เอกสารประกอบการเรีย รี นรู้ R2R: การพัฒพันางานตามภารกิจหลักสู่งสู่ านวิจัวิยจั (ROUTINE TO RESEARCH) 2566 สถาบันบัวิจัวิยจัและพัฒพันา มหาวิทวิยาลัยราชภัฏพิบูพิบูลสงคราม จัจัจัดจัจัจัทำทำทำทำทำทำโดย สถาบับับันบับับัวิวิวิจัจัวิจัวิวิยจัจัจัและพัพัพัฒพัพัพันา มหาวิวิวิทวิวิวิยาลัลัลัลัยลัลัราชภัภัภัภัฏภัภัพิพิพิบูพิบูพิบูพิบูลบูบูสงคราม
เอกสารประกอบการเรียนรู้ การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย (ROUTINE TO RESEARCH:R2R) โดย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปี 2566
คำนำ การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนั้น เป็นส่วนที่สำคัญขององค์การที่มุ่งสู่การเป็น “หน่วยงาน คุณภาพอย่างยั่งยืน” โดยบุคลากรที่ปฏิบัติงาน สามารถสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลงานวิจัย” ในทุก ๆ งานที่แต่ละคนทำก่อให้เกิดการพัฒนาคน การพัฒนางาน การพัฒนาหน่วยงาน/ องค์การ และ การพัฒนาวิชาการ ไปพร้อม ๆ กัน สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาติ โตรักษา ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่ให้ความอนุเคราะห์ เอกสารทางวิชาการในการจัดทำเอกสารประกอบการเรียนรู้ “การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย (ROUTINE TO RESEARCH: R2R)” ฉบับนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับบี้ จะอำนวยประโยชน์อย่าง กว้างขวางต่อบุคลากรในการพัฒนาตนเองและหน่วยงานต่อไป สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พฤษภาคม 2566
ข สารบัญ หน้า คำนำ................................................................................................................................................................ก สารบัญ ............................................................................................................................................................ข สารบัญภาพ......................................................................................................................................................ง 1. การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย.................................................................................................1 1.1 ความหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย................................................................1 1.2 วัตถุประสงค์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย..............................................................2 1.3 เป้าหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย...................................................................3 1.4 ประโยชน์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย...................................................................4 1.5 การพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ............................................................................................5 2. ความสำคัญและประโยชน์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลัก สู่งานวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ..................6 2.1 ประเภทและกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย........................................6 2.2 กระบวนการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย...........................................................................7 3. วิธีการ ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย...................................................................................10 3.1 องค์ประกอบของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย............................................................11 3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย...............................................................11 3.3 สิ่งที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย......................................................................12 3.4 ลักษณะสำคัญของผลงานวิจัยที่ดี ที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย.....................12 3.5 วิธีการ ในการนำผลงานวิจัยจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยไปใช้ประโยชน์..............13 4. การนำเสนอผลงานวิจัย จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ในการประชุมวิชาการ..................16 4.1 การนำเสนอผลงานวิจัยในการประชุมวิชาการ...............................................................................16 4.2 หลักการ วิธีการ และ เทคนิค ในการเขียน “บทคัดย่อ” ผลงานวิจัย.............................................17 4.3 การจัดทำ power point เพื่อนำเสนอในการประชุมวิชาการ........................................................18 4.4 หลักการ เทคนิค และ วิธีการ ในการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วย Oral Presentation.....................19
ค 4.5 หลักการ เทคนิค และ วิธีการ ในการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วย โปสเตอร์.......................................20 4.6 เทคนิคการเรียนลัดในการเขียนและนำเสนอผลงานวิจัย................................................................21 4.7 การตีพิมพ์ผลงานวิจัย ในวารสารทางวิชาการ................................................................................21 4.8 การเขียนรายงานการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย............................................................22 4.9 การเขียนนิพนธ์ต้นฉบับของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย............................................22 4.10 องค์ความรู้และเทคนิคที่จำเป็น ในการดำเนินงาน และการพัฒนา งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย.......24 4.11 ขั้นตอน และ วิธีการ ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน..............................25 4.12 การจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน ..........................................29 4.13 วิธีการในการจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน............................30 4.14 การเขียน Research Proposal การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย....................................34 5. สรุปท้ายบท...............................................................................................................................................36 เอกสารอ้างอิง................................................................................................................................................37
ง สารบัญภาพ ภาพที่ 1 หลักการบริหาร (Principle of Managing).....................................................................................14 ภาพที่ 2 Model ปลาทู ของการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) .....................................15 ภาพที่ 3 Principle of Utilizing ...................................................................................................................15 ภาพที่ 4 SOAR Technique.........................................................................................................................26 ภาพที่ 5 การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย.........................................................................................36
1. การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย 1.1 ความหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ภารกิจ (Task/Duty/Mission) คือ งานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทั้งหน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง (Position Task) หน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน (Unit/Department Task) และ หน้าที่ของแต่ละองค์การ (Organization Task) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ภารกิจหลัก (Main Task/Duty/Mission) หมายถึง งานที่ทำเพื่อความคงอยู่ของตำแหน่ง/ หน่วยงาน/องค์การ ตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้กำหนดไว้ ในการจัดตั้งตำแหน่ง/หน่วยงาน/องค์การ นั้น อาทิเช่น 1.1. ภารกิจหลักของตำแหน่งอาจารย์ คือ สอน วิจัย บริการวิชาการ และ ทะนุบำรุงวัฒนธรรม 1.2. ภารกิจหลักของตำแหน่งนักวิจัย คือ การทำวิจัย 1.3. ภารกิจหลักของหน่วยงานฝึกอบรม คือ การฝึกอบรม 1.4. ภารกิจหลักของบริษัท คือ การทำธุรกิจของบริษัท เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ มีการผลิตและ จำหน่ายปูนซีเมนต์ เป็นภารกิจหลัก เป็นต้น 1.5. ภารกิจหลักของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คือ การส่งเสริม ประสานงาน และ พัฒนา ระบบวิจัยของชาติ ตำแหน่ง/หน่วยงาน/องค์การ สามารถมีภารกิจหลักได้หลายภารกิจ และแต่ละภารกิจสามารถ ประกอบด้วยงานได้หลายงาน 2. ภารกิจรอง (Subtask/Secondary Mission) หมายถึง งานที่ทำเพื่อสนับสนุนภารกิจหลัก อาทิเช่น 1.1. ภารกิจรองของอาจารย์ คือ ดูแลนักเรียน/นิสิตนักศึกษา จัดทำตำราวิชาการ สนับสนุนภารกิจ หลักของหน่วยงาน/องค์การ ที่ตนสังกัด รักษาและทะนุบำรุงชื่อเสียง/เกียรติศักดิ์ ของวิชาชีพและสถาบัน 1.2. ภารกิจรองของผู้ดำรงตำแหน่งนักวิจัย คือ การให้ความร่วมมือและช่วยเหลือผู้อื่นในทีมวิจัย และในหน่วยงาน/องค์การ ที่ผู้นั้นสังกัด 1.3. ภารกิจรองของหน่วยงานฝึกอบรม คือ การสนับสนุนการฝึกอบรม และ การให้ความร่วมมือ สนับสนุนและช่วยเหลือหน่วยงานอื่นในองค์การ ที่หน่วยงานนั้นสังกัด 1.4. ภารกิจรองของบริษัท คือ การสนับสนุนภารกิจหลักของบริษัท เช่น การช่วยเหลือสังคม การ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) การพัฒนาบริษัทให้เป็นแบบอย่าง ที่ดีของสังคม เป็นต้น 1.5. ภารกิจรองของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คือ การสนับสนุนการดำเนินงาน และ การพัฒนา งานวิจัยของชาติ
2 3. ภารกิจสนับสนุน (Supporting Task) หมายถึง งานด้านธุรการและบริการ ที่ทำเพื่อสนับสนุน ภารกิจหลักและภารกิจรอง ของบุคคล/หน่วยงาน/องค์การ สำนักงาน ก.พ.ร. (คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) ได้จำแนกภารกิจของส่วนราชการ ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ภารกิจหลัก (Core function) คือ งานตามกฎหมาย/นโยบาย หรืองานที่หากไม่ดำเนินการจะทำ ให้ส่วนราชการนั้นไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ใช้ชื่อย่อว่า C 2. ภารกิจรอง (Non-core function: NC) มี 2 กลุ่มย่อย คือ 2.1 ภารกิจรองด้านเทคนิค (Non-core Technical Support) เช่น งานกฎหมายและระเบียบ งานแผนงาน งานวิจัยและพัฒนา งานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานวิเทศสัมพันธ์ เป็นต้น ใช้ชื่อย่อว่า NC (TS) 2.2 ภารกิจรองด้านบริหาร (Non-core Administrative Support) เช่น งานสารบรรณ งานการเงิน บัญชีและพัสดุ งานบุคลากร งานฝึกอบรม งานเลขานุการ งานประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ใช้ชื่อย่อว่า NC (AS) สรุปว่า คนทุกคน ตำแหน่งทุกตำแหน่ง หน่วยงานทุกหน่วยงาน และ องค์การทุกองค์การ ต่างก็มี ภารกิจหลักของตน “ภารกิจหลักของทุกคนในชาติ” คือ การพัฒนาชาติ สู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน ยิ่ง ๆ ขึ้น ในส่วนความหมาย ความสำคัญ และประโยชน์ ของ “การวิจัย”นั้น ได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ในบทที่ 1 ในที่นี้ ขอเพิ่มความหมายของการวิจัย ตามที่ระบุอยู่ในกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ว่า “ผลการทำ” ต้องได้ Generalizable knowledge การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ใช้คำว่า R2R ที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ริเริ่มขึ้น ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ ภาคีเครือข่าย มาจากคำว่า Routine to Research แปลตรง ๆ ว่า “งานประจำสู่งานวิจัย” โดย มีหลักคิดและวัตถุประสงค์ว่า เป็นการใช้ข้อมูลและประสบการณ์จากการ “ทำ” งาน ในการสร้างความรู้ โดย มุ่งให้การทำงานประจำ (Routine work/task/duty) ที่มักจะเป็นงานที่น่าเบื่อ กลายเป็นงานสร้างความรู้ เป็น งานที่มีคุณค่า ยิ่งทำงานมานานก็ยิ่งมี“ปัญญา” มีความรู้ เกิดความภาคภูมิใจ มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการทำให้ การทำงานประจำนั้น เป็นผลงานวิจัย จึงขอสรุป “ความหมาย” ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ว่า เป็นการนำ Research Methodology มาใช้ในการพัฒนา “งาน” ตามภารกิจหลัก ของบุคคล/หน่วยงาน/องค์การ อย่างต่อเนื่อง สู่ ความมั่นคงอย่างยั่งยืนของชาติและของคนทั้งโลก 1.2 วัตถุประสงค์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีวัตถุประสงค์ 5 ประการ คือ 1. เพื่อพัฒนา “งาน” ตามภารกิจหลัก ของบุคคล/หน่วยงาน/องค์การ ให้บรรลุผลตามเป้าหมายของ แต่ละระดับที่ได้กำหนดไว้ อย่างครบถ้วน และ มีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น
