1
หนงั สอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม
รายวิชาศิลาจารึกศกึ ษาและการเขียนลายสือไทย รหสั สค33048
ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย
หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสวรรคโลก
สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวัดสุโขทัย
สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย
2
คานา
ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอสวรรคโลก ไดจ้ ัดทาหนังสือเรียนรายวชิ า
ศิลาจารึกศึกษาและการเขียนลายสอื ไทย ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย เปน็ รายวิชาเลอื ก จานวน 3 หนว่ ยกติ
หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขั้นฐานพทุ ธศักราช 2551 สาหรับนักศึกษาได้ใช้ประกอบการเรยี นขน้ึ
ซึง่ มรี ายละเอยี ดเกย่ี วกบั เน้อื หา และกิจกรรมการเรียนรู้ สาหรับใหน้ ักศึกษาได้ทากจิ กรรม หรอื แบบฝึกปฏบิ ัติท่ี
กาหนดให้ครบถ้วน จะทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถตามผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวงั ของหลกั สูตร
คณะผ้จู ดั ทาหวังเป็นอยา่ งยง่ิ ว่าหนงั สอื ฉบบั น้ี จะเปน็ ประโยชน์ต่อนักศึกษา ครู และผูส้ นใจ ในการเรียนตาม
หลักสูตรการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ท้ังนข้ี อขอบคณุ ผู้มีสว่ นรว่ มจัดทาหนังสือ
เรยี นฉบบั นีใ้ หส้ าเรจ็ ดว้ ยดีไวใ้ นโอกาสนดี้ ้วย
ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอสวรรคโลก
สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จังหวดั สุโขทยั
สารบัญ 3
คานา หนา้
คาแนะนาในการใช้หนงั สอื เรยี น
แบบทดสอบก่อนเรยี น 2
บทที่ 1 ความเป็นมาของศิลาจารกึ 7
13
เรอื่ งท่ี 1 ประวตั ิความเป็นมาของศลิ าจารึกในประเทศไทย 14
เรอ่ื งที่ 2 รปู ทรงจารึกและวธิ บี ันทึกลายลกั ษณ์อักษรลงในจารึก 19
39
การอ่านแปลและศึกษาขอ้ มูลจารึก 44
เร่อื งที่ 3 วตั ถปุ ระสงค์ ประโยชน์ในการศึกษาจารึก 47
เร่ืองที่ 4 คุณคา่ ของหลักศิลาจารกึ 50
บทที่ 2 ประวัตแิ ละคาแปลของหลักศลิ าจารึก 63
ประวตั คิ วามเปน็ มาและการแปลความจารึกท้ัง 6 หลกั 72
บทท่ี 3 การเขยี นลายสือไทย 73
เรอ่ื งที่ 1 พยญั ชนะลายสอื ไทย
เรือ่ งที่ 2 สระและวรรณยกุ ตล์ ายสือไทย
เรื่องที่ 3 ตวั เลขลายสอื ไทย
บทท่ี 4 หลักเกณฑ์การเขียนคาลายสอื ไทย
เรอ่ื งที่ 1 หลกั เกณฑ์การเขยี นลายสือไทย
เรื่องท่ี 2 การประสมคาลายสอื ไทย
แบบทดสอบหลังเรยี น
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน
บรรณานุกรม
คณะผ้จู ัดทา
4
คาแนะนาการใชห้ นงั สือเรยี น
รายวิชา ศิลาจารึกศึกษาและการเขียนลายสอื ไทย รหัส สค33048
หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาเลือกศิลาจารึกศึกษาและการเขียนลายสือไทย (รหัส สค33048)
เป็นหนังสอื เรยี นที่จัดทาขน้ึ สาหรบั ผู้เรียนนอกระบบ รายละเอียดดงั นี้
1. หนงั สือเรียนน้มี ี 4 บท
บทท่ี 1 ความเปน็ มาของศิลาจารึก
เรื่องท่ี 1 ประวตั ิความเป็นมาของศลิ าจารกึ ในประเทศไทย
เร่อื งท่ี 2 รปู ทรงจารึกและวิธีบนั ทกึ ลายลักษณ์อักษรลงในจารึกการอ่านแปลและศึกษาข้อมลู จารึก
เรอ่ื งท่ี 3 วตั ถปุ ระสงค์ ประโยชน์ในการศึกษาจารึก
เรอ่ื งท่ี 4 คณุ คา่ ของหลักศิลาจารกึ
บทที่ 2 ประวตั แิ ละคาแปลของหลักศิลาจารกึ
ประวัติความเป็นมาและการแปลความจารกึ ท้ัง 6 หลัก
บทท่ี 3 การเขียนลายสอื ไทย
เรอ่ื งท่ี 1 พยัญชนะลายสอื ไทย
เรอ่ื งที่ 2 สระและวรรณยุกตล์ ายสือไทย
เรอ่ื งที่ 3 ตวั เลขลายสือไทย
บทท่ี 4 หลักเกณฑก์ ารเขียนคาลายสือไทย
เรื่องท่ี 1 หลักเกณฑ์การเขียนลายสอื ไทย
เรอื่ งท่ี 2 การประสมคาลายสือไทย
2. ระยะเวลาในการศกึ ษา จานวน 120 ชว่ั โมง จานวน 3 หนว่ ยกิต
3. วธิ กี ารศึกษา
3.1 ทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่อื ตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจในรายวชิ านเ้ี พยี งใด
3.2 ศึกษาหนังสือเรียนทีละบท ทกุ เรอ่ื ง และทากจิ กรรมทา้ ยบท ให้ครบถ้วนทุก
กจิ กรรมหรอื แบบฝึก
3.3 ทาแบบทดสอบหลงั เรียนอีกครง้ั และตรวจให้คะแนนตามเฉลยท้ายเล่มและนาคะแนนทไ่ี ดม้ า
เปรยี บเทยี บกับคะแนนก่อนเรยี น ว่าเพมิ่ ขนึ้ หรอื ไมห่ ากน้อยกวา่ เดิมให้กลบั ไปศกึ ษาทบทวน
บทเรียนอกี ครง้ั หากไดค้ ะแนนเพมิ่ ขึ้นจากก่อนเรียน แต่ยังไม่พอใจระดบั คะแนนให้กลับไป
ทบทวนบางบทเรียนทไี่ ม่เข้าใจเพม่ิ เติม จะช่วยให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจตามผลการเรยี นรู้
ที่คาดหวงั
4. นอกจากศึกษาจากหนังสือเรียนนี้แล้วนักศึกษาควรหาความรู้เพ่ิมเติมจากแหล่งการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น ห้องสมุด
ประชาชน กศน.ตาบล เวป๊ ไซตท์ ่ีเกยี่ วข้องกับศลิ าจารกึ และการเขียนลายสือไทย
5
โครงสรา้ งหนงั สือเรียนวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสังคม
รายวิชา ศลิ าจารกึ ศกึ ษาและการเขยี นลายสือไทย รหสั สค33048
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐานท่ี 5.1 มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสาคัญเก่ียวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใช้ในการดารงชีวิต
สาระสาคัญ
ศลิ าจารึกศึกษาและการเขียนลายสือไทย เป็นวิชาท่วี ่าด้วยการศึกษาความเป็นมาของหลักศลิ าจารกึ ที่สาคญั ๆ
ที่พบในสุโขทัย ประวตั ิศาสตร์สุโขทัย แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับหลักศิลาจารึก สามารถอ่านเขียนประสมคาลายสือไทย
ตามหลักการประสมคาลายสือไทย เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาษาไทยปัจจุบันกับลายสือไทย ฟื้นฟู อนุรักษ์
อักษรลายสือไทยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ตลอดจนมีการสืบทอดมิให้ เส่ือมสูญไป และให้คนไทยเกิดความ
ภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่า ที่ชาติไทยมีอักษรไทยหรืออักษรลายสือไทยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชท่ีทรงคิด
ประดิษฐ์ข้ึนเองเปน็ อักษรประจาชาติ
ผลการเรยี นร้ทู คี่ าดหวงั
1. อธบิ ายความเป็นมาของหลักศิลาจารกึ ท่ีสาคัญ ๆ ทพี่ บในสุโขทยั และประวัติศาสตร์สโุ ขทยั และ
สามารถคิดวเิ คราะห์ แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับหลกั ศลิ าจารกึ
2. ผูเ้ รยี นได้ศึกษาเกี่ยวกับศิลาจารึกและทราบความหมายของศลิ าจารกึ มรดกแห่งความทรงจาของโลกและ
สามารถอา่ น เขยี น ประสมคาลายสอื ไทยตามหลักการประสมคาลายสือไทย จากศิลาจารกึ หลกั ที่ 1 พอ่ ขนุ รามคาแหงได้
3. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาษาไทยปัจจุบนั กับลายสือไทยได้
4. ฟนื้ ฟู อนรุ ักษ์อักษรลายสือไทยของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ตลอดจนมกี ารสืบทอดมิให้ เสอ่ื มสูญไปและให้
คนไทยเกิดความภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่า ท่ีชาติไทยมีอกั ษรไทยหรือ อักษรลายสอื ไทยของพ่อขนุ รามคาแหง
มหาราชทท่ี รงคิดประดิษฐ์ขน้ึ เองเป็นอักษรประจาชาติ
6
ขอบขา่ ยเนอื้ หา
หนังสอื เรียนรายวิชา ศลิ าจารกึ ศึกษาและการเขียนลายสือไทย รหสั สค33048 มี 4 บท ดงั น้ี
บทท่ี 1 ความเปน็ มาของศิลาจารกึ
เร่ืองที่ 1 ประวัติความเปน็ มาของศลิ าจารกึ ในประเทศไทย
เรื่องที่ 2 รปู ทรงจารึกและวธิ ีบันทึกลายลกั ษณ์อกั ษรลงในจารกึ การอา่ นแปลและศึกษาข้อมลู จารึก
เรอื่ งที่ 3 วตั ถุประสงค์ ประโยชน์ในการศึกษาจารึก
เรอื่ งที่ 4 คุณค่าของหลกั ศิลาจารกึ
บทที่ 2 ประวัติและคาแปลของหลกั ศลิ าจารกึ
ประวัติความเป็นมาและการแปลความจารกึ ท้ัง 6 หลัก
บทท่ี 3 การเขยี นลายสอื ไทย
เรอ่ื งที่ 1 พยัญชนะลายสอื ไทย
เรอื่ งที่ 2 สระและวรรณยกุ ต์ลายสือไทย
เร่อื งท่ี 3 ตัวเลขลายสือไทย
บทท่ี 4 หลกั เกณฑ์การเขยี นคาลายสอื ไทย
เร่อื งท่ี 1 หลกั เกณฑ์การเขยี นลายสอื ไทย
เรอ่ื งที่ 2 การประสมคาลายสือไทย
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น
2. ศึกษาหนังสือเรียนแต่ละบท
3. ทากิจกรรมทา้ ยบท
4. ตรวจสอบแบบทดสอบตามเฉลยท้ายเลม่
5. จดั กลุม่ อภิปรายในเนื้อหาท่ีเกี่ยวข้อง
6. จดั ทาโครงการนิทรรศการฐานความรู้
7. ศึกษาจากเอกสารและสอื่ ทุกประเภททเ่ี กี่ยวข้อง อาทิเชน่ ห้องสมดุ ประชาชน กศน.ตาบลและ เวบ๊ ไซตท์ ี่
เกี่ยวกบั ศิลาจารึกและการเขียนลายสอื ไทย
7
แบบทดสอบก่อนเรยี น
จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ตอ้ งทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดียว
1. ใครเปน็ ผู้ประดิษฐ์อักษรลายสอื ไทย
ก. พอ่ ขนุ บานเมือง ข. พอ่ ขุนศรีอินทราทติ ย์
ค. พ่อขนุ บางกลางหาว ง. พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช
2. ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1 พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช มีการจารึกไวก้ ่ดี ้าน
ก. 1 ดา้ น ข. 2 ด้าน ค. 3 ดา้ น ง. 4 ดา้ น
3. ตวั อักษรท่ีพบในศลิ าจารึกหลกั ที่ 1 คือข้อใด
ก. อกั ษรขอมหวดั ข. อักษรพราหมณ์ ค. อกั ษรขอมโบราณ ง. อักษรพ่อขุนรามคาแหง
4. ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 1 พ่อขุนรามคาแหงมหาราชพบท่ีใด
ก. วัดมหาธาตุ เมอื งเกา่ ข. เนนิ ปราสาท ตาบลเมอื งเกา่
ค. พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติพระนคร ง. พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติรามคาแหง เมืองเกา่
5. ข้อใดเป็นท่ีมาของพระนาม "พระรามคาแหง"
ก. ไพร่ฟ้าหน้าใส พ่อกหู นีญญ่ายพายจแจน้ ข. ตนกพู งุ่ ชา้ งขุนสามชน ดว้ ยชอื่ มาสเมืองแพ้
ค. ขนุ สามชนเจา้ เมืองฉอดมาท่เมืองตาก ง. กูข่ีช้างเบกพลขับเขา้ กอ่ นพอ่ กู
6. ขอ้ ใดมิใช่ลกั ษณะอักษรสมัยของพ่อขุนรามคาแหง
ก. ทไี่ มม่ ีตวั สะกดตาม ใช้ วว เช่น ตวว อา่ นวา่ ตวั
ข. มีการใช้วรรณยุกต์ 4 รูป คอื ไม้เอก ไมโ้ ท ไม้ตรี ไม้จัตวา
ค. สระอะ เม่ือมีตัวสะกดให้ใชพ้ ยญั ชนะซ้อนกัน เช่น น่งง (น่ัง), ขบบ (ขับ)
ง. ตัว ม ทใี่ ช้เปน็ ตัวสะกดให้ใชน้ ฤคหิตแทน เชน่ กล (กลม)
7. พ่ีกตู ายจงึ ได้เมืองแกก่ ทู ้ังกลม "ทงั้ กลม" แปลว่าอะไร
ก. ทัง้ สน้ิ ทัง้ หมด ข. ทุกอย่าง ค. หมดความสาคัญ ง. ทุกกรมกอง
8. พยัญชนะลายสือไทยจากศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1 พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชข้อใดอา่ นวา่ “ก”
ก. ข. ค. ง.
9. ขอ้ ใดอ่านวา่ “ศลิ าจารึก”
ก ข.
ข. ง.
