บทท่ี ๒
ความสัมพันธข องน้ําและพชื
¾ น้ํามีบทบาทสําคัญในการดํารงชีวิตของพืช เน่ืองจากเปน
โมเลกุลที่มีมากท่ีสุดภายในตนพืช การเกิดปฏิกิริยาตาง ๆ ตอง
อาศัยน้ําทั้งส้ิน เพราะน้ําทําหนาท่ีเปนตัวกลาง นอกจากนี้การ
ดูดอาหารในดิน การเคลื่อนที่ของอาหารภายในตนก็อาศัยนํ้า
เปนตัวนํา ความเตงของเซลลยังทําใหพืชตางๆ สามารถต้ังตัวอยู
ไดเนื่องจากนํ้าทําใหเซลลเตงและนํ้ายังเปนตัวควบคุมอุณหภูมิ
ใหคงท่ี เนื่องจากนํ้าสามารถรบั ความรอนตอ หนว ยไดส งู
สรปุ บทบาทของนา้ํ
1.เปน สว นประกอบภายในตนพชื ถึง 85-90 เปอรเซน็ ต และเปนสว นประกอบของ
เมล็ดแหงและสปอรป ระมาณ 10 เปอรเซน็ ต
2.นํ้าสามารถควบคุมอุณหภมู ใิ หค งทเ่ี นอื่ งจากความสามารถรบั ความรอ น (heat
capacity)สูง ความสามารถรบั ความรอ นทท่ี าํ ใหเ ปน ไอ (heat of vaporization)
สงู และมคี วามสามารถในการนาํ ความรอนสงู (thermal conductivity)
3. นํ้าเปนตัวทําละลายสําหรบั สารตาง ๆ เพ่อื ทําใหเ กิดปฏิกิรยิ ากนั ได
4. นา้ํ เปนตวั พยุงใหพ ชื ต้งั ตัวอยไู ด
5.น้าํ เปน แหลงของกาซออกซเิ จนและไฮโดรเจน ซงึ่ กาซออกซเิ จนกถ็ ูกนําไปใชใ น
การหายใจ และกา ซไฮโดรเจนกถ็ กู นําไปใชใ นการสังเคราะหแ สง
6. น้ําเปนแหลงทใี่ ชใ นการผลิต ATP จากกระบวนการสังเคราะหแ สง
คุณสมบตั ทิ างฟสกิ สข องนํา้
1. ไฮโดรเจน บอนด (Hydrogen bond) โมเลกุลของน้ําประกอบดวย
ออกซิเจนหน่ึงอะตอมและไฮโดรเจนสองอะตอม ความหาง
ระหวางอะตอมของออกซิเจนและไฮโดรเจนทั้งสอง 0.99 ํA และ
มุม H-O-H ประมาณ 105 ํ ออกซิเจนมีประจุลบ สวนไฮโดรเจนมี
ประจุบวก ซ่ึงประจุลบและประจุบวกของแตละโมเลกุลของนํ้าจะ
ดึงดูดซึ่งกันและกัน ทําใหเกิด hydrogen bond แรงดึงดูดน้ีมีแรง
มาก การแยกโมเลกุลของนํ้าออกจากกันใหนํ้ากลายเปนไอจึงตอง
ใชพลังงานสูง พลังงานนี้เรียกวา Heat of vaporization ซึ่งเปน
พลงั งานท่ีมากท่ีสุดในกลมุ ของเหลวทัง้ หมด
2. แรงตึงผิว (surface tension) น้ํามีคุณสมบัติที่มีแรงตึงผิวสูง แรงตึง
ผิว หมายถึงแรงที่กระจายไปทั่วผิวหนาของน้ํา อาจจะอธิบายถึง
แรงตึงผิววาเปนปริมาณของพลังงานท่ีตองใชในการขยายพื้น
ผวิ หนา ตอหนว ย
3. Capillary rise แรงดึงดูดระหวางโมเลกุลตอโมเลกุลของ
นํ้าข้ึนอยูกับไฮโดรเจนบอนด แรงดึงดูดน้ีเรียกวา cohesion
และแรงดึงดูดระหวางโมเลกุลของน้ําตอผิวของผนังหลอด
