มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จังหวัดชุมพร โดย กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
แบบจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ.2 ส่วนที่ 1 ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. ชื่อรายการ ประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน ชื่อเรียกในท้องถิ่น งานแข่งแพ 2. ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า 1 ช่อง) วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือดั้งเดิม การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว 3. พื้นที่ปฏิบัติ ณ คลองธัมมัง หมู่ที่ 10 ตำบลหาดยาย อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร 4. สาระสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป ด้วยอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร และมีถิ่นฐาน อยู่ใกล้แม่น้ำ ลำคลอง และตามวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง ก็ใช้แพในการเดินทาง ในช่วง ปลายฤดูฝนประชาชนในพื้นที่อำเภอหลังสวน มีความคิดที่จะจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมและจัดให้มีการ บำรุงรักษาศิลปะ ประเพณี ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนาดูแลรักษา สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้ประชาชนห่างไกลยาเสพติด ด้วยการจัดงานแข่งแพพื้นบ้านจนกลายเป็นประเพณี 5. ประวัติความเป็นมา งานแข่งแพ เริ่มมีขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ.2541 เป็นช่วงฤดูน้ำหลาก มีคลองธัมมัง เป็นแม่น้ำ สายหลักของหมู่บ้าน เด็กๆ ได้มาร่วมกันเล่นน้ำ และได้ตัดต้นไม้ไผ่มาผูกรวมกันเป็นแพคล้ายเรือยาว แล้วพายแข่งกัน เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองมาเห็นก็เกิดความเป็นห่วงกลัวลูกหลานจะจมน้ำ เลยมายืนเฝ้าลูกหลาน จนกว่าจะเล่นน้ำเสร็จ จึงเกิดความคิดว่าทำอย่างไรให้ลูกหลานของตนได้เล่นน้ำอย่างสนุกและมีความแข็งแรง จนในปีพ.ศ. 2542 ทางผู้นำหมู่บ้านร่วมกับชาวบ้านได้คิดให้จัดงานแข่งแพให้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช โดยในช่วง กลางวันจัดให้มีการแข่งแพ ช่วงเย็นของวันที่ 5 ธันวาคม จุดเทียนชัยถวายพระพร ในวันพ่อแห่งชาติ ต่อมาผู้บริหารท้องถิ่นได้มองเห็นถึงความสำคัญของงานดังกล่าว จึงได้มีการประชุมตั้งคณะกรรมการ จัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงาน มีการตั้งกติกาการแข่งขัน จัดประเภทการ แข่งขันที่ถูกต้อง โดยมีค่าเงินรางวัลและถ้วยรางวัลในการแข่งขัน โดยได้รับงบประมาณจากองค์การบริหาร ส่วนตำบลหาดยาย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงาน สำหรับองค์การ บริหารส่วนจังหวัดชุมพร ได้ตั้งงบประมาณไว้ในข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2553 โดยใช้ชื่อโครงการจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ ประจำปี 2553 อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช จนถึงปี พ.ศ.2558 และในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2559 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ทรงเสด็จสวรรคต ทางรัฐบาลได้ประกาศให้งดกิจกรรมรื่นเริง องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร จึงงดจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ ประจำปี 2559 อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ในปี พ.ศ.2560 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโครงการแข่งแพพื้นบ้านต้านยาเสพติด
ประจำปี 2560 ในปี พ.ศ.2561 จังหวัดชุมพรได้มีประกาศ เรื่อง งานประเพณีท้องถิ่นในเขตจังหวัดชุมพร ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 โดยใช้ชื่อโครงการจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมา วิธีการทำแพที่ใช้ในการแข่งขัน 1. ท่อ พีวีซี ขนาด 4 นิ้ว จำนวน 14 เส้น / ลำ 2. ข้อต่อตรง 3. กาว 4. เชือกฟาง 5. ไม้ วิธีทำ ใช้ท่อพีวีซี มาทากาวต่อกัน 2 เส้น นำฝาปิดมาปิดทั้งทางหัวและท้าย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้า แล้วใช้ แบบเป็นรูปโค้งทั้งทางหัวและท้าย เมื่อต่อท่อพีวีซีเสร็จ ก็นำมาผูกรวมกันเป็นลักษณะแพ โดยใช้ไม้ขนาด 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1 เมตร เป็นส่วนประกอบเพื่อให้เกิดความแข็งแรง โดยใช้เชือกฟางเป็นตัวผูกรวมกัน จะได้ความยาว 8 เมตร กว้าง 1 เมตร ทำทั้งหมด 6 ลำ ไว้สำหรับการแข่งขันที่เป็นแพกลาง นั่งพาย ลำละ 4 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์งานประเพณีแข่งแพให้คงอยู่ต่อไป มีตัวอย่างหลักเกณฑ์และรายละเอียด ในการแข่งขัน ดังนี้ 1. วัน เวลา และสนามแข่งขัน วันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2553 ณ คลองธัมมัง หมู่ที่ 10 ตำบลหาดยาย อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร 2. ประเภทแพที่จัดการแข่งขัน ก. ประเภทอายุไม่เกิน 12 ปี ข. ประเภทอายุไม่เกิน 15 ปี ค. ประเภททั่วไปไม่จำกัดอายุ ง. ประเภทผู้นำท้องถิ่น จ. ประเภทประชาชนหญิงไม่จำกัดอายุ 3. การแข่งขันและการนับคะแนน 3.1 การแข่งขันในรอบแรก ไม่เปลี่ยนสายน้ำ ถ้าแพ้ในแต่ละรุ่นเกิน 12 ลำ (หรืออยู่ใน ดุลพินิจของกรรมการ) 3.2 การแข่งขันในทุกประเภท ถ้ามีคะแนนเท่ากันให้ปฏิบัติดังนี้ 3.2.1 หากมีคะแนนเป็นอันดับ 1 เท่ากัน ให้จับฉลากหาที่ 1 และที่ 2 3.2.2 หากมีคะแนนเป็นที่ 2 สองลำให้จับฉลากสายน้ำแข่งหาผู้ชนะเข้าไปเป็นที่ 2 ต่อไป 3.3 การนับคะแนน - แพผู้ชนะได้ 2 คะแนน - แพเสมอได้ 1 คะแนน - แพผู้แพ้ได้ 0 คะแนน 3.4 แพจะต้องใช้แพที่คณะกรรมการจัดทำให้เท่านั้น (แพกลาง)
4. ทีมแพทุกทีมมีผู้แทนแพได้ 1 คน 5. แพทุกลำต้องแข่งขันตามสูจิบัตร ที่คณะกรรมการจัดทำถ้าไม่เข้าแข่งขันติดต่อกัน 3 เที่ยว ตัดสิทธิ์การ แข่งขัน 6. แพทุกลำต้องทำการแข่งขันตามเวลาที่กำหนด และให้เข้าเทียบแพปล่อยภายในเวลา 5 นาทีถ้าเข้าเทียบ แพปล่อยช้าถือว่าแพ้ในเที่ยวนั้น 7. แพคู่แข่งขันลำใดทุจริตเปลี่ยนแพหรือเปลี่ยนฝีพายเข้าแข่งขันปรับแพ้ในเที่ยวนั้น 8. แพลำใดพายล้ำเส้นน้ำปรับแพ้ในเที่ยวนั้น 9. แพลำใดหรือฝีพายลำใดทิ้งพายหรือวัสดุอื่นเข้าหาคู่การแข่งขันปรับแพ้ในเที่ยวนั้น 10. ผู้จับแถบชัย (หวาย-ธง) ต้องเป็นฝีพายที่ 1 เพียงผู้เดียว หากฝีพายอื่นจับไปได้ปรับเป็นแพ้ ในเที่ยวนั้น เว้นฝีพายที่ 1 หรือนายหัวตกจากแพก่อนถึงเส้นชัยให้ฝีพายที่ 2 จับแทนได้ 11. ผู้แทนแพต้องนำเอกสารสำเนาของฝีพายก่อนทำการแข่งขัน ถ้าไม่พร้อมให้ถือว่าสละสิทธิ์ 12. ฝีพายแพทั้ง 4 คน ขณะทำการแข่งขันหลุดหรือตกแพก่อนเข้าเส้นชัย สามารถขึ้นแพเข้าทำการ แข่งขันต่อได้ในเที่ยวนั้น 13. ฝีพายที่ 1 หรือ 2 ต้องจับด้วยมือ ห้ามใช้วัสดุอื่นช่วยจับแถบธง 14. ฝีพายแพ 1 หรือ 2 กระโดดจับแถบธง ปรับเป็นแพ้ 15. นายหัวแพฝีพายที่ 1 หลุดออกจากแพขณะจับแถบธง หรือขาข้างใดข้างหนึ่งหลุดออกจากแพปรับแพ้ ในเที่ยวนั้น 16. แพแต่ละลำส่งฝีพายได้ไม่เกิน 5 คน พายครั้งละ 4 คน สำรอง 1 คน และจะต้องทำการแข่งขัน จนเสร็จสิ้น ห้ามเปลี่ยนฝีพายในแต่ละลำ 17. การกำหนดเวลาในการแข่งขัน การรับสมัคร ข้อปฏิบัติและรางวัลการแข่งขัน คณะกรรมการเป็น ผู้กำหนด 18. แพลำใดเข้าสู่เส้นชัยตามกติกาให้เป็นผู้ชนะในเที่ยวนั้น ถ้าได้ไปแต่ผ้าไม่มีหวายถือว่าแพ้ ถ้าได้ไป ลำละแถบ ถือว่าเสมอกัน ถ้าไม่ได้ทั้งสองลำถือว่าไม่ได้คะแนน 19. การสละสิทธิ์ของแพทีมใดจะต้องทำการสละสิทธิ์ที่กองอำนวยการเท่านั้น 20. การประท้วงการตัดสินจะต้องประท้วงก่อนหรือหลังการแข่งขันภายใน 5 นาที หลังจากนั้นการประท้วง จะไม่มีผล 21. การตัดสินของคณะกรรมการตัดสิน คณะกรรมการปล่อยแพ คณะกรรมการจัดการแข่งขันให้ถือเป็น เด็ดขาด และสิ้นสุด 22. ข้อความใดที่ไม่ได้เขียนไว้ในกติกาให้อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการจัดการแข่งขันเป็นผู้ชี้ขาดเท่านั้น 6. ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียด ครอบคลุมสาระ ดังต่อไปนี้ แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล ประกอบด้วย ประเภท สถานที่ แหล่งปฏิบัติ ระเบียบพิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติของการแสดงออกนั้นๆ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา เอกลักษณะ อัตลักษณ์ และความเชื่อประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1. ขบวนแห่ทางบก 2. พิธีเปิดงาน 3. การแข่งแพประเภทอายุไม่เกิน 12 ปี , ประเภทอายุไม่เกิน 15 ปี, ประเภททั่วไปไม่จำกัด อายุ , ประเภทผู้นำท้องถิ่น และประเภทประชาชนหญิงไม่จำกัดอายุ
ส่วนที่ 2 คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญ 1. ส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านและวัฒนธรรมของกลุ่มชนในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ เห็นคุณค่าและยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน 2. สร้างความสามัคคีของประชาชนตำบลหาดยาย 3. สนองนโยบายและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน การรักษาเอกลักษณ์ของท้องถิ่น 4. ประชาชนในชุมชนสามารถเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับคนทั่วไปทั้งใน จังหวัดและต่างจังหวัด 5. ประชาชนในชุมชนสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวและนำรายได้สู่ชุมชน 2. บทบาทของชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. สนับสนุนและส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านและวัฒนธรรมของกลุ่มชนในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชน มีความเข้าใจ เห็นคุณค่าและยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน 2. สนับสนุนให้เกิดความสามัคคีของประชาชนตำบลหาดยาย 3. ร่วมกันสนองนโยบายและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในการรักษาเอกลักษณ์ของท้องถิ่น 4. ร่วมกันเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับคนทั่วไปทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด 5. สนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวและนำรายได้สู่ชุมชน ส่วนที่ 3 มาตรการในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. โครงการ กิจกรรมที่มีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การสืบสานและถ่ายทอด (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ได้จัดโครงการประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน ประจำทุกปีต่อเนื่อง เพื่อ อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น สร้างความภาคภูมิใจ ความสามัคคีของ ประชาชนในท้องถิ่น และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดชุมพร โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย 1. ขบวนแห่ทางบก 2. พิธีเปิดงาน 3. การแข่งแพประเภทอายุไม่เกิน 12 ปี , ประเภทอายุไม่เกิน 15 ปี, ประเภททั่วไปไม่จำกัด อายุ , ประเภทผู้นำท้องถิ่น และประเภทประชาชนหญิงไม่จำกัดอายุ 2. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่คาดว่าจะดำเนินการใน อนาคต 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ส่วนราชการ สถานศึกษา ชุมชน และประชาชนให้การ ส่งเสริม สนับสนุน อนุรักษ์และสืบสานจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน 2. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางประเพณีแข่งแพ พื้นบ้าน 3. ส่งเสริมให้รู้คุณค่าและมีการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเพณีแข่งแพ พื้นบ้าน
3. การส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาชนสังคม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ส่วนราชการ สถานศึกษา ชุมชน และประชาชนให้การ ส่งเสริม สนับสนุน จัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน โดยได้รับงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด ชุมพร ส่วนที่ 4 สถานภาพปัจจุบัน 1. สถานการณ์คงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีความสำคัญต่อวิถีชุมชนที่ต้องได้รับการฟื้นฟู 2. สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และปัจจัยคุกคาม ในทุกปีชาวตำบลหาดยายและตำบลข้างเคียงจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน เพื่อเป็นการสืบสาน งานประเพณีที่สืบทอดกันมา ซึ่งจะมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน 3. รายชื่อผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กลุ่มบุคคล.....เป็นต้น) รายชื่อบุคคล/หัวหน้าคณะ กลุ่ม/สมาคม/ชุมชน อายุ /อาชีพ/ ชุมชน องค์ความรู้ด้านที่ได้รับ การสืบทอด/จำนวนปี ที่สืบทอดปฏิบัติ สถานที่ติดต่อ/โทรศัพท์ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ชุมพร องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น จัดโครงการ 23 ปี 077 502453 คณะกรรมการหมู่บ้าน ตำบลหาดยาย - ร่วมจัดโครงการ - นายประพันธ์ หนูทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลหาดยาย ร่วมจัดโครงการ 082 2914965 ส่วนที่ 5 การยินยอมของชุมชนในการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ไม่จำกัดจำนวน) ชื่อ-สกุล นายประพันธ์ หนูทอง สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 10 ตำบลหาดยาย ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ (นายประพันธ์ หนูทอง)
ส่วนที่ 6 ภาคผนวก 1. เอกสารอ้างอิง โครงการจัดงานประเพณีแข่งแพพื้นบ้าน 2. บุคคลอ้างอิง นายประพันธ์ หนูทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลหาดยาย อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร 3. ผู้จัดทำ นางพวงจันทร์ ศิริสวัสดิ์ ตำแหน่งนักวิชาการศึกษาชำนาญการ ฝ่ายส่งเสริมประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรม กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร 4. รูปถ่าย พร้อมคำบรรยายใต้ภาพ
แบบจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ.2 ส่วนที่ 1 ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. ชื่อรายการ ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ชื่อเรียกในท้องถิ่น - 2. ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า 1 ช่อง) วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือดั้งเดิม การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว 3. พื้นที่ปฏิบัติ โบราณสถานถ้ำรับร่อ (วัดเทพเจริญ) หมู่ที่ 4 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 4. สาระสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป วัดเทพเจริญ (วัดถ้ำรับร่อ) ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.2479 ปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชุมพร ถ้ำรับร่อ มีอายุยาวนานนับหลายร้อยปี ตั้งอยู่บนดินแดน ประวัติศาสตร์ เมืองเก่าอุทุมพร สิ่งที่สำคัญของสถานที่แห่งนี้ คือ พระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมือง ถ้ำพระ ถ้ำอ้ายเตย์ ถ้ำไทร และรอยพระพุทธบาทจำลอง โดยในถ้ำพระเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชุมพรมาแต่เดิม ชาวบ้านพากันเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พ่อปู่หลักเมือง” อันมีความหมาย 2 ประการ คือ ประการแรก เมืองชุมพร หรือเมืองอุทุมพรเดิม ไม่มีเสาหลักเมือง เมื่อมีผู้มาถามหาเสาหลักเมือง คนสมัยก่อนก็พากันชี้บอกถึงพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมือง ภายในถ้ำรับร่อว่า เป็นเสาหลักเมือง ประชาชนใน สมัยนั้น จึงถือเอาพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมืองเป็นเสมือนหนึ่งเสาหลักเมือง ประการที่สอง ประชาชนชาวเมืองเก่าต่างมีความศรัทธา เคารพเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์และ เก่าแก่ของพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมืองว่า ย่อมจะอำนวยประโยชน์ ดลบันดาลให้เกิดความสุขความเจริญแก่ผู้ที่ เคารพบูชา ความเชื่อในหลักการทางพระพุทธศาสนา จึงพากันยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งทางใจ อันหมายถึงเป็น หลักที่พึ่งทางใจของชาวเมืองชุมพร และได้ยึดถือวันแรม 11 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันเปลี่ยนผ้าครองพ่อปู่หลัก เมือง จึงจะมีพิธีแห่ผ้าครองพ่อปู่หลักเมือง และมีการบวงสรวงแก้สินบนปีด้วยการแสดงมโนราห์การชกมวย ไทย ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นถ้ำปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ซึ่งบรรดาลูกหลานชาวเมืองเก่าที่ ออกไปประกอบอาชีพในต่างถิ่น เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อกราบไหว้บูชาและปิดทองพ่อปู่หลักเมืองกันปีละ 1 ครั้ง ตามความเชื่อ เพื่อขอพรจากพ่อปู่หลักเมืองให้มีความสุขความเจริญ ความเชื่อดังกล่าวยังฝังแน่นใน ความรู้สึกของลูกหลานชาวชุมพร และถือปฏิบัติสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน สืบสานประเพณีท้องถิ่นสำคัญ 5. ประวัติความเป็นมา ภูเขาถ้ำรับร่อหรือภูเขาพระในวัดถ้ำเจริญ หมู่ที่ 4 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร สิ่งสำคัญของสถานที่แห่งนี้ คือ 1. ถ้ำพระ 2. ถ้ำไทร 3. ถ้ำอ้ายเตย์ 4. รอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งทำจาก หินทรายสีแดง ภูเขาถ้ำรับร่อหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเขาพระบ้าง ถ้ำทะเลเซียะบ้าง เป็นภูเขาหินปูนซึ่งวางอยู่ใน แนวเกือบจะตามแกนทิศเหนือ-ทิศใต้ ขนาดยาวประมาณ 5 กิโลเมตร กว้างประมาณ 2.25 กิโลเมตร