10. “ ” อ่านว่าอย่างไร ข. ไพร่ฟา้ หน้าใส
ก. ใครใครค่ า้ ม้าคา้ ง. ในนามีข้าว
ค. ในน้ามปี ลา
1
บทที่ 1
ความเป็นมาของศิลาจารกึ
สาระสาคญั
ความเป็นมาของศิลาจารึกที่สาคัญ ๆ ที่พบในสุโขทัย ลักษณะต่าง ๆ อาทิเช่น รูปทรงจารึก วิธีบันทึกลาย
ลกั ษณ์อักษรลงในจารึก จารึกที่พบในประเทศไทย ประวัติการศึกษาจารึกในประเทศไทย วัตถปุ ระสงค์ในการสร้างจารึก
การอา่ น แปลและศกึ ษาขอ้ มลู จารกึ ประโยชน์ของการศึกษาจารกึ คณุ ค่าของหลักศิลาจารกึ
ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั
1. ผู้เรียนสามารถอธิบายประวตั ิความเปน็ มาของศลิ าจารกึ ในประเทศไทย
2. ผเู้ รยี นสามารถบอกรปู ทรงจารกึ วธิ ีบันทกึ ลายลกั ษณ์อักษรลงในจารึก การอา่ นแปลและศกึ ษาขอ้ มลู จารึก
3. ผเู้ รยี นสามารถบอกวัตถปุ ระสงค์ ประโยชนใ์ นการศึกษาจารึก
4. ผ้เู รยี นสามารถบอกคุณค่าของหลักศิลาจารกึ
ขอบข่ายเนอื้ หา
เรือ่ งท่ี 1 ประวัติความเป็นมาของศิลาจารึกในประเทศไทย
เรอื่ งที่ 2 รูปทรงจารึกและวิธีบันทกึ ลายลักษณ์อักษรลงในจารึก การอ่านแปลและศกึ ษาข้อมลู จารึก
เรื่องที่ 3 วัตถปุ ระสงค์ ประโยชน์ในการศึกษาจารึก
เรื่องที่ 4 คณุ คา่ ของหลักศิลาจารกึ
2
เรอื่ งท่ี 1 ประวัติความเป็นมาของศลิ าจารึกในประเทศไทย
อดตี กาลนานกว่า 2,500 ปีลว่ งมาแลว้ ประเทศอนิ เดียมีความเจริญทางอารยธรรมสูงยง่ิ อีกทั้งยงั ได้เผยแพร่
อารยธรรมสปู่ ระเทศขา้ งเคยี ง ทงั้ โดยทางทะเล และทางบก ผ้เู ผยแพร่อารยธรรมเหลา่ น้ัน สว่ นใหญ่จะเป็นพ่อคา้ วาณชิ
ซง่ึ เดนิ ทางไปมาคา้ ขายในท้องถน่ิ ตา่ งๆ เม่ือมาถงึ บา้ นเมอื งใด กห็ ยดุ พักอาศยั ปฏิบตั ิภารกิจของตนชว่ งระยะเวลาหน่ึง ใน
ระหว่างนน้ั กไ็ ดน้ าสง่ิ แปลกๆ ใหมๆ่ อันมีอยใู่ นประเทศของตน บอกเลา่ ถ่ายทอดสู่ชนพื้นเมอื งต่างๆ ในแตล่ ะท้องถิน่ นั้นๆ
ทาใหส้ ังคมในท้องถ่นิ มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปส่คู วามเจรญิ แบบอนิ เดีย
อารยธรรมอนิ เดยี ซ่ึงแพร่อทิ ธิพลไปสู่ประเทศใกล้เคียงดงั กล่าวแลว้ มีหลักฐาน ทั้งในทางโบราณคดี และ
ประวตั ศิ าสตร์ รับรองว่า บริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซ่งึ มปี ระเทศไทยรวมอยู่ด้วยนั้น เปน็ แหล่งที่อารยธรรมของ
อนิ เดยี เข้ามามีบทบาทแล้ว ต้งั แต่พทุ ธศตวรรษ ที่ 11 - 12 เป็นตน้ มา ซ่งึ ขณะน้ันอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์ปัลลวะของ
ประเทศอนิ เดยี ด้วยเหตุนี้รูปแบบอกั ษรอนิ เดียสมยั ราชวงศป์ ัลลวะ จึงไดแ้ พร่หลายทว่ั ไปในกล่มุ ประเทศต่างๆ
ตลอดภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ รปู แบบอักษรชนิดน้ีไดน้ ามตามช่อื ของราชวงศผ์ ้คู รอบครองอาณาจักรวา่ "รปู อักษร
ปลั ลวะ"
จารึกรนุ่ แรกในประเทศไทย เปน็ จารึกที่ไดร้ ับอิทธพิ ลรปู อักษรจากประเทศอนิ เดยี สมยั ราชวงศ์ปลั ลวะ
เชน่ เดยี วกัน ได้พบจารึกอักษรปัลลวะบันทกึ เรือ่ งราวตา่ งๆ มหี ลักธรรมในศาสนา ท้ังพระพทุ ธศาสนา และลัทธิศาสนา
พราหมณ์ เปน็ ตน้ ในพืน้ ที่ไมเ่ ฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แมใ้ น
ประเทศใกลเ้ คยี ง ไดแ้ ก่ ประเทศพมา่ กมั พูชา และมาเลเซีย เปน็ ต้น ก็ได้
พบเหน็ อักษรชนดิ นีด้ ว้ ย ย่อมแสดงวา่ ในดินแดนท้ัง 4 ประเทศ คือ ไทย
พมา่ กัมพชู า และมาเลเซยี มีหลกั ฐานเกีย่ วกบั รูปแบบอักษรปัลลวะอยู่
ร่วมกันเหมอื นกัน และถ้านาความสัมพนั ธท์ างด้านภูมิศาสตร์ หรอื ภมู ิ
สถาน ในสมยั โบราณเข้ามาพิจารณาร่วมดว้ ย อาจจะทาให้ได้หลักฐานอัน
นา่ สนใจศกึ ษาเพิ่มข้ึน
ศลิ าจารึกเกา่ ทสี่ ดุ พบในประเทศไทย เท่าท่มี หี ลกั ฐานทางศกั ราชปรากฏ
อยู่ดว้ ยคือ"จารกึ เขานอ้ ย" พบท่เี ขานอ้ ย อาเภออรัญประเทศ จังหวดั ปราจีนบรุ ี สรา้ ง
ขึน้ ในปพี ุทธศักราช 1180 ศลิ าจารกึ ชน้ิ น้เี ป็นหลกั ฐานเอกสารโบราณ ทบ่ี ง่ บอกถึง
วัฒนธรรมทางด้านการใช้รูปอักษร ท่ปี รากฏบนผืนแผน่ ดนิ ไทยครงั้ แรก และเปน็ ยคุ
เริ่มต้นสมยั ประวตั ศิ าสตร์ของไทยด้วย นับว่าเป็นชว่ งเวลาทีส่ อดคลอ้ งตรงกัน กบั หลักฐานทางด้านศลิ ปกรรมในประเทศไทย ซง่ึ รว่ มสมยั
กบั พุทธศิลปะสมยั ทวารวดี ศลิ ปกรรมสมัยแรกของประเทศไทย
3
กลมุ่ จารกึ ที่ใช้อกั ษรปลั ลวะ
ในประเทศไทยมีพบอยู่ทว่ั ไป ในบรเิ วณภาคใต้พบทจ่ี งั หวดั นครศรธี รรมราช และพังงา ในบรเิ วณภาคกลางพบที่
ลมุ่ แม่นา้ กลอง ลุ่มนา้ เจา้ พระยา และลุ่มน้าปา่ สกั ไดแ้ ก่ จงั หวัดราชบุรี สพุ รรณบุรี นครปฐม ลพบรุ ี ชยั นาท อทุ ัยธานี
สระบุรี และเพชรบรู ณ์ ในภาคตะวันออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือพบในบริเวณลุ่มน้าบางปะกง ลมุ่ นา้ มูล และลุ่มนา้
ชี ท่ีจังหวดั ปราจีนบุรี บุรีรมั ย์ และอบุ ลราชธานี
ในสมัยโบราณบริเวณอันเป็นทต่ี ง้ั ประเทศไทยปัจจบุ นั เปน็ ดินแดนท่มี ีกลุม่ ชนหลายเชื้อชาติอาศยั อยู่ จารกึ ท่คี น
พ้ืนเมืองทาขน้ึ ในสมัยหลงั ต่อมา จงึ เป็นจารกึ ท่ีใชร้ ูปอักษรอันเปล่ียนแปลงมาจากรูปอกั ษรปลั ลวะ ซึ่งนามาจากประเทศ
อินเดยี ได้แก่ กลุ่มจารึกท่ีใช้อักษรมอญโบราณ และอักษรขอมโบราณ
กลุม่ จารกึ ท่ใี ช้อกั ษรมอญโบราณ
ปรากฏหลกั ฐานแนช่ ดั ในบรเิ วณภาคเหนือของประเทศไทยระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 17 พบหลกั ฐานการใชอ้ ักษร
มอญโบราณ ภาษามอญโบราณ ในบรเิ วณลมุ่ แม่น้าปิงตอนบน คือ ดินแดนทีเ่ ป็นอาณาจักรหริภุญชัย ในเขตจงั หวดั ลาพนู
ปัจจุบัน โดยไดส้ ืบทอดอารยธรรมกันมา ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี 17 ลงมาจนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี 19 อารยธรรมมอญโบราณ
ทห่ี รภิ ญุ ชยั กส็ น้ิ สุดลง กษตั รยิ ์องคส์ ุดท้ายแหง่ อาณาจักรหริภญุ ชัย มพี ระนามว่า พระยายีบา ไดเ้ สยี เมืองหรภิ ุญชัย แก่
พระยามงั ราย ในปีพุทธศักราช 1839 ตรงกับรชั สมยั พ่อขุนรามคาแหงมหาราชแห่งอาณาจกั รสุโขทยั
หลักฐานการใชจ้ ารึกภาษามอญน้ัน จากดั บริเวณอยู่เฉพาะตัว ไมอ่ าจวิเคราะหไ์ ดว้ า่ กลุ่มชนซง่ึ ใช้ภาษามอญใน
อาณาจักรหรภิ ุญชัย จะเปน็ กลมุ่ ชน ท่ีสบื ตอ่ การใชภ้ าษามอญ มาจากกลมุ่ ชนทางแถบภาคกลางของประเทศไทยด้วย
หรอื ไม่ เพราะยังไม่เคยพบจารกึ บ่งบอกไว้อยา่ งชัดเจน
กลุ่มจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ
พบอยู่ในบรเิ วณภาคกลาง ภาคอสี านและภาคใต้ของประเทศไทยปจั จบุ ัน มีอายุระหวา่ งพุทธศตวรรษ ที่ 14-16
แต่ยังไม่พบจารึกอักษรขอมโบราณ ในแถบภาคเหนือ ตั้งแตจ่ งั หวดั ตากข้ึนไป ทงั้ นี้ อาจเปน็ ไดว้ ่า กระแสอิทธิพล
วฒั นธรรมแบบขอมโบราณนี้ ไมแ่ พร่หลายข้นึ ไปสู่ภาคเหนือของประเทศไทย หลักฐานทานองนี้รวมไปถงึ โบราณสถานที่
เรียกกันวา่ ปราสาทหิน ปราสาทอิฐ และปรางคแ์ บบกมั พูชา หรือลพบรุ ี ที่มีอยทู่ ่วั ไปในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ แต่
ไม่เคยปรากฏอยู่ทางภาคเหนือ
4
จารกึ ทใี่ ชอ้ กั ษรขอมในสมัยต่อจากจารกึ ท่ใี ช้อักษรขอมโบราณ
คอื จารึกทใี่ ชอ้ ักษรขอม ท่ีมีอายอุ ยใู่ นระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 17-18 โดยเฉพาะจารึกทีป่ ราสาทพระขรรค์
ประเทศกมั พชู า จะบอกให้ทราบว่า ในช่วงรชั สมัยของ พระเจา้ ชัยวรมันที่ 7 ซึง่ ครองราชยอ์ ยรู่ ะหวา่ ง พุทธศตวรรษท่ี 18
นนั้ ไดข้ ยายอาณาเขตของอาณาจักรออกไปกวา้ งขวางมาก ส่วนหน่ึงของอาณาจกั ร ไดเ้ ข้ามาอยใู่ นบริเวณทเี่ ป็นประเทศ
ไทยปัจจุบนั กลา่ วคือ ตลอดภาคตะวนั ออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ภาคเหนือ ถึงจงั หวัดสโุ ขทัย ภาคใตท้ ี่จงั หวดั สุ
ราษฎรธ์ านี ภาคกลางทจ่ี ังหวัดกาญจนบุรี และเพชรบุรี กลุ่มเมอื งทอี่ ยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรกัมพูชา ในชว่ ง
เวลาท่ีกลา่ วถึงนี้ ไดร้ ับอารยธรรมของกัมพูชา ทง้ั ทางด้านศิลปกรรม รูปแบบอักษร และภาษาไวท้ ้ังหมด ปรากฏหลกั ฐาน
แพรก่ ระจาย อยู่ในพนื้ ทด่ี ังกล่าวดงั นี้ ทางดา้ นศิลปกรรม ได้แก่ วัดศรสี วาย จังหวดั สุโขทยั พระปรางคส์ ามยอด จังหวดั
ลพบุรี ปราสาทหนิ วดั กาแพงแลง จังหวัดเพชรบรุ ี และปราสาทเมอื งสงิ ห์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี เปน็ ตน้
กล่มุ จารกึ ทีใ่ ช้อักษรขอม
ทม่ี อี ายุอยู่ ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 18 ได้แก่ จารึกดงแม่นางเมือง จังหวัดนครสวรรค์ พทุ ธศักราช 1710 ซง่ึ
จารกึ ดว้ ยอักษรขอม ภาษาเขมร และภาษาไทย จารึกหลังพระพุทธรูปนาคปรก จังหวัดลพบรุ ี พทุ ธศักราช 1756 ซ่งึ จารกึ
ดว้ ยอกั ษรขอม ภาษาเขมร และภาษาไทย และกลมุ่ จารึก พระเจ้าชัยวรมนั ที่ 7 ทรงสรา้ ง เพอื่ ประกาศเร่อื งการสร้าง
โรงพยาบาล ได้แก่ จารกึ เมืองพมิ าย จังหวัดนครราชสมี า จารึกด่านประคา จังหวัดบุรีรีมย์ และจารกึ ปราสาทตาเมียนโตจ
จังหวัดสรุ นิ ทร์ ซ่งึ จารกึ ดว้ ยอักษรขอม ภาษาสนั สกฤต เป็นตน้
จารึกทคี่ นไทยทาขน้ึ ปรากฏหลกั ฐานใน ต้นพทุ ธศตวรรษที่ 19 เมอ่ื คนไทยก่อต้งั อาณาจักรสโุ ขทยั ข้ึน ในแถบ
แมน่ ้ายม พ่อขุนรามคาแหงมหาราช กษตั ริยพ์ ระองค์ที่ 3 แหง่ อาณาจักรสุโขทยั ได้ประดษิ ฐ์ลายสอื ไทยข้นึ ในปี
พุทธศักราช 1826 ปรากฏหลักฐานลายสอื ไทยดงั กล่าว ในจารกึ พ่อขนุ รามคาแหง ซ่ึง เป็นจารึกอักษรไทยท่ีเก่าท่ีสดุ และ
ไม่มีลักษณะของรูปอกั ษรไทย ในทแี่ หง่ ไหนจะเก่าเท่า ถงึ แมว้ า่ จะได้พบจารึกอกั ษรไทย ทค่ี นไทยไดท้ าข้นึ จานวนมาก ใน
ทุกภาคของประเทศไทย แตห่ ลักฐานการคน้ พบปรากฏวา่ จารึกเหล่านั้น มอี ายุอยใู่ นระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 20 ลงมา
ทั้งสนิ้ รูปอักษรไทยในอาณาจักรสุโขทัย ซ่งึ เรียกว่า อักษรไทยสโุ ขทัยน้นั ไดเ้ ปน็ แม่แบบ ของรปู อกั ษรไทยทว่ั ไปในสมัย
ต่อมา
จารึกที่ใช้รปู อักษร ซึ่งวิวัฒนาการมาจากรูปอักษรไทยในจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงมี ดงั น้ี
จารึกอกั ษรไทยสโุ ขทัย
เป็นจารกึ ทีใ่ ช้ รูปอักษรซึ่งมกี าเนดิ ขนึ้ ในอาณาจักรสโุ ขทยั ระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ 19 และมใี ชต้ ่อมาจน ถึงพุทธ
ศตวรรษที่ 20 เช่น จารกึ พอ่ ขุนรามคาแหง จังหวัดสุโขทัย จารกึ วัดพระยืน จังหวดั ลาพนู และจารึกวัดเขากบ จังหวดั
นครสวรรค์ เปน็ ต้น
5
จารกึ อักษรไทยอยุธยา
เป็นจารึกทใ่ี ช้รูปอกั ษรทวี่ วิ ัฒนาการมาจากรปู อักษรไทยสุโขทัย ปรากฏใชอ้ ยู่ท่วั ไป ในบรเิ วณภาคกลางของ
ประเทศไทย ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 20-24 เชน่ จารกึ แผน่ ดบี ุกวดั มหาธาตุ จังหวดั พระนครศรีอยุธยา เป็นตน้
จารึกอกั ษรไทยล้านนา
เปน็ จารกึ ที่พบ ในอาณาจักรล้านนาบรเิ วณภาคเหนือของประเทศไทยปจั จุบัน ลกั ษณะเป็นรูปอกั ษร ท่ี
ววิ ัฒนาการมาจากรปู อักษรไทยสโุ ขทัย มีอายุระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 20 และตวั อักษรอย่างนี้ ได้พัฒนาไปเป็นรปู อกั ษร
อีกแบบหน่ึง เรียกกนั ในปจั จุบนั วา่ อกั ษรไทยล้านนา หรอื อักษรฝักขาม เชน่ จารกึ วดั ปราสาท จังหวดั เชยี งราย เปน็ ต้น
จารึกอกั ษรไทยอีสาน
จารกึ ท่ีใช้ตัวอักษรแบบน้ี พบเฉพาะในภาคอสี านของประเทศไทยเทา่ น้ัน ลักษณะเป็นรปู อกั ษรทว่ี วิ ัฒนาการมา
จากรปู อักษรไทยลา้ นนา ซึ่งได้แพร่อทิ ธพิ ลผ่านไปในอาณาจกั รลา้ นช้าง แล้วย้อนกลบั ข้ามฝ่งั แมน่ า้ โขงมาทางฝง่ั ตะวันตก
เขา้ สภู่ าคอสี าน และในสมัยหลังตอ่ มา ตวั อักษรอย่างน้ี ได้พัฒนาไปเปน็ รปู อักษรอีกแบบหน่ึง เรียกกนั ในปจั จบุ นั ว่า
อกั ษรไทยน้อย ซึ่งปรากฏใชใ้ นสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์เท่าน้ัน ตัวอยา่ งจารึกอักษรไทยอสี าน เชน่ จารึกวัดแดนเมือง จงั หวดั
หนองคาย เปน็ ต้น
จารึกอกั ษรธรรม
จารึกทีใ่ ชอ้ ักษรชนิดนี้ มีท้ังภาคเหนือ และภาคอสี านของประเทศไทย แตล่ ักษณะตวั อกั ษรแตกตา่ งกัน ใน
ภาคเหนอื เรียกว่า อกั ษรธรรมลา้ นนา หรือตวั เมอื ง หรือตวั ธรรม มลี ักษณะใกลเ้ คียงกบั ตวั อักษรมอญ พมา่ ปรากฏการใช้
คร้งั แรกในระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ 20 เชน่ จารึกวัดชา้ งค้า จังหวดั น่าน เป็นต้น ในภาคอีสานเรียกอกั ษรธรรมอีสาน หรอื
หนงั สอื ธรรม อักษรชนิดนม้ี ลี ักษณะใกลเ้ คียงกบั อักษรธรรมล้านนา โดยได้รบั อิทธิพลของรูปอกั ษรธรรมล้านนา ผา่ นมา
ทางอาณาจักรลา้ นช้าง เช่นเดียวกับรูปอักษรไทยอสี าน ตัวอยา่ งจารกึ ทใ่ี ช้รปู อักษรธรรมอีสาน เชน่ จารกึ วดั ถา้ สวุ รรณ
คหู า จงั หวัดอดุ รธานี เปน็ ตน้
ประวัตกิ ารศึกษาจารกึ ในประเทศไทย
ประเทศไทยเริ่มรจู้ ัก และใหค้ วามสนใจจารึก เมอ่ื พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ในสมัยทยี่ งั ดารงพระ
อิสริยยศ เป็นสมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟา้ มงกุฎฯ ขณะทรงผนวชอยู่ในปีพุทธศักราช 2336 ไดเ้ สดจ็ จารกิ ธดุ งค์ไปยัง
หวั เมอื งมณฑลฝ่ายเหนือของประเทศไทย เสด็จถึงเมืองสโุ ขทัย ทรงพบศลิ าจารึก 2 หลัก คือ ศลิ าจารึกพ่อขนุ รามคาแหง
ภาษาไทย และศลิ าจารึกวดั ปา่ มะม่วง ภาษาเขมร พร้อมดว้ ยพระแทน่ ศิลาบาตร ทีบ่ รเิ วณเนินปราสาท ในวดั มหาธาตุ
ตาบลเมอื งเกา่ อาเภอเมืองสุโขทยั จังหวดั สุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า เป็นโบราณวัตถุ
6
สาคัญ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าลงมาท่ีกรุงเทพฯ และทรงเป็นพระองค์แรก ท่ที าใหค้ นไทยเห็นคุณประโยชน์ของจารึก และ
ทรงเป็นนกั อา่ นจารกึ พระองค์แรก ของประเทศไทยอีกดว้ ย
นอกจากนนั้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ยังทรงเปน็ พระองค์แรกท่ีเร่ิมอ่าน และศกึ ษาศิลาจารึกพ่อ
ขนุ รามคาแหงเป็นครง้ั แรก และทรงพยายามอา่ น จนได้ความตลอดสาเรจ็ ในปีพทุ ธศักราช 2379 เน้ือหาของเร่ืองในศิลา
จารกึ พ่อขุนรามคาแหง กลา่ วถงึ พระราชประวตั ขิ องพ่อขนุ รามคาแหง กษตั ริย์พระองคท์ ่ี 3 แห่งอาณาจักรสุโขทัย พร้อม
ท้งั พระราชกรณียกจิ และพระปรชี าสามารถของพ่อขนุ รามคาแหง ท่ีไดท้ รงคดิ ประดษิ ฐล์ ายสือไทยข้นึ เม่ือ พทุ ธศักราช
1826 ซงึ่ เปน็ รูปอักษรไทยแบบแรก ที่ไดว้ วิ ฒั นาการมาเปน็ อักษรไทย และใชเ้ ป็นอักษรประจาชาตสิ ืบมาจนถึงปัจจุบนั
นอกจากนัน้ ความในจารกึ ยังกลา่ วถงึ สภาพบา้ นเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งความเจรญิ ของพระพทุ ธศาสนา ใน
อาณาจักรสโุ ขทยั อีกดว้ ย
ระหว่างที่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยอา่ นและศกึ ษาศิลาจารึกน้นั สมเดจ็ พระ
มหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ก็ทรงเป็นแม่กองควบคุมคณะนกั ปราชญ์ราชบณั ฑติ คดั ลอกอกั ษรจากศิลา
จารึกพ่อขนุ รามคาแหงดว้ ย
ในปพี ุทธศักราช 2398 เซอร์ จอห์น บาวริง (Sir John Bowring) ราชทตู อังกฤษ ไดเ้ ดินทางเข้ามาในประเทศ
ไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว ได้พระราชทานสาเนา คัดอักษรพมิ พห์ นิ พร้อมด้วยลายหัตถ์คาแปล เป็น
ภาษาอังกฤษบางคาให้แก่ เซอร์ จอห์น บาวริง ซ่ึงในปีพทุ ธศกั ราช 2400 เซอร์ จอห์น บาวริง กไ็ ด้นาตวั อย่างสาเนาจารกึ
ทไ่ี ด้รับพระราชทานนัน้ พิมพ์เผยแพรเ่ ปน็ คร้งั แรกในหนงั สือ The Kingdom and people of Siam นอกจากน้ยี ังได้
พระราชทานสาเนาจารกึ ให้แก่ราชทูตฝรั่งเศสอีกชดุ หน่ึงดว้ ย
ตอ่ มาในปพี ุทธศักราช 2406 นาย อดอล์ฟ บาสเตยี น (Adolf Bastian) ชาวเยอรมนั เดนิ ทางเขา้ มาในกรุงเทพฯ
และได้แปลจารึกพ่อขนุ รามคาแหงเป็นภาษาอังกฤษ และได้พิมพ์ เผยแพรใ่ นวารสารชอ่ื Journal of the Royal Asiatic
Society of Bengal ใช้ชื่อเรอื่ งว่า On some Siamese Inscriptions
ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ 5 ประมาณระหวา่ งพุทธศักราช 2425 - 2428
นายพันตรี เอโมนเิ อ (Aymonier) ชาวฝรั่งเศส ผ้สู าเรจ็ ราชการ กรุงกมั พชู า ไดเ้ ที่ยวตรวจหาจารกึ ของกมั พชู า และได้พบ
จารกึ ของไทยโดยบงั เอญิ จงึ รวบรวมไวด้ ว้ ย เช่น จารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี พบทจี่ ังหวัดลพบุรี เป็นต้น นบั ว่าเปน็ ชาวยโุ รป
คนแรก ทเี่ สาะหา รวบรวมจารกึ และไดค้ ดั ลอกทาสาเนาจารกึ ที่รวบรวมได้ สง่ ไปเกบ็ ไวใ้ นหอสมดุ แห่งชาติ ณ กรุงปารีส
ประเทศฝรัง่ เศส
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงเห็นความสาคัญของจารึกในการให้ความรู้ เก่ียวกับเร่ืองราวของ
บ้านเมืองในอดีต และทรงเกรงว่า จะถูกทาลาย จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุ
ภาพ ครงั้ ดารงพระยศเป็นพระเจา้ น้องยาเธอ กรมหม่ืนดารงราชานภุ าพ และข้าหลวงมณฑลตา่ งๆ แสวงหารวบรวมจารึก
เก็บไวใ้ นพระนคร
7
ตอ่ มา นายออกสู ท์ ปาวี (Auguste Pavie) ชาวฝร่ังเศส ไดเ้ ปน็ ผู้รวบรวมจารกึ ของไทย โดยไดค้ ัดลอกทาสาเนา
จารกึ ทีเ่ ก็บรักษาอยใู่ นกรงุ เทพฯ รวมท้งั จารกึ ทจี่ งั หวดั เชียงราย เชยี งใหม่ ลาพนู และหลวงพระบาง จานวน 31 หลัก
และได้มอบสาเนาจารึกท่ีคดั ลอกน้ันให้แก่ บาทหลวง สมธิ (Pere Schmitt) ท่ีเมอื งฉะเชงิ เทรา แปลเปน็ ภาษาฝรัง่ เศส
นบั เป็นชาวยุโรปคนแรก ที่อา่ นแปลจารกึ ของไทย พิมพเ์ ผยแพร่ ในหนงั สือ Mission Pavie, Indo - China 1879 -
1895 ตอ่ มาในปีพุทธศักราช 2434 นายฟรู ์เนอโร (fournereau) ช่างเขยี นชาวฝรัง่ เศส ได้ นาสาเนาจารึก 16 หลกั ไป
พมิ พใ์ นหนังสือ Le Siam ancient ในปีพทุ ธศักราช 2438 (ค.ศ. 1895)
ในปีพุทธศักราช 2450 มชี าวต่างประเทศทีส่ นใจค้นหาจารึกในประเทศไทยรวม 2 คน คือ พนั ตรี ลูเนต์ เดอ ลา
ยงเกียร์ (Commt. Lunet de Lajonquiere) ชาวฝรง่ั เศส เป็นผู้เอาใจใส่คน้ หาจารึก และได้พบจารกึ สาคญั ๆ หลายหลัก
ทาสาเนาคัดลอกส่งไปยโุ รป และพันตารวจตรี ไซเดนฟาเดน (Commt. E. Seiden- faden) ชาวเดนมาร์ก เปน็ ผเู้ อาใจใส่
คน้ หาของโบราณ ในเขตภาคอสี าน ได้พบโบราณสถาน และโบราณวตั ถจุ านวนมาก
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อย่หู ัว รชั กาลท่ี 6 เม่ือครั้งดารงพระยศเปน็ สมเดจ็ พระยุพราช ในปี
พทุ ธศกั ราช 2451 ได้เสดจ็ ไปจงั หวัดกาแพงเพชร สุโขทยั และสวรรคโลก ทรงค้นหาสถานท่ีต่างๆ โดยสอบกับข้อความใน
จารกึ พบท่จี งั หวดั สุโขทยั พร้อมท้งั พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์ เรื่อง เทีย่ วเมอื งพระรว่ ง
ในปีพทุ ธศักราช 2452 โปรเฟสเซอร์ คอรน์ เี ลียส บีช แบรดเลย์ (Cornelius Beach Bradley) ชาวอเมริกนั ได้
ชาระ และพิมพ์คาแปล จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง ในหนงั สือThe Oldest Known Writing in Siamese
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงสนพระราชหฤทยั เร่ืองราวทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์ ทรง
เห็นความสาคัญของจารึก ในดา้ นทเ่ี ป็นแหลง่ ข้อมูลเรื่องราวในอดีต เม่ือเสวยราชย์แล้ว ได้โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ วบรวมจารึก
จากทตี่ า่ งๆ มารวมไว้ ณ หอพระสมดุ สาหรบั พระนคร ผทู้ ีเ่ ปน็ กาลงั สาคัญในการสารวจ และรวบรวมจารกึ คร้งั นั้นคือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ซ่ึงขณะน้นั ทรงเปน็ สภานายกหอพระสมุดสาหรับพระนคร ทรง
ขวนขวายแสวงหาจารึกจากภูมภิ าคตา่ งๆ ทั่วพระราชอาณาจักร ไดท้ รงศึกษาวิธีทาสาเนา จารึก และให้เขียนคาแนะนาวธิ ี
ทาสาเนาจารกึ แจกไปตามหวั เมืองตา่ งๆ เพื่อใหช้ ว่ ยทาสาเนาจารกึ สง่ มาไวท้ ่ีหอพระสมดุ ฯ ทาใหร้ วบรวมจารกึ ได้เปน็
จานวนมาก ศลิ าจารกึ ใดท่ียงั ไม่อาจเคล่ือนยา้ ยมาได้ ก็ใหท้ าบัญชไี วว้ ่า จารกึ หลักใด เก็บอยทู่ ี่ไหนบ้าง มรี ายละเอยี ด
เกย่ี วกบั จารึกบอกไว้ด้วย จารกึ ทร่ี วบรวมไดใ้ นคร้งั น้นั สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ โปรดให้
ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ชาวฝร่ังเศส ซง่ึ เปน็ บรรณารกั ษ์ใหญ่ประจา หอพระสมุดวชริ ญาณขณะน้นั อ่านและอธบิ าย
ความหมายข้อความในจารึกต่างๆ ท่ีรวบรวมมาไว้ และจัดพิมพค์ าอา่ นจารึกข้ึน เป็นหนงั สือชดุ เรียกวา่ ประชุมศิลาจารึก
8
การศึกษาจารกึ ในประเทศไทย เป็นที่เอาใจใส่สนใจในหมูน่ ักการศึกษาของชาตทิ ุกระดับชัน้ จะเหน็ ได้ว่า นับจาก
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวต้งั แตร่ ัชกาลที่ 4 เป็นตน้ มา และพระบรมวงศานุวงศแ์ ล้ว ในปัจจบุ นั สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี กท็ รงสนพระราชหฤทัยในวิชาการอ่านจารึกอย่างมาก เห็นได้จากวิทยานิพนธ์ท่ีทรง
พระราชนิพนธ์ เพ่ือรบั พระราชทานปริญญามหาบัณฑติ ในสาขาวิชาจารึกภาษาตะวนั ออก มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร คือเร่ือง
จารึกพบที่ปราสาทหินพนมรุ้ง นอกจากนั้นประชาชนท่ัวไป ทง้ั คนไทย และชาวตา่ งประเทศ ตา่ งก็ใหค้ วามสนใจเอาใจใส่
มาโดยตลอด
เร่ืองที่ 2 รปู ทรงจารกึ และวธิ บี ันทกึ ลายลกั ษณอ์ ักษรลงในจารกึ การอ่านแปลและศกึ ษาขอ้ มลู จารึก
รูปทรงจารกึ
ศิลาจารกึ เปน็ เอกสารโบราณท่มี รี ปู ทรง และขนาดแตกต่างกันหลายอย่าง เล็กบา้ ง ใหญ่บ้าง ยาวบ้าง สน้ั บ้าง ไม่
มรี ปู แบบที่แนน่ อน นอกจากนน้ั ยงั มีอายนุ านนับร้อยปีขึ้นไป บางชิน้ มอี ายุนานกว่าพันปกี ม็ ี จึงย่อมจะมสี ภาพชารุดสกึ
กร่อนไปได้ แมว้ ่าวตั ถทุ ่ีใช้จารึก จะแขง็ แกร่งคงทนท่ีสดุ กต็ าม ลักษณะการชารดุ ของจารึกนั้น เปน็ ไปได้ ท้งั โดยธรรมชาติ
และฝมี ือมนุษย์
รปู ทรงจารึกเม่ือแรกสร้าง จะมรี ูปรา่ ง และขนาดตามวัตถปุ ระสงค์ ความรู้ และความชานาญของผู้สร้าง ซงึ่ มีสว่ น
สมั พนั ธ์กับสถานที่ ซงึ่ จะใชจ้ ารึก ถ้าผสู้ รา้ งจารกึ มีวตั ถุประสงค์ หรอื มคี วามตัง้ ใจที่จะปักจารึกไวต้ ามสถานท่ีต่างๆ ไวใ้ ห้
คนท่ัวๆ ไปได้เห็นจะนิยมทาเป็นรูปเสมา เสาแปดเหลยี่ ม และเสาสเ่ี หลี่ยมเป็นตน้ นอกจากน้นั ยังมจี ารึกที่อย่กู บั ส่วนต่างๆ
ของอาคาร ศาสนสถาน เช่น ผนงั ชอ่ งประตู เปน็ ต้น และจารกึ ตามสถานท่ีธรรมชาติ เชน่ ผนังถ้า และหน้าผา เปน็ ต้น
จารึกตา่ งๆ น้ันในปจั จบุ นั บางช้ินรูปร่าง และขนาดเปล่ียนแปลงไปจากเดิม และมรี ่องรอยความชารุด รา้ ว แตก
หักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บน่ิ ตามขอบ หรือสว่ นตา่ งๆ รปู ทรงของจารึกเหล่านี้ เปล่ียนแปลงเพราะสาเหตหุ ลายประการ คอื
เกดิ จากความตงั้ ใจของมนษุ ยท์ ่ีจะนาจารกึ มาทา
เป็นอย่างอ่นื
เมอื่ ลว่ งพน้ สมัยมาแลว้ ด้วยเหน็ วา่ มีประโยชน์ดกี วา่
หรอื ด้วยเหตผุ ลทางการเมือง เชน่ นาศลิ าจารกึ มาทาเป็นหิน
ลบั มดี หรอื นามาใชเ้ ป็นผนังชอ่ งประตศู าสนสถาน เป็นตน้
เกดิ จากการถูกทาลายโดยความรู้เทา่ ไม่ถงึ การณ์
ของคนในสมัยหลัง
เชน่ นาศลิ าจารกึ ใบสักการะบูชา ปิดทองคาเปลวจน
เตม็ ด้วยความเชอื่ ว่า เปน็ ของศักดิ์สิทธิ์ ใชเ้ ป็นทรี่ องลา้ งเทา้
หนา้ บันไดบา้ น หรือกะเทาะเลน่ เป็นต้น
9
วธิ บี ันทึกลายลกั ษณ์อักษรลงในจารึก
วตั ถุท่ใี ช้ทาจารกึ มหี ลายชนดิ แต่มลี ักษณะร่วมกันคอื แขง็ แรง คงทนถาวร ฉะน้ันการบันทึกลายลกั ษณ์อักษรลง
บนจารกึ จงึ ตอ้ งใชเ้ ครื่องมือต่างกันไปตามชนิดของวตั ถุท่ีนามาใช้ทาจารึก แตเ่ คร่ืองมือนน้ั ต้องมสี ่วนที่เหมือนกันประการ
หนง่ึ คือ ความแข็งแรง และแหลมคม ในขณะจารึก การจารึกลายลักษณ์อักษรมีวิธกี ารดังนี้
การจารกึ ด้วยเหลก็ สกัด
ในสมัยแรกๆ อปุ กรณก์ ารสร้างงานจารึกทาขึ้นอย่างงา่ ยๆ ไม่มี
รปู แบบแน่นอน แต่วัตถทุ ่ีใชท้ าจารกึ สว่ นใหญใ่ ชศ้ ิลาเนื้อแข็งมากๆ ได้แก่
หนิ ดนิ ดาน หินทราย เป็นตน้ เมื่อตดั แท่งศิลาให้ได้รูปร่างตามต้องการแล้ว
ต้องขัดพืน้ ผิวหน้าให้เรยี บ แล้วใช้เหลก็ สกัด ทมี่ ปี ลายแบนและแหลมคม
เป็นเครอี่ งมอื ตอกสกัดลงไปในเนือ้ ศลิ าใหเ้ ปน็ รูปลายลักษณอ์ ักษร การจารึก
อักษรอยา่ งน้ีทาได้ 2 วิธี คอื
1) จารึกโดยร่างข้อความไว้กอ่ น จารึก โดยกอ่ นจารึก
อกั ษร ต้องร่างข้อความท่จี ะจารึกบนแผ่นศิลาไว้กอ่ น แล้วจึงสกัดด้วยเหลก็
ใหเ้ ป็นรอ่ งลึกลงไปในเน้ือศลิ า ให้เป็นรูปลายลกั ษณ์อกั ษร การจารึกดว้ ยวิธีน้ี
มีขอ้ สงั เกตวา่ บางส่วนของเส้นอักษรจะสงู เกนิ แนวเสน้ บรรทดั ลา้ ขึน้ ไปถึงบรรทัดที่อยู่ตอนบน ซง่ึ ไดเ้ วน้ ท่เี ปน็ ชอ่ งว่างไว้
ไม่ใหเ้ สน้ อกั ษรจากบรรทดั ล่างทับเส้นอักษรบรรทดั บน
2) จารกึ โดยไมร่ ่างข้อความไว้ก่อน โดยใชเ้ หล็กสกดั ตอกลงไปในเน้ือศลิ าใหเ้ ป็นรูป ลายลกั ษณ์อักษร
ทันที การจารึกด้วยวิธีนีม้ ีข้อสังเกตได้ว่า บางส่วนของเส้นอกั ษรท่ยี าวเลยเสน้ บรรทัด ล้าลงไปถงึ บรรทดั ท่ีอยู่ตอนลา่ งนั้น
จะเวน้ ท่ีเป็นชอ่ งว่างไว้ และถ้าไมย่ าวลงมามากนัก กจ็ ะเปล่ยี นตาแหนง่ การวางรูปอักษร หรอื ลดขนาดตวั อักษรลง ให้อยู่
ในระดับท่ีพอดีกบั เสน้ บรรทัด
การจารกึ ดว้ ยเหลก็ จาร
กลุม่ จารึกทาจากวัตถุอื่นๆ ที่ไม่ใชศ่ ิลา เช่น จารกึ ท่ีทาจากไม้และโลหะชนดิ ตา่ งๆ เน้อื วตั ถไุ มแ่ ขง็ มาก และบาง
กวา่ ศลิ า การบันทึกลายลกั ษณอ์ ักษร จึงไม่ใชว้ ิธีสกัด แต่จะใช้เหลก็ ทมี่ ีปลายแหลมคม เรียกวา่ เหล็กจาร เขยี นลายลกั ษณ์
อักษรลงบนแผน่ วตั ถุน้ันทันที เช่น จารกึ ลานทอง จารกึ พระพมิ พด์ ินเผา เป็นต้น
การจารกึ ด้วยวิธอี ่นื ๆ
เป็นการจารึกลายลกั ษณ์อกั ษรดว้ ยวธิ ีอืน่ โดยไมใ่ ชเ้ หล็กสกดั และเหล็กจาร แต่บันทึกลายลกั ษณ์อักษร ดว้ ยวิธี
เขียนหรือชปุ ลายลกั ษณ์อักษรทป่ี รากฏอยบู่ นวัตถุ ได้แก่ ไม้ ดนิ เผา ฝาผนงั พระอโุ บสถ เปน็ ต้น จารึกเหลา่ นี้สว่ นใหญ่อยู่
กับงานจิตรกรรมฝาผนังในพระอโุ บสถ ตลู้ ายรดน้าเคร่ืองปั้นดินเผา เป็นต้น ซง่ึ อนุโลมเรยี กวา่ จารึก หรืออักษรจารกึ
เชน่ เดยี วกัน
10
การวางรปู อกั ษรในจารึก
จะเริม่ ต้นจาก ซ้ายไปขวา และเรยี งตามลาดับจากข้างบนลงมา ขา้ งล่าง นอกจากนัน้ ยังพบว่า มกี ารตีเสน้ บรรทัด
เป็นแนววางตวั อักษร สมยั แรกวางตวั อกั ษรใตเ้ สน้ บรรทัดมาตลอด ตัวอย่างเชน่ จารึกเจดยี ์ วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย
ปรากฏเสน้ บรรทดั ขดี ลึกลงไปในเนื้อศลิ า เป็นแนวทุกบรรทัด ความนยิ มในการเขียนอกั ษรใต้เส้นบรรทัดมีอยตู่ ลอดมา
จนถึงปลายรัชกาลท่ี 3 แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ เมอ่ื รูปแบบการเขียนอักษรโรมนั ของชาวยโุ รป ได้เข้ามาแพร่หลายใน
ประเทศ การเขยี นอักษรบนเส้นบรรทดั ตามแบบอยา่ งอักษรโรมนั จึงได้เรม่ิ มีขึ้น และเป็นท่นี ิยมเร่อื ยมา จนถึงปลาย
รัชกาลท่ี 6 แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ การเขียน อกั ษรใต้เส้นบรรทดั ก็หมดไป ปจั จบุ นั คนไทยไม่ใช้วธิ ีการเขียนอกั ษรใต้เส้น
บรรทดั อยา่ งเดิมอีกแลว้
การอา่ นแปลและศกึ ษาขอ้ มูลจารกึ
เน่ืองจากจารึกเป็นเอกสารโบราณท่ีบันทึกลายลักษณ์อักษรไว้ด้วยอักษร และภาษาโบราณ ท่ีพ้นสมัยไปแล้ว
ความยากในเร่ืองรูปแบบอักษร และภาษา เป็นส่ิงที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษเฉพาะตัว การถ่ายทอด การอ่าน
แปลจารึกให้เป็นอักษรภาษาไทยปัจจุบัน จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากจารึกอย่างกว้างขวาง การอ่านจารึก
จึงมีวิธีดาเนินการเร่ิมต้นด้วยการถอดอักษร หรือการปริวรรตอักษร การอ่านตีความ การแปล และการศึกษาวิเคราะห์
ข้อมลู จารกึ มรี ายละเอยี ด ดงั นี้
การถ่ายถอดอกั ษร หรอื การปรวิ รรตอกั ษร
คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบอักษร จากที่ปรากฏในจารึกให้เป็นอักษรไทยปัจจุบัน เน่ืองจากรูปอักษร ที่ปรากฏ
ในจารึกส่วนใหญ่ อยู่ในสภาพลบเลือน ตัวจารึกชารุด แตกหัก รูปอักษรไม่สมบูรณ์ สูญหายไปบ้าง มีรอย ขูดขีด หรือ
กะเทาะ ในระหว่างตัวอักษรบ้าง ความชารุดสูญเสียดังกล่าว ทาให้การถ่ายถอดอักษร ดาเนินไปได้ยาก การถ่ายถอด
อักษรมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้ความหมายท่ีถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริงท่ปี รากฏในจารึกนั้นๆ เพื่อให้ทราบถึงจุดประสงค์
หรือเจตนาของผู้สร้างจารกึ ว่า มจี ุดมุ่งหมายท่ีจะประกาศ หรือบอกเล่าเร่อื งราวใดไว้ ดังน้ันการปฏิบัตงิ านถ่ายทอดอักษร
จงึ ต้องมีหลักการอันเป็นแบบฉบบั วิธีการ หรือหลักเกณฑ์ ทใ่ี ช้กันเปน็ สากลมดี ังนี้
1) การถา่ ยถอดอกั ษรชนดิ รกั ษารปู แบบอักขรวธิ ใี นจารกึ
การถ่ายถอดอักษรโดยวิธีรักษารูปแบบอักขรวิธีท่ืปรากฏอยู่ในจารึกนั้น ต้องคานึงถึงความถูกต้องของรูปอักษร
และภาษาเป็นสาคัญ มวี ธิ ีการถ่ายถอดดังน้ี
1.1. ต้องถ่ายถอดอักษรแต่ละตัว ให้ตรงกับอักษรที่ปรากฏในจารึกแบบตัวต่อตัว คาต่อคา คือ ในจารึก
ใช้พยัญชนะ สระ เครื่องหมายอะไร ต้องถอดออกเป็นอักษรไทยปัจจุบัน ให้เป็นรูปพยัญชนะ สระนั้นๆ ใหต้ รงกัน และใส่
เคร่ืองหมายตามรูปแบบที่ปรากฏในจารึก ให้ตรงตามตาแหน่งเดิมทุกประการ จะเปล่ียนไปเป็นพยัญชนะ สระ หรือ
เคร่อื งหมายอย่างอน่ื ไม่ได้ ทัง้ น้ีเพอ่ื รกั ษาอกั ขรวิธขี องภาษาไว้
การถ่ายถอดอักษรด้วยวิธีดังกล่าวน้ี ห้ามเพิ่มเติม พยัญชนะ สระ เครื่องหมายใดๆ ถ้าพิจารณ าแล้วเห็นว่า
พยัญชนะ สระ และเครื่องหมาย หรือคาศัพท์ในจารึกน้ัน สะกดผิด หรือใช้ผิด ต้องถ่ายถอดไปตามท่ีผิดน้ัน และถ้าจะ
แก้ไขให้ถูกต้อง ควรจะทาเป็นเชิงอรรถ หรืออธิบายบอกไว้ให้ชัดเจนในที่อ่ืน เช่น ในส่วนที่เป็นเชิงอรรถ เป็นต้น
11
1.2 ในกรณีที่รูปอักษรลบเลือน เห็นไม่ชัดเจน หรอื มีรอยแตกหักเห็นเพียงคร่ึงตัว หรือเพียงส่วนใดส่วน
หนง่ึ ของตวั อักษร แต่สามารถพจิ ารณา หรือสนั นษิ ฐานเพ่มิ เตมิ ไดโ้ ดย
1. ต้องใส่เครื่อง หมายวงเล็บเลก็ กากับอกั ษรตัวทีไ่ ม่ชดั นัน้ ไว้ ดงั น้ี (...) ฃ
2. ถ้าข้อความใด อ่านไม่ได้เลย จะเป็นเพราะอักษรลบเลือน หรือแตกหักออกไปก็ตาม แต่ยัง
สามารถสันนษิ ฐานได้ เพราะมคี าอ่ืนประกอบให้อ่านได้ความหมาย ตอ้ งใส่ขอ้ ความ หรือคานน้ั ไว้ในวงเล็บเหลย่ี ม [...]