เล็กเรียกวา adhesion การเกิด capillary rise นี้จะเกิดข้ึน
ในหลอดเล็ก เชน ทอน้ํา (xylem) และทออาหาร (phloem)
Capillary rise มีความสําคัญและมีสวนทําใหเกิดการ
เคล่อื นท่ขี องน้าํ ในทอนํ้า
4. Tensile strength หมายถงึ แรงตอหนวยพืน้ ท่ีของน้ําใน
หลอดหรอื ทอนา้ํ ทีส่ ามารถอยไู ดโดยไมขาดตอน
5. การเปน ประจไุ ฟฟา ของนา้ํ (electrical properties)
พลังงานทีส่ ามารถทาํ งานได (The Gibbs Free Energy)
Gibbs Free Energy คือ พลังงานท่ีสามารถทํางานไดที่อุณหภูมิ และความ
ดันคงท่ี
สมการทว่ั ไปของ Gibbs Free Energy คอื
G = E-T ∆ S
G คือ Gibbs Free Energy
E คอื Internal Energy
S คือ Entropy
T คอื อุณหภูมิ 273.16 องศาเซลเซยี ส
¾พลงั งานท่ีทํางานไดตอ โมลของนา้ํ (Water Potential)
พลังงานท่ีสามารถทํางานไดของนํ้า ψ หมายถึง Gibbs
free energy ตอโมเลกุลของน้ําหรือเรียกอีกชื่อหน่ึงวา water
potential ใชชื่อยอวา ไซ (psi) หรือใชอักษรยอ ψ น้ําจะ
ไหลจากที่ๆ มีคาพลงั งานตอโมลสูงไปยงั ที่ที่มีคาพลังงานตอ
โมลตํ่า ถาหากมีความแตกตางของพลังงานที่สามารถทํางาน
ไดของนํ้ามาก การไหลของน้ําจะมีมากจนกระท่ังเกิดการ
สมดุลนํา้ จึงจะหยดุ ไหล
การเคลื่อนท่ีของน้ํา
1. Bulk Flow เปนการเคลื่อนทีข่ องของไหล ทาํ ใหพลังงานลดลง โดยท่ีเอน
โทรปเพมิ่ ขน้ึ
2. Diffusion การแพรจะเกิดขึ้นเม่ือมีความแตกตางของ chemical potential
ระหวาง 2 สวนของระบบหน่ึง สารท่ีมีความเขมขนมากในสวนหน่ึง ตามปกติจะ
มี chemical potential สูงกวาอีกสวนหน่ึง และจะแพรไปยังสวนที่มีความ
เขมขนของสารน้ันต่ํากวา ย่ิงมี chemical potential แตกตางกันมากการแพรจะย่ิง
เกิดเร็วขึ้น นา้ํ สามารถเคลอ่ื นทผ่ี า นเยอ่ื หุมเซลลโ ดยวธิ นี ีด้ วย
3. การไหลซึมของน้ําผานเยื่อหุม หรือ Osmosis เปนการไหลของน้ํา เม่ือมี
สารละลายชนิดหนึ่งซ่ึงถูกแยกจากน้ําโดยเยื่อหุมซึ่งมีคุณสมบัติเปน Semi-
permeable membrane โมเลกุลของนํ้าจะไหลผานเย่ือหุมเขาไปในสารละลาย ทั้งน้ี
เพราะมีความตางกันของพลังงานที่ทํางานไดตอโมลของน้ํา (ψ) ซึ่งการแสดงการ
เกดิ Osmosis สามารถทาํ ไดโดยใชเ ครื่องมือท่เี รียกวา ออสโมมเิ ตอร (Osmometer)
การคายน้ํา (Transpiration)
การคายน้ํา คือ การสูญเสียนํ้าของพืชในรูปของไอนํ้า โดยนํ้าจะ
ระเหยจากตนพืชไดทางปากใบ (Stomata) เปนสวนใหญ ซึ่งพืชจะมี
กลไกในการควบคุมการปดเปดของปากใบ และความแตกตางของ