3 2. เพื่อพัฒนา “คน” ของหน่วยงาน/องค์การ ให้มีคุณภาพ และ มีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น ในการ พัฒนา “งานทั้งหลาย” ที่ตนทำและรับผิดชอบ ได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน 3. เพื่อพัฒนา “การประยุกต์วิชาการสู่การปฏิบัติ” ของแต่ละงาน ในแต่ละครั้ง ที่รวดเร็ว ชัดเจน และ เสียค่าใช้จ่ายน้อย 4. เพื่อเพิ่มพูน Explicit Knowledge ที่มีค่ามหาศาล ต่อองค์การและประเทศชาติ 5. เพื่อต่อยอดและขยายผล ให้เกิด “นวัตกรรม (Innovation)” ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลัก ของ บุคคล/หน่วยงาน/องค์การ อย่างมีความสุข 1.3 เป้าหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย จำแนกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับบุคคล เป็นระดับพื้นฐาน (Fundamental goal) มีเป้าหมาย คือ ให้ผู้นั้นเป็นบุคคลคุณภาพ มีผลงานวิชาการ และ มีความสุขในการทำงาน (Happy working) 2. ระดับหน่วยงาน/กลุ่มบุคคล เป็นระดับกลุ่มพื้นฐาน (Fundamental group/unit) มีเป้าหมาย (goal) คือ เป็นหน่วยงาน/กลุ่มบุคคล คุณภาพ มีผลการดำเนินงานดี ที่ตรงตามความคาดหวังของผู้เกี่ยวข้อง มี ผลงานวิชาการที่บ่งบอกคุณค่าของหน่วยงาน/กลุ่มบุคคล และ บุคลากรมีความสุขในสถานที่ทำงาน (Happy Workplace) 3. ระดับองค์การ เป็นระดับกลุ่มหน่วยงานหรือองค์การหรือสถาบัน (Group of units or Organization or Institute) มีเป้าหมาย คือ เป็นองค์การ/สถาบัน คุณภาพ มีผลการดำเนินงานดี ที่ตรงตาม ความคาดหวังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีผลงานวิชาการคุณภาพสูง ที่บ่งบอกคุณประโยชน์และคุณค่าของ องค์การ/สถาบัน อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม บุคลากรมีความสุขในการทำงาน มีการดำรงชีวิตที่มีความสุข (Happy Life) และ มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งบุคลากรและประชาชนที่องค์การ/สถาบัน ให้การดูแล 4. ระดับประเทศชาติ เป็นระดับภาพรวมของทั้งประเทศ (National/Country goal) มีเป้าหมาย ทั้ง ในภาพรวมและในแต่ละภารกิจ คือ 4.1 มีประชาชนที่มีคุณภาพ เป็น Learned person ผู้มีความสามารถในการพัฒนางานที่ตน รับผิดชอบได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น ตลอดเวลา 4.2 มีผลิตผล (Product) ที่มีคุณภาพสูง สู่สาธารณะ อย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา ทั้งผลิตผลทาง วิชาการ สินค้า สิ่งประดิษฐ์ และ บริการ 4.3 มีนักวิจัยคุณภาพ ที่ทำวิจัยในงานที่ตนทำอย่างต่อเนื่อง และมีความสุข 4.4 มี Explicit Knowledge ที่เป็น Knowledge Assets ที่มีคุณภาพสูง คือ ผลงานวิจัย ที่วงการ วิชาการ ให้การยอมรับ ที่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ 4.5 มีหน่วยงานและองค์การคุณภาพ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดี น่าเชื่อถือ เพราะมีวิชาการรองรับ ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของนานาชาติต่อประเทศเรา 4.6 ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีถ้วนหน้า (Quality of Life for All)
4 5. ระดับโลก เป็นระดับภาพรวมของโลก (Global goal) มีเป้าหมายที่ร่วมกัน ทั้งในภาพรวมและใน แต่ละภารกิจ คือ Quality of Life for All ของคนทั้งโลก ซึ่งครอบคลุม 5 ด้านหลัก ตาม HOMES.FA ได้แก่ 5.1 H = Health = มีสุขภาพดี 5.2 O = Occupation = มีอาชีพดี 5.3 M = Moral = มีคุณธรรมดี 5.4 E = Education = มีการศึกษาดี 5.5 S = Safety = มีความปลอดภัยดี ทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน FA = for All = ทุกคน 1.4 ประโยชน์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีประโยชน์สรุปได้ 8 ประการ ดังนี้ 1. มีประโยชน์ต่อ “งาน” คือ เกิดการพัฒนางานที่เป็นภารกิจหลัก ทั้งของบุคคล ของหน่วยงาน และ ขององค์การ ให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น 2. มีประโยชน์ต่อ “คน” คือ 2.1 ได้รับการพัฒนาคุณภาพที่ดี สะดวก ง่าย ตรงกับต้องการของตน (ผู้ปฏิบัติ) ของผู้บังคับบัญชา และ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง 2.2 ได้ผลงานวิชาการ ที่ทรงคุณค่า สามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างความก้าวหน้าของตนได้ 2.3 มีความสุขในการทำงาน เกิดความรักงาน นำไปสู่ความรักและความภักดีต่อองค์การ (Organization Royalty) 2.4 ได้องค์ความรู้ที่มีคุณค่า ทั้งองค์ความรู้จากการศึกษาค้นคว้า และองค์ความรู้ที่ได้จากการลง มือปฏิบัติด้วยมือของตนเอง ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต 3. มีประโยชน์ต่อ “หน่วยงาน” คือ 3.1 ได้คนที่มีคุณภาพอยู่ในหน่วยงาน 3.2 ได้กระบวนการพัฒนาคน ด้วยการปฏิบัติงานในวิถีชีวิตประจำวัน ที่สะดวก ง่าย สอดคล้องกับ บริบทและงานของแต่ละคน ตรงกับความคาดหวังและความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้รับบริการ ผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหาร และ สังคม 3.3 ได้ผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการดำเนินงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน 3.4 ได้ผลงานวิชาการที่มีคุณค่าทั้งต่อหน่วยงาน ต่อสังคม และ ต่อประเทศชาติ 3.5 มีบรรยากาศองค์การที่ดี สืบเนื่องจากบุคลากรมีความสุขในการทำงาน 4. มีประโยชน์ต่อ “องค์การ” คือ ได้ประโยชน์เช่นเดียวกับหน่วยงาน แต่กว้างขวางกว่า และถ้าเป็น องค์การหลักของส่วนรวม อาทิเช่น กระทรวง กรม จังหวัด มหาวิทยาลัย ฯลฯ จะมีผลกระทบต่อพื้นที่ รับผิดชอบขององค์การ หรือ ต่อสาธารณะ มาก 5. มีประโยชน์ต่อ “ชุมชน” คือ
5 5.1 ได้ผลประโยชน์ จากการที่คน/หน่วยงาน/องค์การ ที่มีคุณภาพ ได้มาสร้างสรรค์ผลการ ดำเนินงานที่ดี ในชุมชน หรือ ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยงาน/องค์การ 5.2 เกิดการพัฒนาจากผลงานงานวิจัย ที่เน้นการเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ทั้ง ทางตรง และ ทางอ้อม ซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญของ R2R 6. มีประโยชน์ต่อ “สังคม” คือ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดความสุขสงบในสังคม เนื่องมาจาก การที่ทุกคน ทุกหน่วยงาน ทุกองค์การ รู้ภารกิจหลักของตน แล้วมาร่วมกันพัฒนาสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม และชุมชน ด้วยกระบวนการวิจัย ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่มีคุณภาพสูง ประกอบกับการที่คนทั้งหลาย มี ความสุขในการทำงาน และ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็จะยิ่งช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่รุมเร้าอยู่ในปัจจุบัน ได้ดียิ่งขึ้น 7. มีประโยชน์ต่อ “โลก” คือ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม และ กระบวนการ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ดี ให้กับประชากรโลก 8. มีประโยชน์ต่อ “วิชาการ” คือ ช่วยในการประยุกต์องค์ความรู้ด้านวิชาการทั้งหลาย ที่มีอยู่มากมาย ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับมวลหมู่มนุษยชาติ อย่างต่อเนื่องที่ชัดเจน 1.5 การพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย สามารถสรุปว่า เป็นการ พัฒนา “งาน” อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน หมายถึง การทำให้ “งานหนึ่งงานใด” เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมา ยาวนานมากกว่า 5 ปี โดยมีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้แน่นอน และ ปัจจุบันยังดำเนินการอยู่ ด้วยการพึ่งพิง ตนเองได้ จากความหมายของ “การพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”นี้ สามารถจำแนก Key words ได้ 7 คำ คือ งาน การพัฒนา อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน ปัจจุบันยังดำเนินการอยู่ หลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้แน่นอน และ พึ่งพิงตนเองได้ ซึ่งแต่ละคำ มีความหมาย ดังนี้ 1. งาน (Task) หมายถึง สิ่งที่องค์การต้องกระทำ ตามภารกิจ/หน้าที่ ขององค์การ 2. การพัฒนา (Development / Improvement) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม 3. อย่างต่อเนื่อง (Continuous) หมายถึง ทุกปีโดยไม่เว้นว่าง 4. ยั่งยืน (Sustainable) หมายถึง มีการดำเนินงานมานานกว่า 5 ปี และ เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยตัวผู้ปฏิบัติงานและทีมงานเอง จนถึงปัจจุบัน และ มั่นใจได้ว่าจะยังคงทำต่อไปในอนาคต 5. ปัจจุบันยังดำเนินการอยู่ (Active) หมายถึง ยังเป็นภารกิจขององค์การ 6. หลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้แน่นอน (Evidence based) หมายถึง สิ่งที่สามารถยืนยัน “ความเป็น จริง (Reality) ”ของสิ่งที่เกี่ยวข้องแต่ละอย่าง ตามหลักวิชาปรัชญา (Principle of Philosophy) ที่วงการ วิชาการในเรื่องนั้น ให้ความเชื่อถือ เช่น ผลงานวิจัย 7. พึ่งพิงตนเองได้ (Self reliance) หมายถึง สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวผู้ปฏิบัติงานและทีมงานเอง แม้จะไม่มีการช่วยเหลือสนับสนุนใด ๆ จากบุคคลหรือหน่วยงาน ภายนอกงาน/องค์การ
2. ความสำคัญและประโยชน์ของการพัฒนางานตามภารกิจหลัก สู่งานวิจัยต่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีความสำคัญและประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ดังนี้ 1. ช่วยพัฒนา “งาน” ที่เป็นภารกิจหลักของประเทศ ที่ได้มีการกำหนดไว้ในนโยบายระดับประเทศ และถ่ายทอดลงมาตามสถาบัน/องค์การหลัก ลงสู่หน่วยงาน และบุคคล ตามลำดับ ให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ ได้กำหนดไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น 2. ช่วยพัฒนา “คน” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของประเทศ ให้เป็นนักพัฒนาระดับฐานราก (Fundamental Developer/Improver) ของแต่ละ “งาน” 3. ช่วยพัฒนา“คน”ที่เป็นนักพัฒนาให้เป็นนักวิจัยที่ติดดิน (Practical Researcher) 4. ช่วยพัฒนา “ผลงานวิจัย” ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ อย่างต่อเนื่อง 5. ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน/ชุมชน/สังคม ด้วยกระบวนการ Happy Workplace ของ แต่ละงาน และ พัฒนาต่อเนื่องจนเป็น Happy Country 2.1 ประเภทและกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย แบ่งเป็น 4 ประเภท ตามความซับซ้อนของการดำเนินงาน เป็นประเภทพื้นฐาน ประเภทวิชาการ ประเภทก้าวหน้า และ ประเภทเชี่ยวชาญ โดยมีกลุ่มเป้าหมายในแต่ละ ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทพื้นฐาน (Basic) เป็นประเภทที่มีความซับซ้อนของการดำเนินงานน้อย ใช้สำหรับ ผู้ปฏิบัติงานทั่วไป ทุกเพศ ทุกวัย ทุกหน่วยงาน ทุกกลุ่มอาชีพ 2. ประเภทวิชาการ (Academic) เป็นประเภทที่มีความซับซ้อนของการดำเนินงานมากขึ้น ใช้สำหรับ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นหรือจะเป็น นักวิชาการในอนาคต ได้แก่ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ทั้งระดับวิชาชีพ ระดับ ปริญญาตรีระดับบัณฑิตศึกษา (โท เอก) และ ระดับหลังปริญญาเอก 3. ประเภทก้าวหน้า (Advance) เป็นประเภทที่มีความซับซ้อนของการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ต้องการ ความเข้มข้นของระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology) มาก ในเชิงวิชาการ ใช้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ เป็นหรือตั้งใจจะเป็น นักวิจัยหรือคณาจารย์ผู้สอน/ผู้สร้าง กลุ่มที่จะเป็น “ประเภทวิชาการ” ในอนาคต ได้แก่ คณาจารย์มหาวิทยาลัย และ นักวิจัยสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาขาการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย
7 4. ประเภทเชี่ยวชาญ (Expert) เป็นประเภทที่มีความซับซ้อนของการดำเนินงานสูงมาก ใช้สำหรับการต่อ ยอดและขยายผลจากกลุ่มที่เป็น “ประเภทก้าวหน้า” ให้เป็น “แกนหลัก” ในแต่ละสาขาวิชาการ อาทิเช่น สาขา สุขภาพ สาขาการแพทย์ สาขาพยาบาล สาขาเภสัชศาสตร์ สาขารังสีวิทยา สาขาการดูแลเด็ก สาขาการดูแล ผู้สูงอายุ สาขาเศรษฐศาสตร์ สาขาประชากรศาสตร์สาขารัฐศาสตร์สาขาฟิสิกส์ สาขา IT สาขาการทำอาหาร สาขาเกษตร สาขาประมง สาขากฎหมาย สาขาการท่องเที่ยว สาขาการค้าการขาย สาขาอุตสาหกรรม สาขาการ แสดง สาขาวิศวกรรม สาขาการเงิน ฯลฯ โดยแต่ละสาขา ยังสามารถแตกเป็นสาขาย่อยได้อีกมากมาย บุคคล ประเภทเชี่ยวชาญนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีผลงานที่วงการของเรื่อง/สาขา นั้น ให้การยอมรับในระดับประเทศ ขึ้นไป ซึ่งเทียบ ได้กับตำแหน่งศาสตราจารย์ (ศ.) เชิงวิชาการ ที่ยอมรับกันในปัจจุบัน 2.2 กระบวนการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ทั้ง 4 ประเภท มีกระบวนการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง ไม่มีวัน จบสิ้นจนกว่าจะเลิกทำ “งานตามภารกิจหลัก” นั้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงกระบวนการพัฒนา จึงขอ นำ “เวลา” มาช่วยกำหนดกรอบหรือขอบเขตของการดำเนินงาน เป็นช่วงเวลาละ 5 ปี โดยในแต่ละช่วงเวลา จะแบ่งเป็น 4 ระยะ 20 ขั้นตอน ตามหลักของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ซึ่ง เป็นวิจัยเชิงทดลอง มี 3 ระยะ คือ ระยะก่อนดำเนินการทดลอง ระยะดำเนินการทดลอง และ ระยะหลัง ดำเนินการทดลอง ตามวงรอบของการดำเนินงาน ที่จำแนกเป็นวงรอบเล็กใช้เวลาวงรอบละ 1 ปี และ วงรอบ ใหญ่ใช้เวลารวมทั้งสิ้นวงรอบละ 5 ปี อย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการในแต่ละปี ดังนี้ การดำเนินงานในปีที่ 1 มี 3 ระยะ (Phase) ได้แก่ 1. ระยะก่อนดำเนินการทดลอง (Pre-Experimental Phase) มี 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1.1 การวิเคราะห์สภาวการณ์ของสิ่งที่ต้องการพัฒนาและดำเนินการ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และ แนวโน้มในอนาคต อย่างรอบคอบและครอบคลุม ทุกแง่ทุกมุม 1.2 การวิเคราะห์สภาวการณ์ของสิ่งที่ต้องการพัฒนาและดำเนินงาน อย่างเป็นระบบที่ครบวงจร (Complete cycle) 1.3 การวางแผนดำเนินงาน ทั้งแผนระยะยาวในช่วงเวลาที่ดำเนินการรวมทั้งหมด (5 ปี) และ แผนในระยะเวลาของแต่ละวงรอบ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน (1 ปี1 เดือน 1 สัปดาห์ 1 วัน/เวร 1 ครั้ง) 1.4 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน (Working Model) เบื้องต้น ที่จะนำไปดำเนินการให้เกิด การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในช่วงเวลา 1 วงรอบ (1 ปี) ที่ได้วางแผนไว้ในข้อ 1.3 1.5 เตรียมทรัพยากรที่จะใช้ในการดำเนินงาน ทั้งคน เงิน ของ ระบบงาน กิจกรรม และ วิธีการ ให้พร้อมมูลที่สุด ทั้งจำนวน คุณภาพ การใช้งาน การซ่อมบำรุง การทดแทน และการพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น รวมทั้งเครื่องมือที่จะบันทึกการดำเนินงาน ผลการดำเนินงาน และการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติและ ผู้เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ
8 1.6 วัดผลการดำเนินงานก่อนการนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาดำเนินการ ตามตัวชี้วัดที่กำหนด ด้วย เครื่องมือที่เตรียมไว้ ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ อย่างถูกต้อง และ ครบถ้วน ตามหลักวิชาการ 2. ระยะดำเนินการทดลอง (Experimental Phase) มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 2.1 การจัดทำระบบและกลไก (System & Mechanism) ที่ดี ในการดำเนินงานและสนับสนุน การดำเนินงาน อย่างรอบคอบทุกด้าน ตลอดช่วงเวลา 1 ปี ที่ดำเนินตามแผนที่วางไว้ อย่างต่อเนื่อง 2.2 ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้อง มามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด เหมาะสม และเพียงพอ ตลอดเวลา เน้นการทำงานเป็นทีม โดยใช้ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง อย่างต่อเนื่อง บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทุกสัปดาห์ ในแบบบันทึกเหตุการณ์ 2.3 ติดตามประเมินผลการดำเนินงานทุกครั้งที่ทำ ด้วยตัวชี้วัดที่สามารถบ่งบอกการพัฒนาได้ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ใช้ Empowerment Evaluation อย่างเหมาะสม ตลอดเวลา นำข้อมูลที่ได้มา ปรับปรุงการดำเนินงานครั้งต่อไป ให้ดียิ่งขึ้น 2.4 สรุปผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่องทุกเดือน นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงการ ดำเนินงานในเดือนต่อไป ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น จนครบถ้วนตามแผนที่วางไว้ 3. ระยะหลังดำเนินการทดลอง (Post-Experimental Phase) มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 3.1 นำข้อมูลการดำเนินงาน และ ผลการดำเนินงาน ทั้งหลาย ที่ได้ทำไปตั้งแต่ระยะก่อน ดำเนินการ มาวิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นภาพรวมของการดำเนินงานและผลการดำเนินงาน ในช่วงเวลาที่ ดำเนินการนี้ (ปีนี้) 3.2 นำข้อมูลที่ได้มา “สังเคราะห์” เป็นรูปแบบการดำเนินงานสุดท้าย ในช่วงเวลาที่ดำเนินการนี้ ที่จะนำไปดำเนินงาน ในช่วงเวลาต่อไป (ปีต่อไป) โดยให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้อง มามีส่วนร่วม อย่างจริงจัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข 3.3 จัดทำรายงานผลการดำเนินงานทั้งหมด ในช่วงเวลาที่ดำเนินการนี้ 3.4 รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้บริหาร หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอคำแนะนำและ ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงาน ในช่วงเวลาต่อไป (ปีต่อไป) โดยจัดทำให้เป็น Explicit Knowledge ที่ดี ชัดเจน และ มีประสิทธิภาพสูง การดำเนินงานในปีที่ 2 ดำเนินการในทำนองเดียวกันกับปีที่ 1 โดยปรับปรุงเพิ่มเติม ดังนี้ 1. ระยะก่อนดำเนินการ (Pre-Experimental Phase) ปรับปรุงในขั้นตอน 1.3 แผนระยะยาวใน ช่วงเวลาที่ดำเนินการทั้งสิ้น และในขั้นตอน 1.4 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน (Working Model) เบื้องต้น ของปีที่ 2 โดยนำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอน 3.2 และ ขั้นตอน 3.4 มาสังเคราะห์เป็นรูปแบบการดำเนินงาน 2. ระยะดำเนินการทดลอง (Experimental Phase) ปรับปรุงเพิ่มเติม โดยนำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอน 3.1 และขั้นตอน 3.4 ของปีที่ 1 มาใช้
9 3. ระยะหลังดำเนินการทดลอง (Post-Experimental Phase) ปรับปรุงเพิ่มเติมโดยนำข้อมูลที่ได้จาก ขั้นตอน 3.1 และขั้นตอน 3.4 ของปีที่ 1 มาใช้เช่นเดียวกัน และเพิ่มเติมการนำเสนอการเปรียบเทียบประเด็น ในรูปแบบการดำเนินงานที่พัฒนาขึ้น ว่ามีสิ่งที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และ ควรมี“ผลงานวิจัย” ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ที่เป็น Explicit Knowledge เพื่อนำเสนอผู้บริหาร จะดีมาก การดำเนินงานในปีที่ 3 ถึง ปีก่อนปีสุดท้าย ดำเนินการในทำนองเดียวกันกับปีที่ 2 โดยควรมี“ผลงานวิจัย”ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย เพื่อนำเสนอผู้บริหาร เพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ การดำเนินงานในปีสุดท้าย (ปีที่ 5) ดำเนินการในทำนองเดียวกันกับปีที่ 3 ถึง ปีก่อนปีสุดท้าย โดยเพิ่มเติม 4. ระยะสรุปผลการดำเนินงาน (Conclusion Phase) ดังนี้ 4.1 รวบรวมข้อมูลการดำเนินงาน และ ผลการดำเนินงาน ทั้งหลาย ที่ได้ทำไปตั้งแต่เริ่มต้น ดำเนินการ ในปีที่ 1 ถึงสิ้นสุดปีสุดท้าย มาประมวล วิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นภาพรวมของการดำเนินงานและผล การดำเนินงาน ในช่วงเวลาทั้งหมดที่ดำเนินการ (5 ปี) 4.2 วัดผลการดำเนินงาน “หลัง” การนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาดำเนินการ ตามตัวชี้วัดที่กำหนด ด้วยเครื่องมือที่เตรียมไว้ชุดเดียวกันกับ “ก่อน”การนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาดำเนินการทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ อย่างถูกต้อง และ ครบถ้วน 4.3 สรุปผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เป็น Lesson learned ว่าได้ทำอะไรและอย่างไร ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินการในปีที่ 1 จนถึง สิ้นสุด ในปีสุดท้าย 4.4 จัดทำรูปแบบการดำเนินงาน “สุดท้าย” ของการพัฒนาครั้งนี้ ที่ได้ผ่านการใช้งานจริงแล้ว 5 ปี ให้ไเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติ ให้มีคุณลักษณะเหมาะสมที่จะนำไปเป็น “ตัวแบบ” ให้กับที่ อื่น หรือ เป็น “ตัวอย่าง” สำหรับงานอื่น 4.5 รวบรวมผลงานวิจัย นวัตกรรม เรื่องเล่า และ ผลงานวิชาการ ทั้งหลาย ที่ได้จากการพัฒนา งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ครั้งนี้ แล้วจัดทำเป็น “หนังสือ (Book)” ที่สามารถแสดงผลงานด้านวิชาการของ หน่วยงาน/องค์การ ได้อย่างภาคภูมิใจ 4.6 นำสิ่งที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ครั้งนี้ ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้(KS) กับ หน่วยงาน/องค์การ อื่น เกิดเครือข่าย เกิดการขยายผลและต่อยอด อย่างกว้างขวาง ตามหลักการและวิธีการ ของ Knowledge Management: KM ที่ครบวงจร เนื่องจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย เป็นสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีคำสั่งให้ เลิกทำ ดังนั้น เมื่อดำเนินการมาจนครบ 4 ระยะ 20 ขั้นตอนนี้แล้ว กระบวนการดำเนินงานจะเชื่อมต่อไปยัง กระบวนการดำเนินงานใน “วงรอบ”ต่อไป ทั้งวงรอบเล็กที่ทำเป็นประจำทุกปี และ วงรอบใหญ่ที่สามารถ กำหนดช่วงเวลาที่แตกต่างจาก 5 ปี ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละงานและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
3. วิธีการ ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีวิธีการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและบริบท หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปเป็นบทบาทหน้าที่ขององค์การ ประกอบด้วย กิจกรรม ขั้นตอน และ วิธีการ ใน การดำเนินงาน ที่สำคัญ 8 ประการ คือ 1. การกำหนดเป็นนโยบายจากผู้บริหารสูงสุดขององค์การ ที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง แม้จะมีการ เปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุด นโยบายนี้ก็ยังคงอยู่ และถือปฏิบัติอย่างจริงจัง 2. การกำหนดหน่วยงานผู้รับผิดชอบขององค์การ ที่ชัดเจน และ แน่นอน ช่วยให้มีสถานที่ตั้งของที่ ปฏิบัติงาน ที่สามารถเห็น/มาหา/ติดต่อ/ปรึกษา ได้โดยสะดวก ตามระบบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกของ องค์การ ที่มีอยู่และที่จะมาสนับสนุนการดำเนินงาน 3. การสรรหา “บุคคลและทีมงาน” ผู้รับผิดชอบ ที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถนำมาซึ่งความสำเร็จที่มั่นคง และยั่งยืนได้ จึงเน้นที่การทำแผนการพัฒนากำลังคนมาทดแทน (Succession plan) ด้วย 4. การจัดทำ “โครงการ” พัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การ ที่สามารถทำได้ครบถ้วน ตามกระบวนการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยที่ได้กล่าวมาอย่างต่อเนื่อง 5. การจัดทำ “ระบบและกลไก” ของการดำเนินงานพัฒนาการทำงานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ที่ เอื้ออำนวย และ เหมาะสมกับบริบทและข้อจำกัดขององค์การ 6. การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Training) ในการพัฒนาการทำงานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย ในบริบทจริงขององค์การ คือ ได้ทั้งตัวบุคคลและผลงานวิจัย ที่จับต้องได้ โดยไม่ยุ่งและไม่ยาก 7. การจัดเวทีให้มีการนำผลงานทางวิชาการจากการทำงานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนี้ มาเผยแพร่ใน องค์การ และ ส่งเสริมสนับสนุนให้นำไปเผยแพร่ในเวทีวิชาการนอกองค์การด้วย 8. การสนับสนุน และ ส่งเสริม การทำงานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยของบุคลากรแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละหน่วยงาน และ ขององค์การ ให้เป็นผลงานทางวิชาการ อย่างเข้มแข็ง จริงจัง จริงใจ และ ต่อเนื่อง ตลอดไป การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนนี้ เป็นปรัชญาในการทำงาน ที่มนุษย์ทุก คน สามารถทำได้ อย่างมีความสุข มีความภาคภูมิใจ และ มีศักดิ์ศรี เป็นการดำเนินงาน ที่มีลักษณะของวิชา ปรัชญาที่สมบูรณ์ ทั้งอภิปรัชญา (Metaphysics) ญาณวิทยา (Epistemology) คุณวิทยา (Axiology) จริยศาสตร์ (Ethics) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) และ ตรรกวิทยา (Logics) สามารถนำไปเป็นคุณค่าหลัก (Core Value) ใน การดำเนินชีวิต ที่มนุษย์ทุกคนทุกกลุ่ม สามารถยึดถือว่าเป็นหนึ่งในความจริงแท้ (Reality) ในการดำเนินชีวิตของ ตน ในการนี้ ถ้าสามารถทำให้เป็นผลงานวิจัย ที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ (Original article) ที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่อย่าง กว้างขวางในวงการวิชาการของงานนั้น และ ถ้ามีการตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณชนทั่วไป ให้สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้ด้วย ก็จะยิ่งมีคุณค่ามหาศาลต่อมนุษยชาติทั้งมวล จึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของทุกองค์การ ที่ ผู้บริหารทุกคนสามารถดำเนินการได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดเวลา
11 3.1 องค์ประกอบของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ประกอบด้วย 1. ตัวงาน (The Task) ที่ต้องการพัฒนา 2. ผู้ปฏิบัติงาน (The Actors) ทีมงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง 3. ทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินงาน (Resources) 4. วิธีการในการปฏิบัติ (Methods) 5. เวลา (Time) ในการดำเนินงาน ทั้งจำนวนและช่วงเวลา ทั้งในการดำเนินงานแต่ละครั้ง และ ใน การดำเนินงานแต่ละช่วงเวลา (วัน สัปดาห์ เดือน ไตรมาส ปี ฯลฯ) 6. สิ่งแวดล้อม (Environments) ณ ขณะที่ปฏิบัติงานแต่ละครั้ง และ แต่ละช่วงเวลา ทั้งทางกายภาพ เคมี ชีวะภาพ และ ทางสังคม 7. การวัดผลการดำเนินงาน (Measurement) ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัด (Indicators) เครื่องมือวัด (Instruments) ผู้วัด (Measure mentors) วิธีการในการวัด (Methods of Measurement) การแปลผลการ วัด (Interpretation) การควบคุมคุณภาพการวัด (Quality Control of Measurement) ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantity Data) และ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Quality Data) 8. วิธีการ ในการดำเนินงาน ตามหลัก Research Methodology ให้ได้ผลการดำเนินงานที่น่าเชื่อถือ 3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีปัจจัยที่มีผล (Factors’ Effecting) มากมาย สรุปได้เป็น 9 กลุ่ม ทั้งปัจจัยเชิงบวก และ ปัจจัยเชิงลบ ของแต่ละกลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มปัจจัยด้านองค์ประกอบทั้ง 8 ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย 2. กลุ่มปัจจัยด้านกระบวนการดำเนินงาน (Implementation Processes) ทั้ง Inputs, Processes, Outputs และ Feedbacks ของการดำเนินงาน ในแต่ละครั้ง และ ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งการเชื่อมต่อ 3. กลุ่มปัจจัยด้านกระบวนการดำเนินงาน ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยเน้นในแต่ละ ครั้ง ที่ทำ ในแต่ละเวร/วัน และ ในแต่ละปี ที่ทันยุคทันสมัย (Up to date) 4. กลุ่มปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงาน ตามหลักการบริหาร (Principle of Managing) ที่ประยุกต์ หลัก Epidemiology Triage อย่างกลมกลืน 5. กลุ่มปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factors) ตาม PESTLEI model คือ Politics, Economics, Social, Technology, Legal, Ecology และ Industry 6. กลุ่มปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factors) ตาม 7S of McKinsey model คือ Structure, Staff, Skill, Style, System, Strategy และ Share value 7. กลุ่มปัจจัยด้านขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ทั้งบุคคลในงาน นอกงาน ในองค์การ นอกองค์การ ในชุมชน ในสังคม ฯลฯ
12 8. กลุ่มปัจจัยด้านพื้นที่ ที่ดำเนินการ ทั้งด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ ภูมิอากาศ การคมนาคม ประวัติศาสตร์ ฯลฯ 9. กลุ่มปัจจัยที่ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน และ ขัดขวาง/ต่อต้าน การดำเนินงาน ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่เจตนาและที่ไม่ได้เจตนา 3.3 สิ่งที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย สิ่งที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ตามวิธีการ และกระบวนการดำเนินงาน ของการ พัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ที่ใช้ระยะเวลาวงรอบละ 5 ปี ได้ผลการดำเนินงาน ที่สำคัญ 8 ประการ ดังนี้ 1. ได้รูปแบบ/ระบบงาน/วิธีการ ใหม่ ของการดำเนินงานตามภารกิจหลัก ที่ได้ผ่านการนำไปใช้จริงใน พื้นที่แล้ว รวม 5 ปี 2. ได้ประสบการณ์ในการดำเนินงานพัฒนางานตามภารกิจหลัก อย่างต่อเนื่อง (5ปี) 3. ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน และ ผลการดำเนินงาน ในการพัฒนางานตามภารกิจหลัก อย่างต่อเนื่อง รวม 5 ปี 4. ได้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานตามภารกิจหลัก การวิเคราะห์ การกำหนดตัวชี้วัด การสร้างเครื่องมือ วัดและการวัดผลการดำเนินงาน การประเมินผลการดำเนินงาน และ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 5. ได้ความคิดที่สร้างสรรค์และประสบการณ์จริงในการพัฒนางานตามภารกิจหลักด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ 6. ได้ประสบการณ์ การทำวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา ที่ได้ผลจริง 7. ได้ผลงานวิชาการ ที่เกิดประโยชน์กับประชาชน สาธารณะ และมนุษยชาติ อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว 8. ได้ผลงานวิจัยที่ดี และ มีคุณค่ายิ่ง เป็น Explicit Knowledge ที่มีลักษณะของ Knowledge Asset สามารถนำไปเป็นตัวอย่างหรือตัวแบบ ได้ 3.4 ลักษณะสำคัญของผลงานวิจัยที่ดี ที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ผลงานวิจัยที่ดี และ มีคุณค่ายิ่ง ที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย (ขอเรียกว่า R2R แท้และดี) มีลักษณะสำคัญ 5 ประการ คือ 1. เป็นงานที่คณะผู้วิจัยเป็นผู้ทำด้วยตนเอง และ เป็นความจริง (Routine & Fact) ถ้าคณะผู้วิจัยรู้อยู่ แก่ใจว่าสิ่ง/ข้อมูล ที่นำมาแสดงเป็นผลงานวิจัยนั้น “ไม่จริง” ห้ามนำมาเขียนเป็นผลงานวิจัยอย่างเด็ดขาด 2. เกิดการพัฒนาที่มีหลักฐานยืนยัน (Evident Based Development) โดยวัดผลที่ “ผู้รับบริการ” ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามหลักของ Research Methodology ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และ ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นไม่น้อยกว่า 95% (p<0.05); ค่าน้ำตาลในเลือด ลดลง จาก 185 mg% เหลือเพียง 110 mg% เป็นต้น ในการนี้จะไม่ใช้“ระดับความคิดเห็น”จากแบบสอบถาม มาใช้ ในการเปรียบเทียบกัน เนื่องจาก “ความคิดเห็น” นั้น มี Factors ที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่มากมาย จึงเป็น ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ
13 3. ใช้ระยะเวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เกินกว่า 1 ปี (Longtime Continuous Implementation) โดยในการเปรียบเทียบนั้น จะนำข้อมูลเชิงประจักษ์ของผลการดำเนินงานในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี มา เปรียบเทียบกัน เพื่อลดความผันแปรที่อาจเกิดจากฤดูกาล (Seasonal Variation) ประกอบกับการดำเนินงาน ประจำขององค์การทั้งหลายนั้น จะใช้วงรอบ 1 ปี เป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นปีงบประมาณ หรือ ปีปฏิทิน ก็ได้ จึงถือ เป็นการควบคุมตัวแปรภายนอกของการออกแบบวิจัย (Research Design) ที่ดีได้อย่างหนึ่ง ดังนั้น ถ้าใช้ ระยะเวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 รอบปีขึ้นไป และนำผลการดำเนินงานในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ ละปี มาเปรียบเทียบกัน ก็จะเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบ One group Pre-test Post-test Time series Design ที่มีคุณภาพดีกว่า One group Pre-test Post-test Design ธรรมดา 4. เป็นผลงานวิจัย ที่มีคุณค่าต่อทุกฝ่าย (Valuable Research for All) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกิด ประโยชน์และคุณค่าต่อผู้มารับบริการ ผู้ป่วย ประชาชน หน่วยงาน/องค์การผู้ให้บริการหรือผู้รับผิดชอบ และ ประเทศชาติ อย่างชัดเจน มากกว่างานวิจัยทั่ว ๆ ไป ที่มักจะเกิดประโยชน์กับผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัย เป็นส่วน ใหญ่ เท่านั้น 5. ถูกต้องตามหลักวิชาการของวิทยาการวิจัย(CorrectinResearchMethodology) เนื่องจาก ผลงานวิจัยที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยที่เรียกว่า R2R นั้น เป็น “วิจัย (Research)” จึง ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาการวิจัย ซึ่งในที่นี้ เน้นที่ “การเขียน” เป็นหลัก โดยต้องเขียนให้กระชับ ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน และ สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น โดยใช้กลยุทธ์ ST (Strength-Threat Strategy) คือ การนำจุดแข็ง ของการวิจัยชนิดนี้ ที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงอย่างชัดเจนว่า เกิดผลดีจริงต่อผู้มารับบริการและประเทศชาติ มาปกป้องภาวะคุกคามจากนักวิชาการที่มุ่งเน้น Research Methodology 3.5 วิธีการ ในการนำผลงานวิจัยจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยไปใช้ประโยชน์ วิธีการในการนำผลงานวิจัยจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ดำเนินการ ดังนี้ 1. ใช้ Principle of Managing อย่างเป็นระบบ ครบวงจร และ ต่อเนื่อง ตลอดเวลา และ ตลอดไป (ดังภาพที่ 1)
14 ภาพที่ 1 หลักการบริหาร (Principle of Managing) 2. ใช้เทคนิค How to do? เชิงบริหาร อย่างครบถ้วน ทั้ง 5 คำถามย่อย คือ 2.1 How to start? ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน 2.2 How to achieve? ใช้เวลาประมาณ 3 ปี 2.3 How to maintain? (After achieve) ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน 2.4 How to expand? (After achieve) ใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน 2.5 How to be sustainable improvement for ever? ใช้เวลาเป็นวงรอบ หลังจาก Achieve แล้ว 1 ปี อย่างต่อเนื่อง วงรอบละ 1 ปี ตลอดไป ใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้น ประมาณ 5 ปี และ ดำเนินงานตามข้อ 2.5 ต่อไป ทุกปี 3. ใช้กลยุทธ์การพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยแนวคิดของ R&D for CSWI (Continuous and Sustainable Working Improvement) ➔ R2R2E (Routine to Research to Excellence) ซึ่ง หมายถึง การทำงานประจำของเราให้เป็นผลงานวิจัยอันทรงคุณค่า ที่อวดได้ทั่วโลก R2R2E เป็นการทำงานประจำให้เป็นผลงานวิจัยสู่ความเป็นเลิศ เป็นกระบวนการในการพัฒนางานประจำ ให้เป็นผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง และทำให้ผลงานนั้นได้รับการยอมรับว่า เป็นผลงานทางวิชาการชั้นเยี่ยมที่พัฒนา สู่ความยั่งยืน เป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนางาน ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน สามารถทำได้ โดยไม่ยุ่งและไม่ยาก เป็นสิ่งที่ “ผสมผสาน” การทำงาน (Working), R2R, และ การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM ที่ ประกอบด้วย Knowledge Vision: KV, Knowledge Sharing: KS และ Knowledge Asset: KA) ทั้ง 3 อย่างนี้ เข้าด้วยกัน อย่างกลมกลืน มีประสิทธิภาพ และ เปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ที่งดงามน่าภาคภูมิใจ ดัง Model ปลา ทู ของการจัดการความรู้ ดังภาพที่ 2 Situation Analysis Monitoring Coordinating Utilizing Implementing Inside Outside * Evaluating Planning Continuing EOP Evaluating Information System & Communication System Setting
15 ภาพที่ 2 Model ปลาทู ของการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ผลงาน R2R2E ที่ได้แล้ว หรือ จะได้ คือ Knowledge Asset: KA ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ที่เกิดอยู่ใน ปัจจุบัน และ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 4. นำ Principle of Utilizing (ดังภาพที่ 3) มาประยุกต์เป็นกระบวนการทำงานพื้นฐานของทุกงาน อย่างเป็นระบบ ที่ครบวงจร ทุกครั้งที่ทำ ตลอดเวลา ก่อให้เกิดการพัฒนางานนี้ ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ด้วย กระบวนการวิจัยแบบ R&D (Research and Development) ที่มีการก่อให้เกิดประโยชน์ และการเผยแพร่ผล การดำเนินงานต่อสาธารณะ/วงการวิชาการ อย่างกว้างขวาง ภาพที่ 3 Principle of Utilizing รปูที่6: KM “โมเดลปลาท”ู Knowledge Vision (KV) Knowledge Sharing (KS) Knowledge Assets (KA) “หวัปลา”=เป้าหมายของการจดัการความรู้ คือการตอบคา ถามที่ว่า ...ทา KM ไปทา ไม?...ทา ไปเพื่ออะไร? Model ปลาทู าร ด าร ามรู (Knowledge Management: KM) ที่มา: า ด าร ามรู เ ่ ม
4. การนำเสนอผลงานวิจัย จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ในการประชุมวิชาการ สิ่งที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีทั้ง ความรู้ ประสบการณ์ และ ผลงานวิจัย ที่ดี และ มีคุณค่ายิ่ง สมควรนำไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งมีวิธีการเผยแพร่ที่หลากหลาย ในที่นี้ขอนำเสนอ เฉพาะการเผยแพร่ผลงานวิจัย จำแนกเป็น 2 ลักษณะ คือ การนำเสนอผลงานวิจัยในเวทีวิชาการ และ การ ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารทางวิชาการ ดังนี้ 4.1 การนำเสนอผลงานวิจัยในเวทีวิชาการ ดำเนินการเป็น 2 แบบ คือ การนำเสนอด้วยปากเปล่า และ การนำเสนอด้วยโปสเตอร์ 1. การนำเสนอด้วยปากเปล่า (Oral presentation) ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 จัดทำบทคัดย่อ (Abstract) ตามข้อกำหนดของผู้จัดการประชุมในเวทีวิชาการอย่างเคร่งครัด 1.2 ส่งบทคัดย่อ (Submit) ตามกำหนดเวลาของผู้จัดการประชุม 1.3 รอผลการพิจารณาคัดเลือกบทคัดย่อ โดยผู้ทรงคุณวุฒิของผู้จัดการประชุม ซึ่งจะแจ้งผลการ พิจารณากลับมาให้ทราบ 1.4 เมื่อได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอ ให้จัดทำ Slide เพื่อนำเสนอในการประชุมวิชาการ (โดยทั่วไป จะใช้ประมาณ 20 Slides ในการนำเสนอ 10 นาที) 1.5 ฝึกซ้อมการนำเสนอ หลาย ๆ ครั้ง จนชำนาญ ก่อนการนำเสนอ 1.6 นำเสนอ ในวัน เวลา สถานที่ ที่กำหนด 1.7 รับการซักถามจากคณะกรรมการวิพากษ์และ รับข้อเสนอแนะ จากคณะกรรมการฯ และจาก ที่ประชุมวิชาการ 1.8 ปรับปรุงแก้ไขผลงานวิจัยให้ดีขึ้น และ พัฒนาต่อไป ให้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ 2. การนำเสนอด้วยโปสเตอร์ (Poster presentation) ดำเนินการ ดังนี้ 2.1 จัดทำบทคัดย่อ (Abstract) ตามข้อกำหนดของผู้จัดการประชุมในเวทีวิชาการอย่างเคร่งครัด 2.2 ส่งบทคัดย่อ (Submit) ตามกำหนดเวลาของผู้จัดการประชุม 2.3 รอผลการพิจารณาคัดเลือกบทคัดย่อ โดยผู้ทรงคุณวุฒิของผู้จัดการประชุม ซึ่งจะแจ้งผลการ พิจารณา กลับมาให้ทราบ 2.4 เมื่อได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอ ให้จัดทำ Poster เพื่อนำเสนอในที่ประชุมวิชาการ 2.5 ฝึกซ้อมการนำเสนอด้วย Poster หลาย ๆ ครั้ง จนชำนาญ ก่อนนำเสนอจริง 2.6 นำเสนอ Poster ในวัน เวลา สถานที่ ที่กำหนด 2.7 รับการซักถาม และ รับข้อเสนอแนะ จากคณะกรรมการพิจารณา และจากผู้มาเยี่ยมชม Poster 2.8 ปรับปรุงแก้ไขผลงานวิจัยให้ดีขึ้น และ พัฒนาต่อไป ให้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ
17 4.2 หลักการ วิธีการ และ เทคนิค ในการเขียน “บทคัดย่อ” ผลงานวิจัย บทคัดย่อผลงานวิจัย (Abstract) คือ เอกสารสรุป ผลงานวิจัย ที่ต้องการนำเสนอ 1 Paper เป็น เอกสารสำคัญ ที่จะนำทางไปสู่การนำเสนอผลงานวิจัย ในเวทีวิชาการ โครงสร้างบทคัดย่อ (โดยทั่วไป) บทคัดย่อ ควรมีความยาวไม่เกิน 30 บรรทัด หรือ 1 หน้ากระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word ตัวอักษร TH Sarabun PSK หรือ TH Sarabun New ขนาด 15-16 Point เนื้อเรื่องมีระยะห่างจาก ขอบกระดาษด้านบนและด้านซ้าย 1.5 นิ้ว ด้านขวาและด้านล่าง 1 นิ้ว ประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย หรือ คณะผู้วิจัย พร้อมหน่วยงาน ผู้นำเสนอผลงาน บทนำและวัตถุประสงค์: กล่าวถึงความสำคัญของปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัยอย่างรัดกุม และได้ใจความ วิธีการศึกษา: อธิบายแบบการศึกษา (Research Design) การกำหนดตัวอย่าง และวิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้ ผลการศึกษา: อธิบายผล การศึกษาที่สำคัญ สอดคล้องกับวิธีการศึกษา สรุปและข้อเสนอแนะ: สรุปสาระสำคัญของผลการศึกษา และ ข้อเสนอแนะ อย่างสั้น รัดกุม และชัดเจน (อ้างอิงและดัดแปลงจาก: แนวทางของสำนักวิชาการสาธารณสุข กระทรวง สาธารณสุข) Template บทคัดย่อผลงานวิจัย ที่ดี ที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย เป็นดังนี้ การวิจัย.................นี้ เพื่อ............... .............................. สิ่งที่ใช้ในการทดลอง คือ ............................................. นำไปทดลองที่........................................... เป็นเวลา....ปี พบว่า ....................................................... ได้เสนอแนะให้....................................... ตัวอย่าง ชื่อการวิจัย การพัฒนางาน........ ..............พ.ศ.......ด้วย......... การวิจัยพัฒนาเชิงทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดผล ก่อน-หลัง การทดลองหลายครั้ง นี้ เพื่อ พัฒนารูปแบบของการดำเนินงาน........ ใหม่ ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ และ เปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานระหว่าง ก่อน กับ หลัง การนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ไปดำเนินการ จำแนกเป็นรายปี สิ่งที่ใช้ในการทดลอง คือ รูปแบบ การดำเนินงาน........ที่พัฒนาขึ้น โดยมีการปรับปรุงเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำหลักการบริหารแบบ มีส่วนร่วมมาประยุกต์ นำไปทดลองที่...............เป็นเวลา 5 ปี พบว่า ผลการดำเนินงานดีขึ้นกว่ารูปแบบเดิม รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีระบบงาน/วิธีการ ที่เหมาะสม กับ.................ที่มีข้อจำกัดด้านบุคลากรและมีภาระงานมาก โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากร ได้เสนอแนะให้พัฒนาต่อไป จนได้ตัวแบบของงาน........ ที่ยั่งยืนในระดับชาติ คำสำคัญ: ………, ………, ………, ………, ……… เทคนิค ในการเขียน เมื่อนำมาใช้ใน งานพัฒนาบุคลากร ให้เข้าไปในโปรแกรม Word ใช้คำสั่ง “แทนที่ (replace)” งาน....... ด้วย งานพัฒนาบุคลากร แล้วสั่ง replace all จะเป็นดังนี้(สามารถนำไปใช้ในงาน อื่น ๆ ได้)
