The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานปรัชญาการศึกษา หมู่ที่5 พร้อมส่ง(1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nad_natrada, 2021-04-01 05:31:26

รายงานปรัชญาการศึกษา หมู่ที่5 พร้อมส่ง(1)

รายงานปรัชญาการศึกษา หมู่ที่5 พร้อมส่ง(1)

45

คนท่ีไมเ่ ชอื่ Kant ยอมรับว่าสมองยอ่ มแปรสภาพความเป็นจรงิ ภายนอกท่รี ับรู้เข้ามาบา้ ง แต่ไม่น่าจะทำ
ใหต้ ่างไปอย่างส้ินเชิง ดังน้นั จึงยึดหลกั การทีว่ า่ “สมองของมนษุ ยส์ ามารถรคู้ วามจรงิ วตั ถวุ สิ ัยได้”

คนทีเ่ ชือ่ Kant กใ็ ชห้ ลักการที่ว่า “สิง่ ท่เี รารู้มนั ไมจ่ ริง ส่ิงจรงิ เราไมร่ ู้” มนุษย์มโี ครงสรา้ งสมอง แต่ไม่เช่ือ
ว่าจะแบง่ อยา่ งเป็น 12 ชอ่ งจรงิ จึงทำใหห้ ันมาพยายามศึกษาโครงสรา้ งของสมองว่าทำงานอย่างไร คิดได้อย่างไร
ซ่งึ ได้ก้าวหน้าเปน็ วิชาประสาทวทิ ยาศาสตร์ (Neuro-Science)

ปรชั ญากระบวนทรรศน์นวยคุ เน้นกระบวนการวทิ ยาศาสตร์และการพิสูจน์ความจริง มกี ารจำแนกสำนัก
คิดออกจำนวนมาก มีนักปรัชญาจำนวนมากที่มีแนวคิดที่น่าสนใจและมีวิธีการคิดทางปรัชญาที่ควรศึกษา และ
เขา้ ใจอทิ ธิพลของวิธคี ดิ ต่อทรรศนะของคนในยคุ ปัจจบุ นั (กรี ติ บญุ เจอื , 2558)

ยุคปจั จุบัน

ปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุค (Post-Modern Philosophy) เป็นกระแสท่ีไม่มีขอบเขตเริ่มต้น
ชัดเจน แต่เป็นการปรับท่าทีต่อการใช้ปรัชญาโดยช้ีว่าปัญหาใหญ่ของโลกเช่น สงครามโลกล้วนเกิดจากความยึด
มัน่ ถอื ม่ัน (attachment) ของผู้ถือปรัชญายคุ กอ่ นหน้าท้ังส้ิน

จุดสะดุดสำคัญคือ สงครามโลกครง้ั ที่ 1 ระหวา่ ง ค.ศ.1914-1918 ชนวนสำคญั คือนโยบายจกั รวรรดนิ ยิ ม
ท่แี ย่งชงิ การมีอทิ ธิพลเหนือผลประโยชน์ในดนิ แดนตา่ งๆ จนมกี องกำลังเสียชวี ติ รวม 10 ล้านคน บาดเจบ็ 20 ลา้ น
คน สญู หาย 8 ล้านคน และจักรวรรดิออสเตรยี -ฮงั การี จักรวรรดิออโตมัน จักรวรรดิเยอรมนั ต้องลม่ สลายลง

จุดสะดุดที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาคือ สงครามโลกครั้งท่ี 2 ระหว่าง ค.ศ. 1939-1945 กองกำลัง
เสยี ชีวิตรวม 24 ล้านคน พลเรือนเสยี ชีวิต 49 ลา้ นคน และจบสงครามดว้ ยการทิ้งระเบิดนวิ เคลียรท์ ฮี่ โิ รชมิ า และ
นางาซากิ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าล่าสุดของวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น มนุษยชาติจึงพากันตระหนักว่าโลกไม่อาจ
รองรบั สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้อย่างแน่นอน

ปรัชญามองว่าความรุนแรงของสงครามเกิดจากการพัฒนาวิทย าศาสตร์เข้มข้นตามปรัชญานวยุ ค
(modern philosophy) ภาพยนตร์ โทรทัศนแ์ ละนยิ ายต่างๆ ลว้ นนำเสนอภัยของวทิ ยาศาสตร์

ปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุค ตั้งประเด็นโจมตีกระบวนทรรศน์นวยุคอย่างชัดเจน และมาคลายตวั
ในแนวทางสายกลาง ทั้งนี้ กระแสคิดนี้ยังไม่เดินทางถึงที่สุด จะต้องติดตามว่ามีแนวคิดปรัชญาใหม่ ๆ ใด หรือ
แนวคิดที่ปรับปรุงของเก่าอะไรเกิดขึ้นมาเพื่อชี้แนะต่อโลกในยุคปัจจุบันที่มีอิทธิพลของความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีต่างๆ อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงสนั ตภิ าพโลก

ลัทธิรือ้ สรา้ งใหม่ (Reconstruction) เร่ิมรูก้ นั ในราวปี 1942 ตอ่ มา Richard D. Mosier จากหนังสือ The
Philosophy of Reconstructionism, Educational Theory 1 ในปี 1951 โดยเสนอการรอ้ื สร้างใหมใ่ นด้าน
ตรรกะ ศลี ธรรม การศกึ ษา และปรชั ญา ในยคุ สมัยใหม่ ทั้งน้ี Theodore Branmeld นกั ปรชั ญาการศกึ ษาเป็น

46

แนวหนา้ ในการสนบั สนนุ แนวคดิ นีเ้ ป็นอยา่ งมาก ในขณะเดียวกันในทางศาสนาได้เกิดเปน็ ท่าทีตอ่ การปรบั ตัวอย่าง
สร้างสรรค์ของศาสนายวิ โดยเน้นการบม่ เพาะประเพณแี ละวถิ ชี วี ติ ชาวยิว สำหรบั ชาวคริสต์เน้นการพจิ ารณากฎ
ตามคัมภีรไ์ บเบิลทเ่ี ป็นพน้ื ฐานของกฎหมายแหง่ รัฐและศีลธรรมของสงั คม รวมไปถึงทา่ ทใี นการยอมรบั การรื้อฟน้ื
ความเชอื่ และการปฏิบตั ใิ นศาสนาโบราณต่างๆ อีกดว้ ย

หลงั นวยุคสายกลาง (moderate postmodernism) เกิดขน้ึ หลังเหตกุ ารณ์ 9/11 ในปี 2001 เปน็ ท่าทีใน
การใช้ปรชั ญาปฏบิ ัตนิ ิยม (pure philosophy of pragmatism) มารับมือกบั ความเปน็ จรงิ ทัง้ น้ี เนน้ ใหเ้ รียนรู้
จดจำและประยุกต์ใช้เพอ่ื ให้เกดิ สถานการณ์ใหม่ท่ีดกี ว่าเดิม เปน็ การเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ มากวา่ ที่จะเป็น
เพียงกิจกรรมทางความคิดอีกต่อไป แนวคิดนยี้ งั เชื่อในอนาคตที่ดีพร้อม (Utopian Future) สำหรบั มนุษยชาติ ถา้
เราเรยี นรู้ทจี่ ะลงมือกระทำและเปล่ยี นแปลงทิศทางใหถ้ กู ตอ้ ง เน้นการลงมอื กระทำ และริเรม่ิ การเปลี่ยนแปลง
ตา่ งๆ และกฎหมายต่างๆ ตอ้ งถกู ใชใ้ นฐานะผดู้ ูแล (safeguards) เพื่อให้เกิดความกลา้ หาญท่ีจะกา้ วข้ามข้อจำกัด
ต่างๆ ท่ถี กู จัดตัง้ ไวใ้ นสังคม เน้นการชั่งน้ำหนกั ผลทีอ่ าจจะเกิดขน้ึ ทัง้ ในด้านดีและไม่ดี ปอ้ งกันการเกดิ ผลกระทบ
ขา้ งเคยี ง (side effect) และ เนน้ การยอมรบั ผลตาม (consequences) จากกระทำนน้ั ๆ อย่างแทจ้ ริงโดยไม่มีการ
บน่ ว่าหรือมีการเตรียมการเอาตัวรอดเอาไวล้ ่วงหน้า นัน่ คือ จะต้องมีความรับผดิ ชอบอย่างเต็มกำลังด้วย

กระแสหลงั นวยุคสายกลางนี้ไม่ได้มจี ำนวนมากมายอะไร แตพ่ ลังของแนวคิดนไ้ี กลบั ได้รบั การยอมรับ
อยา่ งกว้างขวางในกลมุ่ กอ้ นทางศาสนาตา่ งๆ และกลุ่มกอ้ นผไู้ ม่นับถือศาสนา ท้งั นี้ กระแสหลังนวยคุ สายกลางยัง
แสดงตนเองว่าเป็นกลุม่ ผ้มู ีระดบั มาตรฐานทางศีลธรรมทีส่ ูงย่ิงข้นึ ท้งั ในด้านความประพฤติ ความคิด และในทางจ
ริยศาสตร์อกี ดว้ ย (ประยูร ธมุมจติ โุ ต, ม.ป.ป)

เปรยี บเทยี บปรัชญาตะวันตกกบั ปรชั ญาตะวันออก

คุณลักษณะของปัญหาเรื่องความจริงตามแนวปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก
แม้วา่ ทง้ั ปรชั ญาตะวนั ตกและตะวันออกจะมอี ัตลักษณ์เฉพาะของตน อยา่ งไรกต็ ามปัญหาเรื่องความจริง

(Truth) หรือทฤษฏีทางญาณวิทยาเป็นประเด็นปัญหาสำคัญท่ีนักปรัชญาตะวันตกและตะวันออกสนใจ เพื่อ
แยกแยะว่าอะไรเป็นความจรงิ (The truth) อะไรเปน็ ความเท็จ (The falsity) ทงั้ ปรัชญาตะวนั ตกและตะวันออก
ต่างยืนยันวา่ กระบวนการหาความจริงของมนุษยม์ ีลักษณะพิเศษท่ีต่างจากสัตว์ทวั่ ไป เน่อื งจากมนุษย์มีสติปัญญา
ดงั น้นั การรคู้ วามจริงของมนษุ ย์จงึ มีลกั ษณะเป็นการรู้ตัว (รู้ว่าตนรู้) หรือที่นกั ปรัชญาตะวันตกมกั ใช้คำว่า “ความ
สำนึกรู้” (Consciousness) หรือ “การตระหนักรู้” (Awareness) อันเป็นลักษณะพื้นฐานของกระบวนการรู้
ความจริงของมนุษย์ อย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับความจริงของปรัชญาตะวันตกและตะวันออกต่างมีลักษณะ
เฉพาะทีส่ อดคลอ้ งกบั จดุ เนน้ ของตน กล่าวคอื

47

1. คุณลักษณะของทฤษฏคี วามรู้ตามแนวปรัชญาตะวนั ตก คอื การรูค้ วามจรงิ เพือ่ ตอบปัญหาที่สงสัย
คุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของทฤษฏีความรู้ (ปัญหาเรื่องความจริง) ตามแนวปรัชญาตะวนั ตก คือ การรู้
ความจริงเพ่ือตอบสนองความสงสัย ดงั ท่ี สนุ ทร ณ รงั ษี (2521: 2) ได้วเิ คราะห์ลกั ษณะของปรชั ญาตะวันตกเร่ือง
การแสวงหาความจริง (ทฤษฏีทางญาณวิทยา) ไว้น่าสนใจว่า “ปรัชญาตะวันตกมุ่งแสวงหาความจริงหรือ
ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวโดยไม่ พยายามที่จะปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าถึงความจริงที่ได้แสวงหาพบแล้ว” และ
“ปรัชญาตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เก่ียวกับศาสนาหรือแยกเป็นคนละส่วนกับศาสนา” เพราะฉะนั้น นักปรัชญา
ตะวันตก (สว่ นใหญ)่ จงึ ดำเนินชีวติ ไปในทางท่ีตรงข้ามกับแนวความคิดทางปรชั ญาของตนกไ็ ด้ นัน่ หมายความว่า
ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงของปรัชญาตะวันตก คือ การมุ่งสู่การรู้ความจริงเพื่อตอบสนองความสงสัย
ในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความ เป็นจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะไม่ได้ช่วยให้บรรลุถึงความเป็นจริงเลยก็ตาม
หมายความว่า นักปรัชญาตะวันตกมีแนวโน้มในการศึกษาความจริงในประเด็นที่ตนสงสัยเมื่อได้
แนวคำตอบที่ถูกใจก็หยุดเพียงแค่นั้น นักปรัชญาตะวันตกไม่พยายามนำแนวคำต อบที่ตนได้รับ
มาพัฒนา เป็นคำสอน ให้ปฏิบัติ เพราะถือว่าศาสนากับปรัชญาเป็นคนล ะส่วนที่แยกจากกัน

2. คณุ ลกั ษณะของทฤษฏีความรู้ตามแนวปรัชญาตะวนั ออก คอื การรู้ความจรงิ เพ่ือการบรรลุถึงความ
เป็นจริง แม้ว่าลักษณะแนวคิดของปรัชญาตะวันออก (โดยเฉพาะปรัชญาอนิ เดีย) จะมุ่งปัญหาเก่ียวกับความเปน็
จริงและการรคู้ วามจริง (เกีย่ วกบั ความเป็นจริง) แต่จุดเน้นของปรัชญาตะวนั ออกมีลักษณะพิเศษต่างจากปรัชญา
ตะวันตก กล่าวคือปรัชญาตะวันออก (โดยเฉพาะปรัชญาอินเดีย) สนใจปัญหาความเป็นจริง และรู้ความจริง
(เก่ยี วกบั ความเปน็ จรงิ ) เพือ่ การบรรลุถึงความเปน็ จริง ดงั ท่ี สน่ัน ไชยานกุ ลู (2519) ไดว้ เิ คราะห์ปรชั ญาอนิ เดียวา่
มีจุดเน้นในเรือ่ งท่ีเกี่ยวข้องกับศีลธรรมและ การพัฒนาจติ ใจ “ทุก ๆ ลัทธิถือว่าปรัชญานั้น เป็นสิ่งจำเป็นในการ
ดำเนินชีวิต และทุก ๆ ลัทธิเพาะปลูกปรัชญาขึ้นมาก็เพื่อให้เราเข้าใจ เราควรจะดำเนินชีวิตของเราให้ดีที่สุดได้
อย่างไร” และ “ปรัชญานั้นใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนเราได้อย่างไร” (สนั่น, 2519: 21-22) กล่าวคือ ปรัชญา
ตะวันออก (โดยเฉพาะปรัชญาอินเดีย) มีลักษณะเป็น “คำสอนให้ปฏิบัติ” ปรัชญาอินเดียไม่ใช่เน้นความรู้อย่าง
เดียว หากเพื่อส่งเสริมให้รู้เพื่อนำไปปฏิบัติ เน้นหลักปฏิบัติ เพราะจุดหมายสูงสุดของปรชั ญา คือ การรู้แจ้งตน
(Self – realization) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าปรัชญาตะวันออก (โดยเฉพาะปรัชญาอินเดีย)มีลักษณะเป็นปรัชญา
ชีวติ น่นั เอง

ลกั ษณะที่เหมอื นกัน
1. เน้ือหา/เป้าหมายของปรัชญา กลา่ วคือการมุ่งแสวงหาความจริงสูงสดุ และพยายามนำเสนอวถิ บี รรลุสู่

