กำหนดการจัดการเรยี นรู้
รายวิชา ว 31221 เคมี 1
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563
นางคุณากร คำสุข
ตำแหนง่ ครู
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
โรงเรยี นโคกโพธิ์ไชยศกึ ษา อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวดั ขอนแกน่
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 25
บนั ทึกข้อความ
ส่วนราชการ โรงเรียนโคกโพธ์ไิ ชยศึกษา อำเภอโคกโพธ์ิไชย จงั หวัดขอนแก่น
ท่ี วันท่ี 15 พฤษภาคม 2563
เร่ือง ขออนญุ าตใช้กำหนดการจดั การเรียนรู้
เรยี น ผู้อำนวยการโรงเรยี นโคกโพธิไ์ ชยศึกษา
ดว้ ยขา้ พเจ้า นางคุณากร คำสขุ ตำแหนง่ ครู ได้ไดด้ ำเนินการจดั ทำกำหนดการจดั การเรยี นรู้
รายวิชา ว 31221 เคมี 1 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 เรยี บร้อยแลว้ เพ่อื ใช้
เป็นแนวทางในการจดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสตู รสถานศึกษาต่อไป จงึ ขออนุญาตใช้กำหนด
การจดั การเรยี นรู้ดังกลา่ วในภาคเรยี น ท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563
ลงชอ่ื ...............................................ผรู้ ายงาน
(นางคณุ ากร คำสขุ )
15 พฤษภาคม 2563
บนั ทกึ ของหวั หนา้ กลุ่มบรหิ ารงานวชิ าการ
............................................................................................................................. ............................................
ลงชอื่ .......................................................
(นางพรพิรุณ แจ้งใจ)
บนั ทึกของผู้อำนวยการ
............................................................................................................................. ............................................
ลงชอ่ื .........................................................
(นางลดั ดา ผาพนั ธ์)
บทนำ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ได้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น ๘ สาระ ได้แก่ สำระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สำระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สำระที่ ๓
วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ สาระที่ ๔ ชีววิทยา สาระที่ ๕ เคมี สาระที่ ๖ ฟิสิกส์ สาระที่ ๗ โลก ดารา
ศาสตร์ และอวกาศ และสาระที่ ๘ เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้ำนของเนื้อหา การ
จัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผล การเรียนรู้นั้นมคี วามสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการ
เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของผู้เรยี นในแต่ละระดับชน้ั ให้มี ความต่อเน่ืองเช่ือมโยงกันต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑
จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สำหรบั กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ไดก้ ำหนดตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง ทีผ่ เู้ รียนจำเป็นตอ้ งเรยี นเปน็ พ้นื ฐาน เพ่อื ให้สามารถ นำความร้นู ไ้ี ปใช้ในการดำรงชีวติ หรอื ศึกษา
ต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่าย ของเนื้อหำทั้ง ๘ สาระในแต่ละ
ระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กบั กระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการ เรียนรูท้ ีส่ ง่ เสริมให้ผู้เรยี น
พัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่ สำคัญทั้งทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วย
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลาย
และประจักษ์พยานทต่ี รวจสอบได้ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึง
ความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจน
หน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา หนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน
ตลอดจนการวัดและประเมนิ ผล โดยตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำขึ้นน้ี
ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้ เดียวกันและระหว่างสาระการ
เรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์กับ
คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความ
เจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สรุปเป็น
แผนภาพไดด้ ังน้ี
สาระที่ ๒
วิทยาศาสตร์กายภาพ-
มาตรฐาน ว ๒.๑-ว ๒.๓
สาระที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สาระท่ี ๓
วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
- มาตรฐาน ว๑.๑-ว ๑.๓ - มาตรฐาน ว๓.๑-ว ๓.๒
สาระที่ ๔
เทคโนโลยี
- มาตรฐาน ว๔.๑-ว ๔.๒
วิทยาศาสตร์เพ่มิ เติม ⚫สาระชีววิทยา ⚫สาระเคมี ⚫สาระฟิสิกส์
⚫ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำรวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและ
ทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมาก
ที่สุด นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ในสถานศึกษาและ
เม่อื ออกจากสถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแลว้
การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามเี ป้าหมายสำคัญดงั นี้
1. เพอื่ ให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีทเ่ี ป็นพน้ื ฐานในวทิ ยาศาสตร์
2. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาติและข้อจำกดั ของวิทยาศาสตร์
3. เพอ่ื ใหม้ ีทักษะท่สี ำคญั ในการศึกษาค้นควา้ และคดิ คน้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
4. เพื่อพฒั นากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะ
ในการสือ่ สาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ
5. เพือ่ ให้ตระหนักถึงความสัมพันธร์ ะหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษยแ์ ละสภาพแวดล้อม
ในเชงิ ท่มี ีอิทธพิ ลและผลกระทบซ่งึ กันและกนั
6. เพือ่ นำความรคู้ วามเข้าใจในเร่ืองวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ตอ่ สงั คมและ
การดำรงชีวิต
7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์
เรียนรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรม์ ุ่งหวังให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่เี น้นการ เชื่อมโยงความรู้
กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหา
ความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการ
ลงมอื ปฏิบัตจิ รงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชน้ั โดยกำหนดสาระสำคญั ดังนี้
✧วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดำรงชวี ิตของมนุษยแ์ ละสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวฒั นาการ
ของสิง่ มชี ีวติ
✧วิทยาศาสตรก์ ายภาพ เรียนร้เู ก่ยี วกับ ธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสาร การเคล่ือนท่ี
พลงั งาน และคล่ืน
✧วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสมั พันธ์ ภายในระบบ
สรุ ยิ ะ เทคโนโลยอี วกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณวี ทิ ยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ
และผลต่อสิ่งมชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม
✧เทคโนโลยี
●การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต ในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และส่ิงแวดล้อม
●วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปญั หา เป็นขั้นตอนและ
เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการ
แกป้ ัญหาทพี่ บในชวี ิตจริงได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิ่งไมม่ ชี ีวิต กบั สิง่ มีชีวิต และ
