สมุดเล่มเล็ก
เร่อื ง ประชากร
วิชาชวี วทิ ยา 6
จัดทาโดย
นางสาว ธนั ยพร หนูช่วย
ม.6/2 เลขท่ี 14
เสนอ
คุณครจู ุฑามาศ จันทรศ์ รมี าก
โรงเรยี นมธั ยมจติ จณั
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
ประชากร (Population) คอื ส่ิงมีชีวติ ชนดิ เดียวกัน อาศัยอยู่ในที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน
ประชากรอาจมคี วามหมายได้ใน 2 รูปแบบ แบบแรกหมายถงึ สิ่งมีชีวติ ชนดิ เดียวกนั เท่านั้น
ท่ีเข้ามารวมกลุ่มกัน (single species) และอีกแบบหนง่ึ หมายถึงกล่มุ ของสิ่งมีชีวติ หลาย
ชนดิ เขา้ มาอยรู่ ว่ มกัน (mixed หรอื multiple species) เปน็ การผสมผสานของประชากร
สิ่งมีชวี ิตหลายๆ ชนดิ เอาไว้ดว้ ยกัน
ลักษณะเฉพาะของประชากร
1. ขนาดของประชากร (Population size)
2. ความหนาแนน่ ของประชากร (Population density)
3. การกระจายของประชากร (Dispersion)
4. โครงสรา้ งอายุประชากร (Age structure)
5. อตั ราสว่ นระหว่างเพศ (Sex ratio)
6. อัตราการเกดิ (Birth ratio)
7. อตั ราการตาย (Death ratio)
8. กราฟของการอยรู่ อด (Survivorship curve)
1. ขนาดของประชากร (Population size)
ในแหล่งท่ีอยูแ่ ต่ละแห่งจะมจี านวนกล่มุ สง่ิ มีชีวิตหรอื จานวนประชากรแตกตา่ งกนั ไป
การศกึ ษาขนาดหรอื ลักษณะความหนาแนน่ ของจานวนประชากรในแหล่งทีอ่ ยู่หนึ่งๆสามารถ
ศกึ ษาได้จาก
- การอพยพเขา้ ของกลุม่ สิง่ มชี ีวติ
- การอพยพออกของกลุ่มสงิ่ มีชีวติ
- การเกดิ ของกลมุ่ สงิ่ มีชวี ิต
- การตายของกลมุ่ สิง่ มีชวี ติ
จากการศกึ ษาดงั กลา่ ว ทาใหส้ ามารถแบง่ ขนาดของประชากรออกเปน็ 3 ขนาดดงั นี้
1. ปรปะรชะาชการกทร่ีมขี นาดคงที่ อตั ราการตาย + อตั ราการอพยพออก
อตั ราการเกดิ + อัตปรารกะชาารกอรพยพเขา้ = อัตราการตาย + อตั ราการอพยพเข้า
อตั ราการตาย + อัตราการอพยพออก
2. ประชากรมขี นาดเพม่ิ ขน้ึ
อตั ราการเกิด + อัตราการอพยพออก >
3. ประชากรมีขนาดลดลง
อตั ราการเกดิ + อัตราการอพยพเขา้ <
ปัจจยั ทที่ าใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง
1. การขาดแคลนพื้นทีอ่ ยอู่ าศัย
2. ความตอ้ งการปจั จยั ส่ีเพม่ิ ขน้ึ เมอื่ ประชากรเพมิ่ มากขน้ึ ตอ้ งเสาะหาทรพั ยากรธรรมชาตใิ ห้
ไดม้ ากขนึ้
3. ผลของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้ประดิษฐค์ ิดคน้ เคร่อื งมือ เครอื่ งจกั ร
และกรรมวิธีการทาการเกษตรกรรม สมัยใหม่
4. ผลจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติถูกนามาใชอ้ ยา่ งมากมาย
และรวดเรว็ จนทาให้ทรัพยากรธรรมชาติ เชน่ ปา่ ไม้ แรธ่ าตุ น้ามันเช้อื เพลิง มปี ริมาณลด
