บทที่ 8
การเกดิ ลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศ
- ปัจจัยสาคญั ท่ีส่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทติ ย์ของพืน้ ผวิ โลก
- การหมุนเวยี นของอากาศ
- การหมุนเวยี นของน้าผวิ หน้ามหาสมุทร
- ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา
เม่ือรังสีดวงอาทิตยผ์ า่ นช้นั บรรยากาศมายงั พ้นื ผวิ โลก พบวา่
ความเขม้ ของรังสีแต่ละบริเวณไม่เท่ากนั
ความเข้มรังสี
ดวงอาทติ ย์
คือ พลงั งานจาก
รังสีดวงอาทิตย์
ในหน่ึงหน่วย
เวลาต่อหน่ึง
หน่วยพ้นื ท่ี
(จูล/วนิ าที/ตร.ม.
หรือ วตั ต/์ ตร.ม.)
ปัจจยั สาคญั ที่ส่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทิตย์ของพืน้ ผวิ โลก
สัณฐานโลกและการเอยี งของแกนโลก
- สณั ฐานโลกคลา้ ยทรงกลม รังสีตกกระทบจึงทามุมที่แตกต่างกนั
- บริเวณตกกระทบแนวต้งั ฉาก ความเขม้ รังสีจะมากกวา่ แนวเฉียง
- การท่ีโลกหมุนเอียง 23.5 องศา กบั แนวต้งั ฉากกบั ระนาบการโคจรของโลกรอบ
ดวงอาทิตย์ และการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทาใหต้ าแหน่งที่รังสีตกต้งั ฉากกบั
พ้นื ผวิ โลกเปลี่ยนไปในรอบ 1 ปี
ตาแหน่งที่ 1
รังสีดวงอาทิตยต์ กต้งั ฉากที่
ละติจูด 23.5 องศาเหนือ
ตาแหน่งที่ 2
รังสีดวงอาทิตยต์ กต้งั ฉากท่ีเส้น
ศูนยส์ ูตร
ตาแหน่งท่ี 3
รังสีดวงอาทิตยต์ กต้งั ฉากท่ี
ละติจูด 23.5 องศาใต้
ตาแหน่งที่ 4
รังสีดวงอาทิตยต์ กต้งั ฉากท่ีเส้น
ศูนยส์ ูตร
ปัจจยั สาคญั ท่สี ่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทิตย์ของพืน้ ผวิ โลก
ละอองลอย เมฆและละอองลอย
คือ อนุภาค
ของแขง็ หรือ - ช้นั บรรยากาศโทรโพสเฟี ยร์ มีเมฆและละอองลอย ทาใหร้ ังสีดวงอาทิตยถ์ ูกดูดกลืน
ของเหลวที่มี สะทอ้ น และกระเจิง
ขนาดเลก็ และ
แขวนลอยอยู่ - หากทอ้ งฟ้ามีเมฆหรือละอองลอยมาก รังสีจะถูกดูดกลืน สะทอ้ น และกระเจิงไดม้ าก
ในอากาศ เช่น
ฝ่ นุ เกลือ เขม่า
จากการเผา
ไหม้
การกระเจิง
ปรากฏการณ์
ที่แสงเดินทาง
ไปกระทบกบั
อนุภาคตา่ ง ๆ
ในอากาศ เช่น
ละอองน้าใน
เมฆ ส่งผลให้
ทางเดินของ
แสงเปล่ียนไป
ปัจจยั สาคญั ท่ีส่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทติ ย์ของพืน้ ผวิ โลก
ลกั ษณะของพืน้ ผวิ โลก
- พ้ืนผวิ โลกแต่ละบริเวณมีลกั ษณะแตกต่างกนั เช่น สี ส่ิงปกคลุม ชนิด และความเรียบของพ้ืนผวิ ทาให้
ความสามารถในการสะทอ้ นรังสีดวงอาทิตยแ์ ตกต่างกนั
- อตั ราส่วนรังสีสะท้อน = ความเข้มรังสีทีส่ ะท้อนจากพืน้ ผวิ วตั ถุ ÷ ความเข้มรังสีท้ังหมดท่ตี กกระทบพืน้ ผวิ วตั ถุ