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน
การเปลีย่ นแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปญั หาและผลกระทบท่ี
มตี ่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและ
การแกไ้ ขปญั หาสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้ังนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก
เซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่
ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ี
ทำงานสมั พันธ์กัน รวมทงั้ นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม สารพันธุกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ
ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชีวติ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับ
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวนั ผลของแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุ ลักษณะ การเคล่อื นที่
แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุรวมทงั้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาตขิ อง คลน่ื ปรากฏการณ์ที่
เกยี่ วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาว
ฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธภ์ ายในระบบสุรยิ ะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชวี ิต และการ
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก
และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก
รวมทง้ั ผลตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม
สาระที่ ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ
ส่ิงแวดล้อม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและ
เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการ
แกป้ ัญหาได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม
วิสยั ทัศน์กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
วิสัยทัศน์
“ยกระดับคุณภาพ สู่มาตรฐานการศึกษาชั้นนำและสู่สากล มีศักยภาพในการแข่งขัน
ยดึ หลักการบรหิ ารจดั การแบบมีส่วนร่วม ภายในปีการศึกษา ๒๕๖๑”
สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียนและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานทก่ี ำหนด ซึ่งจะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคญั และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังน้ี
สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานม่งุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดสมรรถนะสำคญั ๕ ประการ ดงั นี้
๑. ความสามารถในการสือ่ สาร เป็นความสามารถในการรบั และสง่ สาร มวี ัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคดิ ความรู้ความเข้าใจ ความร้สู กึ และทศั นะของตนเองเพือ่ แลกเปลี่ยนข้อมลู ข่าวสาร
และประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทง้ั การเจรจาตอ่ รองเพ่ือขจัดและ
ลดปญั หาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรับหรือไมร่ บั ข้อมลู ข่าวสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถูกต้องตลอดจน
การเลอื กใช้วิธีการสอื่ สารที่มีประสิทธภิ าพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองและสงั คม
๒. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคดิ อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพือ่ การตัดสนิ ใจเกีย่ วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน
การป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง
สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการ
ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง การเรยี นรู้อยา่ งตอ่ เน่ือง การทำงาน และการอย่รู ่วมกนั ในสังคม
ดว้ ยการสร้างเสริมความสัมพนั ธอ์ นั ดีระหว่างบุคคล การจดั การปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวใหท้ นั กับการเปลยี่ นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จกั หลีกเลยี่ งพฤติกรรมไม่พงึ
ประสงคท์ ่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี ป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพฒั นาตนเองและสังคม ในด้านการเรยี นรู้ การสื่อสาร การ
ทำงาน การแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้
สามารถอยู่รว่ มกับผ้อู ่นื ในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั น้ี
๑. รักชาตศิ าสน์ กษตั ริย์
๒. ซ่ือสัตย์สุจรติ
๓. มีวินัย
๔. ใฝเ่ รยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖.มุ่งมนั่ ในการทำงาน
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
คณุ ภาพผู้เรียน
จบชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓
❖เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลง
ของวสั ดรุ อบตัว
❖เข้าใจการดงึ การผลกั แรงแมเ่ หล็ก และผลของแรงท่ีมตี อ่ การเปล่ียนแปลง การเคลอ่ื นท่ขี องวัตถุ
พลงั งานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟ้า การเกิดเสยี ง แสงและการมองเหน็
❖เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของ
ดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้
ประโยชน์ ลักษณะและความสำคัญของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบด้วย
การเขยี นหรอื วาดภาพ และสอ่ื สารสิ่งท่เี รยี นร้ดู ว้ ยการเล่าเรอ่ื ง หรอื ดว้ ยการแสดงทา่ ทางเพื่อให้ผอู้ ื่นเข้าใจ
❖แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารเบ้อื งต้น รักษาข้อมลู ส่วนตัว
❖แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่
กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ มีส่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็น และยอมรบั ฟังความคิดเห็นผอู้ ื่น
❖แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลุล่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งมีความสุข
❖ตระหนักถงึ ประโยชน์ของการใชค้ วามรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการดำรงชวี ติ ศึกษา
หาความรเู้ พิ่มเตมิ ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามทีก่ ำหนดให้หรือตามความสนใจ
จบช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๖
❖เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ในแหลง่ ที่อยู่ การทำหน้าท่ขี องส่วนตา่ ง ๆ ของพชื และการทำงานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์
❖เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร
การละลาย การเปลยี่ นแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงท่ีผนั กลับได้และผนั กลับไม่ได้ และการแยกสารอย่าง
งา่ ย
❖เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ
ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้น
ของเสยี ง และแสง
❖เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และ
ดาวฤกษ์ การขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชนข์ อง
เทคโนโลยอี วกาศ
❖เขา้ ใจลักษณะของแหล่งน้ำ วฏั จักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นำ้ คา้ ง น้ำคา้ งแข็ง หยาดน้ำ
ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์การเกิดลมบก ลม
ทะเล มรสมุ ลักษณะและผลกระทบของภยั ธรรมชาติ ธรณีพิบัตภิ ัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์
เรือนกระจก
❖ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง
ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและหน้าที่
ของตน เคารพสทิ ธิของผู้อ่นื
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ
คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ
วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
❖วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน
รูปแบบท่ีเหมาะสม เพอ่ื สอื่ สารความรจู้ ากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมเี หตุผลและหลกั ฐานอา้ งอิง
❖แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม
ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ
คิดเหน็ ผู้อืน่
❖แสดงความรับผิดชอบดว้ ยการทำงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายอย่างมงุ่ ม่ัน รอบคอบ ประหยดั ซื่อสตั ย์
จนงานลุล่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกบั ผูอ้ น่ื อย่างสรา้ งสรรค์
❖ตระหนกั ในคุณค่าของความรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรใ์ นการดำรงชีวติ แสดงความชนื่ ชม ยกย่อง และเคารพสทิ ธิในผลงานของผคู้ ดิ ค้นและศึกษาหา
ความรเู้ พิม่ เติม ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามที่กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ
❖แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดล้อมอยา่ งรคู้ ุณคา่
จบชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓
❖เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทำงานของ
ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลง
ของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบ
ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศ
และการถ่ายทอดพลังงานในสง่ิ มีชวี ติ
❖เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การ
เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และ
สมบัตทิ างกายภาพ และการใชป้ ระโยชนข์ องวสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ ส์ และวสั ดุผสม
❖เข้าใจการเคล่ือนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง
แรงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลงั งานศักย์โน้มถ่วง กฎ
การอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า กา รต่อ
วงจรไฟฟา้ ในบ้าน พลงั งานไฟฟา้ และหลักการเบื้องตน้ ของวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์
❖เข้าใจสมบัตขิ องคลน่ื และลกั ษณะของคล่นื แบบตา่ ง ๆ แสง การสะท้อน การหกั เหของแสงและ
ทศั นปู กรณ์
❖เข้าใจการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนท่ีปรากฏของดวงอาทิตย์
การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ
และความก้าวหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ
❖เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและ
ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้
ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลกั ษณะชน้ั หน้า
ตัดดนิ กระบวนการเกิดดิน แหลง่ น้ำผวิ ดนิ แหลง่ นำ้ ใตด้ ิน กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภัยธรรมชาติ
และธรณพี ิบตั ิภัย
❖เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสำหรั บการแก้ปัญหาใน
ชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ
อุปกรณ์ และเคร่อื งมอื ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทง้ั คำนึงถึงทรัพยส์ ินทางปญั ญา
❖นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้
ตามวัตถปุ ระสงค์ ใชท้ ักษะการคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย
เพื่อช่วยในการแกป้ ญั หา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารอยา่ งรู้เทา่ ทันและรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
❖ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีการ
กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนำไปสูก่ ารสำรวจ
ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ได้ผลเที่ยงตรง
และปลอดภยั
❖วเิ คราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน
โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและสื่อสารคว ามคิด
ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้
อย่างเหมาะสม
❖แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิด
สร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง
เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองรับฟังความคิดเห็น
ผู้อ่นื และยอมรับการเปลย่ี นแปลงความรู้ทค่ี ้นพบ เมอ่ื มีขอ้ มูลและประจักษ์พยานใหม่เพมิ่ ขึน้ หรือโตแ้ ย้งจาก
เดมิ
❖ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชวี ิต และการประกอบอาชีพ แสดงความชนื่ ชม ยก
ย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง
วิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือสร้างชิ้นงาน
ตามความสนใจ
❖แสดงถงึ ความซาบซ้งึ ห่วงใย มพี ฤติกรรมเก่ียวกับการดูแลรักษาความสมดลุ ของระบบนิเวศ และ
ความหลากหลายทางชวี ภาพ
จบชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖
❖เข้าใจการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันใน
ร่างกายของมนุษย์และความผิดปกติของระบบภูมิคุม้ กัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่พืชสร้างขึ้น การ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการที่ทำให้เกิดความหลากหลาย
ของสงิ่ มชี วี ิต ความสำคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอต่อมนุษย์ สิง่ มชี วี ิต และสง่ิ แวดล้อม
❖เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปลี่ยนแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม
❖เขา้ ใจชนิดของอนภุ าคสำคญั ที่เปน็ สว่ นประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัตบิ างประการของธาตุ
การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่าง ๆ ของสาร ที่มี
ความสมั พันธ์กบั แรงยึดเหนี่ยว พนั ธะเคมี โครงสรา้ งและสมบตั ิของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกิริยาเคมี ปัจจัยที่
มผี ลต่ออัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี และการเขยี นสมการเคมี
❖เข้าใจปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่าง
สนามแมเ่ หลก็ และกระแสไฟฟา้ และแรงภายในนวิ เคลยี ส
❖เขา้ ใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสมั พนั ธ์ระหว่างมวลและพลงั งาน การเปลยี่ นพลังงานทดแทนเป็น
พลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่น การได้ยิน
ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสี คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์ของคลื่น
แม่เหลก็ ไฟฟ้า
❖เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีท่ี
สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ
ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบตั ิตนให้ปลอดภัย
❖เข้าใจผลของแรงเน่อื งจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ ท่มี ตี อ่ การหมุนเวยี น
ของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์ของการ
หมุนเวียนของอากาศ และการหมนุ เวยี นของกระแสน้ำผวิ หนา้ ในมหาสมุทร และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบัติเพื่อลด
กิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้า
อากาศทส่ี ำคัญจากแผนท่อี ากาศ และขอ้ มูลสารสนเทศ
❖เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานที่
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์
ระหว่างความสอ่ งสว่างกบั โชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธร์ ะหว่างสี อณุ หภมู ผิ ิว และสเปกตรมั ของดาว
ฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริ ยะ การ
แบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ
และผลทมี่ ีต่อโลก รวมท้ังการสำรวจอวกาศและการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะทางสติปัญญา (Intellectual) ที่นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่
นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบง่ ออกไดเ้ ป็น 13 ทกั ษะ ทักษะที่ 1-8 เปน็ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ขั้นพื้นฐาน และทักษะที่ 9-13 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือขั้นผสมหรือขั้นบูรณาการ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทัง้ 13 ทักษะ มีดงั น้ี
๑. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน
ได้แก่ ตา หู จมกู ลิน้ ผวิ กาย เขา้ ไปสัมผสั โดยตรงกับวตั ถุหรือเหตุการณ์ เพ่ือค้นหา้ ข้อมลู ซึ่งเป็นรายละเอียดของ
สิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิง
ปริมาณ และขอ้ มูลท่ีเกย่ี วกับการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณน์ ้ัน ความสามารถที่แสดงให้
เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะประมาณและการบรรยาย
การเปล่ยี นแปลงของส่ิงที่สงั เกตได้
๒. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการ
สังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะน้ี
คอื การอธิบายหรือสรุป โดยเพ่มิ ความคิดเห็นให้กับข้อมูลโดยใช้ความรหู้ รือประสบการณ์เดิมมาช่วย
๓. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มีอยู่ใน
ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง
หนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้
ได้ นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของสิ่งของน้ัน
โดยใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์
๔. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือนั้นทำการวัดหาปริมาณ
ของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับสิ่งที่วัด แสดงวิธีใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง พร้อม
ทัง้ บอกเหตุผลในการเลือกใช้เคร่ืองมือ รวมท้ังระบหุ นว่ ยของตัวเลขที่ไดจ้ ากการวดั ได้
๕. การใช้ตวั เลข (Using Numbers) หมายถงึ การนบั จำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่แสดงจำนวน
ที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้
ได้แก่ การนับจำนวนสิ่งของได้ถูกต้อง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสินได้ว่าวัตถุ ในแต่ละกลุ่มมี
จำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกนั เป็นตน้ การคำนวณ เช่น บอกวธิ ีคำนวณ คดิ คำนวณ และแสดงวิธคี ำนวณได้อย่าง
ถกู ต้อง และประการสุดท้ายคือ การหาคา่ เฉลย่ี เช่น การบอกและแสดงวธิ กี ารหาค่าเฉลี่ยได้ถูกต้อง
๖. การหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกบั สเปสและสเปสกับเวลา(Using Space/Time Relationships)
สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้นโดยทั่วไป
แล้วสเปสของวตั ถจุ ะมี ๓ มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสงู
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ
ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวัตถุ
หรือจากภาพ 3 มติ ิ ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับ
เวลา หรอื ความสัมพันธร์ ะหว่างสเปสของวัตถทุ ่ีเปลี่ยนไปกบั เวลาความสามารถที่แสดงให้เหน็ ว่าเกิดทักษะการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของวัตถุโดยใช้ตัวเองหรือวัตถุอ่ืนเป็น
เกณฑ์ บอกความสัมพนั ธ์ระหว่างการเปลีย่ นตำแหน่ง เปลีย่ นขนาด หรือปรมิ าณของวตั ถกุ ับเวลาได้
๗. การสื่อความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การ
ทดลอง และจากแหล่งอนื่ ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือคำนวณหา
คา่ ใหม่ เพือ่ ให้ผู้อ่ืนเข้าใจความหมายได้ดีข้ึน โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ
สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้
อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจดีขึ้น โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม บอกเหตุผลใน
การเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทำได้หลายแบบดังที่กล่าวมาแล้ว
โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลในรูปของตาราง การบรรจขุ ้อมลู ให้อยู่ในรูปของตารางปกตจิ ะใส่คา่ ของตัวแปรอิสระไว้
ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปรอิสระไว้ให้
เรียงลำดบั จากคา่ น้อยไปหาค่ามาก หรือจากคา่ มากไปหาค่าน้อย
๘. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัย
ปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฏีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมาช่วยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูล
เกีย่ วกับตัวเลข ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลทีเ่ ปน็ ตารางหรือกราฟ ซึง่ ทำไดส้ องแบบ คอื การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูล
ทีม่ อี ยู่ กบั การพยากรณ์นอกขอบของข้อมูลท่ีมีอยู่ เช่น การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นต้น
๙. การชี้บ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่งตัว
แปรตน้ ตัวแปรตาม และตวั แปรทตี่ ้องควบคมุ ให้คงที่ในสมมุติฐาน หน่งึ ๆ
ตัวแปรตน้ หมายถึง สิ่งทเ่ี ปน็ สาเหตทุ ี่ทำให้เกิดผลต่าง ๆ หรือส่งิ ทเี่ ราต้องการทดลองดวู ่าเปน็ สาเหตุที่
ก่อใหเ้ กิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่
ตวั แปรตาม หมายถึง สงิ่ ทเ่ี ปน็ ผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมอื่ ตัวแปรต้นหรือส่ิงท่ีเป็นสาเหตุเปล่ียนไป
ตัวแปรตามหรือส่ิงทเ่ี ป็นผลจะแปรตามไปด้วย
ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการทดลอง
คลาดเคล่อื น ถ้าหากวา่ ไม่มีการควบคุมให้เหมือนกนั
๑๐. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนทำการ
ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้านี้ ยังไม่ทราบ
หรอื ยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคำตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอก
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นอาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลังการ
ทดลองหาคำตอบเพ่ือสนับสนุนสมมุติฐานหรือคดั ค้านสมมุตฐิ านที่ตัง้ ไว้ ส่งิ ทีค่ วรคำนงึ ถึงในการตงั้ สมมุติฐาน คือ
การบอกชื่อตัวแปรต้นซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการตั้งสมมุติฐานต้องทราบตัวแปรจากปัญหาและ
สภาพแวดล้อมของตัวแปรน้ัน สมมตุ ิฐานท่ตี ้ังข้ึนสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซ่ึงต้องทราบ
วา่ ตวั แปรไหนเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตวั แปรท่ตี ้องควบคุมให้คงที่
๑๑. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง
การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธีวัดตัวแปรที่
เก่ียวกบั การทดลองน้ัน
๑๒. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ตั ิการเพ่ือหาคำตอบจากสมมตุ ฐิ านท่ีต้ัง
ไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกจิ กรรม ๓ ขัน้ คอื
๑๒.๑ ออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจรงิ
๑๒.๒ ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม
๑๒.๓ การบนั ทึกผลการทดลอง หมายถงึ การจดบนั ทึกข้อมูลท่ีได้จากการทดลองซ่ึงอาจเป็น
ผลจากการสังเกต การวัด และอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการทดลอง อาจอยู่ในรูป
ตารางหรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัว
แปรบนแกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของค่าของตัว
แปรท้งั สองบนกราฟดว้ ย
ในการทดลองแต่ละครั้งจำเป็นอาศัยการวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือสามารถที่จะบอกชนิด
ของตัวแปรในการทดลองว่า ตัวแปรนั้นเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรที่ต้องควบคุม ในการทดลอง
หนึ่ง ๆต้องมีตัวแปรตัวหนึ่งเท่านั้นที่มีผลต่อการทดลอง และเพื่อให้แน่ใจว่าผลที่ได้เกิดจากตัวแปรนั้นจริง ๆ
จำเปน็ ต้องควบคุมตัวแปรอ่นื ไมใ่ ห้มีผลต่อการทดลอง ซึง่ เรยี กตวั แปรน้วี า่ ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงท่ี
๑๓. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion) การ
ตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูล ใน
บางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป
ความสมั พนั ธ์ของข้อมลู ทั้งหมด ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของ
ข้อมูลได้ เชน่ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถา้ กราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิด
อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะที่ตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากที่กราฟ
เส้นโคง้ เปลยี่ นทิศทางแล้ว
จิตวทิ ยาศาสตร์
คณุ ลกั ษณะด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะช้ีบง่ /พฤติกรรม
๑.เหน็ คุณค่าทางวิทยาศาสตร์
๑.๑ นยิ มยกยอ่ งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
๑.๒ นยิ มยกยอ่ งความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์
๑.๓ เพม่ิ พูนความรู้และประสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์
๑.๔ ตระหนักความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในการพฒั นา
คุณภาพชีวิต
๒.คุณลักษณะทางวทิ ยาศาสตร์ ๒.๑.๑ การยอมรับข้อสรุปที่มีเหตุผล
๒.๑ ความมเี หตผุ ล ๒.๑.๒ มีความเช่อื วา่ สงิ่ ที่เกิดขน้ึ ตอ้ งมสี าเหตุ
๒.๑.๓ นยิ มยกย่องบุคคลท่ีมีความคดิ อยา่ งมเี หตุผล
๒.๒ ความอยากรู้อยากเหน็ ๒.๑.๔ เห็นคุณค่าในการสบื หาความจรงิ ก่อนทจี่ ะยอมรบั
หรือปฏบิ ตั ติ าม
๒.๒.๑ ชื่อวา่ วิธีการทดลองค้นควา้ จะทำให้คน้ พบวธิ กี าร
แก้ปัญหาได้
๒.๒.๒ พอใจใฝ่หาความรูท้ างวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ
๒.๒.๓ ชอบทดลองคน้ ควา้
๒.๓ ความใจกว้าง ๒.๓.๑ ตระหนกั ถึงความสำคัญของความมีเหตุผลของ
ผ้อู ื่น
๒.๓.๒ ยอมรับฟังความคดิ เห็นและคำวิจารณ์ของผอู้ ่ืน
๒.๔ ความมรี ะเบยี บในการทำงาน ๒.๔.๑ ตระหนกั ถงึ การระวังรักษาความปลอดภยั ของ
ตนเองและเพ่ือนในขณะทดลองวิทยาศาสตร์
๒.๔.๒ เห็นคุณคา่ ของการระวังรักษาเครื่องมือท่ีใชม้ ิให้
แตกหกั เสียหาย ในขณะทดลองวิทยาศาสตร์
จติ วิทยาศาสตร์
คุณลักษณะดา้ นจติ พิสยั ลักษณะชี้บ่ง/พฤตกิ รรม
๒.๕ การมคี ่านยิ มต่อความเสียสละ ๒.๕.๑ ตระหนกั ถงึ การทำงานใหส้ ำเร็จลลุ ว่ งตามเปา้ หมาย
โดยไมค่ ำนึงถึงผลตอบแทน
๒.๕.๒ เตม็ ใจที่จะอทุ ิศตนเพื่อการสรา้ งผลงานทาง
วิทยาศาสตร์
๒.๖ การมคี า่ นยิ มต่อความซอ่ื สัตย์ ๒.๖.๑ เห็นคุณคา่ ตอ่ การเสนอผลงานตามความเปน็ จรงิ ที่
ทดลองได้
๒.๖.๒ ตำหนิบคุ คลทน่ี ำผลงานผู้อื่นมาเสนอเป็นผลงาน
ของตนเอง
๒.๗การมีคา่ นิยมตอ่ การประหยดั ๒.๗.๑ ยนิ ดีที่จะรกั ษาซ่อมแซมสง่ิ ที่ชำรุดใหใ้ ช้การได้
๒.๗.๒ เหน็ คณุ ค่าของการใช้วัสดอุ ปุ กรณ์อย่างประหยัด
๒.๗.๓ เห็นคณุ ค่าของวสั ดุที่เหลือใช้
ทำไมตอ้ งเรียนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ
ทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิต
ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้
วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด
ท้ังความคิดเป็นเหตเุ ป็นผล คดิ สร้างสรรค์ คดิ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ มีทกั ษะสำคญั ในการค้นควา้ หาความรู้ มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์
พยานท่ีตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ซ่งึ เปน็ สังคมแหง่ การเรียนรู้ (K knowledge-
based society) ดังนนั้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพฒั นาให้รวู้ ิทยาศาสตร์ เพอ่ื ทีจ่ ะมีความรู้ความเข้าใจใน
ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมี
คุณธรรม
เรยี นรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงค วามรู้
กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา
ความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการ
ลงมอื ปฏบิ ตั ิจริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยกำหนดสาระสำคัญไว้ 8 สาระ ดงั นี้
• วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ
ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ
• วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ เรยี นรู้เก่ียวกบั ธรรมชาติของสาร การเปลีย่ นแปลงของสาร การเคลื่อนที่
พลังงาน และคล่นื
• วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกในเอกภพ ระบบโลก และมนุษย์กับการ
เปล่ยี นแปลงของโลก
• เทคโนโลยี
- การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้
และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พฒั นางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิ่งแวดล้อม
- วิทยาการคำนวณ เรียนร้เู กี่ยวกับการพฒั นาผ้เู รยี นให้มีความรู้ความเขา้ ใจ มีทกั ษะการ
คิด เชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้
ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการ
แกป้ ญั หาท่พี บในชวี ติ จริงไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่
พลังงาน และคลืน่
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับ
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
ผลการเรียนรแู้ ละสาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ
สาระเคมี
๑. เขา้ ใจโครงสรา้ งอะตอม การจดั เรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุพนั ธะเคมีและสมบัตขิ อง
สาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบัตขิ องสารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละพอลเิ มอร์ รวมทัง้ การนำ
ความรู้ไปใช้ประโยชน์
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม
ม.๔ ๑. บอกและอธิบายข้อปฏบิ ตั ิ • การทำปฏบิ ัตกิ ารเคมีต้องคำนึงถึงความปลอดภยั และความเปน็
เบอ้ื งต้น และปฏบิ ตั ติ นที่แสดงถงึ มิตรต่อสง่ิ แวดล้อม ดังน้ันจงึ ควรศกึ ษาข้อปฏิบตั ขิ องการทำ
ความตระหนักในการทำ ปฏิบตั ิการเคมีเช่นความปลอดภัยในการใช้อปุ กรณแ์ ละสารเคมี
ปฏบิ ัติการเคมเี พื่อให้มีความ การปอ้ งกันอุบตั ิเหตุ
ปลอดภัยท้งั ต่อตนเอง ผอู้ ื่นและ
สงิ่ แวดลอ้ ม และเสนอแนว
ทางแก้ไขเมอื่ เกดิ อุบัติเหตุ
๒. เลอื ก และใช้อปุ กรณ์หรือ • อุปกรณแ์ ละเครื่องมือชง่ั ตวง วดั แต่ละชนิดมีวิธีการใช้งานและ
เครอ่ื งมอื ในการทำปฏบิ ัตกิ าร การดแู ลแตกตา่ งกนั ซึง่ การวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ท่ีมีความ
และวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้อย่าง เท่ียงและความแม่นในระดับนัยสำคัญทีต่ ้องการ ต้องมีการเลอื ก
เหมาะสม และใชอ้ ปุ กรณใ์ นการทำปฏิบัติการอยา่ งเหมาะสม
๓. นำเสนอแผนการทดลอง • การทำปฏิบตั กิ ารเคมตี ้องมีการวางแผนการทดลอง การทำการ
ทดลองและเขียนรายงานการ ทดลอง การบนั ทกึ ขอ้ มูลสรปุ และวิเคราะห์นำเสนอข้อมูล และการ
ทดลอง เขยี นรายงานการทดลองทถี่ ูกตอ้ ง โดยการทำปฏบิ ตั กิ ารเคมตี อ้ ง
คำนงึ ถึงวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรแ์ ละจิตวทิ ยาศาสตร
