงมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อการกระทำ คำพูด หรือความคิดของใครก็ตามที่จะมาเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการบรรลุ เป้าหมายผู้ที่ตั้งเป้าหมายระดับสูงสุดนี้จะต้องรักในการทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาให้ยิ่งกว่าชีวิต จิตใจ คือ แม้ว่าจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอมเพื่อให้ได้บุญถึงตรงนี้ เราสามารถกล่าวโดยสรุปถึงวัตถุประสงค์ของการ ทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ได้ดังนี้ 1. ทำทาน เพื่อกำจัดความโลภ (โลภะ) หรือ ความตระหนี่ที่อยู่ในใจให้หมดสิ้นไปย่อมได้ ทรัพย์สมบัติเป็นอานิสงส์ คือ สมบัติจักรพรรดิเป็นที่สุด 2. รักษาศีล เพื่อกำจัดความโกรธ (โทสะ) หรือ ความพยาบาท อาฆาต ปองร้ายผู้อื่นให้หมด สิ้นไปจากใจย่อมได้รูปสมบัติเป็นอานิสงส์ คือ ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการเป็นที่สุด 3. เจริญภาวนา เพื่อกำจัดความหลง (โมหะ) หรือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของโลกและ ชีวิตอันเนื่องมาจากอวิชชาครอบงำ ย่อมได้คุณสมบัติเป็นอานิสงส์ คือ วิชชา 3 เพื่อใช้ในการปราบ กิเลสเป็นที่สุด
8 ผู้วางแผนชีวิตโดยตั้งเป้าหมายเหนือฟ้านั้น จะมีความเห็นหรือทัศนคติต่อคำว่า บุญ ที่สูงยิ่งขึ้น ไปผล ของบุญนั้นสามารถบันดาลให้ได้ในทุกสิ่งที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ หรือ คุณสมบัติ เหล่านี้ล้วนได้มาด้วยอานุภาพแห่งบุญทั้งสิ้น ดังนั้น การทำทานจะต้องทำโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน รักษาศีลก็ ต้องรักษาด้วยชีวิต และทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการเจริญภาวนา โดยเฉพาะการเจริญภาวนา ถือว่าเป็น วัตถุประสงค์ ที่แท้จริงของการจะบรรลุเป้าหมายเหนือฟ้า การทำทานและการรักษาศีลถือเป็นเครื่องสนับสนุนให้มีโอกาส ปฏิบัติธรรมได้สะดวกขึ้น สำหรับเป้าหมายในระดับนี้การทำทานมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเก็บเสบียงข้ามภพข้ามชาติเพราะการที่ จะบรรลุพระนิพพานนั้น ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ภายในชาติเดียว เพื่อความไม่ประมาท จึงต้องสั่งสมทานเอาไว้ เพื่อจะได้เป็นหลักประกันให้ว่า หากต้องเกิดมาอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม จะได้มีทรัพย์สมบัติบังเกิดขึ้นเอาไว้ใช้หล่อ เลี้ยงชีวิตอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพื่อจะได้มีเวลาและมีโอกาสในการเจริญภาวนาได้สะดวกไม่มีห่วงมีกังวลใน เรื่องปากท้อง สำหรับการรักษาศีลนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจได้ว่าในภพชาติเบื้องหน้าเมื่อกลับมาเกิดในโลกนี้ แล้วจะได้ความเป็นมนุษย์เพราะการได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างบุญเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายสูงสุดกายมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสั่งสมบุญและทำภาวนาได้ถ้าหากเกิดมาแล้วได้กายชนิดอื่นก็เท่ากับ เป็นการตัดโอกาสในการสร้างบารมีโดยสิ้นเชิง หนทางการเข้าพระนิพพานก็จะยิ่งห่างไกลเพราะการที่จะทำ พระนิพพานให้แจ้งได้นั้นก็ด้วยการเจริญภาวนาทำใจให้หยุดนิ่งเท่านั้น ดังนั้น ทั้งการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา จึงมีความสำคัญต่อการบรรลุพระนิพพานอย่างที่สุด นอกจากนี้ไม่ว่าเราจะตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ในระดับใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายบนดิน เป้าหมายบนฟ้า หรือ เป้าหมายเหนือฟ้าก็ตาม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะฉะนั้น บุญ ทั้ง 3 ประการนี้จึงถือเป็นงานของชีวิต เป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องลงมือปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จะต้อง ประพฤติปฏิบัติให้ติดเป็นนิสัยเป็นความเคยชินจนกระทั่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เรียกว่า วิถีชีวิตให้ได้ เป้าหมายชีวิต 3 ระดับของมนุษย์ ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เป้าหมายที่ชัดเจน เป็นสิ่งกำหนดทิศทางความคิด คำพูด และการกระทำ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิต คนเรามีความก้าวหน้า "การตั้งเป้าหมาย" เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดสู่สิ่งที่เรา "ต้องการจะเป็น" หรือ "ต้องการจะมีได้" เป็นพลังใจขับเคลื่อนความสำเร็จ เป้าหมายระดับที่ 1 (บนดิน) ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๔ อย่างบ้าง เรียกว่า หัวใจเศรษฐี "อุ อา กะ สะ" หรืออาจเรียกเต็มๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม ๔ หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เพื่อประโยชน์สุข สามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มี ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น อันจะสำเร็จด้วย ธรรม 4 ประการ คือ
9 1. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่นขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่น ประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ 2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความ ขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูก ลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ 3. กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา 4. สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้ว เลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้อง เหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ เป้าหมายระดับที่ 2 (บนฟ้า) สัมปรายิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ภายหน้า , ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป อันได้แก่ ความมีจิตใจเจริญงอก งามด้วยคุณธรรมความดี ทำให้ชีวิตนี้มีค่า และเป็นหลักประกันชีวิตในภพหน้า ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วย ธรรม 4 ประการ คือ 1. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา 2. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล 3. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค 4. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา เป้าหมายระดับที่ 3 (เหนือฟ้า) ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรม คือ ธรรมชาติที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่ดำรงลักษณะเฉพาะของตนไว้โดย ไม่ผันแปรเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง ปรมัตถธรรม นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สภาวธรรมปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรม นี้มี 4 ประการ คือ 1. จิต 2. เจตสิก 3. รูป 4. นิพพาน นิพพาน เป็นธรรมชาติที่พ้นจากกิเลส พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นิพพานโดยปริยาย มี ๒ ลักษณะ 1. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ 5 หมายถึง การที่ประหาณกิเลสได้ หมดสิ้นแล้ว (กิเลสนิพพาน) แต่ขันธ์ 5 (จิต เจตสิก รูป) ยังมีการเกิดดับสืบต่ออยู่ (ยังมีชีวิตอยู่)
10 2. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ปราศจากขันธ์ 5 ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ (ผู้หมด จดจากกิเลส) ที่สิ้นอายุขัยไปแล้ว (คือ กิเลสก็ไม่เหลือ ขันธ์ 5 ก็ไม่เหลือ) หรือที่เรียกว่า ปรินิพพาน (ปริ = ทั้งหมด) เมื่อปรินิพพานแล้ว จิต + เจตสิกและรูปก็จะหยุดการสืบต่อและดับลงโดยสิ้นเชิง (คือ เมื่อตายไปแล้วก็จะไม่มีการเกิดอีกหรือไม่มีภพชาติต่อไปอีก) นิพพาน เป็นจุดหมายสูงสุดใน พระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะต้องพยายามเข้าถึงให้จงได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก เป็นอริยบุคคล และเป็นทายาทผู้รับมรดกธรรมในพุทธศาสนานี้ 3. ความหมายของอุดมคติ (Ideology) อุดมคติ หมายถึง จินตนาการที่ถือว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดี ความงาม และความจริง ทางใดทาง หนึ่ง ที่มนุษย์ถือว่าเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของตน (พจนานุกรมไทย 2535) อุดมคติ หมายถึง จุดหมายสูงสุดที่บุคคล หรือสังคมมุ่งบรรลุถึง และแบบความคิดหรือความเชื่ออัน เป็นจุดมุ่งหมายร่วมกันของกลุ่มชน” (พจนานุกรมปรัชญาฯ) อุดมคติของชีวิต คือ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่ควรเป็นซึ่งมนุษย์เข้าใจได้และสามารถเลือกวิธีปฏิบัติเพื่อ บรรลุเป้าหมาย 3.1 ทำไมมนุษย์จึงมีอุดมคติ มนุษย์มีอุดมคติ เพราะมนุษย์สามารถคิด เข้าใจ กำหนดวิธีบรรลุ และเลือกวิธีปฏิบัติบรรลุเป้าหมาย ของตนเองได้ เพราะมนุษย์สามารถแยกสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่ควรเป็นได้หรือสิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ควรทำได้ 3.2 ลักษณะของอุดมคติ อุดมคติเป็นความคิดที่จะปรับปรุงสภาพทางวัตถุและจิตใจในปัจจุบันให้ดีขึ้น และการคิดถึงสภาพที่ ควรเป็นในอนาคตที่เป็นไปในชีวิตนี้อุดมคติต้องบอกทิศทางและขั้นตอนในการปฏิบัติให้บรรลุจุดหมาย การ สอนอุคติต้องมีลักษณะเป็นการชักจูง (ศรัทธา) และเข้าใจได้ (เหตุผล) 3.3 ประเภทของอุดมคติ 1. อุดมคติรวม (Total /Universal ideology) เกิดจากการศึกษาระบบความคิดที่ทำให้เกิดการ ปฏิบัติในสังคมนั้นๆ ทั้งระบบ เช่น สันติภาพ ความรัก สันติสุข ความสงบ = ทัศนะว่าด้วยโลก ชีวิต มนุษย์ และสังคมโดยรวม 2. อุดมคติย่อย (Partial Ideology) เป็นอุดมคติเฉพาะเรื่องที่แต่และคนให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัว เช่น อุดมคติของการบริหารองค์กร อุดมคติแบบชนชั้นกลาง อุดมคติของครอบครัว เกิดจากการศึกษาเฉพาะ เรื่องนั้นๆ และขึ้นอยู่กับแต่คนจะตัดสิน