น้อยลง
2. ความหนาแนน่ ของประชากร (Population density
ความหนาแนน่ คอื การศึกษาขนาดของประชากรตอ่ หนว่ ยพื้นทห่ี รอื ปรมิ าตร
ตัวอย่างเชน่
ㆍตน้ มะมว่ ง 30 ต้นตอ่ ไร่
ㆍ ก้งุ 5 ตวั ตอ่ นา้ ทะเล 1ลกู บาศกเ็ มตร
ㆍหมขี ั้วโลก 5 ตวั ต่อตารางกโิ ลเมตร
การหาความหนาแนน่ ของประชากรในสภาพธรรมชาติ น้ันมีอยู่ 2 วิธี คือ
1. การหาคา่ ความหนาแน่นอยา่ งหยาบ (crude density) เปน็ การหาจานวนประชากรตอ่ พน้ื ที่
สารวจทงั้ หมดโดยไมค่ านงึ ถึงว่าบางบรเิ วณของพืน้ ท่อี าจจะมปี ระชากรอยนู่ ้อยหรอื ไม่มเี ลยกไ็ ด้ คา่
ความหนาแนน่ ของประชากรท่ไี ดจ้ ึงเปน็ เพียงค่าโดยประมาณเทา่ นั้น
ความหนาแน่นของประชากรแบบหยาบ = จานวนประชากร
พืน้ ท่ีทั้งหมดท่ีศึกษา
2. การหาความหนาแน่นเชิงนเิ วศ (ecological density) เปน็ การหาจานวนประชากรต่อ
หนว่ ยพ้ืนท่ที ป่ี ระชากรอาศัยอยู่จริง (Habitat space) การวดั ความหนาแน่นแบบนี้จงึ มคี า่
ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกวา่ การหาความหนาแน่นอยา่ งหยาบ
ความหนาแนน่ ของประชากรเชงิ นเิ วศ = จานวนประชากร
พื้นที่ท่ีประชากรนน้ั อาศยั อยู่จริง
วิธีการประเมนิ คา่ ความหนาแนน่ ของประชากร :
1. การนบั ประชากรโดยตรงเป็นวธิ กี ารหาความหนาแนน่ ของประชากรทแ่ี ทจ้ รงิ นิยมใช้วธิ ีนี้กบั
สง่ิ มชี วี ติ ขนาดใหญซ่ ่ึงมีจานวนไม่มากนักไมค่ ่อยเคลือ่ นทอ่ี าศัยอยใู่ นบริเวณท่ีไมก่ ว้างขวางเกนิ ไป
เชน่ ช้าง สิงโต กวางป่า พชื ยนื ตน้ ขนาดใหญ่ เปน็ ตน้ แตใ่ นกรณสี ตั ว์บางชนิดเคลื่อนท่รี วดเรว็
อาจตอ้ งใช้วธิ พี ิเศษช่วยในการนบั เช่น ภาพถ่ายทางอากาศโดยอาศยั ชว่ งที่สตั วม์ พี ฤตกิ รรม
รวมกลุม่ กันในฤดูผสมพนั ธห์ุ รอื มีการอพยพตามฤดูกาล
2. การสมุ่ ตวั อยา่ งเป็นวธิ ที ่นี ยิ มใช้หาขนาดประชากรของสง่ิ มชี ีวติ ที่มีขนาดเล็กมีจานวนมาก
อาศยั อยใู่ นพื้นท่กี ว้างใหญม่ ากโดยการสุ่มตวั อย่างประชากรส่งิ มีชวี ติ จากกลุ่มพืน้ ท่อี ยา่ งอิสระ
แลว้ นาข้อมูลท่ไี ด้จากการสุม่ ตวั อย่างมาคานวณเพื่อประเมินขนาดของประชากรทงั้ หมด
วธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่างทีใ่ ชก้ นั ในปจั จบุ นั มอี ยู่หลายวิธี เช่น
การสุ่มตวั อย่างแบบวางแปลง (quadrat sampling method) วธิ กี ารนเี้ หมาะสาหรบั
ใชว้ ัดขนาดประชากร สงิ่ มีชวี ติ อยกู่ ับที่หรอื เคลือ่ นท่ชี ้ามาก เชน่ พืช ดกั แด้ของแมลง
เพรยี ง หอย หนอน เปน็ ต้น โดยใช้กรอบไม้รปู สเี่ หลีย่ มจตั รุ ัสสมุ่ ตัวอยา่ งประชากรจาก