3. สาหรับอักษรทีอ่ ่านไมไ่ ด้เลย ให้ใส่เคร่อื งหมายจุดไว้ดังน้.ี ..
2) การถา่ ยถอดเป็นอกั ษรไทยปจั จบุ ัน
การถ่ายทอดวิธีน้ีนิยมใช้กับจารึกที่บันทึกลายลักษณ์อักษรไว้ด้วยอักษรไทย ภาษาไทย ซ่ึงมีอายุระหว่าง 300 ปี
ลงมา ท้ังน้ีเพราะลักษณะรปู แบบอักษรมีส่วนใกล้เคียงกบั รูปแบบอักษรในปัจจุบันมาก เว้นแต่อักขรวิธีซึ่งแตกต่างไปจาก
อักขรวธิ ีในปัจจุบัน ดังน้ันการถา่ ยถอดวิธีนี้ จึงถ่ายถอดเป็นอักษรไทยปัจจุบัน โดยใช้อักขรวิธี และเคร่อื งหมายการสะกด
คาในภาษา ตามแบบทปี่ รากฏในจารึกทกุ ประการ
3) การถา่ ยถอดอกั ษรดว้ ยวธิ ผี สม
หากจารึกนั้นบันทึกเป็นอักษร และภาษาอ่ืนที่มิใช่อักษรไทย ภาษาไทย การถ่ายถอดอักษรจาเป็นต้องมีข้ันตอน
มากข้นึ คอื
3.1 ในเบอ้ื งแรกจะตอ้ งถ่าย ถอดอกั ษรชนิดรักษารปู แบบอักขรวิธใี นจารกึ ตามหลักการในขอ้ 1
3.2 ลาดับต่อไปจงึ ถ่ายถอด เป็นอักษรปัจจุบันของรูปแบบแห่งภาษานั้นๆ โดยเฉพาะในกรณีท่ีอกั ขรวิธี
ภาษานน้ั ๆ ไม่สามารถใช้กบั อกั ษรภาษาไทยได้ จะตอ้ งใชอ้ กั ษรของภาษานัน้ ๆ เขียนแทน
3.3 ขั้นต่อไปจึงจะถอดเป็นคาอ่าน โดยใช้อักษรไทยสะกดตามเสียงในภาษาน้ัน กากับไว้เป็นข้ันตอน
สุดท้าย เพอื่ ให้สามารถอา่ นออกเสยี งคาศพั ทใ์ นภาษาน้ันๆ ได้ถกู ต้อง
การอา่ นตีความ
ในจารึกเป็นเร่ืองที่ต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูง เพราะจารึกส่วนใหญ่จะบอกเรื่องเฉพาะตัวของบุคคล ไม่ใช่
เหตุการณ์ ฉะนั้นการจะวิเคราะห์จารึก เพ่ือประโยชน์ ในวิชาการประวัติศาสตร์ ผู้วิจารณ์ควรวิเคราะห์เฉพาะเรื่องท่ี
ปรากฏในจารึกเท่าน้ัน อยา่ สมมตเิ รอ่ื ง หรอื เหตกุ ารณ์ นอกเหนือจากทปี่ รากฏในจารกึ สาเหตุที่อาจทาใหก้ ารอา่ นตคี วาม
ผิดพลาด มีดังน้ี
1) การศกึ ษาเนื้อหาของเรื่องในจารึกแตล่ ะยุคสมัยย่อมมีข้อจากดั อย่ใู นตัวจารึก เน่ืองจากจารึกแต่ละหลักมอี ายุ
มากน้อยต่างกัน ตง้ั แต่ 100 ปีข้ึนไป จนถึงกว่า 1,300 ปี ดังน้ัน ภาษาท่ีใช้ในจารึกจึงแตกต่างไปจากปัจจุบันมาก ความรู้
ของคนปัจจบุ ัน ย่อมจะต้องมีความคลาดเคล่ือนไปจากความหมายเดิมบ้าง สิ่งเหล่าน้ีเป็นเหตุให้ ไม่อาจเข้าใจความหมาย
อันแท้จริงของข้อความในจารึกได้ทั้งหมด การอ่านแปลจารึก จึงต้องอาศัยการตีความประกอบไปด้วย จึงเป็น ผลให้เกิด
ความผดิ พลาดได้
2) สภาพของจารึกทั่วไปชารุด แตกหัก อักษรลบเลือน ข้อความในจารึกบาง ส่วนขาดหายไป ทาให้เนื้อหาของ
เรื่องในจารึกขาดความสมบูรณ์ ส่วนที่อักษรหายไป หรือลบเลือนไปนั้น ผู้อ่านจารึกใช้ความพยายาม เพ่ือให้ทราบ
ความหมาย โดยอาจจะอาศัยการเปรียบเทียบกับจารึกหลักอ่ืน หรือตีความตามความรู้ ความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นผลให้
เน้ือหาของเรอ่ื งในจารึกเกิดความผิดพลาดได้
12
3) จารึกมีเน้ือหาของเรื่องจากัด ขอบเขตอยู่เฉพาะบุคคล หรือเหตุการณ์ที่บุคคล หรือกลุ่มคนกระทาขึ้น ไม่
ครอบคลุมหลักฐานข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ ดังน้ันผู้ศึกษาจารึก จึงต้องอาศัยการวิเคราะห์ความจารึกประกอบด้วย
จึงเป็นเหตใุ หก้ ารตคี วามเน้ือหาจารกึ ผดิ พลาดได้
4) จารึกแต่ละช้ินพบในสถานท่ี และเวลาต่างกัน เป็นเหตุให้ประวัติหลักฐานการพบจารึก คลาดเคล่ือนจาก
ความเป็นจริง และยังมีการเคล่ือนย้ายจารึกจากท่ีอยู่เดิม ซ่ึงเป็นท่ีอันตรายจากภัยธรรมชาติบ้าง จากโจรภัยบ้าง เพ่ือ
นามาเกบ็ รักษาในท่ปี ลอดภัย การเคลื่อนย้ายดงั กล่าวไม่มีการบันทึกหลักฐานไว้ นานวนั ก็จาไมไ่ ด้วา่ เดิมจารกึ อย่ทู ี่ใด เป็น
เหตุให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะช่ือเมือง ชื่อสถานท่ีที่ปรากฏในจารึก ทาให้หลักฐานของแหล่งท่ีอยู่ผิดไปจากเดิม ซ่ึง
เปน็ เหตใุ ห้ขอ้ มูลคลาดเคลอื่ นได้
อย่างไรก็ดี หลักฐานที่ได้จากจารึก ก็ยังจัดเป็นหลักฐานเอกสารโบราณที่ถูกต้อง สมบูรณ์ในตัวเอง บ่งบอกนาม
บคุ คล นามพระเจ้าแผ่นดิน นามสถานท่ี และศักราชที่แน่นอน ช่วยแก้ไขพงศาวดาร หรือตานานที่ศักราชคลาดเคลือ่ นได้
อยา่ งดีที่สุด ในทางโบราณคดี และศิลปะ จารึกจะบอกเรื่องราวของโบราณสถาน และภูมิประเทศ อีกทั้งยังเป็นหลักฐาน
ยืนยันอายุสมัยของศิลปะโบราณวัตถ ุและโบราณสถาน ที่ มีส่วนสัมพันธ์ต่อกันด้วย และท่ีสาคัญจารึก จะเป็นส่วนช่วย
เสรมิ หรอื เนน้ ใหเ้ รอ่ื งราวใน ประวัติศาสตรช์ ัดเจนย่งิ ขน้ึ
การแปลเอกสารจารกึ
จารึกส่วนใหญ่ใช้รูปอักษร และภาษาในการบันทึกเรื่องราว หรือข้อความ ตามแบบอย่างความนิยมในยุคสมัย
แห่งอดีต ซึ่งเป็นอักษร และภาษาที่พ้นสมัยไปแล้ว คาศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในจารึกส่วนใหญ่เป็นโบราณิกศัพท์ ดังนั้นการ
แปลภาษาไทยโบราณเป็นภาษาไทยปัจจุบันน้ัน จะต้องศึกษาคาศัพท์จากวรรณกรรมโบราณ วรรณกรรมท้องถ่ิน รวมท้ัง
ภาษาท้องถ่ิน ท่ียังปรากฏใช้อยู่ เพ่ือให้สามารถรู้ความหมายของศัพท์โบราณได้ถูกต้อง และแปลให้ตรงตามคาศัพท์ทุก
คาศัพท์ ทุกประโยค ตรงตามหลักไวยากรณ์ของภาษา และยุคสมัยท่ีใช้อยู่ในจารึกนั้นๆ วิธีการแปล ควรจะแปลข้อความ
ในลักษณะประโยคต่อประโยค หรือบรรทัดต่อบรรทัด หากคาใด ประโยคใด มีปัญหาในด้านภ าษาก็ดี อักขรวิธีก็ดี
ไวยากรณ์ก็ดี ต้องทาคาอธิบายช้ีแจงไว้ให้ชัดเจน เช่น อธิบายไว้ที่เชิงอรรถ เป็นต้น ส่วนการแปลโดยวิธีสรุปเอาแต่
ใจความนั้น ควรกระทาในกรณีท่ีการแปลด้วยวิธีแรกไม่สะดวก เนื่องจากอักษรข้อความในจารึกขาดหายลบเลือน อ่าน
ไม่ได้เป็นช่วงๆ การเรียงประโยคตามหลักไวยากรณ์ของภาษาไม่ครบองค์ เป็นต้น การแปลโดยวิธีสรุปเอาแต่ใจความน้ี
ควรจะทาคาอธบิ ายขอ้ ความ คาศัพท์ และอื่นๆ ทจี่ าเป็น ประกอบไวใ้ หช้ ัดเจนด้วย
จารึกท่ีอ่านแปลแล้วนี้ มิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพ่ือให้ได้ทราบเรื่องราว ท่ีปรากฏอยู่ในจารึกเท่านั้น ส่ิงที่พึงได้
ประโยชน์อีกอย่างหน่ึง นอกเหนือจากคาแปลท่ีกล่าวแล้วน้ันคือ การรวบรวม และให้อรรถาธิบาย พร้อมทั้งบันทึก เป็น
หลักฐาน คาศัพท์ต่างๆ ซ่ึงจัดเปน็ โบราณิศพั ท์ และศพั ท์อื่นๆ ที่พ้นสมัยไปแล้ว เพื่อให้ทราบวา่ คาศัพท์นน้ั ๆ มีอยู่ในจารึก
ใด ดา้ นใด บรรทัดใด สมัยใด หรือศพั ทท์ ี่บนั ทกึ มีเมือ่ ใด รปู พยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ วางอยู่ในรปู อยา่ งไร ตาแหนง่ อะไร
ของประโยค ศัพท์คาเดียวกันนี้ ในยุคต่อมาได้เปลี่ยนแปลงตาแหน่ง รูปแบบการวางพยัญชนะอย่างไรบ้าง ความหมาย
เปล่ียนไปหรือไม่ ส่ิงต่างๆ เหล่าน้ี ต้องจัดทาเป็นประวัติของอักษรโบราณแบบต่างๆ ทาดรรชนีช่วยค้นหลักฐานดังกล่าว
เป็นข้อมูลที่จะนามาใช้เป็นปัจจัยลักษณะของรูปแบบอักษรในจารึก ใช้เกี่ยวกับการกาหนดอายุ และเปรียบเทียบสมัชชา
ประวตั ศิ าสตร์ และโบราณคดีอีกดว้ ย
13
การศึกษาวเิ คราะห์ข้อมลู จารึก
ขอ้ มูลต่างๆ ที่ได้จากจารึกนอกเหนือจากเรือ่ งราวที่ปรากฏในจารกึ นั้นแล้ว ทุกส่วนที่เป็นองค์ประกอบของจารึก
สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการศึกษาประวัติของกลุ่มชนในสังคม ผู้สร้างจารึกน้ันๆ และยังเป็นปัจจัยในการศึกษา
เก่ียวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี รวมท้ังความเชื่อของกลุ่มชนในอดีตเหล่าน้ันอีกด้วย
ในปัจจุบันการศึกษาจารึกได้พัฒนารูปแบบการศึกษาให้กว้างขวางขึ้น ได้มีการนาหลักฐานทางด้านโบราณคดี
และศลิ ปะ มาวเิ คราะห์ประกอบพร้อมกันไป กบั หลักฐานทปี่ รากฏในจารึก
แนวทางการศึกษาจารึก เพ่อื นามาใช้เป็นหลักฐานการศึกษาประวตั ิศาสตร์น้ัน ได้เริ่มขึ้นมานานแล้ว แต่เพ่ิงจะมี
การปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เมื่อปี พ.ศ. 2520 โดยทางกองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา
จารึกพ่อขุนรามคาแหงข้ึน ผลการประชุมสัมมนาคร้ังน้ัน ทาให้ได้แนวทางการศึกษาวิชาจารึก อย่างกว้างขวาง และจาก
การวิเคราะห์กลุ่มจารึก ซึ่งพบทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทาให้สรุปเร่ืองราวจากการวิเคราะห์จารึกได้ดังน้ี
1. บริเวณภาคใต้ เป็นบ้านเมืองที่มีกลุ่มชนหลายเช้ือชาติพานักอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นสังคมผสม มีอารยธรรม
หลายรูปแบบ จุดยืนของสังคมจึงต้องอาศัยศาสนาเป็นสาคัญ ซ่ึงปะปนกันอยู่ท้ังพระพุทธศาสนา และลัทธิในศาสนา
พราหมณ์ เน้ือหาของเร่อื งในจารึก จึงเนน้ หนกั ไปทางหลักธรรมคาสัง่ สอน อันเป็นหวั ใจของศาสนา ดังตัวอยา่ งขอ้ ความใน
จารึกหุบเขาช่องคอย จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหลักฐานที่บอกให้ทราบว่า กลุ่มชนผู้สร้างจารึก เป็นผู้นับถือศาสนา
ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ใช้ภาษาสันสกฤต ได้เดินทางมาพานักในบริเวณน้ันเป็นการช่ัวคราว ไม่ใช่กลุ่มชนท่ีอยู่ประจาถิ่น ใช้
สถานท่ีบรเิ วณทพี่ บจารกึ หุบเขาช่องคอยเปน็ ศวิ สถาน เพ่ือปฏบิ ัติศาสนกิจตามจารีตของตน พร้อมทงั้ อบรมส่ังสอนให้ผู้อยู่
ในสนั นิบาตนั้น สานกึ ในความเป็นคนตา่ งถ่นิ พลัดบ้านเมอื งมา สมควรประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พานักอาศัยอยู่ในสังคม
ที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันได้อย่างสุขสงบ ดังปรากฏความในจารึก กล่าวถึง การเคารพบูชาพระศิวะ พระสวามีแห่ง
นางวิทยาเทวี พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสดุ บุคคลใด สรรเสรญิ องคพ์ ระศิวะอยา่ งเทิดทนู บูชา บุคคลน้นั จะได้รบั พรจากพระองค์
ไมว่ ่าจะอยู่ ณ ที่ ใด ยอ่ มไดร้ ับการตอ้ นรับด้วยดที ุกสถาน
2. บริเวณภาคตะวนั ออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่ภู ายใต้อิทธิพลของอาณาจกั รกัมพชู า เป็นบ้านเมืองที่
มีความเป็นปึกแผ่นม่ันคง ประชาชนใช้ภาษาเขมร ขณะเดียวกันก็ได้พบจารึกใช้ภาษาสันสกฤต แล ภาษาบาลีปะปนอ ยู่
ดว้ ย เนื้อหาในจารกึ จะมุ่งแสดงพละกาลัง อานาจ และความย่ิงใหญ่ แม้จะเป็นเร่ืองที่สัมพันธ์กับศาสนา เช่น ข้อความใน
จารึกพระเจ้ามเหนทรวรมัน กล่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า จิตรเสน ผู้เป็นโอรสของ พระเจ้าศรีวีรวรมัน เป็น
พระนัดดาของ พระเจ้าศรีสารวเคามะ แม้โดยศักด์ิจะเป็นพระอนุชา แต่ก็เป็นพระเชษฐาของพระเจ้าศรีภววรมัน ผู้มีพระ
นามปรากฏในด้านคุณธรรมแต่พระเยาว์ พระเจ้าจิตรเสนได้รับพระนามอันเกิดจากการอภิเษกว่า พระเจ้าศรีมเหนทรวร
มนั (หลังจาก) ชนะประเทศ (กัมพูชา) น้ีทั้งหมด แล้วได้สรา้ งพระศิวลึงค์ อันเป็นเสมือนหนงึ่ เคร่ืองหมายแห่งชัยชนะของ
พระองค์ไว้บนภูเขานี้
3. บริเวณภาคกลาง เป็นบ้านเมืองท่ีมีความสงบสุข ได้พบจารึกภาษาสันสกฤต ภาษา บาลี ภาษามอญ และ
ภาษาเขมรปะปนกันอยู่ท่ัวไป ความในจารึกส่วนใหญ่เป็นเรื่องในคัมภีร์ พระพุทธศาสนา เช่น จารึกธรรมจักร และจารึก
เยธมฺมาฯ เปน็ ตน้
4. บริเวณภาคเหนือ หลักฐานทาง เอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏคร้ังแรก ในกลุ่มจารึกมอญโบราณ
ภาษามอญโบราณ พุทธศตวรรษที่ 17 พบท่ีจังหวัดลาพูน และเชียงใหม่ ตามหลักฐานน้ีแสดงให้เห็นว่า มอญ ใน
อาณาจักรหรภิ ญุ ชัยได้เจริญรงุ่ เร่ืองขึน้ นบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยา่ งเถรวาท
14
เรอื่ งที่ 3 วตั ถปุ ระสงค์ ประโยชน์ในการศกึ ษาจารึก
วัตถปุ ระสงคใ์ นการสรา้ งจารกึ
ความประสงค์ในการสรา้ งจารึก แม้จะมิได้ตั้งใจบันทึกเหตุการณ์สาคัญของสังคม หรือเร่ืองราวของบ้านเมือง ซึ่ง
เป็นเนื้อหาสาระที่นักประวัติศาสตร์ต้องการ แต่จารึกเป็นเอกสารท่ีบันทึกเร่ืองราวตามความเป็นจริง โดยนัก
ประวัติศาสตร์ ไม่อาจปฏเิ สธว่า จารึกเปน็ หลักฐานข้อมูลข้างต้น ที่ใช้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของสังคมในอดีตได้ โดยเลือก
ศึกษาเน้ือหาบางส่วนตามเป้าหมายท่ีต้องการ ท้ังน้ีเพราะผู้สร้างจารึกมีวัตถุประสงค์ในการสร้าง ไม่จากัดเรื่องราวที่จะ
บันทกึ เพยี งแต่เน้นเฉพาะกจิ กรรมส่วนบคุ คลเทา่ นนั้ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ สรุปได้วา่ การสรา้ งจารกึ มวี ัตถุประสงคด์ งั นี้คือ
1. เพ่ือเป็นกิตติกรรมประกาศ เช่น จารึก ปากน้ามูล จังหวดั อุบลราชาธานี เน้ือความในจารึกกล่าวถึง พระเจ้า
จิตรเสน ทรงสร้างรูปเคารพไว้ในสถานท่ีต่างๆ ตามคตินิยมของลัทธิไศวนิกาย เพื่อเป็นเคร่ืองหมายแห่งชัยชนะของ
พระองค์ ภายหลังเมื่อเสวยราชยแ์ ล้วไดเ้ ฉลิมพระนามวา่ พระเจา้ มเหนทรวรมัน
2. เพอื่ ให้ความรทู้ างศาสนาและสอนธรรม เช่น จารึกวัดศรชี ุม จังหวัดสุโขทัย เนื้อความในจารกึ กลา่ วถงึ ประวัติ
ส่วนตัวของสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา เมื่อยังเป็นฆราวาสทรงเป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง ด้วยศิลปวิทยาการต่างๆ
ต่อมาทรงเบอ่ื หน่ายในฆราวาสวิสยั มศี รัทธาเลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนา จึงออกผนวช ได้บาเพ็ญกุศลสร้างถาวรวตั ถตุ ่างๆ
ไว้กับพระพุทธศาสนาเปน็ จานวนมาก
3. เพือ่ บนั ทกึ ประวัตเิ ร่ืองราวและเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ เช่น จารึกสต๊กก๊อกธม จังหวัดปราจีนบุรี เน้ือความในจารึก
กล่าวถึง พระเจ้าอาทิตยวรมันที่ 2 ทรงปฏิสังขรณ์ปราสาทสต๊กก๊อกธมแห่งนี้ ทั้งยังได้บันทึกประวัติการสืบสายสกุลของ
พราหมณ์ปโุ รหติ ประจาราชสานักกษัตรยิ ก์ มั พชู าไวด้ ้วย
จารึกบนฐานพระพุทธรูปยืนวัดมหาธาตุ เมอื ง
ลพบุรเี นือ้ หาในจารกึ กลา่ วถึงอธิบดีแห่งชาวเมือง