๔. ระบุหนว่ ยวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ • การทำปฏบิ ตั กิ ารเคมตี ้องมีการวัดปริมาณต่าง ๆของสาร การ
ของสาร และเปลยี่ นหน่วยวัดให้ บอกปริมาณของสารอาจระบุอยู่ในหนว่ ยตา่ ง ๆ ดังนัน้ เพ่ือให้มี
เปน็ หนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการ มาตรฐานเดียวกัน จงึ มีการกำหนดหนว่ ยในระบบเอสไอใหเ้ ป็น
ใช้แฟกเตอรเ์ ปลี่ยนหนว่ ย หนว่ ยสากล ซง่ึ การเปลยี่ นหน่วยเพื่อใหเ้ ปน็ หน่วยสากล สามารถ
ทำได้ด้วยการใชแ้ ฟกเตอร์เปลีย่ นหน่วย
๕. สืบคน้ ขอ้ มลู สมมตฐิ าน การ • นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสรา้ งของอะตอม และเสนอ
ทดลอง หรอื ผลการทดลองทเี่ ป็น แบบจำลองอะตอมแบบตา่ ง ๆ จากการศึกษาข้อมูล การสังเกต
ประจักษ์พยานในการเสนอ การต้งั สมมติฐาน และผลการทดลอง
แบบจำลองอะตอมของ • แบบจำลองอะตอมมวี วิ ฒั นาการ โดยเริ่มจากดอลตัน
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เติม
นักวทิ ยาศาสตร์และอธบิ าย เสนอวา่ ธาตปุ ระกอบด้วยอะตอมซง่ึ เป็นอนุภาคขนาดเลก็ ไม่
วิวฒั นาการของแบบจำลอง สามารถแบ่งแยกไดต้ อ่ มาทอมสนั เสนอว่าอะตอมประกอบด้วย
อะตอม อนุภาคทีม่ ีประจุลบ เรยี กว่า อเิ ลก็ ตรอน และอนุภาคประจบุ วก
รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวกทเ่ี รยี กวา่ โปรตอน รวมตัวกันอยู่
ตรงก่ึงกลางอะตอม เรียกวา่ นวิ เคลยี ส ซ่งึ มขี นาดเล็กมากและมี
อเิ ลก็ ตรอนอย่รู อบนิวเคลียส โบรเ์ สนอวา่ อิเล็กตรอนเคล่อื นทีเ่ ปน็
วงรอบนวิ เคลยี สโดยแต่ละวงมีระดบั พลงั งานเฉพาะตวั ในปจั จุบัน
นักวทิ ยาศาสตร์ยอมรับว่าอิเล็กตรอนมีการเคลื่อนท่รี วดเรว็ รอบ
นวิ เคลยี ส และไมส่ ามารถระบุตำแหน่งท่แี น่นอนได้จงึ เสนอ
แบบจำลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก ซ่ึงแสดงโอกาสการพบ
อิเล็กตรอนรอบนิวเคลยี ส
๖. เขยี นสญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ของ • สญั ลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ ประกอบด้วยสญั ลักษณธ์ าตุ เลข
ธาตุและระบุจำนวนโปรตอน อะตอมซึ่งแสดงจำนวนโปรตอน และเลขมวลซง่ึ แสดงผลรวมของ
นวิ ตรอน และอิเล็กตรอนของ จำนวนโปรตอนกบั นวิ ตรอน อะตอมของธาตุชนดิ เดียวกนั ท่ีมี
อะตอมจากสัญลักษณ์นิวเคลียร์ จำนวนโปรตอนเท่ากนั แต่มจี ำนวนนวิ ตรอนตา่ งกนั เรียกว่า
รวมท้ังบอกความหมายของ ไอโซโทป
ไอโซโทป
๗. อธบิ าย และเขียนการจัดเรยี ง • การศกึ ษาสเปกตรมั การเปล่งแสงของอะตอมแก๊สทำให้ทราบว่า
อเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานหลกั อิเล็กตรอนจดั เรยี งอยรู่ อบ ๆนวิ เคลยี สในระดับพลงั งานหลักต่าง ๆ
และระดบั พลังงานย่อยเม่ือทราบ และแต่ละระดับพลังงานหลักยังแบง่ เปน็ ระดบั พลงั งานย่อยซ่ึงมี
เลขอะตอมของธาตุ บริเวณท่จี ะพบอเิ ล็กตรอนเรยี กวา่ ออร์บิทลั ได้แตกตา่ งกนั และ
อิเล็กตรอนจะจัดเรียงในออร์บทิ ลั ให้มรี ะดบั พลงั งานตำ่ ที่สุด
สำหรับอะตอมในสถานะพนื้
๘. ระบหุ มคู่ าบ ความเปน็ โลหะ • ตารางธาตใุ นปจั จุบันจดั เรียงธาตตุ ามเลขอะตอมและสมบัตทิ ่ี
อโลหะ และก่ึงโลหะ ของธาตุ คลา้ ยคลงึ กนั เป็นหม่แู ละคาบโดยอาจแบง่ ธาตุในตารางธาตุเป็น
เรพรเี ซนเททฟี และธาตุแทรนซิ กลมุ่ ธาตุโลหะกึ่งโลหะ และอโลหะ นอกจากนอ้ี าจแบง่ เป็นกลุ่ม
ชันในตารางธาต ธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและกลุ่มธาตุแทรนซชิ นั
๙. วิเคราะหแ์ ละบอกแนวโน้ม • ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมเู่ ดียวกนั มีจำนวนเวเลนซ์-อิเล็กตรอน
สมบตั ิของธาตเุ รพรีเซนเททีฟตาม เทา่ กัน และธาตุที่อยู่ในคาบเดยี วกนั มีเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนในระดบั
หมแู่ ละตามคาบ พลงั งานหลักเดียวกันธาตุ
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม
เรพรีเซนเททฟี มสี มบัติทางเคมีคลา้ ยคลึงกนั ตามหมู่และมีแนวโน้ม
สมบตั ิบางประการเป็นไปตามหมแู่ ละตามคาบ เชน่ ขนาดอะตอม
รศั มีไอออนพลังงานไอออไนเซชัน อเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตีสัมพรรคภาพ
อิเลก็ ตรอน
๑๐. บอกสมบัตขิ องธาตโุ ลหะแท • ธาตุแทรนซชิ ันเปน็ โลหะทสี่ ว่ นใหญม่ เี วเลนซ์-อเิ ล็กตรอนเท่ากบั
รนซชิ ัน และเปรียบเทียบสมบัติ ๒ มขี นาดอะตอมใกลเ้ คยี งกันมีจดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวและความ
กบั ธาตุโลหะในกลุม่ ธาตเุ รพรีเซน หนาแนน่ สูงเกิดปฏกิ ริ ิยากบั น้ำได้ช้ากวา่ ธาตุโลหะในกล่มุ ธาตเุ รพรี
เททีฟ เซนเททีฟ เม่ือเกดิ เป็นสารประกอบสว่ นใหญ่จะมสี ี
๑๑. อธิบายสมบัตแิ ละคำนวณ • ธาตุแต่ละชนิดมไี อโซโทป ซง่ึ ในธรรมชาตบิ างธาตุมีไอโซโทปท่ีแผ่
ครึง่ ชวี ิตของไอโซโทปกัมมันตรงั สี รงั สไี ดเ้ น่ืองจากนิวเคลียสไมเ่ สถยี ร เรียกวา่ ไอโซโทปกัมมันตรังสี
สำหรบั ธาตุกมั มนั ตรงั สเี ปน็ ธาตุท่ีทกุ ไอโซโทปสามารถแผ่รังสไี ด้
รงั สที ่เี กดิ ข้ึน เชน่ รังสแี อลฟา รังสีบตี ารังสแี กมมา โดยคร่ึงชวี ิต
ของไอโซโทปกมั มนั ตรังสีเป็นระยะเวลาที่ไอโซโทปกมั มนั ตรังสี
สลายตัวจนเหลอื คร่งึ หนึง่ ของปริมาณเดิม ซึ่งเปน็ คา่ คงทีเ่ ฉพาะ
ของแต่ละไอโซโทปกัมมันตรังสี
๑๒. สบื คน้ ขอ้ มูล และ • สมบตั บิ างประการของธาตุแต่ละชนิด ทำให้สามารถนำธาตุไปใช้
ยกตัวอย่างการนำธาตุมาใช้ ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ทั้งน้กี ารนำธาตุไปใช้
ประโยชน์รวมทั้งผลกระทบต่อ ต้องตระหนกั ถึงผลกระทบที่มีต่อสิง่ มีชีวิต และส่ิงแวดล้อม
ส่งิ มีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อม โดยเฉพาะสารกมั มนั ตรังสซี ่ึงต้องมีการจดั การอย่างเหมาะสม
๑๓. อธิบายการเกดิ ไอออนและ • สารเคมีเกดิ จากการยึดเหน่ียวกนั ดว้ ยพนั ธะเคมซี ่งึ เกย่ี วข้องกับ
การเกดิ พันธะไอออนิก โดยใช้ เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนทแี่ สดงได้ด้วยสัญลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อิส โดย
แผนภาพหรอื สญั ลักษณ์แบบจุด การเกิดพันธะเคมีสว่ นใหญ่เป็นไปตามกฎออกเตต • พนั ธะไอ
ของลวิ อิส ออนิกเกดิ จากการยึดเหนย่ี วระหว่างประจุไฟฟา้ ของไอออนบวกกับ
ไอออนลบส่วนใหญ่ไอออนบวกเกดิ จากโลหะเสียอเิ ล็กตรอนและ
ไอออนลบเกดิ จากอโลหะรบั อิเล็กตรอนสารประกอบทเี่ กดิ จาก
พนั ธะไอออนิก เรยี กว่าสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอ
ออนิกไม่อย่ใู นรปู โมเลกุล แตเ่ ป็นโครงผลกึ ทปี่ ระกอบดว้ ยไอออน
บวกและไอออนลบจดั เรียงตัวตอ่ เนื่องกันไปทงั้ สามมติ ิ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม
๑๔. เขยี นสตู ร และเรยี กชอ่ื • สารประกอบไอออนิกเขยี นแสดงสตู รเคมโี ดยให้สัญลกั ษณธ์ าตุที่
สารประกอบไอออนิก เป็นไอออนบวกไวข้ ้างหนา้ ตามด้วยสญั ลักษณธ์ าตุที่เป็นไอออนลบ
โดยมตี ัวเลขแสดงอตั ราสว่ นอยา่ งต่ำของจำนวนไอออนทเี่ ป็น
องค์ประกอบ
• การเรยี กชือ่ สารประกอบไอออนิกทำไดโ้ ดยเรยี กชือ่ ไอออนบวก
แลว้ ตามดว้ ยชอื่ ไอออนลบสำหรับสารประกอบไอออนิกทีเ่ กดิ จาก
โลหะท่มี ีเลขออกซิเดชันได้หลายค่า ตอ้ งระบเุ ลขออกซิเดชันของ
โลหะด้วย
๑๕. คำนวณพลังงานท่เี ก่ียวข้อง • ปฏิกริ ิยาการเกดิ สารประกอบไอออนิกจากธาตเุ กยี่ วข้องกับ
กบั ปฏิกริ ิยาการเกดิ สารประกอบ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายขนั้ ตอน มีทัง้ ท่เี ป็นปฏิกริ ิยาดูดพลงั งานและคาย
ไอออนิกจากวฏั จกั รบอร์น-ฮา พลังงานซ่ึงแสดงได้ดว้ ยวัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์และพลังงานของ
เบอร์ ปฏิกริ ิยาการเกิดสารประกอบไอออนิกเป็นผลรวมของพลังงานทุก
ขั้นตอน
๑๖. อธิบายสมบตั ิของ • สารประกอบไอออนกิ ส่วนใหญม่ ลี ักษณะเป็นผลึกของแข็ง เปราะ
สารประกอบไอออนิก มจี ดุ หลอมเหลวและจุดเดือดสงู ละลายนำ้ แลว้ แตกตวั เป็นไอออน
เรียกว่า สารละลายอเิ ล็กโทรไลตเ์ ม่อื เปน็ ของแขง็ ไมน่ ำไฟฟ้า แตถ่ ้า
