The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงและการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by siripornk2017, 2021-05-12 08:49:41

รายงานการเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงและการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม

รายงานการเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงและการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม

1.4.4 วิเคราะห์สาเหตุการเกดิ ปัญหา และกำหนดแผนการดำเนนิ การแกไ้ ข
1.4.5 ดำเนนิ กจิ กรรมการปรับปรุงประสิทธิภาพเคร่อื งจกั ร
1.4.6 นำขอ้ มูลมาคำนวณหาประสิทธภิ าพของเครื่องจักรก่อนและหลงั การปรบั ปรุง
1.4.7 สรปุ ผลการวิจัยและขอ้ เสนอแนะ
1.5 ระยะเวลาดำเนนิ งาน

1.6 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รบั
1.6.1 ลดเวลาสูญเสียจากการหยดุ ซอ่ มแซมของเครอ่ื งจักรทชี่ ํารุด
1.6.2 ลดวตั ถุดิบสูญเสียจากผลผลติ ทไ่ี ม่ได้คณุ ภาพจากเคร่ืองจกั รทำงานผิดปกติ
1.6.3 ลดต้นทนด้านการผลติ จากการทำงานล่วงเวลาทลี่ ดลง
1.6.4 ค่าใชจ้ ่ายด้านพลงั งานลดลง
1.6.5 เพ่ิมยอดกําลงั การผลิตเครื่องจักรเดนิ ได้เต็มกําลังการผลิต
1.6.6 สินคา้ สามารถผลติ สง่ มอบไดต้ ามแผนงานทลี่ กู ค้ากำหนด

44

บทที2่

ทฤษฎีที่เกย่ี วขอ้ ง

การอนุรักษ์พลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน คือ การผลิตและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและ
ประหยดั การอนุรักษ์ พลังงานนอกจากจะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน ซ่งึ เปน็ การประหยัดค่าใช้จ่ายในกิจการ
แล้ว ยังจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากแหล่งที่ใช้และผลิตพลังงานด้วย การสร้างนโยบายด้านพลังงาน
ของรัฐบาลเป็นอีก แนวทางหนึ่งในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน
และทวีความสำคญั ข้นึ เมื่อโลกยิ่งพฒั นามากยิ่งข้นึ การผลติ พลังงานคอ่ ย ๆ เปลีย่ นไปเป็นการผลติ พลังงานท่ีต้อง
อาศัยเทคโนโลยีในการผลิตมากยิ่งขึ้น แหล่งพลังงานมีหลากหลายทั้งพลังงานที่ได้จากการผลิตโดยมนุษย์ และ
พลังที่ได้จากธรรมชาติ สามารถแบ่งแหล่ง พลังงานที่ มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นพลังงานจากซากฟอสซิล
มวลชีวภาพ พลงั งานน้ำพลังงาน ลม พลังงานความร้อนใต้พภิ พ พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟา้ และพลังงาน
นิวเคลียร์

พลังงาน หมายถงึ ความสามารถซงึ่ มีอยู่ในตัวของสิ่งที่อาจใหแ้ รงงานได้ ภาษาอังกฤษเรียกกว่า Energy
เป็นกำลังงานท่ใี ช้ในช่วงเวลาหน่ึง หรอื ระยะทางหนึ่ง มีค่าเป็น จูล (Joule) ตวั อยา่ งของพลังงานได้แก่ พลังงาน
ไฟฟา้ ในแบตเตอร่ี พลังงานเคมีในอาหาร พลังงานความร้อนของเครื่องทำน้ำรอ้ น หรอื พลงั งานศักย์ ของน้ำทอี่ ยู่
เหนือเขอ่ื น พลังงานสามารถเปล่ยี นรปู จากรูปแบบหนึ่งไปสรู่ ูปแบบอน่ื ได้ โดยกฎการอนุรักษ์ พลังงานระบวุ ่า ใน
ระบบปิดนั้น พลังงานทั้งหมดที่ประกอบขึ้นจากพลังงานของส่วนย่อยๆ จะมีค่าคงที่เสมอ พลังงานที่ว่านี้ไม่
สามารถจะทำให้สูญสลายไปได้ เว้นแต่ว่าจะแปรเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของพลังงานในรูปแบบอื่น ยกตัวอย่างเช่น -
เปลี่ยนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือน (โดยใช้โซลาร์เซลล์) - เปลี่ยน
พลงั งานสะสมที่มีอยู่ในน้ำท่ีเก็บไวใ้ นเข่ือน (พลังงานศกั ย)์ มาเป็นพลงั งานทใี่ ชข้ ับเคลื่อน ไดนาโม (พลงั งานจลน์)
ของโรงไฟฟ้า และยังมีพลังงานอีกหลายรูปแบบที่เราสามารถนำมาใช้ได้แต่ยังไม่ได้นำมาใช้หรือยังไม่ได้คิดค้น
ขน้ึ มา เชน่ พลังงานจากโรงไฟฟา้ นิวเคลียรแ์ บบฟิวช่ัน เป็นตน้

2.1 วธิ ีการอนุรักษพ์ ลงั งาน

2.1.1 ดา้ นทอ่ี ย่อู าศัย
อุณหภูมิเป็นปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์มนุษย์ต้องการอาศัยอยู่ในที่ที่มี

อณุ หภมู พิ อเหมาะ บ้านเรอื นในประเทศแถบหนาวจึงมีการปรับอุณหภูมิในบ้านให้อบอุน่ ส่วนในประเทศร้อนก็
มกี ารใช้เครือ่ งปรบั อากาศเพื่อใหเ้ ย็นสบายการปรบั อณุ หภูมิตามต้องการนจี้ ำเป็นตอ้ งใช้พลงั งานเชื้อเพลิงเป็นอัน
มากนอกจากนั้นอุปกรณ์เครื่องใชใ้ นบ้านเช่นตูเ้ ยน็ พัดลมวิทยุโทรทัศนฯ์ ลฯก็อาศัยพลงั งานเชือ้ เพลิงทั้งสิ้นดังนน้ั
จงึ ตอ้ งมมี าตรการในการอนุรกั ษพ์ ลงั งานท่ีใชใ้ นท่ีอยู่อาศยั โดยสรุปได้ดังนี้

2.1.1.1 การออกแบบบ้าน ให้มีลักษณะโปร่ง มีการถ่ายเทและระบายอากาศได้สะดวกสำหรับ
ทิศของบา้ นควรหนั หนา้ ไปทางทิศเหนือ –ใต้ เพ่ือเปน็ การหลกี เล่ียงไม่ใหแ้ สงแดดเข้าสู่ช่องเปิดของตัวบา้ น วสั ดุท่ี
ใช้สร้างบา้ นควรเลือกใช้วสั ดทุ ีส่ ามารถชว่ ยลดการสูญเสยี พลงั งานเพื่อเปน็ การประหยัดพลังงาน เชน่ การใช้ฉนวน

45

กันความร้อนตั้งแต่หลังคาจนถึงผนังการใช้วัสดุอื่นแทนกระจก เพื่อลดการสูญเสียความร้อนหรือความเย็นลง
เท่ากับลดการสญู เสียพลงั งาน

2.1.1.2 การปลูกต้นไม้เพิ่มความร่มเงาในบริเวณบ้านจะช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านและช่วย
ไมใ่ ห้แสงแดดสอ่ งถึงตวั บา้ นในชว่ งฤดูร้อนทำให้ช่วยลดการทำงานของเคร่อื งปรับอากาศ

2.1.1.3 การเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้า ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากเบอร์ 5 หรือเลือกใช้
อปุ กรณ์ที่มขี นาดเหมาะสมกบั ขนาดครอบครวั

2.1.1.4 การใช้น้ำในที่อยู่อาศัย ต้องใช้น้ำอย่างประหยัด ถือว่าเป็นการประหยัดพลังงาน
ดว้ ย เพราะการทำให้นำ้ สะอาดต้องผ่านกระบวนการที่ต้องใช้พลงั งาน หลกั การการประหยัดน้ำ เช่น

2.1.1.4.1 ใชห้ วั ก๊อกทีม่ ีตัวลดอตั ราการไหลของนำ้ ใหน้ อ้ ยลง
2.1.1.4.2 ปิดก๊อกน้ำในระหวา่ งแปรงฟันสระผม หรือโกนหนวด
2.1.1.4.3 ใช้ไม้กวาดในการกวาดพน้ื แทนการใชน้ ้ำฉดี เพ่อื ทำความสะอาด
2.1.1.4.4 ล้างรถดว้ ยนำ้ ถังและฟองนำ้ แทนการใชส้ ายยางฉีดนำ้
2.1.1.4.5 ใช้น้ำจากการซักลา้ งหรอื ถพู ้ืนเพ่อื รดนำ้ ต้นไม้แทนการใช้น้ำประปา
1.5 การใช้พลังงานในเตาก๊าซอย่างประหยัดทำได้ดังนี้
1.5.1 เลือกใช้ถังก๊าซท่มี ีเครอื่ งหมายสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
1.5.2 ควรใชส้ ายยางหรือสายพลาสตกิ ชนดิ ยาวและมีความยาว1-1.5 เมตร
1.5.3 ตั้งเตาก๊าซให้ห่างถังก๊าซประมาณ1-1.5 เมตร ปิดวาล์วทีห่ ัวเตาและหวั ปรับความดันเม่ือ
เลิกใช้
1.5.4 เลอื กขนาดของหม้อหรอื กระทะใหเ้ หมาะสมกับปริมาณอาหารทีจ่ ะปรุง
1.5.5 ควรเตรียมอาหารสด เครื่องปรุง และอปุ กรณ์การทำอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟไม่ควรติด
ไฟรอนานเกนิ ไปจะสิ้นเปลืองกา๊ ซ
1.6 การทาสีผนังบ้านหรือเลือกวัสดุพื้นห้องควรเป็นสีอ่อนๆ เพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้อง
ควรใชห้ ลอดประหยัดพลังงานเช่น หลอดผอม (หลอดฟลอู อเรสเซนต)์
1.7 การรดี เสอ้ื ผา้ ควรรีดจำนวนมากในครงั้ เดยี ว

2.1.2 ด้านสถานศึกษา
อาคารหรือสถานศึกษามีการใช้พลังงานหลายรูปแบบ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้าและแสง

สว่าง อุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร คอมพิวเตอร์ เป็นต้น หลักการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ใน
สถานศึกษาสรุปได้ดังนี้

2.1.2.1 การปลูกต้นไม้เพมิ่ ความร่มเงาแกต่ ัวอาคารเรยี นโดยไมใ่ หอ้ าคารถูกแสงแดดโดยตรงจะ
ช่วยให้ตัวอาคารไม่ร้อนมีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีปลูกหญ้าคลุมดินเพื่อลดการสะท้อนของแสงเข้าสู่ตัว
อาคารเรยี น

2.1.2.2 ผนงั ภายในหอ้ งเรยี นควรเป็นสีขาว เพราะจะสามารถชว่ ยใหห้ ้องเรียนมีความสวา่ ง
2.1.2.3 เลอื กหลอดไฟท่ีมีวัตต์ต่ำพัดลมตดิ เพดานซงึ่ จะชว่ ยทำให้เกิดการหมุนเวียนของอากาศ
ภายในหอ้ งเรียน

46

2.1.2.4 มีการรณรงคห์ รือจดั กจิ กรรมดา้ นการอนุรกั ษ์พลังงานในสถานศึกษา

2.1.3 ด้านสถานทท่ี ำงาน มีวธิ ีการประหยดั พลงั งานดงั น้ี
2.1.3.1 การปอ้ งกนั ความร้อนเขา้ สู่อาคารโดยเลือกใช้วัสดุท่ีเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดีหรือใช้

กระจกหน้าต่างชนดิ ป้องกนั รังสคี วามรอ้ นการปลกู ต้นไมใ้ หร้ ม่ เงากับผนัง และการทำ
กันสาด เป็นต้น

2.1.3.2 ใชส้ ีอ่อนในการทาผนงั อาคาร
2.1.3.3 เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาส่ิงแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียวประหยัดไฟ
เบอร์ 5
2.1.3.4 ติดตง้ั สวิตซไ์ ฟให้สะดวกในการเปดิ ปดิ
2.1.3.5 การลดชั่วโมงการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าการปิดเครื่องทำน้ำเย็นก่อนเวลาเลิก
งาน 15-30 นาที
2.1.3.6 เครื่องปรับอากาศ ควรตั้งอุณหภูมิที่ 25oC บริเวณที่ทำงานทั่วไปและพื้นที่ส่วนกลาง
ตั้งอณุ หภมู ทิ ่ี 24oC ในบริเวณพื้นท่ีทำงานใกล้หน้าตา่ งกระจกและต้ังอุณหภมู ิที่ 22oC ในหอ้ งคอมพิวเตอร์ซึ่งการ
ปรบั อุณหภมู เิ พิม่ ทกุ ๆ 1oC จะช่วยประหยดั พลงั งานร้อยละ 10 ของเคร่ืองปรบั อากาศ
2.1.3.7 ควรใช้บนั ไดกรณขี ึน้ ลงชั้นเดียว การต้ังโปรแกรมให้ลิฟตห์ ยดุ เฉพาะชน้ั คี่ หรือ
ชัน้ คู่ เนื่องจากลิฟตใ์ ชพ้ ลงั งานไฟฟ้ามากในขณะออกตวั
2.1.3.8 ควรบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอโดยการตรวจสอบสภาพอุปกรณ์การทำความ
สะอาดและตรวจสอบรอยรว่ั ตามขอบกระจกและผนงั ทุก 3-6 เดือน