หลาย ๆ บริเวณของแหล่งที่อยอู่ สิ ระ แล้วนบั จานวนประชากรตวั อยา่ งทง้ั หมดในกรอบไม้
นามาคานวณหาขนาดประชากรทงั้ หมดในแหลง่ ที่อยู่น้ัน
การทาเครอ่ื งหมายและจบั ซา้ (mark and recapture method) วิธีการนี้เหมาะ
สาหรบั ใช้วัดขนาดประชากรทม่ี กี ารเคล่ือนทไี่ ปมาอย่เู สมอ เช่น สตั วป์ า่ ชนดิ ตา่ ง ๆ โดยการ
สุ่มตวั อย่างดักจบั สัตว์ทีต่ อ้ งการศึกษามาจานวนหนง่ึ นามาตดิ เครอ่ื งหมายทุกตวั แลว้ ปล่อย
สตั วเ์ หลา่ นี้กลับคนื แหล่งท่ีอยอู่ าศยั เดิมอยา่ งอิสระในชว่ งเวลาหนงึ่ จากนน้ั จงึ ดักจบั สัตว์
เหล่าน้ีอีกครงั้ ในแหล่งทอ่ี ยู่เดมิ นามานบั จานวนสตั ว์ท่ีมเี ครอื่ งหมายและไม่มีเคร่ืองหมาย
แลว้ นาขอ้ มลู ทไ่ี ดไ้ ปคานวณหาขนาดประชากรสตั วท์ ง้ั หมดในแหลง่ ทอี่ ยู่
P= T2M1
M2
P หมายถึง จานวนประชากรสิง่ มีชวี ิตท่ีต้องการทราบ
M1 หมายถึง จานวนประชากรสง่ิ มชี ีวิตทั้งหมดท่ีจับมาทาเคร่ืองหมายคร้งั แรก
แลว้ ปลอ่ ยกลบั คืนส่ธู รรมชาติ
T2 หมายถงึ จานวนประชากรสงิ่ มีชวี ติ ท้ังหมดทีจ่ ับไดใ้ นครั้งหลัง
M2 หมายถงึ จานวนประชากรส่งิ มชี วี ิตทม่ี ีเครือ่ งหมายจากการจับได้ในครัง้ หลัง
3. การกระจายของประชากร (Dispersion)
การแพรก่ ระจายของประชากรในธรรมชาติข้ึนอยู่กบั ชนิดของสิ่งมีชีวิต อายุและการตอบสนอง
ตอ่ สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ รปู แบบการแพร่กระจายของประชากรมอี ยู่ 3 รูปแบบ คือ
1. การแพร่กระจายแบบสุ่ม (random distribution)เปน็ การแพร่กระจายที่พบในประชากร
ท่ีดารงชีวิตในสภาพแวดล้อมท่ีเหมือน ๆ กัน และไม่ค่อยมีการเปล่ียนแปลงมากนักจึงทาให้
ประชากรดารงชีวิตอยู่โดยไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันกัน ไม่มีการรวมกลุ่มกัน ตัวอย่างเช่นการ
แพร่กระจายของเมล็ดพืชที่ปลิวไปกับลมล่องลอยไปกับกระแสน้า หรือสัตว์บางชนิดกินผลไม้
แล้วไปขับถ่ายอุจจาระในท่ีต่าง ๆ ทาให้เมล็ดพืชแพร่กระจายไปอย่างอิสระไม่มีแบบแผนท่ี
แนน่ อน เป็นต้น
2. การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม (clumped distribution) เป็นการแพร่กระจายของ
ประชากรท่ีพบมากท่ีสุดในธรรมชาติ การท่ีสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีการแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม
อาจมีสาเหตจุ ากสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะต่อการดารงชีวิตของสง่ิ มีชีวิตเหล่าน้ัน เช่น มีอาหาร
อุดมสมบูรณ์ มีแสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด – เบสพอเหมาะ มีที่หลบ
ซอ่ นศตั รหู รอื ภัยธรรมชาติ เปน็ ตน้