ยอดสูงสุดอยู่ทางตอนใต้ของภูเขา สูงประมาณ 481 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง โบราณสถานตั้งอยู่ ในเขตวัดเทพเจริญ (วัดถ้ำรับร่อ) อยู่ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ของภูเขา ตามตำนานนิทานพื้นบ้านเชื่อกันว่า บริเวณรอบๆ ภูเขาถ้ำรับร่อแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณชื่อ “เมืองอุทุมพร” ร่วมสมัยกับนครศรีธรรมราช ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช เมืองอุทุมพร ใช้เป็นเมืองท่ารักษาด่านทางข้าม คดคอดคาบสมุทรมลายู มีสำเภาจีนมาค้าขาย ได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนามาจากนครศรีธรรมราช จึงได้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้น องค์ใหญ่เรียกว่า “พระหลักเมือง หรือพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมือง” เป็นพระประทานประดิษฐานอยู่กลางถ้ำ (ถ้ำพระ) ปัจจุบันผู้สูงอายุในหมู่บ้านยังเรียกว่า “ถ้ำทะเลเซียะ” ตามชื่อคลองที่ไหลผ่านหน้าวัดและหน้าภูเขา พระไปทางทิศใต้ โดยไหลไปรวมกับคลองรับร่อและไปบรรจบกับคลองท่าแซะ ที่บ้านปากแพรก ตำบลนา กระตาม มีเรื่องเล่าว่า เมื่อเสด็จจากการสร้างพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมืองแล้ว ทรัพย์สินเงินทองที่ชาวบ้าน นำมาร่วมสร้างยังคงเหลืออีกมากมาย จึงได้นำไปฝังไว้ในถ้ำอีกถ้ำหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน และเขียน พระพุทธรูปไสย์ยาสน์ ลงสีไว้ที่ผนังถ้ำ ตามตำนานกล่าวว่า ภาพปริศนานั้นสร้างขึ้นด้วยแรงอธิฐาน ดุจปู่โสม เฝ้าทรัพย์โดยเรียกว่า “อ้ายเตย์” แม้จะลบเท่าไรก็ไม่หมด หลายครั้งที่มีผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาน้ำชุบผ้ามา ทดลองลบสี ปรากฏว่าพอน้ำแห้งสีก้อกลับเป็นดังเดิม นอกจากภาพปริศนาอ้ายเตย์เฝ้าสมบัติแล้ว ยังมีคำ กล่าวเป็นลายแทงมหาสมบัติไว้ว่า “อ้ายเตย์ อ้ายเตย์ เอาลูกใส่เปล เอาตีนคาใน น้ำมันสองขวดค่อยนวด ลงไป ผู้ใดคิดได้ อยู่ใต้อ้ายเตย์” จากปริศนาลายแทงนี้ นักแสวงโชคจึงพากันเชื่อว่า สมบัติมีจริงตามลาย แทงจึงมีผู้มาตามหาและขอขุดทุกปี ปรากฏว่ายังไม่มีผู้ใดได้สมบัติดังกล่าวไปตามความเชื่อ ทั้งนี้ ทางวัดไม่ อนุญาตให้ขุดค้น มีบ้าง ที่บางครั้งมาขโมยขุดกลางคืน ทุกครั้งมักจะมีเหตุอัศจรรย์ เช่น ถูกงูขาวใหญ่ ไล่กัดบ้าง มีเสียงลึกลับ ไล่ตะเพิดบ้าง ถึงกับต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปทุกครั้ง รูปแบบของศิลปกรรม ในโบราณสถานถ้ำรับร่อแห่งนี้มีถ้ำที่สำคัญอยู่ 3 ถ้ำ คือถ้ำพระ ถ้ำอ้ายเตย์ ถ้ำไทร มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอยู่ที่ถ้ำพระและถ้ำอ้ายเตย์ ดังรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ถ้ำพระ บริเวณหน้าถ้ำมีพระพุทธรูปปูนปั้นทรงเครื่อง ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักประมาณ 1.40,2.00, 4.80 จำนวน 3 องค์ เข้าใจว่าคงสร้างสมัยอยุธยา พระพุทธรูปแกะสลักไม้จันทร์รวมแล้ว เป็นจำนวนร้อยองค์ มีทั้งไสย์ยาสน์ ปางมารวิชัย ฝีมือช่างท้องถิ่น เข้าใจว่าคงได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะ ท้องถิ่นทางภาคใต้ และภาคกลางประปนกัน พระประทานหรือพระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมือง เป็นรอย พระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางถ้ำ ขนาดสูง 6 เมตร หน้าตักกว้าง 6 ศอก 9 นิ้ว ลักษณะพุทธศิลป์แบบศิลปะอยุธยา ส่วนพระพุทธรูปที่เป็นบริวารเป็นพระพุทธรูปเลียนแบบจากสุโขทัยก็มี ถ้ำอ้ายเตย์ มีภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นพระพุทธไสยยาสน์อยู่เหนือพื้นถ้ำประมาณ 40 เซนติเมตร องค์ใหญ่ประมาณ 4.80 เมตร กว้าง 2 เมตร หันพระเศียรไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ตัดเส้นสีแดงดำเป็นโครงร่าง รอบๆ องค์มีสีเป็นส่วนๆ พระเศียรและเกตุ ลงสีดำ พระพักตร์และพระกรลงสีขาว พระวรกายครองผ้าสีส้มอมเหลืองแบบเดียวกับผ้าครองพระสงฆ์ไม่ แสดง รายละเอียดของพระเนตร พระนาสิกและพระโอษฐ์ พระพักตร์ซึ่งเป็นรูปค่อนข้างเหลี่ยม พระอุษณี นูนสูงต่อด้วยเปลวซึ่งลงสีขาวตัดเส้นดำ ส่วนปลายพระบาทไม่ชัดเจน สำหรับรอยพระพุทธบาทหินทรายแดง มีขนาดยาว 1 เมตร ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายใน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดเทพเจริญ ลักษณะของรอยพระพุทธบาท สลักลวดลายคล้ายสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์ ปทุมวงศ์ ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช แห่งนครศรีธรรมราช ส่วนที่รูปแพะเป็นสัญลักษณ์นั้น ตามตำนาน เมืองนครศรีธรรมราช ได้กล่าวถึงเมืองสิบสองนักษัตร อันเป็นเมืองขึ้นหรือเมืองหน้าด่านของนครศรีธรรมราช เมืองอุทุมพร (ปีมะแม ถือตราแพะ) ลักษณะศิลปกรรมน่าจะเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น หรือไม่ก็เก่าไปกว่า พุทธศตวรรษที่ 19
ชาวตำบลท่าข้าม ได้ยึดถือเอาวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เป็นวันขึ้นถ้ำปิดทอง องค์พระหลักเมืองและปฏิบัติต่อ ๆ กันมาหลายชั่วอายุคน สืบสานกันเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญ คือ ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ลักษณะพิธีกรรม มีการปฏิบัติกัน 3 ช่วง คือ 1) แรกพิธี เมื่อถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 5 ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ตำบลท่าข้ามก็จะมาประกอบพิธี เป็นการนำร่องก่อน โดยมีการสรงน้ำองค์พระหลักเมืองและองค์พระบริวาร ทำความสะอาดสถานที่ภายในถ้ำ เก็บเผากำเลย (เครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้แก้บนในรอบปีที่ผ่านมา เช่น กรวบ ชุดบายศรีที่ทำจากใบตอง) พร้อมกับอธิ ฐาน สิ่งที่บนบานสานกล่าวในรอบปีที่ผ่านมาให้หลุดขาดจากคำกล่าวที่ได้บนบานไว้จึงเรียกวันขึ้นถ้ำในวันนี้ว่า “ขึ้นถ้ำแก้บน” 2) ขึ้นถ้ำปิดทอง ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 วันนี้นับเป็นวันประเพณีโบราณที่แท้จริง จะมีผู้มี จิตศรัทธาจากทั่วสารทิศ ในอดีตจะมีประชาชนจากเมืองมะริด เมืองทะวาย เมืองตะนาวศรี เดินทางมาด้วย พาหนะแบบโบราณ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เรือพาย เรือถ่อ โดยเดินทางล่วงหน้าประมาณ 1 วัน 1 คืน โดยมาค้างแรมในชุมชนบ้านท่าข้ามและบ้านรับร่อ ผู้คนในสองชุมชนนี้ก็จะทำอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับคนที่ เดินทางมาพักค้างจากต่างถิ่นด้วย โดยเฉพาะการเผาข้าวหลามไว้เป็นของฝาก และเป็นอาหารไว้รับประทานใน ช่วงเวลาที่ผู้มาเยือนเดินทางกลับบ้านกลับเมือง ทั้งนี้ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ บรรดาลูกหลานของชาวท่า ข้ามและ ชาวรับร่อ ที่ได้เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด ก็จะถือโอกาสดีเดินทางกลับ มาบ้าน เพื่อมาร่วมพบหน้าญาติพี่น้องและเดินทางมาร่วมทำบุญปิดทองพระหลักเมืองในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 นี้ด้วย เป็นประจำทุกปี 3) ขึ้นถ้ำบน ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 เป้าหมายเพื่อบนบานศาลกล่าวต่อประเด็นที่พวกเขา มุ่งหวังในปีต่อไป (แต่เดิมจะมีการบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล การทำนาได้ผลผลิตดี น้ำไม่ท่วมทำให้พืชผลเสียหาย ขายข้าวได้ราคาดี) และในวันนี้ จะมีการจัดมหรสพมาเพื่อบวงสรวง คือ มโนราห์ ผลสัมฤทธิ์ จากการบนบานศาลกล่าวในครั้งนี้ จะเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไปถึงวันขึ้นถ้ำแก้บนในปี ถัดไป 6. ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยให้มีรายละเอียด ครอบคลุมสาระ ดังต่อไปนี้ แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณีและเทศกาล ประกอบด้วย ประเภท สถานที่ แหล่งปฏิบัติ ระเบียบพิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติของการแสดงออกนั้นๆ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และความเชื่อ ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ลักษณะพิธีกรรม มีการปฏิบัติกัน 3 ช่วง คือ 1) แรกพิธี เมื่อถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 5 ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ตำบลท่าข้ามก็จะมาประกอบพิธี เป็นการนำร่องก่อน โดยมีการสรงน้ำองค์พระหลักเมืองและองค์พระบริวาร ทำความสะอาดสถานที่ภายในถ้ำ เก็บเผากำเลย (เครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้แก้บนในรอบปีที่ผ่านมา เช่น กรวย ชุดบายศรีที่ทำจากใบตอง) พร้อมกับ อธิฐาน สิ่งที่บนบานสานกล่าวในรอบปีที่ผ่านมาให้หลุดขาดจากคำกล่าวที่ได้บนบานไว้จึงเรียกวันขึ้นถ้ำในวันนี้ ว่า “ขึ้นถ้ำแก้บน” 2) ขึ้นถ้ำปิดทอง ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 วันนี้นับเป็นวันประเพณีโบราณที่แท้จริง จะมีผู้มี จิตศรัทธาจากทั่วสารทิศ ในอดีตจะมีประชาชนจากเมืองมะริด เมืองทะวาย เมืองตะนาวศรี เดินทางมาด้วย พาหนะแบบโบราณ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เรือพาย เรือถ่อ โดยเดินทางล่วงหน้าประมาณ 1 วัน 1 คืน
โดยมาค้างแรมในชุมชนบ้านท่าข้ามและบ้านรับร่อ ผู้คนในสองชุมชนนี้ก็จะทำอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับคนที่ เดินทางมาพักค้างจากต่างถิ่นด้วย โดยเฉพาะการเผาข้าวหลามไว้เป็นของฝาก และเป็นอาหารไว้รับประทานใน ช่วงเวลา ที่ผู้มาเยือนเดินทางกลับบ้านกลับเมือง ทั้งนี้ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ บรรดาลูกหลานของชาว ท่าข้ามและ ชาวรับร่อ ที่ได้เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด ก็จะถือโอกาสดีเดินทาง กลับมาบ้าน เพื่อมาร่วมพบหน้าญาติพี่น้องและเดินทางมาร่วมทำบุญปิดทองพระหลักเมืองในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 นี้ด้วย เป็นประจำทุกปี 3) ขึ้นถ้ำบน ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 เป้าหมายเพื่อบนบานศาลกล่าวต่อประเด็นที่พวกเขา มุ่งหวังในปีต่อไป (แต่เดิมจะมีการบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล การทำนาได้ผลผลิตดี น้ำไม่ท่วมทำให้พืชผลเสียหาย ขายข้าวได้ราคาดี) และในวันนี้ จะมีการจัดมหรสพมาเพื่อบวงสรวง คือ มโนราห์ ผลสัมฤทธิ์ จากการบนบานศาลกล่าวในครั้งนี้ จะเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไปถึงวันขึ้นถ้ำแก้บนในปี ถัดไป การจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ และ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณกาลให้คงอยู่สืบไป อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีให้กับคนใน ชุมชนท้องถิ่น ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นถ้ำปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ซึ่งบรรดาลูกหลานที่ไปประกอบ อาชีพ อยู่ในต่างจังหวัด หรือต่างพื้นที่ จะกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่อกราบไหว้และปิดทองพ่อปู่หลักเมืองกันปีละ 1 ครั้ง ตามความเชื่อ หากได้ทำบุญปิดทองพ่อปู่หลักเมืองถือว่าได้กุศลอย่างใหญ่หลวง และได้แก้บนปีด้วย การปิดทอง จุดประทัด เพื่อขอบคุณพ่อปู่หลักเมืองที่ได้คุ้มครองอำนวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอดทั้งปี ความเชื่อดังกล่าว ยังฝังแน่นในความรู้สึกของลูกหลานตำบลท่าข้ามและชาวจังหวัดชุมพร และถือปฏิบัติ สืบทอดกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนที่ 2 คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญ 1. เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณกาลให้คงอยู่สืบไป 2. เป็นการสร้างความภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิด และสร้างความสามัคคีให้กับประชาชนในชุมชน ท้องถิ่น 3. เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวโบราณสถานถ้ำรับร่อ (วัดเทพเจริญ) 2. บทบาทของชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ตั้งแต่ การประชุมร่วม แสดงความคิดเห็น เห็นชอบร่วมกันในการกำหนดจัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง การประชุม วางแผน กำหนดรูปแบบการดำเนินงาน มอบหมายภารกิจ การจัดเตรียมสถานที่ และการเข้าร่วมดำเนินการ จัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ส่งผลให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกันภายในชุมชน เป็นพลังชุมชนในการจัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อปิดทองพ่อปู่หลักเมืองให้ประสบผลสำเร็จ ส่วนที่ 3 มาตรการในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. โครงการ กิจกรรมที่มีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การศึกษา วิจัย (ศึกษาระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ.2559 โดยจัดโครงการสนับสนุนการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ขึ้น เพื่อจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง” สนับสนุนการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของจังหวัดชุมพร ประจำปี 2562 ตามแบบ มภ.2 และประกาศรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร ประจำปีพุทธศักราช 2562 พร้อมเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ ร่วมกัน และเป็นฐานข้อมูลสำหรับการศึกษา ค้นคว้า การอนุรักษ์ ฟื้นฟู (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม จัดโครงการประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ประจำปีทุกปีต่อเนื่อง เพื่ออนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น สร้างความภาคภูมิใจ ความสามัคคีของประชาชนในท้องถิ่น และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววัดเทพเจริญ (ถ้ำรับร่อ) ให้เป็นที่รู้จัก สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว กิจกรรม ประกอบด้วย 1. ขบวนแห่ผ้าครอง 2. เปลี่ยนผ้าครองพ่อปู่หลักเมือง 3. แก้บนปี ด้วยการแสดงมโนราห์ มวยไทย 4. ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง 5. การแสดงทางวัฒนธรรม 6. จัดมหรสพ แสง สี เสียง การสืบสานและถ่ายทอด (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) ในทุกปีจะมีการจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมืองขึ้น เพื่อเป็นการสืบสาน งานประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซึ่งในช่วงงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมืองทุกปีจะมี ประชาชนแห่กันมาทำบุญปิดทององค์พระกันอย่างเนื่องแน่น ลูกหลานชาวตำบลท่าข้าม ตำบลรับร่อ ที่เดินทางไปศึกษา เล่าเรียนหรือทำมาหากินในต่างถิ่น ต่างพากันกลับบ้านเพื่อร่วมงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง การพัฒนาต่อยอดมรดกภูมิปัญญา (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง เป็นงานประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญ สถานที่จัดงานอยู่ ภายในบริเวณวัดเทพเจริญ (ถ้ำรับร่อ) ซึ่งได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.2479 ถ้ำรับร่อ มีอายุยาวนานนับหลายร้อยปี ตั้งอยู่บนดินแดนประวัติศาสตร์เมืองเก่าอุทุมพร สิ่งที่สำคัญของ สถานที่แห่งนี้ คือ พระพุทธรูปพ่อปู่หลักเมือง ถ้ำพระ ถ้ำอ้ายเตย์ ถ้ำไทร รอยพระพุทธบาทจำลอง และพิพิธภัณฑ์วัดเทพเจริญ เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชุมพรอีกแห่งหนึ่ง การดำเนินงานด้านอื่น ๆ (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) 2. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่คาดว่าจะดำเนินการใน อนาคต 2.1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ ศาสนสถาน สถานศึกษา ชุมชน และประชาชน ให้การส่งเสริม สนับสนุน อนุรักษ์และสืบสานการจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง โดยกำหนดให้วันแรม 11 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันเปลี่ยนผ้าครองพ่อปู่หลักเมือง ซึ่งจะมีพิธีแห่ผ้าครองพ่อปู่หลัก เมือง มีการบวงสรวงแก้สินบนปีด้วยการแสดงมโนราห์ ชกมวยไทย และในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 5 เป็นวัน ขึ้นถ้ำ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ซึ่งกำหนดจัดต่อเนื่องทุกปี สืบสานกันเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญ 2.2 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร จัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “ประเพณี ขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง” เพื่อสนับสนุนการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของจังหวัดชุมพร ประจำปี 2562 ตามแบบ มภ.2 และประกาศรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม จังหวัดชุมพร ประจำปีพุทธศักราช 2562 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์และเป็นฐานข้อมูลสำหรับการ ค้นคว้า และสร้างการรับรู้ทั่วกันในจังหวัด
3. การส่งเสริม สนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม (ถ้ามี) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ ศาสนสถาน สถานศึกษา ชุมชนและประชาชน มีส่วน ร่วมให้การสนับสนุน ส่งเสริมการจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง โดยได้รับงบประมาณใน การดำเนินงานจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ส่วนที่ 4 สถานภาพปัจจุบัน 1. สถานการณ์คงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีการจัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมืองต่อเนื่องทุกปี เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีความสำคัญต่อวิถีชุมชนที่ต้องได้รับการฟื้นฟู 2. สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และปัจจัยคุกคาม สถานภาพปัจจุบัน ในทุกปีจะมีการจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ขึ้น เพื่อเป็นการสืบสาน งานประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณซึ่งในช่วงงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมืองทุกปี จะมีประชาชนแห่กันมาทำบุญปิดทององค์พระกันอย่างเนืองแน่น ลูกหลานชาวตำบลท่าข้าม ตำบลรับร่อ ที่เดินทางไปศึกษาเล่าเรียน หรือทำมาหากินในต่างถิ่น ต่างพากันกลับบ้านเพื่อร่วมงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง 3. รายชื่อผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กลุ่มคน......เป็นต้น) รายชื่อบุคคล/หัวหน้าคณะ/ กลุ่ม/สมาคม/ชุมชน อายุ/อาชีพ องค์ความรู้ด้านที่ได้รับ การสืบทอด/จำนวนปีที่ สืบทอดปฏิบัติ สถานที่ติดต่อ/ โทรศัพท์ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น สนับสนุนส่งเสริมและ จัด ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิด ทองพ่อปู่หลักเมือง 0 7754 7071 พระเอกชัย อุชุโต รักษาการเจ้าอาวาส วัดเทพเจริญ (ถ้ำรับร่อ) ให้ความอนุเคราะห์ สนับสนุนส่งเสริมการจัด ประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อปิด ทองพ่อปู่หลักเมือง นายบุญส่ง อินทยารัตน์ อายุ 64 ปี อาชีพข้าราชการบำนาญ สนับสนุนส่งเสริมและร่วม จัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 14 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 086 270 0374 นายวรรณา วรดิษฐ อายุ 79 ปี ประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอท่าแซะ สนับสนุน ส่งเสริมและร่วม จัดประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อ ปิดทองพ่อปู่หลักเมือง บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 14 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 080 8732270