11 3.4 จริยศาสตร์ ปัญหาเรื่องอุดมคติของชีวิตเป็นปัญหาสำคัญของจริยศาสตร์ เพราะสุดยอดของการแสวงหาทางจริย ศาสตร์ก็คือ แสวงหาอุดมคติหรือความดีสุดยอดนั่นเอง นักปรัชญาต่างก็ได้แสดงสิ่งที่ตนถือว่าเป็นความดีสุด ยอดไว้ต่างๆ กัน และมีมากมายหลายทรรศนะ ซึ่งจะประมวลมาแสดงโดยสังเขป ดังนี้ 1. สุขนิยม (Hedonism) คือ ลัทธิที่ถือว่า ความสุขเป็นความดีสูงสุดของชีวิต หรือว่าเป้าหมายสูงสุด ของชีวิตคือความสุข ความคิดของลัทธิสุขนิยมตั้งอยู่บนพื้นฐานทางจิตวิทยาที่ว่า ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ แสวงหาความสุขและหลีกเลี่ยงความทุกข์ ฟรอยด์ (Freud) กล่าวว่า สิ่งที่ชีวิตต้องการและแสวงหานั้น คือ ความสุข เขาต้องการได้รับความสุข และธำรงรักษามันไว้ การแสวงหาความสุขมี 2 แบบ คือ แสวงสิ่งที่ปราศจากความทุกข์และความเจ็บปวด กับ อีกแบบหนึ่ง แสวงหาสิ่งที่ให้เกิดความรู้สึกสุขสบาย เบนเธม (Bentham) นักปรัชญาชาวอังกฤษก็เห็นว่า การกระทำของมนุษย์ทุกครั้งเกิดจากการ แสวงหาความสุขและหลีกเลี่ยงความทุกข์ พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์แสดงให้เห็นความจริงว่า สิ่งสุดท้ายที่ มนุษย์ปรารถนาต้องการก็คือ ความสุขเท่านั้น ลัทธิจารวากของอินเดีย ก็กล่าวว่า จุดหมายเพียงอย่างเดียวของมนุษย์ก็คือ ความสุขที่ได้รับจากความ พอใจทางประสาทสัมผัส เอปิคิวรัส (Epicuras) ก็เสนอว่า ความสุขและความสำราญเท่านั้นเป็นยอดปรารถนาและสิ่งประเสริฐ สุดของชีวิต ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่เป็นสุข แต่เอปิคิวรัสก็มิได้ถือว่า ความสุขทุกอย่างควรแสวงหาและความ ทุกข์ทุกอย่างควรหลีกเลี่ยง เพราะความสุขบางอย่างอาจให้ทุกข์ได้ในภายหลัง และความทุกข์บางอย่างก็อาจ ให้สุขในภายหลังได้เช่นกัน ฉะนั้น ตามหลักของเอปิคิวรัส แม้ว่าความสุขจะเป็นสิ่งสุดยอดที่ควรแสวงหา แต่ก็ ควรแสวงหาด้วยความฉลาดรอบคอบ จึงจะได้ความสุขตามที่ปรารถนา เบนเธม (Bentham) นักสุขนิยมอีกคนหนึ่งเสนอทรรศนะไว้ว่า ความสุขที่เป็นความดีที่ควรแก่การ แสวงหานั้น จะต้องเป็นความสุขที่ดีกว่าและมากกว่า และความดีกว่าและมากกว่านี้ ก็จะต้องวัดหรือคำนวณได้ เป็นปริมาณหรือจำนวนด้วย เขาได้เสนอหลักเกณฑ์ในการพิจารณาค่าของความสุข (รวมทั้งความทุกข์ด้วย) ไว้ 4 ประการ คือ 1. ความเข้มข้น (ของความสุขหรือความทุกข์) มีมากน้อยแค่ไหน 2. ระยะเวลา (ที่ให้ผล) สั้นหรือยาว นานหรือไม่นาน ถาวรหรือไม่ถาวร 3. ความแน่นอน-ไม่แน่นอน (ในการให้ผล) คือ ให้ผลแน่นอนหรือว่าไม่ค่อยแน่นอน
12 4. ความใกล้-ไกล (ของการให้ผล) คือ ผลในวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ชีวิตนี้ หรือวันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรือชีวิตหน้าความสุขที่ให้ผลเข้มข้นกว่า ยาวนานกว่า แน่นอนกว่า และใกล้กว่า ย่อมเป็นความสุขที่ดี หรือควรทำ มิลล์ (Mill) เน้นในเรื่องของคุณภาพของความสุข คือถือว่า ความสุขทางใจสูงค่ากวาความสุขทางกาย โดยกล่าวว่า ความสุขทางกายหรือความสุขทางผัสสะนั้น คนกับสัตว์มีได้เท่าๆ กัน แต่ความสุขทางใจนั้น เฉพาะคนเท่านั้นที่สามารถมีหรือสัมผัสได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงกล่าวว่า ความสุขที่เกิดจากการใช้ปัญญา ความคิด จินตนาการ และความรู้สำนึกทางศีลธรรม มีค่าสูงกว่าความสุขที่เกิดจากประสาทสัมผัส และการที่จะ ตัดสินว่าความสุขอย่างไหนสูงกว่าอย่างไหนนั้น มิลล์ก็บอกว่า มนุษย์สามารถกระทำได้โดยอาศัยประสบการณ์ ของตนเอง และมิลล์กล่าวว่า ความสุขทางใจมีค่าสูงกว่าและถาวรกว่า แต่ราคาถูกกว่าและง่ายกว่าเพราะ ธรรมชาติของมันเองอำนวยให้ สเปนเซอร์ (Spencer) ได้เสนอสุขนิยมเชิงวิวัฒนาการว่า ความสุขเป็นสิ่งช่วยจรรโลงชีวิต ส่วนความ ทุกข์เป็นสิ่งทำลายชีวิตหรือทำให้ชีวิตลดลง เขาเห็นว่าโดยธรรมชาติแล้ว สัตว์ทุกประเภทแสวงหาความสุขและ หลีกเลี่ยงความทุกข์ เพราะความสุขมีคุณภาพเพิ่มชีวิต ชีวิตสัตว์จึงยืนยงต่อไปได้การประพฤติดีก็คือ การ สามารถปกครองตนเองให้ยืนยงต่อไปได้และปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนให้สืบต่อไป ซึ่งก็เท่ากับว่าความประพฤติดี ย่อมก่อให้เกิดความสุข และความสุขก่อให้เกิดวิวัฒนาการทั้งในส่วนชีวิตและสังคม ฉะนั้น สเปนเซอร์จึงกล่าว ว่า จุดหมายสูงสุดของชีวิตก็คือความสุข ความสุขเป็นความดีแต่เพียงอย่างเดียว เลสไล สตีเฟ่น (Leslie Stephen) ให้ทรรศนะอีกแบบหนึ่งว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตนั้น มิใช่ ความสุขส่วนตัวหรือความสุขส่วนรวมจำนวนมากแต่เป็นสุขภาพหรือความมั่นคงของสังคม สิ่งที่ดีคือสิ่งที่ ก่อให้เกิดความมั่นคงแก่สังคม สิ่งที่ชั่วคือสิ่งที่ทำลายความมั่นคงของสังคม ตามทรรศนะนี้ ความสุขคือความ มั่นคงของสังคม เพราะสตีเฟ่นถือว่า ความดีสมบูรณ์หรือจุดมุ่งหมายสัมบูรณ์นั้น ไม่อาจมีใครบรรลุถึงได้ ฉะนั้น สุขนิยมของเขาจึงเป็นสุขนิยมแบบพอเป็นไปได้ ฉะนั้น เขาจึงวางจุดสูงสุดของเขาไว้เพียงความมั่นคง ความ สมดุลและความพอของปัจเจกชน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง ความสมดุลของสังคม ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่พอจะ เอื้อมถึงได้เท่านั้น โดยสรุปแล้ว สุขนิยมมี 2 ลักษณะ คือ สุขนิยมประเภทที่เสนอข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาว่า ความสุขเป็น สิ่งสำคัญและเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา เรียกว่า สุขนิยมทางจิตวิทยา ส่วนสุขนิยมที่เสนอว่า ความสุขเป็นสิ่งมนุษย์ควรแสวงหาหรือพึงปรารถนา เรียกว่า สุขนิยมทางจริยศาสตร์ เพราะมิใช่เป็นการเสนอ ข้อเท็จจริงแต่เป็นการเสนอว่าอะไรมีคุณค่าควรแก่การแสวงหาหรือควรค่าแก่การกระทำ 2. ปัญญานิยม (Intellectualism) คือ ลัทธิที่ถือว่า ปัญญาหรือความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ นักปรัชญากลุ่มนี้คือ โสคราติส พลาโต และอริสโตเติล
13 โสคราติส (Socrates) ถือว่าคุณธรรมคือความรู้ คนทำดีเพราะมีความรู้ คือรู้ว่าความดีคืออะไร หรือรู้ ว่าอะไรดีเขาจึงทำดี ทั้งนี้เพราะว่า โดยธรรมชาติแล้วทุกคนตั้งใจทำดี คือแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ทั้งนั้น ฉะนั้น จึงไม่มีใครตั้งใจทำชั่ว แต่ที่ทำชั่วไปเพราะไม่รู้หรือเข้าใจผิดไปว่า สิ่งที่ชั่วช้านั้นเป็นสิ่งที่ดีนั่นเอง พลาโต (Plato) ก็มีความเห็นตรงกับโสคราติส คือย้ำความสำคัญของปัญญาหรือความรู้ พลาโตถือว่า จิตมนุษย์มี 3 ส่วน คือส่วนต่ำ ได้แก่ความรู้สึกหิว, กระหาย ส่วนที่สอง ได้แก่ความกล้าหาญ และส่วนสำคัญ สูงสุดคือ ปัญญา อันเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะมนุษย์ และเป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งพลาโต และอริสโตเติลมีความเห็นร่วมกันว่า ความสุขสบายมิใช่เป็นสิ่งสูงสุดหรือเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การแสวงหา เพราะความสุขนั้นทั้งสัตว์และมนุษย์ต่างก็แสวงหาเหมือนกัน ถ้ามนุษย์พอใจแต่ความสุขและแสวงหาความสุข เท่านั้น แต่ความจริงแล้วมนุษย์สูงกว่าสัตว์ และสิ่งที่ทำให้มนุษย์สูงกว่าสัตว์คือ กิจกรรมทางปัญญา เพราะ กิจกรรมทางปัญญานำความรู้มาให้มนุษย์ ปัญญาทำให้มนุษย์หยั่งรู้ถึงสัจธรรมได้ ปัญญาสามารถสัมผัส ความสุขอันละเอียดอ่อนและที่หาไม่ได้จากความสุขทางกายหรือขั้นประสาทสัมผัส กิจกรรมทางปัญญาเฉพาะ มนุษย์เท่านั้นมีและทำได้ สัตว์ไม่มีกิจกรรมทางปัญญา เพราะฉะนั้นสัตว์จึงมีแต่ความสุขและแสวงหาความสุข แต่ไม่มีความรู้และไม่แสวงหาความรู้ มนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ก็เพราะปฏิบัติกิจกรรมทางปัญญา ได้สมบูรณ์ คล้ายกับแพทย์จะได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่สมบูรณ์ ก็เพราะสามารถรักษาโรคได้ดีหรือสมบูรณ์ครบถ้วน อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า เพียงแต่การมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของมนุษย์ เพราะพืชและ สัตว์ทั่วไปก็มีเหมือนกัน ความรู้สึกทางประสาทสัมผัส วัว ควาย ก็มีได้ ลักษณะเฉพาะของมนุษย์ก็คือ การมี ชีวิตอย่างมีปัญญาเท่านั้น กล่าวโดยสรุป ปัญญานิยมถือว่า ความสุขไม่มีค่าในตนเอง แต่ความสุขมีค่าเพราะเป็นเครื่องช่วยให้ มนุษย์ได้มีโอกาสกระทำกิจกรรมทางปัญญาได้สะดวกหรือดีขึ้นเท่านั้นเอง ส่วนปัญญาซึ่งหมายถึง ความสามารถในการใช้เหตุผลแสวงหาความจริงนั้น เป็นสิ่งนำความสมบูรณ์มาให้แก่มนุษย์ กล่าวคือทำให้ มนุษย์เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เพราะความรู้เท่านั้นที่ทำให้มนุษย์รู้ว่าชีวิตคืออะไร ควรเป็นอยู่อย่างไร ความดีคือ อะไร อะไรดีที่สุดสำหรับตนเอง และเป็นสิ่งที่นำตนเองให้เข้าถึงจุดสมบูรณ์ของตนเอง สิ่งที่ทำให้เกิดความ สมบูรณ์หรือที่เป็นความสมบูรณ์ของตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การแสวงหา เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงควรแสวงหาปัญญาหรือความรู้ 3. วิมุตินิยม (Skepticism) ลัทธินี้ถือว่า ความเป็นอิสระเป็นความดีสูงสุด นักคิดกลุ่มนี้ได้แก่ พวกซี นิก (Cynics) และสโตอิค (Stoics) รวมทั้งความคิดทางศาสนาบางศาสนา ซีนิกซึ่งเป็นกลุ่มนักคิดสายโสคราติสถือว่า ชีวิตที่สูงส่ง คือการมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องแยแสกับ สังคมว่าเขาจะเอาอย่างไร เป็นอย่างไร หรือคิดอย่างไรกัน ไม่ติดอยู่กับความอยากความต้องการของร่างกาย เพราะความอยากความต้องการทางร่างกายเป็นเครื่องกีดขวางการเข้าถึงความจริงแท้ของโลกและชีวิต พวก
14 ซีนิกยึดความคิดและการดำเนินชีวิตของโสคราติสเป็นตัวอย่าง แต่พวกซีนิกมีความคิดที่สุดโต่งไปไกลกว่า โสคราติสถึงขั้นพยายามหนีสังคม หนีสิ่งที่ไม่ต้องการ มุ่งเข้าป่าท่าเดียว พวกสโตอิค (Stoics) ได้เสนอหลักการและอุดมคติที่แน่นอนกว่าพวกซีนิก สโตอิคถือว่า อิสรภาพเป็น สิ่งสูงสุดสำหรับชีวิต อิสรภาพหมายถึงความสงบของจิตใจ จิตใจที่สงบคือจิตใจที่ควบคุมความอยากได้หรือ ระงับความอยากได้ มิใช่เกิดจากการสนองความอยากได้ตามที่อยาก และการจะระงับความอยากได้โดยการใช้ เหตุผลควบคุม สโตอิคถือว่า ถ้ามนุษย์สามารถเอาชนะใจตนเองได้ มนุษย์จะมีความสุขอย่างแท้จริง การ แสวงหาแสดงว่ามีความต้องการ ความต้องการไม่ก่อให้เกิดความสุขที่แท้จริง ฉะนั้น แม้การแสวงหาความสุขก็ ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง เพราะยังตกอยู่ในอำนาจของความต้องการ แต่ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการไม่มี ความต้องการ คือการไม่แสวงสิ่งใดๆ นั่นเอง ตราบใดที่ยังมีความต้องการ ย่อมจะไม่มีวันสมปรารถนา เมื่อไม่ สมปรารถนาก็ไม่ได้รับความสุข ถ้ายังมีความต้องการอยู่ สิ่งที่มีอยู่ก็เหมือนไม่มี แต่ถ้าความต้องการลดลง สิ่งที่ มีน้อยก็เหมือนมีมาก ยิ่งลดความต้องการลงได้มากเท่าไหร่ สิ่งที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งดูมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น พวกสโตอิคจึงเห็นว่า ความสุขมิใช่อยู่ที่การมีมากที่สุด แต่อยู่ที่การมีความต้องการน้อยที่สุด จึงสรุปได้ว่า ตาม ทรรศนะของพวกสโตอิคนั้น ความสุขไม่ต้องแสวงหาและก็ไม่อาจจะได้มาด้วยการแสวงหา แต่ขอให้ลดความ ต้องการลง หรือขจัดให้หมดไปเลย ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง ความสุขจึงเกิดขึ้นจากการพยายามลด มิใช่การ พยายามเพิ่ม กล่าวโดยสรุป วิมุตินิยมถือว่า อุดมคติของชีวิตหรือความดีของชีวิตก็คือ อิสรภาพของจิตใจ กล่าวคือ การทำจิตใจให้เป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอก จากความต้องการของร่างกายและความต้องการทุกชนิด ควบคุมจิตใจของตนเองได้ ไม่ติดอยู่กับสิ่งนอกกาย แล้วก็จะประสบกับสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต คือความสงบสุข 4. มนุษยนิยม (Humanism) ได้แก่ ความคิดที่ว่า ความดีของชีวิตอยู่ที่การมีชีวิตอยู่อย่างผสม กลมกลืนหรืออย่างพอเหมาะ มนุษยนิยมเห็นว่า ทางที่ถูก มนุษย์ไม่ควรมุ่งแต่จะแสวงหาความสุขความพอใจ อย่างเดียว เช่น ความคิดของพวกสุขนิยม เพราะมนุษย์มีกิจกรรมและหน้าที่อีกหลายอย่างที่ควรทำและ รับผิดชอบ และไม่ควรให้ความสำคัญด้านจิตใจมากเกินไป เพราะมนุษย์มิได้เป็นอยู่ด้วยจิตใจอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องอาศัยร่างกายและวัตถุอื่นๆ ด้วย แต่ก็มิใช่จะรังเกียจการแสวงหาความสุขและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไปเสีย หมดทุกอย่าง เช่นที่พวกวิมุตนิยมเสนอ เพราะมนุษย์จะต้องเกี่ยวข้องอยู่กับสังคม ฉะนั้น จึงต้องมีความรู้ความ เข้าใจในสิ่งต่างๆ พอสมควร จะต้องให้ความสนใจในศิลปะ ศาสนา เป็นต้นบ้าง เพื่อชีวิตจะได้สัมผัสกับ ความสุขที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น และก็ควรแสวงหาความสุขความพอใจในสิ่งต่างๆ ได้ภายในขอบเขตอัน พอเหมาะพอควร ทั้งนี้ก็เพื่อที่ชีวิตจะได้เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ คือมีทุกอย่างท่ามกลางทุกอย่างได้อย่างกลมกลืน ไม่ขัดแย้งกันหรือขัดแย้งให้น้อยที่สุด