18 ชื่อการวิจัย การพัฒนางานพัฒนาบุคลากร .......... พ.ศ. 2556-2560 ด้วย......... การวิจัยพัฒนาเชิงทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดผล ก่อน-หลัง การทดลองหลายครั้ง นี้ เพื่อ พัฒนารูปแบบของการดำเนินงานพัฒนาบุคลากรใหม่ ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ และ เปรียบเทียบ ผลการ ดำเนินงานระหว่างก่อน กับ หลัง การนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ไปดำเนินการ จำแนกเป็นรายปี สิ่งที่ใช้ในการ ทดลอง คือ รูปแบบการดำเนินงานพัฒนาบุคลากรที่พัฒนาขึ้น โดยมีการปรับปรุงเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วมมาประยุกต์ นำไปทดลองที่.......... เป็นเวลา 5 ปี พบว่า ผลการ ดำเนินงานดีขึ้นกว่ารูปแบบเดิม รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีระบบงาน/วิธีการ ที่เหมาะสม กับ.......... ที่มีข้อจำกัดด้าน บุคลากรและมีภาระงานมาก โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากร ได้เสนอแนะให้พัฒนาต่อไป จนได้ตัวแบบของงาน พัฒนาบุคลากรที่ยั่งยืนในระดับชาติ คำสำคัญ: งานพัฒนาบุคลากร, การวิจัยพัฒนาเชิงทดลอง, การพัฒนารูปแบบ, การ บริหารแบบมีส่วนร่วม, การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย Key words: HRD, Experimental Development Research, Model Development, MBP, R2R เทคนิค ในการเขียนบทคัดย่อผลงานวิจัย แนะนำให้เขียนตามลำดับ ดังนี้ 1. เขียน ผลการวิจัย (Results) ที่โดดเด่น เป็นอันดับแรก 2. เขียน วัตถุประสงค์ (Objective) ให้สอดคล้องกับผลการวิจัย 3. เขียน ชื่อเรื่อง (Topic) ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ และ ผลการวิจัย (ทำอะไร? กับ ใคร? ที่ไหน? เมื่อไร? ด้วยวิธีใด?) 4. เขียน วิธีการศึกษา หรือ วัสดุและวิธีการ (Research design & Methodology หรือ Material and Method) ให้ครบถ้วน และ ถูกต้อง ตามหลักวิทยาการวิจัย (Research Methodology) ข้อนี้ สอดคล้องกับ บทที่ 3 ในวิทยานิพนธ์ 5. เขียน บทนำ (Introduction) ที่กระชับ และ ชัดเจน (ความหมาย ความเป็นมา และ ความสำคัญ ของงาน และ ปัญหา ในการศึกษา/วิจัย) 6. เขียนสรุป และ ข้อเสนอแนะ (Conclusion & Recommendation) 7. เขียนคำสำคัญ (Key Words) ไม่เกิน 5 คำ 8. เขียนส่วนอื่น ๆ จนครบถ้วน สมบูรณ์สอดคล้องกับ ข้อกำหนด/ความต้องการ (Requirement) ของวารสารหรือเวทีประชุมวิชาการ ที่จะรับ(Accept)ผลงานนี้ให้นำเสนอ 4.3 การจัดทำ Power point เพื่อนำเสนอในการประชุมเวทีวิชาการ มีหลักการ เทคนิค และ วิธีการ ในการจัดทำ Slide เพื่อนำเสนอในการประชุมฯ ดังนี้ 1. กำหนดหัวข้อที่จะเขียนเป็น Slide ให้ครบถ้วนตามหลักการของการนำเสนอผลงานวิจัย โดยจัดทำ เป็น Slide ประมาณ 25 Slides ดังนี้ 1.1 Slide เปิดตัว เพื่อสร้าง Impression ที่ดีให้กับผู้ชม ตั้งแต่เริ่มต้นนำเสนอ 1.2 Slide ชื่อเรื่อง และ ชื่อผู้วิจัย
19 1.3 Slide บทนำ (ความหมาย ความเป็นมา ปัญหา และ ความสำคัญ) 1.4 Slide วัตถุประสงค์ 1.5 Slide แบบการวิจัย สิ่งที่ใช้ในการทดลอง และ พื้นที่วิจัย 1.6 Slide ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.7 Slide ขั้นตอนและวิธีการ ในการวิจัย 1.8 Slide เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลการวิจัย 1.9 Slide การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และ สถิติที่ใช้ 1.10-1.14 Slide ผลการวิจัย (รวม ~5 Slides) อย่างครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ 1.15-1.17 Slide อภิปรายผลการวิจัย (รวม ~3 Slides) 1.18 Slide สรุปสิ่งที่ได้จากการวิจัย 1.19-1.21 Slide ข้อเสนอแนะ (รวม ~3 Slides) 1.22 Slide กิตติกรรมประกาศ 1.23-1.24 Slide ภาพประกอบ (เพิ่มความเข้าใจ) 1.25 Slide จบการนำเสนอ 2. เขียนให้ครบถ้วน ตามหัวข้อของการนำเสนอผลงานวิจัย ทั้งในภาพรวม และ ในแต่ละ Slide ที่สื่อ ความหมายที่ชัดเจน ครบถ้วน และ สวยงาม 3. เขียนแต่ละหัวข้อ ให้กะทัดรัด ชัดเจน ปราศจากข้อสงสัยทางวิชาการ โดยเขียนเฉพาะหัวข้อ ไม่ ต้องเขียนรายละเอียดใน Slide (ให้มีตัวหนังสือไม่มาก ลดความเสี่ยงการพิมพ์ผิด และ สามารถพูด/อธิบาย ได้ หลากหลาย) 4. มี Literature อ้างอิง ที่น่าเชื่อถือ ทุกประเด็น ที่เขียนในแต่ละหัวข้อ/แต่ละSlide 5. ในแต่ละ Slide ให้เขียนชื่อ Slide และ เนื้อความใน Slide ให้สอดคล้องกัน 6. ใช้เทคนิคการจัดทำ Slide การทำ Graph และ การนำเสนอด้วยภาพ ที่ดีและถูกต้อง ตามหลัก วิชาการ 4.4 หลักการเทคนิคและวิธีการในการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วย Oral Presentation 1. ยึดหลักการ ในการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วยปากเปล่า ดังนี้ 1.1 วิเคราะห์ผู้ฟัง ให้รู้จัก รู้ลักษณะ และ ความต้องการ ทุกแง่ทุกมุม ก่อนนำเสนอผลงานวิจัย 1.2 ให้เกียรติผู้ฟัง ตลอดเวลา 1.3 แสดงความน่าเชื่อถือ ในทุกอิริยาบถ 1.4 ต้องไม่เกินเวลาที่กำหนด ในการนำเสนอผลงานวิจัย 2. ใช้เทคนิค และ วิธีการ ในการนำเสนอผลงานวิจัยที่ดี คือ 2.1 จัดทำ Slides ให้ดี มีเนื้อหาครบถ้วนตามหลักวิชาการ มีตัวหนังสือไม่มาก ชัดเจน อ่านง่าย สวยงาม น่าสนใจ
20 2.2 พูด/ออกเสียง ให้ชัดเจน ไม่พูดเร็วเกินไป 2.3 ฝึกซ้อมการนำเสนอหลาย ๆ ครั้ง จนขึ้นใจ มั่นใจ และ ไม่เกินเวลา 2.4 แต่งกาย แสดงหน้าตาสะอาดเรียบร้อย ท่าทาง แววตา ดูดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร 2.5 ไปถึงที่นำเสนอก่อนเวลา 2.6 ตรวจสอบ/สอบทาน Slides ก่อนนำเสนอ ให้มั่นใจ กับเครื่องที่นำเสนอจริง 2.7 ไม่อ่านทุกตัวอักษรใน Slides ให้ผู้ฟัง โดยพูดเป็นความหมายรวม หรือ ขยายความ ให้ชัดเจน 2.8 ใช้ภาพกิจกรรม ใน Slide 23-24 เพื่อใช้เวลาให้หมด จะได้ไม่เหลือเวลามาก ในการซักถาม 2.9 ใช้End Technique เพื่อไม่ให้เกินเวลา 2.10 ไม่ต้องรีบตอบคำถาม ให้เกียรติผู้ถาม ไม่ตอบว่า “ไม่รู้” เด็ดขาด 4.5 หลักการ เทคนิค และ วิธีการ ในการนำเสนอผลงานวิจัย ด้วย โปสเตอร์ 1. ยึดหลักการ เช่นเดียวกับการนำเสนอผลงานวิจัย Oral Presentation ทั้งการวิเคราะห์ผู้ชม การให้ เกียรติผู้ชม การแสดงความน่าเชื่อถือในทุกอิริยาบถ และความตรงต่อเวลาที่กำหนด ในการนำเสนอผลงาน 2. ใช้เทคนิค และ วิธีการ ในการนำเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ที่ดี คือ 2.1 จัดทำ Poster ให้มีเนื้อหาครบถ้วนตามหลักวิชาการและข้อกำหนดของเวทีวิชาการ เด่น สวยงาม น่าสนใจ ในการนี้ สามารถศึกษารายละเอียดได้ ใน Website ต่าง ๆ เช่น google โดยพิมพ์คำว่า การ นำเสนอด้วยโปสเตอร์ (Poster presentation) ลงไป ค้นหา คัดเลือก และ จัดทำ จนเกิดความชำนาญ 2.2 ติด Poster ตามวัน เวลา และสถานที่ ที่เวทีวิชาการกำหนด 2.3 แต่งกายสะอาดเรียบร้อย ท่าทาง แววตา ยิ้มแย้มแจ่มใส น่าพูดคุยด้วย 2.4 พูด/ออกเสียง ในการอธิบาย ให้ชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น 2.5 เน้นการช่วยให้ผู้ชมได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก Poster อย่างรวดเร็ว สะดวก ง่าย และ เอื้อต่อการติดต่อสร้างสัมพันธ์ เป็น Network กันต่อไป 3. สิ่งที่ช่วยให้การนำเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ ประสบความสำเร็จ ได้แก่ 3.1 Define the Purpose ของการจัดทำ Poster ให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจะเอาไปใช้ในกรณีใด และให้ได้อะไร? เพื่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า 3.2 Sell your work ให้ผู้มาชมได้ภายใน 10 วินาที ที่เขาผ่านมาหน้า Poster 3.3 ตั้งชื่อเรื่อง (The Title) ให้โดดเด่น น่าสนใจ สะดุดตาผู้ชมที่ผ่านมา 3.4 ให้ Poster ได้รับการยอมรับ (endose) จากผู้มาชม 3.5 เขียนทุกส่วน/หัวข้อ ให้เป็น Paper วิชาการ ที่ดีและทรงคุณค่า 3.6 จัดทำให้เป็น Unique Feature ไม่ต้องมีเนื้อหามากมาย 3.7 จัดทำ Layout และ Format ให้สวยงาม น่าดู ตัวหนังสือไม่มาก ขนาดใหญ่เห็นชัดเจน สบาย ตา เนื้อหาหลักอยู่ที่ระดับสายตาของผู้ชม 3.8 จัดทำเนื้อหาให้Concise ผู้ชมสามารถเข้าใจ และเข้าถึงประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ใช้รูป, ตาราง, Graph, Flowchart ฯลฯ ที่เหมาะสมอย่างมีศิลปะ
21 3.9 ให้ Poster แสดง Personality ของเรา ให้ผู้ชมสามารถเข้าถึง และเชื่อมความสัมพันธ์กัน ต่อไปได้โดยสะดวก เช่น รูปถ่าย, เบอร์โทร., E mail, QR code ฯลฯ 3.10 ทำให้ Poster เกิด Maximum Impact ทั้งก่อน ขณะ และ หลัง การนำเสนอ 4.6 เทคนิคการเรียนลัดในการเขียนและนำเสนอผลงานวิจัย เพื่อช่วยให้การเขียนและนำเสนอผลงานวิจัย สามารถทำได้ดี ครบถ้วน ตามหลักวิชาการ รวดเร็ว และ มีประสิทธิภาพ จึงขอสรุปกิจกรรมของการดำเนินงาน ที่เป็นเทคนิคในการเรียนลัด เป็น 5 กิจกรรมหลัก โดย ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ 1. การสรุปสาระสำคัญของการวิจัย ที่ต้องการเขียนและนำเสนอ เป็นผลงานวิจัย 2. การจัดทำ บทคัดย่อ 3. การจัดทำ Slide การนำเสนอผลงานวิจัย แบบ Oral presentation ประมาณ 20-25 Slides หรือ การนำเสนอด้วยโปสเตอร์ (Poster presentation) 4. การ Present ผลงานวิจัย ในที่ประชุมทางวิชาการ ด้วย แนวคิด หลักการ และ วิธีการ ของ KM (Knowledge Management) 5. การจัดทำ “นิพนธ์ต้นฉบับ” (Original Paper/Article) ลงตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ 4.7 การตีพิมพ์ผลงานวิจัย ในวารสารทางวิชาการ การตีพิมพ์ผลงานวิจัย ในวารสารทางวิชาการถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่ง ของการทำวิจัย พบว่า งานวิจัยที่ได้รับทุนจาก วช.หลังดำเนินการเสร็จสิ้น คือส่งเล่มผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์และได้รับเงินงวดสุดท้าย แล้ว ประมาณครึ่งหนึ่ง “ไม่ได้ตีพิมพ์” ผลงานวิจัยนั้น ในวารสารทางวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิของ วช. ได้ให้ ความเห็นว่า งานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้เขียนผลงานวิจัยเผยแพร่ในวารสาร ให้ทราบทั่วกัน เปรียบเสมือน “ไม่ได้ทำ” สอดคล้องกับการที่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้กำหนดให้นิสิตนักศึกษาที่ทำ วิทยานิพนธ์ ซึ่งถือเป็นผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง จะสำเร็จการศึกษาได้โดยสมบูรณ์เมื่อได้เผยแพร่ผลงาน วิทยานิพนธ์นั้น ในเวทีวิชาการหรือวารสารทางวิชาการที่มีคุณภาพสูงแล้ว โดยมีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 แนวทางการตีพิมพ์ผลงานวิจัย ในวารสารทางวิชาการ สามารถดำเนินการได้ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความโดดเด่น ของผลการวิจัย (Research Results) ของเรา 2. สรรหาและคัดเลือกวารสารทางวิชาการ ที่มีความเป็นไปได้ที่จะรับตีพิมพ์งานวิจัยของเรา และควร มีตัวเลือกไม่น้อยกว่า 3 วารสาร 3. ศึกษา “คำแนะนำผู้นิพนธ์” ของวารสารที่เราตั้งใจที่จะเขียนผลงานวิจัยของเราลงตีพิมพ์ 4. ศึกษา Style การเขียนผลงานวิจัยของวารสาร โดยดูจากผลงานวิจัยที่ลงตีพิมพ์ในวารสารนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานวิจัยที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับผลงานวิจัยของเรา 5. ศึกษา “ผลงานวิจัย” ของวารสาร เพื่อนำมาเป็นเอกสารอ้างอิง (Reference) ในผลงานวิจัยของเรา
22 6. เขียนผลงานวิจัยของเราตาม Style การเขียนผลงานวิจัยของวารสาร ที่ไม่ใช่การคัดลอก แต่เป็น การเขียนใหม่ (Paraphrase) 7. ส่งผลงานวิจัยของเรา ไปยังวารสาร อย่างถูกต้องตามข้อกำหนดและเวลา ของวารสาร อย่าง เคร่งครัด 8. ติดตามผลการดำเนินงาน และผลการพิจารณาของวารสารอย่างใกล้ชิด ถ้าได้รับแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข ให้ดำเนินการทันที ด้วยความเคารพใน Reviewers ที่ให้คำแนะนำ 9. ถ้าได้รับการตอบปฏิเสธการลงตีพิมพ์ในวารสาร ไม่ต้องเสียใจ ให้ถือเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า เป็นโอกาสในการพัฒนา ด้วยการวิเคราะห์ให้เกิดการเรียนรู้ที่ได้รับ แล้วพิจารณาคัดเลือกวารสารฉบับอื่นที่เป็น ตัวเลือก แล้วดำเนินการตั้งแต่ข้อ 3 อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ดีกว่าเดิม 10. ให้มีความมุ่งมั่นในการลงตีพิมพ์ผลงานวิจัยของเราในวารสาร ไม่ท้อถอย อย่างน้อยที่สุด ให้ลง ตีพิมพ์ในหนังสือสรุปผลงานวิจัยประจำปี ที่จัดพิมพ์โดยหน่วยงานของเรา ที่เป็น Literature สามารถใช้อ้างอิง ได้ และไม่ถูกตัดสิทธิในการลงตีพิมพ์ในวารสาร 4.8 การเขียนรายงานการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย สามารถเขียนรายงานได้ 5 แบบ คือ 1. การเขียนรายงานแบบโครงการ (Project Report) 2. การเขียนรายงานแบบวิจัยฉบับสมบูรณ์ (Full Research Paper) 3. การเขียนรายงานแบบนิพนธ์ต้นฉบับ (Original articles / Manuscripts) ซึ่งงานวิจัยแต่ละเรื่อง สามารถเขียนได้หลาย Paper แต่ต้องไม่ซ้ำกัน 4. การเขียนรายงานแบบหนังสือ (Books) หรือ คู่มือการปฏิบัติงาน (Manual) โดยงานวิจัยแต่ละเรื่อง สามารถเขียนได้หลายเล่ม 5. การเขียนรายงานแบบตำรา (Textbooks) ที่ใช้เป็นตำราหลัก ในการเรียนการสอนวิชาในหลักสูตร ของสถานศึกษา อย่างเป็นทางการ การเขียนรายงานแต่ละแบบ ต่างก็มีหลักการและวิธีการ ที่จำเพาะ หรือ เป็นเอกลักษณ์ ของตน แต่ ควรมีคุณสมบัติของ Knowledge Asset: KA คือ ทำให้“ผู้อ่าน”เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะนำเนื้อหาที่อ่าน ไปลง มือทำ ขยายผล และ ต่อยอด ให้กว้างขวาง ลึกซึ้ง รวดเร็ว มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ มากยิ่ง ๆ ขึ้น 4.9 การเขียนนิพนธ์ต้นฉบับของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย การเขียนนิพนธ์ต้นฉบับ (Original articles หรือ Manuscripts) เป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งของการพัฒนา งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย สมควรที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจะมุ่งฝึกฝนพัฒนาตนเอง ให้สามารถเขียนได้อย่าง ถูกต้องว่องไว แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง จึงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของผู้ปฏิบัติงาน ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย
23 แนวทางในการเขียนนิพนธ์ต้นฉบับ ของผลงานวิจัยที่ดีที่ได้จากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย มีหัวข้อใน “การเขียน” 26 หัวข้อ ดังนี้ 1. ชื่อผลงานวิจัย 2. ชื่อผู้นิพนธ์งานวิจัย 3. บทคัดย่อ 4. คำสำคัญ (Key words) 5. ความเป็นมาและความสำคัญของสิ่งที่วิจัย (งาน ปัญหา การแก้ไข) 6. วัตถุประสงค์การวิจัย (จะทำอะไร) 7. แบบการวิจัย (Research Design) และ Intervention ที่ใช้ในการวิจัย 8. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (Population and Sample) 9. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Research Instruments) 10. ขั้นตอนและวิธีการในการดำเนินงานวิจัย (Research Steps) 11. ขั้นตอนและวิธีการในการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานใหม่ 12. การวิเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัย และสถิติที่ใช้ในการวิจัย 13. ผลการวิจัย (Research Results) 14. ผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานใหม่ (ทั้ง Inputs, Process, Outputs) 15. ตัว“รูปแบบการดำเนินงานใหม่ (The New Model)” ที่พัฒนาขึ้น 16. การเปรียบเทียบรูปแบบใหม่ กับ รูปแบบเดิม 17. ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ระหว่าง ก่อน กับ หลัง การนำ “รูปแบบ” ที่พัฒนาขึ้น ไป ดำเนินการ (ควรเปรียบเทียบ “แต่ละปี” ในช่วงเวลาเดียวกัน) 18. กราฟเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ระหว่าง ก่อน กับ หลัง การนำ รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ไป ดำเนินการ 19. อภิปรายผลการวิจัย (Research Discussions) 20. สรุปสิ่งที่ได้จากการวิจัย (โดดเด่น สั้น ชัดเจน) 21. ข้อเสนอแนะในการนำสิ่งที่ได้จากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ (ที่ทำได้จริง) 22. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยต่อไป (เรื่องเดิม และเรื่องใหม่) 23. กิตติกรรมประกาศ 24. การอ้างอิงในเนื้อหาของนิพนธ์ต้นฉบับ (ตามข้อกำหนดของวารสาร) 25. เอกสารอ้างอิง (ตามข้อกำหนดของวารสาร) 26. บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (ควรได้รับการแก้ไขจากเจ้าของภาษา: Native)