ส่วนที่ 5 การยินยอมของชุมชนในการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ไม่จำกัดจำนวน) ชื่อ–สกุล ........................................................................................................................ ...................................... สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เช่น เป็นครูผู้สืบทอด เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดความรู้ เป็นผู้นำชุมชน เป็นเจ้าหน้าที่ในชุมชน เป็นผู้ชม เป็นผู้รับบริการ หรือเป็นผู้สนับสนุนด้านอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง) ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป (ลงชื่อ) (นายกฤษฎ์ แก้วรักษ์) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ส่วนที่ 6 ภาคผนวก 1. เอกสารอ้างอิง โครงการจัดงานประเพณีขึ้นถ้ำรับร่อปิดทองพ่อปู่หลักเมือง ปี 2562 2. บุคคลอ้างอิง นายกฤษณ์ แก้วรักษ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม นายบุญส่ง อินทยารัตน์ บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 14 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร นายวรรณา วรดิษฐ์ บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 14 ตำบลท่าข้าม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 3. ผู้จัดทำ นายวิโรจน์ ใจเอื้อ ตำแหน่งนักวิชาการศึกษาชำนาญการ ฝ่ายส่งเสริมประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรม กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร (ลงชื่อ) (นายวิโรจน์ ใจเอื้อ) นักวิชาการศึกษาชำนาญการ
แบบจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ.2 ส่วนที่ 1 ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. ชื่อรายการ ประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ชื่อเรียกในท้องถิ่น งานประเพณีห่มพระปรางค์วัดประเดิม 2. ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า 1 ช่อง) วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือดั้งเดิม การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว 3. พื้นที่ปฏิบัติ วัดประเดิม ตั้งอยู่เลขที่ 108 หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 4. สาระสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป วัดประเดิมได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน 2479 ซึ่งในปี พ.ศ.2556 วัดได้รับพระราชทานผ้าห่มพระปรางค์ที่ บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นการสืบสานและ ส่งเสริมประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 5. ประวัติความเป็นมา ประวัติจังหวัดชุมพร คำว่า จังหวัดชุมพร เพิ่งเริ่มใช้ในปี พ.ศ.2459 โดยทางราชการเปลี่ยนนามท้องที่ที่เรียกว่า เมือง อันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลว่า “จังหวัด” ส่วนคำว่าเมืองให้ใช้สำหรับเรียกตำบลที่ประชาชนได้เคย เรียกว่าเมือง มาแล้วแต่เดิมอันเป็นเขตชุมชนเท่านั้น ในสมัยโบราณมีชื่อว่า “เมืองชุมพร” เมืองชุมพร เป็นเมืองเก่าแก่เมือง หนึ่งแต่จะตั้งเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่นอน เพิ่งมาปรากฏตามตำนานพระธาตุ เมืองนครศรีธรรมราชฉบับของหอสมุดแห่งชาติมีความตอนหนึ่งว่าเมื่อศักราชได้ 1098 ปี พระยา ศรีธรรมาโศกราช ก็สร้างเมืองลงบนหาดทราย รอบเป็นเมืองนครศรีธรรมราช แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระ ธาตุครั้งนั้น และยังมีพระพุทธสิหิงค์ล่องทะเลมาแต่ เมืองลังกาถึงเกาะปีนัง และลอยมาถึงหาดทรายแก้วที่จะ ก่อพระธาตุนั้น ต่อมาพระยาศรีธรรมาโศกราช ได้ขุดพบพระธาตุแล้วแบ่งให้พระยาศรีธรรมาโศกราช ไปก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่เหลือไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช แล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรตามปูมโหรขึ้น แก่เมืองนครศรีธรรมราชให้ใช้ตรารูปสัตว์ประจำปีเป็นตราของเมือง นั้นๆ คือ ปีชวดตั้งเมืองสาย ถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง ปีขาลเมืองกลันตันถือตราเสือหนึ่ง ปีเถาะเมืองปาหัง ถือตรา กระต่ายหนึ่ง ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง ปีมะเมียเมืองตรังถือ ตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง ปีวอกเมืองปันทายสมอถือตราลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุลาถือ ตราไก่หนึ่ง ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน 12 เมือง มาช่วย ทำอิฐปูนก่อพระธาตุขึ้น
ตามตำนานนี้เมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้นมีอำนาจมาก ปรากฏว่ามีเมืองชุมพรเป็นเมืองขึ้น อยู่เมืองหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.1098 เมืองชุมพรในสมัยนั้นปรากฏว่า เป็นเมืองด่านเพราะอยู่ระหว่าง ช่องแคบมลายูเป็นเมืองด่าน หรือแคว้นเทพนครหรือแคว้นอู่ทอง ในสมัยต่อมาไม่มีหลักฐานที่อ้างอิง หรือกล่าวถึงเมืองชุมพร ไว้เลย จึงมีผู้เข้าใจว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยอยุธยา เมื่อปีจอ พุทธศักราช 1997 (จ.ศ.816) ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าอยู่หัวในสมัยอยุธยาเป็นราช ธานี ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงซึ่งได้โปรดให้ชำระ ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ได้มี พระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าสั่งว่า บรรดาข้าราชการ อยู่บนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงให้ถือศักดิ นาตามพระราชบัญญัติ และปรากฏว่ามีออกญาเคางะทราธิบดีศรีสุรัตวลุมหนักพระชุมพร เมืองตรีถือศักดินา 5,000 ไร่ เป็นอันรับรู้ว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองตรีและเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินของพระองค์ แต่ต้องเข้าใจว่า ก่อนที่จะได้เป็นเมืองตรี เมืองชุมพรจะต้องเป็นเมืองเล็กมาก่อนจึงไม่มี หลักฐานในประวัติศาสตร์ไว้ให้เห็นชัด เพิ่งมาปรากฏแน่ชัดขึ้น ว่าเมืองชุมพรเป็นหัวเมืองหนึ่งในหัวเมืองปักษ์ใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.1999 เป็นต้นมา หรือประมาณ 503 ปีเศษแล้ว เมืองชุมพรจะตั้งอยู่ ณ ตำบลใด ที่ใดไม่มีหลักฐานที่แน่นอน ทั้งนี้เมืองชุมพร ไม่มีโบราณวัตถุ ที่เป็นพยานหลักฐานว่าเมืองแต่โบราณ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ได้ทรงเรียบเรียงไว้ใน ตำนานเมืองระนอง ความตอนหนึ่งว่า "เมืองชุมพรประหลาดผิดกับเมืองอื่นใน แหลมมลายู เมืองที่ตั้ง มาแต่ โบราณ เช่น เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น ล้วนมีโบราณวัตถุและมี ตัวเมืองปรากฏอยู่บ้างรู้ได้ว่าเป็นเมืองมาแต่โบราณ แต่เมืองชุมพรยังไม่ได้พบโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญแต่ อย่างใด อาจจะเป็นด้วยเหตุ 2 ประการ คือ มีที่นาไม่พอกับคนประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งอยู่ตรงคอคอด แหลมมลายู มักเป็นสมรภูมิ รบพุ่ง กันตรงนี้ จึงไม่สร้างเมืองถาวรไว้ แต่ก็ต้องรักษาไว้เป็นเมืองด่าน" นอกจาก เหตุผล 2 ประการดังกล่าว แล้ว พิจารณาจากสภาพตามธรรมชาติแล้วยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่ท้องที่ตั้ง จังหวัดชุมพรเป็นที่ราบต่ำ น้ำท่วม บ้านเรือนราษฎร เรือกสวนไร่นาเสียหายอยู่เสมอ บางปีน้ำท่วมถึง 2 - 3 ครั้ง ภัยจากน้ำท่วม อาจเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุไว้ให้ปรากฏแก่ชนรุ่นหลังก็ได้ แม้แต่ บ้านเรือนราษฎรในเมือง ก็ไม่ปรากฏว่าได้ ก่อสร้างอาคารถาวรเป็นเรือนตึกหรือคอนกรีต เพิ่งจะมีตึกขึ้นเป็น ครั้งแรก ในตลาดชุมพร เมื่อ พ.ศ.2491 นี้เอง อย่างไรก็ดี จากหลักฐานบางอย่างปรากฏว่ามีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ใกล้วัดประเดิมอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ชุมพร เรียกว่า “บ้านวัดประเดิม” หรือ “บ้านประเดิม” ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ 20 ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร พิจารณาตามลักษณะภูมิประเทศจะเห็นว่ามีคลองสองคลองไหลมาเกือบบรรจบกัน และใน ระหว่างคลอง ทั้งสอง คือ คลองชุมพรและคลองท่าตะเภา ซึ่งขณะนี้เรียกกันว่าคลองร่วมเมืองชุมพรตั้งอยู่ ณ คลองท่าตะเภา หาใช่ตั้งที่คลองชุมพรตามชื่อเมืองไม่ จึงเป็นเหตุหนึ่งทำให้สันนิษฐานว่า เมืองชุมพรแต่เดิม น่าจะอยู่ที่คลองชุมพร โดยใช้ชื่ออย่างเดียวกัน นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงวัดมีวัดใหญ่อยู่บริเวณใกล้เคียง หลายวัดคือ วัดประเดิม วัดนอก วัดพระขวาง และวัดวังไผ่ ส่วนวัดประเดิมเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญ ชาวบ้านนับถือ และพากันไปทำบุญมากกว่าวัดอื่นๆ ซึ่งตามธรรมดาที่ตั้งเมืองโบราณมักจะมีวัดมากและตั้งอยู่ติดๆกันบริเวณ วัดประเดิมถัดมาทางทิศเหนือ มีอิฐแผ่นใหญ่จมอยู่ในดินบางแห่ง และมีหลักเมืองแห่งหนึ่งใกล้ๆวัดประเดิม หลักเมืองนี้ชาวบ้านในปัจจุบัน มักไม่ค่อยรู้จักว่าเป็นอะไร เพราะสภาพในปัจจุบันเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งปักอยู่ ในดินใต้ต้นข่อยใหญ่ชาวบ้านใกล้เคียงเรียก กันว่า “พระข่อย” ถือเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือ ของประชาชนทั่วไป ตามธรรมดาเมืองโบราณ จะต้องมีหลักเมือง พระเสื้อเมืองเป็นประจำเมือง ด้วยเหตุผล ข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าเมืองชุมพรเดิมตั้งอยู่ ณ บ้านประเดิม ทางฝั่งซ้ายของเมืองชุมพร จึงมีชื่อตรงกับชื่อ คลองอยู่ห่างจากเมืองชุมพร
ในปัจจุบันไปทาง ทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ต่อมาสันนิษฐานว่าได้ย้ายตัวเมืองไปตั้งอยู่ ณ บ้านท่ายาง ตำบลท่ายาง โดยมีหลักฐานอ้างอิงว่า เมื่อ พ.ศ. 2357 ปีจอ ฉศก.(จ.ศ. 1176) ในรัชกาล ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงส่งสงฆ์ไทยจำนวน 7 รูป เป็นสมณทูต ออกไปเมืองลังกาโดยทางเรือ โดยมีขุนทรงวิชัยหมื่นไกรคุมเครื่อง ดอกไม้เงินทองไปบูชาพระเจดีย์ฐาน ทั้ง 15 ตำบล ครั้นวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 2 เวลา 4 โมง มีคลื่นจัดเรือ ได้เกยหาดมัทรี ปากน้ำชุมพรแตก คณะทูตได้ส่งคนออกหาบ้านคนแล้วโดยสารเรือจับปลามาถึงเมืองชุมพรได้ ขออาหารจากเจ้าอธิการวัดท่ายาง บริโภค แล้วพากันมาหาเจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรได้ป่าวร้องให้ราษฎรจัดแจง หาอาหารมาถวาย พระสมณทูต แล้วออกไปรับพระสงฆ์สมณทูตกับคณะเข้ามา ณ เมืองชุมพร นิมนต์ให้พระสงฆ์ อาศัยใน วัดท่ายาง คราวนี้ จะเห็นได้ว่า เมืองชุมพรในปี พ.ศ. 2357 ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่ายาง ภูมิฐานของตำบล ท่ายาง ในปัจจุบันนี้ยังมีบ้านเรือนหนาแน่น และใกล้กับปากอ่าวมีเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปมาสะดวกบัดนี้ก็ยังเป็น ท่าเรือสินค้ามีเรือต่างๆ จากกรุงเทพมหานครบรรทุกสินค้ามาขึ้นแล้วบรรทุกรถยนต์ไปในเมืองอยู่เสมอ ท่ายาง เป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง ขณะนี้มีวัดถึง 7 วัด วัดที่อยู่ใกล้เคียงตลาดเก่ามีถึง 3 วัดติดกัน คือ วัดท่ายางใต้ วัด ท่ายางกลาง และวัดท่ายางเหนือ ตำบลท่ายางจึงน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองชุมพรในสมัยต่อมา แต่ย้ายมาเมื่อใด ยังไม่พบหลักฐานแน่นอน เมื่อตรวจสอบหลักฐานที่พอเชื่อถือได้ พบว่าเมื่อปี พ.ศ. 2433 (ร.ศ.109) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายูได้เสด็จประทับที่เมือง ชุมพรแล้วทรงม้า ทรงช้าง พระที่นั่งไปยังเมืองกระบุรี จังหวัดระนอง พลับพลาที่ประทับที่ชุมพรอยู่ทางใต้ ของคลองท่าตะเภาโดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี ปัจจุบันขึ้นกับคลอง ท่าตะเภาโดยมี ทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี (ปัจจุบันคือตำบลตากแดด) อยู่หลังพลับ พลาทุ่งตีนสาย ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้อยู่ใกล้วัดสุบรรณนิมิตไปทางทิศตะวันตกและได้ทรงเรือข้ามไปที่ บ้านท่าตะเภา ขึ้นที่หน้าบ้านเจ้าเมืองก่อนแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามริมฝั่งบ้านเรือนราษฎร จึงเป็นที่เชื่อ ได้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2433 (ร.ศ.109) เมืองชุมพรได้มา ตั้งอยู่ที่คลองท่าตะเภาแล้ว ตัวเมืองและสถานที่ราชการ หาใช่ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับทุ่งตีนสาย และบริเวณบ้านท่าตะเภาเหนือ ทั้งนี้พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ได้เสด็จโดยทางเรือพระที่นั่ง 12 กรรเชียง ถึงพลับพลาที่ท่าตะเภาเหนือ ไปถึงหมู่บ้าน ที่เป็นเมืองชุมพร เวลาจวนค่ำเสด็จพระราชดำเนินที่หมู่บ้าน ท่าตะเภา อำเภอเมืองชุมพร ตลาดท่าตะเภาเดิม อยู่ตรงข้ามบ้านทุ่งตีนสาย บริเวณระหว่างที่ทำการป่าไม้จังหวัด กับตลาดในปัจจุบันนี่ ตลาดท่าตะเภานี้แต่เดิม เป็นป่ามีเสือชุกชุมมากจนขึ้นชื่อว่า เสือชุมพรดุมาก เมื่อทางราชการตัดทางรถไฟสายใต้ผ่านตัวเมืองชุมพร ป่าเสือก็กลายสภาพเป็นตลาดการค้า ต่อมาตัวเมืองได้ย้ายอีก แต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด เนื่องจาก ไม่มีหลักฐาน แน่นอน แต่จะต้องหลังจาก พ.ศ. 2433 (ร.ศ.109) แล้ว ปรากฏว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงจัดการปกครองท้องที่ใหม่ โดยแบ่งการปกครองออกเป็น เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หลายเมือง รวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล ในปีพุทธศักราช 2439 (ร.ศ.115) ได้ ตั้งมณฑลชุมพรขึ้น ตั้งศาลา รัฐบาล ณ จังหวัดชุมพร ปรากฏหลักฐานว่าตัวเมืองชุมพร ได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ ริมคลองท่าตะเภา คือที่ ปลูกบ้านพักนายอำเภอเมืองชุมพรอยู่ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบันเหตุผลที่ จำเป็นต้องย้ายเมือง จากบ้านประเดิมและตำบลท่ายางมาอยู่ที่คลองท่าตะเภาไม่พบหลักฐาน ณ ที่ใด แต่เท่าที่ค้นคว้าน่าจะเป็น เพราะเหตุสองประการดังต่อไปนี้คือ
(1.) คลองชุมพรอันเป็นที่ตั้งเมืองมาแต่เดิม เคยใช้เป็นทางเรือสำเภาใหญ่ๆสัญจรและบรรทุกสินค้า ไปมากับจังหวัดใกล้เคียงและต่างประเทศมีระยะไกลจากปากอ่าว ประกอบกับคลองท่าตะเภาเป็นท่าเรือ อยู่ก่อนแล้ว ความเจริญก็มีมากทำเลการทำมาหากินก็ดีขึ้น ประกอบกับขณะนั้นประชาชน ณ เมืองชุมพร เดิมคงจะถูกพม่ารุกรานจึงเที่ยวหลบซ่อนหาที่ตั้งบ้านเรือนใหม่ จึงได้อพยพกันมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน ที่บ้านท่าตะเภามากขึ้น กลายเป็นท้องที่ที่ ประชาชนหนาแน่น จึงเป็นเหตุหนึ่งให้ย้ายเมืองชุมพรไปจากบ้าน ประเดิม (2.) ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า เมืองชุมพรถูกพม่ายกทัพมาย่ำยีหลายครั้งที่สำคัญมี 2 ครั้ง คือ ก. ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยาอัมรินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2307 ปีจอ ฉศก (จ.ศ. 1126) พระเจ้าอังวะ มังระ แห่งพุกามประเทศ ได้จัดกองทัพใหญ่พลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันมาตีกรุงศรีอยุธยา แยกไปทางเหนือทัพหนึ่ง แยกไปทางใต้ทัพหนึ่ง มีมังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพถือพลหมื่นห้าพันยกมาตีเมือง ทวาย มะริด และตะนาว ศรี หุยตองจากเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หลบหนีเข้าไปทางเมืองกระเข้ามาอยู่เมืองชุมพร ทัพพม่ายกติดตามไป เมื่อตีได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสียแล้วยกเข้ามาตีเมืองปะทิว เมืองกุย เมืองปรานแตกทั้ง สามเมือง แล้วกลับเข้า ไปเมืองทวาย ข. ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ. 2238 ปีมะเส็ง สัปตศก (จ.ศ.1147) พระเจ้าปดุงแห่งประทศพม่า จัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคนแยกเป็นหลายกองทัพมา ย่ำยีประเทศไทย ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่มาจนถึงเมืองถลาง (ภูเก็ต) ทางด้านปักษ์ใต้ได้แก่หวุ่นแมงญี เป็นแม่ทัพใหญ่มีไพร่พลสำหรับป้องกันเมืองน้อยก็เทครัวเข้าป่า ทัพพม่ายกเข้าตีเมืองชุมพรได้แล้วเผาเมือง ชุมพรเสียทัพหน้เลยเข้าไปตีเมืองไชยา แล้วก็เผาเมืองไชยาเสียด้วย ส่วนทัพใหญ่ยังคงตั้งอยู่เมืองชุมพร ต่อมา กองทัพหลวงมาจากกรุงเทพฯ จึงตีกองพม่าแตกไป ในสมัยนี้บ้านเมืองก็คงจะร่วงโรย มีผู้คนเหลือน้อย ต่างกระจัดกระจายกันไป เช่นเดียวกับเมืองระนอง เมื่อเมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่คลองท่าตะเภาแล้ว ที่ตรงนั้นอยู่ ริมน้ำตกถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงได้ย้ายที่ทำการมาอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นบริเวณหน้าศาลจังหวัดชุมพรในปัจจุบัน เป็นสมัยที่พระสำเริง นฤปการ เป็นเจ้าเมือง ในปี พ.ศ. 2460 พระยาคงคาธราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑล สุราษฎรได้ขอเงินงบประมาณ เพื่อสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ที่ตำบลท่าตะเภา คือ บริเวณเทศบาลเมือง ชุมพร และสำนักงานที่ดินจังหวัด ในปัจจุบัน ก่อสร้างเสร็จเปิดทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ เมื่อ 3 เมษายน 2462 เวลา 08.00 น. ในสมัยอำมาตย์ตรีพระชุมพรศรีสมุทรเขต (บัว) เป็นผู้ว่าราชการ จังหวัด ด้วยเหตุนี้ทางราชการ จึงถือว่าวันที่ 3 เมษายน เป็นวันที่ระลึกของจังหวัดชุมพร เมืองชุมพรได้เป็นที่ศาลารัฐบาลมณฑลชุมพรด้วย เมื่อเริ่มตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้ว ในปี พ.ศ. 2437 มีเมืองขึ้น กับมณฑลนี้ 3 เมือง คือ เมืองสุราษฎร์ธานี เมืองชุมพร และเมืองหลังสวน ต่อมาในพ.ศ. 2448 (ร.ศ.124) ได้ย้ายศาลาเทศบาลมณฑลชุมพรไปอยู่ที่บ้านดอน ซึ่งเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้ตรงกับท้องที่ ที่ตั้ง มณฑล ในปี พ.ศ. 2468 ได้ประกาศยกเลิกมณฑลสุราษฎร์ธานี และโอนการปกครอง 3 จังหวัด รวมทั้ง จังหวัดชุมพรด้วยไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช หลังจากยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลทุกมณฑล ในปี พ.ศ. 2476 เป็นเหตุให้ยกเลิกมณฑลนครศรีธรรมราชไปด้วย จังหวัดชุมพรจึงเป็นจังหวัดหนึ่ง ในราชอาณาจักรขึ้นตรงต่อราชการบริหารส่วนกลางจนทุกวัน ประวัติวัดประเดิม วัดประเดิม ตั้งอยู่เลขที่ 108 หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร พระอธิการบุญคง ปุญญการี เจ้าอาวาส สังกัดมหานิกาย บนพื้นที่ 21 ไร่ เป็นวัดเก่าแก่ชองจังหวัดชุมพร ชื่อเดิมเรียกว่า วัดสุทธาวาสธาราม เดิมต่อมาเรียกสั้นๆ ว่า วัดประเดิม คำว่า “ประเดิม” หรือ “ธาราเดิม” แปลว่า แรกเริ่ม หรือประเดิมก่อนใคร วัดประเดิมสร้างแต่สมัยใดยุคใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด มีแต่คำบอกเล่าจาก บรรพบุรุษ ที่เล่าสืบทอดกันมาซึ่งมีโบราณวัตถุโบราณสถานพอที่อ้างอิงและยืนยันได้ว่าเป็นวัดโบราณ คือ
1. พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 2. เจดีย์ที่สร้างด้วยอิฐโบราณ อายุอิฐไม่ต่ำกว่า 700 ปี 3. เศียรพระพุทธรูปที่สร้างด้วยศิลาแลง และหินทรายแดง 4. กุฏิหลังใหญ่สร้างเมื่อปี พ.ศ.2473 พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งทางคณะโบราณคดีกรมศิลปากรได้พิสูจน์ก้อนอิฐที่พระ ปรางค์วัดประเดิม และยืนยันว่าเป็นรุ่นเดียวกับอิฐพระธาตุไชยา (พระธาตุไชยาและพระธาตุนครศรีธรรมราช สร้างสมัย ศรีวิชัยเมื่อประมาณปี พุทธศักราชที่ 12-19 จึงสันนิษฐานได้ว่า พระปรางค์วัดประเดิมสร้างมา ไม่ต่ำกว่า 700 ปีและได้ปรักหักพังยังเหลือเพียงครึ่งองค์ ต่อมาเมื่อพระครูอุทัยธรรมวิจิตร (หลวงพ่อเย็น อุทฺโย) เป็นเจ้าอาวาส เมื่อ ปี พ.ศ. 2501-2531 ท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์ต่อเติมพระปรางค์และได้บรรจุพระ บรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2511 การบูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระครูอุทัย ธรรมวิจิตร ท่านไม่ได้บูรณะตามรูปทรงเดิมซึ่งตามรูปทรงเดิมมีลักษณะคล้ายๆ กับพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ท่านสร้างตามแบบจินตนาการ ของท่านเองจึงมีรูปทรงที่แปลกดังปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุ ขุดพบเจอเมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยหลวงปู่เวศ ภูริปญฺโญ เจ้าอาวาส วัดประเดิมในสมัยนั้น ท่านดำริที่จะสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ เพื่อทดแทนหลังเก่าที่ชำรุด แต่พื้นที่ ที่จะสร้างนั้นเป็นพื้นที่ต่ำ ท่านจึงให้คนงานรื้อวิหารและเจดีย์เก่าไปปูพื้นยกระดับให้สูงขึ้น ขณะที่ คนงานรื้อเจดีย์เก่าองค์หนึ่งที่ชำรุดเหลือแต่ฐาน ปรากฏว่าที่ใต้ฐานพบลูกกลม ๆ ขนาดใหญ่ทำด้วยปูน อยู่ใต้ฐาน เมื่อคนงานทุบ ลูกกลมที่ทำด้วยปูนแตกก็พบบาตรดินโบราณ คนงานจึงทุบบาตรดินโบราณแตก ข้างในมีผอบเงินผอบทองและในผอบมีของมีค่า เช่น เครื่องเพชร ทองคำและของมีค่าอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ทั้งยังมีพระโมฬี อยู่เต็มในผอบ มีเม็ดเท่าเมล็ดข้าวโพดและเม็ดเล็ก ๆ มีสีสันต่าง ๆ สวยงามมากปนอยู่ด้วย คนงานเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสัย จึงนำไปให้หลวงปู่เวศท่านดู เมื่อท่านรับจากคนงานแล้วจึงใส่ปากอมอยู่ สักครู่ ท่านก็บอกว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” โดยสันนิษฐานว่าคงจะบรรจุอยู่ในเจดีย์มาหลายร้อยปี แต่เพิ่งพบเมื่อปี พ.ศ. 2461 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2508 พระครูสังวรสมาธิวัฒน์ พร้อมด้วยคุณหญิงอนุกิจ วิธูร จากกรุงเทพฯ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากวัดประเดิม ไปวัดสระเกศ กรุงเทพฯ ได้ถวายสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้ ท่านพิจารณาว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่แท้จริงหรือไม่ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชท่านได้ทรงพิจารณาแล้ว ท่านรับรองว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่แท้จริง และท่านได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจำนวนหนึ่ง เพื่อร่วมบรรจุกับพระบรมสารีริกธาตุของวัดประเดิมและทางวัดประเดิมได้ประกอบพิธีบรรจุพระบรม สารีริกธาตุไว้ในพระปรางค์ เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 แรม 2 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก วันที่ประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ได้เกิดปรากฏการณ์สิ่งมหัศจรรย์ คือขณะที่ขบวนแห่พระ บรมสารีริกธาตุจากศาลากลางจังหวัดชุมพรสู่วัดประเดิม ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงวันแดดร้อนจัดมาก พอช่วงบ่าย ได้เวลาที่จะประกอบพิธี ทหารกองเกียรติยศจากค่ายเขตรอุดมศักดิ์ชุมพร มาถึงเข้ารายล้อมพระปรางค์ที่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พอได้ฤกษ์พิธีเจ้าหน้าที่ก็ประโคม ฆ้อง กลอง จุดพลุ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญ ชัยมงคลคาถา ทันใดนั้นฝนได้ตกลงมาอย่างหนักภายในบริเวณวัดที่ประกอบพิธีฟ้าคะนองและฟ้าผ่า ควายชาวบ้านตายหนึ่งตัว พอประกอบพิธีเสร็จฝนก็หยุดตก แดดออกตามปกติ พระอาทิตย์ทรงกรดเป็นรัศมี กว้างสวยงามมาก นี่คือปรากฏการณ์อภินิหารเหนือธรรมชาติ ความศักดิ์สิทธิ์ของสารีริกธาตุ ใกล้กับพระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่ตั้งศาลาของศาลาประดิษฐานรูปปั้นอดีตเจ้าอาวาสวัด ประเดิมทั้ง 3 รูป รวมถึงรูปปั้นหลวงปู่เวศด้วย วัดประเดิมยังมีโบราณสถานเก่าแก่ประกอบด้วย เจดีย์ ที่สร้างด้วยอิฐโบราณ อายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ส่วนสูง 2 เมตร 8 เซนติเมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัด บริเวณหน้าศาลาการเปรียญ ปัจจุบันเหลือเพียงครึ่งเดียว มีบ่อน้ำขนาดใหญ่อีกบ่อหนึ่งที่ทางวัดอนุรักษ์ไว้ อยู่ในสวนไม้ตะเคียน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2480 อดีตไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรอาบ ซักจีวรและชำระล้าง
ภาชนะต่าง ๆ ในสมัยก่อนฤดูแล้งน้ำในบ่อไม่เคยแล้ง ปัจจุบันไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเพียงแต่ทางวัดอนุรักษ์ไว้ เพราะเห็นว่าเป็นบ่อเก่าขนาดใหญ่ โบราณสถานที่สำคัญของวัดประเดิมอีกแห่งหนึ่งคือ กุฏิหลังใหญ่สร้างเมื่อปี พ.ศ.2473 สร้างเสร็จ เมื่อ ปี พ.ศ.2480 โดยหลวงปู่เวศเป็นผู้สร้างแบบทรงไทยปั้นหยา มีหน้ามุขลายไทย (เครือวัลย์) ยาว 20 เมตร กว้าง 15 เมตร มีทั้งหมด 9 ห้อง อดีตใช้สำหรับพระภิกษุสามเณรทำวัตร เช้า-เย็น ที่ประชุมสงฆ์และทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ประกอบด้วยพระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์ราย และกุฏิหลังใหญ่ ปัจจุบันกุฏิหลังใหญ่ใช้เป็น “ศูนย์พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดประเดิม” เป็นสถานที่เก็บโบราณวัตถุมากมาย ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี จัดโชว์ทั้งหมด 7 ห้อง โดยมี “ลุงสมคิด พยุหกฤษ อายุ 86 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านดีเด่น และมีผลงานทำคุณประโยชน์แก่ชุมชน เช่น ปี พ.ศ.2529 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญเงินมงกุฎไทย ปี พ.ศ.2533 ได้รับโล่เชิดชูเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรมในฐานะทำคุณประโยชน์ให้กระทรวงฯ และได้รับโล่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม และชุมชนจาก ปปช. ปี พ.ศ. 2555 เข้ารับเกียรติบัตรพ่อตัวอย่างแห่งชาติ จากผู้แทนพระองค์ ณ ศูนย์ กีฬาเวสน์ ไทย-ญี่ปุ่น และร่วมคณะผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดประเดิม นำเข้าเยี่ยมชมประกอบด้วย เช่น ห้องประเดิมอาราม จัดโชว์ตาลปัตร ฆ้อง ระฆัง เสมาสมัยกรุงศรีฯ หินทรายแดง ลูกนิมิต ห้องถ้วย ชามรามไห จัดโชว์หม้อสามขาอายุ 1,000 ปี ถ้วยชามลายเบญจรงค์สมัยรัชกาลที่ 4 เชี้ยนหมากเงิน ในสมัยท่านเจ้าคุณ ห้องใต้ร่มบารมี จัดโชว์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ทุกสมัย ธนบัตรเก่า ห้องชินลีห์ พระปฏิมาเศียรพระพุทธรูปที่สร้างด้วยศิลาแลงและทรายแดง ซึ่งเป็นศิลปะวัตถุของขอมโบราณที่พระเจ้า ชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์มหาราชของอาณาจักรขอมครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.1724 - 1763 ได้ทรงสร้างขึ้น และยังมี ห้องอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา เข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ วันวิสาขบูชาของทุกปี ทางวัดได้จัดให้มีการห่มผ้าองค์พระปรางค์ที่บรรจุสารี ริกธาตุและสมโภชเป็นประจำทุกปี วัดประเดิมยังมีบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบายด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแก่กาลสมัยเหมาะแก่การศึกษาธรรมะเป็นอย่างยิ่ง เชื่อกันว่าตัวเมืองดั้งเดิมของเมืองชุมพร อยู่แถบวัดประเดิมฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพรที่ตำบลตากแดด ต่อมาจึงได้ย้ายเมืองไปตั้งใหม่ที่บ้านท่ายาง แล้วย้ายไปตั้งที่ตำบลท่าตะเภา นัยว่าเหตุที่ย้ายเมืองบ่อย เป็นเพราะอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำท่าตะเภา และแม่น้ำชุมพรบ้างก็ว่าเพราะเป็นเมืองหน้าด่าน อยู่ในสมรภูมิการรบเสมอ ๆ จึงไม่สร้างบ้านเมืองถาวรวัดประเดิม เล่ากันว่าเป็นวัดแรกในละแวกนี้ จึงได้ชื่อว่า วัดประเดิม เป็นวัดประจำเมืองชุมพรเก่า เชื่อกันว่าพระปรางค์องค์เดิม มีศิลปะแบบศรีวิชัย แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ชัดเจนโบราณวัตถุในวัดแต่แรกเห็นจะมีมากต่อมาได้ชำรุดหักพังไปตามกาลเวลาและจากภัยสงครามเท่าที่ เหลืออยู่จนทุกวันนี้ก็มีหลายอย่างซึ่งล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้รู้ว่าเคยเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่ง โบราณวัตถุที่ทางวัดเก็บรักษาไว้ อาทิใบเสมาหินทราย เศียรพระพุทธรูปหินทราย และเศียรพระพุทธรูป ปูนปั้นเกือบ ๒๐ เศียรเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยารูปแบบศิลปกรรม พระปรางค์สุทธาวาสธาราม (วัดประเดิม) ก่อนบูรณะยังมีผู้จดจำได้ว่า เดิมองค์ปรางค์ตั้งอยู่ บนพื้น เรียบไม่ได้ยกพื้นสูงโดยรอบองค์พระปรางค์ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันทุกอย่างเป็นของที่เพิ่ง สร้างใหม่ พระปรางค์ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้มีลักษณะรูปแบบศิลปกรรม เป็นปรางค์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสทำเป็น ฐานบัว ลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ รูปทรงสูงชะลูด เรือนธาตุมีขนาดเล็กทรงสูงรับกับทุกส่วนขององค์ปรางค์ ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานซ้อนกันขึ้นไปรอบพระปรางค์มีระเบียงคตล้อมรอบระหว่างระเบียงคตกับพระปรางค์เป็น ลานประทักษิณ ในบริเวณวัดมีเจดีย์รายขนาดเล็ก ๑ องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม สภาพทรุดโทรม มีผู้เล่าว่าเดิมเจดีย์รายรอบวัดมีหลายองค์ แต่ปัจจุบันเหลือองค์เดียว รูปแบบศิลปกรรมเดิม
ของพระปรางค์ องค์นี้ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นแบบใด แต่สันนิษฐานจากโบราณวัตถุ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูปและ ใบเสมาเข้าใจว่า คงเป็นศาสนสถานที่สร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ปัจจุบันได้ถูกซ่อมแซมจนเปลี่ยนสภาพ ไปหมดแล้ว ส่วนอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรมเป็นอาคารสถาปัตยกรรมท้องถิ่นก่อสร้างขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๓ – ๒๔๘๐ เป็นอาคารไม้แบบเรือนปั้นหยา ยอดจั่วชายคาตกแต่งไม้ฉลุและไม้กลึงลวดลายแบบ พื้นเมือง อาคารนี้แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็น ๓ ส่วน คือ แบ่งห้อง ๒ ห้อง โดยมีชานเป็นส่วนเชื่อมต่อระเบียงจะ อยู่ลดระดับต่ำ จากชานประมาณ ๓๐ เชนติเมตร ต่อมาได้มีการซ่อมแซมระเบียงด้วยการสร้างเป็นพื้น คอนกรีตเสริมเหล็ก เสาคอนกรีตที่ยกพื้นทำให้อาคารนี้เป็นเรือนใต้ถุนโปร่งได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน โดยประกาศในราชก ิ จจาน ุ เบกษา เล ่ ม ๕๓ ตอนท ี ่ ๓๔ ว ั นท ี ่ ๒๗ ก ั นยายน ๒๔๗๙ ความสำคัญและสภาพปัจจุบัน สิ่งสำคัญภายในวัดสุทธาวาสธาราม (วัดประเดิม) ประกอบด้วย ๑. พระปรางค์ ๒. เจดีย์ราย ๓. อาคารโรงเรียนปริยัติธรรม แบบศิลปะ ตัวองค์ปรางค์มีรูปทรงเพรียวสูง มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสในผังย่อมุม/เพิ่มมุม เรือนธาตุมีขนาดเล็ก มีการ เจาะช่องที่เรือนธาตุสำหรับประดิษฐานประติมากรรม ส่วนยอดมีระบบซ้อนชั้นที่ชัดเจน ซึ่งมีความคล้ายคลึง กับปรางค์ที่ปรากฏในศิลปะอยุธยา ประติมานวิทยา ปรางค์สถาปัตยกรรมที่ศิลปะอยุธยารับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมปราสาทในศิลปะเขมร มีความแตกต่างจากปราสาทในบริบทขององค์ประกอบต่างๆ ของอาคารที่ความคลี่คลายไปสู่งานเฉพาะถิ่น มากกว่า ทั้งยังมีขนาดและรูปทรงที่เพรียวสูง แตกต่างจากปราสาทเขมรที่มีรูปทรงที่ใหญ่และเตี้ยกว่า แต่ทั้ง สองอาคารคือสถาปัตยกรรมเนื่องในแนวคิดที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงภายใต้ระบบซ้อนชั้นของอาคารที่เรียกว่า “วิมาน” ซึ่งศิลปะเขมรรับมาจากศิลปะอินเดียอีกทอดหนึ่ง 6. ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียดครอบคลุมสาระ ดังต่อไปนี้ แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณีและเทศกาล ประกอบด้วย สถานที่ แหล่งปฏิบัติ ระเบียบพิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติของการแสดงออกนั้น ๆ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และความเชื่อประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1. กิจกรรมแห่เทิดพระเกียรติ 2. รถบุษบกอัญเชิญผ้าพระราชทาน 3. รถบุพชาติเทิดพระเกียรติ 4. พิธีสมโภชและขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม และเปิดศูนย์พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 5. มหรสพซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านภาคใต้สมโภชงาน เช่น หนังตะลุง มโนราห์ ส่วนที่ 2 คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญ 1. ส่งเสริมวัฒนธรรมในกิจกรรมแห่ผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 2. ส่งเสริมและอนุรักษ์การแสดงศิลปะพื้นบ้านภาคใต้
3. ประชาชนในชุมชนได้ร่วมเทิดพระเกียรติและสมโภชงานขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์ 4. ประชาชนในชุมชนสามารถเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับคนทั่วไปทั้งใน จังหวัดและต่างจังหวัด 5. ประชาชนในชุมชนได้ร่วมทำบุญและสืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น 2. บทบาทของชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. สนับสนุนและส่งเสริมวัฒนธรรมของกลุ่มชนในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ เห็น คุณค่าและยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน 2. ร่วมส่งเสริมและอนุรักษ์การแสดงศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ 3. ร่วมเทิดพระเกียรติและสมโภชงานขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์ 4. ร่วมกันเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้กับคนทั่วไปทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด 5. ส่งเสริมการร่วมทำบุญและสืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น ส่วนที่ 3 มาตรการในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. โครงการ กิจกรรมที่มีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การสืบสานและถ่ายทอด (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ได้จัดโครงการประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัด ประเดิม ประจำทุกปีต่อเนื่อง เพื่ออนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม สร้างความภาคภูมิใจ ความสามัคคีของประชาชนในท้องถิ่น โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย 1. กิจกรรมแห่เทิดพระเกียรติ 2. รถบุษบกอัญเชิญผ้าพระราชทาน 3. รถบุพชาติเทิดพระเกียรติ 4. พิธีสมโภชและขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม และเปิดศูนย์พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 5. มหรสพซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านภาคใต้สมโภชงาน เช่น หนังตะลุง มโนราห์ 2. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่คาดว่าจะดำเนินการใน อนาคต 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ส่วนราชการ สถานศึกษา ชุมชน และประชาชนให้การ ส่งเสริม สนับสนุน อนุรักษ์และสืบสานจัดงานประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 2. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางประเพณีขึ้นผ้า พระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 3. ส่งเสริมให้รู้คุณค่าและมีการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเพณีขึ้นผ้า พระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 3. การส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาชนสังคม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรให้การสนับสนุนงบประมาณ โดยร่วมกับส่วนราชการ สถานศึกษา ชุมชน และประชาชนจัดงานประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระปรางค์วัดประเดิม