2.1.4 ด้านการขนส่ง มาตรการบางประการในการอนุรักษ์พลงั งานท่ีใช้ในดา้ นการขนส่งได้แก่
2.1.4.1 การใชร้ ถร่วมกันในเสน้ ทางเดียวกันสลับกับนำรถออกใชง้ านแล้วโดยสารไปดว้ ยกนั
2.1.4.2 รว่ มกันรณรงค์ให้ขับรถยนต์ส่วนตวั น้อยลงหันมาป่ันจักรยาน การใช้รถโดยสารประจำ

ทาง
2.1.4.3 ใชพ้ ลังงานทดแทน เชน่ ไบโอดเี ซล แกส๊ โซฮอลล์ เป็นต้น แทนการใชน้ ้ำมนั ปโิ ตรเลยี ม
2.1.4.4 จัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องวิธีประหยัดพลังงานในการขนส่งให้กับบริษัท หรือโรงงาน

อุตสาหกรรม สนับสนนุ การวจิ ัยในองคก์ ร ค้นคว้าผลติ ภัณฑ์ทเ่ี ป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมปี ระสิทธิภาพในการ
ลดการใช้พลงั งานจากเชือ้ เพลงิ ฟอสซลิ

2.1.4.5 สนับสนนุ การขนสง่ สนิ ค้าของกลมุ่ อุตสาหกรรมทใ่ี ช้พลงั งานหมนุ เวยี น
2.1.4.6 ปรับปรุงระบบการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจัดระบบการขนส่งมวลชน
ภายในเมืองหรือระหวา่ งเมอื งใหญก่ ับเมอื งบริวารอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
2.1.4.7 ตรวจสอบอปุ กรณส์ ภาพเครื่องยนต์เป็นประจำเพ่ือเป็นการลดการส้นิ เปลอื งนำ้ มัน
2.2 AIR COMPRESSOR หลกั การทำงานของเคร่ืองอัดอากาศ

การทำงานของเครื่องอดั อากาศ(Air compressors) คือ เมอื่ เปดิ สวิทช์การทำงานของเครอื่ ง ถ้าอากาศ
ยังมีความดันต่ำกว่าที่กำหนด Pressure Switch ก็จะต่อวงจรไฟฟ้าผ่านไปยังมอเตอร์ ทำให้มอเตอร์หมุน และ

47

ไปขับให้ปั๊มอัดอากาศทำงานด้วย และเมื่ออากาศภายในถังบรรจุอากาศมีความดันสูงถึงพิกัดที่กำหนดไว้
Pressure Switch ก็จะตัดวงจรไฟฟ้าให้มอเตอร์หยดุ ทำงานด้วย แต่เมอ่ื อากาศภายในถังบรรจุอากาศถูกนำไปใช้
งาน และความดันภายในถังบรรจุอากาศต่ำลงจนถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ Pressure Switch ก็จะต่อวงจรให้
มอเตอร์และปั๊มอากาศทำงานต่อไป โดยการทำงานของปั๊มอัดอากาศ (Air compressors) จะทำงานสลับกันไป
เช่นนตี้ ลอดเวลาโดยอตั โนมตั ิ

ดังนั้นถ้าต้องการให้เครื่องอัดอากาศหยุดการทำงานจะต้องปิดสวิทช์ควบคุมการทำงานของปั๊มอัดอากาศ
(Air compressors) หลักการทำงานดงั ท่ีกล่าวมาแล้วของของปั๊มอัดอากาศ (Air compressors) ก็คล้ายกับการ
ทำงานของหม้อไอนำ้ (Boilers) ท่อี าศัยแรงดนั ในการควบคมุ การทำงานของเคร่ือง

รปู ท่ี 2.1 การทำงานของเครื่องอดั อากาศ
2.2.1 ระบบเครอ่ื งอัดอากาศประหยดั พลังงาน

อากาศอดั หรือลมอัด คอื อากาศทถ่ี ูกเก็บไว้แหล่งที่มีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศ โดยอากาศจะ
ถูกบีบหรืออัด ด้วยเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) และเก็บไว้ในถังพัก (Air Receiver) เพื่อนำไปใช้เป็น
แหล่งกำลังงานตามต้องการต่อไป เช่น ใช้เป็นแหล่งพลังงานในอุปกรณ์นิวเมติกค์ สำหรับเป็นแรงกดห้ามล้อ
สำหรบั เตมิ ลมยาง เป็นต้น

48

2.2.1.1 ปั๊มลม (AIR COMPRESSOR)
ปั๊มลม หรือ เครื่องอัดอากาศ เครื่องอัดลม ทำหน้าที่ในการอัดลมให้มีแรงดันสูง เพ่ือ

นำไปใชป้ ระโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นระบบลมในโรงงานอุตสาหกรรมต้ังแต่ขนาดเล็ก จนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาด
ใหญ่ ระบบนวิ เมตกิ ส์ และอุตสาหกรรมครวั เรอื น เช่น ร้านซ่อมรถ ซึ่งจะใช้เปน็ ปมั๊ ลมประเภทลกู สบู (Piston Air
Compressor) เพราะใช้แรงดัน (Pressure) ไม่สูงมาก เป็นต้น ส่วนเครื่องปั้มลมที่ใช้ในโรงงานนั้นส่วนมากแลว้
จะใชเ้ ป็นปมั๊ ลมประเภทสกรู (Screw Air Compressor) ซงึ่ จะใชแ้ รงลมทม่ี ากกวา่

2.2.2 ประเภทของป๊ัมลม ป้มั ลม (AIR COMPRESSOR)
ปมั๊ ลมหรือเครอื่ งอดั ลมแบ่งออกเป็น 6 ประเภทดว้ ย คือ

รปู ท่ี 2.2 ปม๊ั ลมประเภทตา่ งๆ
2.2.2.1 ป้ัมลมแบบลูกสูบ (PISTON COMPRESSOR)

เปน็ ปัม้ ลมที่นิยมใช้กนั มากที่สุด เพราะสามารถอัดลมไดต้ ้ังแต่ความดันต่ำ จนถึงความ
ดนั สงู สามารถสร้างความดนั ได้ต้ังแต่หนึ่งบารจ์ นถึงเป็นพนั บาร์โดยข้ึนอยู่กบั จำนวนขั้นของการอัด ถ้าขั้นในการ
อดั มากกจ็ ะสามารถสรา้ งความดันให้สูงขึ้นตามไปดว้ ย

2.2.2.2 ปม้ั ลมแบบสกรู (SCREW COMPRESSOR)
ปั้มอัดลมชนิดนี้ภายในคอมเพรสเซอร์ชนิดนี้จะมีเพลา สกรูสองเพลาที่หมุนขบกัน

เรียกว่า เพลาตัวผู้ และเพลาตัวเมีย เพลาสกรูทั้งสองจะประกอบอยู่ในตัวเรือน เดียวกันโดยหมุนด้วยความเร็ว
รอบเกือบเท่ากัน ซึ่งเพลาตัวผู้จะหมุนเร็วกว่าเพลาตัวเมียเพียงเล็กน้อยเท่านัน้ และมีทิศทางการหมุนเข้าหากัน

49

ทำให้ดูดลมจากด้านหนงึ่ และอัดสง่ ตอ่ ไปอีกด้านหนึ่งได้ โดยสามารถทำใหค้ ่าความดันสูงถงึ 10 บาร์ และมีอัตรา
การจา่ ยลมได้ถงึ 170 ลูกบาศกเ์ มตรตอ่ นาที

2.2.2.3 ป้มั ลมแบบ ไดอะเฟรม (DIAPHARGM COMPRESSOR )

ใช้หลักการของปั้มลมแบบลูกสูบโดยจะใช้ ไดอะเฟรมเป็นตัวทำให้ลูกสูบและห้องดูด
อากาศแยกออกจากกัน นน่ั หมายถึงว่า ลมทถี่ กู ดดู ในปม้ั อดั ลมชนดิ น้ีจงึ ปราศจากน้ำมันหลอ่ ลืน่ ด้วยเหตุนี้ป้ัมอัด
ลมแบบน้ี จงึ นิยมใช้กันในอตุ สาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยาและอุตสาหกรรมเคมี

2.2.2.4 ปั้มลมแบบใบพดั เล่ือน ( SLIDING VANE ROTARY COMPRESSOR )

ปั้มลมชนิดนี้จะมีการหมุนที่เรียบสม่ำเสมอ เสียงไม่ดัง การผลิตลมเป็นไปอย่างคงท่ี
ความสามารถในการผลติ ลมสามารถทำได้ 4 ถงึ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อนาที ความดนั ที่ทำได้ 4 ถึง 10 บาร์

ปั้มลมแบบใบพดั หมุน ( ROOTS COMPRESSOR )

เมื่อโรเตอร์ทั้งสองหมุน อากาศจะถูกดูดจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง โดยไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงปริมาตร ทำให้อากาศไม่ถูกอัดตัว แต่อากาศจะถูกอัดตัวในกรณีที่อากาศถูกส่งเข้าไปในถังเก็บลม
ดังนน้ั จึงจำเปน็ ต้องมีการระบายความรอ้ น

2.2.2.5 ปั้มลมแบบกงั หนั (RADIAL AND AXIAL FLOW COMPRESSOR)

ปั้มลมชนิดนี้ใช้หลกั การของกงั หันใบพัด การเคลื่อนทีข่ องโรเตอร์มีความเร็วสูง จะทำ
ให้ลมถูกดูดจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ปั้มลมแบบ นี้เหมาะกับงานที่ต้องการอัตราไหลของลมสูง คือ
สามารถผลิตอัตราการจ่ายลมได้ตัง้ แต่ 170 ถึง 2000 ลูกบาศก์เมตรต่อนาที แต่ความดันไม่สูงมากนัก คือ 4 ถึ ง
10 บาร์

2.2.3 วธิ กี ารเลือกซอื้ Air Compressor
สำหรับหลักการเลือกซอื้ เครือ่ งอัดลม ประกอบการพิจารณาในการซื้อไดจ้ ริงมดี ังตอ่ ไปนี้

2.2.3.1ชนดิ ของลมอดั
2.2.3.1.1 แบบไรน้ ำ้ มัน (Oil-free)
2.2.3.1.2 แบบมีน้ำมนั (Oil-lubricated หรอื Oil-flood)

2.2.3.2 ผูใ้ ชง้ านและประเภทของเครอื่ งอัดลม :
2.2.3.2.1 อู่ซ่อมรถจักรยาน จักรยานยนต์ อู่ซ่อมรถยนต์นั่ง(เก๋ง) อู่ซ่อมรถกระบะ

ชนิดของเครื่องอัดลม คือ เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 5-10 บาร์ ขนาดแรงม้า(ขนาด
แรงม้าเทียบได้กับปริมาณลมนั่นเอง)ขึ้นอยู่กับอัตราความต้องการลมอัด โดยดูจากปริมาณรถที่เข้ารับบริการ
(ปรกึ ษาผขู้ ายเพื่อเลือกขนาดแรงม้า)

50

2.2.3.2.2 อู่ซ่อมรถบรรทุก 6 ล้อ อู่ซ่อมรถ 10 ล้อ อู่ซ่อมรถแทรกเตอร์ ชนิดของ
เคร่อื งอดั ลม คือ เคร่ืองอดั ลมแบบลกู สบู ความดนั ใช้งานอยู่ระหวา่ ง 10-15 บาร์ ขนาดแรงม้า(ขนาดแรงม้าเทียบ
ได้กับปริมาณลมนั่นเอง)ขึ้นอยู่กับอัตราความต้องการลมอัด โดยดูจากปริมาณรถที่เข้ารับบริการ (ปรึกษาผู้ขาย
เพือ่ เลือกขนาดแรงม้า)

2.2.3.2.3 โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ชนิดของเครื่องอัดลม คือ เครื่องอัดลมแบบ
ลูกสูบ ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 5-10 บาร์ ขนาดแรงม้าขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการลมอัด โดยคำนวณได้
จากขอ้ มูลการใช้ลมของเครือ่ งจกั รแตล่ ะเครื่องรวมกันแล้วมาเทียบเลือกขนาดแรงมา้ เคร่อื งอดั ลม

2.2.3.2.4 โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ คือ เครื่องอัดลมแบบสกรู
และแบบเทอร์โบ ขนาดแรงม้าขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการลมอัด โดยคำนวณได้จากข้อมูลการใช้ลมของ
เคร่อื งจักรแตล่ ะเครื่องรวมกนั แล้วมาเทยี บเลือกขนาดแรงมา้ เคร่ืองอัดลม