15 4. พุทธวิธีสร้างสันติสุขให้กับชีวิต 4.1 ความหมายของสันติสุข คำว่า “สันติ” ในภาษาบาลีคือ “สนฺติ” สันติระงับ นิพพานความระงับเป็นไปในอรรถ คือ 1. โมกฺข (นิพฺพาน) 2. สิว (ดี, งาม) 3. สม (ความสงบ) ความสงบระงับ ระงับดับหาย ความสงบสุข ความสบาย ความสำราญ สันติความสงบ “สันติ” ความสงบ (มาจากศานติในภาษาสันสกฤต) เช่นอยู่ร่วมกันโดยสันติ “ศานติ” ซึ่งเป็นคำสันสกฤตเป็นภาษาที่ชาวฮินดูนิยมใช้มีความหมายเช่นเดียวกับสันติในภาษาบาลีแปลความหมายว่า “ความสงบ” แต่คำว่า “ศานติ” ในสันสกฤตยังหมายรวมถึง “การระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยอาการสงบ” (หลวงวิจิตรวาทการ, 2510, 98) ในพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า นตฺถิ สนฺติปร สุข แปลว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่ มี หมายถึง ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหาและปรารถนาที่จะได้มาครอบครองเป็นของตนให้ยาวนานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ข้อสำคัญต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง ตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบระเบียบตามหลักคำสอนของ พระพุทธเจ้า อันกำหนดไว้เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติ โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นสูงสุด จะได้สุขมาก สุขน้อย ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละตนที่จะพิจารณาว่าต้องการสุขแบบใด มีทั้งความสุขชั่วครั้งชั่วคราว สุข บ้าง ทุกข์บ้าง และความสงบสุขหรือสุขถาวร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคน (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ป ยุตฺโต), 2552, 453) สันติ ความสงบ ความระงับดับหายหมดไปแห่งความพลุ้งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว เป็น ไวพจน์หนึ่งของนิพพาน ส่วนคำว่า “สุข” ในภาษาบาลี คือ สุข ความสุข สุข ส สุข สุขาวโห นำสุขมาให้ สุขี ผู้นำมาซึ่งความสุข ความสบาย ความส าราญ ความปราศจากโรค ในอังคุตรนิกาย ทุกนิบาต สุขวรรค พระพุทธเจ้าทรงแสดง ความสุขให้ภิกษุทั้งหลายฟัง โดยจำแนกความสุขไว้เป็นคู่ ๆ พอสรุปได้ ดังนี้ 1. คิหิสุข สุขของคฤหัสถ์หรือสุขของชาวบ้าน กับบรรพชาสุขหรือบรรพชิตสุขสุขจากการบวชหรือสุข ของนักบวช 2. กามสุข สุขเกิดจากกาม กับ เนกขัมมสุข สุขเกิดจากความปลอดโปร่งจากกาม 3. อุปธิสุข สุขกลั้วทุกข์ ได้แก่ สุขในไตรภูมิหรือโลกียสุข กับ นิรุปธิสุข สุขกลั้วทุกข์ ได้แก่ โลกุตตรสุข 4. สาสวสุข สุขก่ออาสวะ กับ อนาสวสุข สุขไม่ก่ออาสวะหรือไร้อาสวะ 5. สามิสสุข สุขอิงอาศัยอามิสหรือสุขอาศัยเหยื่อล่อสุขทางเนื้อหนัง กับ นิรามิสสุข สุขไม่อิงอาศัย เหยื่อล่อ หรือสุขไม่ขึ้นต่อสิ่งเสพเสวย 6. อริยสุข สุขของพระอริยะ กับ อนิรยสุข สุขของผู้ไม่เป็นอริยะหรือสุขของปุถุชน 7. กายิกสุข สุขทางกาย กับ เจติสิกสุข สุขทางใจ
16 8. สัปปีติกสุข สุขเจือปีติ ได้แก่ สุขในฌานที่ 1 และที่ 2 กับ นิปปีติกสุข สุขไม่เจือปีติ ได้แก่ สุขใน ฌานที่ 3 และในฌานที่ 4 9. สาตสุข สุขมีรสชื่นปีติ ได้แก่ สุขในฌาน 3 ขั้นต้น แต่น่าจะได้แก่ สุขตั้งแต่ฌานที่ 3 มาทั้งหมดกับ อุเบกขาสุข สุขเกิดแต่อุเบกขา คือ สุขเมื่อจิตได้ดุลเต็มที่มองดูเฉยอย่างเป็นกลาง พร้อมที่จะเห็นตามเป็นจริง และวินิจฉัยโดยถูกต้อง เหมือนคนมีปัญญาผู้มองจากนอกเหตุการณ์ท่านว่า ได้แก่ สุขในฌาน 10. สมาธิสุข สุขเกิดจากสมาธิ ไม่ว่าอุปจาระหรืออัปปนาก็ตามกับ อสมาธิสุข สุขที่ไม่ถึงสมาธิ 11. สัปปีติการัมมณสุข สุขเกิดแก่ผู้พิจารณาฌานที่ 2 ขั้นแรก ที่มีปีติ กับ นิปปีติการัมมณสุข สุขเกิด แก่ผู้พิจารณาฌานที่ 3 และที่ 4 ซึ่งไม่ปีติ สุข สะดวก สบาย สำราญ สบายกายสบายใจ เย็นใจง่าย 12. สาตารัมมณสุข สุขเกิดแก่ผู้พิจารณาฌาน 3 แรกที่มีรสชื่นกับ อุเปกขารัมมณสุข สุขเกิดแก่ผู้ พิจารณาฌานที่ 4 ซึ่งมีอุเบกขา 13. รูปารัมมณสุข สุขมีรูปธรรมหรือรูปฌานเป็นอารมณ์ กับ อรูปารัมมณสุข สุขมีอรูปธรรมหรืออรูป ฌานเป็นอารมณ์ จะเห็นได้ว่าข้อความในพระสูตร ความสุขแต่ละคู่จะมีคำสรุปว่า สุขอย่างหลังเป็นเลิศกว่า (พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต), 1989, 203) รวมคำว่า “สันติ+สุข” คือ ความสงบ ความสบาย ความสำราญ สงบระงับดับหายหมดไปแห่งความ พลุ่งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย ความสุข ความสะดวก ความเย็น ความสุขมีหลายแบบ กล่าวคือ สุขของชาวบ้านกับบรรพชิตสุข สุขจากการบวชหรือสุขของนักบวช สุขทางกาย กับสุขทางใจ สุขเกิดจากสมาธิไม่ว่าอุปจาระหรืออัปปนาก็ตามกับอสมาธิสุข สุขที่ไม่ถึงสมาธิ ความระงับดับไป แห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว สันติสุข ความสุขที่เกิดจากความสงบ เช่น รัฐบาลบริหาร ประเทศเพื่อสันติสุขของประชาชน (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554, 2556, 1206) ดังนั้น “สันติสุข” จึงหมายถึง ความสุขที่มีลักษณะแห่งความเงียบ ความสะดวก ความเย็นใจ โดยที่สุข มีหลายระดับ สุขของชาวบ้านอันเกิดจากกาม สุขจากการบวชอันปลอดโปร่งจากกาม สุขทางกาย สุขทาง ใจความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว ความสงบระงับทางกายและทางใจ เป็น ความสุขที่เกิดจากภาวะแห่งความสงบ 4.2 ความสำคัญของสันติสุข สันติสุขมีความสำคัญในลักษณะทำให้เกิดความสบาย ความเย็นใจ ความสงบระงับ เป็นความสุขที่เกิด จากภาวะแห่งความสงบและสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้า ไปถึงความอิสระจากปัจจัยทั้งปวง สันติสุข มี ความสำคัญที่ต้องมีความเข้าใจ เห็นชอบถูกต้องในเรื่องโลกและชีวิต เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว การดำเนิน ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างถูกทางความคิด คำพูด และการกระทำก็จะปรากฏออกมาในทางที่ดีงาม การเข้าใจใน
17 วิชาการทางโลก ยังไม่จัดว่าเป็นสันติสุข ต่อเมื่อใดมีความเข้าใจในเรื่องโลก เรื่องชีวิตอย่างถูกต้อง เมื่อนั้นจึงจะ เป็นสันติสุข 4.3 เป้าหมายของสันติสุข สันติสุขในความหมายตามตัวอักษร หมายถึง ความสุขที่มีลักษณะแห่งความเงียบ ความสะดวก ความ เย็นใจ ความระงับดับไป ห่างจากกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว ความสงบระงับ สงบกายสงบ ใจ เป็นความสุขที่เกิดจากภาวะแห่งความสงบ อันเป็นผลจากสัมมาทิฏฐิและองค์ธรรมปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ความสุข มีที่มาได้ 2 ทาง คือ 1. ความสุขภายในเป็นความสุขเป็นความสงบสันติที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมี หรือไม่มี ปัจจัยภายนอกโดยตรง มักจะเป็นความสุขในระดับจิตและปัญญา 2. ความสุขภายนอกมักจะสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ด้วยกัน และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม การมีสติเมื่อรู้ตัวเองก็สามารถกำกับให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา หรือที่เรียกว่า ภาวนา (วริยา ชินวรรโณ, 2546, 102) หรือการทำให้เจริญ 4 ประการ อันก่อให้เกิดประโยชน์สุขอย่างยั่งยืน แต่สันติภาวะที่สูงที่สุด คือ พระนิพพาน 4.4 แนวทางการสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนในพระพุทธศาสนา ปัจจัยที่ทำให้เกิดสันติสุขเป็น 2 ระดับ คือ ปัจจัยภายนอก และ ปัจจัยภายใน ดังนี้ 4.4.1 ปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดสันติสุข ตามที่ได้กล่าวถึงไว้ในความหมายตามตัวอักษร หมายถึง ความสุขที่มีลักษณะแห่งความเงียบความสะดวก ความเย็นใจ ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความ เร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว ความสงบระงับ สงบกาย สงบใจ เป็นความสุขที่เกิดจากภาวะแห่งความสงบ และโดยที่ สันติสุขในระดับนี้จะเป็นความสุขสงบของฆราวาสหรือคนธรรมดา ซึ่งในที่นี้ใช้แนวทางเดียวกับปัจจัยที่ทำให้ เกิดสัมมาทิฏฐิ นั่นคือ การมีกัลยาณมิตร ในสิงคาลกสูตรหรือหลักทิศ 6 (อุตตรทิศ) ได้แสดงคุณลักษณะของ มิตรแท้ไว้ ดังนี้ 1. มิตรมีใจงาม คือ มิตรมีอุปการะมิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรแนะนำประโยชน์มีดังนี้ มิตรมีใจงามชนิด อุปการะมี 4 แบบ คือ 1. เพื่อนประมาทช่วยรักษา 2. เพื่อนประมาทช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน 3. เพื่อนมี ภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ 4. เมื่อมีกิจจำเป็นช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก 2. ทมะ คือ หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ คือ การฝึกฝนการข่มใจ ฝึกนิสัยปรับตัวรู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัยแก้ไขข้อบกพร่องปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา 3. มิตรมีใจงามชนิดมีใจรักมี 4 แบบ คือ 1. เพื่อนมีทุกข์พลอยไม่สบายใจ 2. เพื่อนมีสุขพลอยแช่มชื่น ยินดี 3. เขาติเตียนเพื่อนช่วยยับยั้งแก้ให้ 4. เขาสรรเสริญเพื่อนช่วยพูดเสริม 4. สัจจะ คือ ความจริงซื่อตรงซื่อสัตย์จริงใจพูดจริงทำจริง