ส่วนที่ 4 สถานภาพปัจจุบัน 1. สถานการณ์คงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีความสำคัญต่อวิถีชุมชนที่ต้องได้รับการฟื้นฟู 2. สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และปัจจัยคุกคาม ในทุกปีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลตากแดดและตำบลใกล้เคียงได้ร่วมกันแห่ผ้าพระราชทาน ขึ้นห่มฺพระปรางค์วัดประเดิม เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานงานประเพณีที่สืบทอดกันมา 3. รายชื่อผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กลุ่มบุคคล.....เป็นต้น) รายชื่อบุคคล/หัวหน้า คณะ กลุ่ม/สมาคม/ชุมชน อายุ /อาชีพ/ ชุมชน องค์ความรู้ด้านที่ได้รับ การสืบทอด/จำนวนปี ที่สืบทอดปฏิบัติ สถานที่ติดต่อ/โทรศัพท์ องค์การบริหารส่วน จังหวัดชุมพร องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น จัดโครงการ 9 ปี (งบประมาณจาก อบจ.ชุมพร) 077- 502453 พระสาโรจน์ พุทฺธิสาโร รองเจ้าอาวาสวัด ประเดิม จัดโครงการ 9 ปี (งบประมาณจาก อบจ.ชุมพร) - นางเยาวดี โคกแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด สนับสนุนจัดโครงการ 084-8419057 นายสุนัย ชั่งสัจจา กำนันตำบลตากแดด สนับสนุนจัดโครงการ 084-4483157 ส่วนที่ 5 การยินยอมของชุมชนในการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ไม่จำกัดจำนวน) ชื่อ-สกุล พระสาโรจน์ พุทฺธิสาโร สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รองเจ้าอาวาสวัดประเดิม หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (พระสาโรจน์ พุทฺธิสาโร)
ชื่อ-สกุล นางเยาวดี โคกแก้ว สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (นางเยาวดี โคกแก้ว) ชื่อ-สกุล นายสุนัย ชั่งสัจจา สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม กำนันตำบลตากแดด ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (นายสุนัย ชั่งสัจจา) ส่วนที่ 6 ภาคผนวก 1. เอกสารอ้างอิง โครงการจัดงานประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม 2. บุคคลอ้างอิง 1. พระสาโรจน์ พุทฺธิสาโร รองเจ้าอาวาสวัดประเดิม ตำบลตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 2. นางเยาวดี โคกแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 3. นายสุนัย ชั่งสัจจา กำนันตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 3. ผู้จัดทำ นางพวงจันทร์ ศิริสวัสดิ์ ตำแหน่งนักวิชาการศึกษาชำนาญการ ฝ่ายส่งเสริมประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรม กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร
งานประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ประจำปี 2559 วันที่ 20 พฤษภาคม 2559 เวลา 15.30 น. ณ วัดประเดิม อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร นายสมดี คชายั่งยืน ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานพิธีสมโภชและอัญเชิญผ้าพระราชทานในสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่มพระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุวัดประเดิม ตำบลตาก แดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โดยมี นายสุพล จุลใส นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมากโดยจังหวัดชุมพร ได้รับ พระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้า ห่มพระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันวิสาขบูชา ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2556 เป็นต้นมา หลังจากนั้นทรงมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพร ร่วมกับประชาชนในพื้นที่จัดทำผ้าห่ม พระปรางค์ประดับอักษรพระนามาภิไธยย่อ "ส.ธ." ผืนใหม่ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในโอกาส วันวิสาขบูชาในปีต่อไป
งานประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ประจำปี 2561 วัดประเดิม (วัดสุทธาวาสธาราม) อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร นายเลิศพรไชย ไชยฤทธิ์ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธีห่มผ้าพระธาตุ ซึ่งได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันวิสาขบูชา มีหัวหน้าหน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนจำนวนมาก ร่วมให้การต้อนรับ พระปรางค์วัดประเดิมเป็นพระปรางค์ที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี ต่อมาประชาชนชาวชุมพรร่วมกับทางราชการ ได้ขอพระราชทานผ้า เพื่อใช้ห่มองค์พระปรางค์ เนื่องในวันวิสาขบูชา และได้จัดพิธีห่มผ้าพระราชทานในวันนี้ วัดประเดิม (วัดสุทธาวาสธาราม) ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร มีพระปรางค์ที่บรรจุพระ บรมสารีริกธาตุวัดประเดิม กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีจังหวัดชุมพร ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ ลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ เนื่องในวันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา วิสาขาบูชา วัดประเดิม (วัดสุทธาวาสธาราม) ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ได้จัดกิจกรรมทางศาสนาและห่มผ้าพระปรางค์เป็นประจำทุกปี ได้รับพระมหา กรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าห่มพระปรางค์ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา และหลังจากนั้นมี พระราชกระแสให้จังหวัดชุมพร ร่วมกับประชาชนในพื้นที่จัดทำผ้าห่มพระปรางค์ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ผืนใหม่ขึ้นเพื่อถวาย เป็นพุทธบูชา เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา ในปีต่อไปจนถึงปีปัจจุบันและในปีนี้ ผ้าห่มยังได้จัดทำให้มีขนาดกว้าง 45 นิ้ว ความยาวถึง 69 เมตร เพื่อที่จะได้ไห้ประชาชนแห่ผ้าได้อย่างทั่วถึง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องใน โอกาสวันวิสาขบูชา ณ วัดประเดิม หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรม ศิลปากร นับเป็นเกียรติประวัติของวัด และเป็นความปลาบปลื้มใจของชาวจังหวัดชุมพรอีกด้วย โดยพิธีเริ่มจาก การอัญเชิญผ้าห่มพระปรางค์ฯ พระราชทาน จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพรขึ้นประดิษฐานบนบุษบก ก่อนขบวนรถบุษบกแห่ผ้าห่มพระปรางค์พระราชทานสู่มลฑลพิธีวัดประเดิม และอัญเชิญไปประดิษฐานที่โต๊ะ หมู่ หน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสร็จแล้วพระสงฆ์ทรงสมณะศักดิ์ ๑๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์สมโภชผ้าห่มฯ พระราชทาน ก่อนอัญเชิญผ้าเดินเวียนรอบพระปรางค์ที่ประดิษฐานสถาน พระบรมสารีริกธาตุ ๓ รอบ แล้วจึงประกอบพิธีห่มผ้าพระปรางค์ฯ
ประเพณีขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ประจำปี 2562 ขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ประจำปี 2562 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2562 เวลา 17.19 น. นายสามารถ ชนะ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ร่วมเป็นเกียรติและอ่าน สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในงาน “ขึ้นผ้าพระราชทานห่มพระปรางค์วัดประเดิม ประจำปี 2562 ณ วัดประเดิม ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในโอกาส วันวิสาขบูชา โดยมี นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย หัวหน้า ส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก โดยจังหวัดชุมพร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าห่ม พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันวิสาขบูชา ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2556 เป็นต้นมา และหลังจากนั้นมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพร ร่วมกับประชาชนในพื้นที่จัดทำผ้าห่ม พระปรางค์ประดับ อักษรพระนามาภิไธยย่อ "ส.ธ." ผืนใหม่ขึ้น ขนาดกว้าง 45 นิ้ว ยาว 20 เมตร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา เป็นประจำทุกปี
แบบจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ.2 ส่วนที่ 1 ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. ชื่อรายการ ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ชื่อเรียกในท้องถิ่น งานประเพณีห่มผ้าพระธาตุสวี 2. ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า 1 ช่อง) วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือดั้งเดิม การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว 3. พื้นที่ปฏิบัติ พระบรมธาตุสวี ภายในวัดพระบรมธาตุสวี หมู่ที่ 1 ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ตำนานการสร้างพระบรมธาตุสวีและศาลพระเสื้อเมือง เนื่องจากประวัติความเป็นมาของพระบรมธาตุสวีนั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด มีเพียงตำนาน การสร้างองค์พระบรมธาตุ (ก่อนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดย พ่อหลวงทอง (วัดดอนท้อน) ซึ่งเป็นองค์พระ ธาตุที่อยู่มาจนถึงปัจจุบัน) จากตำนานการสร้างองค์พระธาตุในสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชปฐมกษัตริย์แห่ง เมืองนครศรีธรรมราช (ต้นราชวงศ์ปทุมวงศ์) นั้น กล่าวว่าได้พบฐานเจดีย์เก่าในวัดร้างแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ สามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า ในบริเวณที่ตั้งวัดพระบรมธาตุสวีในปัจจุบันนั้น เดิมเป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นที่ตั้ง ของเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 13-15 ซึ่งพระพุทธศาสนามหายานได้เข้ามา เจริญงอกงามในดินแดนทางภาคใต้ของไทย โดยการเผยแผ่ของกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัยจากเกาะสุมาตรา ร่วมสมัยกับพระบรมธาตุไชยา พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และวัตถุโบราณอื่น ๆ ที่พบในดินแดนแถบนี้ เช่น เทวรูป หล่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพิมพ์ต่าง ๆ เป็นต้น ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาถึงประวัติการสร้างพระบรมธาตุสวีนั้น มีความว่า เมื่อราวปี พ.ศ.1803 ครั้งที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเสด็จยกทัพมารี้พลกลับมาจากการทำสงครามกับพระเจ้าเทพเวียง ราชาหรือพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน (ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา) ได้หยุดพักไพร่พลระหว่างทางที่วัดร้างแห่งหนึ่งริม ฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีซากสิ่งก่อสร้างเสียหายหักพัง มีกองอิฐดินเผาทับถมกันอยู่ในระหว่างที่เหล่าทหารกำลัง จัดทำที่พัก และหุงหาอาหารตามหน้าที่ มีกาฝูงหนึ่งซึ่งมีทั้งกาดำและกาเผือกบินมาจับกลุ่มอยู่บริเวณกองซาก สิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นอิฐดินเผาทับถมกันนั้น กาฝูงนั้นต่างพากันกระพือปีกและส่งเสียงร้องพร้อมกันราวกับ นัดกันมา เสียงร้องและเสียงกระพือปีกของเหล่ากาเหล่านั้นดังสนั่นไปทั่ว แม้เหล่าทหารจะพยายามขับไล่ ฝูงกานั้น แต่ไม่นาน ก็พากันกลับมากระพือปีกและส่งเสียงร้องอยู่ที่เดิมเช่นนั้น เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายหน ความทรงทราบ ถึงพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ซึ่งเกิดความสนพระทัยเสด็จออกมาดูเหล่าฝูงกาและกองซากอิฐ ดินเผานั้น พระองค์จึงมีรับสั่งให้เหล่าทหาร รื้อเศษกองอิฐที่กองทับถมกันออกพบฐานเจดีย์ใหญ่ เมื่อขุดลึกลง ไปจึงพบ ผอบสีทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงให้แม่ทัพนายกองไพร่พลช่วยกันปฏิสังขรณ์สร้างเจดีย์ขึ้นมา ใหม่แทนที่เดิม แล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเจดีย์องค์ใหม่ แล้วจัดงานสมโภชเป็นการใหญ่เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จากนั้นพระราชทานชื่อว่า “พระบรมธาตุกาวีปีก” (วีปีกแปลว่ากระพือปีก)
ก่อนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจะเสด็จยกทัพกลับ ทรงห่วงใยพระบรมธาตุว่าจะไม่มีผู้ดูแล รักษา จึงสั่งเรียกบรรดาทหารในกองทัพซึ่งกำลังนอนหลับสนิท ในขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งชื่อ “เมือง” ขานรับพระองค์ จึงมีรับสั่งถามว่า “ต้องการจะอยู่ดูแลรักษาพระบรมธาตุแห่งนี้ไหม” นายเมืองขานรับอาสา พระองค์จึงสั่งให้นายทหารตัดศีรษะนายเมืองเซ่นสรวงบูชาไว้ในศาลเพียงตา ศาลนี้เรียกว่า “ศาลพระเสื้อ เมือง” ให้เป็นผู้เฝ้ารักษาพระบรมธาตุ ในปัจจุบันศาลนี้ยังมีคนทั่วไปเคารพนับถือในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ชาวจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร “ศาลพระเสื้อเมือง” ชาวบ้านในแถบนี้มักเรียกกัน ว่า “ศาลพ่อท่านเมือง” ซึ่งมีตำนานที่คนเฝ้า พระธาตุเล่าไว้ว่า ในสมัยก่อนแม่น้ำสวีมีจระเข้ชุกชุม เป็นอย่างมาก จากจระเข้ล่าเหยื่อ มาได้ หรือว่ายน้ำผ่านมาทางพระบรมธาตุสวี เมื่อถึงหน้าศาลพระเสื้อเมือง จะต้องชูเหยื่อ ทำความเคารพ “พ่อท่านเมือง” ทุกครั้ง 4. สาระสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป งานประเพณีห่มผ้าพระธาตุ เป็นประเพณีสำคัญของชาวพุทธในแถบภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย โดยงาน ประเพณีห่มผ้าพระบรมธาตุสวี เป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลคติความเชื่อจากประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ของเมืองนครศรีธรรมราช และประเพณีแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุไชยาของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่สมัย พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช (ผู้สร้างพระบรมธาตุสวี) และกระทำกันมาเป็นประจำทุกปี จนเกิดเป็นธรรมเนียม และประเพณีปฏิบัติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่ งานประเพณีห่มผ้าพระธาตุสวี เป็นประเพณีที่ชาวอำเภอสวีและอำเภอต่าง ๆ ทุกอำเภอในจังหวัด ชุมพร นำผ้าผืนยาวขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ โดยชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาจะร่วมกันบริจาคเงินตามกำลัง ศรัทธาเพื่อนำเงินที่ได้ไปซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเป็นผืนยาว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่องค์พระบรมธาตุสวี ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้าที่นิยมใช้ห่มพระบรมธาตุ ได้แก่ ผ้าสีขาว สีเหลือง และสีแดง แต่เดิมหากเป็นผ้าสีขาวนิยม เขียนภาพพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ เสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพาน ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น ผ้าสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นนิยมเขียนชื่อตนเอง พ่อ-แม่ ญาติพี่น้อง ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ลงบน ผืนผ้าโดยเชื่อว่าเพื่อให้ผลบุญจากการร่วมประเพณีห่มผ้าพระบรมธาตุส่งผลให้ได้รับความเจริญรุ่งเรือง ก่อนถึงวันงานพิธีแห่ผ้าพระราชทานฯ ขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวีนั้น จะมีการจัดพิธีสมโภชองค์ พระบรมธาตุสวี และผ้าพระราชทานฯ อย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงองค์ผ้าป่าสามัคคีจากทุกอำเภอในค่ำคืน ก่อนวันแห่ผ้าพระราชทานฯ และจัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การออกร้านจำหน่ายสินค้า และการละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ มากมายภายในงานพิธีสมโภช เมื่อถึงวันพิธีแห่ผ้าพระราชทานฯ ขบวนรถแห่ผ้าพระราชทานฯ และขบวนรถแห่ผ้าห่มพระบรม ธาตุสวีของทุกอำเภอในจังหวัดชุมพร จะพร้อมเพรียงกันบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสวี ก่อนจะเคลื่อนขบวน ออกจากหน้าที่ว่าการอำเภอสวี ผ่านตลาดสวีไปยังมณฑลพิธีวัดพระบรมธาตุสวี ภายหลังจากขบวนรถแห่ผ้าพระราชทานฯ และขบวนรถแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุสวีของทุกอำเภอ มาถึงบริเวณทางเข้าวัดพระบรมธาตุสวีแล้วนั้น พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงานจะตั้งแถวขบวนแห่ร่วมกับขบวน รถทั้งหมด และร่วมขบวนแห่จากบริเวณทางเข้าวัดด้านถนนเพชรเกษม จนถึงมณฑลพิธีภายในวัด พระบรมธาตุสวี โดยมีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การรำกลองยาว การฟ้อนรำ และการบรรเลงดนตรี อย่างไพเราะ หลังจากขบวนแห่ถึงยังมณฑลพิธีภายในวัดพระบรมธาตุสวีประชาชนจะตั้งแถวจะอัญเชิญ ผ้าห่มพระบรมธาตุสวีของทุกอำเภอ แห่ทักษิณาวัตรเวียนรอบองค์พระบรมธาตุสวี จำนวน 3 รอบแล้ว อัญเชิญผ้าห่มพระบรมธาตุสวีของทุกอำเภอขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวีจนครบทั้ง 8 อำเภอ แล้ว พระสงฆ์จะ เจริญพระพุทธมนต์ นายอำเภอสวีอ่านพระราชกระแสรับสั่งผ้าพระราชทานฯ ผ้าห่มพระบรมธาตุสวี....