2.2.3.2.5 กลุ่มอุตสาหกรรมพิเศษ เช่น อุตสาหกรรมเป่าขวด PET อาจต้องใช้ควบคู่
กันทั้งลมอัดที่มีความดันระหว่าง 5-10 บาร์(ใช้ระบบนิวแมติค)และความดัน 35-40 บาร์(ใช้เป่าขวด) โดยทั่วไป
เคร่อื งเปา่ ขวดจะตอ้ งมีลมอัด 2 ความดนั นี้ปอ้ นใหเ้ สมอ

2.2.3.3 ส่งิ ทีต่ ้องรู้เพื่อเลือกขนาดและชนดิ ของเครอ่ื งอัดลม : Air Compressor

2.2.3.3.1 ความดันใ้ช้งาน (Working pressure) มีหน่วยเป็น kg/cm2, Psi, Bar,
Mpa และอืน่ ๆ

2.2.3.3.2 อตั ราการใชล้ ม (Air flow rate) มหี น่วยเปน็ l/min., m3/min., CFM
2.2.3.3.3 ความสะอาดของลมอัด แบบไร้น้ำมันและแบบมีน้ำมัน โดยทั่วไปแบบออย
ฟรีจะใช้สำหรับงานเฉพาะอย่างและต้องการลมที่สะอาดมากเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เวชภัณฑ์ พ่นสี
ฯลฯ
2.2.3.4 ขน้ั ตอนการเลือกเครือ่ งอดั ลม : Air Compressor
2.2.3.4.1 รวบรวมความดันใช้งาน (Working pressure) ของเครื่องจักรที่ต้องการใช้
ลมอัดแต่ละเครื่องว่าความดันสูงสุด(หน่วยเปน็ kg/cm2, Psi, Bar, Mpa) ที่ต้องการ เมื่อรวบรวมได้แล้วให้แยก
กลุม่ ความดนั ออกมาเป็นดงั น้ี
2.2.3.4.1 ความดนั ใชง้ านอยรู่ ะหว่าง 0-10 บาร์
2.2.3.4.2 ความดันใชง้ านอยรู่ ะหวา่ ง 10-15 บาร์
2.2.3.4.3 ความดนั ใช้งานอยู่ระหวา่ ง 15-20 บาร์
2.2.3.4.4 ความดันใช้งานตัง้ แต่ 20 บารข์ ้ึนไป
โดยความดันใช้งานในแต่ละช่วงความดันจะเป็นตัวกำหนดชนิดของเครื่องอัดลมเพื่อให้ความดันพอกับ
การใช้งาน

51

- รวบรวมอัตราการใช้ลม (Air flow rate) ของเครื่องจักรที่ต้องการใช้ลมอัดแต่ละ
เครื่องว่าใช้ลมอัตราในอัตราเครื่องละเท่าไหร่ โดยต้องแบ่งตามความดันในข้อ 1(หน่วยเป็น l/min., m3/min.,
CFM)

- เมื่อได้ค่าตัวเลขตามข้อ 1 และ 2 แล้วเราจะได้ค่าตัวเลขมา 2 ค่าคือความดันใช้งาน
และอตั ราการใชล้ ม
สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาคือความดันเพราะความสามารถในการทำความดันของเครื่องอัดลมแต่ละชนิดจะไม่
เทา่ กันดงั น้ี

- เครือ่ งอดั ลมแบบลูก(Reciprocating type) สามารถทำความดนั ได้ต้งั แต่ 0-60 บาร์
- เครอ่ื งอัดลมแบบโรตารี่สกรูและเวนโรตาร่ี (Screw & Vane rotary type) สามารถ
ทำความดนั ได้ตัง้ แต่ 0-12 บาร์
- เครื่องอัดลมแบบเทอร์โบ(Centrifugal type) สามารถทำความดันได้ตั้งแต่ 0-12
บาร์

2.2.4 ชนดิ เคร่อื งอัดลมและความสัมพันธข์ องแรงมา้
>เคร่ืองอดั ลมแบบลูกสูบ (Air-cooled) ความดันต้งั แต่ 0-15 บาร์ มผี ลิตตั้งแต่ 1/4HP-15HP
>เครื่องอัดมแบบลูกสูบบูชเตอร์ (Air-cooled) ความดันตง้ั แต่ 35-40 บาร์ มผี ลิตตัง้ แต่ 10HP-

30HP
>เครื่องอัดมแบบลูกสูบความดันสูง (2-3 Stage Water-cooled) ความดันตั้งแต่ 35-40 บาร์

มผี ลติ ตง้ั แต่ 50HP-150HP มีทัง้ แบบออยฟรี (Oil-free) และแบบใชน้ ำ้ มนั หล่อล่ืน (Oil-Flooded)
>เครื่องอัดลมแบบสกรู (Air &water-cooled) ความดันตั้งแต่ 0-12 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ขนาด

20HP-300HP
>เครื่องอัดลมแบบเทอร์โบ (Water-cooled) ความดันตั้งแต่ 0-12 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ 300HP-

1000HP
2.2.5 วิธดี แู ลรกั ษา AIR COMPRESSOR
การดูแลรักษาปัม๊ ลมอย่างถูกวิธี ปั๊มลมที่ใช้งานอยู่ท่ัวไป ไม่ว่าจะเป็นปั๊มลมขนาดเล็กหรอื ใหญ่

ต้องมีการดแู ลรักษาอยา่ งถกู วิธีถงึ จะได้มปี ๊ัมลมท่ีอายกุ ารทำงานท่ยี าวนานขน้ึ
2.2.5.1 สายพานต้องมีความการยืดหยุ่น ประมาณ1/2 นิ้ว ถ้าสังเกตุว่ามีการแตกร้าว ควร

เปลี่ยนทนั ที
2.2.5.2 นำ้ มันเครื่อง สงั เกตจุ ากช่องดูน้ำมันเครื่องดา้ นลา่ งของลูกสูบ น้ำมันตอ้ งอยู่ระดับกลาง

ช่อง จะต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป เปลี่ยนถ่ายทุก 6 เดือน หรือทุก 1,000 ชั่วโมงใช้ น้ำมันเครื่อง
เบอร์ SAE 40

2.2.5.3 กรองอากาศควรนำออกมาเป่าทำความสะอาดทุก 2 เดอื น หรือเปลี่ยนทกุ ๆ 6 เดอื น

52

2.2.5.4 มอเตอร์และจุดต่อสายไฟ อยา่ ให้มอเตอร์โดนน้ำและความช้ืน ส่วนจุดต่อสายไฟต่างๆ
ต้องตรวจดูว่ายดึ ติดแนน่ หรือไม่ เพือ่ ไมใ่ หเ้ กิดการ spark ในระหว่างทมี่ อเตอร์ทำงาน

2.2.5.5 ถังเก็บลม ควรถ่ายน้ำที่ขังอยู่ภายในถังออกทุกๆวัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีละอองน้ำ
ออกมาในขณะใช้ลมและป้องกันสนิมท่ีจะเกิดขึน้ ภายในถังลม และควรวางปม๊ั ลมให้ห่างจากกำแพงประมาณ 30
ซ.ม.เพอ่ื การระบายความร้อนที่ดี

2.2.6 ขอ้ ดี ข้อเสยี ของลมอดั
2.2.6.1 ขอ้ ดีของระบบลมอดั
ทนต่อการระเบิด ลมอัดไม่มีอันตรายจากการระเบดิ หรือติดไฟ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้อง

มอี ุปกรณร์ าคาแพงสำหรบั ป้องกันการระเบิด
รวดเร็ว ลมอัดมีความรวดเร็วในการทำงานสูงลูกสูบลมมีความเร็วในการทำงาน 1 ถึง

2 เมตรต่อวินาที ถา้ เปน็ ลูกสบู แบบพิเศษสามารถให้ความเร็วในการทำงานได้ถึง 10 เมตรตอ่ วินาที
การส่งถ่ายง่าย การส่งลมอัดไปตามท่อในระยะทางไกลๆ สามารถทำได้ง่ายและลมอัด

ทใ่ี ช้แลว้ ไมต่ ้องนำกลับปลอ่ ยท้งิ สู่บรรยากาศไดเ้ ลย
เก็บรักษาได้ง่าย ลมอัดสามารถกักเก็บไว้ในถังเก็บลมได้ง่าย ดังนั้นอุปกรณ์ทำงาน

สามารถทำงานได้ต่อเนื่องจากการใช้ลมอดั นี้
ความปลอดภัยจากงานเกินกำลัง อุปกรณ์ที่ใช้กับระบบลมอัดจะไม่เกิดการเสียหาย

ถงึ แมว้ า่ งานจะเกนิ กำลงั (over load)
การควบคุมอัตราความเร็ว ความเร็วของลูกสูบสามารถปรับได้ง่ายๆ ตามต้องการโดย

ใช้วาล์วควบคมุ อตั ราไหลของลม
การควบคุมความดัน ความดันของลมอัดที่ต้องการสามารถควบคุมได้ง่ายๆ โดยใช้

วาล์วควบคมุ ความดัน
สะอาด ลมอดั มคี วามสะอาดทำใหอ้ ปุ กร์และเคร่อื งมือสะอาดหมดจด
โครงสร้างง่ายๆ เช่น ลูกสูบลม จะมีโครงสร้างง่ายๆ ธรรมดามีการเคลื่อนที่เป็น

เส้นตรงจะไม่มีกลไกยุ่งยาก ส่วนอ่ืนๆ เช่น แขนเหวยี่ ง เยือ้ งศนู ย์ เพลาเกลยี วและอ่ืนๆ
การตัง้ ค่าระยะช่วงชัก โดยการปรบั ระยะหยดุ หรอื ช่วงชักของลูกสบู ทำให้สามารถปรับ

ระยะช่วงชักไดท้ ุกตำแหนง่ จากนอ้ ยสุดจนถงึ มาสุดตามทตี่ ้องการ
อุณหภูมิขณะใช้งาน อัดลมที่สะอาด (ปราศจากความชื้น) สามารถทำงานได้ดีในช่วง

อณุ หภมู ิท่กี ว้าง
ไม่ตอ้ งใชท้ อ่ ลมกลับ ลมอัดทใ่ี ชแ้ ลว้ สามารถปลอ่ ยท้งิ สบู่ รรยากาศไดเ้ ลย ไม่จำเป็นต้องมีทอ่ นำกลับ

ข้อดีอื่นๆ ของอุปกรณ์นิวแมติกส์กะทัดรัด ทนทาน นํ้าหนักเบา และซ่อมแซม
บำรุงรกั ษาได้ง่าย

53

2.2.6.2 ข้อเสียของระบบลมอดั
ลมอัดถกู อัดตัวได้ เหตุทีอ่ ากาศสามารถอัดตวั ได้ทำให้การเคล่ือนที่ของอุปกรณ์ทำงาน

ไม่สมา่ํ เสมอ
ลมอัดมีความชื้น ลมอัดจะถูกทำให้เย็นลงหลังจากการถูกอัดเข้าในถังเก็บซึ่งจะทำให้

เกิดการกล่นั ตัวของหยดน้ําภายในถังเกบ็ ลมและท่อลมในวงจร
ลมอดั ตอ้ งการเน้อื ทีม่ าก เนอ่ื งจากความดันที่ใช้ในวงจรนวิ แมตกิ ส์ไม่สงู มาก (ประมาณ

6 bar) ทำให้กระบอกสบู ลมต้องมขี นาดใหญ่เพ่ิมข้นึ ถา้ ต้องการใช้แรงมากๆ
ลมอัดมเี สียงดงั เม่อื ลมอดั ระบายออกจากอปุ กรณ์ทำงาน ไอเสียทีค่ ายออกมาจะทำให้

เกดิ เสยี งดังมาก ดงั น้นั จึงต้องใชต้ วั เกบ็ เสยี ง (silencer)
ความดันของลมเปลี่ยนแปลง ความดันของลมอัดจะเพิ่มขึ้นถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นและ

ความดันจะลดลงถ้าอุณหภูมิตํา่ ลง
2.2.7 หลักการทำงาน AIR DRYER
AIR DRYER ทำหน้าที่ ให้ลมที่ถูกผลิตมาจากเครื่องอัดอากาศ (AIR COMPRESSOR) น้อยมาก

ที่สุด ซึ่งหลักการทำงานของ AIR DRYER เพื่อไม่ให้ลมมีความชื้นติดไปด้วยคือ ลมที่เข้ามาจะถูกแลกเปลี่ยน
อุณหภูมิกับน้ำยาทำความเย็น ซึ่งจะทำให้ความชื้นที่อยู่ในลมกลั่นตัวออกเป็นน้ำ และถูกระบายทิ้งโดย AIR
DRYER ลมที่ผ่านกระบวนการนี้ จะมีสถานะเป็นลมที่แห้ง ออกจาก AIR DRYER (เครื่องทำลมแห้ง) ไปสู่
กระบวนการใช้งานของลมต่อไป

เครื่องทำลมแห้งทำหน้าที่ลดความชื้นออกจากลมอัด ก่อนส่งไปใช้งาน แบ่งตามการทำงาน
ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื

2.2.7.1 แบบใช้น้ำยาทำความเย็น (Refrigerated Air Dryer) จุดน้ำค้าง (Dew point) 2 ถึง
10 องศาเซลเซยี ส

2.2.7.2 แบบใชเ้ มด็ สารดูดความช้นื (Desiccant Air Dryer) จดุ น้ำคา้ ง (Dew point) -20 ถึง -
70 องศาเซลเซยี ส