18 5. ขันติ คือ ความอดทนตั้งหน้าทำหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียรเข้มแข็งทนทานไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ท้อถอย 6. มิตรมีใจงามชนิดร่วมทุกข์ร่วมสุขมี 4 แบบ คือ 1. บอกความลับแก่เพื่อน 2. รักษาความลับของ เพื่อน 3. มีภัยอันตรายไม่ละทิ้ง 4. แม้ชีวิตก็สละได้เพื่อประโยชน์ของเพื่อน 7. มิตรมีใจงามชนิดแนะนำประโยชน์มี 4 แบบ คือ 1. ห้ามปรามจากความชั่ว 2. ให้ตั้งอยู่ในความดี 3. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้เคยฟัง 4. บอกทางสวรรค์ พระภิกษุสงฆ์หรือสมณชีพราหมณ์ ก็พึงทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของชาวบ้าน ดังจะเห็นว่า หน้าที่ ของพระภิกษุสงฆ์ต่อกุลบุตรตามหลักทิศเบื้องบน ตรงกันทุกข้อกับลักษณะของมิตรแท้ประเภทมิตรแนะนำ ประโยชน์ ซึ่งหน้าที่ของพระสงฆ์นั้น จะมีเพิ่มเข้ามาอีก 2 ข้อรวมเป็น 6 ข้อ คือ 1. ห้ามปราม คือ สอนให้เว้น จากความชั่ว 2. แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี 3. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี 4. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่ เคยรู้เคยฟัง 5. ชี้แจงสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง 6. สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุข บอกทาง สวรรค์ (ที.ป. 11, 204, 206) สำหรับคนสามัญนั้น ต้องอาศัยการชี้แนะ การแนะนำจากผู้ที่เป็นคนดีมีปัญญา มีคุณธรรมทำหน้าที่ ช่วยเหลือแนะนำสั่งสอนให้ผู้อื่นมีความเห็นถูก และคล้อยไปตามคำแนะนำชักจูงที่ฉลาดได้ง่ายและจะต้อง ฝึกหัดให้สามารถใช้ความคิดอย่างถูกวิธีด้วยตนเองได้ นอกจากนี้ บุคคลสามารถเข้าหาหรือคบหาคนดีตาม หลักธรรม สิ่งที่นับว่าสำคัญก็คือ ความมีอิทธิพลชักจูงกันในด้านความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยมความรู้ ความ เข้าใจต่าง ๆ ที่ดีงาม ที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ มิตรที่มีอิทธิพลชักจูงให้ไปในทางชั่ว ก็เป็นมิตรไม่ดี แต่ถ้ามิตรใด ชักนำให้ทำความดี คิดดี เห็นชอบ ก็เป็นมิตรแท้หรือกัลยาณมิตรโดยแท้ มีบ่อย ๆ ที่มิตรชนิดในเรือน คือ มารดาบิดาหรือแม้แต่ครูอาจารย์ที่มีอิทธิพลชักนำความคิดเห็นถูกนี้ น้อยกว่ามิตรชนิดเพื่อนที่คบหาเที่ยวเล่น ชุมนุมด้วยกัน แต่บางครั้งก็ปรากฏว่า แม้แต่เพื่อนชนิดที่คบหานั้น กลับมีอิทธิพลน้อยไปกว่ามิตรที่ตัวอยู่ห่างแต่ มีพลังแรงเข้าถึงใจ ได้แก่ มิตรสื่อมวลชนต่าง ๆ มาทางสิ่งบันเทิงเริงรมย์ หนังสือ หรือในปัจจุบันสื่อจาก อินเทอร์เน็ตโลกออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค เป็นต้น (นิตย์ จารุศร, 2537, 74-75) ในปัจจุบันนี้ ตัวเชื่อมที่ทำให้มิตร นั้นเข้ามามีอิทธิพลชักจูงได้หรือปัจจัยตัวเชื่อมต่อระหว่างมิตรกับอิทธิพลที่เกิดขึ้นในใจ ได้แก่ ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส ความนิยมชมชอบ ความซาบซึ้งใจที่เรียกว่า “ศรัทธา”เมื่อมีศรัทธาแล้ว ถึงตัวมิตรแม้จะอยู่ไกล ไม่ได้คลุกคลีก็มีอิทธิพลได้ ถึงตัวมิตรจะอยู่ใกล้ แต่ถ้าไม่ศรัทธา ก็ไม่สามารถมีอิทธิพลชักจูงได้ซึ่งการคบมิตรที่ดี มีประโยชน์ เป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธา การที่เราพึ่งคนอื่น เช่น พึ่งพระพุทธเจ้า ก็เพื่อทำตัวให้เราพึ่งตนเองได้ พระพุทธเจ้าช่วยให้เราพึ่งตนเองนั่นเอง จุดหมายคือ พึ่งตนเองได้เป็นอิสระ ความคิดเห็นถูกเห็นชอบเกิดจาก ความรู้ความเข้าใจเหตุผล โดยอาศัยการอบรมสั่งสอน ปลูกฝังสืบ ๆกันมาในสังคม ช่วยให้เกิดความประพฤติดี ประพฤติชอบ ในด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับชีวิตภายนอกนี้ให้เราเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้ พร้อมกับเราต้องพึ่งคนอื่น
19 ด้วย ให้สังคมเป็นสังคมที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน เป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน โดยแต่ละคนก็มีอะไรให้คนอื่น ได้พึ่งบ้าง ต่างก็เกื้อหนุนกันให้สังคมอยู่อย่างผาสุกและให้แต่ละคนมีโอกาสพัฒนายิ่งขึ้นไป ในไตรสิกขาเพื่อให้ แต่ละคนมีอิสรภาพพึ่งตนเองได้แท้จริง ในทางจิตใจและปัญญา จึงเป็นสังคมที่ดีและการดำเนินชีวิตที่ดีงามทำ ให้สังคมสงบเรียบร้อย คนอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข 4.4.2 ปัจจัยภายในที่ก่อให้เกิดสันติสุข ปัจจัยทางสังคมแม้จะมีความสำคัญมาก แต่ก็ต้องไม่มองข้าม ความสำคัญของปัจจัยภายในตัวบุคคลปัจจัยที่ดีงามทั้งทางสังคมและภายในตัวบุคคล ต่างก็สามารถเป็นจุดเริ่ม ซึ่งทำให้เกิดความประพฤติปฏิบัติและการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ ความจริงทั้งสองอย่างย่อมสนับสนุนซึ่งกัน และกัน การปฏิบัติชอบหรือชีวิตที่ดีงามเกิดจากการปรุงผสมผสานปัจจัยทางสังคมและปัจจัยภายในตัวบุคคล เข้าด้วยกัน สำหรับมนุษย์ทั่วไปโดยส่วนใหญ่การปฏิบัติชอบหรือชีวิตที่ดีงาม จะตั้งต้นขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยปัจจัย ทางสังคม ปัจจัยดีงามทางสังคมนั้น เป็นการจุดประกายความรู้จักคิดที่เรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” ในเบื้องต้น และเป็นเครื่องประคับประคองคอยเสริมเติมและกระตุ้นการคิดพิจารณาอย่างแยบคายนั้นต่อ ๆ ไป ในด้านวิธี ปฏิบัติหรือดำเนินชีวิตเพื่อถึงจุดหมาย คือ สันติสุขขั้นต่าง ๆ นั้น พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงสั่งสอนไว้ครบถ้วนทุก ระดับรวมเข้าอยู่ในไตรสิกขา 3 คือ ข้อที่จะต้องศึกษาฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจน บรรลุจุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน (หลวงวิจิตรวาทการ, 2510, 112) 4.5 การประยุกต์หลักคำสอนทางทางศาสนาเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและสันติสุข หากมองในเชิงพุทธ สังคมที่พระพุทธเจ้าปรารถนาจะเห็นคือ “สังคมแห่งความพร้อมเพรียง” เพราะว่า “ความพร้อมเพียงแห่งหมู่คณะ นำความสุขมาให้” สังคมแบบพหุนิยมนั้นเป็นสังคมที่จะต้องเปิดพื้นที่ ให้กลุ่มคนต่าง ๆ ได้ดำรงอยู่อย่าง “มีศักดิ์ศรี” และ “เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน” และสิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ “การสร้างกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ เพื่อทำให้สังคมของพระองค์เพียงพอที่จะรองรับ กลุ่มคนต่าง ๆ ให้ได้รับความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมเพื่อใช้ความยุติธรรมเป็นเครื่องสร้าง “สามัคคีธรรม” การอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นธรรมดาที่จะเกิดปัญหา มีความไม่เข้าใจกัน มีการกระทบ กระทั่งกัน ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม ดังนั้นการทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข คือการสร้างความสามัคคี และสันติสุขให้เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จทั้งปวง ความสามัคคีจึงเป็นแหล่งพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงให้เกิดขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมทุก ๆ คนควรที่ จะตระหนัก เอาใจใส่ และสร้างสรรค์ขึ้นให้มากที่สุดในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักธรรม อันจะเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความสามัคคีและสันติสุขให้ เกิดขึ้น ประกอบด้วย 1. หลักสาราณียธรรม 6 (วิ.ป. (ไทย) 8/274/368) (สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต, 2559) เป็น หลักธรรมที่ช่วยให้เกิดความสามัคคีกัน 6 ประการ เป็นหลักธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง เป็นหลักธรรม
20 ที่จะเสริมสร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นต่อกันและกันอยู่เสมอในยามที่ระลึกถึงกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการ เสริมสร้างความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้เกิดขึ้นด้วย สาราณียธรรม ทั้ง 6 ข้อ มีดังนี้ 1. เมตตามโนกรรม หมายถึง การคิดดี การมองกันในแง่ดี มีความหวังดีและปรารถนาดีต่อกัน รักและเมตตาต่อกัน คิดแต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ต่อกัน ไม่อิจฉาริษยา ไม่คิดอคติ ไม่พยาบาท ไม่โกรธ แค้นเคืองกัน รู้จักให้โอกาสและให้อภัยต่อกันและกันกันอยู่เสมอ 2. เมตตาวจีกรรม หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่ดีงาม พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี รู้จัก การพูดให้กำลังใจกันและกัน ในยามที่มีใครต้องพบกับความทุกความผิดหวังหรือความเศร้าหมองต่าง ๆ โดยที่ไม่พูดจาซ้ำเติมกันในยามที่มีใครต้องหกล้มลง ไม่นินทาว่าร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง พูด แนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ พูดอย่างใดก็ทำอย่างนั้น ไม่โกหกมดเท็จ 3. เมตตากายกรรม หมายถึง การทำความดีต่อกัน สนับสนุนช่วยเหลือกันทางด้านกำลังกาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เบียดเบียนหรือรังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน ให้ได้รับความ ทุกขเวทนา ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องต่อกันอยู่ตลอดเวลา 4. สาธารณโภคี หมายถึง การรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์กันด้วยความยุติธรรม ช่วยเหลือกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เอารัดเอาเปรียบ และมีความเสมอภาคต่อกัน เอื้อเฟื้อซึ่ง กันและกันอยู่เสมอ 5. สีลสามัญญตา คือ ความรักใคร่สามัคคีรักษาศีลอย่างเคร่งครัดเหมาะสมตามสถานะของ ตน การปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับหรือวินัยต่าง ๆ อย่างเดียวกัน เคารพในสิทธิเสรีภาพของ บุคคล มีความประพฤติสุจริตปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหมู่คณะ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ก้าวก่าย หน้าที่กัน ไม่อ้างอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ถืออภิสิทธิ์ใด ๆ ทั้งปวง 6. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง มีความคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกัน คิดในสิ่งที่ตรงกัน ปรับมุมมอง ให้ตรงกัน รู้จักแสวงหาจุดร่วมและสงวนไว้ซึ่งจุดต่าง ของกันและกัน ไม่ยึดถือความคิดของตนเป็น ใหญ่ รู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นอยู่เสมอ สาราณียธรรม 6 เป็นหลักธรรมสำหรับการเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นใน สังคม อันจะนำมาซึ่งความสุข ความสันติ ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าทั้งทั้งหลายทั้งปวง ดั่งพระพุทธ วจนะบทที่ว่า “สมคฺคยานตโป สุโข ความสามัคคีของหมู่คณะเป็นเหตุนำความสุขมาให้” กล่าวถึง การทำ ความดี การมีวาจาที่ดี และการคิดดีรวมถึงการให้การแบ่งปัน ความสามัคคีกลมเกลียว การไม่เอาเปรียบกัน การมีความคิดความเห็นร่วมกันหากมีการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนนี้ได้จะทำให้เกิดความผาสุกในการ อยู่ร่วมกัน มีความกลมเกลียว และเกื้อกูลต่อกัน อันนำมาสู่ความรักความสามัคคีตลอดไป