24 4.10องค์ความรู้และเทคนิคที่จำเป็น ในการดำเนินงาน และการพัฒนา งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ในการดำเนินงานและการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มีองค์ความรู้และเทคนิคที่จำเป็น ไม่ น้อยกว่า 30 เรื่อง ดังนี้ 1. ปรัชญาการวิจัย และ ปรัชญาการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย (Philosophy of Research & Philosophy of R2R) 2. ความรู้พื้นฐานของการทำงาน (Fundamental Knowledge of Working) 3. เป้าหมายของการทำงาน (Goal of Working) 4. หลักการบริหาร (Principle of Managing) 5. หลักการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Principle of Change Management) 6. หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Principle of Management by Participation: MBP) 7. หลักการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์(Principle of Management by Results: MBR) 8. หลักการบริหารตามสภาวการณ์(Principle of Situational Management) 9. หลักการวิเคราะห์สภาวการณ์ (Principle of Situation Analysis) 10. แนวคิดการมองปัญหาเชิงสร้างสรรค์(Creative View of Problem Concept) 11. หลักการวิเคราะห์ปัญหา (Principle of Problem Analysis) 12. หลักการของดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงาน (Principle of Working Indicators) 13. หลักการของระบบการดำเนินงาน (Principle of Working Systems) 14. หลักการของระบบงานบริการ (Principle of Service Systems) 15. หลักการของวงจรเดมมิ่ง (Principle of Deming Cycle: PDCA) 16. หลักการนำสิ่งที่ได้จากการดำเนินงานไปใช้ประโยชน์(Principle of Utilizing) 17. หลักการบริหารเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (Principle of IT Management) 18. หลักการบริหารการติดต่อสื่อสาร(Principle of Communication Management) 19. หลักการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Principle of Continuing Improvement) 20. หลักการทำงานเป็นทีม (Principle of Team Working) 21. หลักการเสริมพลัง (Principle of Empowerment) 22. เทคนิค How to do ในการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องสู่ความยั่งยืน 23. SOAR Technique เพื่อการพัฒนางานและองค์การอย่างมีประสิทธิภาพ 24. หลักการทบทวนวรรณกรรม (Principle of Literature Review) ในการวิจัย 25. หลักการจัดการความรู้ (Principle of Knowledge Management: KM) 26. หลักการเขียนผลงานวิจัย (Principle of Research Writing) 27. หลักการของระเบียบวิธีวิจัย (Principle of Research Methodology) ได้แก่ -แบบการวิจัย (Research Design) -ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (Population and Sample)
25 -เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Research Instruments) -การเก็บข้อมูลการวิจัย (Data Collection) -การทำความสะอาดข้อมูล (Data Cleaning) ก่อนการวิเคราะห์ -การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) -สถิติที่ใช้ในการวิจัย (Research Statistics) -การพิสูจน์สมมติฐานการวิจัย (Hypothesis Testing) 28. หลักการสร้างและพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน (Principle of Working Model Development / Improvement) 29. หลักการอภิปรายผลการวิจัย (Principle of Research Discussion) 30. หลักการให้ข้อเสนอแนะจากการวิจัย (Principle of Research Recommendation) 4.11 ขั้นตอน และวิธีการ ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน จำแนกเป็น 7 ขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ใช้หลักปรัชญา ที่สรุปว่า ปรัชญาเป็นกลุ่มกิจกรรมของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหา ความรู้และความจริงทั้งหลายของสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก และ ความ ปรารถนาดี ต่อทุกสรรพสิ่ง เพื่อนำไปสู่ความรู้ที่แท้จริงที่เรียกว่า “ปัญญา” ของสิ่งนั้น ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการ พัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน คือ “ใจ (Spirit)” ที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก (Love) และความ ปรารถนาดี ต่อทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานตามภารกิจนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อ “ผู้รับบริการ” ด้วย ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และ ไม่ย่อท้อ อย่างจริงใจ ตลอดเวลา สิ่งนี้ คือ ปรัชญาการทำงานของมนุษย์ ที่เป็นสัตว์ ประเสริฐ นั่นเอง ขั้นที่ 2 ใช้SOAR Technique (Strengths, Opportunities, Aspirations, Results) ที่ Stavros, Cooperrider และ Kelly ได้พัฒนาขึ้น ในปี 2005 และ ได้มีการนำมาใช้ในกระบวนการพัฒนาองค์การ (Organization Development: OD) อย่างแพร่หลาย ดังภาพที่ 4
26 ภาพที่ 4 SOAR Technique SOAR Technique เป็นวิธีการ ในการวิเคราะห์และพัฒนาองค์การหรือหน่วยงาน นักวิชาการหลาย คนมักคิดว่าพัฒนามาจาก SWOT Analysis ที่ได้นำมาใช้ในการวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) ที่เป็นปัจจัยภายในองค์การ และ การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) ภาวะคุกคาม (Threats) ที่เป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกองค์การ แล้วนำเอาข้อมูลที่ได้ มาวางแผนกลยุทธ์ของหน่วยงานหรือ องค์การของตนเอง แต่พบว่า การใช้ SWOT Analysis ซึ่งถือเป็นเครื่องมือ ในการ “วิเคราะห์องค์การ (Organization Analysis)” ยังมีประสิทธิภาพต่ำ เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก องค์การ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การวางแผนพัฒนาองค์การ (Organization Development Planning)” โดยใช้ SWOT ขาดการเชื่อมโยงของ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และ เป้าหมายในอนาคต ของหน่วยงาน หรือองค์การ และยังเป็นการวิเคราะห์แบบ Top-down ที่ขาดการมีส่วนร่วมจากหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อย่างจริงจังและทั่วถึง แต่ในปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง คู่แข่งขัน ทั้งหลาย ต่างก็มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเช่นกัน ทำให้ข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วเมื่อหลายวันหรือ หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ถูกต้องและไม่เป็นปัจจุบัน อาจต้องทำการวิเคราะห์และวางแผนใหม่ เพราะแผนที่วาง ไว้อาจจะมีจุดอ่อนเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างเพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ดังนั้น การวางแผนทางกลยุทธ์ที่ เหมาะสมกับองค์การสมัยใหม่ จึงหันมาใช้แนวคิดและแนวทางในการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก (Positive Thinking of Change Management) นำมาสู่การบริหารองค์การของผู้นำแบบ Appreciative Leadership: AL ที่ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า SOAR Technique ซึ่งมีความหมาย ดังนี้ Organization Development by SOAR Technique Better Efficiency than Problem Based Approach Due to Positive Thinking Approach
27 S=Strength เน้นที่จุดแข็งขององค์การ ทั้งด้านปัจจัยและความสำเร็จ ที่องค์การของเรา “สามารถทำ ได้แล้ว” ในอดีตที่ผ่านมา O=Opportunities โดยวิเคราะห์ว่า มีปัจจัยและสิ่งสนับสนุนอะไรบ้าง ที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ กับองค์การของเรา ในการนำไปสู่ความสำเร็จ ของสิ่งที่ต้องการในอนาคต ทั้งปัจจัยที่อยู่ภายในองค์การ และ ปัจจัยภายนอกองค์การ A=Aspirations ด้วยการเชื่อมโยง วิสัยทัศน์ พันธกิจ และ เป้าหมายในอนาคต ของหน่วยงานหรือ องค์การ ให้เป็นเป้าหมายที่ทุกคนในหน่วยงานหรือองค์การ ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการจัดทำให้เป็น แรงบันดาลใจร่วม (Aspiration Power) ที่ทรงพลัง R=Results หรือ Reports คือ ผลลัพธ์ หรือ รายงานผลการดำเนินงาน ที่หน่วยงานหรือองค์การ ต้องการ ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยแนวคิด หลักการ และ วิธีการ ของการบริหาร แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Management by Results: MBR) โดยจัดทำให้เป็นเอกสาร (Documents) ที่เป็น Knowledge Asset: KA ในการนี้R2R2E ถือเป็นตัวอย่างที่ดี ข้อดีของการใช้ SOAR Technique คือ 1. ทุกคนในหน่วยงานหรือองค์การ มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ วางแผนงาน และ ทำตามแผนงานนั้น ตามแนวคิดพื้นฐานด้าน AI (Appreciative Inquiry) ซึ่งจะทำให้และ/หรือก่อให้เกิดการร่วมมือกันทำงานให้ บรรลุเป้าหมาย ได้ดีกว่าวิธี Top-down 2. เป็นการสร้างวัฒนธรรมภายในองค์การเชิงบวก โดยมุ่งไปที่จุดแข็งและสิ่งที่ทำได้โดย “ประสบ ความสำเร็จแล้ว”ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ค้นหาสิ่งที่เป็นโอกาสที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ ทั้งปัจจัยภายในและ ปัจจัยภายนอก แล้วช่วยกันสร้างแรงบันดาลใจของพวกเราทุกคน ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกัน และ ช่วยกันกำหนดผลงานที่ตั้งไว้ในแต่ละช่วงเวลา 3. SOAR Technique เป็นตัวเชื่อมโยง วิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และเป้าหมาย (Goals) ที่ทุกฝ่ายได้ร่วมกันกำหนดขึ้น ให้เป็นรูปธรรมในเชิงแผนงาน ที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขัน ที่เป็นปัจจุบัน ได้อย่างทันกาล 4. ช่วยทำให้ขวัญ กำลังใจ การมีส่วนร่วม และ การทำงานเป็นทีม ของคนในหน่วยงานหรือองค์การ ดี ขึ้น เพราะสิ่งที่ทุกคนอยากเห็นอยากได้ ถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน โดยใช้กระบวนการ 4-D cycles ของ Appreciative Inquiry (AI) ขั้นที่ 3. ถอดบทเรียน (Lesson learned) จากผลการดำเนินงาน ของงานที่หน่วยงานหรือองค์การ ของพวกเรา “ทำไว้ในอดีต” ในระยะแรก ๆ ขอแนะนำให้นำผลงานที่ประสบความสำเร็จ มาถอดบทเรียนก่อน โดยนำผลงานที่มีลักษณะเป็นผลการดำเนินงานที่ดี (R2R แท้และดี: R2R2E) มา “เขียน” เป็นผลงานวิจัย การเขียน “ผลงานวิจัย” จากผลงานที่มีลักษณะเป็น R2R แท้และดี: R2R2E นั้น ใน “เรื่องแรก” ที่ทำ จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน –1 ปี โดยดำเนินการตามที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อ การนำเสนอผลงานวิจัยจาก การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในเวทีวิชาการ
28 เวลาที่ใช้ในการจัดทำผลงานวิจัยนั้น จะต้องใช้มากในขั้นตอนการลงตีพิมพ์ในวารสาร ซึ่งอยู่นอกเหนือ อำนาจการควบคุมของผู้วิจัย จึงขอเสนอให้ลงตีพิมพ์ไปก่อน ใน “หนังสือรายงานผลงานวิจัยประจำปี” ของ หน่วยงาน/องค์การ ซึ่งสามารถจัดทำได้เอง ขั้นที่ 4. เขียนผลงานวิจัย จากผลงานที่มีลักษณะเป็น R2R แท้และดี: R2R2E เรื่องต่อมา โดยเรื่องที่ 2 จะใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงประมาณ 4-6 เดือน และ เรื่องที่ 3 ก็จะใช้เวลาลดลงไปอีก โดยดำเนินการ เช่นเดียวกัน กับเรื่องแรก เมื่อได้เขียน “ผลงานวิจัย” จากผลงานที่มีลักษณะเป็นผลงานวิจัยที่ดี มาอย่างต่อเนื่องจนถึงเรื่องที่ 5 จะพบว่าใช้เวลาในการทำแต่ละเรื่องเพียงประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งถือว่าผู้วิจัยเป็น “ผู้นำ”ด้านการเขียน ผลงานวิจัยชนิดนี้ ขั้นที่ 5. เขียน “ผลงานวิจัย” เป็นภาษาสากล เช่น ภาษาอังกฤษ เพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ นานาชาติ ซึ่งจะพัฒนาสู่ R2E (Routine to Excellence) คือ การทำงานตามภารกิจหลักของเราให้เป็น ผลงานวิจัย ที่สามารถอวดได้ทั่วโลก แม้จะไม่ง่ายแต่ทำได้ ขั้นที่ 6. เขียน “ผลงานวิจัย” จากผลการดำเนินงานของงานตามภารกิจ ที่มีลักษณะเป็นผลการ ดำเนินงานที่ยังไม่ดี คือ ยังไม่เกิดการพัฒนา ด้วยการวิเคราะห์ความไม่สำเร็จ ซึ่งมักจะมีประโยชน์มากกว่า ผลงานที่สำเร็จ แต่ยังไม่ค่อยมีผู้เขียนผลงานวิจัยในลักษณะนี้ ขั้นที่ 7. จัดทำโครงการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน อย่างต่อเนื่อง โดยจัดทำเป็น Research Proposal เพื่อขอใบรับรองจริยธรรมการทำวิจัยในมนุษย์(Etical Certificate: EC) เพื่อคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นมาตรฐาน สากล เริ่มจากงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน แล้วขยายไป จนครอบคลุมทุกงาน ในขั้นที่7นี้“ทุกคน”ในหน่วยงานสามารถเขียนผลงานวิจัยในแต่ละงานที่แต่ละคนทำ ได้ปีละไม่น้อย กว่า 1 เรื่อง ทุกปี ซึ่งทุกหน่วยงาน/องค์การ สามารถจัดทำได้ โดยไม่ยุ่งยากมาก ด้วยการพัฒนาให้เกิด “ระบบ และกลไก” (System and Mechanism) ที่ชัดเจน และ เอื้ออำนวย พร้อมทั้งมีการดำเนินงานอย่างจริงจัง เข้มแข็ง และ ต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่ การพัฒนาที่ยั่งยืน ในการนี้ จำเป็นต้องมี“แกนกลาง” ในการดูแล บริหาร/จัดการ ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน ให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น และ มีประสิทธิภาพ ตลอดเวลา