2.2.8 Refrigerant Air Dryer
เครื่องทำลมแห้งแบบใช้น้ำยาทำความเย็น (Refrigerated Air Dryer) โดยทั่วไปแล้ว dew

point อยูร่ ะหว่าง 2 ถงึ 10 องศาเซลเซยี ส

54

หลกั การทำงานและไดอะแกรม

รปู ท่ี 2.3 การทำงานและไดอะแกรม
จากไดอะแกรมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนของนำ้ ยาทำความเย็นและส่วนของลมอดั
วงจรน้ำยา : อปุ กรณป์ ระกอบสำคญั 4 อย่างทตี่ ้องมีคือ คอมเพรสเซอร์ คอนเดนเซอร์ วาลว์ ลดแรงดันและ
อีแวปปอเรเตอร์ เหมอื นกบั เครื่องปรบั อากาศทว่ั ไป แต่นำ้ เอาคอยเย็นมาลดอณุ หภมู ลิ มแทนการปรับอากาศ เรม่ิ
จากคอมเพรสเซอร์ ดูดน้ำยาทำความเย็นจากคอยเย็นในสถานะไอ(ความดนั ต่ำ อุณหภูมิต่ำ) อัดออกทางส่งเป็น
ไอ(ความดนั สูงอุณหภูมิสูง) เขา้ ส่คู อนเดนเซอร์ (Condenser) น้ำยาจะเริม่ เปลีย่ นสถานะเป็นของเหลว(ความดัน
สูงอุณหภูมิสูง) เมื่ออกจากคอนเดนเซอร์ น้ำยาทั้งหมดจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว 100% จากนั้นจะเข้าไป
ฉีดลดความดันที่วาล์วลดแรงดัน (Expansion valve) น้ำยาจะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไออีกครั้ง ขณะ
เปลี่ยนสถานะเป็นไอ น้ำยาจะดูดความร้อนรอบข้างเพื่อให้น้ำยากลายเป็นไอทำให้อุณหภูมิลดลง ในช่วงนี้ ลม
ร้อนท่ีมีความช้ืนผสมอยจู่ ะแลกเปล่ียนกับน้ำยาทำความเย็นที่อุณหภูมติ ่ำ ผลทำใหค้ วามช้ืนท่ีผสมอยู่กับลมกลั่น
ตัวเปน็ น้ำ ตกลงดา้ นล่างของชุดคอยเยน็ แล้วระบายออกโดยชุดระบายนำ้ อัตโนมัติ

55

วงจรลมอัด : ลมอัดหลังจากออกจากเครื่องอัดลม เข้าถังพักลมมาแล้วก็จะเข้าสู่คอยเย็นของเครื่องทำลม
แห้ง(Air dryer) แลกเปลี่ยนอุณหภูมิกับนำ้ ยาทำความเย็นที่มีอุณหภูมิตำ่ ผลทำให้น้ำที่ผสมอยู่กับลมอัดกล่นั ตัว
ออก แลว้ ระบายออกผา่ นทางตัวระบายน้ำอตั โนมตั ิ จากน้ันลมก็จะส่งออกจากเคร่ืองทำลมแห้ง สถานะแห้ง แต่
ลมนี้ ไม่ได้แห้ง 100% เนื่องจากปกติแล้วจุดน้ำค้าง (Dew point) อยู่ระหว่าง 2 ถึง 10 องศาเซลเซียส ซึ่งจะ
เป็นอุณหภูมิทีเ่ ปน็ บวกอยซู่ งึ่ ไมไ่ ด้ติดลบทำใหย้ ังมคี วามชืน้ บางส่วนปนไปกับลมได้

2.2.9 การเลือกขนาดเคร่ืองทำลมแห้ง(Air dryer selection)
ปัจจัยในการเลอื กขนาดเคร่อื งทำลมแห้งมี 5 ปัจจัยดงั นี้
2.2.9.1 อัตราลมอดั (Air delivery)
2.2.9.2 อุณหภมู นิ ำ้ คา้ ง (Dew point)
2.2.9.3 อณุ หภูมิสิง่ แวดล้อม (Environment temperature)
2.2.9.4 อณุ หภูมลิ มเขา้ (Inlet temperature)
2.2.9.5 ความดันใช้งาน (Working pressure)

สูตรการเลอื กขนาดเครอื่ งทำลมแห้ง (ข้นึ อยกู่ บั ยีห่ อ้ และร่นุ )
อตั ราลมอัดที่ยอมรบั ได้ = อัตราลมเขา้

K1 x K2 x K3 x K4
เมื่อ K1 = เฟคเตอรค์ วามดนั ใชง้ าน (Working pressure factor)
K2 = เฟคเตอรอ์ ณุ หภมู ลิ มเข้า (Air inlet temperature factor)
K3 = เฟคเตอร์อณุ หภูมสิ ง่ิ แวดล้อม (Environment temperature factor)
K4 = เฟคเตอรอ์ ณุ หภมู ินำ้ ค้าง (Pressure dew point factor)

ตัวอยา่ ง การคำนวณหาขนาดเครอ่ื งทำลมแหง้ สำหรบั เครอื่ งอดั ลมขนาด 50 แรงม้าแบบโรตารีส่ กรู

ตารางที่ 2.1 แสดงค่าเฟคเตอร์ใช้ในการคำนวณ
เมื่อ : เครื่องอัดลมขนาด 50 แรงม้า อัตราการผลิตลม 6.5 m3/min., ความดันใช้งาน 7 kg/cm2,
อุณหภูมิลมออกจากเครื่องอัดลม 65 องศาเซลเซียส, อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม 38 องศาเซลเซียส, จุดน้ำค้างที่
ต้องการ 3 องศาเซลเซยี ส

56

จากตารางเฟคเตอรด์ ้านบน สามารถคำนวณได้ดงั น้ี
อตั ราลมอดั ทยี่ อมรบั ได้ = 6.5 = 6.91 m3/min.

1.0 x 1.0 x 0.94 x 1.0
ดงั นั้นถ้าเปน็ เครอ่ื งทำลมแห้งรุน่ นี้ ตอ้ งเลอื กขนาดเคร่อื ง Air flow ไม่น้อยกวา่ 6.91 m3/min.
2.2.10 Desiccant Air Dryer

รปู ท่ี 2.4 การทำงานของ Air Dryer (1)
57

หลกั การทำงานและไดอะแกรม

รปู ที่ 2.5 การทำงานและไดอะแกรมของ Air Dryer (2)
2.2.10.1 การทำงานจะแบง่ ออกเป็น 2 Tower ดงั ภาพด้านบน Tower I และ II โดย
Tower I จะทำลมแหง้ ก่อน(Adsorption)ส่วน Tower II จะทำการไล่ความชื้นออกจากเมด็ สาร(Purge)โดยใช้ลม
แห้งจากฝั่ง Tower I มาทำการไล่ความชื้นจากนั้นลมเปียกจากเครื่องอัดลมจะสลับจากเข้า Tower I ไปเข้า
Tower II แทนโดยใช้วาล์วไฟฟ้าควบคุมจังหวะการเปิด Tower II ก็ทำงานดูดความชิ้นออกจากลมอัด และ
Tower I ก็จะทำการไล่ความชื้นออกจากเม็ดสาร โดยใช้ลมแห้งสนิทจาก Tower II มาทำการไล่จุดน้ำค้างของ
เครือ่ งทำลมแหง้ แบบนท้ี ำไดต้ ง้ั แต-่ 20 ถงึ -70 องศาเซลเซียส ขึน้ อยู่กับเมด็ สารท่ใี ช้ดดู ความช้ืน ดังน้ี
>>จดุ น้ำค้าง -20 องศาเซลเซียส: AA (Activated Alumina)
>>จดุ น้ำคา้ ง -40 องศาเซลเซียส: AA (Activated Alumina) +MS (Molecular Sieve)
>>จุดนำ้ ค้าง -70 องศาเซลเซียส: MS (Molecular Sieve) +WS (Water-resistant Silica
Gel)
เครื่องทำลมแห้งแบบนี้อาจมีข้อจำกัดคือ ต้องใช้ลมที่แห้งสนิทแล้วมาไล่ความชื้นออกจากเม็ดสาร
ซ่งึ ทำให้สญู เสยี ลมบางส่วน แต่ลมท่ผี า่ นออกมาแลว้ กจ็ ะแหง้ สนทิ
2.2.11 หลกั การทำงานของ Chiller
2.2.11.1 หลักการทำงานโดยทั่วไปเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่จะเป็น
เคร่อื งปรบั อากาศแบบรวมศนู ยท์ ี่เรยี กว่า ชลิ เลอร์ (Chiller) ซึ่งแบง่ เป็นระบบระบายความรอ้ นดว้ ยนำ้ และระบบ
ระบายความรอ้ นด้วยอากาศ ซึ่งชิลเลอร์จะอาศัยน้ำเป็นตัวนำพาความเย็นไปยังหอ้ งหรือจุดต่างๆ โดยน้ำเย็นจะ
ไหลไปยังเครื่องทำลมเย็น (Air Handling Unit : AHU หรือ Fan Coil Unit : FCU) ที่ติดตั้งอยู่ในบริเวณที่จะ

58

ปรบั อากาศ จากนั้นน้ำที่ไหลออกจากเคร่ืองทำลมเย็นจะถูกปั๊มเขา้ ไปในเคร่อื งทำนำ้ เยน็ ขนาดใหญ่ ที่ติดต้ังอยู่ใน
ห้องเครื่องและไหลเวียนกลับไปยังเครื่องทำลมเย็นอยู่เชน่ นี้ สำหรับเครื่องทำน้ำเย็นน้ีจะตอ้ งมีการนำความร้อน
จากระบบออกมาระบายทิ้งที่ภายนอกอาคารด้วย ซึ่งระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ส่วนใหญ่ที่ใช้มีขนาด
ประมาณ 100 ถึง 1,000 ตัน เป็นระบบที่ใช้เพื่อต้องการทำความเย็นอย่างรวดเร็ว การทำความเย็นอาศัย
คุณสมบัติดูดซับความร้อนของสารทำความเย็นหรือน้ำยาทำความเย็น (Liquid Refrigerant) มีหลักการทำงาน
คอื ปล่อยสารทำความเย็นท่ีเป็นของเหลวจากถังบรรจไุ ปตามท่อ เม่ือสารเหลวเหล่านีไ้ หลผา่ นเอก็ ซแ์ พนชน่ั วาล์ว
(Expansion Valve) จะถูกทำให้มีความดันสูงขึ้น ความดันจะต่ำลงเมื่อรับความร้อนและระเหยเป็นไอ
(Evaporate) ที่ทำให้เกิดความเย็นข้นึ ภายในพ้ืนท่ีปรับอากาศ ดงั แสดงในรูป

2.2.11.2 อุปกรณ์หลักที่สำคัญ ในชิลเลอร์ มรี ายละเอยี ดดังน้ี
2.2.11.2.1 คอยล์ร้อน หรือตัวควบแน่น (Condenser) คือ อุปกรณ์ที่ใช้

ระบายความร้อนให้กบั สารทำความเยน็ ที่ระเหยกลายเป็นกา๊ ซ และเพือ่ ใหเ้ กิดการควบแน่นของสารทำความเย็น
เป็นของเหลว คอยล์ร้อนมีทั้งชนิดที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-Cooled) และชนิดระบายความร้อนด้วย
น้ำ (Water-Cooled)

2.2.11.2.2 คอยล์เย็น (Evaporator) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความเย็น
โดยดงึ ความร้อนท่ีอย่โู ดยรอบคอยลเ์ ย็น เพือ่ ทำใหส้ ารทำความเย็นซึ่งเป็นของเหลวระเหยกลายเปน็ ก๊าซ ผลที่ได้
คือความเย็นเกดิ ขนึ้

2.2.11.2.3 อุปกรณ์ลดความดัน (Expansion Valve) คือ อุปกรณ์ควบคุม
ปริมาณสารทำความเย็นที่ไหลเข้าไปในคอยล์เย็นและช่วยลดความดันของสารทำความเย็นลง เช่น Thermal
Expansion Valve และ Capillary Tube เปน็ ตน้ ผลทไ่ี ดค้ ือสารทำความเย็นท่มี สี ภาพเป็นก๊าซ

2.2.11.2.4 คอมเพรสเซอร์ (Compressor)คอื อปุ กรณ์ซึง่ ทำหน้าทีด่ ูดสารทำ
ความเย็นในสภาพที่เป็นก๊าซเข้ามาและอัดให้เกิดความดันสูงซึ่งทำให้ก๊าซมีความร้อน เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
คอมเพรสเซอร์ที่ใช้งานทั่วไปมีทั้งชนิดที่เป็นแบบลูกสูบ (Reciprocating Compressor) แบบโรตารี่ (Rotary
Compressor) หรืออาจเป็นแบบหอยโข่ง (Centrifugal Compressor) และแบบที่นิยมใช้ในเครื่องปรับอากาศ
ขนาดใหญ่ ได้แก่ แบบสกรู (Screw Compressor)