21 2. สังคหวัตถุ4 เป็นหลักธรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคีอีกหลักธรรมหนึ่ง ที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนา ในแง่ของการมีมิตรสหาย หรือบริวารที่ดีจริง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงความสำคัญของการมีมิตรสหายที่ดีไว้ใน อุปัฑฒสูตรว่า “ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ มีด้วยกัน 4 ประการ คือ 1. ทาน คือ การให้ได้แก่ การเสียสละ การให้ปัน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแบ่งปันช่วยเหลือ กันด้วยสิ่งของ การให้ทานให้เพื่อขจัดกิเลส 2. ปิยวาจา คือ การพูดคำสุภาพ อ่อนหวาน เพื่อให้เกิดความสมานสามัคคี 3. อัตถจริยา หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือกันและกันในวงแคบ และบำเพ็ญ สาธารณประโยชน์ในวงกว้าง หลักธรรมข้อนี้มุ่งสอนให้คนพัฒนาตน 2 ด้านคือ การทำตนให้เป็น ประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ 4. สมานัตตตา การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย หมายถึง การวางตนได้เหมาะสม มีความหมาย 2 ประการ คือ วางตนได้เหมาะสมกับฐานะที่ตนมีอยู่ในสังคม และปฏิบัติตนอย่าง สม่ำเสมอต่อคนทั้งหลาย ให้ความเสมอภาคไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เสมอในสุขและทุกข์ สังคหวัตถุ 4 คือ หลักธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ได้แก่ การให้การแบ่งปัน การ พูดจาแต่สิ่งดี ๆการประพฤติตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น การวางตนให้เหมาะสม หลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ เป็น เครื่องยึดเหนี่ยวใจผู้คนในสังคมให้อยู่กันอย่างสันติ 3. พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมในการกำกับความประพฤติ ให้มีชีวิตที่งดงาม ประเสริฐและบริสุทธิ์ ปฏิบัติ ตนต่อมนุษย์และสัตว์โดยชอบ มี 4 ประการ คือ 1. เมตตา ความรัก ปรารถนาแต่จะให้ผู้อื่นเป็นสุข จะคิด จะปรึกษาหารือ จะพูด จะกระทำ อะไร ก็คิดปรึกษาหารือ พูดและกระทำด้วยความปรารถนาดีต่อกัน 2. กรุณา ความสงสาร ปรารถนาแต่จะให้ผู้มีหรือผู้ประสบกับปัญหาความทุกข์เดือดร้อนให้ เขาได้พ้นจากปัญหาความทุกข์เดือดร้อนนั้น 3. มุทิตา พลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดีและอยู่ดีมีสุข ไม่คิดอิจฉาริษยากัน ไม่มุ่งร้ายทำลายกัน 4. อุเบกขา ความมีใจเป็นกลาง วางเฉย เมื่อได้รู้เห็นผู้อื่นถึงซึ่งความวิบัติ พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ที่กล่าวถึง ความรัก ความปรารถนาดี ความยินดี ความไม่อิจฉาริษยา รวมถึงความมีใจเป็นกลาง วางเฉย คือ การไม่อิจฉาริษยาความสุขของผู้อื่น และไม่ซ้ำเติม ถากถางกับความทุกข์ของผู้อื่น หากทุกคนในสังคมปฏิบัติได้ดังนี้ จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมี ความรักปรารถนาดีต่อกัน 4. สัปปุริสธรรม หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี สัปปุริสธรรม มีบรรยายไว้หลายลักษณะ มี 7 ประการด้วยกัน คือ
22 1. ธัมมัญญ เป็นผู้รู้จักเหตุ คือ รู้หลักความเป็นจริง รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุ 2. อัตถัญญู รู้จักผล คือ รู้ความมุ่งหมาย รู้จักผลที่สืบเนื่องมาจากการกระทำ 3. อัญตัญญู รู้จักตน คือ รู้จักตัวตนของเราเอง เช่น ฐานะ ความรู้ ความสามารถ ฯลฯ และ ประพฤติให้เหมาะสมและรู้จักแก้ไขปรับปรุง 4. มัตตัญญู รู้จักประมาณ คือ เป็นคนรู้จักความพอดีหรือความพอเพียงทุกๆ ด้าน รู้จัก ประมาณกำลังตนเอง 5. กาลัญญตา การรู้จักเวลา คือ ใช้เวลาที่เหมาะสมในการทำกิจอันใด จัดลำดับงานและเวลา ให้สัมพันธ์กัน 6. ปริสัญญตา การรู้จักชุมชน คือ รู้จักสังคมที่อาศัยอยู่ และทำตนให้อยู่ร่วมกับสังคมได้ 7. ปคคโลปรปรัญญุตา การรู้จักบุคคล เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้จักเลือกคบคน สัปปุริสธรรมทั้ง 7 ข้อนี้ สรุปเป็นคำจำกัดความง่ายๆ คือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้บุคคล เป็นกุศลธรรมที่ทำให้คนเป็นคนดี เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ การนำพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างความสามัคคีให้กับบุคลากร ทีมงานเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ สำคัญมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนในการเข้าสู่สังคม และปรับตัวเข้ากับสังคมอย่างมีความสุข เช่น สาราณียธรรม 6 เป็นหลัก คำสอนที่กล่าวถึงการทำ การพูด การคิด การเสียสละแบ่งปัน การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็น หลักธรรมที่สอนให้เห็นแก่ผู้อื่น วิธีการปฏิบัติในการอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น สังคหวัตถุ4 เป็นหลักคำสอนที่ เกี่ยวกับการเสียสละ การพูด การทำตนเป็นประโยชน์กับผู้อื่น การประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย เป็น หลักธรรมที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจผู้อื่น ผูกไมตรีกับผู้อื่น พรหมวิหาร 4 เป็นหลักคำสอนที่กล่าวถึงความรัก ความ ปรารถนาดี ความยินดีและการวางตัวเป็นกลาง เป็นหลักคำสอนที่กล่าวถึงการให้ความรักความเข้าใจกับผู้อื่น และเป็นหลักธรรมในการกำกับความประพฤติของบุคคลให้ปฏิบัติแต่สิ่งดีงาม สัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักคำสอนที่เกี่ยวกับการรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม รู้ชุมชน เป็นหลักคำสอนที่ทำ ให้รู้จักตนเอง รู้จักสังคม เข้าใจคนรอบข้าง รู้จักแยกแยะและเลือกคบคน เมื่อบุคคลสามารถปฏิบัติตามหลักคำ สอนทั้ง 7 อย่างได้ จะทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข เกิดความรักความสามัคคีกลมเกลียว เกิดความผาสุกใน กลุ่มชนตลอดไป 5. หลักการดำเนินชีวิตตามแนวพุทธศาสนา คือ รูปแบบการดำเนินชีวิต (หรือเรียกทับศัพท์ว่า ไลฟ์สไตล์) หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิตของบุคคล โดยที่ลักษณะของพฤติกรรมต่างๆจะเป็นตัวบ่งบอกถึงรูปแบบการดำเนินชีวิต แต่ละแบบพฤติกรรมในการเข้า สังคม ในการบริโภค ในการหาความบันเทิง การพักผ่อนหย่อนใจใช้เวลาว่าง และการแต่งตัว ล้วนเป็น
23 ส่วนประกอบของรูปแบบการดำเนินชีวิต รูปแบบการดำเนินชีวิตจะถูกดำเนินเป็น อุปนิสัย เป็นวิธีประจำที่ กระทำสิ่งต่างๆ ศาสนาเป็นสิ่งที่มีมาช้านาน ในระยะแรกศาสนาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อขจัดความหวาดกลัวสิ่ง ต่างๆ ที่ล้อมรอบตัวของมนุษย์ คิดว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของผู้มีฤทธิ์ มากกว่าตน เมื่อมนุษย์เริ่มเรียนรู้ธรรมชาติมากขึ้นและเกิดเป็นศาสนาที่มีเหตุผลเข้ามาเป็นแบบแผนและเป็น แนวทางในการดำเนินชีวิต ความเชื่อศรัทธาในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ ของแต่ละศาสนาก็กลายมาเป็น ประเพณี วัฒนธรรมที่ทำสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน สำหรับคนไทยแล้ว ศาสนาเป็นสถาบันสำคัญของ สังคมไทยโดยยอมรับศาสนาพุทธ เป็นศาสนาสำคัญประจำชาติและเปิดโอกาสให้บุคคลนับถือศาสนาต่างๆ ได้ โดยอิสระ ยอมให้ศาสนาสำคัญทั้งปวงตั้งอยู่ในประเทศไทยได้ เช่นศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ อินดู เป็น ต้น แต่ศาสนาพุทธเป็นจุดรวมจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ จึงได้ยึดหลักธรรมมาเป็นพื้นฐานของชีวิตเพื่อที่จะ นำไปสู่ความมั่นคงของประเทศด้วย นอกจากศาสนาพุทธแล้ว ยังนำสิ่งที่มีคุณค่าของศาสนาอื่นมาผสมผสาน กับหลักของศาสนาพุทธด้วย เช่น พิธีกรรมของพราหมณ์ในการตั้งศาลพระภูมิ การขึ้นบ้านใหม่ การเข้าร่วมทำ กิจกรรมกับศาสนาอื่น โดยไม่ถือว่าเป็นการเสื่อมเสียหรือเป็นบาป ยอมรับการแต่งงานกับคนต่างศาสนาได้ไม่ เป็นอุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันของครอบครัว และยังให้การคุ้มครองป้องกันศาสนาและลัทธิความเชื่อทั้งหลาย ที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตตามหลักมงคล 38 ที่ว่าด้วยหลักธรรมที่ ส่งผลต่อผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส วิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนในสังคมปัจจุบัน การดำเนินชีวิตของคนเรานั้น ในความหมายหนึ่งก็ คือ การบริโภค การเสพ หรือใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ การใช้เวลาเป็นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการรู้จักบริโภค ซึ่ง เป็นความหมายอย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิตเป็นคนเราที่จะเป็นอยู่อย่างดีนั้นจะต้องดำเนินชีวิตเป็น คือรู้จัก ดำเนินชีวิตนั่นเอง ถ้าใครรู้จักดำเนินชีวิต ชีวิตนั้นก็เป็นชีวิตที่ดีงาม เป็นชีวิตที่พัฒนาเจริญก้าวหน้า ประสบ ประโยชน์สุข แต่ถ้าดำเนินชีวิตไม่เป็นก็มีแต่ขาดทุนและประสบต่อความทุกข์และความเสื่อม ฉะนั้นจะต้องรู้จัก ดำเนินชีวิต หรือดำเนินชีวิตเป็นในบรรดากิจกรรมทั้งหลายของการดำเนินชีวิตเป็นนั้น อันหนึ่งก็คือ การใช้เวลา เป็น การดำเนินชีวิตเป็นนี้ เป็นหลักที่สำคัญ ก็เลยจะขอพูดถึงเรื่องการดำเนินชีวิตเป็นเสียด้วยเพื่อให้เห็นองค์ รวม เพราะในยุคนี้เราถนัดเรื่องความคิดเกี่ยวกับองค์รวม การใช้เวลาเป็นนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือเสี้ยวหนึ่ง ของการดำเนินชีวิตเป็น ถ้าเราจะทำให้ได้ประโยชน์ครบถ้วนจะต้องมองเห็นองค์รวมของการดำเนินชีวิตเป็นนั้น เพราะจะต้องต่อสู้กับปัญหาน้อยใหญ่นานัปการ ทั้งปัญหาการครองชีวิต ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ ปัญหาสุขภาพอนามัย ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไปคนละหลายปัญหา ชีวิตควรเป็นอยู่อย่างมีความสุข เมื่อคนที่เคยรู้จักคุ้นเคยเคยพบกัน คำถามประโยคที่สองหลังจากกล่าวคำว่า สวัสดีเป็นการทักทายคือ สบายดี ไหม “คำว่าสบายดี” ในความหมายก็คือ มีความสุขเพราะมนุษย์โดยทั่วไปพากันแสวงหาความสุข ความสุขจึง เป็นเป้าหมายใหญ่ของชีวิต ความสุขมีทั้งสุขแบบโลก และสุขแบบธรรม สุขแบบโลกเป็นความสุขของชาวโลก หรือชาวบ้านซึ่งได้แก่พวกคฤหัสถ์ หรือฆราวาสจะพึงมีส่วนสุขแบบธรรมเป็นความสุขเกิดจากฌานสมบัติ และ ภาวะที่ไม่มีกิเลส หรือปราศจากความทุกข์ทางใจ