29 4.12 การจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน การจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน ดำเนินการได้โดยไม่ยุ่งยาก โดย มี 4 กิจกรรมที่สำคัญ ดังนี้ 1. จัดทำ “โครงการ” ฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การ ควรเป็น โครงการต่อเนื่องที่ใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยให้สอดรับกับแผนพัฒนาองค์การในระยะยาว ในการนี้ ตัวชี้วัดหลัก (Key Performance Indicator: KPI) ตัวหนึ่ง ที่ต้องกำหนด คือ อัตราผลงานทางวิชาการ/จำนวน บุคลากรของแต่ละหน่วยงาน เช่น ในปีแรก ไม่น้อยกว่า 1 เรื่อง : 5 คน และ เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าปีละ 20% เป็น ต้น โครงการฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การ อาจแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การสร้างตัวแบบ (Role Model) ของการดำเนินงาน ที่ชัดเจน ปฏิบัติได้ เหมาะสม กับองค์การ และ มีประสิทธิภาพสูง จำนวนไม่น้อยกว่า 2 ตัวแบบ ในแต่ละหน่วยงานขององค์การ โดยใช้งาน บริการของหน่วยงานที่ยึด Customer เป็นหลัก อย่างครบวงจร แล้วพัฒนาเป็นตัวแบบขององค์การ จำนวนไม่ น้อยกว่า 5 ตัวแบบ ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ระยะที่ 2 การขยายผลจากตัวแบบ (Role Model Expansion) ให้เป็นพี่เลี้ยงในการขยายผล ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ในอัตราส่วน 1 ตัวแบบ ต่อ 3-5 หน่วยงาน ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของ หน่วยงานทั้งหมดขององค์การ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ระยะที่ 3 การขยายผลทั่วทั้งองค์การ (Organization-wide Expansion) ให้ทุกหน่วยงาน มี ผลงานทางวิชาการครบทั้ง 3 ด้าน คือ บทความ กรณีศึกษา และ งานวิจัย ที่ชัดเจน และมีการพัฒนาคุณภาพ ของผลงานทางวิชาการเหล่านั้น ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น อย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ระยะที่ 4 การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) ด้วยการผสมผสานการ พัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนี้ เข้าไปในกระบวนการดำเนินงานปกติของแต่ละหน่วยงาน โดยกำหนด เป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ มุ่งสู่การให้ “ทุกคน” ขององค์การ สามารถทำงานตามภารกิจหลัก ของตนให้เป็นผลงานทางวิชาการ (เน้นผลงานวิจัย) ไม่น้อยกว่าปีละ 1 เรื่อง ใช้เวลาประมาณ 2 ปี 2. ส่งเสริมสนับสนุนทีมงานผู้รับผิดชอบ ให้ร่วมกันจัดทำ “ระบบงาน” ของการดำเนินงานตามภารกิจ หลักสู่งานวิจัย ที่ชัดเจน เอื้อต่อการปฏิบัติ เหมาะสมกับองค์การ และ ช่วยกันพัฒนาให้มีคุณภาพ ประสิทธิผล และ ประสิทธิภาพ สูงยิ่ง ๆ ขึ้น ตลอดเวลา
30 3. จัดให้มีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Training) ในการทำงานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ของแต่ละคน ให้เป็นผลงานทางวิชาการ ในสถานการณ์จริง ด้วยการจัดหาวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถ มี ทักษะประสบการณ์สูง และ สามารถมาให้การอบรมที่ต่อเนื่อง ได้นานเพียงพอ โดยเน้นการพัฒนา “ทีมงาน ผู้รับผิดชอบ” และ “ผู้นำ (Leader)” ด้วยกระบวนการ Training for Trainer: T4T จนองค์การสามารถ ดำเนินการได้ด้วยตนเอง สู่ความยั่งยืน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ในการทำงานประจำของตนให้เป็นผลงานทางวิชาการ ในสถานการณ์จริง นี้ ในระยะแรก จำเป็นต้องอาศัยวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถและมีทักษะประสบการณ์สูงจากภายนอก องค์การ แต่ในขณะที่มีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนั้น ๆ ทีมงานผู้รับผิดชอบขององค์การ จะต้องมาเรียนรู้ หลักการ วิธีการ และ เทคนิค ต่าง ๆ เพื่อให้องค์การสามารถดำเนินการต่อไป ได้ด้วยตนเอง อย่างมั่นใจและมี ประสิทธิภาพสูง ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยอาจเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้ความสามารถและมีทักษะ ประสบการณ์สูงมา “กระตุ้น (Booster)” เป็นครั้งคราว ตามความเหมาะสมและจำเป็น 4. จัดให้มีสิ่งที่ช่วยสนับสนุน การจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในองค์การ ได้แก่ 4.1 การจัดเวทีให้มีการนำผลงานจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนี้ มาเผยแพร่ ทั้ง การนำเสนอ (Presentation) และ การพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะ “เป็นประจำ” ทั้งภายใน และ ภายนอก หน่วยงาน/องค์การ อย่างเหมาะสม และกว้างขวาง ที่สุด 4.2 สนับสนุน และ ส่งเสริม การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย อย่างเข้มแข็ง จริงจัง จริงใจ และ ต่อเนื่อง ตลอดไป จนเป็นค่านิยมร่วม (Common Value) หรือ วัฒนธรรมขององค์การ (Organizational Culture) อย่างแท้จริง 4.3 จัดให้มีผู้ช่วยเหลือ ในการ “เขียนผลงานวิจัย” ที่มีความรู้ความสามารถ มีทักษะประสบการณ์ สูง มีความเข้าใจในกระบวนการและวิธีการ และสามารถจัดสรรเวลาให้กับการดำเนินงานนี้ได้อย่างเพียงพอ ทันเวลา และทันใจ ซึ่งถ้าได้ “ผู้นำ” ด้าน R2R ที่ผ่านขั้นที่ 4 ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยใน หน่วยงานมาแล้ว จะดีมาก จะช่วยให้สามารถยืนบนขาของตนเองได้ นำสู่ความยั่งยืน ของการพัฒนา R2R ของ องค์การ 4.13 วิธีการในการจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน ในการจัดฝึกอบรมการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยในหน่วยงาน ให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ สูงนั้น ใช้การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Training) เป็นระยะ ๆ รวมรุ่นละ 5 วันอบรม ดังนี้ วันอบรมที่ 1 ในช่วงเช้า จัดบรรยายแนวคิด หลักการ และ วิธีการ ในการทำงานประจำให้เป็น ผลงานทางวิชาการ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดยเน้นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของผู้เข้าฝึกอบรม พร้อม ยกตัวอย่าง “ผลงานจริง” ที่ชัดเจนและดูไม่ยุ่งยากในการดำเนินงาน การบรรยายช่วงเช้านี้ สามารถจัดเป็นการ บรรยายให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป ทั้งบุคลากรภายในองค์การ และ บุคคลภายนอกองค์การ ซึ่งเป็นบริการทาง วิชาการ
31 ในช่วงสาย ๆ และ ช่วงบ่าย จะจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การเขียนผลงานวิจัย จาก ผลงานดีๆ ที่ได้ทำมาแล้วนานกว่า 3 ปี กับกลุ่มเป้าหมาย และฝึกหัดการทำ Slide เพื่อนำเสนอผลงานวิจัย แบบ Oral Presentation 10 นาที ในเวทีวิชาการ แล้วมอบ “การบ้าน” ให้แต่ละ “ทีมงาน (เรื่อง)” ไป ปรับแต่งให้สมบูรณ์ขึ้น และ เตรียมการนำเสนอความก้าวหน้า ในวัน/ครั้ง ต่อไป ประมาณเรื่องละ 20 Slides ในตอนท้ายของวันนี้ จะเปิดให้มีการอภิปราย ซักถาม เพิ่มความเข้าใจ และ คณะผู้เข้าฝึกอบรม ผู้รับผิดชอบ การฝึกอบรม และ วิทยากร จะช่วยกันสรุปการเรียนรู้ (After Action Review: AAR) และ การทำการบ้าน ด้วยการจัดชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice: CoP) จากผู้เข้าฝึกอบรม 2-3 ทีมงาน ต่อกลุ่ม ตาม ความเหมาะสมด้วยความสมัครใจ เพื่อช่วยกันปรับแต่งและพัฒนาผลงานของแต่ละทีมงานให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้น และ เตรียมนำเสนอผลงาน ในที่ประชุม ในวันอบรมที่ 2 ให้เกิดความมั่นใจ วันอบรมที่ 2 (ห่างจากวันอบรมที่ 1 ประมาณ 2-6 สัปดาห์) ในช่วงเช้า นำเสนอความก้าวหน้าของ แต่ละทีมงาน เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน แล้วนำเสนอ Oral Presentation ผู้เข้าฝึกอบรม เรื่องละ ~ 10 นาที ซักถาม-เติมเต็มความรู้ความเข้าใจ 3-5 นาที โดยประยุกต์ เทคนิคของ Knowledge Sharing: KS, เรื่องเล่าเร้าพลัง (Dialogue) และการวิพากษ์เชิงบวกแบบเสริมพลัง (Empowerment Commentation) เนื่องจากในการนำเสนอนี้ หลายคนอาจเป็นการนำเสนอ “ครั้งแรก” ใน ชีวิต จึงควรช่วยให้เขาเกิดกำลังใจ และ เกิดความภาคภูมิใจ ในการนำเสนอผลงานวิจัยครั้งนี้ และ เกิดแรง บันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น โดยสามารถพัฒนาต่อไปเป็น Original Article ลง ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการได้ อย่างมั่นใจและสุขใจ จึงต้องไม่เคร่งครัดเรื่อง Research Methodology เน้นการ ผ่อนคลายอย่างสนุกสนาน ความจริง ประโยชน์ต่อผู้ป่วย/ประชาชน/ผู้รับบริการ และ ต้องไม่มีการตำหนิผู้ นำเสนอ ด้วยการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่ผู้นำเสนอและผู้ฟัง ช่วงบ่าย นำเสนอ Oral Presentation ของผู้เข้าฝึกอบรม ต่อ จนครบทุกกลุ่ม ถ้ามีจำนวนกลุ่มมาก สามารถจัดห้องนำเสนอเพิ่ม หรือ จัดวันนำเสนอเพิ่ม ในตอนท้ายของวันนี้ ก็จะเปิดให้มีการอภิปราย ซักถาม เพิ่มความเข้าใจ เช่นกัน และ มอบ “การบ้าน” ให้แต่ละกลุ่ม/ทีมงาน ไปปรับแต่งให้สมบูรณ์ขึ้น และ เตรียม จัดทำ “บทคัดย่อ (Abstract)” ของผลงานวิจัย เพื่อส่งไปขอนำเสนอในการประชุมวิชาการ ตามข้อกำหนด คำแนะนำ และ แบบฟอร์ม ของผู้จัดการประชุมวิชาการเวทีนั้น อาทิเช่น การประชุมวิชาการประจำปีของ กระทรวงสาธารณสุข ที่จัดโดยสำนักวิชาการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ในการนี้ ชุมชนนัก ปฏิบัติ (CoP) ที่ได้จัดตั้งและพัฒนาไว้ สามารถมาช่วยเสริมการพัฒนาผลงานของแต่ละทีมงาน ให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้น ด้วยกระบวนการทำงานเป็นทีม การจัดการความรู้การพัฒนาเครือข่ายการพัฒนาสู่ความยั่งยืน โดยมา ช่วยกันในการทบทวนวรรณกรรมและการเตรียมนำเสนอผลงานในวันอบรมครั้งต่อไป ให้ดีและมีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น วันอบรมที่ 3 (ควรห่างจากวันอบรมที่ 2 ประมาณ 2-6 สัปดาห์) ในช่วงเช้า นำเสนอ Abstract ผลงานวิจัยของแต่ละทีมงานในที่ประชุมใหญ่ ทีมละ ~ 5 นาที ด้วยบรรยากาศเชิงวิชาการ ที่สร้างสรรค์และให้ กำลังใจ แล้วช่วยกัน “ถอดบทเรียน” ของแต่ละทีมงาน/คณะผู้วิจัย เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน และ นำมาประยุกต์ ในการพัฒนางานของตน งานของหน่วยงาน และ การพัฒนาตนเอง ของคณะผู้วิจัยทุกกลุ่ม
32 ในช่วงบ่าย จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ในการเขียนผลงานวิจัยเพื่อการลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ โดยการทำงานเป็นทีม ด้วยความช่วยเหลือของวิทยากร และการส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือจากทีม ผู้รับผิดชอบการฝึกอบรม ทั้งการศึกษาค้นคว้าทบทวนวรรณกรรม (Literature Reviews) และ ช่วยกันจัดทำ Version ที่ 1 ของ “นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article)” เพื่อการลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ แล้วนำมา แลกเปลี่ยนเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน และ นำมาประยุกต์ในการพัฒนาผลงานวิจัยของตน แล้วให้ “การบ้าน” ไป ปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้น และ เตรียมการนำเสนอ ในวันอบรมครั้งต่อไป วันอบรมที่ 4 (ห่างจากวันอบรมที่ 3 ประมาณ 2-6 สัปดาห์) ในช่วงเช้า นำเสนอความก้าวหน้าของ แต่ละทีมงาน แล้วให้แต่ละ CoP คัดเลือกผลงานเด่นของแต่ละกลุ่มมานำเสนอผลงาน ต่อที่ประชุมใหญ่ เรื่อง ละ ~ 15 นาที ช่วยกันปรับแต่งผลงานของแต่ละเรื่อง เป็น Version ที่ 2 ของ Original Article และ ถือเป็น ตัวอย่างที่ดี ที่จะเป็นแบบอย่างเบื้องต้น ให้กับเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ในช่วงบ่าย นำเสนอ Original Article ต่อ จนครบทุกเรื่อง ถ้ามีจำนวนเรื่องมาก สามารถจัดห้อง นำเสนอเพิ่ม หรือ จัดวันนำเสนอเพิ่ม ในตอนท้ายของวันนี้ ก็จะเปิดให้มีการอภิปราย ซักถาม เพิ่มความรู้ความ เข้าใจ และ AAR เช่นเดียวกับวันอบรมที่ผ่านมา และ มอบ “การบ้าน” ให้แต่ละกลุ่ม/ทีมงาน ไปดำเนินการ ตามสถานะของกลุ่ม/ทีมงาน ตน คือ 1) ถ้าจัดทำ Original article ได้แล้ว ให้ทีมงาน ไปค้นหา “ทีมงานของหน่วยงานอื่น” ที่มี ผลงานในการพัฒนางานของตนที่ชัดเจนในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา และยังทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แล้วไปช่วย เป็นพี่เลี้ยง ในการช่วยเขียนผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอในที่ประชุมใหญ่ขององค์การ หรือในเวทีวิชาการอื่น ๆ ให้กับทีมงานนั้น แล้วเตรียมนำเสนอผลงานวิจัยนั้น ในวันอบรมครั้งต่อไป หรือ จัดทำ ผลงานการพัฒนางาน ตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย “เรื่องที่ 2” ของตน แล้วนำเสนอผลงานวิจัยนั้น ในวันอบรมครั้งต่อไป ก็ได้ 2.) ถ้ายังจัดทำ Original article ไม่ได้ หรือ ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ให้ทีมงาน ไปจัดทำเพิ่มเติม แล้วรายงานความก้าวหน้า ในวันอบรมครั้งต่อไป พร้อม “แผน” ในการพัฒนาในระยะต่อไปด้วย ในทำนอง เดียวกันกับข้อ 1) ทีมผู้รับผิดชอบการฝึกอบรม จัดประชุมเตรียมสรุปการเรียนรู้และสิ่งที่ได้รับจากการดำเนินงาน ที่ ได้ทำมาตั้งแต่วันอบรมที่ 1 เพื่อนำมาเป็นข้อมูล/บทเรียน/ประสบการณ์ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำไปสู่ การพัฒนางาน/หน่วยงาน อย่างยั่งยืน ในช่วงต่อ ๆ ไป วันอบรมที่ 5 (ห่างจากวันอบรมที่ 4 ประมาณ 2-6 สัปดาห์) ในช่วงเช้า แต่ละทีม นำเสนอ ความก้าวหน้าของตน ทั้งความก้าวหน้าของการตีพิมพ์Original article ในวารสารวิชาการ และ ความก้าวหน้า ของการเป็นพี่เลี้ยง ในการช่วยเขียนผลงานวิจัยเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยให้กับทีมงานของหน่วยงานอื่น หรือ การจัดทำผลงานการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย เรื่องที่ 2, 3, 4, 5 ของทีมงานตนเอง หรือ การขยาย เครือข่ายไปช่วยงาน/หน่วยงาน อื่น ๆ ทั้งในองค์การและนอกองค์การ แล้วช่วยกันปรับแต่งผลงานของพวกเรา ในแต่ละทีมงาน เพื่อการนำมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้ร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์ ด้วย กระบวนการ KM ที่ครบวงจร
33 ในช่วงบ่าย จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ในการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การนี้ ให้ดี เหมาะสม และ มีประสิทธิภาพ มากขึ้น ในการดำเนินงานช่วงต่อไป และ สรุป ตัวแบบ (Role Model) ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การ ที่ได้ดำเนินการมา 4-5 เดือนแล้ว ทั้งในแต่ละทีมงาน แต่ละเรื่องที่เขียนผลงานวิจัย และ ในภาพรวมขององค์การ โดยเป็นตัวแบบที่สามารถทำได้จริงแล้ว ซึ่งจะเป็น ตัวอย่างที่ดี ให้กับหน่วยงาน/องค์การ อื่น ๆ ต่อไป บทเรียนและข้อมูลทั้งหลาย ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ด้วยกระบวนการ KM แล้วมาช่วยกันถอดบทเรียนทั้งหลาย ที่เกิดจากการที่ได้มีการร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการ ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ตั้งแต่วันอบรมที่ 1 มาจนถึง วันอบรมที่ 5 รวมทั้งสิ่งที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการ นอกห้องอบรม ตลอดระยะเวลา 4-5 เดือน ที่ผ่านมา เมื่อได้ช่วยกันรวบรวม ประมวล และ วิเคราะห์ จะได้ “องค์ความรู้” ที่มีคุณค่า ในการนำไปใช้เพื่อการปรับปรุงพัฒนา และ แก้ไขปัญหา ของการดำเนินงานตาม ภารกิจหลักขององค์การอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สมควรนำมาจัดทำเป็น Explicit Knowledge ที่เป็น “ความรู้ จริง” คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการ “ทำ” ด้วยตนเอง หลาย ๆ ครั้ง จนเกิดเป็น Skills ซึ่งหมายถึง ความ เชี่ยวชาญชำนาญอย่างแท้จริง ในการทำสิ่งนั้น Explicit Knowledge เหล่านี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า Knowledge Asset: KA ในกระบวนการ KM นั่นเอง Explicit Knowledge ที่คาดหวังหรือตั้งใจจะให้ได้รับ ในวันอบรมที่ 5 ช่วงบ่าย คือ 1. ได้ตัวแบบ (Role Model) ของการดำเนินงานพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยของ หน่วยงาน/องค์การ อย่างต่อเนื่อง ที่สามารถทำได้จริง และ สามารถนำไปประยุกต์/ใช้ ในหน่วยงาน/องค์การ อื่น ๆ ได้โดยสะดวก อย่างมั่นใจ พร้อมคำแนะนำหรือคำอธิบายที่ชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติ ที่เน้นการป้องกันปัญหาที่ อาจเกิดขึ้น ทั้ง Primary Prevention, Secondary Prevention, และ Tertiary Prevention รวมทั้งวิธีการ ในการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อย่างถูกต้อง เหมาะสม สร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ และ ครบวงจร 2. ได้ตัวอย่าง (Example) ของโครงการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยของหน่วยงาน/ องค์การ ที่ละเอียดและชัดเจน ทั้งกิจกรรม ช่วงเวลา และ ระยะเวลา ที่สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบเบื้องต้น (InitialPrototype)ให้กับหน่วยงาน/องค์การอื่น ๆได้โดย สะดวก ด้วยแนวคิด หลักการ และ วิธีการ ของ C&D (Copy and Development) ที่หลายประเทศนำมาใช้ อาทิเช่น จีน เกาหลี ฯลฯ แม้จะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ แต่ถ้าเราเน้นการทำ D (Development) ให้มาก ๆ คือ การปรับปรุงพัฒนา ให้ดีกว่าสิ่งที่ Copy มา จะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติมาก ทั้งด้านการพัฒนาคน และ การพัฒนาประเทศ 3. ได้แผนพัฒนา (Development Plan) งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยของหน่วยงาน/องค์การ ในอนาคต (5-10 ปี) 4. ได้ตัวอย่าง การปฏิบัติที่ดี (Good Practice) ของผลงานการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ งานวิจัย ที่น่าชื่นชมและเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้อ่าน/ผู้มาศึกษาเรียนรู้ เกิดความรู้สึกที่อยากนำไปเป็นตัวอย่าง/ ต้นแบบ ในการประยุกต์ ขยายผล และ ต่อยอด ทั้งการเขียนสาระสำคัญ การจัดทำ Slide Presentation การ เขียนบทคัดย่อ และ การเขียนนิพนธ์ต้นฉบับ ด้วยแนวคิด หลักการ และ วิธีการ ของ C&D เช่นที่กล่าวมา
34 “การบ้าน” ที่ควรมอบให้ทำ ในช่วงต่อไป หลังวันอบรมที่ 5 จนครบปี (อย่างน้อยอีก 6 เดือน) คือ 1. การผลักดันให้นำผลงานวิจัยของแต่ละทีมงาน ไปนำเสนอในเวทีวิชาการระดับสูงขึ้น จาก ระดับหน่วยงาน/องค์การ อย่างสง่างาม ผู้ทำมีความสุข และ ภาคภูมิใจ 2. การช่วยให้นำผลงานวิจัยของแต่ละทีมงานที่ร่วมกันพัฒนา ได้รับการลงตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการระดับเขตหรือระดับภาค ขึ้นไป 3. การเขียนผลงานวิจัยเรื่องที่ 2 ของแต่ละทีมงาน ซึ่งจะช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ พัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย มากขึ้น 4. การช่วยให้ทีมงาน “ของหน่วยงานอื่น” พัฒนาผลงานวิจัยของหน่วยงาน จนได้ไปนำเสนอ ผลงานวิจัย และ ได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ 5. การถอดบทเรียน ในการดำเนินงานโครงการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยขององค์การ เพื่อนำไปสู่การดำเนินงานในปีต่อไป ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการนำผลการดำเนินงานที่ได้ทำมาอย่าง ต่อเนื่องมาเขียนเป็นผลงานวิชาการ การจัดทำ Research Proposal เพื่อพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ที่จะนำไปสู่การขอใบรับรองการทำวิจัยในมนุษย์ (Ethical Certificate: EC) และ การพัฒนางานตามภารกิจ หลักสู่งานวิจัย อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในเรื่อง/งาน ใหม่ ของหน่วยงาน/องค์การ เมื่อถึงตอนนี้ เราก็จะได้ “ตัวแบบ (Role Model)” ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ขององค์การ ที่จับต้องได้เราไม่ได้คาดหวังว่า “ทุกทีม” จะสามารถเป็นตัวแบบได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้ถึงครึ่งหนึ่ง (50%) ของจำนวนทีมงานที่เข้าฝึกอบรมในครั้งแรกนี้ ที่สามารถพัฒนาเป็นตัวแบบได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะมีการเสริมสร้างตัวแบบเหล่านี้ ให้สามารถทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้และ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการลงมือปฏิบัติ (Tacit Knowledge) เหล่านี้เป็น Explicit Knowledge ที่มีคุณค่า และช่วยขยายผลในการสร้าง “ตัวแบบใหม่ ๆ” ให้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในองค์การของพวกเรา อย่างมีความสุข และมี Productivities ที่ดียิ่ง ๆ ขึ้น 4.14 การเขียน Research Proposal การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย เนื่องจากการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย หรือ ที่เรียกว่า R2R นั้น เป็น “วิจัย (Research)” การเขียนโครงร่างการวิจัย (Research Proposal) จึงเขียนตามหลักการเขียน Research Proposal ทั่วไป ที่ ได้กล่าวไว้แล้ว ในบทที่ 1-8 และ ในตำราวิจัยที่ใช้สอนในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ แต่ในการพัฒนา งานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนั้น เราเน้นที่ความเรียบง่าย จึงขอนำเสนอประเด็นที่สมควรพิจารณา เพื่อการ เขียน Research Proposal ให้สามารถพัฒนางานและแก้ปัญหา ของงานตามภารกิจหลัก ได้อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพสูง โดยไม่ก่อให้เกิดความทุกข์และภาระที่มากนัก ต่อผู้ปฏิบัติงาน คือ 1. เน้นให้เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนางาน และ แก้ปัญหาของงาน อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ที่ทำได้จริง ในบริบทของหน่วยงานและพื้นที่ปฏิบัติงาน 2. เน้นการใช้ ทรัพยากร “เท่าที่มีอยู่” โดยการนำ Principle of Managing, Principle of Utilizing, และ KM มาประยุกต์ อย่างเหมาะสม และ ครบวงจร ตลอดเวลา
35 3. เน้นการพัฒนาบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงาน และ การนำสิ่งที่ได้จากการดำเนินงาน ทั้งหลาย ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเอง ต่องาน/หน่วยงาน/องค์การ อย่างคุ้มค่า ทั้งในทันที ในระยะสั้น และ ในระยะยาว รวมทั้งการนำไปเผยแพร่ ขยายผล ต่อไป ทั้งในหน่วยงาน ในองค์การ และในพื้นที่ ของเรา อย่าง ต่อเนื่อง ด้วย Positive Approach 4. ใช้หลักธรรมะที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือ อิทธิบาท 4 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ มีประสิทธิภาพ ยิ่ง ๆ ขึ้น ของงานทั้งหลาย ที่เรารับผิดชอบ ทั้งงานในปัจจุบัน และในอนาคต โดยเริ่มจากงานตามภารกิจหลัก แล้ว ขยายไปสู่งานตามภารกิจรอง และ งานตามภารกิจสนับสนุน จนครอบคลุม “ทุกงาน” ตลอดเวลา และ ตลอดไป
5. สรุปท้ายบท การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัยนั้น เป็นหนึ่งในคำตอบของหน่วยงาน/องค์การ ที่มุ่งสู่การเป็น “หน่วยงาน/องค์การ คุณภาพ” อย่างยั่งยืน เป็นกิจกรรมหลักที่สำคัญยิ่ง ของทุก ๆ หน่วยงาน/องค์การ โดย มุ่งเน้นให้“ทุกคนที่ปฏิบัติงาน” สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลงานวิจัย” ในทุก ๆ งาน ที่แต่ละคนทำ ก่อให้เกิดการพัฒนาคน (HRD: Human Resource Development) การพัฒนางาน การพัฒนา หน่วยงาน/องค์การ (Organization Development: OD สู่ LO) และ การพัฒนาวิชาการ ไปพร้อม ๆ กัน นำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติไทยของพวกเราโดยส่วนรวม อย่างมีความสุข และมีความภาคภูมิใจ ยิ่ง ๆ ขึ้น จึงขอสรุปใจความทั้งหมด ด้วยภาพที่ 5 ภาพที่ 5 การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย สิ่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายสูงสุด ของการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย คือ การทำให้เกิด CQI: Continuous Quality Improvement (ปัจจุบันปรับมาเป็น Continuous Improvement: CI เนื่องจากมี ความหมายกว้างกว่าเพียงแค่ Quality) ด้วยกระบวนการทำงานอย่างมีคุณภาพ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดย ใช้ KM: Knowledge Management อย่างเป็นระบบที่ครบวงจร เป็นกระบวนการหลัก ในการขับเคลื่อน ก่อให้เกิดการพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่ R2R2E คือ การเป็น The Best of The World ตลอดไป ในการนี้ Research Design ของ R2R คือ R&D(Research and Development) R&D HRD Learning Organization : LO CQI KM
เอกสารอ้างอิง กนกวรรณ สินลักษณทิพย์, สมชาติ โตรักษา, วัชระ ก้อนแก้ว, และพีระ ครึกครื้นจิตร. (2554). การพัฒนา รูปแบบงานบริการผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัด ราชบุรี ปี 2553. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 20(2), 332-44. คณัชฌา สิทธิบุศย์. (2558). การพัฒนางานจัดเก็บรายได้ สถาบันบำราศนราดูร ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติ จากทุกหน่วยบริการ ปีงบประมาณ 2558 (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล. จรวยพร ศรีศศลักษณ์, และอภิญญา ตันทวีวงศ์. บรรณาธิการ. (2551). R2R : Routine to Research สยบ งานจำเจด้วยการวิจัย สู่โลกใหม่ของงานประจำ. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. ชุติมา ชัยมณี, สมชาติ โตรักษา, วิรัช กลิ่นบัวแย้ม, และบพิตร พรมจันทร์. (2557). การติดตามสตรีติดเชื้อเอช ไอวี ทีมีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 23(2), 273-83. เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ, อัครินทร์ นิมมานนิตย์, กุลธร เทพมงคล. บรรณาธิการ. (2552). เคล็ดไม่ลับ R2R บริบทคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. กรุงเทพฯ: ยูเนียน ครีเอชั่น. เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ, อัครินทร์ นิมมานนิตย์. บรรณาธิการ. (2553). เคล็ดไม่ลับคุณอำนวย ฟันเฟือง ขับเคลื่อน R2R. กรุงเทพฯ: ยูเนียน ครีเอชั่น. เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ, อัครินทร์ นิมมานนิตย์. บรรณาธิการ. (2555). เคล็ดไม่ลับคุณอำนวย เล่ม 2 ฟันเฟือง ขับเคลื่อน R2R. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล ณิชาภา เดชาปภาพิทักษ์. (2556) การพัฒนางานบริการบำบัดระยะสั้นผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ โรงพยาบาล รามาธิบดี(วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล. บุญเฉิด โสภณ, ธเนศ ต่วนชะเอม, และจินตนาภา โสภณ. (2546). รายงานการวิจัยเชิงนโยบาย เรื่อง การ ปฏิรูประบบการบริหารการวิจัยของไทย เล่มที่ 1 ระบบการบริหารการวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ และ เล่มที่ 2 ระบบการบริหารการวิจัยของประเทศในภาพรวม. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ. รสสุคนธ์ ตันติวิชิตเวช, สมชาติ โตรักษา, และธวัช เตียวิไล. (2558). การพัฒนางานการดูแลผู้ป่วยล้างไตทาง ช่องท้อง โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี. วชิรสารการพยาบาล, 17(2), 43-55. สมชาติ โตรักษา. (2548). หลักการบริหารโรงพยาบาล ภาคที่ 1 หลักการบริหารองค์การ และหน่วยงาน (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: เอส.พี.เอ็น. สมชาติ โตรักษา. (2554). การทำงานประจำให้เป็นผลงานทางวิชาการ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน. วารสาร เทคนิคการแพทย์, 39(1) (ฉบับเสริม), 109-32. สมชาติ โตรักษา. (2556). การทำวิจัยเพื่อพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารงาน สาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
38 สมชาติ โตรักษา. (2556). ดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงานของโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารงาน สาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สมชาติ โตรักษา. (2556). ปรัชญา วิทยาศาสตร์ และ ศาสนา. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สมชาติ โตรักษา. (2557). การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย ตำราชุดฝึกอบรมหลักสูตร “นักวิจัย” (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. สมชาติ โตรักษา. (2558). R2R: การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย. Rajabhat Journal of Science, Humanities & Social Sciences, 16(2), 142-155. สมชาติ โตรักษา. (2558). R2R: การพัฒนางานตามภารกิจหลักสู่งานวิจัย. Rajabhat Journal of Sciences, Humanities and Social Sciences, 16(2), 142-155. สมชาติ โตรักษา. (2559). การประยุกต์ R2R ในการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยของชาติ. วารสารสมาคม นักวิจัย, 21(3), 17-26. สมชาติ โตรักษา. (2560). การประยุกต์หลักการบริหารเพื่อการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สมชาติ โตรักษา. (2566). กิจกรรมหลักของการทำวิจัย. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม, 46(1), 11-26. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. (2550). ตำราชุดฝึกอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”. กรุงเทพฯ: ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. (2552). คู่มือนักวิจัยใหม่ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: วงศ์สว่างการพิมพ์. David L. Cooperrider, Diana Whitney, Jacqueline M. Stavros. (2008). Appreciative Inquiry Handbook (2nd ed.). Ohio: Crown Custom Publishing. Louis Rowitz. (2009). Public Health Leadership, Putting Principles into Practice. Boston: Jones and Barlett Publishers. Namkang Sritaikhum, Somchart Torugsa, Punwadee Temtawesuk, Suntorn Serichetapong. A Development of Health Tour Model in Small Community Hospital, Thailand, fiscal year 2004-2010. The conference PROCEEDING of the 1st International Conference on Health Science, Thai Traditional and Alternative Medicine: The Role of Traditional/Alternative Medicine and Global Care ISBN 978-974-19-5870-2. page 7-21, May 2013.
สถาบับับันบับับัวิวิวิจัจัวิจัวิวิยจัจัจัและพัพัพัฒพัพัพันา มหาวิวิวิทวิวิวิยาลัลัลัลัยลัลัราชภัภัภัภัฏภัภัพิพิพิบูพิบูพิบูพิบูลบูบูสงคราม