3. การแพร่กระจายแบบสมา่ เสมอ (uniform distribution) เปน็ การแพรก่ ระจายท่ีมกั
พบในบรเิ วณท่ีมปี ัจจัยทางกายภาพบางประการท่ีจากดั ในการเจริญเติบโต เชน่ ความชื้น
อุณหภมู ิ และลกั ษณะของดินเป็นตน้ เชน่ การแพรก่ ระจายของกระบองเพชรในทะเลทราย
แยง่ นา้ เพือ่ การเจริญเตบิ โต การปลวิ ของผลบางชนดิ ไปตกห่างจากตน้ เดิมเพื่อใหต้ ้นใหม่
เจริญเติบโตไดโ้ ดยไมแ่ กง่ แย่งอาหารและแร่ธาตุ ความช้นื และแสง
4. โครงสรา้ งอายปุ ระชากร (Age structure)
ภายในประชากรหนงึ่ ๆจะประกอบดว้ ยสมาชิกที่มอี ายุแตกตา่ งกันจาแนกไดเ้ ป็น 3 ระยะคอื
1. ระยะก่อนสบื พันธุ์
(Pre-reproductive stage)
2. ระยะสบื พนั ธุ์
(Reproductive stage)
3. ระยะหลังสืบพนั ธุ์
(Post-reproductive stage)
พีระมิดฐานกว้างยอดแหลม หรือ พีระมิดแบบขยายตัว (Expansive Pyramid) แสดงถึงโครงสร้าง
ประชากรท่ีมีอัตราเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็ว โดยสามารถพบโครงสร้างของประชากรลักษณะนี้ได้ใน
ประเทศกวั เตมาลา ซาอุดีอาระเบีย และประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น เคนยา และไนจเี รีย เปน็ ต้น
พีระมิดทรงกรวยปากแคบ หรือ พีระมิดแบบคงท่ี (Stationary Pyramid) แสดงถึงโครงสร้าง
ของประชากรที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ มีรูปแบบของอัตราการเกิดและอัตราการตายของ
ประชากรท่ีค่อนข้างต่า สามารถพบโครงสร้างอายุประชากรลักษณะน้ีได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ออสเตรเลีย แคนาดา และไทย เปน็ ตน้
พีระมิดทรงระฆังคว่า หรือ พรี ะมดิ แบบเสถยี ร (Stable Pyramid) แสดงถงึ โครงสรา้ งของ
ประชากรทม่ี ีอตั ราการเกดิ และอัตราการตายไม่เปลย่ี นแปลงไปมากนัก สามารถพบโครงสรา้ งอายุ
ประชากรลักษณะนี้ไดใ้ นประเทศสเปน เดนมารก์ อินโดนเี ซยี และออสเตรยี
พรี ะมิดทรงดอกบวั ตูม หรือ พรี ะมิดแบบหดตัว (Constrictive Pyramid) แสดงถงึ โครงสรา้ งของ
ประชากรท่มี อี ตั ราลดลง จากจานวนการเกิดทตี่ า่ เช่นเดียวกับจานวนการตาย โดยสามารถพบ
โครงสรา้ งอายุประชากรลกั ษณะน้ไี ด้ในประเทศเยอรมัน ญี่ปนุ่ บัลแกเรยี และสงิ คโปร์ เปน็ ตน้
5. อัตราสว่ นระหวา่ งเพศ (Sex ratio)
การเพม่ิ ของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชยี ล การเพ่มิ จานวนประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียล
(exponential growth) หรือแบบทวีคูณนน้ั พบได้ในสง่ิ มีชวี ิตท่ีมีการสืบพันธุ์เพียงครั้งเดยี ว