24 5.1 มงคลสูตร เป็นหลักพุทธธรรมที่สนับสนุนการอยู่ร่วมกันของประชาชนในสังคมปัจจุบันมนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข โดยปราศจากหลักธรรมหรือคุณธรรมย่อมไม่ได้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมจะต้องกิน และต้องบริโภค การทำมาหากินของมนุษย์นั้นเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง ประกอบกับธาตุแท้ ของมนุษย์นั้นมักง่ายเห็นแก่ตัว ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นหากมนุษย์ขาดหลักธรรมหรือคุณธรรมประจำใจแล้ว การดำรงชีวิตจะต้องมีการกระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทหมาดหมางถึงกับรบราฆ่าฟันทำศึกสงครามกันได้ แต่ อย่างไรก็ตามเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้รับการฝึกอบรมสั่งสอนในด้านคุณธรรม ศีลธรรมกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว จึงทำให้บุคคลมีความสำนึกในศีลธรรมจริยธรรมอยู่ในใจเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ยากการนำเอา หลักธรรมไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตมีหลายวิธี คือ อาจจะเริ่มต้นด้วยหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่ง แล้วยึดถือ ปฏิบัติ ซึ่งอาจนำหลักการปฏิบัติตามหัวใจสำคัญของพุทธศาสนาตามหลักมงคล 38มงคล คือ เหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบท มงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี “มงคลชีวิต” ซึ่งมี 38 ประการ 1. การไม่คบคนพาล : อเสวนา จ พาลานํ (อะเสวะนา จะ พาลานัง) คือ ไม่คบผู้ที่ชักจูงไปในทางที่ผิด และโง่เขลาเบาปัญญา เพราะมีแต่จะทำให้ชีวิตเสื่อม 2. การคบบัณฑิต : ปณฑิตานญฺจ เสวนา (ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา) คือ ผู้มีความรู้ความคิดที่ดี การ ปฏิบัติตนที่ดี เพื่อจะได้รับการชี้แนะแต่เรื่องอันเป็นมงคล 3. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา : ปูชา จ ปูชนียานํ (ปูชา จะ ปูชะนียานัง) คือ การเชิดชูผู้ประพฤติดี และ ผู้มีพระคุณ เป็นการลดทิฐิของตนเอง ไม่สักการบูชาในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล 4. การอยู่ในถิ่นอันสมควร : ปฏิรูปเทสวาโส จ (ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ) คือ พาตัวเองไปอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ดี แวดล้อมไปด้วยบัณฑิตทั้งทางโลก และทางธรรม 5. การเคยทำบุญมาก่อน : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา) คือ ฝึกชำระล้างจิตใจ สั่งสมอานิสงส์ ความดี ความสุข ทุกการกระทำส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต 6. การตั้งตนชอบ : อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ) คือ วางตนอย่างเหมาะสมในการดำรง ชีพ และประกอบสัมมาอาชีพ 7. ความเป็นพหูสูต : พาหุสจฺจญฺจ (พาหุสัจจัญจะ) คือ เป็นผู้ที่สดับรับฟังมาก จึงมีความรู้ มีปัญญา ใน การคิดแก้ปัญหาต่างๆ อย่างถูกวิธี 8. การรอบรู้ในศิลปะ : สิปฺปญฺจ (สิปปัญจะ) คือ มีความรู้ในการใช้มือปฏิบัติการงานต่างๆ สามารถ ประกอบวิชาชีพได้ ชีวิตไม่อับจน 9. การมีวินัยที่ดี: วินโย จ สุสิกฺขิโต (วินะโย จะ สุสิกขิโต) คือ ปฏิบัติตนตามระเบียบ และกฎเกณฑ์ ของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
25 10. การกล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต : สุภาสิตา จ ยา วาจา (สุภาสิตา จะ ยา วาจา) คือ พูดดี ไม่ เหลวไหล เปล่งวาจาอันเป็นมงคล ทั้งทางโลกและทางธรรม 11. การบำรุงบิดามารดา : มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ (มาตาปิตุอุปัฏฐานัง) คือ เลี้ยงดูบิดา มารดา กล่าวยก ย่องสรรเสริญผู้มีพระคุณ เป็นมงคลชีวิตที่ทำให้เจริญก้าวหน้า 12. การสงเคราะห์บุตร : ปุตฺตสงฺคโห (ปุตตะสังคะโห) แยกมาจาก ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห (ปุตตะทา รัสสะ สังคะโห) คือ เลี้ยงดูบุตรให้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ได้รับการศึกษา บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม 13. การสงเคราะห์ภรรยา : ทารสงฺคโห (ทาระสังคะโห) คือ เลี้ยงดูภรรยาให้ดี กล่าวยกย่อง ไม่ดูหมิ่น สร้างความมั่นคงให้ครอบครัว 14. การทำงานไม่ให้คั่งค้าง : อนากุลา จ กมฺมนฺตา (อะนากุลา จะ กัมมันตา) คือ ทำงานทั้งทางโลก และทางธรรมให้สำเร็จสมบูรณ์ ไม่เห็นแก่ตัว และประโยชน์ส่วนตน 15. การให้ทาน : ทานญฺจ (ทานัญจะ) คือ ฝึกจิตให้เป็นผู้มีความเสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว ไม่ทุจริต ในสิ่งของที่ไม่ชอบธรรม 16. การประพฤติธรรม : ธมฺมจริยา จ (ธัมมะจะริยา จะ) คือ ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า ยกระดับจิตใจให้สูงด้วยศีล และธรรมะ 17. การสงเคราะห์ญาติ : ญาตกานญฺจ สงฺคโห (ญาตะกา นัญจะ สังคะโห) คือ ให้ความช่วยเหลือญาติ พี่น้องตามกำลัง สงเคราะห์ญาติเมื่อเดือดร้อน 18. การทำงานที่ไม่มีโทษ : อนวชฺชานิ กมฺมานิ (อะนะวัชชานิ กัมมานิ) คือ ทำงานหาเลี้ยงตน โดย ต้องเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดประเพณี และศีลธรรมอันดี 19. การละเว้นจากบาป : อารตี วิรตี ปาปา (อาระตี วิระตี ปาปา) คือ บาปคือสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคล ทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น 20. สำรวมจากการดื่มน้ำเมา : มชฺชปานา จ สญฺญโม (มัชชะปานา จะ สัญญะโม) คือ ดื่มของมึนเมา แล้วไม่สามารถควบคุมตนได้ ย่อมนำมาซึ่งการเสียทรัพย์ เสียสติสัมปชัญญะ 21. การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย : อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ (อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ) คือ เป็นผู้มีสติ พร้อม ไม่ประมาท ไม่หุนหันพลันแล่น ปฏิบัติตนในทางที่ดี 22. การมีความเคารพ : คารโว จ (คาระโว จะ) คือ ให้ความเคารพในบุคคลที่ควรแก่การเคารพ ทั้งต่อ หน้าและลับหลัง ผู้คนจะสรรเสริญ 23. การมีความถ่อมตน : นิวาโต จ (นิวาโต จะ) คือ มีมารยาท สงบเสงี่ยม ไม่หยิ่งผยองตน จะทำให้ ไม่เสียคน และไม่เสียมิตร 24. การมีความสันโดษ : สนฺตุฏฺฐี จ (สันตุฏฺะฐี จะ) คือ พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ยินดี ตามกำลังทรัพย์ของตน 25. การมีความกตัญญู : กตญฺญุตา (กะตัญญุตา) คือ เป็นผู้รู้คุณ รู้จักตอบแทนบุญคุณผู้ที่มีพระคุณ และมีผู้ที่เมตตาในยามเดือดร้อน
26 26. การฟังธรรมตามกาล : กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง) คือ เมื่อมีโอกาสให้ฟังธรรมะ คิดทบทวนถึงประโยชน์แห่งหลักธรรม แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน 27. การมีความอดทน : ขนฺตี จ (ขันตี จะ) คือ เป็นผู้มีความอดทนต่อความยากลำบาก และอดทนต่อ กิเลส และความโลภ 28. การเป็นผู้ว่าง่าย : โสวจสฺสตา (โสวะจัสสะตา) คือ เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำตัวกลบเกลื่อน ความผิดของตน พร้อมปรับปรุงตัว 29. การได้เห็นสมณะ : สมณานญฺจ ทสฺสนํ (สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง) คือ สำหรับผู้ที่อยู่ในสมณเพศ ต้องเป็นผู้ที่สงบกาย วาจา และใจ 30. การสนทนาธรรมตามกาล : กาเลน ธมฺมสากจฺฉา (กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา) คือ แลกเปลี่ยนสาระ ความรู้กับผู้อื่น พูดด้วยวาจาที่ไม่โอ้อวด และมีความรู้จริงในสิ่งที่พูด 31. การบำเพ็ญตบะ : ตโป จ (ตะโป จะ) ตบะ คือ ฝึกปฏิบัติตนให้กิเลสหมดไป สำรวมกายใจ ไม่ยึด ติดในสัมผัสภายในนอกเกินไป 32. การประพฤติพรหมจรรย์ : พฺรหฺมจริยญฺจ (พรัหมะจะริยัญจะ) คือ ผู้บวชให้ละเว้นจากการเสพ เมถุน ส่วนฆราวาสให้ยึดปฏิบัติโดยการให้ทาน ช่วยเหลือผู้อื่นตามสมควร และรักษาศีล 33. การเห็นอริยสัจ : อริยสจฺจานทสฺสน (อะริยะสัจจานะทัสสะนะ) คือ เห็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ อริยสัจ 4 อันเป็นมูลเหตุแห่งการเกิดทุกข์ และวิธีทำให้ทุกข์หมดไป 34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน : นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ (นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ) คือ ปฏิบัติตน ใช้ หลักธรรมดับทุกข์ และความไม่สบายใจ ระลึกถึงคุณแห่งพระนิพพาน 35. การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม : ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปต (ผุฏฺฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะตะ) คือ ฝึกจิตใจตนให้ไม่หลงในลาภ ยศ และการสรรเสริญเยินยอ 36. การมีจิตไม่เศร้าโศก : อโสกํ (อะโสกัง) คือ การพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ใช้ปัญญา พิจารณาความเศร้า และความอาลัยอาวรณ์ 37. การมีจิตปราศจากกิเลส : วิรชํ (วิระชัง) คือ ฝึกปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากกิเลส และสิ่งที่ทำให้จิตใจ เศร้าหมอง 38. การมีจิตเกษม : เขมํ (เขมัง) คือ รักษาไว้ซึ่งสภาพที่มีจิตใจเป็นสุข ละแล้วซึ่งกิเลส ไม่ยินดีในวัตถุ ในภพ ในอวิชชาทั้งหลาย มงคลชีวิต 38 ประการ เป็นหมวดธรรมะที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและการในการนำไปปฏิบัติเพราะ เป็นหมวดธรรมะที่เป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องกัน และสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน ได้อย่างเหมาะสม ฝึก ให้เป็นคนดี สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์ บำเพ็ญประโยชน์ ต่อครอบครัวและ สังคม เพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป ผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส สร้างบารมีให้ถึงที่สุด แห่งธรรมได้ในที่สุดมงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรม
27 อันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี “มงคลชีวิต”หลักพุทธธรรมกับการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน การ ดำเนินชีวิตและการดำรงชีวิตนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะต้องต่อสู้กับปัญหาน้อยใหญ่นานัปการ ทั้งปัญหา การครองชีวิต ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและปัญหาสุขภาพอนามัย ซึ่งแต่ละคนก็มีปัญหาที่แตกต่างกัน ไปคนละหลายปัญหาชีวิตควรเป็นอยู่อย่างมีความสุข เมื่อคนที่เคยรู้จักคุ้นเคยเคยพบกัน คำถามประโยคที่สอง หลังจากกล่าวคำว่า สวัสดีเป็นการทักทายคือสบายดีไหม? “คำว่าสบายดี” ในความหมายก็คือ มีความสุข เพราะมนุษย์โดยทั่วไปพากันแสวงหาความสุขความสุขจึงเป็นเป้าหมายใหญ่ของชีวิต ความสุขมีทั้งสุขแบบโลก และสุขแบบธรรม สุขแบบโลกเป็นความสุขของชาวโลก หรือชาวบ้านซึ่งได้แก่พวกคฤหัสถ์ หรือฆราวาสจะพึงมี ส่วนสุขแบบธรรมเป็นความสุขเกิดจากฌานสมบัติ และภาวะที่ไม่มีกิเลส หรือปราศจากความทุกข์ทางใจ และ สรุปองค์ความรู้จากการศึกษาครั้งนี้ในการนำหลักพุทธธรรมกับการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน 5.2 หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์ และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้นจากอวิชชา (ความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ) อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เน้นการศึกษาทำความเข้าใจ การโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา และพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง เห็นเหตุผลว่าสิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี จนเห็นตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติเป็นไปตาม กฎพระไตรลักษณ์ และสัตว์โลกที่เป็นไป ตามกฎแห่งกรรม แล้วเลือกใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาที่เหมาะกับผลที่จะได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างถูกต้อง ด้วย ความไม่ประมาทในชีวิตให้มีความสุขในทั้งชาตินี้ ชาติต่อๆ ไป (ด้วยการสั่งสมบุญบารมี) ตลอดจนปรารถนาใน พระนิพพานของผู้มีปัญญาหลักคำสอนในพุทธศาสนามีทั้งหลักปฏิบัติที่เป็นจริยธรรมคุณธรรมและศีลธรรม 5.2.1 หลักจริยธรรม ความกตัญญูกตเวที คือ การรู้จักบุญคุณและตอบแทน อันเป็นหลักธรรมพื้นฐานทั่วไปของมนุษย์ เพื่อ การดำรงอยู่อย่างปกติสุข ดังนั้นทุกคนจึงมีหน้าที่ต่อกันด้วยการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของพระพุทธเจ้า คือ การปฏิบัติหน้าที่ต่อกัน 5.2.2 หลักคุณธรรม พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนและสังคมดำรงชีวิตด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและ กัน ไม่มุ่งร้ายต่อกัน ด้วยความรักที่บริสุทธิ์ต่อเพื่อนร่วมโลก ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ คือ เมตตา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข) กรุณา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) มุทิตา (ความยินดีที่ ผู้อื่นประสบความสุขในทางที่เป็นกุศล หรือประกอบเหตุแห่งสุข) อุเบกขา (การวางจิตเป็นกลาง การมีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตนไม่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้ จิตตนจะเป็นทุกข์ ดังนั้น ตนจึงควรวางอุเบกขา ทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตามกรรม นั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน รวมถึงการให้อภัยผู้อื่น) และการ ปราศจากอคติ
28 5.3 สิบหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ชาวพุทธสมควรศึกษา 1. อิทธิบาท 4 ศึกษาเพื่อบ่มเพาะคุณธรรมแห่งความสำเร็จไม่สับสนระหว่างฉันทะกับตัณหาคือความ รักที่จะลงมือทำและความอยากมีอยากได้อยากเป็น ผู้เข้าใจอิทธิบาทสี่จะประเมิณตนเองได้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำ อยู่จะพบกับความสำเร็จได้หรือไม่ เป็นหลักธรรมที่หาค้นคว้าได้ทั่วไป 2. ศีล 5 เป็นหลักธรรมที่เราได้ยินกันบ่อยที่สุดแต่ความจริงแล้ว เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมีแง่มุมที่ น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะศีลในข้อวาจางดเว้นการพูดเท็จ ซึ่งในสังคมปัจจุบันทำผิดกันมากจนกลายเป็น เรื่องธรรมดา ในพระสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าผู้ใดก็ตามที่โกหกจนเป็นนิสัย หรือบิดเบือนความจริงจน เป็นนิสัยทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่กระพริบตา บุคคลผู้นั้นย่อมมีอันตรายเพราะมีโอกาสสูงที่จะต้องตกอบายภูมิ ดังนั้น ศีลห้าจึงเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้ชีวิตของตนและสังคมสงบได้ คุณธรรมนี้สามารถศึกษา ค้นคว้าได้ทั่วไป 3. อริยสัจ 4 เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นความจริงของชีวิต เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบและ ทำให้พระองค์หลุดพ้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คืออะไร ชาวพุทธทั้งหลาย ไม่ควรสงสัย คลุมเครือ หรือไม่ แน่ใจ แต่ควรจะมีความเข้าใจ แตกฉาน สามารถตอบคำถามและแนะนำได้ หากมีผู้สงสัย แม้ไม่รู้จักสิ่งนี้คุณ กำลังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าของตนเอง หลักธรรมข้อนี้ สามารถศึกษาค้นคว้าได้ทั่วไป 4. ขันธ์5 หลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่องขันธ์ห้านี้อาจดูไกลตัวสำหรับคนทั่วไปแต่ที่จริงแล้ว ขันธ์ห้าคือสิ่งที่ ทุกคนต้องศึกษาเล่าเรียนเพราะขันธ์ห้านี้เองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวกูของกู พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า มนุษย์ทั้งหลายไม่เคยตื่นขึ้นเลย มนุษย์ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในการหลับไหล ก็เพราะไม่รู้เรื่อง ขันธ์ห้าตราบที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องขันธ์ห้า อย่าพูดเด็ดขาดว่าท่านรู้จักชีวิตของท่านดีแล้ว 5. ระบบกรรม เป็นหนึ่งในกฎธรรมชาติห้าอย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสั่งสอนชาวโลก ระบบ กรรมเป็นระบบที่ยุติธรรมเสมอ ไร้ช่องโหว่ ถ้าเราศึกษาจนเข้าใจ เราจะสามารถตอบคำถามของชีวิตได้อีก หลายอย่าง ระบบกรรมนี้ ไม่ได้ระบุไว้เพียง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หากแต่ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากมาย ซึ่งถ้าไม่ศึกษา ก็ไม่มีวันเข้าใจได้จากการคิด วิเคราะห์ด้วยตนเอง เพราะต้องใช้ปัญญาระดับพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงสามารถแยกย่อย ตีแผ่ออกมาได้ แนะนำให้ศึกษาโครงสร้างของกรรม เพราะจะสามารถวิเคราะห์ได้ด้วย ตนเอง ไม่ต้องไปถามใครต่อใครอีกว่า ทำไมเราเกิดมาเป็นแบบนี้ ทำไมต้องพบกันคนนี้ ทำไมมีแต่เรื่องแบบนี้ และจะแก้ไขชีวิตได้อย่างไรให้ดีขึ้น 6. ภพภูมิและการเวียนว่ายตายเกิด ในเรื่องภพภูมินี้แม้คนส่วนใหญ่จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ หากไม่ศึกษาค้นคว้าไว้เลย ก็จะเป็นเหตุให้มองโลกผิดไปจากความเป็นจริงอยู่มาก เพราะความรู้ภพภูมินี้จะทำ ให้เราเข้าใจว่า เราเองไม่ได้วิเศษมาจากไหนไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุดตรงกันข้าม เรานี่แหละ ที่เคยเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนับไม่ถ้วน เป็นเทวดาก็เป็นมาแล้วสูง ที่สุดก็เคยเป็นมาแล้ว ต่ำที่สุดก็เคยเป็นมาแล้ว ทุกคนเป็นเพียงสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครดีไปกว่าใคร ความเข้าใจเรื่องภพภูมินี้ จะทำให้เราสำนึกตนเองว่า เราไม่สมควรประมาทต่อชีวิต อีกทั้งควรมองผู้อื่นดุจ
29 กัลยาณมิตร หรือคนในครอบครัว ไม่แบ่งเขา แบ่งเรา ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ กระทำตนต่อผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ ความรู้เรื่องภพภูมินี้ 7. จิตสุดท้าย หลักธรรมในข้อนี้ ถ้าพูดกันตามตรงอาจเป็นหัวข้อแรกๆ ที่เราควรทำความเข้าใจ เพราะความตายนั้นเป็นสิ่งใกล้ตัวมากกว่าที่คิดวันพรุ่งนี้กับชาติหน้า เราไม่สามารถรู้เลยว่าอะไรจะมาก่อนมา หลัง ในการเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีคำว่า "จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป" คุณคนเดียวเท่านั้นที่เกิด คุณคนเดียว เท่านั้นที่ตาย คุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือตนเองในนาทีสุดท้ายของชีวิต ความรู้เรื่องจิตสุดท้ายนี้จะ ทำให้เราเข้าใจว่า เราควรวางจิตก่อนตายอย่างไรเพื่อไม่ต้องเสวยภูมิอยู่ในนรก นรกไม่ได้มีสำหรับคนชั่วเท่านั้น แต่ยังมีไว้สำหรับคนดีที่มีความประมาทด้วย เมื่อศึกษาความรู้เรื่องจิตสุดท้ายแล้ว ขอให้ลองสังเกตอารมณ์ ระหว่างวันของตนเองให้ดีการสังเกตอารมณ์ของตนเอง เป็นเหมือนการทำนาย ประเมิณผลแบบคร่าวๆ ว่า เมื่อสิ้นภพชาตินี้แล้วเราจะไปเกิดเป็นอะไรต่อ สิ่งนี้ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปพึ่งหมอดูที่ไหน รู้ได้เป็นปัจจัต ตังเฉพาะตน ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ฝึกจิตมาอย่างไร เตรียมรับผลแห่งการกระทำไว้ได้เลย 8. สติปัฏฐาน 4 คือ หัวใจแห่งการปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ทุกวันนี้เรา เล่าเรียนเรื่องความสุขกันมากมาย จากคนที่ยังมีความทุกข์อยู่ ศึกษาจากผู้อื่นแล้วยังไม่หายทุกข์ก็มาศึกษา จากพระพุทธเจ้าของเราบ้าง สติปัฏฐาน 4 คืออะไร กาย เวทนา จิต ธรรม คืออะไร ทำไมสติปัฏฐาน 4 จึงทำ ให้มนุษย์ธรรมดา ดับทุกข์ได้อย่างถาวร แล้วเราจะเริ่มต้นปฏิบัติในคุณธรรมข้อนี้ได้อย่างไร ต้องบอกว่า สติปัฏ ฐาน 4 นี้คือมรดกของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง เป็นสิ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธมีความแตกต่างจากศาสนา อื่น หลักธรรมในข้อนี้ควรหาเวลาปลีกตัวเพื่อศึกษา เบื้องต้นอาจหาตำรามาอ่านขั้นต่อไป อาจลองไปศึกษา จากสำนักวิปัสสนาต่างๆ และสุดท้ายควรนำหลักปฏิบัตินี้มากระทำลงในชีวิตประจำวันด้วย ถ้าทำได้อย่าง นี้ เราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่า ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ 9. อานาปานสติเป็นทางที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยิ่ง ชาวพุทธทุกคนควรสนใจศึกษา เพราะปฏิบัติ ง่าย เราจะได้ไม่ต้องมานั่งพร่ำบ่นว่าไม่มีเวลาปฏิบัติหายใจที่ไหนก็ปฏิบัติที่นั้น หยุดหายใจเมื่อไหร่ ก็คือวันที่ เสร็จสิ้นการปฏิบัติ อานาปานสตินี้ ผู้ภาวนาบ่อยๆ ความโลภ โกรธ หลง จะน้อยลง พูดง่ายๆ ว่าจะเป็นคนดีขึ้น จากเป็นคนดีธรรมดาๆ ก็เป็นคนดีที่มีปัญญา เรียกว่ากัลยณชน จากเป็นกัลยาณชน ก็กลายเป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ จริงอยู่ตอนนี้เราเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา แต่มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์โลกที่สามารถพัฒนาจิตใจได้ อย่ายอมจำนนกับคำว่าปุถุชนเพียงเพราะว่ามันง่ายแต่จง ฝืนจิต ฝึกตน ให้มีคุณธรรมที่สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป ทำได้อย่างนี้ จึงเป็นการลดทอนภพชาติ ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ตลอดกาลยาวนาน คุณธรรมเรื่องอานาปานสตินี้ ศึกษาได้จากหนังสือหลายเล่ม ของท่านพุทธทาสก็มี หรือจะ หาอ่านโดยตรงจากพระไตรปิฏก หรือครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็สุดแล้วแต่ สำคัญที่สุดคือเมื่อศึกษาเล่าเรียน 10. มรรคมีองค์แปด เป็นทางสายเอก แปลภาษาชาวบ้านว่า เป็นคู่มือการใช้ชีวิตของผู้ที่ต้องการความ เจริญ ใครที่ต้องการความเจริญก็สมควรศึกษา มรรคแปดนี้ มีอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่น
30 ปฏิบัติตามได้น้อย ชีวิตก็เจริญได้น้อย ปฏิบัติตามได้มาก ชีวิตก็เจริญได้มาก ปฏิบัติตามไม่ได้เลย ชีวิตก็ย่อมพบ กับความหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย คุณธรรมมรรคแปดนี้ เป็นการบริหารจัดการชีวิตแบบองค์รวมทั้งชาตินี้และ ชาติหน้า และเป็นไปเพื่อพระนิพพานโดยที่สุด เป็นการมองการใช้ชีวิตด้วยวิสัยทัศน์ของคนระดับพระพุทธเจ้า ดังนั้น เราควรจดจำ ท่องบ่นจนคล่องปาก และจัดสรรชีวิตของตนให้มีความสอดคล้องกับหลักมรรคแปด อาชีพแบบไหนดี ความคิดแบบไหนควรคิด อะไรคือความเชื่อ อะไรคือความจริง เราควรพูดแบบไหน คบใคร สมาธิคืออะไร สติคืออะไร สามารถเรียนรู้ได้จากหลักธรรมนี้ทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธ ไม่รู้หลักธรรมข้อนี้ถือ เป็นเรื่องน่าอายเป็นที่สุด หลักธรรมทั้ง 10 หมวดนี้ เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ชาวพุทธสมควรศึกษา เพราะเป็นหลักธรรมขั้นพื้นที่ จะทำให้เราสามารถต่อยอดไปศึกษาในสิ่งที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตคือการปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุด ผ่านการงาน ครอบครัว และการทำหน้าที่ ถ้าเราใช้ชีวิตได้อย่างนี้ เราจะกลายเป็นคนที่งดงามในสายตาของมนุษย์ สัตว์ เทวดา ร่วมถึงงดงามในสายตาของพระพุทธเจ้าด้วย สรุป มนุษย์นั้นไม่ว่าจะเลือกดำเนินชีวิตแบบใดก็ตาม ได้รับอิทธิพลทางความคิดอะไรบางอย่างเป็นเครื่อง ยึดถือและปฏิบัติจนกลายเป็นรูปแบบชีวิตที่ดำเนินเรื่อยมาบนพื้นฐานของความเชื่อ ที่เรียกว่า ปรัชญาชีวิต ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างเป็นอย่างมาก ก็ได้หยิบยกสารัตถะสำคัญของปรัชญาการดำเนินชีวิตมาให้เห็น อย่างหลากหลาย เช่น มงคลชีวิต 38 ประการ เป็นธรรมะที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและการนำไปปฏิบัติและ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ฝึกตนให้เป็นคนดี ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์ต่อ ครอบครัวและสังคม ผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส สร้างบารมีให้ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ มีความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติตาม คุณธรรมที่ ทำให้ชีวิตประสบความเจริญนั้นคือ “มงคลชีวิต 38 ประการ” และยังมีหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ 10 ประการ ปรัชญาจึงเป็นรากฐานของการพัฒนาทางอารยธรรมจะอย่างไรก็ตาม มนุษย์ในสังคมโลกนี้มีความหมายมีความ แตกต่างทางความเชื่อวัฒนธรรม การปฏิบัติตนก็มีความแตกต่างกันไปตามสังคม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ ด้วยรากฐานของความคิดที่แตกต่างดังกล่าวมาก็ทำให้มนุษย์มีการดำเนินชีวิตแตกต่างกันด้วยและ ผลของการดำเนินชีวิตตามแนวติดหรือโลกทัศน์ที่ตนมีความเชื่อถือนั้นก็ส่งผลกระทบทั้งแก่ตนเองและสังคม ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะมีความเชื่อ ความคิดหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตตามที่เลือกปฏิบัติแตกต่าง กันอย่างไร แต่มนุษย์ก็คือเพื่อนร่วมโลกที่ต้องคิด คำนึงถึงปัจจัยหลายๆ ด้านที่เป็นเครื่องสนับสนุนให้ชีวิตดำรง อยู่ได้ หากรู้จักมองโลกด้วยความเข้าใจจริงๆ ตามความเป็นจริงไม่บิดเบือนจากความเป็นจริง มนุษย์ผู้นั้นจะ ก้าวไปสู่การบรรลุถึงความสุขอย่างแท้จริงได้