ขอ้ ดี : 1) ระบบทำความเย็นแบบรวมศนู ยน์ ี้สามารถทำความเรว็ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว
2) สามารถทำความเย็นได้หลายๆจุดพร้อมกัน เนื่องจากใช้ท่อซึ่งเดินบนผนังหรือ

เพดานง่ายตอ่ การกระจายความเยน็ ไปยงั จดุ หรือห้องทต่ี ้องการ

ข้อด้อย ขอ้ จำกดั :
1) เป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ จึงมีข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่ที่ใช้ในการติดตั้ง และเลือก

สถานทท่ี ่มี คี วามเหมาะสมในการตดิ ตั้งอุปกรณ์แต่ละตวั
2) มคี วามยุง่ ยากในการตดิ ตง้ั ซงึ่ จะต้องจดั เตรียมโครงสร้างในการวางเคร่อื ง
3) เคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนตำแหน่งได้ลำบาก เนื่องจากเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่และมี

ความซับซ้อน ดังนน้ั จึงต้องวางแผนในการตดิ ต้งั ให้ดีก่อน

59

4) ราคาแพง ค่าใชจ้ ่ายในการตดิ ตัง้ สูง
2.2.12 ความรู้เรื่องนวิ เมติก PNEUMATIC COMPRESSOR PUMP ระบบอัดอากาศ

ระบบนิวเมติกส์ หมายถึง ระบบการส่งถ่ายกำลังโดยอาศัยความดันลมเป็นตัวกลางในการส่ง
ถ่ายกำลัง โดยมีอปุ กรณ์เช่น กระบอกสบู ทำหน้าที่เปลีย่ นพลงั งานลมใหเ้ ป็นพลงั งานกล

2.2.12.1 ขอ้ ดขี องระบบนวิ เมติกส์
- มคี วามเร็วในการทำงาน ลมอัดมีความเร็วในการทำงานสงู
- ทนตอ่ การระเบดิ เพราะลมไม่ตดิ ไฟ และไมร่ ะเบิด
- มีความปลอดภัย เนอื่ งจากอปุ กรณ์ในระบบนิวเมติกส์ไม่เกิดความเสยี หายเม่ือใช้งาน

เกนิ กำลัง
- สามารถปรบั ความเรว็ ในระบบไดง้ ่าย และสะดวกในการตดิ ต้ัง
- การส่งถ่ายลม สามารถสง่ ไปตามท่อหรือสายลมในระยะทางไกลๆได้โดยง่าย สว่ นลม

ทใ่ี ชแ้ ล้วสามารถปล่อยทิ้งสูบ่ รรยากาศได้ทันที โดยไมก่ ่อให้เกิดมลพษิ
2.2.12.2 ข้อเสยี ของระบบนิวเมตกิ ส์
- เมื่อลมมีความชื้นและเมื่อความชื้นเข้าไปในระบบจะเกิดสนิม ทำให้อายุการใช้งาน

ของอปุ กรณ์ท่วี ัสดุทำปฏกิ ิรยิ ากับความช้ืนเสียหายได้
- ความดันลมจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน ซึ่งเมื่ออุณหภูมิสูงลมอัดจะมี

ความดนั สงู และความดันจะลดลงเมื่ออุณหภมู ิตำ่ ลง
- ลมสามรถอัดตัวได้ จึงทำให้การเคลื่อนที่ของอุปกรณ์ทำงานไม่สม่ำเสมอ เนื่องจาก

การยบุ ตัวของลมอดั
- มีเสียงดัง

2.2.13 ประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศ
ประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศนั้นมักระบุในเชิงของดัชนีการใช้กำลังไฟฟ้าต่อ

การผลิตอากาศอัด ซึ่งจะต้องทราบข้อมูลใน 2 ส่วน คือ กำลังไฟฟ้าที่ป้อนให้เครื่องอัดอากาศ (kW)
และอัตราการผลิตอากาศอัด (l/sec, m3/min) ซ่ึงมักนิยมระบุประสิทธิภาพของเคร่ืองอัดอากาศจึง
นิยมระบุในเชิงความสัมพันธ์ของค่าทั้ง 2 โดยมีหน่วยเป็น kW/m3/min

60

รูปที่ 2.6 ตัวอย่าง Nameplate ของเคร่ืองอัดอากาศ
สามารถประเมินค่าประสิทธิภาพที่พิกัดตาม Nameplate ได้จาก

ค่า kW/m³/min ย่ิงต่ำ ยิ่งดี โดยท่ัวไปเครื่องอัดอากาศใหม่มีค่าประมาณ 6 kW/m³/min
2.2.14 การประเมินการใช้พลังงานของเคร่ืองอัดอากาศ
จากนิยมที่ว่า พลังงานไฟฟ้าคือผลคูณของค่าพลังไฟฟ้า กับชั่วโมงการทำงานของ

อุปกรณ์นั้นๆ ดังนั้น สำหรับเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ สามารถประเมินค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ได้
ด้วยสมการ

พลังงานท่ีใช้ = พลังไฟฟ้า x ช่ัวโมงการใช้งาน x % การทำงาน
ตัวอย่าง เครื่องอัดอากาศชนิดลูบสูบขนาด 10 แรงม้า มีการใช้พลังไฟฟ้า 7.5 kW ชั่วโมงการ
ทำงาน 3,600 ช่ัวโมงต่อปี Load Factor = 70 % คิดเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ต่อปีเท่ากับเท่าไร?

พลังงานไฟฟ้า = 7.5 x 3,600 x 70% = 18,900 kWh/ปี
สำหรับเครื่องอัดอากาศแบบสกรู เนื่องจากมีการทำงานใน 2 สภาวะ คือ ช่วงทำงาน (Load) และ
ช่วงเดินตัวเปล่า (Unload) ดังน้ัน สามารถประเมินค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ได้ด้วยสมการ
พลังงานท่ีใช้ = [(พลังไฟฟ้า Load x %Load) + (พลังไฟฟ้า Unload x %Unload)] x ช่ัวโมง
การใช้งาน

61

ตัวอย่าง เครื่องอัดอากาศชนิดกรูขนาด 37 กิโลวัตต์ มีการใช้พลังไฟฟ้าในช่วง Load และ
Unload เท่ากับ 35 kW และ 14 kW ตามลำดับ ชั่วโมงการทำงาน 3,600 ช่ัวโมงต่อปี มีเปอร์เซ็นต์
Load 95 %, Unload 5 % คิดเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ต่อปีเท่ากับเท่าไร?

พลังงานไฟฟ้า = [(35x 95%) + (14 x 5%)] x 3,600 = 122,220 kWh/ปี

62

บทท่ี 3
วิธีดำเนินงาน

เนื่องจากทางบริษัทได้มีนโยบายเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าที่ ใช้โดย
เปล่าประโยชน์ และยังสืบเนื่องมาจากผลของค่าไฟฟ้าที่สูงเกินเป้าหมายของปี 2553 ที่ตั้งไว้ไม่ เกิน 1 ล้าน/
เดือน ดังนั้นทีมอนุรักษ์พลังและทางแผนกซ่อมบํารุง ซึ่งมีหน้า ที่รับผิดชอบทางด้านไฟฟ้า ของโรงงานและ
เครื่องจักรต้นกําลังต่างๆภายในโรงงาน จึงมีแนวความคิดในการประหยัดพลังงานให้ได้ ตามเป้าหมายที่ทาง
บรษิ ัทได้ต้ังไว้ โดยไดม้ ีการกําหนดแผนและขนั้ ตอนการทํางานต่าง ๆ ดังน้ี

การนาํ เสนอแนวทางการแกไ้ ขและปรบั ปรุงระบบ

รปู ท่ี 3.1 การนําเสนอแนวทางการแก้ไขและปรบั ปรุงระบบ
63

ขนั้ ตอนการทำงาน

รูปที่ 3.2 ชนั้ ตอนการทำงาน
64

3.1 ชื่อและท่ีต้ังของสถานประกอบการ

รปู ที่ 3.3 ช่ือและที่ต้ังสถานประกอบการ บริษัท ซงั โกะไดคาซติ้ง (ประเทศไทย) จำกดั (มหาชน)
65

3.2 ข้อมูลกอ่ นการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการอนุรักษพ์ ลงั งานในอตุ สาหกรรม

3.2.1 รวบรวมข้อมูลและเปรียบเทยี บขอ้ มลู การใช้พลังงานไฟฟา้ เพื่อทาํ การปรับปรงุ ระบบ
โดยการใช้เครือ่ งมือวัดคา่ ทางไฟฟ้าของตู้ MDBหลักจํานวน 3 ตู้ เป็นเวลาทั้งหมด 14 วัน เพื่อ

เก็บข้อมูลทางด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดเพื่อหาข้อสรุปในการแก้ไขจุดที่ใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์ และ
สนิ้ เปลือง เพอื่ กาํ หนดแผนในการแกไ้ ขต่อไป

รปู ท่ี 3.4 เครื่องอัดอากาศภายในโรงงาน

ตารางสรุปขอ้ มลู การตรวจวัดตู้ MDB จำนวน 3 ตู้ เปน็ เวลา 14 วัน

ตารางที่ 3.1 ข้อมลู การตรวจวัดตู้ MDB No.1

5/6/2554 – 19/6/2554 Voltage (V) Current (A) Power (kW)

MAX 412.56 296.20 173.84

MIN 0.00 0.00 0.00

AVERAGE 404.04 89.25 47.98

TOTAL (kWh) 16,120.87

66

ตารางท่ี 3.2 ข้อมลู การตรวจวดั ตู้ MDB No.2

5/6/2554 – 19/6/2554 Voltage (V) Current (A) Power (kW)
MAX 312.52
MIN 411.83 535.72 0.00
186.40
AVERAGE 0.00 0.00
TOTAL (kWh) Power (kW)
399.32 292.78 173.84
62,629.30 0.00
52.03
ตารางที่ 3.3 ข้อมลู การตรวจวดั ตู้ MDB No.3

5/6/2554 – 19/6/2554 Voltage (V) Current (A)

MAX 412.56 296.20

MIN 0.00 0.00

AVERAGE 403.23 89.60
TOTAL (kWh) 17,483.03

67

รปู ท่ี 3.5 กราฟสรปุ ผลการตรวจวดั ตู้ MDB จำนวน 3 ตู้ เป็นเวลา14 วนั ต้งั แตว่ นั ท่ี 5 ถึง 19/6/2554
68

รูปที่ 3.6 กราฟสรุปผลการตรวจวัดค่าพลังงานไฟ ตู้ MDB จำนวน 3 ตู้ เปน็ เวลา14 วนั
ตงั้ แตว่ นั ที่ 5 ถึง 19/6/2554

69

รูปท่ี 3.7 กราฟสรุปผลการตรวจวดั คา่ ไฟ ตู้ MDB จำนวน 3 ตู้

3.2.2 สรุปผลการใช้พลงั งานไฟฟ้าเพ่อื หาจดุ ปรบั ปรุง
เนื่องจากการสรุปผลจากการวดั พลังงานไฟฟ้า ตั้งแต่วันที่ 5/6/2554ถึง 19/6/2554 จะพบได้

ว่า ข้อมูลการตรวจวัดตู้ MDB ทั้ง 3 ตู้พบว่าตู้ MDB No.2 (Compressor room) คิดเป็นเปอร์เซ็นการใช้
พลงั งานมากทสี่ ุดคือ65 % ของโหลดการใช้งานทั้งหมดของทั้งหมด ดงั น้ันสรปุ จากท่ีประชุม คณะกรรมการด้าน
การประหยัดพลังต้องดําเนินการทําแก้ไขในจุดนี้ในกรณีเร่งด่วนเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทางด้านการใช้ไฟฟ้าโดย
ส้นิ เปลอื งในระยะยาว

3.2.3 เลือกระบบเครือ่ งอดั อากาศเพื่อนําเสนอในปรบั ปรุงแก้ไข
เนื่องจากปัจจุบันการใช้ปริมาณลมในขบวนการผลิตในโรงงานแห่งนี้ไม่เห มาะสมกับปริมาณ

ลมที่ใช้งานจริง โดยส่งผลให้เกิดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์ และจากการวิเคราะห์ ระบบการ
ทาํ งานของเคร่ืองอัดอากาศซ่ึงเปน็ ต้นกาํ ลังในการผลิตลมจะพบได้วา่ การทํางานของระบบไม่ เหมาะสมกบั การใช้
งานโดยลักษณะการควบคุมการทํางานของแต่ละเครื่อง เป็นแบบ Manual ส่งผลให้ ปริมาณของลมที่ใช้ใน
กระบวนการผลิตไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนั้นควรมีการปรับปรุงระบบควบคุม เครื่องอัดอากาศให้การ
ทํางานเป็นแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ปริมาณการใช้ลมให้เหมาะสมกับกระบวนการ ผลิต และยังสามารถลดต้นทุน
การใช้พลังงานไฟฟ้าทีค่ ดิ จากช่ัวโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศแต่ละตัวอีกดว้ ย

70

3.2.4 การวเิ คราะหแ์ ละแนวทางการปรบั ปรุงเคร่ืองอดั อากาศ (Air Compressor)
จากการวดั คา่ ทางไฟฟา้ ของเครอื่ งอัด (Air Compressor) จํานวน 5 เคร่ืองซง่ึ ทาํ งานใน Mode