การหมุนเวยี นของอากาศ
ความกดอากาศ ความแตกต่างของความกดอากาศกบั การหมุนเวยี นของอากาศ
มีความหมาย - บริเวณพ้ืนโลกท่ีมีอุณหภูมิสูงส่งผลใหบ้ ริเวณน้นั มีความกดอากาศต่ากวา่ บริเวณโดยรอบ
เดียวกบั ความ - บริเวณพ้นื โลกที่มีอุณหภูมิต่าส่งผลใหบ้ ริเวณน้นั มีความกดอากาศสูงกวา่ บริเวณโดยรอบ
- เมื่อความกดอากาศระหวา่ งสองบริเวณแตกต่างกนั จะเกิดแรงท่ีทาใหอ้ ากาศเคลื่อนที่
ดนั อากาศ
เรียกแรงน้ีวา่ “แรงทเี่ กดิ จากความแตกต่างของความกดอากาศ”
หมายถึง
- อากาศจะเคล่ือนที่หมุนเวยี นจากบริเวณความกดอากาศสูงไปยงั บริเวณความกดอากาศต่า
แรงท่ีอากาศ
กระทาต้งั ฉาก
ต่อหน่ึงหน่วย
พ้นื ที่ หรือ
น้าหนกั ของ
อากาศที่กดลง
บนพ้นื โลกต่อ
หน่ึงหน่วยพ้ืนท่ี
การหมุนเวยี นของอากาศ
ความแตกต่างของความกดอากาศกบั การหมุนเวยี นของอากาศ
- อากาศในบริเวณความกดอากาศต่ายกตวั ข้ึนทาใหม้ ีโอกาสเกิดเมฆมาก
- อากาศในบริเวณความกดอากาศสูงจมตวั ลงทาใหม้ ีเมฆนอ้ ย ทอ้ งฟ้าเหนือบริเวณน้นั โปร่ง
จอร์จ แฮดลยี ์ พ.ศ. 2228 – 2311 นักกฎหมาย นักอุตุนิยมวทิ ยาและนักฟิ สิกส์ ชาวองั กฤษ
ไดเ้ สนอแนวความคิดเกี่ยวกบั การไหลเวยี นอากาศแบบเซลลเ์ ดียว โดยมีสมมติฐาน
ที่วา่ พ้ืนผวิ โลกปกคลุมดว้ ยพ้นื น้าท้งั หมดหรือมีพ้ืนผวิ เหมือนกนั ทวั่ โลก รังสีจากดวงอาทิตย์
ส่องตรงมายงั บริเวณศูนยส์ ูตร และโลกไม่หมุนรอบตวั เอง
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนรอบตวั เองของโลกกบั การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนรอบตวั เองของโลกทาใหเ้ กิดแรงที่เรียกวา่
“แรงคอริออลิส” ซ่ึงทาใหท้ ิศทางการเคลื่อนท่ีของอากาศเบนไปจากเดิม
โดยผสู้ งั เกตท่ีอยบู่ นซีกโลกเหนือ เม่ือหนั หนา้ ไปตามทิศทางการเคล่ือนท่ี
ของอากาศ จะสงั เกตเห็นแนวการเคล่ือนท่ีของอากาศเบนไปทางขวามือ
แต่ถา้ ผสู้ งั เกตอยบู่ นซีกโลกใต้ เม่ือหนั หนา้ ไปตามทิศทางการเคล่ือนท่ี
ของอากาศ จะสงั เกตเห็นแนวการเคลื่อนที่ของอากาศเบนไปทางซา้ ยมือ
กุสตาฟว์-กสั ปาร์ คอริออลสิ
พ.ศ. 2335-2386
นักวทิ ยาศาสตร์และวศิ วกร
ชาวฝร่ังเศษ
เป็ นคนแรกท่ีอธิบายการ
เคล่ือนท่ีของวตั ถุบนพ้ืนผวิ ท่ีมี
การหมุนและเป็นท่ีรู้จกั กนั ใน
ช่ือ แรงคอริออลสิ
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก
- นกั วทิ ยาศาสตร์พฒั นาแนวคิดจากแบบจาลองการหมุนเวยี นอากาศแบบเซลลเ์ ดียวมาอธิบาย