ในช่วงชีวติ ในแตล่ ะรนุ่ ดงั เชน่ พวกแมลงต่างๆ เมือ่ ตวั เมยี วางไข่แลว้ ก็ตาย กราฟตัวอย่างของ
การเพิ่มของประชากรสง่ิ มชี วี ิตแบบเอ็กโพเนนเชียล ดงั แสดงในภาพ
จากกราฟจะเหน็ ได้วา่ การเพิ่มของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลจะไดก้ ราฟเปน็ รูปตวั เจ (J
shape) ซึ่งพบว่าการเพ่ิมของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลมรี ะยะของการเปลยี่ นแปลงแบ่ง
ออกเปน็ 2 ระยะคอื
ระยะท่ีมกี ารเพ่ิมของประชากรอยา่ งชา้ ๆ (exponential growth phase) เปน็ ระยะท่ี
ประชากรเพิ่มขน้ึ อย่างรวดเร็วมากในระยะทีม่ กี ารเพมิ่ ประชากรอย่างรวดเร็วนี้ ดูเหมอื นวา่
ประชากรจะเพ่มิ อยา่ งไม่มที ่สี ้ินสดุ และไมม่ ปี ัจจยั ใด ๆ มาขดั ขวางการเจริญเตบิ โตไดล้ กั ษณะ
ดังกลา่ วนีเ้ ป็น ภาวะเหตุการณ์ทางอดุ มคิต (idealized crircumstances) และไมเ่ ปน็ จริง
ทั้งนีเ้ พราะในธรรมชาตนิ ัน้ จะมี ตัวตา้ นทานในสิง่ แวดล้อม (envirpnmental resistance)
ได้แก่ อาหาร ท่ีอยอู่ าศยั และความสัมพนั ธใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ ของสิง่ มชี ีวิตท่ีมายบั ยั้งไม่ใหก้ าร
เพิ่มประชากรเพม่ิ ขน้ึ อย่างไม่มีขดี จากดั
การเพมิ่ ของประชากรแบบลอจิสตกิ
การเพิ่มของประชากรแบบลอจิสตกิ (logistic growth) เปน็ การเพมิ่ จานวนประชากรท่ี
ขนึ้ อยู่กบั สภาพแวดลอ้ ม หรือมีตัวตา้ นทานในส่งิ แวดล้อมเข้ามาเก่ยี วขอ้ งตัวอยา่ งของการเพ่มิ
ประชากรแบบนดี้ ังภาพที่ 22-10 ซง่ึ เปน็ การศกึ ษาการเพิม่ จานวนของเซลล์ยีสต์ท่เี พาะเลี้ยงใน
ห้องปฏบิ ัติการโดยมกี ารจานวนเซลล์ยีสต์ทกุ ๆ 2 ชวั่ โมง
จากกราฟจะเหน็ ได้วา่ การเพิ่มประชากรแบบลอจิสตกิ สามารถเขยี นกราฟไดเ้ ป็น รูปตวั เอส (S-
shape) หรือ กราฟแบบซกิ มอยด์ (singmoidal curve) ซงึ่ แบ่งระยะตา่ งๆ ออกได้เป็น 4 ระยะ
ด้วยกัน คือ
ระยะท่ี 1 : ช่วั โมงท่ี 2-6 พบว่าอตั ราการเพิม่ ประชากรเป็นไปอย่างชา้ ๆ เนื่องจากประชากร
เริม่ ต้นยงั มจี านวนน้อย
ระยะที่ 2 : ชั่วโมงที่ 6-10 พบวา่ อตั ราเพิ่มประชากรเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว เนอื่ งจากประชากร
เรม่ิ ต้น (กอ่ นการแบ่งเซลลเ์ จริญเตบิ โต แพร่พันธ์ุ) มจี านวนมาก
ระยะท่ี 3 : ชัว่ โมงที่ 10-14 พบวา่ อตั ราการเพมิ่ ประชากรช้าลง เน่ืองจากมีตวั ตา้ นทานใน
ส่ิงแวดล้อมเขา้ มามบี ทบาทมากขึ้น
ระยะท่ี 4 : ชว่ั โมงท่ี 14-18 พบว่ามอี ตั ราเพ่มิ ประชากรค่อนขา้ งคงที่ เน่ืองจากประชากร
สามารถปรบั ตัวตอ่ ต้านทานในสง่ิ แวดล้อมได้ จึงมีอตั ราเกดิ เทา่ กบั อัตราตาย