ตังคุระไดส้ ร้างพระพุทธรปู ยนื น้ี
จารึกปากนา้ มูล จ.อบุ ลราชธานี เป็นจารกึ ทีส่ รา้ ง
ดว้ ยวัตถปุ ระสงค์เพื่อเปน็ กติ ติกรรมประกาศของ
พระเจา้ จติ รเสน
15
ประโยชนใ์ นการศกึ ษาจารึก
วตั ถุประสงค์ของการศึกษาจารึก ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชงิ วชิ าการสาขาต่างๆ เน่ืองจากจารึกเป็นแหลง่ ข้อมูล
เร่ืองราวในอดีต สมัยเม่ือยังไม่มีหนังสือพงศาวดาร หรือตานาน นอกจากจารึกแล้ว ไม่มีแหล่งข้อมูลอ่ืนใดท่ีจะบอกให้รู้
เรื่องราวของบ้านเมืองในอดีต แม้ในสมัยเม่ือมีหนังสือพงศาวดาร หรือตานานแล้วก็ดี จ ารึกก็ยังคงเป็นประโยชน์
โดยเฉพาะขอ้ มลู ทางศกั ราช ซ่ึงในหนังสอื พงศาวดาร หรือตานาน มักจะคลาดเคลื่อนเสมอ แต่ถา้ ปรากฏในจารึก ก็จะช่วย
ใหร้ ู้เรอ่ื งได้ถูกตอ้ งแนน่ อน
จารึกเป็นหลักฐานแสดงถึงรูปอักษร และภาษา ต่างกันไปตามยุคสมัย ฉะนั้นการที่พบจารึกในจังหวัดต่างๆ ทุก
ภูมิภาคของประเทศไทย ทาให้ได้ทราบถึงอารยธรรมทางด้านการใช้ภาษาของกลุ่มชน ซึ่งอาศัยอยู่ในภูมิภาคเหล่าน้ัน
ทั้งนี้เพราะอักษร และภาษา เป็นองค์ประกอบสาคัญในการดารงชีวิตอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ และเป็นส่ือกลาง สาหรับ
เช่ือมโยงความคิดจิตใจ เป็นเคร่ืองสร้างสรรค์ความเข้าใจอันดีระหว่างคนในกลุ่มชนน้ันๆ และคนในชาติเดียวกัน รวมถึง
ชาตอิ ่ืน ท่ีมีสัมพันธภาพต่อกันดว้ ย นอกจากน้ันอกั ษร และภาษา ยงั เป็นเครอื่ งแสดงอารยธรรมความเจริญ และอิสรภาพ
ทางดา้ นวัฒนธรรม และบ่งบอกววิ ฒั นาการของอักษร และภาษาอกี ดว้ ย
เนอ่ื งจากจารึกสรา้ งด้วยวัตถุท่ีมีความแขง็ แรงคงทนถาวร เนื้อหาของจารึกจะบันทกึ เฉพาะกจิ กรรมของบคุ คล ซึ่ง
มีส่วนสัมพันธ์กับจารึก และเรื่องเกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เร่ืองที่บันทึกในจารึกเป็นจริง ทั้งชื่อบุคคล นามสถานที่
และศักราช เนื้อหา และถ้อยคาสานวนในจารึก จึงเป็นเร่ืองราว และถ้อยคาในอดีต ซึ่งได้ตกทอดมาจนถงึ ปัจจุบัน โดยไม่
มีการปรับปรงุ แก้ไขแตป่ ระการใด
เร่ืองท่ี 4 คณุ คา่ ของหลักศิลาจารึก
ศลิ าจารึกน้ีแม้มเี น้ือความส้นั เพียง 124 บรรทดั แต่บรรจเุ รอื่ งราวทอ่ี ุดมด้วยคุณคา่ ทางวิชาการหลายสาขา ท้ังใน
ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐกิจสังคม ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ศาสนา และจารีตประเพณี
ด้านนิติศาสตร์ ศิลาจารึกหลักน้ีอาจถือว่า เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญเทียบได้กับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ มีการ
กาหนดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และรักษาสิทธิมนุษยชน เห็นได้จากข้อความที่กล่าวถึง มีการคุ้มครองเชลยศึก
นอกจากน้ี ยังมีข้อความเสมือนเป็นบทบัญญัติในกฎมณเฑียรบาลและบทบัญญัติในกฎหมายแพ่งลักษณะครอบครัวและ
มรดก ตลอดจนการพิจารณาความแห่งและอาญา
16
ด้านนติ ิศาสตร์ ศิลาจารึกหลักน้ีอาจถือว่า เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญเทียบได้กับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของ
อังกฤษ มีการกาหนดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และรักษาสิทธิมนุษยชน เห็นได้จากข้อความท่ีกล่าวถึง มีการคุ้มครอง
เชลยศึก นอกจากนี้ ยังมีข้อความเสมือนเป็นบทบัญญัติในกฎมณเฑียรบาลและบทบัญญัติในกฎหมายแพ่งลักษณะ
ครอบครวั และมรดก ตลอดจนการพจิ ารณาความแพ่งและอาญา
ด้านรัฐศาสตร์ ศิลาจารึกหลักน้ีได้กล่าวถึงความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนว่า พ่อขุนรามคาแหง
มหาราชโปรดให้ข้าราชบริพารเข้าเฝ้าปรึกษาราชการได้ทุกวัน ยกเว้นวันพระ และเปิดโอกาสให้ราษฎรมาสั่นกระด่ิงเพ่ือ
อุทธรณ์ฎกี าได้ทุกเมอื่
ด้านเศรษฐกิจ ข้อความที่จารึกไว้ว่า "ในน้ามีปลา ในนามีข้าว" แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยนั้น มี
ความม่ันคงมาก นอกจากนี้ยังมกี ารชลประทาน การเกษตรกรรมอดุ มสมบูรณ์ และการคา้ ขายกท็ าโดยเสรี
ด้านประวัติศาสตร์ ศิลาจารึกหลักนี้ช่วยให้เราได้ทราบถึงประวัติความรุ่งเรืองชองชาติไทยในยุคสุโขทัย และ
ประวัติเรื่องราวอ่ืนๆ เช่น ประวัตริ าชวงศ์สุโขทัย ประวัติการรวบรวมอาณาจักรไทยให้เป็นปึกแผ่น ประวัติการค้าโดยเสรี
ประวตั กิ ารสบื สร้างพระพทุ ธศาสนา และการประดษิ ฐล์ ายสอื ไทย
ด้านภูมิศาสตร์ ศิลาจารึกหลักน้ีได้ระบุอาณาเขตของสุโขทัยไว้อย่างชัดแจ้ง กล่าวถึงว่าทิศตะวันออก จด
เวียงจันทน์ เวียงคา ทิศใต้จดศรีธรรมราช และฝ่ังทะเล ทิศตะวันตกถึงหงสาวดี ทิศเหนือถึงเมืองแพร่ น่าน พล่ัว มีการ
กล่าวถึงชือ่ เมืองสาคัญต่างๆ หลายเมอื ง เช่น เชลียง เพชรบุรี นอกจากน้ียังไดพ้ รรณนาแหล่งทามาหากนิ และและแหล่งที่
อยอู่ าศัยของชาวเมืองสโุ ขทยั ไว้
ด้านภาษาศาสตร์ ลายสือไทยสมัยพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชมคี วามสมบรู ณ์ทั้งสระและพยัญชนะ สามารถเขียน
คาภาษาไทยไดท้ กุ คา และสามารถเลียนเสียงภาษาต่างประเทศไดด้ ีกว่าอักษรแบบอื่นๆ เป็นอันมาก มกี ารใช้อกั ขรวิธีแบบ
นาสระและพยัญชนะมาเรียงไวใ้ นบรรทดั เดียวกนั ซึ่งทาให้ประหยัดทั้งเนือ้ ที่และเวลาในการเขียน ภาษาเป็นสานวนง่ายๆ
และมีภาษาต่างประเทศบ้าง ประโยคท่ีเขียนก็ออกเสียงอ่านได้เป็นจังหวะคล้องจองกันคล้ายกับการอ่านร้อยกรองด้าน
วรรณคดี ศิลาจารึกหลักนี้จัดว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของไทย เพราะมีข้อความไพเราะลึกซึ้งและกินใจ ก่อให้เกิด
จินตนาการไดง้ ดงาม
17
ด้านศาสนา ข้อความในศิลาจารึกนี้ มีหลายตอนท่ีแสดงใหเ้ ห็นว่า พระพุทธศาสนาซึง่ เป็นศาสนาประจาชาตไิ ทย
ในสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราชน้ัน ได้รบั การอุปถัมภ์เชิดชอู ย่างดีย่ิง ประชาชนชาวไทยได้ทานุบารุงพระพุทธศาสนาให้
มีความเจริญรุ่งเรืองสูงส่ง มีการสร้างปูชนียสถานและปูชนียวัตถุไว้เป็นจานวนมาก พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยสร้างขึ้นด้วย
ความศรัทธาในพระศาสนา จึงมีศิลปะงดงามย่ิง แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถจะสร้างให้งามทัดเทียมได้ด้านจารีต
ประเพณี ศิลาจารึกหลักนช้ี ว่ ยให้ทราบวา่ สมยั สุโขทยั นั้นมีหลักจารีตประเพณีหลายประการท่ีประชาชนนับถือและปฏิบัติ
กันอยู่ มีทั้งประเพณที างพระพุทธศาสนาและประเพณีอื่น ๆ เชน่ ประเพณรี ักษาศีลเม่ือเข้าพรรษา ประเพณีฟงั ธรรมในวัน
พระ ประเพณกี ารทอดกฐิน ประเพณีการเผาเทียนเลน่ ไฟ เปน็ ต้น
ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราชน้ี เป็นเอกสารที่สาคัญย่ิงชิ้นหนึ่งของชาติไทย เป็นมรดกอันล้าค่าและ
ทรงคณุ ค่าอยา่ งยง่ิ มีสาระประโยชน์แกช่ าติบ้านเมืองนานัปการ ควรพิทักษร์ ักษาไวใ้ หด้ ารงคงอยคู่ ู่ชาติไทยตลอดกาล
และเป็นท่ีนา่ ยินดอี ย่างย่ิงท่ีคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (องค์การยูเนสโก) ได้ประชุมเม่ือวันที่ 28-30 สิงหาคม 2546 ที่เมือง Gdansk ประเทศโปแลนด์ โดยได้
พิจารณาใบสมัครจานวน 43 รายการ จาก 27 ประเทศทั่วโลก ผลการประชุมมีมติสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ให้องค์การ
ยูเนสโกจดทะเบียนระดับโลก ศิลาจารึกหลักท่ี 1 ของพ่อขุนรามคาแหง พร้อมกับอีก 22 รายการ จาก 20 ประเทศ ท้ังนี้
โครงการมรดกความทรงจาของโลกเปน็ โครงการเพอื่ อนุรกั ษ์และเผยแพร่มรดกความทรงจาท่ีเป็นเอกสาร วัสดหุ รือข้อมูล
ข่าวสารอื่นๆ เช่น กระดาษ ส่ือทัศนูปกรณ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย แต่จะต้องมีความสาคัญในระดับนานาชาติ และ
จะตอ้ งมีการเก็บรักษาในความทรงจาในระดับชาติและระดับภูมิภาคอยแู่ ล้ว ซง่ึ เมื่อองค์การยูเนสโกไดป้ ระกาศจดทะเบียน
แล้ว ประเทศเจ้าของมรดกมีพันธกรณีทางปัญญาและทางศีลธรรมท่ีจะต้องอนุรักษ์ ให้อยู่ในสภาพที่ดี และเผยแพร่ให้
ความรแู้ ก่มหาชนอนุชนรุน่ หลังทั่วโลกให้กวา้ งขวาง เพ่ือให้มรดกดงั กล่าวอยู่ในความทรงจาของโลกตลอดไป
นับเป็นความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยรามคาแหงอย่างย่ิงที่นอกเหนือจากเป็นสถาบันการศึกษาภายใต้พระ
นาม พ่อขุนรามคาแหงมหาราช กษัตรยิ ์ผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่แก่ชาติไทยแล้ว ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราช อันเป็น
ตราประจามหาวิทยาลยั รามคาแหง ยังไดร้ ับการยกยอ่ งไปทว่ั โลกว่าเปน็ มรดกความทรงจาของโลก
ศิลาจารกึ มรดกแหง่ ความทรงจาโลก
คณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติของ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United
Nations Educational Scientific and Cultural Organization - UNESCO) ได้ประชุมกันเมื่อวันท่ี 28-30 สิงหาคม ปี
พระพทุ ธศักราช 2556 ทเ่ี มืองกแดนซค์ (Gdansk) เพ่ือพิจารณาจดทะเบยี นระดบั โลก (World Register) ศลิ าจารึกหลัก
ที่ 1 ของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ภายใตโ้ ครงการมรดกความทรงจาของโลก (Memory of the World Project)
18
ผลการประชุมในครั้งน้ันมีมติสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้ UNESCO จดทะเบียน ศิลาจารึกหลักท่ี 1 ของพ่อ
ขุนรามคาแหงมหาราช เป็นมรดกความทรงจาของโลก ด้วยถือว่าเป็นหลักฐานที่มีความสาคัญ ทางด้านประวัติศาสตร์
การปกครอง การคา้ และวัฒนธรรมของอาณาจกั รสุโขทยั ซงึ่ นับวา่ มีความสาคัญกับนานาชาติ
ทั้งนี้ โครงการมรดกความทรงจาของโลก เป็นโครงการเพ่ือการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกความทรงจาที่เป็น
เอกสาร วัสดุ ข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เช่น กระดาษ สื่อทัศนูปกรณ์ และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ด้วย แต่จะต้องมีคว ามสาคัญใน
ระดบั นานาชาติ และจะตอ้ งมีการเก็บรักษาในความทรงจา ในระดบั ชาติและระดับภูมภิ าคอย่แู ล้ว
ซ่ึงเม่ือองค์การยูเนสโกได้ประกาศจดทะเบียนแล้ว ประเทศเจ้าของมรดกจะมีพันธกรณีทางปัญญาและทาง
ศีลธรรม ท่ีจะต้องอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพที่ดี และเผยแพร่ให้ความรู้แก่มหาชนอนุชนรุ่นหลังท่ัวโลกให้กว้างขวาง เพ่ือให้
มรดกดงั กลา่ วอยูใ่ นความทรงจาของโลกตลอดไป
19
กจิ กรรมท้ายบท
คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1.จงอธบิ ายประวตั ขิ องศลิ าจารกึ มาพอสังเขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………….........................................................…………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จงอธบิ ายลักษณะของจารกึ ทพ่ี บในประเทศไทย มาอยา่ งน้อย 3 ลกั ษณะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3.จงประโยชนข์ องการจารกึ มาพอสังเขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
20
บทท่ี 2
ความเปน็ มาของศลิ าจารึก
สาระสาคัญ
ประวัติความเป็นมาของศิลาจารึกและการแปลความจารึกพ่อขุนรามคาแหง จารึกวัดศรีชุม จารึกนครชุม
จารึกวัดป่าม่วง และจารกึ วัดอโสการาม
ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง
1. ผเู้ รยี นทราบประวัติความเป็นมาและเข้าใจความหมายของจารึกทงั้ 6 หลัก
ขอบข่ายเนอื้ หา
ประวตั คิ วามเปน็ มาและการแปลความจารกึ ทงั้ 6 หลกั
21
ประวัติความเปน็ มาและการแปลความจารึกทั้ง 6 หลัก
ประวัตคิ วามเปน็ มาและการแปลความของศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง
จารกึ หลักที่ 1 ปัจจบุ ันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทาจากหินทรายแป้ง ลักษณะเป็นหลกั สเ่ี หล่ยี มด้านเท่าทรง
กระโจม หรอื ทรงยอ กว้างด้านละ 35 เซนตเิ มตร สูง 111 เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสโุ ขทัย ภาษาไทย ปี พ.ศ.1835
เม่ือปี พ.ศ.2376 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ครงั้ ดารงพระอสิ รยิ ยศ สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอเจ้าฟ้า
มงกุฎ ขณะทรงผนวชได้เสด็จจาริกหัวเมืองฝ่ายเหนือถึงเมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบศิลาจารึกหลักน้ีพร้อมพระแท่น มนัง
คศิลาบาตร ณ โคกปราสาทร้าง จึงได้โปรดให้นาเข้ากรุงเทพ ฯ ในขั้นแรกเก็บรักษาไว้ที่วัดราชาธิวาส เพราะทรงประทับ
อยู่ ณ ท่ีวัดนั้น ต่อมาเมอ่ื ทรงยา้ ยไปประทบั ท่ีวัดบวรนเิ วศวิหาร จึงโปรดให้ยา้ ยไปไวท้ วี่ ดั บวร ฯ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงอ่านศลิ าจารึกหลักนไ้ี ดเ้ ป็นพระองคแ์ รก เมื่อปี พ.ศ.2379 และหอสมุด วชิร
ญาณไดจ้ ัดพมิ พ์เป็นครั้งแรก เม่อื ปี พ.ศ.2440
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ท่ีถูกเรียกกันว่าเป็นนักวิชาการบางคน และพรรคพวกท่ีมีความเห็นอย่างเดียวกัน บางพวก
ไม่เชื่อว่าเป็นศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคาแหงสร้างขึ้นไว้เมอ่ื ประมาณ เจ็ดร้อยปกี ่อน จึงไดม้ ีการพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์
ตามท่ีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเสนอแนะไว้ในคราวประชุม
ใหญ่ ฯ เมอ่ื วันท่ี 4 มนี าคม พ.ศ.2532 โดยมอบหมายใหน้ ักวิทยาศาสตร์ ประจากรมศลิ ปากร และกรมทรัพยากรธรณี ทา
การวจิ ยั เรือ่ ง การพิสูจนศ์ ิลาจารึกหลักที่ 1 ด้วยวิธีวทิ ยาศาสตร์ โดยนาศิลาจารึกทท่ี าด้วยหินทรายแป้ง ชนิดเดียวกบั ศิลา
จารึกหลักท่ี 1 และถูกท้ิงกราแดดกราฝน คือศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุนครชุม เมืองกาแพงเพชร (จารึกหลักที่ 3) ศิลา
จารึกวัดมหาธาตุ (จารึกหลักท่ี 45) พระแท่นมนังคศิลาบาตร และจารึกชีผ้าขาวเพสสันดรวัดข้าวสารมาเปรียบเทียบกัน
ผ้วู ิจัยไดใ้ ชแ้ ว่นขยายรังสอี ัลตร้าไวโอเลต และรังสีอินฟราเรด กล้องจลุ ทรรศน์อิเลคตรอน เป็นเครื่องมือสาคัญในการตรวจ
พิสูจน์ เม่ือเปรียบเทียบวิเคราะห์หลาย ๆ จุดบนตัวอย่างแต่ละตัวอย่างแล้ว หาค่าเฉลี่ยพบว่า ความแตกต่างของ
องค์ประกอบท่ีผิวกับส่วนท่ีอยู่ข้างในของศลิ าจารึกหลกั ท่ี 1 หลักที่ 3 และหลักที่ 45 มสี ัดส่วนใกลเ้ คยี งกัน จงึ สรุปผลการ
พสิ ูจน์ว่า
"ผลปรากฏว่าผิวของหินตรงร่องท่ีเกิดจากการจารึกตัวอักษรมปี ริมาณแคลไซด์ลดลงมากใกลเ้ คยี งกบั ผวิ ส่วนอ่ืน ๆ
ของศิลาจารึกหลักที่ 1 จนสามารถมองเห็นเป็นชั้นที่มีความแตกต่างได้ชัดเจน แสดงว่าเป็นการจารึกในช่วงเวลาเดียวกัน
หรือใกล้เคียงกันกับการสกัดก้อนหินออกมาเป็นแท่งแล้วขัดผิวให้เรียบ มิใช่เป็นการนาแท่งหินที่ขัดผิวไว้เรียบร้อยในสมัย
สุโขทยั แล้วนามาจารกึ ข้ึนใหมใ่ นสมยั รัตนโกสนิ ทร์ "
22
จากความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว แสดงว่าศิลาจารึกหลักท่ี 1 ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุ
สลายมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึก หลักท่ี 3 หลักที่ 45 และหลักท่ีกล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสัดร จึงเป็นอัน
ยุติว่า ศิลาจารึกหลักท่ี 1 เปน็ ของดั้งเดมิ มิใช่ทาขึ้นใหม่ อย่างท่กี ลุ่มคนบางจาพวกยกเป็นประเด็นข้ึนมา สาระสาคัญของ
ศิลาจารกึ หลกั ที่ 1 เบื้องตน้ เปน็ การบอกเลา่ พระราชประวตั พิ ่อขุนรามคาแหง ซึ่งทรงบอกเลา่ ดว้ ยพระองค์เอง ตง้ั แต่ทรง
พระเยาว์จนถึงข้ึนครองราชย์ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยสุโขทัย ท่ีอยู่
รว่ มกันด้วยน้าใจไมตรี เคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ความมีใจบุญสุญทาน เอื้ออาทรกัน ให้ทานและรักษาศีลกัน
เปน็ ประจา
ในจารึกให้ข้อมูลว่า พ่อขุนรามคาแหงทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ในปีมหาศักราช 1205 ซ่ึงตรงกับ ปี พ.ศ.
1826 ต่อมาในปี มหาศักราช 1214 (พ.ศ.1835) พ่อขุนรามคาแหงทรงให้ช่างนาหินทรายแป้งมาทาพระแท่นชื่อ พระ
แท่นมนังคศิลาบาตร ตั้งไว้ท่ีกลางดงตาล ในวันพระแปดค่า สิบห้าค่า จะนิมนต์พระเถระข้ึนน่ังบนพระแท่นแล้วแสดง
ธรรมให้ลูกจ้าวลูกขุนไพร่ฟ้าข้าไท ท่วยปั่ง ท่วยนางทั้งหลายได้สดับตรับฟัง ในวันธรรมดาพ่อขุนรามคาแหง ทรงข้ึน
ประทับน่ังว่าราชการงานเมือง และตัดสินคดีความที่ไพร่ฟ้าหน้าปกมาร้องทุกข์ ทรงโปรดให้แขวนกระด่ิงไว้ เพ่ือให้ผู้ที่มี
ความทุกขร์ อ้ นมาสัน่ กระดงิ่ รอ้ งทกุ ข์
ด้านการพระพุทธศาสนา พ่อขุนรามคาแหงทรงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชมา
รว่ มกับภิกษุสงฆฝ์ ่ายเถรวาทเดิม ผู้สืบทอดมาแต่พระโสนะเถระ และพระอุตรเถระให้มาอบรมสั่งสอนชาวสุโขทัย ปรากฏ
ว่าพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสีอย่างชัดเจน มีการต้ังสมณศักด์ิเป็นปู่ครู เถระ มหาเถระ แก่พระภิกษุผู้ดารง
ตาแหน่งในทางปกครอง คนสุโขทัยในสมัยนั้น จึงทรงศีลเม่ือพรรษาทุกคน โดยวันธรรมดารักษาศีลห้า ในวันธรรมสวนะ
หรอื วนั พระรักษาศลี แปด หรอื ศลี อุโบสถตามแตศ่ รทั ธา
ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง มีงานนักขัตฤกษ์เผาเทียนเล่นไฟ อันเป็นที่มาของงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียน
เลน่ ไฟ ซงึ่ เป็นงานทยี่ ่ิงใหญข่ องชาวสโุ ขทยั มีชอื่ เสียงไปทั่วโลก
ดา้ นการปกครอง จารกึ ไว้วา่ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทศิ ตะวนั ออกตง้ั แต่สรลวงสองแคว(พษิ ณโุ ลก) เลย จาก
ลุ่มบาจายสะคาไปถึงเวียงจนั ทน์ ทิศใตต้ ั้งแต่สพุ รรณบุรี ราชบุรี เลยนครศรีธรรมราชไปสุดแผน่ ดนิ จดทะเลมหาสมุทร ทิศ
ตะวันตกเลยเมืองฉอด ไปถงึ เมอื งหงสาวดมี มี หาสมุทรเปน็ แดน ทศิ เหนอื ถงึ แพรน่ า่ นขา้ มฝ่งั โขงไปถงึ เมืองหลวงพระบาง
23
ศิลาจารกึ พอ่ ขุนรามคาแหง หลกั ท่ี 1 ด้านท่ี 1
24
คาแปลความศลิ าจารึกพอ่ ขุนรามคาแหง หลักที่ 1 ดา้ นท่ี 1
พอ่ กูช่อื ศรีอินทราทติ ย์ แม่กูช่อื นางเสือง พก่ี ูชื่อบานเมือง ตูมีพี่น้องท้องเดียวหา้ คน ผู้ชายสาม ผ้หู ญิงสอง พ่ีเผือผู้
อา้ ยตายจากเผอื ตัง้ แต่ยงั เล็ก
เมอ่ื กูขนึ้ ใหญ่ไดส้ ิบเก้าเขา้ ขนุ สามชนเจา้ เมืองฉอดมาทเ่ มอื งตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหวั ซา้ ย ขนุ สามชนขับมา
หวั ขวา ขนุ สามชนเกลอื่ นเข้า ไพร่ฟา้ หนา้ ใสพ่อกู หนญี ญ่ายพายจะแจ้น กบู ห่ นี กขู ีช่ า้ งเบกพล กูขบั เข้ากอ่ นพ่อกู กูต่อชา้ ง
ดว้ ยขนุ สามชน ตนกูพุ่งชา้ ง ขุนสามชนตัวชือ่ มาสเมอื งแพ้ ขุนสามชนพา่ ยหนี พ่อกูจงึ่ ข้นึ ช่อื กชู อื่ พระรามคาแหง เพราะกู
พุง่ ชา้ งขุนสามชน
เมื่อชั่วพ่อกู กูบาเรอแก่พอ่ กู กบู าเรอแก่แม่กู กูได้ตวั เน้ือตัวปลา กูเอามาแก่พอ่ กู กูไดห้ มากส้มหมากหวาน อันใด
อันกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแกพ่ ่อกู กูไปท่บา้ นทเ่ มือง ได้ชา้ งไดง้ วง ไดป้ ั่วได้นางได้เงือน
ได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่าบาเรอแก่พ่ีกู ด่ังบาเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูท้ัง(ก)ลม
เม่ือช่ัวพ่อขุนรามคาแหง เมืองสุโขทัยน้ดี ี ในน้ามีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบเ่ อาจกอบในไพร่ ลูทา่ งเพือ่ นจูงวัวไป
คา้ ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างคา้ ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้าไพร่ฟ้าหน้าใสลูกเจ้าลกู ขุนผู้ใดแล้ ล้ม
ตายหายกว่าเหย้าเรือนพ่อเช้ือเสื้อคามัน ช้างขอลูกเมียเยียเข้า ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากป่าพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันส้ิน
ไพรฟ่ ้าลกู เจ้าลกู ขุน ผิแล้ผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแทแ้ ล จึ่งแล่งความแกเ่ ขาด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักนักมกั ผู้ซ่อน เห็น
ข้าวท่านบ่ใคร่พีน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่อยเหนือเฟื้อกู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีป่ัวบ่มีนาง
บ่ มี เงิน บ่ มี ท อง ให้ แก่ มั น ช่ อย มั น ต วงเป็ น บ้ าน เป็ น เมื อ ง ได้ ข้ าเสื อ กข้ าเสื อ หั วพุ่ งหั วรบ ก่ดี บ่ ข้ าบ่ ตี
ในปากประตูมีกด่ิงอันหนึ่งแขวนไว้ห้ัน ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจัก
กลา่ วเถิงเจ้าเถิงขนุ บไ่ ร้ ไปลัน่ กระดิง่ อนั ท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคาแหงเจา้ เมอื งได้
25
ศิลาจารกึ พอ่ ขุนรามคาแหง หลกั ท่ี 1 ด้านท่ี 2
26
คาแปลความศลิ าจารึกพ่อขุนรามคาแหง หลกั ที่ 1 ดา้ นที่ 2
เมือถาม สวนความแก่มันด้วยซ่ือ ไพร่ในเมืองสุโขทัยน้ีจ่ึงชมสร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็
หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองน้ี หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน
กลางเมืองสโุ ขทัยั นี้ มีน้าตระพังโพยสใี สกนิ ดี…ดง่ั กินนา้ โขงเม่ือแล้ง รอบเมอื งสโุ ขทัยนี้ตรีบรู ได้สามพันส่ีร้อยวา คนในเมือง
สุโขทัยน้ีมักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมืองสุโขทัยน้ี ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยป่ัวท่วยนาง ลูกเจ้า
ลูกขนุ ทั้งส้ินท้งั หลาย ท้ังผู้ชายผู้ญีงฝูงทว่ ยมศี รทั ธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมอ่ื พรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐิน
เดอื นหน่ึงจึงแลว้ เม่อื กรานกฐินมีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนน่ังหมอนโนน บริพารกถินโอยทานแล้ปีแล้
ญบิ ล้าน ไปสูตญัติกฐินถึงอรัญญิกพู้น เม่ือจักเข้ามาเวียงเรียงแต่อรัญญิกพู้น เท่าหัวลานดบงคด้วยเสียงพาดเสียงพิณเสียง
เล้ือนเสียงขับ ใครจักมักเหล้นเหล้น ใครจักมักหัว หัวใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยน้ีมีส่ีปากประตูหลวง เท้ียนย่อม
คนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยน้ีมีดั่งจักแตก กลางเมืองสุโขทัยน้ีมีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มี
พระอัฏฐารศ มีพระพทุ ธรูป มีพระพทุ ธรูปอันใหญ่ มพี ระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่มพี ิหารอันราม มีปู่ครูนิสัยมตุ ก์ มี
เถร มีมหาเถรเบ้ืองตะวันตกเมืองสุโขทยั น้มี ีอไรญิก พ่อขนุ รามคาแหงกระทาโอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบ
ปิฎกไตรหลวกกวา่ ปู่ครใู นเมืองนี้ ทุกคนลุกแตเ่ มืองศรีธรรมราชมา ในกลางอรญั ญิก มีพหิ ารอันหนึ่งงมนใหญ่ สูงงามแก่กม
มพี ระอฏั ฐารศอันหนึ่งลกุ ยนื เบื้องตะวนั ออกเมอื งสุโขทยั นี้มีพิหารมีปู่ครู มที ะเลหลวง มีป่าหมากปา่ พลู มีไร่มนี ามถี นิ่ ถา้ น
มบี ้านใหญบ่ า้ นเลก็ มปี ่ามว่ งมีป่าขาม ดูงามดงั่ แกล้ (งแต)่ ง
27
ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง หลักท่ี 1 ด้านที่ 3
คาแปลความศิลาจารึกพอ่ ขุนรามคาแหง หลกั ที่ 1 ดา้ นที่ 3
(งแต่)ง เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยน้ี มีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่ มี
นา มีถ่ินถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรดีภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วง
ป่าขาม มีน้าโคก มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันน้ัน เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองน้ี ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยน้ีแล้ ไหว้ดีพลีถูก
เมืองน้ีเท่ียง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอ้ันบค่ ุ้มบ่เกรง เมืองน้ีหาย 1214 ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมือง
ศรีสัชชนาลัยสุโขทัยน้ี ปลูกไม้ตาลน้ี ได้สิบส่ีเข้า จึงให้ช่ังพันขดานหิน ต้ังหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอกแปด
วนั วันเดือนเต็ม เดอื นบ้างแปดวนั ฝงู ปคู่ รู เถร มหาเถร ขนึ้ นั่งเหนือขดานหนิ สดู ธรรมแก่อบุ าสก ฝูงท่วยจาศีล ผิใชว่ นั สูด
ธรรม พ่อขุนรามคาแหง เจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่งเหนือขดานหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือ
เมือง คร้ันวันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยาง เที้ยรย่อมทองงา... (ซ้าย) ขวา ชื่อรูจาครี พ่อขุน
รามคาแหง ข้ึนข่ีไปนบพระ (เถิง) อรัญญิกแล้วเข้ามา จารึกอันณื่ง มีในเมืองชเลียง สถาบกไว้ ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึก
อนั ณ่ืง มีในถ้ารัตนธาร ในกลวงป่าตาลนี้ มีศาลาสองอนั อันณื่งช่อื ศาลาพระมาส อันณ่ืงชอื่ พุทธศานา ขดานหินนี้ ช่ือมนัง
ศิลาบาตร สถาบกไวน้ ่ี จึง่ ทง้ั หลายเห็น
28
ศลิ าจารึกพอ่ ขุนรามคาแหง หลกั ท่ี 1 ด้านท่ี 4
คาแปลความศลิ าจารกึ พ่อขุนรามคาแหง หลักท่ี 1 ด้านที่ 4
พอ่ ขนุ พระรามคาแหง ลกู พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์เป็นขนุ ในเมอื งศรสี ชั ชนาลัยสุโขทัย ทง้ั มากกาวลาว แลไทยเมือง
ใตห้ ล้าฟา้ ฎ... ไทยชาวอชู าวของมาออก 1207 ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลายเหน็ กระทาบชู าบาเรอแก่พระธาตุ
ไดเ้ ดอื นหกวัน จ่ึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรสี ชั ชนาลัยก่อพระเจดยี เ์ หนอื หกเขา้ จึ่งแล้ว ตั้งเวยี งผาลอ้ มพระมหาธาตุ สาม
เข้าจึง่ แลว้ เมื่อก่อนลายสอื ไทยนบี้ ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคาแหง หาใครใ่ จในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยน้ี
จ่ึงมีเพ่ือขุนผู้น้ันใส่ไว้ พ่อขนุ รามคาแหงนนั้ หา เป็นท้าวเปน็ พระยาแก่ไทยทัง้ หลาย หาเป็นครูอาจารยส์ ั่งสอนไทยท้งั หลาย
ใหร้ ู้บุญร้ธู รรมแท้ แต่คนอนั มีในเมอื งไทยด้วย รดู้ ว้ ยหลวก ดว้ ยแกล้วดว้ ยหาญ ดว้ ยแคะ ด้วยแรง หาคนจกั เสมอมิได้ อาจ
ปราบฝูงขา้ เสกี มเี มืองกวา้ งช้างหลาย ปราบเบ้อื งตะวนั ออก รอด สรลวง สองแคว ลมุ บาจาย สคา เทา้ ฝ่งั ของเถงี
เวียงจันทนเ์ วียงคาเปน็ ทแี่ ลว้ เบ(ื้ อ)งหัวนอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบรุ ี เพรชบรุ ี ศรีธรรมราช ฝง่ั
29
ทะเลสมุทรเป็นทีแ่ ล้ว เบ้ืองตะวนั ตก รอดเมอื งฉอด เมือง...น หงสาวดี สมทุ รหาเป็นแดน เบอื้ งตีนนอน รอดเมืองแพร่
เมืองม่าน เมืองน... เมอื งพลัว พ้นฝง่ั ของเมืองชวา เปน็ ที่แลว้ ปลกู เล้ยี ง ฝูงลูกบา้ นลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน
ประวตั ิความเปน็ มาและการแปลความของศลิ าจารกึ วดั ศรชี ุม
เรยี กว่า ศิลาจารึกหลักที่ 2 ทาดว้ ยหินดนิ ดานเป็นรูปใบเสมา กว้าง 67 เซนติเมตร สูง 275 เซนติเมตร หนา 8
เซนตเิ มตร ด้านทหี่ นงึ่ จารกึ อักษรไทยสุโขทยั ภาษาไทย มี 107 บรรทัด ด้านทสี่ องมี 95 บรรทัด มอี ายปุ ระมาณ ปี พ.ศ.
1880 - 1910 นายพลโท พระยาสโมสรสรรพการ เมอ่ื คร้งั เป็นท่ีหลวงสโมสรพลการ พบทอ่ี โุ มงค์วดั ศรชี มุ เมอื งเก่าสุโขทยั
เมือ่ ปี พ.ศ.2430 ปจั จบุ ันอย่ทู ี่พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติพระนคร
สาระสาคญั ของจารึกหลักน้ี สมเด็จพระมหาเถรศรีศรทั ธาราชจุฬามนุ ีศรรี ัตนลงั กาทปี มหาสามี เป็นเจา้ ได้ให้ศิษย์
ของทา่ น จารทาบอกเล่าใหเ้ ราให้ทราบเรื่องของคนไทยสมัยก่อนพอ่ ขุนศรีอินทราทิตย์ครองกรงุ สุโขทยั ทรงเลา่ ไวว้ า่ ท่าน
เกดิ ในนครสรลวงสองแคว (พิษณุโลก) เป็นโอรสพระยาคาแหงพระราม เป็นหลานปู่พ่อขุนนาวนาถม หรือพระยาศรนี าว
นาถม ซ่ึงเสวยราชย์ในนครสองอัน อนั หน่ึงชื่อ นครสุโขไท อีกอนั หนึ่งชือ่ นครสรเี สชนาไล (ศรีสัชนาลัย) ภายหลงั ประทับ
อยู่ทนี่ ครสุโขทัยแห่งเดยี ว ส่วนนครศรีสัชนาลยั นน้ั ทรงต้ังขุนยี่ คือ อปุ ราชปกครอง โอรสองค์โตชอื่ ขนุ ผาเมือง ให้ไปครอง
เมืองราด เมืองลุม เป็นราชบุตรเขยของผีฟ้าเจ้าเมอื งศรโี สธรปุระ (พระเจา้ ชยั วรมันท่ีแปด) และดารงตาแหน่งยุวราชแห่ง
ศรโี สธรปุระด้วย โอรสอีกองค์หน่งึ ช่ือพระยาคาแหงพระราม (พระบดิ าสมเด็จพระมหาเถรศรศี รทั ธา ฯ) ให้ครองนคร
สรลวงสองแคว
เมื่อสิ้นพ่อขนุ นาวนาถมแล้ว ขอมสบาดโขลนลาพง ยดึ อานาจการปกครอง พ่อขุนบางกลางหาว ซง่ึ ดารงตาแหนง่
ขนุ ยี่ครองนครศรีสชั นาลัย จึงขึ้นไปเมืองบางยาง ได้รวบรวมพลรว่ มกบั พอ่ ขนุ ผาเมืองผเู้ ป็นสหาย โดยจัดทพั แยกกันเปน็
สองทาง ขุนบางกลางหาวยกกาลงั เขา้ ยึดศรสี ัชนาลัยคืนได้แล้ว ก็นากาลังมารวมกบั กาลังของขุนผาเมืองทเี่ มอื งบางขลัง
แตแ่ ตง่ กลอุบายให้ขอมสบาดโขลนลาพงยกกาลังไปรบกับขุนบางกลางหาว แล้วขนุ ผาเมอื งก็ยกกาลงั เขา้ ยดึ สโุ ขทัยได้
ขอมสบาดโขลนลาพงเสยี รู้แตกกลบั ไป
ขนุ ผาเมอื งเชญิ ขนุ บางกลางหาวเข้าเมอื งสโุ ขทยั แล้วอภเิ ษกใหค้ รองเมอื งสโุ ขทยั พร้อมทัง้ ให้นามเกยี รติของตนท่ไี ด้
จากผฟี ้าเจ้าเมอื งศรีโสธรปุระวา่ ศรอี นิ ทรบดนิ ทราทิตย์ ขนุ บางกลางหาวจงึ มพี ระนามว่า พอ่ ขุนศรีอินทราทติ ย์
สมเดจ็ พระมหาเถรศรีศรัทธา ฯ ไดเ้ ล่าเร่ืองของท่านเองตั้งแตเ่ ยาว์จนถงึ หนมุ่ ไดอ้ อกรบเคยี งบา่ เคียงไหล่กับพระยา
คาแหงพระรามผเู้ ป็นบดิ า ครั้งสุดท้ายรบชนะขุนจัง แลว้ มองเห็นความทกุ ข์ความไม่เที่ยงในโลกยี ์วิสัย จงึ สละสมบัตอิ อกบวชแล้ว
เดนิ ธดุ งคไ์ ปเทยี่ วทกุ แหง่ เขา้ ไปสู่อนิ เดยี ตอนใต้ แล้วไปถงึ ลังกาทวปี พบเหน็ มหิยงั คณะมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระทนั ตธาตุของ
พระพุทธเจา้ ปรักหักพังเกิดศรัทธา จงึ ไดท้ าการบรู ณปฏิสงั ขรณข์ นึ้ ใหม่ เม่อื พระองคไ์ ด้กระทาสักการบูชาพระมหาธาตเุ จดีย์ ก็เกดิ
ปาฏิหารยิ เ์ ปน็ ทีป่ ระจักษแ์ ก่พระองค์และชาวสงิ หล พระองค์จึงไดร้ ับการยกยอ่ งเทดิ ทูนจากชาวสิงหล สถาปนาขึน้ เป็น สมเด็จ
พระศรีศรทั ธา ฯ พระองคป์ ระทับอยู่ท่ีลังกาเป็นเวลาพอสมควรแล้วจงึ เดนิ ทางกลบั สโุ ขทยั และได้อัญเชิญพระบรมสารรี กิ ธาตุ
30
พร้อมกงิ่ พระศรมี หาโพธิมาด้วย เม่อื มาถึงสโุ ขทัยก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และก่ิงพระศรมี หาโพธิ ประดิษฐาน ณ นคร
สุโขทยั บางขลัง ศรสี ชั นาลยั เพือ่ ใหเ้ ปน็ เมืองธรรมจงึ ไดก้ ่อพระเจดยี ์บรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ ปลกู ตน้ พระศรมี หาโพธิ สรา้ ง
พิหารเจา้ อาวาส สร้างพระพุทธรูปอนั งามพิจิตร
ท่านได้ไปเท่ียวโปรดสตั ว์ ไปพบพระมหาธาตุเจดีย์ปรกั หักพังอยู่กง่ึ กลางนครพระกรสิ จึงอธิษฐานบารมีจนพบแหล่ง
ปูน ท่านได้นามาก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ จากเดิมท่ีสูง 95 วาไม้ เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วได้ความสูง 102 วา พระมหาธาตุ
เจดยี ์องค์นขี้ อมเรียกว่า พระธม สว่ นปนู ที่เหลือท่านไดน้ าไปซ่อมแซมพระพุทธรปู เปน็ จานวนมาก
ศิลาจารึกวัดศรชี มุ ด้านที่ 1 ศลิ าจารกึ วดั ศรชี ุมด้านที่ 2
31
ศิลาจารึกวดั ศรีชุม มีอยู่ด้วยกันสองดา้ น ด้านหน่งึ มี 107 บรรทัด แต่การอา่ นจะอ่านถึงบรรทดั ที่ 90 จากน้ันอา่ นต่อที่
ดา้ นสอง จนจบเสน้ ค่นั จงึ ยา้ ยมาอ่านที่ดา้ นหนึ่งต่อจนจบด้าน จากนน้ั อ่านต่อด้านสองจนจบ
ประวัตคิ วามเปน็ มาและการแปลความของศลิ าจารกึ นครชมุ
เดิมไมท่ ราบว่าอยู่ที่ไหน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงพยายามสืบหาอยู่เป็นเวลานาน จน
เม่อื พ.ศ. 2464 พระองค์เสดจ็ กลบั จากเชียงใหม่มาประทบั ที่เมืองกาแพงเพชร จึงไดค้ วามจากพระครูธรรมาธิมุตมุนี (ศรี)
เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ซึ่งอยู่ในวัดมา 40 ปีเศษ ยังจาได้เม่ือศิลาหลักนี้อยู่ในวัด และยังมีฐานทาด้วยแลงอันมีขนาด
พอเหมาะกับศิลาหลักนี้อยจู่ นเดี่ยวน้ี จึงได้ทราบวา่ ศิลาหลกั นี้เดิมอยู่ทว่ี ัดพระบรมธาตุ ริมแม่น้าปิง ขา้ งทิศใต้ หน้าเมือง
กาแพงเพชร ที่วดั น้ีแตก่ ่อนมีพระเจดยี ์ 3 องค์ องค์กลางเป็นรูปพระเจดยี ์ไทย ฝมี ือครัง้ พระธรรมราชาท่ี 1 แต่ปัจจุบันเป็น
รูปพระเจดีย์พม่า เพราะรฐั บาลได้อนุญาตให้คนพม่า ช่ือพญาตะกา ซ่อมเมื่อ 30 ปีเศษแล้ว บางทีจะเป็นพระเจดีย์องค์นี้
เองท่ีได้กล่าวไว้ในศิลาจารึกนครชุมน้ี เมื่อเป็นเช่นน้ีแล้ว เมืองนครชุม ซึ่งในศิลาจารึกหลักที่ 8 เรียกว่า นครพระชุม เดิม
คงอยู่ริมแม่น้าปิงทิศตะวันตก ในบริเวณใกล้เคียงกบั วัดพระบรมธาตุปจั จุบันน้ี จารกึ นครชุมหลักนี้ได้นามากรุงเทพฯ เม่ือ
พ.ศ. 2429 พร้อมกับรูปพระอิศวร (หลักท่ี 13) ที่นายรัสต์มัน ชาวเยอรมันได้พบท่ีศาลพระอิศวร เมืองกาแพงเพชร
เรียกว่า จารึกหลักท่ี 3 ทาด้วยหินทรายแป้งเป็นรูปใบเสมา กว้าง 47 เซนติเมตร สูง 193 เซนติเมตร หนา 6 เซนติเมตร
จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทยด้านที่หนึ่งมี 78 บรรทัด ด้านท่ีสองมี 58 บรรทัดและได้ตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานจนถึง
พ.ศ. 2451 จงึ ได้ส่งมายังหอสมุดวชริ ญาณ กองหอสมดุ แห่งชาติ กรุงเทพ ฯ
สาระสาคัญของจารึกหลักน้ี บอกให้ทราบในเบ้ืองต้นว่า พระยาลือไทยโอรสพระยาเลอไทย พระนัดดาพระยาราม
ราช เสวยราชท่ีเมืองศรีสัชนาลยั สุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.1890 เม่ือเสวยราชย์แล้ว ท้าวพระยาทั้งหลายแต่งกระยาดงวาย
ของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษก เป็นท้าวเป็นพระญา ช่ือ ศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช ทรงได้พระบรม
สารีริกธาตุพรอ้ มกิง่ พระศรมี หาโพธิ จากลังกาทวปี ใน ปี พ.ศ.1900 จงึ ทรงนาไปประดิษฐานในเมืองนครชุม และทรงจารึก
ไว้ว่า "...ผิผู้ใดได้ไหว้นบกระทาบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุ และพระศรีมหาโพธินี้ว่าไซร้ มีผลอานิสงส์พร่าเสมอดังได้นบตน
พระเปน็ เจา้ บ้างแล..."
พระมหาธรรมราชาลิไททรงเชอ่ื วา่ พระพทุ ธศาสนา จะมีอายุดารงอย่ใู นโลกนี้ได้หา้ พนั ปี จึงทรงจารึกไวว้ า่ "...ผิมคี น
มาถามศาสนาพระเป็นเจ้ายังเท่าใดจักส้ินอั้นให้แก่ว่าดังนี้ แต่ปีอันสถาปนาพระมหาธาตุนี้เม่ือหน้าได้สามพันเก้าสิบเก้าปี
จงึ จักส้ินพระศาสนาพระเปน็ เจ้า..." และยังได้ตรัสถึงสัทธรรมอันตรธานห้าประการ คือ ประมาณพระพุทธศาสนายุกาลได้
1999 ปี พระไตรปิฎกจักหาย หาคนรู้แท้มิได้ มีคนรู้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พระธรรมเทศนามหาชาติหาคนสวดมิได้
ชาดกมีต้นหาปลายมิได้ พระอภิธรรมนั้น พระปัฏฐานและพระยมกหายไปก่อน เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้
2999 ปี "...ฝูงภิกษุสงฆ์จาศีลคงสิกขาบทสี่อันยังมีสิกขาบทอันหนักหนาหามิได้เลย " เม่ือพระพุทธศาสนายุกาลประมาณ
ได้ 3999 ปี "...ฝูงชีจักทรงผา้ จีวรหามิไดเ้ ลย เทา่ ยงั มีผา้ เหลืองน้อยหน่ึงเหน็บใบหู และรจู้ ักศาสนาพระเป็นเจ้าดายุ..." เม่ือ
พระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ 4999 ปี "...อันว่าจักรู้จักผ้าจีวรจักรู้จักสมณะน้อยหนึ่งหามิได้เลย..." เม่ือสิ้นอายุพระ
ศาสนานั้นทรงพรรณาไว้ว่า "...เม่ือปีอันจักสิ้นศาสนา พระพุทธเป็นเจ้าที่สุดท้ังหลายอั้น ปีชวด เดือนหก บูรณมี วัน
32
เสาร์ วันไทยวนั ระรายสันวนั ไพสาขฤกษ์ เถงิ เมื่อวันดังนั้น แต่พระธาตทุ ้ังหลายอันมใี นแผน่ ดนิ นก้ี ด็ ี ในเทพโลกกด็ ี ในนาค
โลกก็ดี เหาะไปในกลางหาว และไปประชุมกันในลังกาทวีป แล้วจักเหาะไปอยู่ในต้นพระศรีมหาโพธิ ที่พระพุทธเจ้าตรัส
แก่สรรเพชญตญาณ เป็นพระพุทธแต่ก่อนอั้น จึงจักกาลไฟไหม้พระธาตุท้ังอั้นส้ินแล เปลวไฟพลุ่งขึ้นคุงพรหมโลกศาสนา
พระพุทธจกั สนิ้ ในวนั ดังกล่าวอัน้ แล "
ศลิ าจารกึ นครชุม ดา้ นที่ 1 ศิลาจารกึ นครชมุ ดา้ นท่ี 2
33
ประวตั คิ วามเป็นมาและการแปลความของศิลาจารึกวดั ปา่ มว่ ง
ศลิ าจารึกหลกั น้ี มีขนาดและลกั ษณะคลา้ ยคลึงกนั กบั ศลิ าทจ่ี ารึกด้วยอักษรเขมร แต่สนั้ กวา่ สูง 1 เมตร 15 ซม.
กวา้ ง 28 ซม. หนา 29 ซม. ส่วนอกั ษรท่ีจารึกตวั อักษรไทยโบราณ ซึง่ ใช้เม่ือครั้งเมอื งสุโขทยั เป็นราชธานี และความที่
จารึกเปน็ ภาษาไทย เปน็ เรอ่ื งเดียวกนั กับท่ีจารึกเป็นภาษาเขมร เชอ่ื ไดว้ า่ หลักภาษาไทยนี้ จารกึ พร้อมกบั หลักศิลาท่จี ารึก
เป็นภาษาเขมร หลักศลิ าน้พี ระยาโบราณธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ได้ไปพบอยู่ทว่ี ดั ใหม่ (ปราสาททอง) อาเภอนครหลวง
จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สืบถามวา่ ใครไดม้ า แต่เมื่อใด ก็ไมไ่ ด้ความ พระยาโบราณฯ จึงใหย้ า้ ยมารกั ษาไว้ใน
พิพธิ ภณั ฑสถานอยธุ ยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ เสดจ็ ขนึ้ ไปทอดพระเนตร ทรงพยายาม
อา่ นหนังสือซ่ึงยังหลงเหลืออยู่ ไดค้ วามว่าเปน็ ศิลาจารึกของพระธรรมราชฦาไทย คกู่ บั หลักภาษาเขมร ซึง่ อยู่ในวัดพระศรี
รตั นศาสดาราม คือ จารึกความอยา่ งเดียวกนั เปน็ ภาษาเขมรหลัก 1 เปน็ ภาษาไทยหลัก 1 เดมิ คงต้ังไวเ้ ป็นคู่กัน จึงตรสั สง่ั
ให้สง่ ศลิ าจารกึ นน้ั ลงมาไว้ในวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม ด้วยกนั กับหลักภาษาเขมร ซ่ึงพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้า
เจ้าอย่หู ัวทรงได้มาจากเมืองสุโขทยั เรยี กวา่ จารึกหลกั ท่ี 5 ทาด้วยหนิ ทราย หลกั เป็นรปู สีเ่ หลี่ยมทรงกระโจม ศลิ าจารกึ
หลักน้ีอย่ใู นวดั พระศรีรตั นศาสดารามจนเมื่อ พ.ศ. 2467 จึงยา้ ยมาไว้ทหี่ อพระสมุดฯ
ขอ้ ความทจ่ี ารกึ บอกให้ทราบวา่ บริเวณวัดปา่ มะม่วง เปน็ รมณยี สถานที่พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ทรงปลกู
มะม่วงไวเ้ ปน็ จานวนมาก ต่อมาเม่อื ปี พ.ศ.1904 ไดเ้ ปน็ ที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช และเปน็ พทั ธสีมาทท่ี รงผนวช
ของสมเดจ็ พระศรีสุรยิ พงศร์ ามมหาธรรมราชาธิราช ก่อนถึงกาลทรงผนวชไดก้ ลา่ วถึงอดีตว่า เมอ่ื พระยาลิไท ผรู้ ู้
พระไตรปิฎกขึน้ เสวยราชย์ ท้าวพระยาทั้งหลายอภเิ ษกขึน้ ช่ือ ศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธริ าช เสวยราชย์ชอบด้วย
ทศพธิ ราชธรรม ในปี พ.ศ.1904 ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชลังกาวงศ์ จากนครพนั มาจาพรรษา ณ กรุงสโุ ขทัย
ทรงหล่อพระพุทธรปู ดว้ ยเนื้อทองสาริดองค์ใหญ่ ประดษิ ฐานด้านตะวันออกองค์มหาธาตเุ จดยี ์กลางเมืองสุโขทยั เมอื่ ออก
พรรษาแล้วทรงสมาทานทศศีลเป็นดาบส... หน้าพระพทุ ธรปู ทอง อันประดิษฐานไวเ้ หนือราชมณเฑยี ร อาราธนาพระมหา
สามพี รอ้ มคณะสงฆข์ นึ้ สู่ราชมณเฑยี ร ทรงบรรพชาเปน็ สามเณร แลว้ เสดจ็ ไปทรงผนวช ณ พัทธสมี าวดั ปา่ มะม่วงในท่ีสุด
จารึกภาษาไทยหลักที่ 2 เรยี กว่า จารกึ หลักที่ 7 ทาดว้ ยหินทรายแปร หลกั เป็นรปู สี่เหลยี่ มกว้างดา้ นละ 28
เซนติเมตรสองด้าน กวา้ งดา้ นละ 12.5 เซนติเมตรสองด้าน สงู 132 เซนตเิ มตร พระยารามราชภกั ดี (ใหญ่ ศรลัมพ์) ผู้วา่
ราชการจงั หวดั สุโขทยั พบท่วี ัดป่ามะมว่ ง เมืองเก่าสุโขทัย เม่อื ปี พ.ศ.2458 จารึกดว้ ยอักษรไทยสโุ ขทยั เม่ือปี พ.ศ.1904
ปัจจุบนั อยู่ท่ีพพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาตพิ ระนคร
จากรกึ หลักนีช้ ารุดมาก ดา้ นทห่ี นึ่งกบั ดา้ นท่ีสามอา่ นจบั ความไม่ได้ ดา้ นที่สองกบั ด้านท่ีสี่พออ่านไดบ้ า้ ง เปน็ การ
จารกึ เรื่องราวของการสร้างถาวรวัตถตุ า่ ง ๆ ในปา่ มะมว่ ง เช่น กุฎี พหิ าร สีมากระลาอโุ บสถ และการทรงผนวชของสมเด็จ
พระศรสี ุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช
จารึกภาษาเขมร เรยี กว่า จารกึ หลักท่ี 4 ทาด้วยหนิ แปร เป็นหลักสเ่ี หลีย่ มกระโจม หรือทรงยอ กว้าง 30
เซนติเมตร สูง 200 เซนตเิ มตร หนา 29 เซนติเมตร พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงพบที่โคกปราสาทรา้ งเมอ่ื
คราวเสด็จถงึ สุโขทยั เมื่อปี พ.ศ.2376 จารึกดว้ ยอกั ษรไทย ภาษาเขมร เม่ือปี พ.ศ.1904 ปัจจุบันอย่ทู ีห่ อสมุดวชริ ญาณ
ภายในหอสมุดแหง่ ชาติพระนคร
34
ข้อความในจารกึ เป็นเร่อื งราวคลา้ ยจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทยหลักท่หี น่ึง คือ พระยาลิไทยทรงอาราธนาสมเดจ็
พระมหาสามีสังฆราช จากนครพนั มาสุโขทยั เพอื่ ทรงเป็นพระอุปัชฌายใ์ นการทรงผนวชของพระองค์ และเลา่ เร่ืองพระยา
ลไิ ท ยกพลจากศรีสชั นาลยั มายึดสุโขทัยขึ้นเสวยราชย์ตามสิทธิอันชอบธรรม
จารกึ ภาษาบาลี เรยี กว่า จารึกหลักท่ี 6 ทาด้วยหนิ แปรรปู ส่ีเหล่ียมทรงกระโจม หรอื ทรงยอ กว้างด้านละ 33
เซนตเิ มตรสองด้าน กวา้ งด้านละ 27 เซนติเมตรสองด้าน สูง 130 เซนตเิ มตร จารึกดว้ ยอักษรขอมสุโขทยั ภาษาบาลีเมื่อ
ปี พ.ศ.1904 พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลัมพ์) ผวู้ ่าราชการจงั หวัดสุโขทัย พบท่ีวัดป่ามะมว่ ง เม่ือปี พ.ศ.2451
ปัจจบุ นั อยทู่ ี่พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ข้อความทจี่ ารกึ เป็นพระนพิ นธ์ของสมเด็จพระมหาสามสี งั ฆราช พระอุปชั ฌาย์ของพระมหาธรรมราชาลไิ ท มี
ขอ้ ความสรรเสรญิ พระมหาธรรมราชา ที่ทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาอย่างแรงกลา้ ในพระพทุ ธศาสนา
ศิลาจารึกวัดปา่ มว่ ง ด้านที่ 1 ศลิ าจารึกวดั ป่าม่วง ดา้ นท่ี 2 ศลิ าจารึกวัดปา่ ม่วง ด้านท่ี 3
จานวนด้าน 4 ดา้ น มี 105 บรรทัด ดา้ นท่ี 1 มี 35 บรรทัด ดา้ นท่ี 2 มี 38 บรรทัด ด้านที่ 3 มี 42 บรรทัด ดา้ นท่ี 4 ชารดุ
35
ประวัตคิ วามเปน็ มาและการแปลความของศิลาจารกึ วัดอโสการาม
ศิลาจารึกหลักน้ี กองโบราณคดี กรมศิลปากร พบที่วัดสลัดได (ในจารึกปรากฏชื่อวัดอโสการาม) ตาบลเมืองเก่า
อาเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เม่ือประมาณปี พ.ศ. 2498 เดิมศิลาจารึกวัดอโสการาม เก็บรักษาและต้ังแสดงอยู่ที่
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ รามคาแหง จังหวัดสุโขทัย ต่อมาปี พ.ศ. 2515 นายนุ่ม อยู่ในธรรม อดตี รองอธบิ ดีกรมศิลปากร
ส่ังให้เจ้าหน้าที่นาศิลาจารึกวัดอโสการาม จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคาแหง ลงมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุด
วชิราวุธ (หอสมุดแห่งชาติเดิม) ถนนหน้าพระธาตุ กรุงเทพฯ เพื่อให้เจ้าหน้าท่ีผู้อ่านจารึกทาการอ่าน และตรวจสอบเลข
ศักราชทย่ี งั คลาดเคลื่อนอยู่ โดยมีศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร, นายประสาร บุญประคอง, นายเทมิ มีเตม็ รว่ มกัน
ดาเนินการ เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 93 ทาด้วยหินแปร เป็นแผ่นรูปใบเสมา กว้าง 54 เซนติเมตร สูง 134 เซนติเมตร
หนา 15 เซนติเมตร ด้านที่หน่ึงมี 47 บรรทัด จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านท่ีสองมี 51 บรรทัด จารึกด้วย
อักษรขอมสุโขทัย ภาษาบาลี เม่อื ปี พ.ศ.1942
ข้อความในจารึกมีว่า สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมเหสีเทพธรณีโลกรัตน... เป็นชายาแด่สมเด็จ
มหาธรรมราชาธิราช กอรป์ ด้วยปญั จพธิ กัลยาณีมีศีลพระ...
กล่าวโดยสรุป ด้านท่ี 1 กล่าวถึงสมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ พระอัครมเหสี สมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราช ทรงมีพระราชศรัทธาประดิษฐานพระสถูปไว้ในวัดอโสการาม ด้านที่ 2 ท่านกวีราชบัณฑิตศรีธรรมไตรโลก ได้
รจนาเป็นภาษาบาลี กล่าวถึงการบาเพ็ญกุศลในวัดอโสการาม และการต้ังความปรารถนาเป็นบุรุษ ความเป็นผู้ท่ีสมบูรณ์
ดว้ ยรูป ยศ และอายุของสมเด็จพระราชเทพีศรจี ุฬาลักษณ์
ศลิ าจารกึ วดั อโสการาม ดา้ นท่ี 1 ศลิ าจารกึ วดั อโสการาม ดา้ นที่ 2
36
ประวัติความเป็นมาและการแปลความของศลิ าจารึกวดั บรู พาราม
ศิลาจารึกวัดบูรพาราม พบที่จังหวัดสุโขทัย พระครูปลัดสนธิ จิตฺตปญฺโญ วัดศาลาครืน เขตจอมทอง กรุงเทพฯ
ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เม่ือวันท่ี 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 แต่ได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรรบั มาในวันดังกล่าว ด้วยมีพระราชประสงคใ์ ห้จัดแสดงเพ่ือการศึกษา ณ อาคารหอพระสมดุ ว
ชิรญาณ กองหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 286 ทาด้วยหินชนวนสีเขียว รูปใบเสมา
ส่วนล่างชารุดหักหาย มีขนาดกว้าง 59 เซนติเมตร สูง 146 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร ด้านที่หน่ึงมี 55 บรรทัด
จารกึ ด้วยอักษรไทยสุโขทยั ด้านท่สี องมี 56 บรรทัด จารกึ ดว้ ยอักษรขอม ภาษาบาลี เมอื่ ปี พ.ศ.1955
จารึกวัดบูรพารามระบุวา่ สมเด็จพระราชเทวศี รจี ุฬาลกั ษณ์อัครราชมหิดเิ ทพยธรณดี ิลกรัตนบพิตร เป็นเจ้าผู้เป็น
บาทบรจิ าริการัตนชายา แด่สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา กอรป์ ด้วยปญั จพิธกัลยาณี มศี ลิ พิรยิ ะปรีชา...
จารึกวัดบูรพารามบอกเล่าพระราชประวัติ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชสามี สมเด็จพระราชเทวีศรี
จฬุ าลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ประสูติจากพระครรภ์ สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา เม่ือประมาณปี พ.ศ.1911 ทรงสำเร็จกำรศึกษำ
เมอ่ื พระชนมพรรษำได้ 16 ปี ได้เสวยรำชย์เม่ือปี พ.ศ.1939 และเสดจ็ สวรรคตเมอ่ื ปี พ.ศ.1951 ในปี พ.ศ.1955 สมเดจ็ พระรำชเทวศี รี
จฬุ ำลกั ษณ์ จึงทรงสร้ำงวดั บรู พำรำม ก่อพระเจดยี ์บรรจพุ ระบรมสำรีริกธำตุ
ในจารึกหลักน้ี สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงระบุสายสัมพันธ์ราชสกุล ตามลาดับพระราชอิสริยยศ คือ
- สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระราชโอรสสมเดจ็ พระศรีธรรมราชมาดา
- สมเดจ็ พระศรธี รรมราชมาดา
- สมเดจ็ พระราชเทวีศรีจฬุ าลักษณ์
- สมเด็จพระรามราชาธริ าช พระราชโอรสสมเดจ็ พระราชเทวี ฯ
- ศรธี รรมาโศกราช พระราชโอรสสมเดจ็ พระราชเทวี ฯ
การสร้างวัด ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และการทาบุญต่าง ๆ นั้น สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงอุทิศ
แด่สมเด็จปู่พระญา พ่อออก แม่ออก สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา และทรงอธิษฐานว่า ขอให้ได้
เกิดเป็นผู้ชายในอนาคตกาล ขอให้ได้สดับตรับฟังธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเมตไตรย ขอพระพุทธเมตไตรยดารัส
สรรเสริญพระนางท่ามกลางพุทธบรษิ ัท ขออย่าให้ผู้อื่นเทียมทันพระนางด้วยบุญสมภารด้วยรูป ด้วยยศ ด้วยสมบัติในทุก
ภพทุกชาติไป
นอกจากศลิ าจารึกหลกั ตา่ ง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมศี ิลาจารกึ สาคญั ๆ ของสุโขทัยทใี่ หค้ วามรู้ในเร่อื งประวัติศาสตร์
โบราณคดี ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของสุโขทัยในอดีตอีกมากมาย เช่น ศิลาจารึกเขาสุมนกูฎ จารึกวัดพระยืน
จารึกวัดสรศักด์ิ จารึกกฎหมายลักษณะโจร จารึกปู่สบถ จารึกวัดเขากบ จารึกวัดเขมา จารึกวัดป่าแดง จารึก
พระธรรมกาย จารึกพระอภธิ รรม จารึกวัดตาเถรข้หึ นงั จารึกวัดกาแพงงาม จารกึ วัดพระเสด็จ จารกึ นายศรีโยธาราชออก
บวช จารึกภาพชาดกในอุโมงค์วัดศรีชุม 48 ภาพ กบั จารึกอื่น ๆ อีกเป็นจานวนมาก ล้วนเป็นหลักฐานสาคัญของชาตไิ ทย
ให้รู้ว่าไทยเป็นประเทศเอกราชมีเอกลักษณ์ของตนเอง และเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นติดต่อกันมานานไม่น้อยกว่า 700 ปี
มาแล้ว
37
ศลิ าจารกึ วดั บูรพาราม ด้านท่ี 1 ศลิ าจารกึ วดั บูรพาราม ด้านท่ี 2
38
กิจกรรมทา้ ยบท
คาสัง่ ใหน้ กั ศึกษาตอบคาถามดงั ต่อไปนี้
ขอ้ ที่ 1. จงบอกประวตั แิ ละคาแปลของศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง มาพอสังเขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
39
ข้อท่ี 2. ในสมยั สุโขทัย คาวา่ “พอ่ ปกครองลกู หมายถึงอะไร”และนักศกึ ษามีความคดิ เห็นอย่างไรเก่ยี วกับการปกครอง
แบบนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้อท่ี 3. หลักศลิ าจารกึ ท่ีพบในสมยั สุโขทัยมีทงั้ หมดกี่หลกั อะไรบา้ งจงอธบิ าย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………
40
บทท่ี 3
การเขยี นลายสอื ไทย
สาระสาคัญ
การเขียนอักษรลายสือไทยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ตลอดจนมีการสืบทอดมิให้เสื่อมสูญไปและให้คนไทย
เกิดความภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่า ที่ชาติไทยมีอักษรไทยหรืออักษรลายสือไทยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชท่ี
ทรงคิดประดิษฐข์ นึ้ เองเปน็ อกั ษรประจาชาติ
ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั
1. ผู้เรยี นสามารถเขียนลายสอื ไทยได้
2. ผเู้ รียนร่วมกันอนุรกั ษ์ สืบทอดและเห็นคุณคา่ ของลายสือไทย
ขอบขา่ ยเนอ้ื หา
เร่อื งที่ 1 พยัญชนะลายสือไทย
เรือ่ งท่ี 2 สระและวรรณยุกตล์ ายสอื ไทย
เรื่องท่ี 3 ตัวเลขลายสอื ไทย
41
เร่อื งท่ี 1 พยญั ชนะลายสือไทย
42