ภาคผนวก
33 แบบทดสอบ เรื่อง ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิต ตามหลักพระพุทธศาสนา จำนวน 10 ข้อ 1. คำว่า “ชีวิต” ในทางพระพุทธศาสนา หมายความว่าอย่างไร ก. พรมวิหาร 4 ข. ธรรมาธิษฐาน ค. ขันธ์ 5 ง. อริยสัจ 4 2. มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น เป็นอย่างไร ก. ผู้ที่สำเร็จในหน้าที่การงานของตนเอง ข. ผู้ที่รู้จักจุดมุ่งหมายของตนเอง ค. ผู้ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไป สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ ง. ผู้ที่รู้จักการงดเว้นจากการทำความชั่ว 3. ข้อใดคือความหมายของ “อุดมคติของชีวิต” ที่ถูกมากที่สุด ก. สิ่งที่ต้องการในชีวิต ข. เป้าหมายของชีวิต ค. สิ่งที่สามารถเลือกวิธีในการปฏิบัติในชีวิต ง. เป้าหมายสูงสุดในชีวิต ที่มนุษย์เข้าใจ และสามารถเลือกวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย 4. อุดมคติ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ก. 2 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติย่อย ข. 2 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติรวม ค. 2 ประเภท คือ อุดมคติรวม อุดมคติย่อย ง. 3 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติรวม อุดมคติย่อย 5. สันติ หรือ”ศานติ” ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่าอย่างไร ก. การฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดความสงบ ข. การฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง ค. การระลึกถึงธรรมด้วยอาการสงบ ง. การระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยอาการสงบ
34 6. สังคหวัตถุ 4 คืออะไร ก. ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน ข. ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก ค. ธรรมสำหรับการครองเรือน ง. ธรรมแห่งการแก้ปัญหาชีวิต 7. รูปแบบการดำเนินชีวิต หมายถึงอะไร ก. วิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล ตามลักษณะพฤติกรรมของการใช้ชีวิตรูปแบบต่างๆ ข. การปฏิบัติตนตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ค. การปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนของสังคม ง. การปฏิบัติตนตามข้อบังคับกฎหมาย 8. พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงประพฤติปฏิบัติ คือ คุณธรรม ข้อใด ก. การละอายและเกรงกลัวต่อบาป ข. มงคลชีวิต 38 ประการ ค. หลักธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ง. ถูกทุกข้อ 9.เป้าหมายชีวิตระดับ 1 ของมนุษย์ ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คืออะไร ก. สัทธาสัมปทา ข. ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัต 4 ค. ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 ง. ปรมัตถธรรม 10. วัตถุประสงค์ของการบรรลุเป้าหมาย รักษาศีล เพื่ออะไร ก. เพื่อกำจัดความหลง (โมหะ) ข. เพื่อกำจัดความโลภ (โลภะ) ค. เพื่อกำจัดความเกียจคร้าน (วิริยะ) ง. เพื่อกำจัดความโกรธ (โทสะ)
35 เฉลยแบบทดสอบ เรื่อง ชีวิตและจุดมุ่งหมายของชีวิต ตามหลักพระพุทธศาสนา จำนวน 10 ข้อ 1. คำว่า “ชีวิต” ในทางพระพุทธศาสนา หมายความว่าอย่างไร ก. พรมวิหาร 4 ข. ธรรมาธิษฐาน ค. ขันธ์ 5 ง. อริยสัจ 4 2. มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น เป็นอย่างไร ก. ผู้ที่สำเร็จในหน้าที่การงานของตนเอง ข. ผู้ที่รู้จักจุดมุ่งหมายของตนเอง ค. ผู้ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไป สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ ง. ผู้ที่รู้จักการงดเว้นจากการทำความชั่ว 3. ข้อใดคือความหมายของ “อุดมคติของชีวิต” ที่ถูกมากที่สุด ก. สิ่งที่ต้องการในชีวิต ข. เป้าหมายของชีวิต ค. สิ่งที่สามารถเลือกวิธีในการปฏิบัติในชีวิต ง. เป้าหมายสูงสุดในชีวิต ที่มนุษย์เข้าใจ และสามารถเลือกวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย 4. อุดมคติ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ก. 2 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติย่อย ข. 2 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติรวม ค. 2 ประเภท คือ อุดมคติรวม อุดมคติย่อย ง. 3 ประเภท คือ อุดมคติแยก อุดมคติรวม อุดมคติย่อย 5. สันติ หรือ”ศานติ” ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่าอย่างไร ก. การฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดความสงบ ข. การฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง ค. การระลึกถึงธรรมด้วยอาการสงบ ง. การระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยอาการสงบ
36 6. สังคหวัตถุ 4 คืออะไร ก. ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน ข. ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก ค. ธรรมสำหรับการครองเรือน ง. ธรรมแห่งการแก้ปัญหาชีวิต 7. รูปแบบการดำเนินชีวิต หมายถึงอะไร ก. วิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล ตามลักษณะพฤติกรรมของการใช้ชีวิตรูปแบบต่างๆ ข. การปฏิบัติตนตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ค. การปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนของสังคม ง. การปฏิบัติตนตามข้อบังคับกฎหมาย 8. พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงประพฤติปฏิบัติ คือ คุณธรรม ข้อใด ก. การละอายและเกรงกลัวต่อบาป ข. มงคลชีวิต 38 ประการ ค. หลักธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ง. ถูกทุกข้อ 9.เป้าหมายชีวิตระดับ 1 ของมนุษย์ ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คืออะไร ก. สัทธาสัมปทา ข. ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัต 4 ค. ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 ง. ปรมัตถธรรม 10. วัตถุประสงค์ของการบรรลุเป้าหมาย รักษาศีล เพื่ออะไร ก. เพื่อกำจัดความหลง (โมหะ) ข. เพื่อกำจัดความโลภ (โลภะ) ค. เพื่อกำจัดความเกียจคร้าน (วิริยะ) ง. เพื่อกำจัดความโกรธ (โทสะ)
37 บรรณานุกรม กรกนก ศรีสุวรรณ. (2563). ชีวิตคืออะไร?. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2566, จากhttps://phd.mbu.ac.th /index.php/2014-08-28-08-57-4/208-2020-01-26-03-34-49. บุญมา จิตจรัส. (2533). มงคล 38 ประการ ฝ่ายวิชาการกองศาสนศึกษากรมศาสนา.กรุงเทพมหานคร: คลังวิทยา. ประภาส แก้วเกตุพงษ์, วิเชียร แสนมี. (2563). พุทธศาสนา : แนวคิดเรื่องสันติสุข. วารสารพุทธมัคค์ศูนย์วิจัย ธรรมศึกษา สำนักเรียนวัดอาวุธวิกสิตาราม, 5(1), 63-73. เป้าหมายชีวิต 3 ระดับของมนุษย์ ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา. (2561). สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2566, จาก https://plus.google.com/117364887905630623628/posts/UAccDjmtt4p. พระครูปลัดณัฐพล จันทิโก, ธัญญลักษณ์ บุญลือ. (2561). ชีวิต สิทธิในชีวิต และการตายดีตามแนว พระพุทธศาสนา. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, 6(ฉบับพิเศษ), 575-589. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). 2541. พุทธธรรม(ฉบับขยายความ). กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม. พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ). (2546). งามธรรม. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาจัดพิมพ์. พศิน อินทรวงศ์. (2563). 10 หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธสมควรศึกษา. สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/82779. มงคล 38 ประการ รู้จักหลักธรรมแห่งความสุข สู่ความเจริญในชีวิต. (2564). สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.thairath.co.th/horoscope/belief/2079263. ยรรยง ธรรมจารี. (2564). ชีวิตคืออะไร?. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2566, จาก https://th.linkedin.com /pulse/%E0%B8%8A%E/0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A D%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-dr-yanyong-thammatucharee-. รูปแบบการใช้ชีวิต. (2566). สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2566, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0/%B 8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9/B%E0%B9%81%E0%B8%9A/%E0%B8%9A%E0%B8%81 %E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8/%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0% B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95.
38 บรรณานุกรม (ต่อ) วิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ. (ม.ป.ป). พระอภิธรรม. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2566, จาก http://www.dharmagateway.com/dhamma/abidhamma-03.htm. สมภาร พรหมทา. (2546). มนุษย์กับศาสนา. กรุงเทพเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศยาม. หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา. (ม.ป.ป). สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2566, จาก http://www.digital school.club/digitalschool/social1_1_1/social3_1/lesson1_3/page3.php. อุดมคติของชีวิต. (2550). สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.bloggang.com/m/view diary.php?id=somdej&month=05-2007&date=24&group=5&gblog=4.