ในการเพมิ่ ประชากรแบบลอจสิ ตกิ นี้ ตัวต้านทานในส่งิ แวดล้อมมผี ลมากขน้ึ ตอ่ การเพม่ิ ประชากรใน
ระยะท่ี 3 และ 4 จึงทาใหม้ ีขีดจากัดทท่ี าให้สภาพแวดล้อมน้ันสามารถเลย้ี งดปู ระชากรได้
การเตบิ โตของประชากร
อัตราการเกดิ เชิงปรมิ าณหมายถงึ จาวนส่งิ มชี วี ิตตอ่ จานวนสิง่ มชี วี ติ 1000 หนว่ ยในประชากรน้ัน
ในรอบปี
อัตราการเกดิ เชงิ ปรมิ าณ = จานวนสงิ่ มีชวี ิตท่เี กิดx1000
จานวนประชากรทัง้ หมด
อัตราการตายเชิงปรมิ าณ หมายถึง จานวนสิง่ มีชีวิตทีต่ ายตอ่ จานวนส่งิ มีชวี ติ 1000 หน่วยใน
ประชากรนน้ั ในรอบปี
อัตราการตายเชงิ ปรมิ าณ = จานวนส่งิ มชี วี ิตท่ีตายx1000
จานวนประชากรท้ังหมด
ปัจจัยที่มอี ทิ ธิพลต่อขนาดประชากร (Population Limiting factor)
ปจั จัยหลัก คอื ปัจจยั ทคี่ อยควบคมุ ขนาดของประชากรไมใ่ ห้มมี ากเกนิ ไป
สามารถแบง่ ปัจจัยหลักทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับความหนาแน่นของประชากรได้ 2ลกั ษณะคือ
1. ปจั จยั ทไ่ี มข่ ึ้นกับความหนาแนน่ ของประชากร
(density independent factor)
2. ปจั จยั ทขี่ ึ้นกับความหนาแนน่ ของประชากร
(density dependent factor
ปัจจัยท่ไี มข่ ้ึนกับความหนาแนน่ ของประชากร
(density independent factor)
คือ ปจั จัยท่ีทาให้จานวนประชากรลดลงในอตั ราคงท่ี ไมเ่ กยี่ วกบั ขนาดของประชากร และมีผลตอ่
ประชากรเทา่ เทียมกัน
- ภูมิอากาศที่เปลีย่ นแปลงอย่างฉบั พลนั
- ภยั ธรรมชาติตา่ ง ๆ
- สารฆ่าแมลง
ปัจจัยทขี่ ึน้ กับความหนาแนน่ ของประชากร (density dependent factor)
คือ ปจั จยั ที่ทาให้จานวนประชากรลดลงในอัตราส่วนท่เี พ่ิมข้นึ เมื่อความ
หนาแน่นของประชากรเพม่ิ ข้ึน
- การแกง่ แยง่ อาหารและนา้
- ผู้ลา่ ตวั หา้ ตวั เบียน
- โรคระบาด
- ขนาดของที่อยู่อาศยั
Survivorship curve:
ㆍกราฟการอยรู่ อด คือ กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างอตั ราการอยู่รอดขอ
สมาชิกในช่วงอายตุ า่ งๆกบั เปอรเ์ ซน็ ต์ของผรู้ อดชวี ติ ในชว่ งอายุนั้น ๆ
กราฟการรอดชีวติ ของประชากรมี 3 รูปแบบ
1. สง่ิ มชี ีวติ มกี ารรอดชีวิตในวยั แรกเกดิ และคงท่ีเมอ่ื โตขึน้ หลังจากนั้นอตั รา
การรอดชวี ติ จะตา่ เมื่อสูงวยั ข้นึ ส่ิงมีชวี ติ ดังกล่าว เชน่ มนุษย์ ชา้ ง ม้า สนุ ัข
2. สิง่ มีชวี ติ มรี ปู แบบการรอดชีวิตเทา่ กนั ทกุ วัย เช่น ไฮดรา นก เตา่ เปน็ ต้น
3. สง่ิ มชี ีวิตมอี ตั ราการรอดชีวติ ต่าในระยะแรกของช่วงชวี ติ หลังจากน้นั เมื่อ
อายมุ ากขนึ้ อัตราการรอดชีวิตจะสูง เชน่ ปลา หอย และสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลัง