กำหนดการจดั การเรยี นรู้
รายวิชา ว 32264 บรรยากาศ 2
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563
นางคุณากร คำสขุ
ตำแหนง่ ครู
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
โรงเรยี นโคกโพธไิ์ ชยศึกษา อำเภอโคกโพธ์ไิ ชย จังหวดั ขอนแก่น
สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 25
บันทกึ ข้อความ
ส่วนราชการ โรงเรยี นโคกโพธไิ์ ชยศึกษา อำเภอโคกโพธ์ไิ ชย จังหวัดขอนแก่น
ที่ วนั ที่ 15 พฤษภาคม 2563
เรื่อง ขออนุญาตใช้กำหนดการจัดการเรียนรู้
เรียน ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นโคกโพธ์ไิ ชยศึกษา
ด้วยข้าพเจา้ นางคุณากร คำสขุ ตำแหน่งครู ได้ได้ดำเนินการจัดทำกำหนดการจดั การเรยี นรู้
รายวิชา ว 32264 บรรยากาศ 2 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรียบรอ้ ยแล้ว
เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรูต้ ามหลกั สตู รสถานศกึ ษาต่อไป จึงขออนญุ าตใช้
กำหนดการจดั การเรียนรู้ดงั กลา่ ว ในภาคเรียน ท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563
ลงชือ่ ...............................................ผรู้ ายงาน
(นางคณุ ากร คำสขุ )
15 พฤษภาคม 2563
บนั ทึกของหวั หนา้ กลุ่มบริหารงานวชิ าการ
............................................................................................................................. ............................................
ลงช่อื .......................................................
(นางพรพิรุณ แจ้งใจ)
บันทึกของผอู้ ำนวยการ
............................................................................................................................. ............................................
ลงช่อื .........................................................
(นางลดั ดา ผาพนั ธ์)
บทนำ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ได้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น ๘ สาระ ได้แก่ สำระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สำระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สำระที่ ๓
วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ สาระที่ ๔ ชีววิทยา สาระที่ ๕ เคมี สาระที่ ๖ ฟิสิกส์ สาระที่ ๗ โลก ดารา
ศาสตร์ และอวกาศ และสาระที่ ๘ เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้ำนของเนื้อหา การ
จัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผล การเรียนรู้นัน้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการ
เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของผู้เรยี นในแตล่ ะระดับชน้ั ให้มี ความตอ่ เน่ืองเช่ือมโยงกนั ต้ังแตช่ ้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๑
จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สำหรบั กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ไดก้ ำหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง ทีผ่ เู้ รียนจำเป็นตอ้ งเรียนเปน็ พ้นื ฐาน เพอ่ื ให้สามารถ นำความร้นู ีไ้ ปใชใ้ นการดำรงชวี ิต หรือศึกษา
ต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่าย ของเนื้อหำทั้ง ๘ สาระในแต่ละ
ระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ทีส่ ง่ เสริมให้ผู้เรยี น
พัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่ สำคัญทั้งทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วย
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตดั สินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลาย
และประจักษ์พยานท่ตี รวจสอบได้ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึง
ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจน
หน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา หนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน
ตลอดจนการวัดและประเมนิ ผล โดยตัวชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำขึ้นน้ี
ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้ เดียวกันและระหว่างสาระการ
เรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์กับ
คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความ
เจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สรุปเป็น
แผนภาพไดด้ ังน้ี
สาระท่ี ๑ สาระที่ ๒ สาระที่ ๓
วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
- มาตรฐาน ว ๑.๑-ว ๑.๓ - มาตรฐาน ว ๒.๑-ว ๒.๓ - มาตรฐาน ว ๓.๑-ว ๓.๒
กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์
สาระที่ ๔
เทคโนโลยี
- มาตรฐาน ว ๔.๑-ว ๔.๒
วิทยาศาสตร์เพมิ่ เติม ⚫สาระชีววิทยา ⚫สาระเคมี ⚫สาระฟิสิกส์
⚫ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำรวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและ
ทฤษฎี ดังน้ันการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมาก
ที่สุด นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ในสถานศึกษาและ
เมอื่ ออกจากสถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแล้ว
การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ในสถานศึกษามีเป้าหมายสำคญั ดังนี้
1. เพ่อื ให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎที เี่ ป็นพน้ื ฐานในวทิ ยาศาสตร์
2. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาตแิ ละข้อจำกดั ของวทิ ยาศาสตร์
3. เพอ่ื ใหม้ ที ักษะท่สี ำคญั ในการศึกษาคน้ ควา้ และคิดคน้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. เพือ่ พัฒนากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและการจัดการทักษะ
ในการสือ่ สาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ
5. เพือ่ ให้ตระหนักถึงความสมั พันธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์และสภาพแวดล้อม
ในเชงิ ทม่ี ีอิทธพิ ลและผลกระทบซ่งึ กันและกัน
6. เพ่ือนำความรู้ความเข้าใจในเร่ืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ต่อสังคมและ
การดำรงชีวิต
7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์
เรียนรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ทเี่ น้นการ เช่ือมโยงความรู้
กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหา
ความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการ
ลงมือปฏบิ ตั จิ ริงอย่างหลากหลาย
ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เหมาะสมกับระดับชั้น โดยกำหนด
สาระสำคัญ ดงั น้ี
✧วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดำรงชีวติ ของมนุษย์และสตั วก์ ารดำรงชีวิตของพชื พนั ธุกรรม
✧วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ เรยี นรู้เกีย่ วกบั ธรรมชาติของสาร การเปลีย่ นแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี
พลงั งาน และคล่ืน
✧วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรยี นรู้เกีย่ วกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสมั พันธ์ ภายในระบบ
สรุ ยิ ะ เทคโนโลยอี วกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการ เปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศ
และผลตอ่ ส่งิ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม
✧เทคโนโลยี
●การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต ในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ิต สงั คม และสิ่งแวดล้อม
●วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เก่ียวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปญั หา เป็นขั้นตอนและ
เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการ
แก้ปัญหาทพ่ี บในชีวติ จรงิ ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ ไมม่ ีชีวิต กบั ส่ิงมชี ีวติ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน
การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่
มตี ่อทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
การแกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดล้อม รวมท้ังนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก
เซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ี
ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่
ทำงานสัมพนั ธก์ นั รวมท้งั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพนั ธกุ รรม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ
วิวัฒนาการของสง่ิ มชี ีวติ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับ
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ การ
เคลือ่ นท่แี บบตา่ ง ๆ ของวัตถรุ วมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ อง คลื่น ปรากฏการณ์ที่
เกยี่ วข้องกับเสียง แสง และคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทัง้ นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาว
ฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสรุ ิยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลก
และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก
รวมทง้ั ผลต่อสิ่งมีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ
สิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและ
เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการ
แกป้ ญั หาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ รูเ้ ทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม
วิสยั ทัศน์กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
วิสยั ทศั น์
“ยกระดับคุณภาพ สู่มาตรฐานการศึกษาชั้นนำและสู่สากล มีศักยภาพในการแข่งขัน
ยดึ หลักการบริหารจดั การแบบมสี ่วนรว่ ม ภายในปีการศกึ ษา ๒๕๖๑”
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี นและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานท่กี ำหนด ซง่ึ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกิดสมรรถนะสำคญั และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานม่งุ ให้ผเู้ รียนเกดิ สมรรถนะสำคญั ๕ ประการ ดังนี้
๑. ความสามารถในการสือ่ สาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทศั นะของตนเองเพ่ือแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ข่าวสาร
และประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสงั คม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและ
ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลอื กรับหรือไม่รบั ข้อมูลข่าวสารดว้ ยหลักเหตผุ ลและความถกู ต้องตลอดจน
การเลือกใช้วิธกี ารส่ือสารท่มี ีประสทิ ธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองและสังคม
๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพ่ือการตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน
การป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง
สงั คมและสิ่งแวดล้อม
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการ
ดำเนินชีวติ ประจำวนั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง การทำงาน และการอย่รู ่วมกันในสงั คม
ดว้ ยการสรา้ งเสรมิ ความสัมพนั ธ์อนั ดรี ะหว่างบคุ คล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อยา่ งเหมาะสม
การปรบั ตัวใหท้ ันกับการเปล่ียนแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ มและการรูจ้ กั หลกี เลีย่ งพฤติกรรมไม่พึง
ประสงคท์ ่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและผอู้ ่นื
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี ป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี ้านตา่ ง ๆ
และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรยี นรู้ การส่อื สาร การ
ทำงาน การแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อน่ื ในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้
๑. รักชาตศิ าสน์ กษตั ริย์
๒. ซ่ือสตั ยส์ ุจริต
๓. มวี ินัย
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยอู่ ยา่ งพอเพียง
๖.มุง่ มั่นในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
คุณภาพผูเ้ รียน
จบชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๓
❖เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลง
ของวสั ดรุ อบตัว
❖เขา้ ใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงท่ีมตี อ่ การเปลีย่ นแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุ
พลงั งานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟ้า การเกดิ เสียง แสงและการมองเหน็
❖เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของ
ดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้
ประโยชน์ ลกั ษณะและความสำคญั ของอากาศ การเกิดลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบด้วย
การเขียนหรือวาดภาพ และส่ือสารสง่ิ ที่เรยี นรู้ด้วยการเล่าเร่ือง หรือดว้ ยการแสดงทา่ ทางเพื่อใหผ้ อู้ ่นื เข้าใจ
❖แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สอ่ื สารเบื้องต้น รกั ษาขอ้ มูลสว่ นตวั
❖แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามท่ี
กำหนดให้หรือตามความสนใจ มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ผ้อู ื่น
❖แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผอู้ น่ื อยา่ งมีความสขุ
❖ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการดำรงชีวติ ศึกษา
หาความรเู้ พิ่มเติม ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามทกี่ ำหนดให้หรือตามความสนใจ
จบชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖
❖เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ในแหลง่ ทีอ่ ยู่ การทำหน้าทีข่ องส่วนต่าง ๆ ของพชื และการทำงานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์
❖เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร
การละลาย การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปลยี่ นแปลงท่ีผนั กลับได้และผันกลับไม่ได้ และการแยกสารอย่าง
ง่าย
❖เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ
ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้น
ของเสยี ง และแสง
❖เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และ
ดาวฤกษ์ การขึ้นและตกของกลุม่ ดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอวกาศ
❖เขา้ ใจลกั ษณะของแหล่งนำ้ วัฏจักรนำ้ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นำ้ คา้ ง น้ำคา้ งแข็ง หยาดน้ำ
ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์การเกิดลมบก ลม
ทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภยั การเกดิ และผลกระทบของปรากฏการณ์
เรอื นกระจก
❖ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง
ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการทำงานรว่ มกัน เข้าใจสิทธิและหน้าท่ี
ของตน เคารพสทิ ธขิ องผู้อ่นื
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ
คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ
วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู ทง้ั เชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ
❖วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน
รูปแบบที่เหมาะสม เพ่อื ส่ือสารความร้จู ากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมเี หตผุ ลและหลักฐานอา้ งองิ
❖แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม
ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ
คิดเหน็ ผอู้ ืน่
❖แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายอย่างมงุ่ ม่ัน รอบคอบ ประหยดั ซ่อื สัตย์
จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงานร่วมกบั ผอู้ นื่ อย่างสร้างสรรค์
❖ตระหนักในคณุ ค่าของความรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีใช้ความรูแ้ ละกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรใ์ นการดำรงชีวิต แสดงความช่นื ชม ยกยอ่ ง และเคารพสทิ ธใิ นผลงานของผู้คดิ ค้นและศึกษาหา
ความรู้เพิ่มเตมิ ทำโครงงานหรอื ช้นิ งานตามที่กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ
❖แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกบั การใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และส่งิ แวดล้อมอยา่ งรคู้ ุณคา่
จบชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓
❖เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทำงานของ
ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลง
ของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบ
ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศ
และการถ่ายทอดพลังงานในส่งิ มีชีวิต
❖เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การ
เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และ
สมบตั ทิ างกายภาพ และการใชป้ ระโยชน์ของวัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ ส์ และวสั ดุผสม
❖เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง
แรงทป่ี รากฏในชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพนั ธข์ องงาน พลงั งานจลน์ พลังงานศักยโ์ น้มถ่วง กฎ
การอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การต่อ
วงจรไฟฟา้ ในบา้ น พลังงานไฟฟา้ และหลักการเบ้ืองต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์
❖เข้าใจสมบตั ิของคลื่น และลักษณะของคลืน่ แบบตา่ ง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสงและ
ทัศนูปกรณ์
❖เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์
การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ
และความกา้ วหน้าของโครงการสำรวจอวกาศ
❖เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและ
ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้
ประโยชน์ ลักษณะโครงสรา้ งภายในโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางธรณีวิทยาบนผวิ โลก ลักษณะชน้ั หน้า
ตดั ดนิ กระบวนการเกิดดนิ แหล่งนำ้ ผิวดิน แหลง่ น้ำใตด้ นิ กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภัยธรรมชาติ
และธรณีพิบัตภิ ัย
❖เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสำหรั บการแก้ปัญหาใน
ชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ
อุปกรณ์ และเคร่อื งมือได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทงั้ คำนึงถงึ ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา
❖นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้
ตามวตั ถปุ ระสงค์ ใชท้ กั ษะการคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปญั หาที่พบในชวี ิตจริง และเขยี นโปรแกรมอย่างง่าย
เพื่อชว่ ยในการแกป้ ญั หา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารอยา่ งรเู้ ทา่ ทนั และรับผิดชอบตอ่ สังคม
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปญั หาทีเ่ ชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีมีการ
กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสามารถนำไปสู่การสำรวจ
ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเคร่ืองมือที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ได้ผลเที่ยงตรง
และปลอดภัย
❖วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน
โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและสื่อสารความคิด
ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้
อย่างเหมาะสม
❖แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิด
สร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง
เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองรับฟังความคิดเห็น
ผู้อนื่ และยอมรับการเปล่ยี นแปลงความร้ทู ่คี ้นพบ เม่อื มีขอ้ มูลและประจักษ์พยานใหม่เพิม่ ขึน้ หรือโต้แย้งจาก
เดิม
❖ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการดำรงชวี ติ และการประกอบอาชีพ แสดงความช่นื ชม ยก
ย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง
วิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือสร้างชิ้นงาน
ตามความสนใจ
❖แสดงถึงความซาบซ้ึง หว่ งใย มพี ฤตกิ รรมเก่ียวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ
ความหลากหลายทางชวี ภาพ
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
❖เข้าใจการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันใน
ร่างกายของมนุษยแ์ ละความผิดปกตขิ องระบบภูมิคุ้มกัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่พืชสร้างขึน้ การ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการที่ทำให้เกิดความหลากหลาย
ของสิง่ มชี ีวติ ความสำคญั และผลของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอตอ่ มนุษย์ สงิ่ มชี ีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม
❖เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปลี่ยนแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อม
❖เข้าใจชนดิ ของอนภุ าคสำคญั ที่เปน็ สว่ นประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการของธาตุ
การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่าง ๆ ของสารที่มี
ความสัมพันธ์กบั แรงยึดเหนี่ยว พนั ธะเคมี โครงสร้างและสมบัตขิ องพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี ปัจจัยที่
มผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี และการเขียนสมการเคมี
❖เข้าใจปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่าง
สนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลียส
❖เขา้ ใจพลังงานนิวเคลยี ร์ ความสมั พันธ์ระหว่างมวลและพลงั งาน การเปลี่ยนพลงั งานทดแทนเป็น
พลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่น การได้ยิน
ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์ของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟา้
❖เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีที่
สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ
ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวัง และการปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภัย
❖เขา้ ใจผลของแรงเนอื่ งจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ ที่มตี ่อการหมุนเวยี น
ของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์ของการ
หมนุ เวยี นของอากาศ และการหมนุ เวยี นของกระแสนำ้ ผิวหน้าในมหาสมุทร และผลต่อลกั ษณะลมฟ้าอากาศ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบัติเพื่อลด
กิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้า
อากาศทสี่ ำคญั จากแผนท่ีอากาศ และข้อมูลสารสนเทศ
❖เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานที่
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์
ระหวา่ งความสอ่ งสวา่ งกับโชตมิ าตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสี อุณหภมู ผิ วิ และสเปกตรมั ของดาว
ฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การ
แบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ
และผลท่ีมีตอ่ โลก รวมทงั้ การสำรวจอวกาศและการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะทางสติปัญญา (Intellectual) ที่นักวิทยาศาสตร์และผู้ท่ี
นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น 13 ทักษะ ทักษะที่ 1-8 เปน็ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขั้นพื้นฐาน และทักษะที่ 9-13 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือขั้นผสมหรือขั้นบูรณาการ
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทงั้ 13 ทักษะ มีดังนี้
๑. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน
ได้แก่ ตา หู จมูก ล้นิ ผวิ กาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถหุ รือเหตุการณ์ เพื่อค้นห้าข้อมลู ซึง่ เป็นรายละเอียดของ
สิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิง
ปรมิ าณ และขอ้ มูลท่ีเก่ยี วกับการเปล่ียนแปลงทสี่ ังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณน์ ั้น ความสามารถท่ีแสดงให้
เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะประมาณและการบรรยาย
การเปลย่ี นแปลงของส่ิงทีส่ ังเกตได้
๒. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการ
สังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้
คอื การอธบิ ายหรือสรุป โดยเพมิ่ ความคิดเห็นให้กบั ข้อมูลโดยใช้ความร้หู รือประสบการณ์เดิมมาช่วย
๓. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มีอยู่ใน
ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง
หนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้
ได้ นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของสิ่งของนั้น
โดยใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์
๔. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือนั้นทำการวัดหาปริมาณ
ของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับสิ่งที่วัด แสดงวิธีใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง พร้อม
ทง้ั บอกเหตผุ ลในการเลือกใชเ้ คร่ืองมือ รวมทั้งระบหุ นว่ ยของตัวเลขท่ีไดจ้ ากการวดั ได้
๕. การใชต้ ัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนบั จำนวนของวัตถุและการนำตวั เลขท่ีแสดงจำนวน
ที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้
ได้แก่ การนับจำนวนสิ่งของได้ถูกต้อง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสินได้ว่าวัตถุ ในแต่ละกลุ่มมี
จำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกนั เป็นต้น การคำนวณ เช่น บอกวธิ ีคำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวธิ คี ำนวณได้อย่าง
ถกู ตอ้ ง และประการสุดท้ายคือ การหาคา่ เฉลีย่ เชน่ การบอกและแสดงวิธีการหาคา่ เฉล่ียได้ถกู ต้อง
๖. การหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสกบั สเปสและสเปสกับเวลา(Using Space/Time Relationships)
สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้นโดยทั่วไป
แล้วสเปสของวัตถจุ ะมี ๓ มิติ คอื ความกวา้ ง ความยาว และความสูง
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ
ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวัตถุ
หรอื จากภาพ 3 มิติ ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับ
เวลา หรือความสัมพันธร์ ะหว่างสเปสของวตั ถุที่เปลี่ยนไปกับเวลาความสามารถทแี่ สดงให้เหน็ ว่าเกิดทักษะการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของวัตถุโดยใช้ตัวเองหรือวัตถุอื่นเป็น
เกณฑ์ บอกความสัมพันธร์ ะหว่างการเปลยี่ นตำแหน่ง เปลี่ยนขนาด หรือปรมิ าณของวัตถกุ ับเวลาได้
๗. การสื่อความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การ
ทดลอง และจากแหล่งอน่ื ๆ มาจัดกระทำเสียใหมโ่ ดยการหาความถ่ี เรยี งลำดับ จดั แยกประเภท หรือคำนวณหา
ค่าใหม่ เพอื่ ใหผ้ ู้อ่ืนเข้าใจความหมายไดด้ ีขึ้น โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ
สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้
อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจดีขึ้น โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม บอกเหตุผลใน
การเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทำได้หลายแบบดังที่กล่าวมาแล้ว
โดยเฉพาะการเสนอข้อมลู ในรูปของตาราง การบรรจขุ ้อมลู ให้อยู่ในรูปของตารางปกตจิ ะใส่ค่าของตวั แปรอิสระไว้
ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปรอิสระไว้ให้
เรียงลำดับจากคา่ น้อยไปหาค่ามาก หรอื จากคา่ มากไปหาค่าน้อย
๘. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัย
ปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฏีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมาช่วยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูล
เกยี่ วกบั ตัวเลข ไดแ้ ก่ ข้อมูลท่เี ป็นตารางหรือกราฟ ซ่ึงทำได้สองแบบ คอื การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูล
ท่มี ีอยู่ กับการพยากรณ์นอกขอบของข้อมูลที่มีอยู่ เช่น การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นตน้
๙. การชี้บ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่งตัว
แปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรทีต่ ้องควบคมุ ให้คงที่ในสมมุติฐาน หนงึ่ ๆ
ตวั แปรตน้ หมายถึง ส่ิงทเี่ ปน็ สาเหตทุ ่ีทำให้เกดิ ผลต่าง ๆ หรอื ส่งิ ท่เี ราต้องการทดลองดูว่าเป็นสาเหตุที่
ก่อใหเ้ กิดผลเชน่ นั้นจริงหรือไม่
ตวั แปรตาม หมายถึง สง่ิ ทเี่ ปน็ ผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมือ่ ตัวแปรต้นหรือส่ิงที่เป็นสาเหตุเปล่ียนไป
ตวั แปรตามหรือส่งิ ทเ่ี ป็นผลจะแปรตามไปด้วย
ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการทดลอง
คลาดเคลื่อน ถา้ หากว่าไมม่ ีการควบคุมให้เหมือนกัน
๑๐. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนทำการ
ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้านี้ ยังไม่ทราบ
หรือยงั ไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมตุ ิฐาน คอื คำตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอก
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นอาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลังการ
ทดลองหาคำตอบเพื่อสนับสนุนสมมุติฐานหรือคดั ค้านสมมตุ ฐิ านท่ีตั้งไว้ ส่ิงท่คี วรคำนงึ ถึงในการตั้งสมมตุ ิฐาน คือ
การบอกชื่อตัวแปรต้นซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการตั้งสมมุติฐานต้องทราบตัวแปรจากปัญหาและ
สภาพแวดล้อมของตัวแปรน้ัน สมมุตฐิ านท่ีต้ังข้ึนสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซึ่งต้องทราบ
ว่าตัวแปรไหนเปน็ ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรทต่ี ้องควบคุมให้คงท่ี
๑๑. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง
การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธีวัดตัวแปรท่ี
เกี่ยวกับการทดลองน้ัน
๑๒. การทดลอง (Experimenting) หมายถงึ กระบวนการปฏบิ ตั ิการเพ่ือหาคำตอบจากสมมุติฐานที่ตั้ง
ไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกจิ กรรม ๓ ข้นั คือ
๑๒.๑ ออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจรงิ
๑๒.๒ ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม
๑๒.๓ การบนั ทึกผลการทดลอง หมายถงึ การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซ่ึงอาจเป็น
ผลจากการสังเกต การวัด และอ่ืน ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการทดลอง อาจอยู่ในรูป
ตารางหรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัว
แปรบนแกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของค่าของตัว
แปรทง้ั สองบนกราฟด้วย
ในการทดลองแต่ละครั้งจำเป็นอาศัยการวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือสามารถที่จะบอกชนิด
ของตัวแปรในการทดลองว่า ตัวแปรนั้นเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรที่ต้องควบคุม ในการทดลอง
หนึ่ง ๆต้องมีตัวแปรตัวหนึ่งเท่านั้นที่มีผลต่อการทดลอง และเพื่อให้แน่ใจว่าผลที่ได้เกิดจากตัวแปรนั้นจริง ๆ
จำเป็นตอ้ งควบคุมตวั แปรอ่นื ไมใ่ ห้มผี ลต่อการทดลอง ซ่งึ เรยี กตัวแปรน้ีวา่ ตวั แปรที่ต้องควบคุมให้คงที่
๑๓. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion) การ
ตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูล ใน
บางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป
ความสมั พันธ์ของข้อมลู ท้ังหมด ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของ
ข้อมลู ได้ เชน่ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถา้ กราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิด
อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะที่ตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากที่กราฟ
เสน้ โคง้ เปลี่ยนทศิ ทางแลว้ .
จิตวทิ ยาศาสตร์
คณุ ลักษณะด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะช้ีบ่ง/พฤติกรรม
๑.เห็นคุณคา่ ทางวิทยาศาสตร์
๑.๑ นิยมยกย่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๑.๒ นยิ มยกย่องความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์
๑.๓ เพ่ิมพนู ความรู้และประสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์
๑.๔ ตระหนกั ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในการพฒั นา
คุณภาพชวี ิต
๒.คณุ ลักษณะทางวทิ ยาศาสตร์ ๒.๑.๑ การยอมรับข้อสรปุ ที่มีเหตุผล
๒.๑ ความมีเหตผุ ล ๒.๑.๒ มีความเช่อื วา่ ส่งิ ที่เกิดขน้ึ ตอ้ งมสี าเหตุ
๒.๑.๓ นิยมยกย่องบุคคลท่ีมีความคดิ อยา่ งมเี หตุผล
๒.๒ ความอยากรู้อยากเหน็ ๒.๑.๔ เหน็ คุณคา่ ในการสบื หาความจรงิ ก่อนทจี่ ะยอมรบั
หรือปฏิบัติตาม
๒.๒.๑ ช่ือว่าวธิ ีการทดลองค้นควา้ จะทำให้คน้ พบวธิ กี าร
แก้ปญั หาได้
๒.๒.๒ พอใจใฝ่หาความรทู้ างวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ
๒.๒.๓ ชอบทดลองคน้ ควา้
๒.๓ ความใจกว้าง ๒.๓.๑ ตระหนักถึงความสำคัญของความมีเหตุผลของ
ผ้อู ื่น
๒.๓.๒ ยอมรับฟังความคิดเหน็ และคำวิจารณ์ของผอู้ ่ืน
๒.๔ ความมีระเบยี บในการทำงาน ๒.๔.๑ ตระหนกั ถงึ การระวังรักษาความปลอดภยั ของ
ตนเองและเพื่อนในขณะทดลองวทิ ยาศาสตร์
๒.๔.๒ เห็นคณุ คา่ ของการระวังรกั ษาเครื่องมือท่ีใชม้ ิให้
แตกหักเสียหาย ในขณะทดลองวิทยาศาสตร์
จิตวทิ ยาศาสตร์
คุณลกั ษณะดา้ นจิตพิสัย ลกั ษณะชี้บง่ /พฤติกรรม
๒.๕ การมคี ่านยิ มต่อความเสียสละ
๒.๕.๑ ตระหนักถึงการทำงานให้สำเร็จลุลว่ งตามเปา้ หมาย
โดยไมค่ ำนงึ ถึงผลตอบแทน
๒.๕.๒ เต็มใจทจ่ี ะอุทิศตนเพ่ือการสรา้ งผลงานทาง
วิทยาศาสตร์
๒.๖ การมคี ่านยิ มต่อความซือ่ สัตย์ ๒.๖.๑ เห็นคุณคา่ ต่อการเสนอผลงานตามความเปน็ จริงที่
ทดลองได้
๒.๖.๒ ตำหนิบคุ คลทนี่ ำผลงานผอู้ ื่นมาเสนอเป็นผลงาน
ของตนเอง
๒.๗การมคี ่านยิ มตอ่ การประหยดั ๒.๗.๑ ยินดที ี่จะรกั ษาซ่อมแซมสง่ิ ท่ชี ำรดุ ให้ใชก้ ารได้
๒.๗.๒ เหน็ คณุ ค่าของการใช้วัสดอุ ปุ กรณ์อย่างประหยัด
๒.๗.๓ เห็นคุณคา่ ของวสั ดุทเ่ี หลือใช้
ทำไมตอ้ งเรียนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ
ทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิต
ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้
วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด
ท้งั ความคิดเปน็ เหตเุ ปน็ ผล คดิ สร้างสรรค์ คิดวเิ คราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นควา้ หาความรู้ มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์
พยานทต่ี รวจสอบได้ วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ วฒั นธรรมของโลกสมยั ใหม่ซ่ึงเป็นสังคมแหง่ การเรียนรู้ (K knowledge-