ภูมิอากาศและการเคลื่อนที่ของอากาศในแต่ละเขตละติจูดใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเป็นจริง
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวยี นอากาศแถบเขตร้อนหรือแฮดลยี ์เซลล์
- หมุนเวยี นอากาศระหวา่ งเสน้ ศูนยส์ ูตรถึงละติจูดที่ 30 องศา เหนือและใต้
- บริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตรมีความเขม้ รังสีดวงอาทิตยม์ าก อุณหภูมิจึงสูง ก่อตวั เป็นแนวบริเวณความกดอากาศต่า
เรียกวา่ แนวความกดอากาศตา่ บริเวณศูนย์สูตร
- อากาศมีการยกตวั ข้ึน กระจายตวั ที่โทรโพพอสไปตามละติจูดที่สูงข้ึน อุณหภูมิลดต่าลง ความหนาแน่นเพ่ิมข้ึน
ความกดอากาศสูงข้ึนและจมตวั ลงท่ีบริเวณละติจูดที่ 30 องศา ก่อตวั เป็นแนวของบริเวณความกดอากาศสูง
เรียกวา่ แนวความกดอากาศสูงกงึ่ เขตร้อน
- เมื่อไดร้ ับอิทธิพลจากแรงคอริออลิส ทาใหอ้ ากาศเคล่ือนที่เขา้ สู่เสน้ ศูนยส์ ูตรเป็นแนวโคง้ จากทางทิศตะวนั ออก
ไปทางทิศตะวนั ตกเกิดเป็นลมตะวนั ออก ท่ีเรียกวา่ ลมค้า
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวยี นอากาศแถบเขตร้อนหรือแฮดลยี ์เซลล์
- การหมุนเวียนอากาศแถบร้อนเป็นการหมุนเวยี นอากาศระหวา่ งเสน้ ศูนยส์ ูตรซ่ึงมีความกดอากาศต่า ถึงละติจูด
ที่ 30 องศาซ่ึงมีความกดอากาศสูง
- พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทรทาใหน้ ้าระเหยเขา้ สู่อากาศไดม้ าก อากาศบริเวณน้ีจึงเป็นแบบร้อนช้ืน
- ประกอบกบั ลมคา้ จากซีกโลกเหนือและซีกโลกใตพ้ ดั เขา้ หากนั บริเวณศูนยส์ ูตร ทาใหอ้ ากาศยกตวั ข้ึนอยา่ ง
รุนแรง ก่อตวั เป็นแนวความกดอากาศต่า เรียกวา่ ร่องความกดอากาศตา่ หรือ ร่องมรสุม ส่งผลใหบ้ ริเวณน้ีมี
เมฆมากโดยเฉพาะเมฆคิวมูลสั และคิวมูโลนิมบสั เกิดฝนฟ้าคะนองและฝนตกชุกตลอดปี เกิดเป็นภูมิอากาศ
แบบร้อนช้ืนมีอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศตลอดท้งั ปี ไม่ต่ากวา่ 18 องศาเซลเซียส
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวยี นอากาศแถบข้ัวโลกหรือโพลาร์เซลล์
- หมุนเวยี นอากาศระหวา่ งข้วั โลกถึงละติจูดท่ี 60 องศา เหนือและใต้
- บริเวณข้วั โลกมีความเขม้ รังสีดวงอาทิตยน์ อ้ ย อณุ หภูมิจึงต่า ก่อตวั เป็นแนวบริเวณความกดอากาศสูง
เรียกวา่ แนวความกดอากาศสูงข้ัวโลก
- อากาศเคลื่อนท่ีไปทางละติจูดที่ต่ากวา่ เนื่องจากแรงท่ีเกิดจากความแตกต่างของความกดอากาศแต่ไม่
เคลื่อนท่ีเป็นแนวตรงในแนวทิศเหนือใต้ เน่ืองจากแรงคอริออลิส จึงเคล่ือนท่ีเป็นแนวโคง้ จาก
ตะวนั ออกไปตะวนั ตก เรียกวา่ ลมตะวนั ออก
- อากาศเยน็ จากข้วั โลกมาปะทะกบั อากาศท่ีอุ่นกวา่ บริเวณละติจูดที่ 60 องศา ก่อตวั เป็นแนวของ
บริเวณความกดอากาศต่า เรียกวา่ แนวความกดอากาศตา่ กง่ึ ข้วั โลก ทาใหอ้ ากาศบริเวณน้ียกตวั ข้ึน
แลว้ เคลื่อนท่ีกลบั ไปที่ข้วั โลก
- มีภูมิอากาศแบบอบอุ่นและช้ืนตลอดปี และเม่ือละติจูดสูงข้ึน พ้นื ผวิ โลกจะมีความเขม้ รังสีดวง
อาทิตยล์ ดลง อณุ หภูมิอากาศและความช้ืนลดลงจนถึงบริเวณข้วั โลกซ่ึงมี พดื น้าแขง็ ปกคลมุ บริเวณ
กวา้ งตลอดท้งั ปี ทาใหห้ นาวจดั
การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวยี นอากาศแถบละติจูดกลางหรือเฟอร์เรลเซลล์
- หมุนอากาศระหวา่ งละติจูดที่ 30 ถึง 60 องศา เหนือและใต้
- ไม่ไดเ้ ป็นผลจากแรงที่เกิดจากความแตกต่างของความกดอากาศโดยตรง แต่เป็นผลจากการเกิดระหวา่ งแฮดลีย์
เซลลแ์ ละโพลาร์เซลล์
- การเคล่ือนท่ีของอากาศจะไดร้ ับอิทธิพลจากแรงคอริออลิส ทาใหเ้ คลื่อนที่เป็นแนวโคง้ จากทิศตะวนั ตกไปทาง
ทิศตะวนั ออก จึงเรียกวา่ ลมตะวนั ตก
- เม่ืออากาศอุ่นกวา่ จากละติจูดที่ 30 มาปะทะกบั อากาศเยน็ จากข้วั โลกที่ละติจูด 60 องศา ทาใหอ้ ากาศบริเวณน้นั
ยกตวั ข้ึนแลว้ เคลื่อนท่ีกลบั มายงั ละติจูดท่ี 30 องศา
- อากาศบริเวณน้ีอบอุ่นและช้ืนตลอดปี มีต้งั แต่แบบแหง้ แลง้ จนถึงอากาศอบอุ่น
การหมุนเวยี นของนา้ ผวิ หน้ามหาสมุทร
ทบทวนวฏั จกั รนา้ กนั ก่อน
สรุปเรื่องปัจจยั ของการหมุนเวยี นของนา้
1. ความเคม็ แต่ละพ้นื ท่ีมีไม่เท่ากนั
2. แรงเสียดทานระหวา่ งอากาศกบั ผวิ น้า
3. การเคล่ือนที่พาความร้อน
4. การหมุนของโลกและแรงคอริออริส
5. กระแสน้าอุ่นทาใหน้ ้าระเหยเป็นไอน้าแลว้ ควบแน่นตกลงมา
เป็นฝน อากาศช้ืน
เครอื่ งวัดความเคม็ Salinity
Refractometer
กระแสนา้ ในมหาสมุทร
มีดว้ ยกนั 2 ประเภท
กระแสนา้ บริเวณพืน้ ผวิ กระแสนา้ ลกึ
(Surface currents) (Deep currents)
การไหลเวยี นของกระแสนา้ พืน้ ผวิ มหาสมุทร
กระแสน้าพ้นื ผวิ มหาสมุทรเกิดข้ึนเน่ืองจากแรงเสียดทานระหวา่ งอากาศ
กบั ผวิ น้า อากาศเคล่ือนที่ดว้ ยการพาความร้อน (Convection cells) ซ่ึง
สะสมพลงั งานมาจากแสงอาทิตย์ พลงั งานจากอากาศถา่ ยทอดลงสู่ผวิ น้า
อีกทีหน่ึง โดยกระแสลมพดั พาใหก้ ระแสน้าเคล่ือนที่ไปในทางเดียวกนั
การไหลเวยี นของกระแสนา้ พืน้ ผวิ มหาสมุทร
โลกมีสณั ฐานเป็นทรงกลมทาใหน้ ้าในมหาสมุทรมีอุณหภูมิแตกต่างกนั
พลงั งานจากดวงอาทิตยต์ กกระทบบริเวณศูนยส์ ูตรมากกวา่ ข้วั โลก น้าทะเลบริเวณ
เสน้ ศูนยส์ ูตรมีอุณหภูมิสูงจึงไหลไปทางข้วั โลก
น้าทะเลบริเวณข้วั โลกมีอุณหภูมิต่ากวา่ ไหลเขา้ มาแทนท่ี เน่ืองจากน้ามีคุณสมบตั ิใน
การเกบ็ ความร้อนไดด้ ีกวา่ พ้ืนดิน กล่าวคือ ใชเ้ วลาในการสะสมความร้อนและเยน็
ตวั ลงนานกวา่ พ้ืนดิน ดงั น้นั กระแสน้าพบพ้ืนผวิ มหาสมุทรจึงนาพาพลงั งานความ
ร้อนไปดว้ ยเป็นระยะทางไกล เกิดผลกระทบต่อภูมิอากาศและระบบนิเวศบนพ้ืนที่
ชายฝั่งเป็นอยา่ งยงิ่
กระแสน้าอุ่นทาใหน้ ้าระเหยเป็นไอน้าแลว้ ควบแน่นตกลงมาเป็นฝน อากาศช้ืน พืช
พรรณอุดมสมบูรณ์
กระแสน้าเยน็ ทาใหอ้ ากาศแหง้ จมตวั ลง เกิดภูมิอากาศแบบทะเลทราย
อิทธิพลของกระแสลมส่งผลกระทบต่อกระแสน้าในมหาสมุทรเพียงความลึก 1
กิโลเมตรเท่าน้นั นนั่ หมายถึง การไหลเวียนของกระแสน้าผวิ พ้ืนมีอิทธิพลต่อน้าใน
มหาสมุทรเพียงประมาณร้อยละ 10
การไหลเวยี นของกระแสนา้ พืน้ ผวิ มหาสมุทร
การไหลเวยี นของกระแสนา้ ลกึ ในมหาสมุทร
น้าทะเลในแตล่ ะส่วนของโลกมีความเคม็ ไม่เท่ากนั และมีความหนาแน่น
ไม่เท่ากนั น้าทะเลที่มีความหนาแน่นสูงจะไหลไปแทนที่น้าทะเลที่มีความ
หนาแน่นต่า การหมุนเวยี นของกระแสน้าลึกมีปัจจยั ที่สาคญั 2 ประการคือ
ความร้อน (Thermo) และเกลือ (Haline) เราเรียกการไหลเวยี นในลกั ษณะน้ี
วา่ "เทอร์โมแฮลีน" (Thermohaline)
การไหลเวยี นของกระแสนา้ ลกึ ในมหาสมุทร
การไหลเวยี นของกระแสนา้ ลกึ ในมหาสมุทร
วงจรการไหลเวียนของกระแสน้าลึกในมหาสมุทรมีชื่อเรียกว่า “แถบสายพาน
ยกั ษ”์ (Great conveyor belt) น้าทะเลความหนาแน่นสูงอุณหภูมิต่าจมตวั ลงสู่ทอ้ ง
มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไหลลึกลงทางใต้ แลว้ เล้ียวไปทางตะวนั ออก ขณะท่ี
มนั ไหลผา่ นมหาสมุทรอินเดียอุณหภูมิจะสูงข้ึน และลอยตวั ข้ึนทางตอนเหนือของ
มหาสมุทรแปซิฟิ ก
น้าทะเลความหนาแน่นต่าอุณหภูมิสูงจากมหาสมุทรแปซิฟิ ก ไหลวกกลบั ผ่าน
มหาสมุทรอินเดียลงมาทางมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ แล้วไหลยอ้ นมาทาง
มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ กระแสน้ามีความเค็มมากข้ึนเน่ืองจากการระเหย
ของน้า ประกอบกบั การเดินทางเขา้ ใกลข้ ้วั โลกทาใหอ้ ุณหภูมิต่าลง จึงจมตวั ลงอีก
คร้ังเป็ นการครบวงจรใชเ้ วลาประมาณ 500 –2,000 ปี การไหลเวียนเช่นน้ีส่งผล
กระทบต่อสภาพภูมิอากาศในระยะยาว อาทิเช่น ยุคน้าแข็งเล็ก ในยุโรปเม่ือ
คริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 อิทธิพลของการไหลเวียนแบบเทอร์โมแฮลีนมีอิทธิพลต่อน้า
ในมหาสมุทรประมาณร้อยละ 90
สภาวะปกติ
โดยปกติบริเวณเส้นศูนยส์ ูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิ ก ลมสินคา้ ตะวนั ออก
(Eastery trade winds) จะพดั จากประเทศเปรูชายฝั่งทวปี อเมริกาใต้ ไปทาง
ตะวนั ตกของมหาสมุทรแปซิฟิ ก แลว้ ยกตวั ข้ึนบริเวณประเทศอินโดนีเซีย ทาใหม้ ี
ฝนตกมากในเอเซียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ กระแสลม
สินคา้ พดั ใหก้ ระแสน้าอุน่ บนพ้นื ผวิ มหาสมุทรแปซิฟิ กไปกองรวมกนั ทางทิศ
ตะวนั ตก จนมีระดบั สูงกวา่ ระดบั น้าทะเลปกติประมาณ 60 – 70 เซนติเมตร แลว้
จมตวั ลง กระแสน้าเยน็ ใตม้ หาสมุทรซีกเบ้ืองลา่ งไหลเขา้ มาแทนที่กระแสน้าอุน่
พ้นื ผวิ ซีกตะวนั ออก นาพาธาตุอาหารจากกน้ มหาสมุทรข้ึนมาทาใหป้ ลาชุกชุม
สภาวะเอลนีโญ
เมื่อเกิดเอลนีโญ กระแสลมสินคา้ ตะวนั ออกอ่อนกาลงั กระแสลมพื้นผิวจึงเปลี่ยนทิศทาง
พดั จากประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียตอนเหนือไปทางทิศตะวนั ออก แลว้ ยกตวั ข้ึน
เหนือชายฝ่ังทวีปอเมริกาใต้ ทาให้เกิดฝนตกหนักและแผ่นดินถล่มในประเทศเปรูและ
เอกวาดอร์ กระแสลมพดั กระแสน้าอุ่นบนพ้ืนผิวมหาสมุทรแปซิฟิ กไปกองรวมกนั บริเวณ
ชายฝั่งประเทศเปรู ทาใหก้ ระแสน้าเยน็ ใตม้ หาสมุทรไม่สามารถลอยตวั ข้ึนมาได้ และทาให้
ฝนตกหนักในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้แต่ก็ทาใหเ้ กิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้และออสเตรเลยี ตอนเหนือ ไฟไหมป้ ่ าอยา่ งรุนแรงในประเทศอินโดนีเซียในบางปี
สภาวะลานีญา
ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ท่ีมีลกั ษณะตรงขา้ มกบั เอลนีโญ คือมีลกั ษณะคลา้ ยคลึง
กบั สภาวะปกติแตร่ ุนแรงกวา่ กล่าวคือ กระแสลมสินค้าตะวนั ออก ทพี่ ดั ไปทางทศิ
ตะวนั ออกมีกาลงั แรงทาใหร้ ะดบั นา้ ทะเลบริเวณทางซีกตะวนั ตกของมหาสมุทร
แปซิฟิ กสูงกว่าสภาวะปกติ ลมคา้ ยกตวั เหนือประเทศอินโดนีเซียทาใหเ้ กิดฝนตก
อยา่ งหนกั แต่ที่บริเวณชายฝ่ังประเทศเปรูน้าเยน็ ใตม้ หาสมุทรยกตวั ข้ึนแทนท่ี
กระแสน้าอุ่นบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิ กทางซีกตะวนั ออก ทาใหเ้ กิดธาตุ
อาหารและฝงู ปลาชุกชุม
สรุป เกิดฝนตกหนักในตอนเหนือของทวปี อเมริกาใต้
และเกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
เอลนีโญ
ลานีญา เกิดความแหง้ แลง้ ทางตอนเหนือของทวปี อเมริกา
ใตแ้ ละเกิดฝนตกหนกั ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้