แล้วต่อด้วย การอ่านประวัติพระบรมธาตุสวี และประวัติผ้าพระราชทานฯ เสร็จแล้วทำการสักการะ พระบรมธาตุสวี ด้วยพุ่มดอกไม้ และการรำถวาย เมื่อทำการรำถวายสักการะพระบรมธาตุสวีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประธานในพิธีจะอัญเชิญ ผ้าพระราชทานฯ เพื่อตั้งขบวนโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรและหัวหน้าส่วนราชการ ผู้มีเกียรติ ผู้ร่วมพิธี และเจ้าหน้าที่อัญเชิญผ้าพระราชทานฯ แห่ทักษิณาวัตรเวียนรอบองค์พระบรมธาตุสวี จำนวน 3 รอบ และเจ้าหน้าที่อัญเชิญผ้าพระราชทานฯ ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี พระสงฆ์เจริญชัยมงคล เจ้าหน้าที่ลั่นฆ้อง และจุดพลุถวายเป็นพุทธบูชา ประธานในพิธี ผู้มีเกียรติ และประชาชนร่วมห่มผ้าเจดีย์ราย และพระพุทธรูปรอบวิหารคด ก่อนจะจุดธูปเทียนบูชาพระบรมธาตุสวี และสักการะศาลพระเสื้อเมือง เป็นอันเสร็จพิธี ภายหลังเสร็จพิธีการอัญเชิญผ้าพระราชทานฯ ขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี และสักการะ พระบรมธาตุสวี และพระเสื้อเมืองเรียบร้อยแล้วนั้น จัดให้มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดงการ ร้องเพลงนา ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านของจังหวัดชุมพร การแสดงนิราศถ้ำเขาเงิน และการแสดงรำวงย้อนยุค เป็นต้น 5. ประวัติความเป็นมา ประวัติเมืองสวี ชื่อเมืองสวีปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ แต่ก่อนหน้านั้นพื้นที่อำเภอสวี สันนิษฐานว่าคือ “เมืองแพรก” ตามตำนาน เมืองนครศรีธรรมราช ที่กล่าวว่า ในปีพุทธศักราช 1858 อาณาจักรอยุธยาได้ส่งพระพนมทะเลศรีสวัสดิ์ ออกมาเฝ้าคุมเชิงอาณาจักรนครศรีธรรมราช โดยมอบกำลังให้เจ้าศรีราชาเข้าโจมตีเมืองชุมพรแตก แล้วยกทัพ ไปตั้งที่เมืองแพรก (ท้องที่อำเภอสวีในปัจจุบัน) แล้วจึงจัดให้พระพนมวังและนางสะเคียงทอง พร้อมด้วยเจ้าศรีราชาเข้าตีเมืองกาญจนดิษฐ์ได้อีก จึงจัดตั้งเมืองดอนพระขึ้นใหม่เพื่อทำการรบกับอาณาจักร นครศรีธรรมราชต่อไป การสู้รบยืดเยื้อเป็นเวลายาวนาน ในที่สุดจึงยุติการรบ โดยเมืองนครศรีธรรมราชเสีย เมืองชุมพร เมืองสะอูเลา เมืองกาญจนดิษฐ์ ให้แก่อาณาจักรอยุธยา ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ นั้น กล่าวว่า ตามคำให้การของ ชาว กรุงเก่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2310 ตามบัญชีรายชื่อหัวเมืองปักษ์ใต้ ชื่อขึ้นต่ออยุธยา ลำดับที่ 48 เมืองสวี และว่าที่คลองสวีมีพลอยต่าง ๆ เมืองสวีมีหน้าที่ส่งส่วยพลอยต่อกรุงศรีอยุธยา แต่เมืองส วีในสมัยนั้น จะตั้งอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ.2357 ได้ทรงส่งพระสงฆ์ไทยเป็นสมณทูตไปเมืองลังกาโดยทางเรือ มีขุนทรงวิชัย หมื่นไกร คุมเครื่องดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง เพื่อไปบูชาพระเจดีย์สถานทั้ง 15 ตำบล เมื่อเรือมาถึงบริเวณปากน้ำชุมพร ถูกคลื่นซัด เข้าเกยฝั่งบริเวณหาดมัทรี ทำให้เรือแตก สมณทูตอาศัยเรือจับปลาขึ้นเมืองชุมพร โดยรับอาหาร จากเจ้าอธิการ วัดท่ายาง และเดินทางต่อโดยทางบกผ่านเมืองสวี เมืองตะโก ไปลงเรือต่อที่เมืองหลังสวน จึงเป็นหลักฐานปรากฏว่า พ.ศ.2357 มีเมืองสวี ซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นเมืองจัตวา ขึนต่อเมืองชุมพร ซึ่งเป็นเมืองตรี ในปี พ.ศ.2423 ปรากฏสารตราเจ้าพระยาอรรครมหาเสนาบดีเรื่องโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองสวี และเมืองตะโก ออกจากเมืองชุมพร ไปขึ้นต่อเมืองหลังสวร (อำเภอหลังสวน ในปัจจุบัน) อยู่ภายใต้การ กำกับดูแลของผู้ว่าราชการเมืองหลังสวรในยุคนั้น
ต่อมาในปี พ.ศ.2439 โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเมืองสวีเป็น อำเภอสวี ตามประกาศ กระทรวงมหาดไทยถึงราชเลขานุการ ที่ 1093/31217 ลงวันที่ 15 ธันวาคม ร.ศ.115 (ตรงกับ พ.ศ. 2439) และเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลังสวน มณฑลชุมพร (พ.ศ.2440) ต่อมาเมืองหลังสวนถูกเปลี่ยนเป็น จังหวัด อำเภอสวี จึงขึ้นกับจังหวัดหลังสวน มณฑลชุมพร ภายหลังมณฑลชุมพรถูกยุบเป็นจังหวัดชุมพร และจังหวัดหลังสวนถูกยุบเป็นอำเภอหลังสวน ส่วนอำเภอสวีจึงขึ้นกับจังหวัดชุมพรจนถึงปัจจุบัน ประวัติวัดพระบรมธาตุสวี สถานที่ตั้งวัดพระบรมธาตุสวีในปัจจุบันนั้น แต่เดิมเคยเป็นวัดร้างไม่ทราบประวัติ ชื่อเดิม และปีที่สร้าง แต่คาดว่าน่าจะเป็นวัดร้างที่สร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-15 ก่อนสมัยพระเจ้า ศรีธรรมโศกราชจวบจนกระทั่งปี พ.ศ.1803 พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นบริเวณ ที่พบซากฐานเจดีย์และพระบรมธาตุ และได้พระราชทานชื่อว่า “พระบรมธาตุกาวีปีก” จนกระทั่งกาลเวลา ผ่านไป ชื่อเรียกพระบรมธาตุกาวีปีก และถูกเรียกเหลือเพียง “พระธาตุกาวี” ต่อมาในสมัยอยุธยา ภายหลังจากการเกิดขึ้นของเมืองสวี (ตามคำให้การของชาวกรุงเก่า ในพงศาวดาร กรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ) “พระบรมธาตุกาวีปีก หรือพระธาตุกาวี” จึงถูกเรียก เป็น “พระธาตุสวี” ตามชื่อเมืองสวี ซึ่งเป็นธรรมเนียมนิยมที่คนไทยมักเรียกชื่อพระธาตุเจดีย์สำคัญประจำ เมืองนั้นๆ ตามชื่อเมืองที่พระธาตุเจดีย์องค์นั้นตั้งอยู่ เช่นเดียวกับ “วัดพระบรมธาตุกาวีปีก” ซึ่งเป็นวัดสำคัญ ประจำเมืองสวี ก็ถูกเรียกว่า “วัดสวี” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปี พ.ศ.2325 ได้ขึ้นทะเบียนเป็น “วัดสวี” และเป็นวัดที่ได้รับความเคารพศรัทธาของคนเมือง สวี และประชาชนทั่วไป โดยนิยมมาร่วมงานวันสำคัญทางศาสนา และประเพณีสำคัญของทางวัดจัดขึ้น ได้แก่ งานประเพณีห่มผ้าพระธาตุสวี ซึ่งจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง, ประเพณีปิดทององค์พระธาตุสวีและพระพุทธรูป รอบระเบียงคต ซึ่งจัดขึ้นปีละ 3 ครั้ง (วันสงกรานต์, วันเข้าพรรษา, วันออกพรรษา) (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) และประเพณีทำบุญศาลพ่อท่านเมือง เป็นต้น ในส่วนของศาลพระเสื้อเมือง หรือศาลพ่อท่านเมืองนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่ยึด เหนี่ยวจิตใจของชาวสวี โดยเฉพาะเมื่อมีทุกข์ร้อน หรือมีเรื่องกังวลใจใด ๆ ก็มักจะมาบนบานศาลกล่าว ที่ศาลพระเสื้อเมืองแห่งนี้ โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งเป็นที่เคารพในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นผู้ออกชื่อบอกกล่าวพ่อท่าน เมือง (ลักษณะคล้ายผู้มีจิตสัมผัสสามารถติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณพ่อท่านเมืองได้) โดยผู้เฒ่าคนสุดท้ายที่ ทำหน้าที่นี้คือ “แม่เฒ่าเหมือน” ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว และเมื่อได้รับผลจากการบนบานแล้ว ก็นิยมว่าจ้าง คณะหนังตะลุง หรือมโนราห์มาแสดง เพื่อเป็นการแก้บน โดยจัดแสดงบริเวณหน้าศาลพระเสื้อเมืองริม แม่น้ำสวี วัดพระบรมธาตุสวี (วัดสวี) ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ และกำหนดที่ดินวัดพระธาตุสวีตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 118 ตอนที่ 127 ง วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2544 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา ถือเป็นโบราณสถานสำคัญที่เก่าแก่ที่สุด แห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร ในปี พ.ศ.2556 ทางจังหวัดชุมพร, กรมศิลปากร และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ ประกาศให้ “วัดสวี” ใช้ชื่อใหม่ว่า “วัดพระบรมธาตุสวี” ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2556 เป็นต้นมา รูปแบบปฏิมากรรมขององค์พระบรมธาตุสวี พระบรมธาตุสวี องค์เดิมนั้นมีลักษณะอย่างไรไม่มีปรากฏเป็นหลักฐาน แต่เมื่อมีการสร้าง องค์พระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช องค์พระบรมธาตุเจดีย์จึงมีลักษณะรูปแบบ สถาปัตยกรรมแบบเดียวพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช แต่มีขนาดย่อมกว่า ตามรูปแบบองค์พระบรม ธาตุสวี ที่ปรากฎในปัจจุบันสันนิษฐานได้ว่าสร้างขึ้นราวสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.1803)
รูปแบบศิลปะขององค์เจดีย์ประธาน ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ เหนือขึ้นไปบัลลังก์ เสาหาน ก้านฉัตร ปล้องไฉน 7 ชั้น ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง หรือหยดน้ำค้าง ประติมานวิทยา เจดีย์หรือสถูป มีความหมายถึงสถาปัตยกรรมสำหรับบรรจุอัฐิหรือพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า มีต้นกำเนิดมาจากเนินดินฝังศพในประเทศอินเดีย ก่อนจะมาพัฒนากลายมาเป็นสัญลักษณ์ แทนถึงพระพุทธเจ้าในพุทธศาสนา แต่ละภูมิภาคที่นับถือพุทธศาสนาล้วนมีศิลปกรรมของสร้างสรรค์เจดีย์ ที่แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย รูปแบบศิลปะฐานรับองค์พระบรมธาตุสวี เป็นฐานสี่เหลี่ยม 2 ชั้น ฐานชั้นล่างกว้าง 8.50 เมตร ประดับด้วยซุ้มรูปช้างโผล่ศีรษะ และขาหน้าเสมือนค้ำเจดีย์ไว้ด้านละ 3 ซุ้ม สลับกับรูปยักษ์ถือกระบองและประดับด้วยเสาหลอก 6 ต้น (เว้นด้านทิศใต้มีบันไดทางขึ้น จึงมีช้างเพียง 2 ซุ้ม) มุมทั้งสี่ของฐานมีเจดีย์จำลองเลียนแบบเจดีย์ประธาน ฐานชั้นบนมีพระพุทธรูปปางสมาธิประทับนั่งในซุ้มด้านละ 5 ซุ้ม ประติมานวิทยา ฐานรองรับอาคารหรือสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา มีความหมายเกี่ยวข้องในเชิงการเน้นย้ำ ถึงความสำคัญของอาคารที่ฐานรองรับอยู่ ยิ่งฐานมีขนาดใหญ่ สูง และมีจำนวนชั้นมากเท่าใด ย่อมหมายถึง ความสำคัญของอาคารหรือสถาปัตยกรรมนั้น ๆ นอกจากนี้ ประติมากรรมรูปสัตว์หรือบุคคลที่ปรากฏ ตามฐานรับอาคารหรือสถาปัตยกรรมนั้น มีความหมายทวารบาลหรือผู้พิทักษ์รักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รูปแบบศิลปะเจดีย์รายรอบองค์พระบรมธาตุสวี เป็นเจดีย์ที่วางอยู่บริเวณมุมทั้ง 4 ของฐานรองรับเจดีย์ประธานของวัด ลักษณะของเจดีย์ราย เป็นการจำลองเองเจดีย์ประธานโดยมีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่มีความคล้ายคลึงกับเจดีย์ประธาน แต่จะมีขนาดเล็กกว่า จึงจำเป็นต้องลดย่อองค์ประกอบบางอย่างไปบ้าง เช่น ขนาดขององค์ระฆัง ชั้นปล้อง ไฉน เป็นต้น ประติมานวิทยา เจดีย์รายมิได้มีหน้าที่โดยตรงสำหรับบรรจุอัฐิหรือพระบรมสารีริกธาตุเหมือนกับเจดีย์ประธาน แต่หน้าที่ของเจดีย์รายซึ่งมักพบอยู่บ่อยคือการถูกนำโยงเข้ากับแนวคิดทางพุทธศาสนา เช่น จักรวาลวิทยา อดีตพุทธเจ้าในกัปต่างๆ เป็นต้น รูปแบบระเบียงคตรอบองค์พระบรมธาตุสวี ระเบียงคตรอบองค์พระบรมธาตุสวีถูกสร้างขึ้นในภายหลัง ครั้งพ่อหลวงทอง พุทธสุวณฺโณ (วัดดอนสะท้อน) รวบรวมพลังศรัทธาของญาติโยมบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุสวี และได้สร้างระเบียง คตหรือศาลาเวียนขึ้นล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบพื้นบ้านภาคใต้ ตอนบน มีพระพุทธรูปตั้งประดับไว้โดยรอบ ประติมานวิทยา ระเบียงคต เป็นระเบียงทางเดินที่มีหลังคาคลุมสร้างล้อมรอบสิ่งก่อสร้างประธาน มักมีแผนผัง เป็นรูปสี่เหลี่ยม อาจเรียกในชื่ออื่นได้อีกว่าวิหารคด หรือพระระเบียง มักมีการนำพระพุทธรูปมาวาง โดยรอบระเบียงคต
ประวัติการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุสวี และศาลพระเสื้อเมือง ภายหลังจากพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ทรงสร้างพระบรมธาตุสวี และตั้งวัดขึ้นบริเวณ ริมแม่น้ำสวี แล้วนั้น พระบรมธาตุสวีก็ได้รับความศรัทธาเสมอมา แต่ในส่วนของวัดนั้น บางช่วงเวลาอาจ ได้รับการดูแลบ้าง หรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่บ้าง เนื่องจากในสมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวกต้องอาศัย การเดินทางทางน้ำ เป็นหลัก ซึ่งแม่น้ำสวีขึ้นชื่อว่ามีจระเข้ชุกชุม การเดินทางเพื่อมานมัสการพระบรมธาตุสวี จึงอาจลำบากต่อคนในยุคก่อน ประกอบกับเจ้าอาวาส และพระภิกษุสงฆ์ที่จำวัดมักนิยมการทำวิปัสสนา กรรมฐานเป็นหลัก ทำให้บางช่วงของพระบรมธาตุเจดีย์ทรุดโทรมบ้าง มีเรื่องเล่าสืบต่อมาว่า ราวต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเวลาเช้าตรู่ของวันเพ็ญเดือน 6 ได้ปรากฏเสียงดังอู้ๆ ดังไปทั่วตำบลสวี กับมี ประกายรัศมีสว่างจ้างส่องแสงไปทั่วบริเวณวัดเป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมง ต่อมาในค่ำวันเดียวกันนั้น หลังจาก ชาวบ้าน เวียนเทียนกันแล้วนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นอีก จากนั้นพระบรมธาตุชั้นบนก็พังทลายลง ยอดพระบรมธาตุ พลัดตก ไปทางทิศตะวันตก การบูรณะโดยหลวงพ่อทอง (วัดดอนท้อน) ช่วงปี พ.ศ.2459-2460 นั้น หลวงพ่อทอง พุทธสุวณฺโณ (พ.ศ.2417-2495) วัดดอนสะท้อน สุดยอดเกจิอาจารย์ 108 ชื่อดังแห่งสยาม ผู้สร้างศาสนสถาน โรงเรียน และขุณูปการต่างๆ ได้เป็นกำลัง หลัก ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุสวี โดยเล่ากันว่า ขณะที่หลวงพ่อทอง พุทธสุวณฺโณ หรือที่ชาวบ้าน แถบนี้เรียกว่า พ่อหลวงทอง และพระครูดำ อดีตเจ้าคณะอำเภอสวี ได้ล่องเรือขึ้นไปเอาไม้ซุงเพื่อ มาพัฒนาวัดนั้น ได้หยุดพักฉันภัตตาหารเพล ณ บริเวณวัดพระบรมธาตุสวี และได้เห็นว่าองค์พระบรม ธาตุเจดีย์ พร้อมทั้ง สร้างระเบียงคต หรือศาลาเวียน จนแล้วเสร็จแล้วจึงจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น ในช่วงปี พ.ศ.2500 เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุสวี (วัดสวี) เป็นพระที่มีอายุยืนพรรษามากเป็นที่ เคารพศรัทธาของญาติโยมทั้งในและนอกพื้นที่ ทำให้วัดพระบรมธาตุสวีได้รับการดูแลและมีการพัฒนา อย่างมาก การบูรณะโดยกรมศิลปากร ในปี พ.ศ.2539 กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ โดยทำการสร้างพระบรมธาตุองค์ใหม่ ครอบองค์เดิมไว้ ติดกระเบื้องโมเสกสีทอง และสีน้ำเงินทั่วทั้งองค์พระเจดีย์ประธาน และองค์เจดีย์ราย และนำใบเสมาที่เดิมเคยติดประดับไว้โดยรอบองค์เจดีย์ประธานออกหมด (ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใบเสมา ทั้งหมดได้นำไปประดิษฐานไว้ที่ใด) รวมถึงทำการเปลี่ยนหยดน้ำค้างบนยอดพระเจดีย์จากเดิมที่เป็นปูนปั้น เป็นไม้สัก กลึงและทำการยกหยดน้ำค้างประดิษฐานเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2539 การบูรณะโดยการมีส่วนร่วมของวัด หน่วยงานราชการ และประชาชนชาวชุมพร ปี พ.ศ.2559 นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น เห็นชอบให้ ทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุสวี , เปลี่ยนหยดน้ำค้างบนยอดพระบรมธาตุรวมถึงปรับภูมิทัศน์ ภายในวัดพระบรมธาตุสวีให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามสมกับเป็น โบราณสถานที่มีความสำคัญและเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดชุมพร ในการนี้ จังหวัดชุมพรโดยผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกับคณะกรรมการ วัดพระบรมธาตุสวี, สภาวัฒนธรรมอำเภอสวี, สภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร ตลอดจนพี่น้องประชาชนใน จังหวัดชุมพร ตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเพื่อการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุสวี โดยทำการปรับปรุง โครงสร้างฐานพระบรมธาตุสวี ปรับเปลี่ยนโมเสกหุ้มองค์พระบรมธาตุและเจดีย์ราย บูรณะระเบียงคต และพระพุทธรูปบริเวณระเบียงคต ปรับพื้นทางเดิน ทาสี และเปลี่ยนหยดน้ำค้างที่ทำด้วยไม้สักกลึง บนยอด พระบรมธาตุสวี จากเดิมที่กรมศิลปากรบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2539 เป็นหยดน้ำทองคำ (ตามตำนานความเชื่อ ของชาวสวี เชื่อว่าหยดน้ำค้างบนยอดพระเจดีย์ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชนั้น เป็นทองคำ) โดยใช้งบประมาณการ จัดสร้างหยดน้ำค้างทองคำมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็น
เจ้าภาพจัดทำหยดน้ำค้างประดับยอดพระบรมธาตุสวีให้สวยงามสมคุณค่า โดยทำการอัญเชิญหยดน้ำทองคำ ขึ้นประดิษฐานบนยอด พระบรมธาตุเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2559 ในการบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังได้ร่วมกันจัดทำผังแม่บทวัดพระบรม ธาตุสวี เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาวัดพระบรมธาตุสวี ให้เกิดความสวยงาม สมดังเป็นวัด ซึ่งประดิษฐานเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในสี่ที่ของภาคใต้อีกด้วย ส่วนการบูรณปฏิสังขรณ์ศาลพระเสื้อเมืองนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปมีสภาพชำรุดทรุดโทรม กรมศิลปากร จึงได้ออกแบบอาคารใหม่ให้มีลักษณะสอดคล้องกับพระบรมธาตุสวี โดยเป็นอาคารทรงไทย หลังคาจั่ว หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบ ผนังก่ออิฐฉาบปูน ด้านหน้ามีราวระเบียงลวดบัว พื้นอาคารปูน ด้วยหินอ่อน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2559 ก็ได้ทำการบูรณะพร้อมกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์ด้วย ประวัติความเป็นมาของประเพณีแห่ผ้า ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรม ธาตุสวีนั้น ได้รับอิทธิพลความเชื่อจากเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองไชยา เนื่องจากพระบรมธาตุสวีสร้างขึ้น ในสมัย พระเจ้าศรีธรรมโศกราชปฐมกษัตริย์แห่งเมืองนครศรีธรรมราช และเป็นเมืองใหญ่มีอิทธิพลเหนือ เมืองต่างๆ ทางภาคใต้ตอนบน โดยมีการกล่าวถึงตำนานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ (พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช) ความว่า “ในสมัยที่พระเจ้าสามพี่น้อง คือพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระเจ้าจันทรภาณุและพระเจ้าพงษาสุระ กำลังดำเนินการสมโภชพระบรมธาตุอยู่นั้น คลื่นได้ซัดผ้าแถบยาวชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีลายเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ เรียกว่า พระบฏ ขึ้นที่ชายหาดปากพนัง จึงนำผ้าผื่นนั้นไปถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระองค์จึงรับสั่งให้ ซักจนสะอาด แต่ลายเขียนพุทธประวัติก็ไม่ลบเลือนยังคงสมบูรณ์ดีทุกประการ จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของ ได้ความว่าชาวเมืองอินทรปัตรกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่แถวลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งเขมร นำพระบฏดังกล่าวลงเรือหวังจะไป ถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุ คือพระเขี้ยวแก้ว ที่เมืองลังกา แต่เรือถูกมรสุมซัดแตกที่ชายฝั่งเมือง นครศรีธรรมราช หัวหน้าคณะได้จมน้ำเสียชีวิตก่อน เหลือเพียงลูกเรือที่รอดชีวิต 10 คน ส่วนพระบฏ ส่วนพระบฎถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งปากพนัง พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงพิจารณาเห็นว่าควรจะนำพระบฏ ขึ้นไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่หัวหน้า คณะที่เสียชีวิตด้วยในคราวเดียวกัน จึงโปรดให้ชาวเมืองนครศรีธรรมราชจัดเครื่องประโคมแห่แหนผ้าห่ม โอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์ จึงเป็นประเพณีประจำเมืองนครสืบมาเป็นประจำทุกปีมาจนทุกวันนี้” อีกความเชื่อหนึ่งที่กล่าวถึงประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ความว่า “ชาวพื้นเมืองมักพูดว่า แห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นประเพณีการนำผ้าไตรสรณาคมน์ไปบูชาและขึ้นไปห่ม ตกแต่งสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งที่คนเคารพบูชา เช่น ศาสนวัตถุ รูปเคารพและสถูปเจดีย์ มีมาแต่โบราณทั้งใน อินเดีย เนปาล ภูฐาน และศรีลังกา ส่วนไทยเรานั้นคงได้รับคติผ่านมาจากลังกา ซึ่งทุกวันนี้ชาวศรีลังกาก็ ยังถือปฏิบัติอยู่เช่นเดียวกับชาวปักษ์ใต้และชาวล้านนา รวมทั้งประเพณีการทำลูกถ้วยหรือผางประทีป ตะคัน ดินเผา ขนาดเล็ก ใส่น้ำมัน ใส่เทียนและจุดตามไฟบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ หรือที่เรียก จองเปรียง หรือจุด เปรียงบูชา ในพิธีต่างๆ ซึ่งได้พบมากรอบองค์พระธาตุหริภุญไชย แต่ทางนครศรีธรรมราชได้สูญไปแล้วเหลือ เพียงแต่ การจัดเทียนปักแทนธรรมดา ไม่มีภาชนะ แต่ประเพณีแห่ผ้าบูชาพระบรมธาตุยังมีอยู่อย่างมั่นคง ถือว่าได้กุศลแรง ตายไปจะได้เกิดเป็นนางฟ้าหรือเทวดา ประเพณีการนำผ้าไปบูชาและห่มสิ่งที่เคารพบูชา โดยเฉพาะพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นสัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง เพราะได้ กลายเป็นอิทธิพล แบบอย่างแก่สถูปเจดีย์เมืองอื่นอีกหลายแห่ง และคงจะดีมีวิวัฒนาการมาตามลำดับตาม การเปลี่ยนแปลงทาง สังคมและความเจริญในแต่ละท้องถิ่น เช่นเดียวกับต่างประเทศ เช่น เนปาล ธิเบต การประดับตกแต่งบูชาศาสนสถาน รูปเคารพ มีการใช้ธงแขวน เรียกธงกา ทำด้วยผ้าวาดภาพเรื่องราวใน พุทธศาสนา สีสันสดใส ตกแต่งสถานที่อย่างวิจิตร ความจริงก็เป็นการพัฒนาไปจากภาพพระบฏนั่นเอง