พลงั งานทสี่ ามารถทํางานไดของนํา้ ภายในตน พืช และอากาศ
การคายน้าํ มปี ระโยชนต อพชื หลายประการ คือ
1. นําแรธาตุจากดินข้ึนไปยังตนพืช เพราะการคายนํ้าทําใหรากพืช
ดูดนาํ้ จากดิน
2. ลดอณุ หภมู ิของใบในเวลากลางวนั
ปจจัยสภาพแวดลอ มทีม่ ผี ลตอการคายนาํ้ ของพืช
1. แสง
2. ความชืน้ ในอากาศ
3. อณุ หภูมิ
4. ลม
5. นาํ้ ในดนิ
ปจ จัยทค่ี วบคมุ การปด เปด ของปากใบ
1. แสง แสงสีแดง และแสงสีนํ้าเงินกระตุนใหปากใบเปด เพราะแสงทําให
เกิดการสังเคราะหแสง จึงมีการใช CO2 ภายในเซลล ยิ่งแสงสวางมาก ปากใบจะย่ิง
เปดมาก
2. ระดับน้ําในใบโดยเฉพาะใน Guard cell ถาหากพลังงานที่สามารถทํางาน
ไดของน้ําในใบเพ่มิ ขึน้ รูใบจะปด เพราะน้าํ จะไหลออกจาก Guard cell อิทธิพลน้ี
จะมากกวา ระดับของ CO2 ในใบหรอื ความเขม ของแสง
ดผังานน้ันใบ3ก.พารรืชะสทดัง่ีับมเคีปCราาOกะใ2หบใแนเสปใงบดจแเึงลลก็กะรในะนอตบุยนรใใรนหยทปา่ีมกากืาดศใบปปเาปากกดใใไบบดจจ ถะะาเเปใปหดดอกเมาวก่ือาามงศขี Cท้ึน่ีOปถร2าาใศปนจาใากบกใพบืCชปตOด่ํา2
สนทิ ระดบั ของ CO2 ในอากาศจะไมมผี ลตอการปดเปดของปากใบ
4. อุณหภูมิสูง (30-35 องศาเซลเซียส) จะทําใหปากใบปด ซ่ึงอาจจะเปนเพราะ
การหายใจเพิ่มขึ้น ทําให 3C0-O325 ภายในใบมากข้ึน แตถาผานอา ก าศท่ี ปร าศจ าก
CO2 ไปทใี่ บพชื ท่ีอุณหภมู ิ องศาเซลเซียส ปากใบจะเปดได
5. ลมที่พดั แรง จะทําใหร ใู บปด เนอ่ื งจากเซลลส ูญเสยี นํ้า
การเคลือ่ นที่ของน้ําภายในพืช
น้ําท่ีปรากฏอยูในพืชน้ัน สามารถแบงออกไดเปน 3 สวน ที่แตกตางกัน ซึ่งแต
ละสวนนี้จะไหลไปดวยอัตราเร็วที่ตางกันและในบางกรณีคนละทิศทาง ซึ่งสวนตาง
ๆ ของนาํ้ เหลาน้ี คอื
1. น้ําท่ีอยูระหวางชองภายในผนังเซลล และชองวางรอบ ๆ ผนังเซลลซ่ึงสวน
เหลา นี้เรียกวา อะโพพลาสต (Apoplast) น้ัน จะไหลผานสวนท่ีไมมีชีวิตของพืช นํ้า
ที่อยูในเซลลท่ีตายแลว เชน ในทอไซเลมก็จัดวาอยูในสวนน้ี ดังนั้นการไหลของน้ํา
ในตนพืชสว นใหญจ ะผา นสวนที่เปน อะโพพลาสต
2. นาํ้ ในโปรโตพลาสตของเซลล ซ่ึงจะไหลผานจากเซลลหน่ึงไปยังอีกเซลล
หนึ่ง ทาง พลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) ซ่ึงเปนการไหลผานสวนท่ีมีชีวิต
ของพืช หรือผานทางซิมพลาสต (Symplast) นํ้าในซีพทิวบ (Sieve tube) ของทอ
อาหาร (Phloem) จดั เปนน้ําในสวนนด้ี วย
3. น้าํ ทอ่ี ยใู นแวคควิ โอของเซลลทีม่ ีชีวติ