Manual จะใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง และตัดต่อการทํางาน โดยใช้ Pressure Switch ตัดต่อการทํางาน ของแต่
ละเครื่องทําให้ไม่เหมาะสมกับการใช้งานในลายการผลิตและทําให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าโดย เปล่าประโยชน์
ดังนัน้ คณะผู้จัดทําและทีมอนุรกั ษ์พลังจึงมีความเห็นที่จะต้องแก้ไข โดยปรบั ระบบการใช้ งานในลกั ษณะ Mode
Auto เพื่อให้เหมาะสมกับลายการผลิตในระยะยาวต่อไป ซึ่งมีผลการวัดเครื่องอัด อากาศ ( Air Compressor)
ดังต่อไปนี้

รปู ที่ 3.8 ผลการวดั Compressor No.1/ MC428 ขนาด 55 kW (75 Hp)

รปู ท่ี 3.9 ผลการวดั Compressor No.1/ MC373 ขนาด 55 kW (75 Hp)

71

รูปที่ 3.10 ผลการวัด Compressor No.1/ MC373 ขนาด 55 kW (75 Hp)

รูปที่ 3.11 ผลการวัด Compressor No.1/ MC428 ขนาด 55 kW (75 Hp)
ตารางท่ี 3.4 สรุปผลการการวัดคา่ ทางไฟฟ้าของ Compressor จํานวน 5 เครื่องของตู้ MDB No.2

Item Umax(V) Imax(A) kW

Compressor No.1 387 70.48 41.66

Compressor No.2 393 71.98 41.17

Compressor No.3 386 89.26 51.64

Compressor No.4 387 90.85 52.54

Compressor No.5 388 152 94.05

Total 388.2 385.31 281.06

72

รูปที่ 3.12 กราฟแสดงผลการวดั ค่าทางไฟฟ้าของ Compressor 15 ของตู้ MDB No.2

3.2.4.1 การวิเคราะห์คา่ พลังงานไฟฟา้ กอ่ นการปรับปรุง

จากเกบ็ ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟา้ ของตวั Compressor กอ่ นการปรบั ปรงุ โดยไดท้ าํ
การวัดค่า ทางไฟฟา้ จากเคร่ืองอดั อากาศที่ใชง้ านโรงงานโดยทดลองใช้แรงดนั ไฟฟา้ ที่ 22-33 กโิ ลโวลท์ คดิ เป็น
ค่า พลังงาน 2.2695 บาท/หนว่ ยประเภทท่ี 4.2.2 (อ้างองิ ตามการคดิ คา่ อตั ราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of
Use Rate : TOU)

ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า ของเครื่องอดั อากาศจากตู้ MDB 2 จาํ นวน 5 เคร่ือง จากการวัดค่า ทางไฟฟ้า
281.06 kW จาก ตารางที่ 34 และใช้งาน 24 ชัว่ โมง เทา่ กับ

281.06 x 24 = 6,745.44 kWh

คิดเป็นเงนิ 6745.44 x 2.2695 = 15,308.776 บาท

ใน 1 เดอื น จะทาํ งานประมาณ 26 วัน

คิดเปน็ เงนิ 5,308.776 x 26 = 398,028.17 บาท/เดือน

3.2.5 เพม่ิ ประสิทธภิ าพของเครอ่ื งอดั อากาศกอ่ นการติดตง้ั อปุ กรณ์

การปรับปรุงโดยการติดตั้งเคร่อื งอัดลมอัตโนมตั ิ (Group Control Panel) และการแกไ้ ขลมรวั่

3.2.5.1 การแก้ไขลมรั่วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Compressor ก่อนการติดตั้งชุด
(Group Control Panel)

เครื่องอัดอากาศ ( Compressor Air) เป็นระบบที่ต้องใช้พลังงานมากที่สุดอย่างหนึ่งใน
อุตสาหกรรม ซึ่งถ้าเกิดการรั่วของอากาศอัดขึ้นในระบบ นั่นหมายความว่าเกิดการสูญเสียของพลังงาน ไปโดย

73

เปล่าประโยชน์ จากการเก็บข้อมูลในประเทศเยอรมนั พบว่า การเกิดลมรั่วขึน้ กับรูรั่วท่ีมขี นาด เส้นผ่าศูนย์กลาง
เพียง 1 มม. โดยนับที่ระยะเวลา 1 ปี เท่ากับท่านจะสูญเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตลมโดย ไม่เกิดประโยชน์ไปถึง
270 Euro หรอื ประมาณ 13,500 บาทตอ่ ปี

แบ่งลักษณะการรั่วของลมเป็น 2 ประเภทคือการรั้วที่เกิดจากรูรั่วตรง เช่นท่อลมเกิดสนิมกัด
รอ่ น ทําใหเ้ กิดรรู ่ัวท่ีทอ่ หรือ เกิดการแตกรา้ วที่ทอ่ และการรวั่ ทเี่ กิดจากรรู ่ัวซมึ เชน่ ลมรั่วที่เกิดขึ้นปริเวณขอ้ ต่อ
ต่างๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ข้องอ, จดุ เช่ือมตอ่ ตา่ งๆจากการตรวจภายในโรงงานพบจดุ ลมรว่ั ทงั้ หมด 61 จุด

ผลการทดสอบหา % ลม Leak ทั้งระบบ
ผลสรปุ All factory = 36.8 %
Load 7 sec / Load 7 + Unload 12 x 100 = 36.8 %
Factory 1.0= 26%
Load 6 sec / Load 6 + Unload 17 x 100 = 26 %
Factory 2.0= 4.2%
System = 6.6 %
Load 6 sec / Load 6 + Unload 84 x 100 = 6.6 %
All System = 10.8%
วิธีการคํานวณผลการอนุรกั ษ์พลังงาน พลังงานที่สูญเสียจากการรั่วไหลของอากาศอัดสามารถประเมิน
การสูญเสียได้ ดังนี้ เปอรเ์ ซน็ ต์อากาศอัดรั่วไหล = toad/(toad + tundoad) x 100
เม่อื loadคือ เวลาทีใ่ ชใ้ นการอัดอากาศเดนิ รบั ภาระ (วินาท)ี
tunloadคือ เวลาท่ีใช้ความดันอากาศเดนิ ไมร่ ับภาระ (วินาท)ี
เปอร์เซนต์อากาศอัดรวั่ ไหล = 7/(7 + 12) x 100 = 36.8 %
3.2.5.2 แผนในการแกไ้ ขลมรั่วเพื่อเพิม่ ประสทิ ธภิ าพของ Compressor
เนื่องจากการทดสอบประสิทธิภาพของการใช้ลด โดยการทดสอบ Load-Unload ของเครื่องอัดอากาศ
ทั้งหมด และพบเปอร์เซ็นต์อากาศอัดรั่วไหล 36.8 % และจากการตรวจสอบลมจุดที่เกิดลม รั่วพบทั้งหมด 61
จุดและทำการวางแผนในการแก้ไขเพ่ือเพ่ิมประสิทธภิ าพของเครอ่ื งอัดอากาศก่อนการ ใช้งานดังน้ี

74

ตารางท่ี 3.5 แผนการแก้ไขลมร่ัวในลายการผลิตก่อนการติดต้งั ชดุ Group Control (Auto)

3.2.6 การเก็บข้อมูลชัว่ โมงการทาํ งานของเครื่องอัดอากาศกอ่ นการติดต้งั อุปกรณ์
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศ ( Air Compressor) เป็นเครื่องจักรต้นกําลังของโรงงานซึ่งไม่สามารถ หยุด
การใช้งานได้และเพื่อป้องกันไม่เครื่องอัดอากาศเกิดความเสียหายขณะกําใช้งาน จึงควรมีการการ บํารุงรักษา
โดยการบํารงุ รักษาเชิงป้องกนั ( Preventive Maintenance) จะคิดจากชั่วโมงการทาํ งานของ เครื่องอัดอากาศ
ซึ่งตามมาตรฐาน ของผู้ผลิตเครื่องอัดอากาศ จะเปลี่ยนอะไหล่ของเครื่องอัดอากาศทุกๆ 3,000 และ 6,000
ชั่วโมงตามลําดับดังนั้นทางแผนกซ่อมบํารุง (Maintenance) จึงมีการเก็บข้อมูลชั่วโมงการทําการของเครื่องอัด
อากาศแต่ละเครื่อง เพื่อให้สอดคล้องการบํารุงรักษาเชิงป้องกัน ( Preventive Maintenance) และยังสืบเนื่อง
ไปถึงการลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ที่มีค่าใช้จา่ ยค่อนข้างสูงของเครื่องอัดอากาศหลังการติดตั้งตู้ควบคุม
เคร่อื งอดั ลมแบบอัตโนมตั (ิ Group Control Panel) เพอ่ื ลดชว่ั โมงการทํางาน

3.2.6.1 เครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) ของโรงงานที่ใช้งานในปัจจุบันมีลักษณะ
หนา้ จออยู่ 2 แบบ Manual และ Auto ซึ่งเป็นตวั อ้างท่ีใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู

รปู ท่ี 3.13 ลกั ษณะแบบ Manual
75

รปู ท่ี 3.14 ลกั ษณะแบบ Auto
รปู ที่ 3.15 ตวั อย่างของเอกสารทีใ่ ชเ้ กบ็ ข้อมูลในแต่ละเดือนของทางแผนก (Maintenance)

76

จากการเกบ็ ข้อมลู ช่ัวโมงการทาํ งานของเคร่ืองอัดอากาศแต่ละเคร่ืองเป็นระยะเวลา3เดือนจาก เอกสาร
ในรปู ท่ี 3.7

ตารางที่ 3.6 สรุปชัว่ โมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศจํานวน 5 เครือ่ ง

รูปที่ 3.16 กราฟแสดงชว่ั โมงการทำงาน
3.7 การติดตั้งอุปกรณ์ในการควบคุมระบบเพ่ือปรบั ปรุง

การติดตั้งตู้ควบคุมเครื่องอัดอากาศแบบอัตโนมัติ (Group Control Panel) และการปรับแต่ง
ระบบการทำงานของเครอื่ งอดั อากาศ

77

รปู ท่ี 3.17 การตดิ ต้ังอปุ กรณ์ตรวจสอบแรงดนั

รปู ที่ 3.18 ลักษณะการตดิ ตั้งชุดตรวจสอบแรงดนั กับถังเก็บแรงดนั เคร่ืองอัดอากาศ
78

รปู ท่ี 3.19 ลกั ษณะการควบคุมจากหน้าจอและการปรับแต่งแรงดันควบคุมการใช้งานจริง

ลกั ษณะการปรับแรงดันในการใช้งานจริงใหค้ รอบคลมุ ในระบบอัตโนมตั ิมีขัน้ ตอนดังนี้
1. กด F1 การเข้าไปใชง้ านหน้าจอเพื่อปรบั แต่ง แรงดัน
2. กด PRESSURE SETUP การเข้าปรับแต่งแรงดันของการใช้งานการควบคุม แรงดนั ทั้งระบบ
3. การปรบั แตง่ แรงดนั และตรวจสอบค่าท่ใี ช้ในการควบคุมจรงิ ของระบบ
การปรับระบบการใช้งานของเครอ่ื งอดั อากาศ (Air Compressor)
เนื่องจากการปรับโหมดการใช้งานของเครื่องอัดอากาศ เป็นจุดสําคัญของการควบคุมระบบโดย ปกติ
โหมดการใช้งานของระบบเครื่องอัดอากาศจะเป็นระบบ EL และหลังการติดตั้งชุดควบคุมแบบอัตโนมัติจะใช้
ระบบน้ีในการควบคุม

รปู ท่ี 3.20 แบบหน้าจอ Auto รปู ที่ 3.21 แบบหนา้ จอ Manual

79

บทที่ 4
ผลการเพิม่ ประสิทธิภาพ

4.1 การวดั ผลหลังปรบั ปรุง
จากการวางแผนและเตรียมงานต่างๆ ทางกลุ่มและทางแผนกซ่อมบํารงุ ไดต้ ิดตามผลหลงั การ ตดิ ตั้งชุด

ควบคุมเครื่องอัดอากาศแบบอัตโนมัติ (Group Control Panel) และทําการเปรียบเทียบผลการ ทดลองหลัง
การติดตั้งชุดควบคุมแบบอัตโนมัติ เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้ลมที่ใช้เท่าที่จําเป็นที่ ซึ่งจะช่วยให้
ประหยัดพลงั งานไฟฟ้าไดส้ งู สดุ และมปี ระสิทธิภาพมากกว่าเดิม ดังจะอธิบายในลาํ ดับตอ่ ไป
4.2 การวเิ คราะหผ์ ลหลังการปรบั ปรงุ

การเก็บข้อมูลชั่วโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศก่อนหลงั การติดตั้งจากการเก็บข้อมูลชั่วโมง การ
ทํางานของเครื่องอัดอากาศจํานวน 5 เครื่องก่อนและหลังการติดตั้งชุดควบคุมเครื่องอัดอากาศแบบอัตโนมัติ
(Group Control Panel) เพือ่ ใชใ้ นการคํานวณค่าประหยัดพลังงานไฟฟ้าและเปรียบเทียบในการลดชั่วโมงการ
ทํางานกอ่ นและหลงั การติดต้งั เป็นระยะเวลา 6 เดอื น และสรปุ ผลไดด้ ังต่อไปนีก้ ่อนการปรบั ปรงุ

ตารางท่ี 4.1 สรปุ ช่ัวโมงการทํางานในระยะเวลา 3 เดือนกอ่ นการตดิ ตัง้ หลังการปรับ

80

ตารางท่ี 4.2 สรปุ ชว่ั โมงการทํางานในระยะเวลา 3 เดือนหลังการตดิ ต้งั หลงั การปรบั

4.3 สรปุ ผลการลดชั่วโมงการทํางานหลงั การตดิ ตั้ง
จากการเก็บข้อมูลของชั่วโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศจํานวน 5 เครื่องจากตารางที่ 4.1 และ

4.2 ซึ่งรวบรวมในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเก็บข้อมูลก่อนและหลังการติดตั้งชุดควบคุมเครื่องอัด อากาศแบบ
อัตโนมตั ิ
(Group Control Panel)และสรุปผลการลดชั่วโมงการทาํ งานของเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) โดยใช้
ข้อมูลรวมของท้ัง 3 เดอื นจากตารางทีก่ ล่าวขา้ งตน้ ใชใ้ นการอา้ งอิงขอ้ มลู ในการคาํ นวณและสรปุ ผลได้ดังน้ี

ตารางที่ 4.3 สรุปชัว่ โมงการทํางานของเคร่ืองอัดอากาศก่อนและหลังการติดตั้ง

จากตารางที่ 4.3 ในการอ้างอิงในการคํานวณ จะใช้เครื่องอัดอากาศจํานวน 4 เครื่องในการ คํานวณ
เนื่องจากหลังการปรับปรุงระบบของการใช้งานเครื่องอัดอากาศ No.1 (MC428) จะต้องใช้งาน ตลอด 24

81

ชั่วโมง เพราะต้องรักษาการจ่ายแรงดัน ลม โดยเป็นไปตามเงื่อนไข การรักษาแรงดันให้ เหมาะสมกับ
กระบวนการผลติ ในการใช้งานหลงั การปรบั ปรุง ทีก่ ลา่ วไวข้ ้างต้น จึงไมน่ ํามาคิดในการคาํ นวณ
4.4 กอ่ นการปรบั ปรงุ

หาชวั่ โมงเฉลีย่ ต่อเครอื่ งในระยะเวลา 1 เดอื น
(จํานวนชั่วโมงของเครื่องอัดอากาศรวมของแต่ละเครื่องในระยะเวลา 3 เดือน)/จํานวนเครื่อง) ระยะเวลา 3
เดอื น)
(1,062+1,769+1787+1,726)/4/3) = 589.08 ประมาณ 589 ช่วั โมง/เคร่อื ง
4.5 หลงั การปรับปรุง

หาชวั่ โมงเฉลย่ี ต่อเคร่อื งในระยะเวลา 1 เดอื น
(จํานวนชั่วโมงของเครื่องอัดอากาศรวมของแต่ละเครื่องในระยะเวลา 3 เดือน จํานวนเครื่อง) ระยะเวลา 3
เดอื น)
(10624998+1,163+779)74)/3) = 333.5 ประมาณ 334 ช่วั โมง/เครอ่ื ง

รปู ท่ี 4.1 สรปุ ชั่วโมงการทํางานกอ่ นและหลังการติดตัง้ ในระยะเวลา 6 เดือน
จากการสรปุ ผลโดยตารางที่ 4.3และ กราฟที่ 44 ในการเกบ็ ขอ้ มลู ชว่ั โมงการทํางาน ของเคร่อื ง อัด
อากาศก่อนและหลงั การติดตั้งชดุ ควบคุมเคร่ืองอดั อากาศแบบอัตโนมตั ิ (Group Control Panel)จะ พบได้วา่
หลังการตดิ ตั้งชดุ ควบคุมเครื่องอดั อากาศแบบอตั โนมตั ิในระยะเวลา 3 เดอื น สามารถลดชวั่ โมง การทาํ งานของ
เคร่อื งอัดอากาศโดยเฉล่ียต่อเครือ่ งได้ 912.82ชัว่ โมงและคิดเปน็ เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ฉลย่ี ต่อเคร่อื ง ได้ 24.5 % ดังแสดง
ในกราฟท่ี 4.4

82

รูปที่ 4.2 สรุปการลดชวั่ โมงการทาํ งานโดยคิดเป็นเปอรเ์ ซน็ ตต์ ่อเครื่อง

4.6 การลดคา่ ใช้จ่ายจากการเปลยี่ นอะไหล่
4.6.1 การลดค่าใชจ้ า่ ยจากการเปล่ียนอะไหล่ในระยะเวลา 2 ปี
เนื่องจากการเปลี่ยนอะไหล่ของเครื่องอัดอากาศ จะนําชั่วโมงการทํางานมาใช้อ้างอิงในการ

คํานวณหาระยะเวลาในการเปลี่ยนอะไหล่ และจากมาตรฐานการเปลี่ยนอะไหลข่ องเครือ่ งอัดอากาศจะเปลี่ยน
ทุก ๆ 3,000 และ 6,000 ชว่ั โมงตามลําดบั ซ่ึงจากการเก็บข้อมลู ของช่ัวโมงการทาํ งานเครื่องอดั อากาศจํานวน
5 เคร่ือง ในระยะเวลาก่อนการปรับปรุงและหลังการปรับปรุง โดยใช้ตารางที่ 4.3 ในการ อา้ งองิ ในการคํานวณ
แต่ในการคํานวณจะใช้เครื่องอัดอากาศจํานวน 4 เครื่องในการคํานวณ เนื่องจาก หลังการปรับปรุงระบบของ
การใชง้ านเคร่ืองอดั อากาศ No.1 (MC428) จะตอ้ งใชง้ านตลอด 24 ชว่ั โมง เพราะต้องรักษาการจ่ายแรงดันลม
โดย จะเปน็ ไปตามเงือ่ นไขการรักษาแรงดนั ใหเ้ หมาะสมกบั

กระบวนการผลิตในการใช้งานหลังการปรับปรุงที่กล่าวไว้ข้างต้น (ในบทที่ 2) จึงไม่นํามาคิด
ในการ คํานวณ และจะทําการคํานวณในการเปลี่ยนอะไหล่ใช้ระยะเวลา 2 ปี ในการอ้างอิงระยะเวลาการ
เปลี่ยน อะไหล่ เนื่องจากจะทําให้การคํานวณที่ใช้เจนและครอบคลุมค่าในการเปล่ียน อะไหล่มากกว่าระยะ 1
ปี ซึง่ มีผลในการคํานวณดงั ตอ่ ไปน้ี

คา่ ใชจ้ า่ ยมาตรฐานท่ีจะตอ้ งเปลีย่ นอะไหล่ตามระยะเวลา 3,000 และ 6,000 ช่ัวโมง
เปลยี่ นอะไหล่ 3 ,000 ชั่วโมง = 55,921 บาท/เคร่ือง
เปลยี่ นอะไหล่ 6 ,000 ช่ัวโมง = 65,692 บาท/เคร่อื ง

83

ตารางที่ 4.4 แสดงช่ัวโมงการทํางานมาตรฐานในการเปลย่ี นอะไหล่และการคิดเป็นคา่ ใช้จ่ายตอ่ ครัง้

4.6.2 ก่อนการปรบั ปรงุ
จากตารางที่ 4.3 นําค่าชั่วโมงก่อนการปรับปรุงของเครื่องอัดอากาศ ในระยะเวลา 3 เดือน

จาํ นวน 4 เคร่ือง มาทาํ การคาํ นวณค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการเปล่ยี นอะไหล่ สูตรทใี่ ช้ในการคาํ นวณหาคา่ เฉล่ีย
(จํานวนชั่วโมงของเครื่องอัดอากาศรวมของแต่ละเครื่องในระยะเวลา 3 เดือน จํานวนเครื่อง) ระยะเวลา 3
เดือน)

(1,787+1,769+1787+1,726)4) = 1767.25 ชว่ั โมง/เคร่ือง
(1767 25/3) = 589.08 ประมาณ 589 ชั่วโมง/เครอ่ื ง/เดือน
ดังนั้นจากการคํานวณข้างต้นในระยะเวลา 1 เดือนจะได้ชั่วโมงการทาํ งานเฉลี่ย 589 ชั่วโมง/
เครอ่ื ง ฉะนนั้ ระยะเวลา 2 ปี คือ 24 เดือนจะมีช่ัวโมงการทํางาน 24 x 598 = 14136 ช่ัวโมง/เครอ่ื ง
ตารางท่ี 4.5 อ้างองิ การเปลยี่ นอะไหลข่ องเครื่องอดั อากาศในระยะเวลา 2 ปี

ในระยะเวลา 2 ปีมีชั่วโมงการทํางานเท่ากับ 14,136 ชั่วโมง ถ้าพิจารณาจํานวนครั้งในการ
เปลี่ยน อะไหล่ต้องทําการอ้างอิงจากตารางที่ 4.5 จะพบว่าในการเปลี่ยนอะไหล่ครั้งที่ 1 จะต้องมีชั่วโมงการ
ทํางานครบ 3000 ชั่วโมง ฉะนั้นจากชั่วโมงการทํางานทั้งหมดในระยะเวลา 2 ปี ต้องนําค่า 14 136 ชั่วโมง
นํามาลบกับ 3000 ชั่วโมง จึงได้ค่าชั่วโมงการทํางานได้ที่เหลือคือ 11136 ชั่วโมง และทําเช่นเดิม ในการ
พจิ ารณาในการเปลย่ี นอะไหลค่ ร้งั ท่ี 2 ซึ่งต้องมอี ายกุ ารใชง้ านครบ 6000 ชัว่ โมง

4.6.3 สรปุ กอ่ นการปรับปรุงระบบ
จากตารางที่ 2 จะสรุปได้ว่าในระยะเวลา 2 ปี จะต้องเปลี่ยนอะไหล่เครื่องอัดอากาศ 3 ครั้ง

เครอื่ ง ฉะนัน้ ราคาอะไหล่ท้ังหมดในระยะเวลา 2 ปี คือ 55,921 + 65,692 + 55,921 = 177535 บาท/2ปี

84

4.6.4 หลงั การปรับปรงุ ระบบ
จากตารางที่ 4.3 นําค่าชั่วโมงการทํางานหลังการปรับปรุงในระยะเวลา 3 เดือน จํานวน 4

เคร่ือง มาทําการคํานวณค่าเฉล่ยี ระยะเวลาในการเปลย่ี นอะไหล่ สตู รในการคํานวณ
(จํานวนชั่วโมงของเครื่องอัดอากาศรวมของแต่ละเครื่องในระยะเวลา 3 เดือน) จํานวนเครื่อง) ระยะเวลา 3
เดอื น)

(1,067+99841,163+779)4) = 1,000.5 ชัว่ โมง/เครอ่ื ง
(1,000.5/3) = 333.5 ประมาณ 334 ชว่ั โมง/เครือ่ ง/เดอื น
จากการคํานวณขา้ งตน้ นําค่าที่ได้มาคาํ นวณหาระยะเวลาการเปล่ียนอะไหลห่ ลังการปรบั ปรงุ
ระบบในระยะเวลา 3,000 และ 6,000 ชว่ั โมงจะพบวา่
ดังนั้นจากการคํานวณข้างต้นในระยะเวลา 1 เดือนจะได้ชั่วโมงการทํางานเฉลี่ย 334 ชั่วโมง เครื่อง
ฉะนั้นระยะเวลา 2 ปี คอื 24 เดอื นจะมชี ่วั โมงการทาํ งาน 24 x 334 = 8016 ชั่วโมง/เครอื่ ง
ตารางที่ 4.6 อ้างอิงการเปลย่ี นอะไหลข่ องเคร่ืองอัดอากาศในระยะเวลา 2 ปี

ในระยะเวลา 2 ปมี ีชั่วโมงการทาํ งานเทา่ กบั 8016 ชวั่ โมง ถ้าพจิ ารณาจาํ นวนคร้ังในการ เปลย่ี น
อะไหล่ต้องทําการอ้างอิงจากตารางท่ี 4.6 จะพบวา่ ในการเปลีย่ นอะไหล่คร้ังที่ 1 จะตอ้ งมี ชว่ั โมงการทาํ งาน
ครบ 3000 ชัว่ โมง ฉะนัน้ จากชวั่ โมงการทํางานทั้งหมดในระยะเวลา 2 ปี ต้องนาํ
คา่ 8016 ชั่วโมง นาํ มาลบกับ 3000 ช่วั โมง จึงไดค้ ่าชวั่ โมงการทํางานไดท้ เ่ี หลือคือ 5016 ช่ัวโมง

4.6.5 สรุปหลังการปรบั ปรุงระบบ
จากตารางที่ 4 จะสรุปได้ว่าในระยะเวลา 2 ปี จะต้องเปลี่ยนอะไหลเ่ ครอ่ื งอดั อากาศ 1 คร้ัง

เครื่อง ฉะนั้นราคาอะไหล่ทั้งหมดในระยะเวลา 2 ปี คือ
55,921 บาท/2 ปี

85

4.7 สรปุ การลดคา่ จ่ายการเปล่ียนอะไหล่
การลดค่าใช้จา่ ยในระยะเวลา 2 ปี โดยคิดจาก 4 เคร่อื ง ในการคาํ นวณค่า ท่ไี ดก้ ่อนและหลัง การ

ปรบั ปรงุ มผี ลคาํ นวณดังนี้
ก่อนการปรบั ปรุง คดิ เปน็ ค่าใชจ้ ่ายตอ่ เคร่อื ง = 177535 บาท 12ปี

177535 x 4 = 710140 บาท
หลงั การปรับปรงุ คิดเปน็ ค่าใช้จา่ ยตอ่ เครอ่ื ง - 55,921 บาท 12 ปี

55,921 x 4 = 223684 บาท
ดังนั้น การลดคา่ จา่ ยใช้ในการเปลย่ี นอะไหล่ในระยะ 2 ปี สามารถทจี่ ะลดได้

710140 - 223684 = 486456 บาท

4.7.1 เปรยี บเทยี บกระบวนการกอ่ นและหลังการปรบั ปรุง

4.7.1.1 เปรียบเทียบค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อนการปรับปรุงและหลังการปรับปรุง ที่จะ
ติดตั้งชุด ควบคุมเครื่องอัดอากาศแบบอัตโนมัติ (Group Control Panel) มาเปรียบเทียบกันซึ่งก่อนการ
ปรับปรุง เครื่องอัดอากาศจํานวน 5 เครื่องวัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้ 281.06 kW คิดเป็นเงินต่อเดือนอยู่ท่ี
398,028.17 บาท/เดือน

4.7.1.2 โรงงานทดลองใช้แรงดนั ไฟฟ้า ที่ 22-33 กโิ ลโวลท์ คดิ เป็นค่าพลงั งาน 2.2695 บาท/
หน่วย ประเภทท่ี 4.2.2 (อ้างอิงตามการคดิ คา่ อตั ราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Rate TOU) )

จากการวัดข้อมูลการใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ ของเครอื่ งอดั อากาศ ( Air Compressor ) จาํ นวน 5 เครื่อง ค่า
พลังงานไฟฟ้า 281.06 kh และใช้งานไฟฟา้ 24 ชว่ั โมง/ วัน

เท่ากบั 281.06 x 24 = 6,745.44 kWh

คดิ เป็นเงนิ 6,745.44 x 2.2695 = 15,308.776 บาท/วัน

ใน 1 เดือน จะทํางานประมาณ 26 วัน

คดิ เปน็ เงนิ 15,308.776 x 26 = 398,028.17 บาท/เดือน

4.7.2 เปรียบเทยี บค่าการใชพ้ ลังงานไฟฟ้าหลงั การปรับปรุง

4.7.2.1 หลังการปรับปรุง จากการเก็บข้อมูลชั่วโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศ หลังการ
ตดิ ตง้ั ชุด ควบคมุ เคร่อื งอดั อากาศแบบอตั โนมัติในระยะเวลา 3 เดอื น ในตารางท่ี 4.2 ในหัวข้อ Total/ชั่วโมง

(1 เดือน) ซึง่ เปน็ ช่ัวโมงรวมของเครอื่ งอัดอากาศ 5 เครอ่ื งของแต่ละเดือนจะใช้ในการอา้ งองิ ในการคาํ นวณ

4.7.2.1 จากสูตรการคิดชั่วโมงการทํางานเฉลี่ยของเครื่องอัดอากาศ 5 เครื่องในแต่ละเดือน
โดยอ้างองิ จา การทาํ งาน 24 ชว่ั โมง/วัน และทาํ งาน 26 วนั /เดอื น ซึง่ ใช้ในการคาํ นวณ (Total/ช่ัวโมง 1 เดือน)
/5) x 24) / 624

86

เดือน กันยายน ชั่วโมงการทํางานรวมของ 5 เครื่อง คือ 1994 ชั่วโมง/เดือน และจากสูตรการคิด
ช่ัวโมงการทาํ งาน

(199/5) x 24) / 624 = 15.33 ประมาณ 16 ชวั่ โมง

281.06 x 16 = 4496.96 kWh

คิดเป็นเงนิ 4496.96 kWh x 2.2695 = 10205.85 บาท/วัน

ใน 1 เดือน จะทาํ งานประมาณ 26 วัน

คดิ เปน็ เงิน 10205.85 x 26 = 265352.11 บาท/เดือน

เดือน ตุลาคม ชั่วโมงการทํางานรวมของ 5 เครื่อง คือ 2127 ชั่วโมง/เดือน และจากสูตรการคิด ชั่วโมงการ
ทาํ งาน

(2127/5) x 24)/ 624 = 16.36 ประมาณ 17 ชว่ั โมง/วัน

281.06 x 17 = 4778.02 kWh

คิดเปน็ เงนิ 4778.02 kWh x 2.2695 = 10843.71บาท/วนั

ใน 1 เดอื น จะทาํ งานประมาณ 26 วนั

คิดเป็นเงนิ 10843.71 x 26 - 281936.46 บาท/เดอื น

เดอื น พฤศจกิ ายน ชวั่ โมงการทํางานรวมของ 5 เครื่อง คือ 1954 ช่ัวโมง/เดือน และจากสตู ร การคดิ ช่ัวโมงการ
ทาํ งาน

(1954/5) x 24)/ 624 = 15.03ประมาณ 15 ชั่วโมง/วัน

281.06 x 15= 4215.9 kWh

คดิ เป็นเงนิ 4215.9 kWh x 2.2695 = 9567.98 บาท/วนั

ใน 1 เดือน จะทาํ งานประมาณ 26 วนั

คดิ เปน็ เงิน 9567.98 x 26 = 248767.61 บาท/เดอื น

ดงั นั้นค่าท่ีไดจ้ ากการคํานวณในระยะ 3 เดือน นํามาหาคา่ เฉลย่ี ซง่ึ จะมีคา่ ดังต่อไปนี้

(265,352.11 + 281,936.46 + 248767.61) / 3 = 268,318.72 บาท /เดือน

87

4.7.3 สรุปผลจากการคาํ นวณค่าการใช้พลงั งานไฟฟา้ หลังการปรบั ปรุง
จากการเก็บข้อมลู ของช่ัวโมงการทาํ งานของเคร่ืองอัดอากาศกอ่ นและหลังการ ปรบั ปรงุ ระบบ

เพือ่ นาํ ค่าที่ไดจ้ ากการคํานวณขา้ งต้นมาสรปุ ผลในการลดต้นทนุ การใช้พลังงานไฟฟา้ ซ่ึงสรุปผลไดด้ งั นี้ กอ่ นการ
ปรบั ปรงุ

คิดเป็นเงนิ 398,028.17 บาท/เดือน หลังการปรบั ปรงุ
คดิ เป็นเงนิ 265,352.11 บาท/เดือน
สรุปค่าที่ลดการใช้พลงั งานไฟฟ้าไดโ้ ดยเฉลี่ยต่อเดือน
398,028.17 - 268,318.72 = 129,709.45 บาท /เดือน

88

บทท่ี 5
สรุปผลการวิจัยและขอ้ เสนอแนะ

5.1 สรุปผลการดําเนินงาน
โครงงานช้นิ นจ้ี ะเปน็ การช่วยลดการใช้พลงั งานไฟฟา้ ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยการควบคมุ เครื่องอัด

อากาศแบบอัตโนมัติ ( Group Control Pane ) เพื่อช่วยในการควบคุมแรงดันเของเครื่องอัด อากาศให้
เหมาะสมกับการใช้งานของลายการผลิต ทําให้สามารถประหยัดพลังงานงานไฟฟ้าที่ใช้ภายใน โรงงานได้ และ
ยังลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบํารุงโดยลดจากช่ัวโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศ ตามค่าที่คํานวณออกมา จะ
พบวา่ สามารถประหยดั คา่ พลังงานไฟฟ้าเละคา่ ใชจ้ า่ ยท่สี ิน้ เปลืองได้

5.2 สรปุ การลดใช้พลงั งานไฟฟ้าและค่าใชจ้ ่าย
โรงงานแหง่ นีใ้ ช้แรงดนั ไฟฟ้าที่ 22-33 กิโลโวลท์ มีการใช้เครือ่ งอัดอากาศ 5 เครื่อง มี กําลังไฟฟ้ารวม

ที่ได้จากการใช้เครื่องมือวัดค่าทางไฟฟ้าคือ 281.06 kW และใช้พลังงานไฟฟ้า 24 ชั่วโมง/วัน โดย คิดเป็นค่า
พลังงาน 2.2695 บาท/หน่วยประเภทที่ 4.2.2 (อ้างอิงตามการคิดค่าอัตรา ตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of
Use Rate : TOU) ) เท่ากับ

ก่อนการปรบั ปรงุ คดิ เปน็ เงนิ เฉลีย่ เทา่ กบั 398,028.17 บาท / เดือน
หลงั การปรับปรงุ คดิ เป็นเงนิ เฉลย่ี เทา่ กบั 268,318.72 บาท / เดือน
สรุปค่าใช้จ่ายทล่ี ดได้โดยเฉลยี่ ตอ่ เดอื น 398,028.17 – 268,318.72 = 129,709.45 บาท /เดือน

5.3 สรุปการลดชัว่ โมงการทํางานของเครอื่ งอัดอากาศ
จากการเก็บข้อมูลชั่วโมงการทํางานของเครื่องอัดอากาศก่อนและหลังการติดตั้งชุดควบคุม เครื่องอัด

อากาศแบบอัตโนมตั ิ (Group Control Panel) ซ่ึงมผี ลการทดลองดงั นี้
ก่อนการปรับปรุง จากการเฉลี่ยช่วั โมงการทาํ งานของเคร่ืองอดั อากาศจาํ วน 4 เครื่องโดยเกบ็ ข้อมูลใน

ระยะเวลา 3 เดือน มาทําการคํานวณจะพบไดว้ ่าชั่วโมงการทาํ งานอยู่ที่ 1767.25 ชั่วโมง/3เดือน และเฉลี่ยต่อ
1 เดอื นอยูท่ ่ี 589 ชว่ั โมงหลังการปรบั ปรุง

จากการเฉล่ียช่ัวโมงการทํางานของเคร่ืองอัดอากาศจําวน 4 เครื่องโดยเกบ็ ข้อมูลในระยะเวลา 3 เดือน
มาทําการคํานวณจะพบได้ว่าชั่วโมงการทํางานอยู่ที่ 854.43 ชั่วโมง/3เดือน และเฉลี่ยต่อ 1 เดือน อยู่ที่ 285
ชว่ั โมง

5.3.1 สรุป
สรุปหลังการปรับปรุงเครื่องอัดอากาศสมารถลดชั่วโมงการทํางานโดยเฉลี่ยของเครื่องอัด

อากาศ จํานวน 4 เครื่อง ภายในระยะเวลา 1 เดือน สามารถลดได้ 304 ชั่วโมง/เครื่อง และยังเพิ่มอายุการใช้
งาน ของอะไหล่ในการเปลย่ี นระยะ 3,000 ช่ัวโมงไดถ้ งึ 6 เดือน และระยะ 6,000 ชั่วโมง เพิม่ ขนึ้ 11 เดอื น

89

5.4 สรปุ การลดคา่ ใชจ้ ่ายการเปล่ียนอะไหล่ของเคร่อื งอดั อากาศ
จากมาตรฐานของผู้ผลิตเครื่องอัดอากาศ ได้กําหนดระยะเวลาของการเปลี่ยนอะไหล่ของเครื่องอัด

อากาศจะเปลยี่ นทุก ๆ 3,000 ชั่วโมง และ 6,000 ชว่ั โมงและจากการเก็บข้อมลู ของช่ัวโมงการทํางานเครื่องอัด
อากาศจํานวน 4 เครื่อง ในระยะเวลา 6 เดือนก่อนการปรับปรุงและหลังการปรับปรุง โดยใช้ ตารางที่ 4.3 ใน
การอา้ งองิ ในการคาํ นวณ และจากผลในการคาํ นวณในบทท่ี 4 (หัวข้อท่ี 4.2.3) โดยนํามา สรปุ ผลดังน้ี

- ระยะเวลาการเปลี่ยนอะไหล่ 3 ,000 ชั่วโมง และ 6,000 ชั่วโมงของเครื่องอัดอากาศ จํานวน 4
เคร่อื งในระยะเวลา 2 ปี จะพบว่า

- ก่อนการปรบั ปรุง จะต้องเสียค่าใชจ้ ่าย 972,904 บาท
- หลังการปรบั ปรุง จะตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่าย 486,452 บาท
สรปุ ดงั นัน้ ในระยะ 2 ปีจากการคาํ นวณก่อนและหลงั การปรับปรุง สามารถลดคา่ ใช้จ่ายในการ เปลี่ยน
อะไหลข่ องเครือ่ งอัดอากาศได้ 486,452 บาท

90

ตอนที่ 3
การจดั การพลังงาน สำหรบั โรงงานควบคมุ หรอื อาคารควบคมุ

91

92

93


Click to View FlipBook Version