based society) ดงั นน้ั ทกุ คนจึงจำเป็นต้องได้รบั การพัฒนาใหร้ ้วู ิทยาศาสตร์ เพ่ือที่จะมีความรู้ความเข้าใจใน
ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมี
คณุ ธรรม
เรียนรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้
กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา
ความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการ
ลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ช้ัน โดยกำหนดสาระสำคัญไว้ 8 สาระ ดงั น้ี
• วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวฒั นาการของส่ิงมชี ีวิต
• วิทยาศาสตรก์ ายภาพ เรียนร้เู กยี่ วกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปล่ียนแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี
พลังงาน และคล่ืน
• วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกในเอกภพ ระบบโลก และมนุษย์กับการ
เปล่ียนแปลงของโลก
• เทคโนโลยี
- การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้
และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พฒั นางานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ิต สังคม และสงิ่ แวดล้อม
- วทิ ยาการคำนวณ เรียนรูเ้ ก่ียวกบั การพัฒนาผู้เรียนใหม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจ มีทักษะการ
คิด เชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้
ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการ
แก้ปัญหาทพี่ บในชวี ติ จรงิ ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่
พลังงาน และคล่นื
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับ
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายใน
โลก และบนผิวโลก ธรณีพบิ ัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทั้งผล
ตอ่ ส่งิ มชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
๒. เขา้ ใจสมดุลพลงั งานของโลก การหมนุ เวยี นของอากาศบนโลก การหมุนเวยี นของนำ้ ใน
มหาสมทุ ร การเกดิ เมฆ การเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศโลก และผลต่อสิ่งมีชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้ังการ
พยากรณอ์ ากาศ
ช้ัน ผลการเรียนรู้รายวชิ า ว30263 สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม
บรรยากาศ 2
ม.4 ๑. อธิบายปัจจยั สำคัญท่มี ผี ลต่อการ • บริเวณต่าง ๆ ของโลกได้รับพลงั งานจากดวงอาทติ ย์ในรปู ของ
รบั และคายพลงั งานจากดวงอาทิตย์ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในปริมาณทีแ่ ตกต่างกัน เนื่องจากโลกมี
แตกตา่ งกนั และผลที่มีต่ออุณหภมู ิ สัณฐานคล้ายทรงกลมและแกนหมนุ โลกเอยี งทำมมุ กบั
อากาศในแตล่ ะบริเวณของโลก แนวตั้งฉากกับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์สง่ ผลตอ่
๒. อธิบายกระบวนการท่ีทำใหเ้ กิด การตกกระทบของรังสีดวงอาทิตยซ์ ึง่ สว่ นท่ผี ่านเขา้ มาในช้ัน
สมดลุ พลังงานของโลก บรรยากาศจนถึงพืน้ ผวิ โลก จะเกดิ กระบวนการสะท้อนดดู กลืน
และถา่ ยโอนพลังงาน แล้วปลดปล่อยกลบั สู่อวกาศแตกต่างกนั
เนอ่ื งจากปจั จยั ต่าง ๆเช่น ลักษณะของพ้ืนผวิ ชนดิ และปรมิ าณ
ของแกส๊ เรือนกระจก ละอองลอย และเมฆ ทำให้พนื้ ผิวโลกแต่ละ
บรเิ วณมอี ณุ หภูมิอากาศแตกต่างกัน
• พลังงานจากดวงอาทติ ยโ์ ดยเฉล่ยี ท่ีโลกได้รบั เท่ากบั พลังงาน
เฉลย่ี ทโี่ ลกปลดปล่อยกลับสู่อวกาศทำให้เกดิ สมดุลพลงั งานของ
โลก สง่ ผลใหอ้ ณุ หภมู เิ ฉลยี่ ของพน้ื ผวิ โลกในแตล่ ะปีคอ่ นข้างคงที่
๓. อธบิ ายผลของแรงเนื่องจากความ • การหมนุ เวียนของอากาศเกิดขนึ้ จากความกดอากาศท่ีแตกต่าง
แตกต่างของความกดอากาศ แรง กนั ระหว่างสองบริเวณโดยอากาศเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความ
คอริออลสิ แรงสศู่ ูนย์กลางและแรง กดอากาศสงู ไปยังบรเิ วณท่ีมีความกดอากาศตำ่ ซ่ึงจะเหน็ ได้
เสียดทานท่ีมตี ่อการหมนุ เวียนของ ชดั เจนในการเคลื่อนทขี่ องอากาศในแนวราบและเม่ือพจิ ารณาใน
อากาศ การเคลือ่ นที่ของอากาศในแนวดิง่ จะพบวา่ อากาศเหนอื บริเวณ
ความกดอากาศต่ำจะมีการยกตวั ข้ึน ขณะที่อากาศเหนือบริเวณ
ความกดอากาศ
ช้นั ผลการเรียนรู้รายวชิ า ว 30263 สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเติม
บรรยากาศ 2
สงู จะจมตัวลง โดยการเคลื่อนทีข่ องอากาศทั้งในแนวราบและ
แนวดิง่ น้ที ำให้เกิดเปน็ การหมุนเวียนของอากาศ
• การหมุนรอบตวั เองของโลกจะทำใหเ้ กิดแรงคอริออลสิ ซึง่ มีผล
ให้ทิศทางการเคล่ือนที่ของอากาศเบนไป
โดยอากาศทเ่ี คลื่อนท่ีในบริเวณซีกโลกเหนือจะเบนไปทางขวา
จากทศิ ทางเดิมส่วนบริเวณซีกโลกใตจ้ ะเบนไปทางซ้ายจาก
ทศิ ทางเดมิ เช่น ลมคา้ และมรสมุ
• แรงส่ศู นู ย์กลางซงึ่ ทำให้เกิดการหมนุ ของลม เช่นพายหุ มุนเขต
รอ้ น ทอรน์ าโด พายุงวงชา้ ง และแรงตา้ นการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ
หรือแรงเสียดทานสง่ ผลต่ออตั ราเร็วลม เช่น พายุไตฝ้ ่นุ เมอ่ื
เคลือ่ นตวั เข้าสชู่ ายฝง่ั จะลดระดบั ความรุนแรงลงเป็นพายโุ ซน
รอ้ นหรอื ดีเพรสชน่ั
๔. อธบิ ายการหมนุ เวยี นของอากาศ • แต่ละบรเิ วณของโลกมีความกดอากาศแตกตา่ งกนั ประกอบกบั
ตามเขตละติจดู และผลท่ีมีต่อ อทิ ธพิ ลจากการหมนุ รอบตวั เองของโลกทำใหอ้ ากาศในแต่ละซกี
ภมู ิอากาศ โลกเกดิ การหมุนเวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ูด แบง่ ออกเปน็ ๓
แถบ โดยแตล่ ะแถบมีภูมิอากาศแตกต่างกนั ไดแ้ กก่ ารหมุนเวยี น
แถบขั้วโลกมภี ูมิอากาศแบบหนาวเยน็ การหมุนเวียนแถบละติจูด
กลางมภี ูมิอากาศแบบอบอุ่น และการหมุนเวยี นแถบเขตรอ้ นมี
ภมู ิอากาศแบบร้อนช้นื
• บริเวณรอยต่อของการหมุนเวียนอากาศแต่ละแถบละติจูดจะมี
ลักษณะลมฟ้าอากาศทแี่ ตกต่างกันเชน่ บรเิ วณใกล้ศูนยส์ ูตรมี
ปริมาณหยาดนำ้ ฟา้ เฉลยี่ สงู กวา่ บริเวณอืน่ บริเวณละติจดู ๓๐
องศามีอากาศแหง้ แลง้ สว่ นบรเิ วณละติจดู ๖๐ องศาอากาศมี
ความแปรปรวนสูง
๕. อธิบายปัจจยั ที่ทำใหเ้ กิดการแบง่ • น้ำในมหาสมุทรมีอณุ หภูมแิ ละความเค็มของน้ำแตกต่างกันใน
ช้นั น้ำในมหาสมทุ ร แต่ละบริเวณ และแต่ละระดับความลึก ซ่ึงหากพจิ ารณามวลน้ำ
ในแนวดิง่ และใช้อุณหภมู ิเปน็ เกณฑ์จะสามารถแบ่งชนั้ นำ้ ได้เปน็
๓ ชั้น คือ น้ำช้ันบน นำ้ ชัน้ เทอร์โมไคลนแ์ ละน้ำชั้นล่าง
ช้นั ผลการเรียนรู้รายวิชา ว 30263 สาระการเรยี นร้เู พิ่มเติม
บรรยากาศ 2
• การหมุนเวยี นของกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรไดร้ บั อิทธิพล
๖. อธบิ ายปจั จัยท่ีทำให้เกดิ การ จากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ละแถบละตจิ ูดเป็นปัจจัยหลัก
หมุนเวยี นของนำ้ ในมหาสมุทรและ ประกอบกับแรงคอรอิ อลิสทำให้บรเิ วณซกี โลกเหนือมกี าร
รูปแบบการหมุนเวยี นของนำ้ ใน ไหลเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในทศิ ทางตามเขม็ นาฬกิ า และ
มหาสมุทร ทวนเขม็ นาฬิกาในซกี โลกใต้ซ่ึงกระแสนำ้ ผวิ หนา้ ในมหาสมุทรมี
ท้ังกระแสน้ำอุน่ และกระแสน้ำเยน็ สว่ นการหมุนเวียนกระแสน้ำ
ลกึ เป็นการหมนุ เวียนของนำ้ ช้ันล่าง เกิดจากความแตกต่างของ
๗. อธบิ ายผลของการหมนุ เวยี นของ อณุ หภมู แิ ละความเค็มของน้ำโดยกระแสน้ำผวิ หน้าและ
นำ้ ในมหาสมทุ รท่มี ตี ่อลกั ษณะลมฟ้า กระแสนำ้ ลกึ จะหมนุ เวยี นต่อเนอ่ื งกัน
อากาศ สิ่งมชี วี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม • การหมนุ เวยี นอากาศและน้ำในมหาสมุทรสง่ ผลต่อลกั ษณะ
อากาศ สิง่ มีชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ มแตกตา่ งกนั ไป เช่น การเกดิ น้ำ
ผดุ นำ้ จม จะส่งผลต่อความอดุ มสมบรู ณข์ องชายฝ่ัง เช่น กระแส
นำ้ อ่นุ กลั ฟ์สตรมี ท่ที ำให้บางประเทศในทวีปยุโรปไม่หนาวเยน็
จนเกนิ ไปนักและเมือ่ การหมุนเวยี นอากาศและน้ำในมหาสมุทร
แปรปรวน ทำให้เกดิ ผลกระทบต่อสภาพลมฟ้าอากาศเชน่
ปรากฏการณเ์ อลนีโญและลานีญา ซึง่ เกิดจากความแปรปรวน
ของลมค้าและส่งผลต่อสภาพลมฟ้าอากาศของประเทศท่อี ยู่
บรเิ วณมหาสมทุ รแปซฟิ ิก รวมถงึ บรเิ วณอื่น ๆ บนโลก
ว 30263 บรรยากาศ 2 คำอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จำนวน 1.0 หน่วยกิต
อธบิ ายปัจจยั สำคัญท่ีมผี ลต่อการรบั และคายพลังงานจากดวงอาทิตยแ์ ตกต่างกนั และผลทีม่ ตี อ่
อุณหภมู ิอากาศในแตล่ ะบริเวณของโลก อธบิ ายกระบวนการที่ทำใหเ้ กิดสมดุลพลงั งานของโลก อธิบายผลของ
แรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอรอิ อลิส แรงสู่ศูนยก์ ลางและแรงเสยี ดทานท่ีมีต่อการ
หมุนเวียนของอากาศ อธบิ ายการหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจดู และผลทีม่ ีต่อภูมิอากาศ อธบิ ายปจั จยั ที่
ทำใหเ้ กดิ การแบง่ ชั้นนำ้ ในมหาสมุทร อธิบายปัจจัยที่ทำใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี นของน้ำในมหาสมุทรและรูปแบบ
การหมุนเวยี นของน้ำในมหาสมทุ ร อธิบายผลของการหมุนเวยี นของนำ้ ในมหาสมุทรท่ีมตี ่อลักษณะลมฟา้
อากาศ สิง่ มีชีวิต และสง่ิ แวดลอ้ ม
โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะการ
เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถ
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีจิต
วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านยิ มทเ่ี หมาะสม
โครงสร้างรายวิชาและการกำหนดหนว่ ยการเรยี นรู้รหสั วิชา ว 30263 บรรยากาศ 2
ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 จำนวน 1.0 หนว่ ยกติ 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 40 ชว่ั งโมง/ภาคเรียน
ท่ี ช่อื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ จำนวนเวลา นำ้ หนกั
เรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน
7 สมดลุ พลังงาน ๑. อธบิ ายปัจจัยสำคัญทีม่ ีผลตอ่ การรบั และคายพลังงานจากดวงอาทิตย์ 10 26
ของโลก แตกตา่ งกนั และผลท่ีมตี ่ออุณหภมู อิ ากาศในแต่ละบรเิ วณของโลก
๒. อธิบายกระบวนการท่ีทำใหเ้ กดิ สมดลุ พลังงานของโลก
8 การหมุนเวียน ๓. อธบิ ายผลของแรงเนื่องจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ แรง 10 28
46
ของอากาศบน คอริออลสิ แรงสู่ศนู ย์กลางและแรงเสียดทานทมี่ ตี ่อการหมุนเวียนของ
โลก อากาศ
๔. อธบิ ายการหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจดู และผลท่มี ีตอ่
ภมู ิอากาศ
9 การหมุนเวียน ๕. อธบิ ายปัจจยั ทที่ ำให้เกิดการแบง่ ช้นั น้ำในมหาสมุทร 20
ของนำ้ ใน ๖. อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรและ
มหาสมทุ ร รูปแบบการหมุนเวยี นของน้ำในมหาสมุทร
๗. อธิบายผลของการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลม
ฟ้าอากาศ สิ่งมชี วี ิต และสง่ิ แวดล้อม
ตารางแสดงสัดสว่ นคะแนนรายวชิ า ว30263 บรรยากาศ 2
ผลการเรยี นรู้ จำนวน นำ้ หนกั อัตราสว่ นคะแนน ปลายภาค
ชั่วโมง คะแนน ระหว่างเรยี น (70 คะแนน) (30)
(40) (100) กอ่ นกลางภาค กลางภาค หลงั กลางภาค 2
(25) (20) (25)
1. อธิบายปัจจัยสำคญั ท่มี ีผลตอ่ การรบั 5 13 65 2
และคายพลังงานจากดวงอาทิตยแ์ ตกตา่ ง 3
กนั และผลท่มี ีต่ออณุ หภูมิอากาศในแต่ละ 5 13 65
บริเวณของโลก 5 14 65 3
2. อธิบายกระบวนการที่ทำให้เกิดสมดุล 5
พลงั งานของโลก 5 14 65 5
3. อธิบายผลของแรงเนื่องจากความ 5 12 7
แตกต่างของความกดอากาศ แรง 5 12 7 10
คอริออลิส แรงสศู่ ูนย์กลางและแรงเสยี ด 10
ทานทมี่ ตี ่อการหมนุ เวยี นของอากาศ 22 12
4. อธิบายการหมนุ เวียนของอากาศตาม
เขตละตจิ ดู และผลทีม่ ตี ่อภมู ิอากาศ
5. อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการแบ่งชั้นนำ้
ในมหาสมทุ ร
6. อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน
ข อ ง น ้ ำ ใ น ม ห า ส มุ ท ร แ ล ะ ร ู ป แ บ บ ก า ร
หมนุ เวยี นของน้ำในมหาสมุทร
7. อธิบายผลของการหมุนเวียนของน้ำใน
มหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ
ส่ิงมีชีวิต และสง่ิ แวดล้อม