คือในประเทศไทยนับตั้งแต่ สมัยสุโขทัย ปรากฏว่านิยมสร้างภาพพระบฏกันมาก ดังที่ปรากฏในศิลาจารึก และตำนานพระบรมธาตุเดิม ภาพพระบฏก็คงทำเป็นภาพแขวนห้อยขนาดย่อย ต่อมาได้คิดเอาผ้ามาเย็บต่อ กันเป็นผืนยาว แล้วเขียนภาพ พุทธประวัติภาพทศชาติ หรือภาพมหาชาติตอนพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติ เกิดเป็นพระเวสสันดร อันเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนมาจุติตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งหมด 13 กันฑ์ กลายเป็นภาพเล่าเรื่องขนาดยาวไป โดยเขียนตามความยาวของผืนผ้าสำหรับที่เมืองนครศรีธรรมราชปรากฏว่า เดิมมีผู้เคยเขียนเป็นภาพพระบฏ แห่แหนขึ้นไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์ แต่ต่อมาได้ยกเลิกไปเนื่องจากมีความ ยุ่งยากไม่สะดวก ค่าลงทุนสูง ช่างเขียนก็หายากขึ้นจึงเหลือเพียงการนำเอาผ้าสีต่างๆ ขึ้นไปห่มแทน ซึ่งนิยม ใช้ผ้า 3 สี ได้แก่ ขาว แดง และเหลือง” ในส่วนของประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเริ่มต้นตั้งแต่ปีใด และใคร เป็นผู้ริเริ่มแต่เป็นประเพณีที่ชาวอำเภอสวี ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่เดิมทำกันเป็นประเพณี เฉพาะถิ่น เนื่องจากการคมนาคมในอดีตยังไม่สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน โดยชาวสวีผู้มีจิตศรัทธา จะ ร่วมกันบริจาคเงินทอง เพื่อซื้อผ้ามาเย็บเป็นผืนยาวติดต่อกัน เพื่อห่มองค์พระบรมธาตุสวี สะท้อนให้เห็น ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวสวีที่มีต่อพระบรมธาตุสวี ที่เป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจ ในอดีตนิยมจัดพิธีในวันเพ็ญเดือน 6 (วันวิสาขบูชา) ร่วมกับพิธีนมัสการพระบรมธาตุสวี แต่ต่อมา สภาวัฒนธรรมสวี ได้กำหนดให้จัดพิธีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ช่วงวันเพ็ญเดือน 8 (วันอาสาฬหปุณณมี บูชา) และจัดเป็นประจำทุกปีมาจนถึงปัจจุบัน โดยทำการแห่ผ้าซึ่งจะใช้ห่มพระบรมธาตุสวีและจัดพิธีสมโภช บริเวณ หน้าตลาดสวี ก่อนจะแห่ผ้าดังกล่าวไปยังบริเวณวัดพระบรมธาตุสวี แล้วจึงทำการจัดขบวนแห่ เวียนทักษิณาวัตร จำนวน 3 รอบ ภายในบริเวณเขตระเบียบคตรอบองค์พระบรมธาตุ แล้วจึงนำผ้าขึ้นห่มองค์ พระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์ราย และพระพุทธรูปรอบระเบียงคต แล้วจึงจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชองค์พระบรม ธาตุสวี ผ้าที่นิยมขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์นั้น ในอดีตนิยมใช้ผ้า 3 สี คือ ผ้าสีขาว ผ้าสีเหลือง ผ้าสีแดง ตามแต่ความศรัทธา ปัจจุบันเหลือเพียงผ้าสีเหลือง และผ้าสีแดง ที่นิยมใช้ห่มองค์พระบรมธาตุสวี โดยศรัทธาชาวชุมพรในทุกอำเภอได้จัดเตรียมผ้าสำหรับใช้ห่มองค์พระบรมธาตุสวี มาร่วมในพิธีอย่าง พร้อมเพรียงและจัดให้มีการตั้งผ้าสมโภชบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอนั้น ๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนในอำเภอ ได้มีโอกาสร่วมจิตศรัทธามีส่วนร่วมกับประเพณีนี้ด้วย ในอดีตนอกจากประเพณีห่มผ้าพระบรมธาตุสวีแล้วนั้น ทางวัดพระบรมธาตุสวียังได้จัดให้มีประเพณี การนมัสการพระบรมธาตุสวี โดยจัดขึ้นในวันวิสาขบูชา นอกจากนั้นยังมีประเพณีปิดทองพระบรมธาตุสวี ซึ่งจัดขึ้นปีละ 3 ครั้ง ได้แก่วันสงกรานต์, วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา และประเพณีทำบุญบูชาศาล พระเสื้อเมืองที่มักจัดร่วมกับประเพณีการนมัสการพระบรมธาตุสวี อีกด้วย ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ประเพณีนมัสการ พระบรมธาตุสวี และประเพณีทำบุญบูชาศาลพระเสื้อเมือง ได้ถูกควบรวมกับประเพณีห่มผ้าพระบรมธาตุสวี ส่วนประเพณีปิดทองพระบรมธาตุสวีนั้น ได้ถูกยกเลิกโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้นมัสการบูชาถวายดอกไม้ ธูปเทียนแด่พระบรมธาตุสวีในเทศกาลสำคัญทางศาสนาเป็นประจำ และให้เปลี่ยนมาปิดทองพระพุทธรูป ซึ่งอยู่บริเวณระเบียงคตแทน 6. ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียดครอบคลุมสาระ ดังต่อไปนี้ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา - วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ประกอบด้วยประเภท โครงเรื่องของแต่ละสำนวน ลักษณะเด่น ของแต่ละสำนวน และความสัมพันธ์และบทบาทในวิถีชีวิต - ภาษา ประกอบด้วยระบบภาษา คำและความหมาย ระบบการเขียน/ภาษาเขียนดั้งเดิม ลักษณะ การสื่อสาร การปรากฏใช้ วรรณกรรมมุขปาฐะ
ศิลปะการแสดง ประกอบด้วย ลักษณะการแสดง ประเภทพัฒนาการ ขนบความเชื่อลำดับขั้นตอน การแสดง รูปแบบการจัดการแสดง โน้ตเพลง บทเพลง บทละคร อุปกรณ์ และกระบวนท่า แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล ประกอบด้วย ประเภท สถานที่/แหล่ง ปฏิบัติ ระเบียบพิธีกรรม/ การประพฤติปฏิบัติของการแสดงออกนั้น ๆ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และความเชื่อ ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประกอบด้วย ประเภท ความเชื่อ วัสดุ และกระบวนการ/ขั้นตอน/วิธีการ งานช่างฝีมือดั้งเดิม ประกอบด้วย ประเภท ลักษณะพิเศษหรือเอกลักษณ์ของงานช่างฝีมือดั้งเดิม เครื่องมือช่างฝีมือดั้งเดิม กลวิธีการผลิตงานช่างฝีมือดั้งเดิม และกระบวนการจัดการองค์ความรู้ การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้าน และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ประกอบด้วย ประเภทความเชื่อ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขนบ/ข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง คุณค่า และวิธีการแข่งขัน 1. ประเภท งานประเพณีแห่ผ้าเพื่อห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นประเพณีที่นิยมทำกันของชาวพุทธในแถบ สุวรรณภูมิตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ที่เข้ามาเจริญงอกงามในแผ่นดินสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบภาคใต้ตอนบนของไทย เมืองใดมีพระบรมธาตุหรือพระธาตุเจดีย์ประดิษฐานอยู่ ก็จะจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชองค์พระธาตุเจดีย์ และจัดให้มีประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็น ประจำ ตามช่วงเวลาที่แต่ละท้องที่จะกำหนด ซึ่งโดยส่วนมากมักจะกำหนดช่วงเวลาการแห่ผ้าขึ้นห่มพระธาตุ เจดีย์ ปีละ 2 ครั้ง คือในวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 และวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรม ธาตุสวี เป็นงานประเพณีท้องถิ่นของอำเภอสวีที่ได้รับอิทธิพลและคติความเชื่อมาจากเมืองนครศรีธรรมราช โดยจะ จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง ตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 หรือตรงกับวันอาสาฬหบูชาของทุกปี แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ใช้ผ้าของผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคถวายเป็นพุทธบูชา ขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวสวีและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงกระทำสืบต่อกันมา เป็นประจำทุกปีเป็นเวลาเนิ่นนานจนกระทั่งในปี พ.ศ.2555 ทางวัดพระบรมธาตุสวี จังหวัดชุมพร หน่วยงานราชการ และประชาชนชาวชุมพรเห็นว่าพระบรมธาตุสวีมีความสำคัญ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ ที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของ ประชาชนในอำเภอสวีและอำเภออื่นๆ ในจังหวัดชุมพร รวมถึงประเพณีการแห่ผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี ก็เป็นประเพณี ที่มีความสำคัญ และเป็นประเพณีที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชน และหน่วยงาน ราชการทุกภาคส่วนเพื่อเป็นการส่งเสริมให้วัดพระบรมธาตุสวีเป็นแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่น และเพื่ออนุรักษ์ สืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีให้คงอยู่อย่างยั่งยืน จังหวัดชุมพร จึงได้ขอรับพระราชทานผ้าห่ม พระบรมธาตุสวี จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหา ที่สุดมิได้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าห่ม พระบรมธาตุสวีประดับอักษรพระนามาธิไธย “ส.ธ.” ในพิธีสมโภชและพิธีอัญเชิญผ้าพระราชทานขึ้นห่ม พระบรมธาตุสวีมาโดยตลอด ตั้งแต่ วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2555 เป็นต้นมา โดยรายละเอียดผ้าพระราชทานฯ แต่ละปีนั้น สรุปได้ดังนี้ ปี พ.ศ.2555 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าห่มพระบรมธาตุสวี เป็นผ้าสีแดงประดับ อักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ปี พ.ศ.2556 ทรงมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพรร่วมกับประชาชนจัดทำผ้าห่มพระบรมธาตุสวี ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” คณะกรรมการจัดงานมีมติเห็นชอบให้ใช้ผ้าพระราชทานฯ ผืนเดิมจาก ปี พ.ศ.2555 เพราะยังมีสภาพสวยงาม
ปี พ.ศ.2557 ทรงมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพรร่วมกับประชาชนจัดทำผ้าห่มพระบรมธาตุสวี ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ. คณะกรรมการจัดงานมีมติเห็นชอบให้จัดทำผ้าผืนใหม่ เป็นผ้าสีแดง ประดับอักษร พระนามาภิไธย “ส.ธ.” แบบเดียวกับผ้าพระราชทานฯ ปี พ.ศ.2555 ปี พ.ศ.2558 ทรงมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพรร่วมกับประชาชนจัดทำผ้าห่มพระบรมธาตุสวี ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” คณะกรรมการจัดงานมีมติเห็นชอบให้ใช้ผ้าพระราชทานฯ ผืนเดิมจาก ปี พ.ศ.2557 เพราะยังมีสภาพสวยงาม ปี พ.ศ.2559 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าห่มพระบรมธาตุสวี เป็นผ้าสีเหลือง ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ปี พ.ศ.2560 ทรงมีพระราชกระแสให้จังหวัดชุมพรร่วมกับประชาชนจัดทำผ้าห่มพระบรมธาตุสวี ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ทางคณะกรรมการจัดงานมีมติเห็นชอบให้จัดทำผืนผ้าใหม่ เป็นผ้าสี เหลือง ประดับอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” 2. สถานที่/แหล่งปฏิบัติ ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรม ธาตุสวี เป็นงานประเพณีดั้งเดิมของอำเภอสวี และปัจจุบันได้รับการยกฐานะเป็นงานประเพณีประจำจังหวัดที่ แต่ละ อำเภอในจังหวัดชุมพร จะนำผ้าสำหรับใช้ห่มองค์พระบรมธาตุสวีมาร่วมขบวนแห่ และขึ้นห่มองค์พระ บรมธาตุสวี โดยสถานที่จัดพิธีต่าง ๆ แบ่งตามระยะเวลาการประกอบพิธีได้ ดังนี้ 1) มณฑลพิธีภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุสวี ใช้เป็นที่จัดพิธีสมโภชผ้าพระราชทานฯ และประกอบ พิธีทางศาสนาในคืนก่อนงานพิธีแห่ผ้าฯ และในวันพิธีแห่ผ้าพระราชทานฯ ขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี 2) ภายในบริเวณระเบียงคตและตัวองค์พระบรมธาตุสวี ใช้เป็นที่ประกอบพิธีการตั้งขบวนผ้า พระราชทานฯ และผ้าสำหรับห่มองค์พระบรมธาตุสวี โดยทำการแห่ผ้าเวียนทักษิณาวัตร จำนวน 3 รอบ ก่อนให้เจ้าหน้าที่นำผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี ห่มผ้าเจดีย์ราย ห่มผ้าพระพุทธรูปบริเวณระเบียงคต และประกอบพิธีสักการะองค์พระบรมธาตุสวีต่อไป 3) บริเวณศาลพระเสื้อเมือง และลานหน้าศาลพระเสื้อเมือง ใช้ประกอบพิธีสักการบูชาองค์พ่อท่าน เมือง ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวสวีและประชาชนทั่วไป และใช้เป็นลานจัดแสดงรำถวายสักการะองค์พระบรม ธาตุสวี 4) บริเวณลานด้านข้างองค์พระบรมธาตุสวี (หน้าพิพิธภัณฑ์) ใช้เป็นลานจัดการแสดงทาง ศิลปวัฒนธรรมเพื่อสมโภชและนมัสการพระบรมธาตุสวี ตลอดจนใช้เป็นลานจัดกิจกรรม/การแสดงพื้นบ้าน เพื่อสืบสานอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา 5) บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสวี และตลาดสวี ใช้เป็นที่ตั้งขบวนรถแห่ผ้าพระราชทานฯ และผ้า สำหรับใช้ห่มพระบรมธาตุสวีจากทุกอำเภอ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปตามท้องถนนเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ ร่วมสักการะบูชาและศิริมงคล และหยุดทำการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมบริเวณตลาดสวี ก่อนจะเคลื่อนขบวน ต่อไปยังมณฑลพิธีวัดพระบรมธาตุสวี 6) การจัดกิจกรรมร่วมของแต่ละอำเภอ โดยแต่ละอำเภอกำหนดที่ตั้งผ้าสำหรับใช้ห่มองค์พระบรม ธาตุสวี ของตนในสถานที่เหมาะสมตามแต่จะพิจารณา เพื่อให้ศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญ และลงชื่อบนผ้าของ แต่ละอำเภอ บางอำเภอ เช่น อำเภอปะทิว จัดให้มีการสมโภชและแห่ผ้าสำหรับใช้ห่มพระบรมธาตุสวีบริเวณ ตลาดปะทิว เพื่อเป็นศิริมงคลต่อพุทธศาสนิกชนชาวปะทิว อีกด้วย 3. ระเบียบพิธีกรรม/ การประพฤติปฏิบัติของการแสดงออกนั้นๆ เดิมพิธีการแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เป็นพิธีกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น ระเบียบแบบแผนเป็น อย่างไรนั้นไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คงปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยการ ร่วมกันบริจาคทรัพย์สินตามกำลังศรัทธาเพื่อจัดหาผ้ามาเย็บติดต่อกันให้เป็นผ้าผืนยาวขนาดใหญ่ใช้ห่มองค์ พระบรมธาตุสวี เมื่อได้ผ้าตามขนาดที่ต้องการแล้ว (ห่มองค์พระบรมธาตุได้รอบ) ก็จะทำการแห่ผ้าผืนดังกล่าว
จากบริเวณชุมชนตลาดสวีไปยังท่าน้ำหน้าวัดพระบรมธาตุสวี (สันนิษฐานว่าเดิมสัญจรทางน้ำ) แล้วจึงอัญเชิญ ผ้าที่จะใช้ห่มพระบรมธาตุสวี ขึ้นฝั่ง ตั้งขบวนแห่เวียนทักษิณาวัตร จำนวน 3 รอบ ตามคติความเชื่อ (พระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์) ก่อนนำผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุสวี เสด็จแล้วทำพิธีสักการบูชาพระบรม ธาตุสวี และพระเสื้อเมือง เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อกาลเวลาผ่านไป วัดพระบรมธาตุสวีได้รับการพัฒนามากขึ้น ศาสนสถานได้รับการปรับปรุง และสร้างเพิ่มเติม กอปรกับประชาชนทั่วไปมีความศรัทธาพระบรมธาตุสวีเพิ่มมากขึ้น จึงมีการจัดประเพณี การแห่ผ้า ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีอย่างยิ่งใหญ่ มีการจัดริ้วขบวนแห่ผ้าออกมาจากบริเวณตลาดสวี และหลังจากห่มผ้า พระบรมธาตุสวีเสร็จเรียบร้อย ก็จัดให้มีการสมโภชองค์พระบรมธาตุสวี มีการแสดง และการละเล่นพื้นบ้านตลอดจนการออกร้านค้าในงานเพิ่มเติมขึ้นมา การจัดงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เริ่มมีการกำหนดการและแบบแผนเป็นทางการมาก ขึ้นภายหลังจากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานผ้าสำหรับใช้ห่มพระบรมธาตุสวีจากสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 กำหนดให้มีการจัดพิธีสมโภชผ้าพระราชทานฯ อย่างยิ่งใหญ่ โดยตั้งมณฑลพิธีภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุสวี จัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม แสงสีเสียง อย่างสมพระเกียรติ และจัดขบวนแห่ผ้าพระราชทานร่วมกับผ้าที่ใช้ห่มพระบรมธาตุสวีของทุกอำเภอ จากการปรับปรุงเปลี่ยนรูปแบบพิธีที่ยังคงสืบสานพิธีกรรมดั้งเดิม ร่วมกับการจัดพิธีการตามแบบแผน ทางราชการและสำนักพระราชวัง ส่งผลให้งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทาน ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม มีระเบียบแบบแผนที่ใช้เป็น ต้นแบบให้แก่วัดในท้องที่อื่นๆ ของจังหวัดชุมพร นำไปประยุกต์ใช้และชื่อเสียงแก่อำเภอสวี และจังหวัด ชุมพร ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น แต่ยังช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจต่อ คนในจังหวัดชุมพรอีกด้วย 4. เอกลักษณ์/อัตลักษณ์ ประเพณีการห่มผ้าพระธาตุในที่อื่น ๆ มักจะทำกันในหลายช่วงเวลา เช่น บางแห่งกำหนดให้มีการห่ม ผ้าพระธาตุปีละ 2 ครั้ง บางแห่งสามารถทำได้ตลอดทั้งปีตามแต่สะดวก ซึ่งโดยส่วนใหญ่นิยมทำกันในวันเพ็ญ เดือน 3 (วันมาฆบูชา) และวันเพ็ญเดือน 6 (วันวิสาขบูชา) แต่งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 8 (วันอาสาฬหปุณณ-มีบูชา) ของทุกปี เพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ใช้สำหรับขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวีแล้วนั้น ยังมีผ้าสำหรับใช้ห่มพระบรมธาตุสวีจากทุกอำเภอในจังหวัดชุมพรร่วมอีกด้วย โดยการตั้ง ริ้วขบวนจะทำการตั้งริ้วขบวนอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นขบวนเดียว ทำให้เป็นริ้วขบวนที่มีความยิ่งใหญ่ สวยงาม พร้อมเพรียง ในการแห่ทักษิณาวัตรรอบองค์พระบรมธาตุสวีนั้น จะทำกันภายในบริเวณระเบียงคตรอบองค์พระ บรมธาตุสวี โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน ได้เข้าร่วมขบวนได้ตามความเชื่อที่ว่า หากมีโอกาส ได้ร่วมถวายผ้าห่มพระบรมธาตุสวี ก็จะเกิดสิริมงคลต่อตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะเปรียบเสมือนกับได้ถวาย ผ้า บูชาแก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดอีกด้วย 6. คติความเชื่อ คติความเชื่อ พุทธศาสนิกชนชาวภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเชื่อกันมาแต่ครั้งอดีตว่า การทำบุญและการกราบไหว้ที่ได้กุศล จริงจะต้องปฏิบัติต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด แต่เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วไม่อาจปฏิบัติดังกล่าวได้ สัญลักษณ์ตัวแทนของพระพุทธองค์ที่ ยังคงเหลืออยู่ ได้แก่ พระบรมธาตุเจดีย์ พระพุทธรูป การได้บูชาพระบรมธาตุเจดีย์อย่างใกล้ชิดโดยการ
โอบกอด จึงมีความเชื่อว่าเปรียบเสมือนได้บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์อย่างสนิทแนบ กับพระพุทธองค์ 7. กุศโลบาย 1) เนื่องจากในยุคโบราณ ผ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่หายากและมีราคาสูงบ ชาวบ้านธรรมดามิอาจ ครอบครองผ้าได้จำนวนมาก การเสียสละผ้าผืนใหม่เพื่อนำมาเย็บต่อกันเป็นผืนยาวขนาดใหญ่ใช้ห่มพระบรม ธาตุ จึงเปรียบเสมือนการฝึกการเสียสละของส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และเป็นการฝึกการปล่อยวาง ละเว้นจาก ความรู้สึกการเป็นเจ้าของ การยึดติดในสิ่งของนอกกาย ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา 2) การนำผ้าของแต่ละคนมาเย็บต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาว พุทธศาสนิกชน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ลักษณะคล้ายกับคำกล่าวของโบราณที่ว่า “กินข้าวหม้อ เดียวกัน” กล่าวคือ ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน พร้อมจะช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน 3) ในอดีตนอกจากการนำผ้ามาเย็บต่อกันแล้ว มีการเขียนภาพพุทธประวัติโดยช่างฝีมือชำนาญการ การประดิษฐ์ตกแต่งชายขอบผ้าด้วยพู่ห้อย แพรพรรณ ลวดลายดอกไม้ที่สวยงาม สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดง ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ความมานะ ความพยายาม ความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาแล้วนั้น ยังเป็น การดำรงค์รักษา สืบสานงานศิลป์ และช่างฝีมือในชุมชนให้คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไปอีกด้วย 4) การจัดให้มีพิธีการสมโภช การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม นอกจากจะสร้างสุนทรีย์ให้แก่คนที่มาร่วม พิธีแล้วนั้น (ในอดีตที่เทคโนโลยียังไม่สะดวกสบายเช่นปัจจุบัน การรับชมการแสดงต่าง ๆ โดยเฉพาะ การแสดงชั้นสูง หรือการแสดงในราชสำนัก สำหรับคนธรรมดาเป็นไปได้ยากมาก) ยังเป็นการสืบสาน ศิลปวัฒนธรรมให้ดำรงอยู่สืบต่อไป จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ การจัดการแสดงทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ช่วยให้เกิด การฟื้นฟูการอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านไม่ให้สูญสลายตามกาลเวลา 5) การร่วมขบวนแห่ผ้าห่มพระบรมธาตุ แสดงให้เห็นถึงความสามัคคี การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของ ทุกภาคส่วน ที่แม้ในการดำเนินชีวิตปกติอาจไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน ให้ได้ร่วมกันทำกิจกรรม เดียวกัน เพื่อจุดมุ่งหมายการถวายเป็นพุทธบูชา และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีและพระพุทธศาสนา เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอีกด้วย ส่วนที่ 2 คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญ งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี มีคุณค่าต่อชุมชน และประเทศชาติ ทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรมไทย การอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมไทย ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของชาติ ดังนี้ งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี เป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาเจริญงอกงามใน แผ่นดินสุวรรณภูมิกว่าพันปี ให้ยังคงอยู่สืบต่อไป งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี ช่วยให้เกิดการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ทั้งการละเล่นพื้นบ้าน การแสดงพื้นบ้าน และการ แสดงอื่น ๆ ที่จัดขึ้นภายในงาน การสมโภชพระบรมธาตุ การนมัสการพระบรมธาตุ และศิลปะการแสดงอื่นๆ ให้เด็กรุ่นใหม่เกิดความตระหนักในคุณค่า ความสำคัญของประเพณีวัฒนธรรมและกระตุ้นให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และสืบสานอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยสืบไป งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี เป็นงานประเพณีที่ช่วยสืบทอดและธำรงพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินสุวรรณภูมิสืบต่อไป
งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี ช่วยสืบทอดงานศิลปกรรมไทย ทั้งการตัดเย็บลวดลายไทย งานจิตรกรรมไทย งานประดิษฐ์ งานแกะสลัก ที่ใช้ประดับตกแต่งริ้วขบวนแห่ผ้าฯ ให้มีความสวยงาม งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี มีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างความ ภาคภูมิใจ สร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของวัฒนธรรมไทย ตลอดจนสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาค ส่วนอย่างแท้จริง ที่ได้ร่วมกันคิด-ทำ บูรณาการความรู้ความสามารถ ทักษะวิชาการทุกแขนง เพื่อร่วมกันจัด งานพิธีให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระ บรมธาตุสวี เป็นงานประเพณีที่มีชื่อเสียงมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว การไหลเวียนของเศรษฐกิจ ในพื้นที่ ไม่เพียงช่วงระยะเวลาการจัดงาน แต่ในช่วงวันปกติก็มีนักท่องเที่ยวแวะนมัสการพระบรมธาตุสวีอยู่ เป็นประจำ ประกอบกับทางวัดมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ สามารถเข้ามาจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงส่งผลให้คนในชุมชนเกิดรายได้เพิ่ม แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย สรุปได้ว่า การจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ไม่เพียงแต่สืบสานพระพุทธศาสนา รักษาประเพณีท้องถิ่น แต่ยังมีคุณค่า ต่อชีวิตของคนในชุมชน สังคม และประเทศชาติเป็นอย่างมากอีกด้วย 2. บาทบาทของชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในอดีตประเพณีการแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุ ราชสำนักมักจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการ อุปถัมภ์เนื่องจากราชสำนักมีหน้าที่อุปถัมภ์พระพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านาน ตัวอย่างเช่น งานแห่ผ้าห่ม ธาตุของเมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนักเมืองนครศรีธรรมราชมาเป็นเวลานาน แต่ประเพณีการห่มผ้าพระบรมธาตุสวีนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานมามีการให้อุปถัมภ์จากราชสำนักใดหรือไม่ แต่เล่าสืบต่อกันมานานว่าประเพณีดังกล่าวมีมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ อาจสันนิษฐานได้ว่า ประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีเป็นประเพณีที่เกิดจากการมีส่วนร่วม ของคนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน โดยรับอิทธิพลและคติความเชื่อจากเมือง นครศรีธรรมราช มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตน จวบจนปัจจุบัน การมีส่วนร่วม ความร่วมไม้ ร่วมมือดังกล่าวยิ่งปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน การจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีนั้น มีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดงานซึ่งประกอบด้วยผู้มีความรู้ความสามารถจาก ทุกภาคส่วน ทั้งพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดชุมพร หัวหน้าหน่วยงานราชการ และผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการ ยอมรับและความเคารพจากประชาชนในจังหวัดชุมพร ร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อวางรูปแบบพิธีการอย่าง ระแวดระวัง ดำรงไว้ ซึ่งรูปแบบพิธีกรรมดั้งเดิม และการสอดแทรกการอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรมไทย เพื่องานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เป็นงานประเพณี ที่มีความยิ่งใหญ่งดงามสมพระเกียรติ ชุมชนไม่เพียงแต่ร่วมคิดร่วมตัดสินใจเรื่องการวางรูปแบบงานเท่านั้น ยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัด งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อย่างพร้อมเพรียงกัน ตั้งแต่การเตรียมการจัดงาน การร่วมขบวนแห่ การดูแลผู้เข้าร่วมงาน (ชาวชุมชนเปิด บ้านให้ผู้มาร่วมงานสามารถนำรถเข้าไปจอด และนั่งพักผ่อนได้อีกด้วย) การจำหน่ายสินค้าภายในงาน ตลอดจนร่วมจัดการแสดงสมโภชพระบรมธาตุสวีอีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่า งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานฯ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ช่วยส่งเสริมให้ชุมชนเกิดกระบวนการมีส่วนร่วม (Participation) อย่างแท้จริง ตั้งแต่ขั้นตอนการร่วมคิดร่วมตัดสินใจ การร่วมดำเนินกิจกรรม การร่วมรับผิดชอบผลจากการจัดกิจกรรม การร่วม รับผลประโยชน์จากกิจกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพ (Empowerment) ของคนในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนที่ 3 มาตรการในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. โครงการ กิจกรรมที่มีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การสืบสานและถ่ายทอด (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) เดิมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี มีการบอกเล่าแบบมุขปาฐะ (บอกเล่าปากต่อปาก) ไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพียงแต่มีปรากฏในบันทึกของเมืองนครศรีธรรมราชเรื่องประเพณีการ แห่ผ้าห่มธาตุซึ่งเป็นต้นแบบประเพณีแก่จังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 หลังจากการจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ทางวัดร่วมกับจังหวัดชุมพร องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร สภาวัฒนธรรมอำเภอสวี , จังหวัดชุมพร ได้จัดการบันทึกรูปแบบประเพณี ทั้งการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดทำเป็นหนังสือ/แผ่นพับ การบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อเป็นสื่อวิดิทัศน์เผยแพร่งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานฯ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ให้เป็นที่รู้จัก และเป็นหลักฐานในการสืบสานประเพณีนี้ต่อไป องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ได้จัดโครงการประเพณีแห่ผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ประจำทุกปี เพื่ออนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชุมชนสืบต่อไป โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย 1. ขบวนแห่ผ้าพระราชทานและพระบรมฉายาลักษณ์รวมทุกอำเภอในจังหวัดชุมพร 2. พิธีสมโภชผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี 3. พิธีอัญเชิญผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี 4. การแสดงศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ 2. ข้อมูลการส่งเสริม สนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม (ถ้ามี) วัดพระบรมธาตุสวีได้รับงบประมาณของจังหวัดชุมพร งบพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย งบพัฒนาจังหวัด งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเงินศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน เพื่อใช้ในการปรับปรุง ซ่อมแซมวัดตามแผนแม่บทที่ได้กำหนดไว้แล้ว และส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานฯ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ให้มีความยิ่งใหญ่ สวยงาม สืบสานและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชุมชน จังหวัด และของชาติสืบต่อไป
3. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่คาดว่าจะดำเนินการ ในอนาคต 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ส่วนราชการ ศาสนสถาน สถานศึกษา ชุมชน และ ประชาชนให้การส่งเสริม สนับสนุน อนุรักษ์และสืบสานจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรม ธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร 2. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาทางประเพณีแห่ผ้า พระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร 3. ส่งเสริมให้คุณค่าและมีการสืบทอดความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาประเพณีแห่ผ้า พระราชทาน ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ในการเตรียมการและดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและรักษาภูมิปัญญางานประเพณี แห่ผ้าพระราชทานฯ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี มิให้ สูญหายผิดเพี้ยน หรือมีการนำไปใช้ในทางเสื่อมเสียอย่างต่อเนื่อง มีดังนี้ 3.1 มาตรการด้านพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่เพียงแต่การจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี และการสมโภชพระบรมธาตุสวี ซึ่งจัดให้มีการแสดงต่างๆ อย่างยิ่งใหญ่แต่เพียงเท่านั้น ในอนาคตทางวัดพระบรมธาตุสวี มีแนวทางการจัดการบำเพ็ญเพียรวิปัสสนา ในช่วงก่อนการจัดงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกด้วย 3.2 มาตรการด้านวิชาการ วัดพระบรมธาตุสวีให้ความสำคัญในการศึกษาวิจัยประวัติความเป็นมา และประวัติงานพิธี การแห่ผ้าขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีเป็นอย่างมาก โดยได้ดำเนินการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์วัดพระบรมธาตุสวี เพื่อเก็บรวบรวมโบราณวัตถุในท้องถิ่น กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการศึกษาประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชุมชน ตลอดจนเกิดการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น และวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะในเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะ เติบโตมาเป็นกำลังหลักของประเทศชาติในอนาคต 3.3 มาตรการด้านการพัฒนาวัดพระบรมธาตุสวี วัดพระบรมธาตุสวีได้กำหนดแผนแม่บทการพัฒนาวัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเกิดขึ้นจาก ความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อให้ทิศทางการพัฒนาสอดคล้องกับความต้องการของคนในชุมชน และถูกต้องตามหลักวิชาการทางสถาปัตยกรรม โดยบูรณาการความรู้ทั้งทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และภูมิปัญญาพื้นบ้าน ทั้งนี้ การกำหนดแผนแม่บทดังกล่าวจะช่วยให้ทิศทางการพัฒนาในอนาคตไม่ผิดเพี้ยน จากความต้องการที่ได้สรุปจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 3.4 มาตรการด้านงบประมาณ ภายหลังจากได้กำหนดแผนแม่บทการพัฒนาวัดพระบรมธาตุสวีแล้วนั้น วัดพระบรมธาตุสวี ได้รับงบประมาณของจังหวัดชุมพร งบพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย งบพัฒนาจังหวัด งบองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และเงินศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน เพื่อใช้ในการพัฒนาตามแผนดังกล่าว
3.5 มาตรการทางการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่เพียงแต่การกำหนดแผนแม่บท และการจัดหางบประมาณซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนา วัดพระบรมธาตุสวี และการพัฒนางานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีเท่านั้น การส่งเสริมกระบานการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ก็มีความสำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยทางวัดพระบรมธาตุสวีมีมาตรการส่งเสริมให้คนในชุมชนและทุกภาคส่วน เข้ามามี ส่วนร่วมในการพัฒนาทุกขั้นตอน เพื่อสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วม ความเป็นเจ้าของ ความหวงแหนและการ สืบทอดอนุรักษ์งานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่ม พระบรมธาตุสวีให้ยิ่งใหญ่และคงอยู่สืบต่อไป ส่วนที่ 4 สถานภาพปัจจุบัน 1. สถานการณ์คงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีการปฏิบัติอย่างแพร่ เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีความสำคัญต่อวิถีชุมชนที่ต้องได้รับการฟื้นฟู 2. สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และปัจจัยคุกคามสถานภาพปัจจุบัน 1. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ มีการดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานประเพณีแห่ผ้า พระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี ในทุกสื่อ ทั้งทาง วิทยุ/โทรทัศน์ท้องถิ่น การรายงานข่าวทางสถานีโทรทัศน์ระดับชาติ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ และโซเชียล เน็ตเวิร์ค เพื่อเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาให้เป็นที่ปรากฏทั่วไป 2. การดำเนินงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวีอย่างต่อเนื่อง ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่เกิดสำนึกความเป็นเจ้าของ พร้อม จะเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สามัคคีกัน 3. การกำหนดทิศทางการพัฒนา มีการกำหนดทิศทางการพัฒนาทั้งองค์พระบรมธาตุสวี วัดพระ บรมธาตุสวี และงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานฯ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมี ขึ้นห่ม พระบรมธาตุสวี เพื่อเป็นแบบแผนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน และอนุรักษ์สืบสานประเพณี ศิลปวัฒนธรรมไทย 4. การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการคิด-ตัดสินใจ การกำหนดแผนการดำเนินงาน การร่วมกันจัดกิจกรรม การเก็บข้อมูล ระหว่างทำกิจกรรม การสรุปและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน ตลอดจนการร่วมกับผลประโยชน์อย่างเท่า เทียมกัน ทั้งทางเศรษฐกิจ ความสามัคคี การสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีไทย และการสืบ ต่อพระพุทธศาสนา 5. การบูรณาการศิลปวัฒนธรรมร่วมกับงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัต นราช- สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี โดยการจัดให้มีการแสดง การละเล่น ของท้องถิ่น ได้แก่ การร้องเพลงนา การแสดงมโนราห์สามภาษา (ไทยภาคกลาง-ไทยภาคใต้-ภาษาอังกฤษ) การละเล่น พื้นบ้าน การแข่งขันการใช้ภาษาถิ่น “ภาษาแม่เฒ่า” (ภาษาสวี) เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีเผยแพร่ และกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ เกิดความภาคภูมิใจ เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ มรดกภูมิปัญญาไทยต่อไปในอนาคต
ปัจจัยคุกคาม 1. แม้จะมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการประชาสัมพันธ์ ภายในจังหวัดหรือภูมิภาค หากมีการกระตุ้นให้เกิดการประชาสัมพันธ์ระดับชาติ สร้างแรงจูงใจให้งาน ประเพณีแห่ผ้าพระราชทาน ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี เป็นอีกหนึ่งงาน ที่จะต้องมาร่วมให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต อาจช่วยให้งานประเพณีนี้มีชื่อเสียง ได้รับการตอบรับ จากนักท่องเที่ยวสร้างมูลค่า และมูลค่าให้แก่ชุมชนพื้นที่เพิ่มมากขึ้นอีก 2. การขาดการศึกษาวิจัยถึงประวัติพระบรมธาตุสวี อย่างจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือสถาบันการศึกษาที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์และสืบ สานงานประเพณีแห่ผ้าพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นห่มพระบรม ธาตุสวี 3. การสร้างจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าเยี่ยมชมนมัสการพระบรมธาตุสวี ไม่ให้เป็นเพียงการเยี่ยมชมแบบฉาบฉวย แต่หากได้รับการกระตุ้นให้เกิดความสนใจใฝ่ศึกษา สามารถสืบค้น ข้อมูล เป็นแหล่งสร้างกระบวนกาเรียนรู้อย่างแท้จริง ก็ย่อมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และสืบสาน ศิลปวัฒนธรรมไทยได้อีกด้วย 3. รายชื่อผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กลุ่มคน เป็นต้น) รายชื่อบุคคล/หัวหน้า คณะ กลุ่ม/สมาคม/ชุมชน อายุ /อาชีพ/ ชุมชน องค์ความรู้ด้านที่ได้รับ การสืบทอด/จำนวนปี ที่สืบทอดปฏิบัติ สถานที่ติดต่อ/โทรศัพท์ พระครูจันทปัญโญภาส (พระอาจารย์เสน่ห์ จันทปัญโญ) ตำบลสวี เจ้าอาวาสวัดพระบรม ธาตุสวี ผู้จัดงาน ประเพณีแห่ผ้า พระราชทานในสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้น ห่มพระบรมธาตุสวี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 เป็นต้นมา วัดพระบรมธาตุสวี 081-0876539 องค์การบริหารส่วน จังหวัดชุมพร องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น จัดโครงการ 13 ปี 077 502453 นางจุฑารัตน์ บุญสิทธิ์ ประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอสวี ประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอสวี 086-6856487 นายพรั่ง ยินดี ปราชญ์ชาวบ้าน (มโนราห์) ปราชญ์ชาวบ้าน (มโนราห์) 081-3269602 นายจำหลัก แสงสวี ข้าราชการบำนาญ ผู้เชี่ยวชาญด้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น ข้าราชการบำนาญ ผู้เชี่ยวชาญด้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น 081-0896066
ส่วนที่ 5 การยินยอมของชุมชนในการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ไม่จำกัดจำนวน) ชื่อ-สกุล พระครูจันทปัญโญภาส (พระอาจารย์เสน่ห์ จันทปัญโญ) สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุสวี ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (พระครูจันทปัญโญภาส) ชื่อ-สกุล นางจุฑารัตน์ บุญสิทธิ์ สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอสวี ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (นางจุฑารัตน์ บุญสิทธิ์) ชื่อ-สกุล นายพรั่ง ยินดี สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ปราชญ์ชาวบ้าน (ครูมโนราห์) ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (นายพรั่ง ยินดี) ชื่อ-สกุล นายจำหลัก แสงสวี สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ข้าราชการบำนาญผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น อำเภอสวี ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ (ลงชื่อ) (นายจำหลัก แสงสวี)
ส่วนที่ 6 ภาคผนวก 1. เอกสารอ้างอิง ประเพณีแห่ผ้าพระราชทานขึ้นห่มพระบรมธาตุสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร 2. บุคคลอ้างอิง 1. พระครูจันทปัญโญภาส (พระอาจารย์เสน่ห์ จันทปัญโญ) 2. นางจุฑารัตน์ บุญสิทธิ์ 3. นายพรั่ง ยินดี 4. นายจำหลัก แสงสวี 3. ข้อมูลผู้เสนอ ชื่อ-สกุล นางพวงจันทร์ ศิริสวัสดิ์ตำแหน่งนักวิชาการศึกษาชำนาญการ ฝ่ายส่งเสริมประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรม กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร
โดย กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม