สรุป
นโยบายการเงิน
นโยบายการคลัง
วิชาเศรษฐศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผู้สอน นางสาวชนิดา ผาอินทร์
ตลาดการเงิน
"ตลาดการเงิน" คือ อะไร
ตลาดการเงิน (Financial Market)
= แหล่งกลางที่อำนวยความสะดวกในการระดมเงินจาก ผู้ออม ไปยัง ผู้ลงทุน
ประเภทของตลาดการเงิน
1.ตลาดเงิน (Money Market) 2.ตลาดทุน(Capital Market)
= ระดมเงินทุน + ให้สินเชื่อ = ระดมเงินทุน + ให้สินเชื่อ
ระยะ สั้น (ไม่เกิน 1 ปี) ระยะ ยาว (เกิน 1 ปี)
Ex. - การกู้ยืมระยะสั้นของธนาคาร Ex. - การระดมเงินฝากประจำ
- พาณิชย์ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ของธนาคาร
ตลาดทุน แบ่งได้ - การซื้อ-ขายหุ้นของตลาด
หลักทรัพย์
2.1 ตลาดหลักทรัพย์
= เป็นช่องทางการระดมทุนของภาคธุรกิจผ่านการออกจำหน่ายหุ้นสามัญ
โดยผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าของ
2.2 ตลาดตราสารหนี้
= ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ โดยตราสารที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนมีทั้งพันธบัตร
รัฐบาลที่ภาครัฐเป็นผู้ออก และหุ้นกู้ระยะยาวที่ภาคเอกชนเป็นผู้ออก
เงินออม
ตลาดเงิน
การลงทุน
สถาบันการเงิน
"สถาบันการเงิน" คือ อะไร
= หน่วยธุรกิจที่ประกอบธุรกิจด้านการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่าง
ผู้ออม และ ผู้ลงทุน รวมถึงให้บริการต่าง ๆ ทางการเงิน
ประเภทของสถาบันการเงิน
1) สถาบันการเงินที่เป็นธนาคาร 2) สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
1.1) ธนาคารกลาง
1.2) ธนาคารพาณิชย์
1.2) ธนาคารเฉพาะกิจ
1.สถาบันการเงินที่เป็นธนาคาร
1.1) ธนาคารกลาง/ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เป็นองค์กรอิสระของรัฐที่ไม่แสวงหาผลกำไร
ไม่ใช่ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ
อยู่ภายในการดูแลของกระทรวงการคลัง
มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ออกธนบัตรใหม่
เป็นนายธนาคารของรัฐบาล + และธนาคารพาณิชย์
ควบคุมนโยบาย การเงิน
1.2) ธนาคารพาณิชย์
เป็นธนาคารเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.
รับฝาก + ให้กู้ยืมแก่ประชาชน
ให้บริการทางการเงิน Ex. การชำระเงิน โอนเงิน
1.3) ธนาคารเฉพาะกิจ
เป็นธนาคารที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ทางการเงินเฉพาะด้าน
ส่งเสริมการออมของประชาชน ช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร
เร่งระดมเงินออม
ช่วยเหลือทางการเงิน ให้บริการทางการเงิน
แก่ประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย ตามหลักศาสนาอิสลาม
2.สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ตลาดหลักทรัพย์ : ซื้อขายหุ้น บริษัทเงินทุน
บริษัทประกันชีวิตและประกันภัย โรงรับจำนำ
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ทำหน้าที่ ระดมเงินออม + ให้กู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
นโยบายการเงิน P.1
นโยบายการเงิน = นโยบายที่ ธนาคารกลาง ใช้เพื่อดูแล
ปริมาณเงิน ในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ใน
(Financial Policy) ระดับที่เหมาะสม รักษาเสถียรภาพ
ทางการเงินของประเทศ
ประเภทของนโยบายการเงิน
นโยบายการเงินแบบเข้มงวด นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ปริมาณเงินมาก ปริมาณเงินน้อย
ใช้จ่ายมาก ใช้จ่ายน้อย
GDP มาก GDP น้อย
ลูกโป่งตึงมาก ลูกโป่งแฟบ
ใช้เพื่อ ลดปริมาณเงิน ในระบบ ใช้เพื่อ เพิ่มปริมาณเงิน ในระบบ
ลักษณะของนโยบายการเงิน
นโยบายการเงินแบบเข้มงวด
มีการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทางการเงินเพื่อทำให้ปริมาณเงินมีขนาดเล็กลง
ใช้กับระบบเศรษฐกิจที่มีปัญหาต่างๆ เช่น ภาวะราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้
ประชาชนมีการใช้จ่ายมากกว่าความสามารถในการผลิตของระบบเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินแบบเข้มงวดนั้นจะมีส่วน ช่วยลดความร้อนแรงในระบบ
เศรษฐกิจ
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
เป็นลักษณะของนโยบายการเงินที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการฟื้นตัว
โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ทางการเงิน เพื่อทำให้ปริมาณเงินมีขนาดใหญ่ขึ้น
มักใช้ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งมีการลงทุน การผลิตและการใช้จ่ายของ
ประชาชนอยู่ในระดับต่ำ
นโยบายการเงิน P.2
เครื่องมือของนโยบายการเงิน
1) การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
2) การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล
3) การกำหนดอัตราเงินสดสำรอง
4) การกำหนดอัตรารับช่วงซื้อลด
1) การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยเงินฝาก
ดอกเบี้ยเงินกู้ ฝากเงิน
ปล่อยกู้
2) การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล ดอก+เบี้ย
พันธบัตรรัฐบาล
= ตราสารหนี้ระยะยาว ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง
เพื่อให้รัฐบาลได้กู้เงินจากประชาชนไปใช้ประโยชน์
ขายพันธบัตร
ซื้อคืนพันธบัตร
3) การกำหนดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย
เงินฝากของประชาชน 20% เงินสดสำรองตามกฎหมาย
80% เงินสดสำรองส่วนเกิน
ปล่อยกู้
4) การกำหนดอัตรารับช่วงซื้อลด
ปล่อยกู้ ชำระค่าสินค้า
ตัวอย่าง นาย A ทำสัญญาซื้อขายสินค้ามูลค่า 100,000 บาท จากนาย B
นาย A ไม่สามารถชำระเป็นเงินสดได้ จึงกู้ยืมเงินจากธนาคาร
ธนาคารออก ตั๋วสัญญาใช้เงิน มูลค่า 100,000 บาท ดอกเบี้ย 10%
ครบกำหนดรับเงินในอีก 3 เดือนข้างหน้า
นาย A นำตั๋วสัญญาใช้เงินจ่ายแทนเงินสดให้กับนาย B และรับสินค้า
กรณีที่ 1 : นาย B รอจนครบกำหนด 3 เดือนจึงไปขึ้นเงิน
ดอจกากเบนี้ยาย10A%
นาย B จะได้เงิน 100,000 + (100,000 x 10%) = 110,000 บาท
กรณีที่ 2 : นาย B ไปขึ้นเงินก่อนครบกำหนด 3 เดือน โดยขายลดตั๋วสัญญาใช้
เงินให้กับธนาคาร
นาย B ขายลด/
ธนาคารซื้อลด
หัก 1
0%
สมมติ อัตรรับช่วงซื้อลด 10% (100,000 x 10%) = 10,000
นาย B จะได้เงินกลับไปเพียง 90,000 บาท (โดนหักเงินและไ่ม่ได้ดอกเบี้ย)
นโยบายการคลัง P.1
นโยบายการคลัง = นโยบายที่ รัฐบาล และ กระทรวงการคลัง
ใช้เพื่อดูแลบริหาร รายรับ-รายจ่าย ของ
(Fiscal Policy) รัฐบาล และจัดทำ งบประมาณแผ่นดิน
งบประมาณแผ่นดิน
= แผนการเงินของรัฐบาล ในการจัดหาเงินเพื่อให้ใช้จ่ายได้ใน 1 ปี ตามที่
ได้ประมาณการไว้ ซึ่งประกอบด้วยประมาณการด้าน รายได้ และ รายจ่าย
ปีงบประมาณแผ่นดินของไทยของปีใด ๆ
เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. ของปีก่อนหน้า - 30 ก.ย. ของปีนั้น ๆ
Ex. งบประมาณแผ่นดินปี 2565 เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2564 - 30 ก.ย. 2565
การจัดทำงบปรัมาณแผ่นดินมี 3 แบบ
รายได้ > รายจ่าย งบประมาณ เกินดุล
รายได้ < รายจ่าย งบประมาณ ขาดดุล
รายได้ = รายจ่าย งบประมาณ สมดุล
ประเภทของนโยบายการคลัง
นโยบายการคลังแบบหดตัว นโยบายการคลังแบบขยายตัว
ใช้เพื่อ เพิ่ม รายได้ ใช้เพื่อ ลด รายได้
และ ลด รายจ่าย และ เพิ่ม รายจ่าย
• การที่รัฐบาลมีการใช้จ่ายของ • เป็นการใช้มาตรการ
รัฐบาลลดลง และมีการเรียกเก็บ เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล
ภาษีเพิ่มข้ึน และการลดภาษีของรัฐบาล
• การใช้จ่ายรวมของประชากรใน • สามารถใช้เพื่อแก้ปัญหา
ประเทศลดต่ำลง เศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ หรือ
• ส่งผลให้รายได้ประชาติลดลงด้วย เศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหา
• ดังนั้นนโยบายในลักษณะนี้จึงเห เงินฝืดได้
มาะกบัการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
นโยบายการคลัง P.2
เครื่องมือของนโยบายการคลัง
1) การจัดหารายได้ของรัฐบาล รายรับ
2) การก่อหนี้สาธารณะ รายจ่าย
3) การบริหารเงินคงคลัง
4) การใช้จ่ายของรัฐบาล
1) การจัดหารายได้ของรัฐบาล ประกอบด้วย
1.1) รายได้จากภาษีอากร ถือเป็นรายได้หลัก
ภาษีทางตรง ภาษีทางอ้อม
= ภาษีที่ภาระภาษีตกแก่บุคคล = ภาษีที่สามารถผลักภาษีไป
ที่กฎหมายกำหนด ให้กับบุคคลอื่นได้
Ex. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, Ex. ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษี
ภาษีเงินได้นิติบุคคล สรรพสามิต, ภาษีศุลกากร
หน่วยงานที่จัดเก็บภาษี
- กรมสรรพากร จัดเก็บภาษี เงินได้ , ภาษี มูลค่าเพิ่ม(VAT)
- กรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษี สรรพสามิต
จากสินค้าฟุ่มเฟือย Ex. สุรา บุหรี่ น้ำหอม
- กรมศุลกากร จัดเก็บภาษี ศุลกากร จากสินค้านำเข้า-ส่งออก
1.2) รายได้จากการขายสิ่งของ และบริการ
Ex. ค่าขายหนังสือราชการ, ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
1.3) รายได้จากรัฐพาณิชย์
Ex. ผลกำไรจากธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ
1.4) รายได้อื่น ๆ
Ex. ค่าปรับ
2) การก่อหนี้สาธารณะ
หนี้สาธรณะ = การกู้ยืมเงินของรัฐบาลเพื่อนำมาชดเชยงบประมาณ ขาดดุล
แหล่งเงินกู้
ภายในประเทศ = ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน,
ธนาคารพาณิชย์, พันธบัตรรัฐบาล
ต่างประเทศ = ธนาคารโลก(IBPD), กองทุนการเงิน,
ระหว่างประเทศ(IMF)
3) การบริหารเงินคงคลัง
เงินคงคลัง = เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่งถูกเก็บสะสมไว้
เสมือนเป็นเงินออมของประเทศ
ใช้งบประมาณเกินดุล เงินคงคลัง เพิ่มขึ้น
ใช้งบประมาณขาดดุล เงินคงคลัง ลดลง
4) การใช้จ่ายของรัฐบาล
การใช้จ่ายเงินงบประมาณ
= การใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา
Ex. การจัดการศึกษา การสร้างสาธารณูปโภค
การใช้จ่ายเงินนอกประมาณ
= การใช้จ่ายเงินที่ส่วนราชการได้รับ และมีกฎหมายให้ใช้ได้ตาม
วัตถุประสงค์
Ex. การใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสถานศึกษา
เงินเฟ้อ
= ภาวะที่ราคาของสินค้า + บริการทั่วไป เงินเฟ้อ
สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณเงิน
ในระบบเศรษฐกิจมี มากเกินไป (Inflation)
มีจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ซื้อสินค้าได้น้อยลง
ระดับภาวะของเงินเฟ้อ 3 ระดับ
1) เงินเฟ้ออย่างอ่อน
- ระดับราคาสูงขึ้นไม่เกิน 5% ต่อปี
- ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
- กระตุ้นการผลิต + การลงทุน เศรษฐกิจขยายตัว
2) เงินเฟ้อปานกลาง
- ระดับราคาสูง 5-20% ต่อปี
- สินค้า + บริการ ราคาสูงมาก
ค่าครองชีพสูงขึ้น ประชาชนเดือนร้อน
3) เงินเฟ้อรุนแรง
- ระดับราคาสูงกว่า 20% ต่อปี
- สินค้า + บริการ ราคาสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
ประชาชนเดือนร้อนอย่างรุนแรง
สาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ
อุปสงค์ > อุปทาน
Ex. ผู้ผลิตใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างเต็มที่จนไม่สามารถผลิตเพิ่มได้
ราคาสินค้า + บริการสูงขึ้น
ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
Ex. ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตลดการผลิต ทำให้สินค้าขาดตลาด
ราคาสินค้า + บริการสูงขึ้น
ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ
- อำนาจซื้อ ลดลง
ประชาชนต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย
- ค่าครองชีพ สูงขึ้น
ความอยู่ดีกินดีของประชาชนลดลง
- หากเกิดเงินเฟ้อรุนแรง อาจทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถขายสินค้า จึงลด
การผลิตลง
การผลิต + การลงทุนของประเทศ ลดลง
แนวทางแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ
นโยบายการเงิน แบบ เข้มงวด
เพิ่ม อัตราดอกเบี้ย
เพิ่ม การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล
เพิ่ม อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย
เพิ่ม อัตราเงินรับช่วงซื้อลด
นโยบายการคลัง แบบ หดตัว
เพิ่ม การเก็บภาษี
ลด การก่อหนี้สาธารณะ
ลด การใช่จ่ายของรัฐบาล
ใช้งบประมาณแผ่นดิน แบบ เกินดุล
เงินฝืด
= ภาวะที่ราคาของสินค้า + บริการทั่วไป เงินฝืด
ลดลง อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ปริมาณเงิน
ในระบบเศรษฐกิจมี น้อยเกินไป (Deflation)
มีจำนวนเงินเท่าเดิม จะซื้อสินค้าได้มากขึ้น
แต่ประชาชนก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อ
ระดับภาวะของเงินฝืด 3 ระดับ
1) เงินฝืดอย่างอ่อน
- ระดับราคาลดลงไม่เกิน 5% ต่อปี
- กระตุ้นประชาชนซื้อสินค้า + บริการที่ราคาลดลง
เศรษฐกิจขยายตัว
2) เงินฝืดปานกลาง
- ระดับราคาลดลง 5-20% ต่อปี
- ประชาชนไม่มีเงินซื้อสินค้า + บริการ
ผู้ผลิตขายไม่ได้ จึงลดการผลิตลง
3) เงินฝืดรุนแรง
- ระดับราคาลดลงกว่า 20% ต่อปี
- สินค้า + บริการ ลดลงมากอย่างรวดเร็ว
- การผลิตหยุดชะงัก เกิดการว่างงาน
สาเหตุของภาวะเงินฝืด
1.พิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ น้อยเกินไป จึงไม่เพียงพอกับความต้องการ
2.สถาบันการเงิน ลด/ชะลอ การปล่อยสินเชื่อ
3.ขาดดุล การค้าต่อเนื่องยาวนาน สูญเสียเงินตราให้กับต่าง
ประเทศ
ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ
- อำนาจซื้อของเงิน เพิ่มขึ้น แต่ประชาชนไม่มีเงินเพียงพอ
ในการซื้อสินค้า + บริการ
- การผลิต + การลงทุน ลดลง เพราะผู้ผลิตขายสินค้า + บริการไม่ได้
- เกิดปัญหา การว่างงาน ประชาชนมีรายได้น้อยลง
เศรษฐกิจซบเซา
แนวทางแก้ไขภาวะเงินฝืด
นโยบายการเงิน แบบผ่อนคลาย
ลด อัตราดอกเบี้ย
ลด การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล
ลด อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย
ลด อัตราเงินรับช่วงซื้อลด
นโยบายการคลัง แบบ ขยายตัว
ลด การเก็บภาษี
เพิ่ม การก่อหนี้สาธารณะ
เพิ่ม การใช่จ่ายของรัฐบาล
ใช้งบประมาณแผ่นดิน แบบ ขาดดุล