ทำให้หลอมเหลวหรือละลายในนำ้ จะนำไฟฟ้า • สารละลายของ
สารประกอบไอออนกิ แสดงสมบัตคิ วามเป็นกรด–เบส ต่างกนั
สารละลายของสารประกอบคลอไรดม์ ีสมบัติเป็นกลาง และ
สารละลายของสารประกอบออกไซด์มสี มบัตเิ ป็นเบส
๑๗. เขียนสมการไอออนิกและ • ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก สามารถเขียนแสดงด้วย
สมการไอออนิกสุทธิของปฏิกิรยิ า สมการไอออนกิ หรือสมการไอออนิกสุทธโิ ดยท่ีสมการไอออนกิ
ของสารประกอบไอออนิก แสดงสารตง้ั ตน้ และผลิตภณั ฑ์ทุกชนิดท่แี ตกตัวได้ในรูปของไอออน
สว่ นสมการไอออนกิ สทุ ธแิ สดงเฉพาะไอออนทที่ ำปฏิกิริยากัน และ
ผลิตภัณฑท์ ี่เกดิ ขึ้น
๑๘. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโคเว • พันธะโคเวเลนต์เปน็ การยดึ เหนี่ยวท่เี กิดขนึ้ ภายในโมเลกุลจาก
เลนต์แบบพนั ธะเดยี่ วพนั ธะคู่และ การใช้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่วมกันของธาตุซึ่งสว่ นใหญ่เป็นธาตุ
พนั ธะสาม ดว้ ยโครงสรา้ งลวิ อิส อโลหะ โดยท่วั ไปจะเป็นไปตามกฎออกเตต สารท่ียึดเหนย่ี วกนั
ด้วยพันธะโคเวเลนต์
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พิม่ เติม
เรยี กว่า สารโคเวเลนต์พันธะโคเวเลนตเ์ กดิ ได้ท้ังพันธะเดยี่ ว พนั ธะ
คแู่ ละพนั ธะสาม ซง่ึ สามารถเขยี นแสดงได้ด้วยโครงสร้างลิวอิส โดย
แสดงอิเล็กตรอนครู่ ่วมพนั ธะดว้ ยจดุ หรือเส้น และแสดงอเิ ล็กตรอน
ค่โู ดดเดย่ี วของแต่ละอะตอมด้วยจดุ
๑๙.เขียนสูตร และเรียกชื่อสาร • สูตรโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์โดยทั่วไปเขยี นแสดงด้วย
โคเวเลนต์ สญั ลกั ษณข์ องธาตุเรยี งลำดับตามคา่ อิเล็กโทรเนกาตวิ ติ ีจากน้อยไป
มากโดยมตี ัวเลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตุทีม่ ีมากกว่า ๑
อะตอมในโมเลกลุ
• การเรยี กชอ่ื สารโคเวเลนต์ทำได้โดยเรียกชื่อธาตุที่อยหู่ น้าก่อน
แลว้ ตามด้วยช่ือธาตุท่ีอยู่ถดั มาโดยมีคำนำหนา้ ระบุจำนวนอะตอม
ของธาตุที่เปน็ องค์ประกอบ
๒๐. วเิ คราะห์และเปรียบเทยี บ • ความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ขนึ้ กับชนิด
ความยาวพันธะและพลงั งาน ของอะตอมคูร่ ่วมพันธะและชนดิ ของพันธะ โดยพันธะเด่ยี ว พนั ธะ
พนั ธะในสารโคเวเลนต์รวมทัง้ คู่และพันธะสาม มีความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะแตกตา่ งกนั
คำนวณพลังงานทเ่ี กย่ี วข้องกับ นอกจากนโ้ี มเลกุลโคเวเลนตบ์ างชนดิ มีค่าความยาวพนั ธะและ
ปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนตจ์ าก พลงั งานพันธะแตกตา่ งจากของพันธะเดย่ี ว พันธะคแู่ ละพันธะสาม
พลังงานพันธะ ซง่ึ สารเหลา่ นสี้ ามารถเขียนโครงสร้างลวิ อิสทเี่ หมาะสมได้มากกวา่
๑ โครงสรา้ ง ที่เรยี กวา่ โครงสรา้ งเรโซแนนซ์
• พลังงานพันธะนำมาใชใ้ นการคำนวณพลังงานของปฏิกิรยิ า ซ่งึ ได้
จากผลต่างของพลงั งานพนั ธะรวมของสารตง้ั ต้นกบั ผลติ ภัณฑ์
๒๑. คาดคะเนรปู ร่างโมเลกลุ โคเว • รปู รา่ งของโมเลกลุ โคเวเลนต์อาจพจิ ารณาโดยใชท้ ฤษฎีการผลัก
เลนตโ์ ดยใช้ทฤษฎกี ารผลัก ระหว่างคอู่ ิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซงึ่ ขึน้ อยู่กับจำนวน
ระหวา่ งคู่อิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ พันธะและจำนวนอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวรอบอะตอมกลางโมเลกลุ
และระบสุ ภาพขัว้ ของโมเลกุล โคเวเลนตม์ ที ้งั โมเลกลุ มีขวั้ และไม่มีขั้วสภาพขวั้ ของโมเลกุลโคเว
โคเวเลนต์ เลนต์เป็นผลรวมปริมาณเวกเตอร์สภาพขวั้ ของแต่ละพันธะตาม
รูปรา่ งโมเลกลุ
๒๒. ระบุชนดิ ของแรงยดึ เหนี่ยว • แรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งโมเลกุลซึ่งอาจเป็นแรงแผ่กระจาย
ระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์และ ลอนดอน แรงระหวา่ งข้ัวและพันธะไฮโดรเจน
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม
เปรยี บเทียบจุดหลอมเหลวจุด มีผลตอ่ จุดหลอมเหลวจดุ เดอื ด และการละลายนำ้ ของสาร
เดอื ด และการละลายน้ำของสาร นอกจากนีส้ ารโคเวเลนตส์ ่วนใหญ่ยังมจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือด
โคเวเลนต์ ตำ่ กวา่ สารประกอบไอออนิกเนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ ง
โมเลกุลมคี ่าน้อยกว่าพันธะไอออนิก • สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มจี ุด
หลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ และไมล่ ะลายในน้ำ สำหรบั สารโคเว
เลนตท์ ่ลี ะลายน้ำมีทัง้ แตกตัวและไม่แตกตัวเปน็ ไอออน สารละลาย
ทีไ่ ด้จากสารทไี่ ม่แตกตัวเป็นไอออนจะไม่นำไฟฟา้ เรียกวา่
สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ส่วนสารละลายท่ไี ดจ้ ากสารที่แตกตัว
เปน็ ไอออนจะนำไฟฟา้ เรยี กว่าสารละลายอิเลก็ โทรไลตส์ ารละลาย
ของสารประกอบคลอไรด์และออกไซดจ์ ะมีสมบตั เิ ป็นกรด
๒๓. สบื คน้ ข้อมูล และอธิบาย • สารโคเวเลนต์บางชนดิ ท่ีมีโครงสรา้ งโมเลกุลขนาดใหญ่และมี
สมบตั ขิ องสารโคเวเลนตโ์ ครงร่าง พนั ธะโคเวเลนตต์ ่อเนื่องเป็นโครงรา่ งตาข่าย จะมีจุดหลอมเหลว
ตาขา่ ยชนิดตา่ ง ๆ และจุดเดือดสูง สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาขา่ ยท่ีมธี าตุองค์ประกอบ
เหมือนกนั แตม่ ีอัญรูปตา่ งกันจะมีสมบัติตา่ งกนั เช่น เพชร
แกรไฟต์
๒๔. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโลหะ • พนั ธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนของทุกอะตอมของโลหะ
และสมบัติของโลหะ เคลอ่ื นที่อย่างอิสระไปทั่วท้งั โลหะ และเกดิ แรงยดึ เหนย่ี วกับ
โปรตอนในนิวเคลยี สทุกทิศทาง • โลหะสว่ นใหญ่เป็นของแขง็ มผี วิ
มันวาว สามารถตีเป็นแผ่นหรือดงึ เป็นเส้นไดน้ ำความร้อนและนำ
ไฟฟ้าไดด้ มี ีจดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ดสูง
๒๕. เปรียบเทยี บสมบตั บิ าง • สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะมสี มบัติเฉพาะตวั
ประการของสารประกอบไอออ บางประการทีแ่ ตกตา่ งกัน เช่นจุดเดือด จุดหลอมเหลว การละลาย
นกิ สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะ นำ้ การนำไฟฟ้า จึงสามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆได้ตาม
สืบค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่าง ความเหมาะสม
การใชป้ ระโยชน์ของสารประกอบ
ไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ
ได้อยา่ งเหมาะสม
ว31221 เคมี 1 คำอธบิ ายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ
ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลาย กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชัว่ โมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต
บอกและอธิบายข้อปฏบิ ตั ิเบ้ืองต้น และปฏิบตั ิตนที่แสดงถงึ ความตระหนักในการทำปฏบิ ัตกิ ารเคมี
เพ่ือให้มีความปลอดภยั ทั้งต่อตนเอง ผู้อ่ืนและสิ่งแวดลอ้ ม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เลือก
และใช้อุปกรณห์ รือเครื่องมือในการทำปฏบิ ัติการ และวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม นำเสนอแผนการ
ทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง ระบหุ น่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลยี่ นหน่วยวัดให้
เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วยการใชแ้ ฟกเตอร์เปลย่ี นหน่วย สืบค้นขอ้ มูลสมมตฐิ าน การทดลอง หรอื ผลการ
ทดลองที่เป็นประจักษ์พยานในการเสนอแบบจำลองอะตอมของนกั วิทยาศาสตร์และอธิบายววิ ฒั นาการของ
แบบจำลองอะตอม เขียนสญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ของธาตุและระบุจำนวนโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอน
ของอะตอมจากสัญลักษณน์ ิวเคลยี รร์ วมทั้งบอกความหมายของไอโซโทป อธิบาย และเขียนการจดั เรียง
อิเล็กตรอนในระดับพลงั งานหลักและระดบั พลงั งานยอ่ ยเมอ่ื ทราบเลขอะตอมของธาตุ ระบุหมู่คาบ ความ
เป็นโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ของธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและธาตแุ ทรนซิชันในตารางธาตุ วิเคราะหแ์ ละบอก
แนวโน้มสมบัตขิ องธาตเุ รพรเี ซนเททีฟตามหมู่และตามคาบ บอกสมบตั ิของธาตุโลหะแทรนซชิ ัน และ
เปรยี บเทยี บสมบตั กิ ับธาตโุ ลหะในกลมุ่ ธาตุเรพรีเซนเททีฟ อธบิ ายสมบตั ิและคำนวณคร่ึงชีวติ ของไอโซโทป
กมั มนั ตรงั สี สบื คน้ ข้อมูล และยกตวั อย่างการนำธาตมุ าใช้ประโยชนร์ วมทงั้ ผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ิตและ
สิง่ แวดล้อม อธบิ ายการเกดิ ไอออนและการเกดิ พันธะไอออนกิ โดยใช้แผนภาพหรือสญั ลักษณ์แบบจดุ ของ
ลวิ อิส เขียนสตู ร และเรียกชื่อสารประกอบไอออนกิ คำนวณพลงั งานทีเ่ ก่ยี วข้องกับปฏิกิรยิ าการเกดิ
สารประกอบไอออนกิ จากวฏั จกั รบอรน์ -ฮาเบอร์ อธิบายสมบตั ิของสารประกอบไอออนิก เขยี นสมการไอ
ออนิกและสมการไอออนิกสทุ ธิของปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก อธบิ ายการเกดิ พันธะโคเวเลนต์แบบ
พนั ธะเดี่ยวพนั ธะคู่และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอิส เขียนสูตร และเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ วิเคราะห์และ
เปรยี บเทียบความยาวพันธะและพลงั งานพันธะในสารโคเวเลนตร์ วมทัง้ คำนวณพลังงานที่เกี่ยวขอ้ งกับ
ปฏกิ ริ ยิ าของสารโคเวเลนต์จากพลงั งานพันธะ คาดคะเนรูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์โดยใชท้ ฤษฎกี ารผลกั
ระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซแ์ ละระบุสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ ระบชุ นิดของแรงยึดเหนย่ี ว
ระหว่างโมเลกุลโคเวเลนตแ์ ละเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวจดุ เดือด และการละลายน้ำของสารโคเวเลนต์
สบื คน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายสมบัตขิ องสารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาขา่ ยชนดิ ตา่ ง ๆ อธิบายการเกดิ พนั ธะโลหะและ
สมบตั ขิ องโลหะ เปรยี บเทยี บสมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ
สบื ค้นขอ้ มูลและนำเสนอตวั อยา่ งการใช้ประโยชนข์ องสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะ ได้
อยา่ งเหมาะสม
โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะ
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ ใน
ชีวติ ประจำวนั มจี ิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มทเ่ี หมาะสม
โครงสรา้ งรายวิชาและการกำหนดหนว่ ยกา
รหสั วิชา ว 31221 เคมี 1 ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1
ที่ ชอื่ หน่วยการ ผลการเรยี นรู้
เรยี นรู้
1 ความปลอดภยั และ 1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถ
ทักษะในการ ปฏิบัติการเคมีเพื่อให้มีความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและส
ปฏิบัติการเคมี ทางแก้ไขเม่ือเกดิ อุบัติเหตุ
2. เลือก และใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการทำปฏิบัติการ และ
เหมาะสม
3. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง
4. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลี่ยนหน่วยวัดให
ด้วยการใชแ้ ฟกเตอร์เปล่ียนหน่วย
2 อะตอมและสมบัติ 5. สบื คน้ ข้อมลู สมมตฐิ าน การทดลอง หรอื ผลการทดลองท่ีเปน็ ป
ของธาตุ แบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์และอธิบายวิวัฒนาการข
6. เขยี นสญั ลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตแุ ละระบจุ ำนวนโปรตอน นวิ
ของอะตอมจากสัญลกั ษณน์ ิวเคลยี รร์ วมทั้งบอกความหมายของไ
7. อธิบาย และเขียนการจดั เรียงอิเล็กตรอนในระดบั พลงั งานหล
เมอ่ื ทราบเลขอะตอมของธาตุ
8. ระบุหมคู่ าบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ ของธาตเุ รพ
รนซชิ ันในตารางธาตุ
ารเรยี นรู้โรงเรียนโคกโพธิไ์ ชยศกึ ษา
จำนวน 1.5 หน่วยกิต 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ 60 ช่ัวงโมง/ภาคเรยี น
สาระการเรยี นรู้ จำนวนเวลา น้ำหนกั
(ชัว่ โมง) คะแนน
ถึงความตระหนักในการทำ - ความปลอดภัยในการทำงานกบั 10 16
สิ่งแวดล้อม และเสนอแนว สารเคมี (2)
- อุบตั ิเหตจุ ากสารเคมี (1)
ะวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่าง - การวดั ปริมาณสาร (2)
ง - หนว่ ยวดั (2)
ห้เป็นหน่วยในระบบเอสไอ - วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ (3)
ประจกั ษพ์ ยานในการเสนอ - แบบจำลองอะตอม (5) 25 42
ของแบบจำลองอะตอม - อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป
วตรอน และอิเล็กตรอน (2)
ไอโซโทป - การจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอม
ลกั และระดับพลังงานย่อย (4)
- ตารางธาตุและสมบตั ิของธาตหุ มู่
พรีเซนเททฟี และธาตแุ ท หลกั (5)
- ธาตแุ ทรนซชิ นั (3)
ที่ ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรียนรู้
เรียนรู้
9. วเิ คราะหแ์ ละบอกแนวโนม้ สมบัติของธาตเุ รพรเี ซนเททีฟตาม
10. บอกสมบัติของธาตโุ ลหะแทรนซิชนั และเปรยี บเทียบสมบัต
เรพรีเซนเททีฟ
11. อธบิ ายสมบัตแิ ละคำนวณครึ่งชวี ิตของไอโซโทปกัมมันตรงั สี
12. สืบค้นขอ้ มลู และยกตัวอย่างการนำธาตมุ าใช้ประโยชนร์ วมท
และสิง่ แวดล้อม
3 พันธะเคมี 13. อธบิ ายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนิก โดยใชแ้ ผ
จุดของลิวอิส
14. เขียนสูตร และเรยี กช่ือสารประกอบไอออนิก
15. คำนวณพลังงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิกริ ยิ าการเกิดสารประกอบ
บอร์น-ฮาเบอร์
16. อธิบายสมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก
17. เขยี นสมการไอออนิกและสมการไอออนกิ สุทธขิ องปฏกิ ิรยิ าข
18. อธบิ ายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดย่ี วพันธะคู่และ
ลิวอิส
19.เขียนสตู ร และเรยี กชื่อสารโคเวเลนต์
20. วเิ คราะหแ์ ละเปรียบเทียบความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธ
คำนวณพลงั งานทเ่ี กย่ี วข้องกับปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนตจ์ ากพล
สาระการเรยี นรู้ จำนวนเวลา นำ้ หนัก
(ช่วั โมง) คะแนน
- ธาตกุ มั มนั ตรังสี (4)
มหมู่และตามคาบ - การนำธาตุไปใชป้ ระโยชน์และ
ติกับธาตโุ ลหะในกล่มุ ธาตุ ผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ิต (2)
ท้ังผลกระทบตอ่ ส่งิ มีชวี ติ
ผนภาพหรือสัญลกั ษณ์แบบ - สญั ลักษณ์แบบจดุ ของลิวอิสและ 25 42
กฎออกเตต (1)
บไอออนิกจากวัฏจักร - พันธะไอออนกิ (9)
- พันธะโคเวเลนต์ (11)
ของสารประกอบไอออนิก - พนั ธะโลหะ(2)
ะพันธะสาม ด้วยโครงสรา้ ง - การใชป้ ระโยชนข์ องสารประกอบ
ไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ
(2)
ธะในสารโคเวเลนตร์ วมทั้ง
ลงั งานพนั ธะ
ท่ี ชื่อหน่วยการ ผลการเรยี นรู้
เรยี นรู้
21. คาดคะเนรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนตโ์ ดยใช้ทฤษฎีการผลักระห
เวเลนซ์และระบสุ ภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
22. ระบชุ นิดของแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกุลโคเวเลนตแ์ ละเป
จดุ เดอื ด และการละลายน้ำของสารโคเวเลนต์
23. สืบค้นข้อมูล และอธิบายสมบตั ขิ องสารโคเวเลนต์โครงร่างต
24. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะ
25. เปรียบเทียบสมบัตบิ างประการของสารประกอบไอออนกิ ส
สบื คน้ ข้อมูลและนำเสนอตัวอยา่ งการใช้ประโยชน์ของสารประก
และโลหะ ได้อย่างเหมาะสม
สาระการเรยี นรู้ จำนวนเวลา นำ้ หนัก
(ช่ัวโมง) คะแนน
หว่างคู่อิเล็กตรอนในวง
ปรียบเทียบจดุ หลอมเหลว
ตาขา่ ยชนดิ ตา่ ง ๆ
สารโคเวเลนต์และโลหะ
กอบไอออนิก สารโคเวเลนต์