ความจริงอาศัยเหตุผล โดยอาจแบ่งกวา้ ง ๆ ไดส้ ามแนวความคิด คือ วตั ถุนยิ ม จิตนิยม และการประสานระหว่าง
แนวคิดทงั้ สอง (สจั นิยม) ซึ่งเหน็ ไดช้ ัดเจนในปรชั ญาตะวนั ตกกบั ปรัชญาอนิ เดยี (ส่วนปรชั ญาจนี ไมค่ ่อยพูดถึงนัก)
นอกจากนั้น ถ้าจะพิจารณาแงม่ มุ ที่เช่อื มโยงปรชั ญากับศาสนา เหน็ ไดว้ ่ามีการนำเสนอแนวคิดมีลักษณะเป็น

48

ปรชั ญา (เชงิ ศาสนา) แบบเทวนิยม (Theism) กบั อเทวนิยม (Atheism)
2. มีพัฒนาการและตอ่ ยอดทางความคิด โดยนักปรชั ญารุ่นใหม่ได้ศึกษาแนวคิดจากนักปรชั ญากอ่ นหน้า

นำมาคดิ ต่อหรือเสนอความคิดตรงขา้ ม หรอื อาจนำความคิดมาขยายต่อในเรอื่ งตา่ ง ๆ ตามบรบิ ทของสงั คมแต่ละ
ยุคสมยั

ลักษณะท่ีต่างกนั
1. ลักษณะที่ต่างกนั ของปรัชญาตะวันตกกบั ปรชั ญาอินเดีย (ทม่ี า: บาทหลวงวฒุ ิชัย ออ่ งนาวา. (2551).

เปรยี บเทยี บปรัชญาตะวันตกกับปรชั ญาตะวนั ออก)

เปรียบเทยี บ ปรชั ญาอินเดียกับปรัชญากรีก

1.ปรชั ญาของพวกไอโอนิก ธเลส (624-547 BC) เหมือนกบั ปรัชญาพระเวทและอุปนษิ ทั จึงน่าได้รับ
ความคดิ น้ไี ปจากอนิ เดียหรือนักคิดพวกนอี้ าจจะไมใ่ ชช่ าวกรกี ด้วยซำ้ ไป

2.ความคิดของพวกอเี ลียตกิ (540 BC) ก็คลา้ ยกบั พรามวิทยาหรือเวทานตะ คือพูดถงึ มายา
(ปรากฏการณ์ทางผัสสะ) และเน้นความสำคัญของเหตผุ ลมากกว่าความประจกั ษท์ างอายตนะทัง้ 5

3.ความคดิ ของเฮราไคลตุส (544-484 กอ่ น ค.ศ.) ก็คล้าย ๆ กับพุทธปรัชญาคือพดู ถงึ ความเปลี่ยนแปลง
วา่ เป็นความจรงิ ของจักรวาล และถือว่าไฟเปน็ ธาตดุ ้งั เดมิ ในอรรถกถาของพระพทุ ธศาสนาก็มีกล่าวถึงโลกวา่
เริ่มต้นด้วยไฟและสลายไปด้วยไฟเช่นกนั เฮราไคลตสุ พดู ถงึ โลกวา่ ประกอบด้วยส่ิงที่ตรงกันขา้ มกัน ซ่ึงในพุทธ
ศาสนาก็มกี ล่าวถึงสิง่ ตรงกนั ขา้ มกันไว้มากมาย เชน่ กศุ ล-อกุศล, อณหเตโช-สีตเตโช เป็นตน้ และความคดิ เหลา่ น้ี
พทุ ธสาสนาได้สอนไวก้ อ่ นเฮราไคลตุสนมนานและเป็นคำสอนท่มี อี ยู่ในลทั ธิเต๋าดว้ ย

4. อแนกซก์ อรสั (500-428 BC) ก็กล่าวถงึ เรื่องเมด็ สสารหรอื เม็ดธาตุเล็ก ๆ ไว้คล้ายกบั ความคิดเร่อื ง
กลละของพระอภธิ รรม และถือวา่ สสารจะเกดิ จากอสสารไมไ่ ด้

5. เอมพิลโดเดลส (484-424 BC) มีคำสอนคลา้ ยลทั ธไิ วเศษกิ แตไ่ ม่พิสดารเทา่
6.เดโมคริตุส (460-370 BC) ไดเ้ สนอความคิดเรอื่ งปรมาณูไว้คลา้ ยกบั ความคดิ ของไวเศษิกและสางขยะ
และความคดิ เร่อื งปรมาณูของพุทธศาสนาดว้ ย แต่เขาไมเ่ ชือ่ เรื่องคณุ สมบัติของปรมาณู โดยเขาเช่ือว่าลกั ษณะ
ต่างๆของวตั ถุนนั้ มนุษยเ์ ห็นไปเอง ส่วนในเรอื่ งวญิ ญาณเดโมคริตุสมีความคิดคล้ายกบั เรือ่ งสุขุมสรีระของสาง
ขยะ นกั คดิ สำนักตา่ ง ๆ ของกรีกดังกลา่ วมาข้างต้น ล้วนเกิดขนึ้ ภายหลงั พุทธกาลทง้ั นน้ั สมยั ของพุทธกาล คอื
623-543 กอ่ น ค.ศ.
7. ความคดิ ทางตรรกของโสคราติส (469-399 ก่อน ค.ศ.) น้ันคล้ายกบั ความคิดของลัทธนิ ยายะ ส่วน
ความคดิ เชงิ ปรชั ญาของเขาคลา้ ยปรชั ญาพราหมณ์ และความคิดเก่ยี วกับมนุษย์และโลกของเขาคล้ายกบั ความคิด
ของลทั ธโิ ลกายตะ คอื มงุ่ ความสุขเฉพาะหนา้ แตด่ ีกว่าโลกายตะตรงที่เขาเนน้ เร่อื งคณุ ธรรม
8. พลาโต (427-360 กอ่ น ค.ศ.) มคี วามคิดเรื่องสัจจะหรอื ความจริงคล้าย ๆ กับพุทธปรชั ญา คือถอื วา่
ความจริงมี 2 ระดบั คอื ความจริงระดับผสั สะกบั ความจรงิ ระดับเหตุผลคลา้ ยความจริงระดับสมมติกับระดับ
ปรมัตถ์ของพทุ ธศาสนา แตค่ วามหมายต่างกนั มาก ความจริงของพลาโตมีลกั ษณะเปน็ สัสตะ ส่วนความคดิ
ทางการเมืองของเขากวา้ งขวางกวา่ ความคิดของชาวอินเดยี

49

9. อรสิ โตเติล (384-322 BC) ยอมรบั ความเปลีย่ นแปลงของโลกว่าเป็นจริง คล้ายความคิดเรอื่ งอนจิ จงั
ของพุทธศาสนา มีความคิดเรื่องสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงของโลกว่าเป็นจรงิ คล้ายความคดิ เรือ่ งอนิจจงั ของ
พุทธศาสนา แตเ่ ขากลบั เชอื่ เรื่องพระเจ้าทำนองเดยี วกับเร่ืองบุรษุ ของสางขยะ อันเป็นเหตุให้สสารหรือประกฤติ
เปลย่ี นแปลง

10. ความคิดของเอนิตโลรสั (342-270 BC) คลา้ ยกบั ลัทธไิ วเศษิก มคี วามเช่ือเร่อื งเหตุผลคลา้ ยพุทธ
ศาสนา แตม่ ีความคดิ ทางจริยศาสตร์คล้ายพวกจารวาก. แตเ่ ร่ืองจดุ หมายปลายทางของชีวิตกลบั ไปคล้ายกับ
โมกษะของฮนิ ดู

11. พวกกรกี มคี วามคดิ เรือ่ งววิ ฒั นาการละเอยี ดกวา่ พุทธปรชั ญา แตอ่ ธบิ ายขบวนการวิวฒั นาการสู้
หลกั ปฏิจจสมุปบาทไมไ่ ด้ ความคิดทางการแพทยข์ องพวกกรกี กค็ ลา้ ย ๆ กับอายรุ เวทของอินเดยี พวกกรกี จงึ
นา่ จะไดค้ วามคดิ เหลา่ นไี้ ปจากอินเดีย เพราะฮปิ โปคราสติส (430 BC) ผ้วู างรากฐานการแพทย์ของกรีกอย่ทู เ่ี กาะ
Cos ซง่ึ ติดกบั ฝงั่ ทะเลตรุ กี

เปรียบเทยี บ ปรชั ญาอนิ เดยี กบั ปรัชญาสมัยกลาง

1. แมกพสุ มีแนวความเช่ือคล้ายมีมอส คือให้เช่ือความรู้ทไ่ี ดม้ าจากการบันดาลใจของสง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธิ์
2. อะครปี สั (1225-1274) มคี วามเช่อื บางอยา่ งคลา้ ยพทุ ธศาสนา คือเร่ืองภพภมู ิตา่ ง ๆ ท่มี นุษยจ์ ะ
เข้าถึงได้ มีความเช่ือเร่อื งเทวบนั ดาลคล้ายกบั เวทานตะ คือโลกเป็นไปตามเทวบันดาลของพระเจา้
3. พวกสกอลาสติก มี 2 พวก คอื พวกทีม่ ีความคิดตามแนวของพลาโต กบั พวกท่มี คี วามคดิ ตามแนวของ
อริสโตเติล
4. พวกท่ีเป็นตามแนวคดิ ของพลาโตเรียกตวั เองวา่ Realism เพราะวา่ เป็นผู้เขา้ ถึงสัจจะไดส้ งู กว่าพวกอน่ื
5. พวกที่เป็นตามแนวของอริสโตเตลิ นนั้ เรยี กวา่ Nominalism คอื พวกที่ถอื ว่าความจรงิ คอื สง่ิ ท่ปี รากฏ
ต่อผัสสะ พูดอีกอยา่ งหนึง่ กค็ ือสง่ิ ทม่ี ีช่ือคือสงิ่ ท่ีจรงิ ความคิดเรอื่ งน้ีของพวกสมัยกลางก็คลา้ ยกบั ความคดิ ของ
ปรชั ญาพราหมณ์ที่ว่า “สง่ิ ใดมชี อื่ สง่ิ นน้ั เป็นนาม ส่งิ ใดไมม่ ชี ื่อ อนั พงึ รู้ไดด้ ้วยรูป ส่งิ นั้นเปน็ รปู ”

เปรียบเทียบ ปรัชญาอินเดยี กับปรัชญาสมยั ใหม่

1. ความคิดของเบคอน (1561-1626) คล้ายกับลัทธินยายะ ไวเศษิก กลา่ วคือความคิดทางวทิ ยาศาสตร์
ของเขาคล้ายนยายะและสสารนิยมของเขากค็ ลายกับไวเศษิก นอกจากนีเ้ บคอนยังเชอื่ พระเจ้า (ศตวรรษท่ี 17)

2. เดดาริต (1596-1650) ก็เสนอความคิดแบบทวนิ ิยมเหมือนลทั ธสิ างขยะ เพราะฉะน้นั ความคดิ ของเด
ดาริตจงึ มใิ ช่ของใหม่อย่างท่ีชาวโลกเชือ่ ถือกนั ความคดิ เร่ืองจติ กับกายของเดดารติ ก็เหมอื นกบั ความคิดเรอื่ งบุรุษ
กับประกฤติ สว่ นความคดิ เรือ่ งพระเจา้ ของเขาก็เหมือนกับปรชั ญาเวทานตะ แตค่ วามคิดทางกลไกลของเขา
ละเอียดกว่าของอนิ เดยี (ไวเศษกิ )

3. สสารนิยมของฮอบส์ (1588-1679) กค็ ล้ายกับความคดิ ของจารวาก ถือวา่ จิตเกิดจากสสาร ความคิด
เน้นการเคลือ่ นไหลของมนั สมอง

4. จิตนยิ มของสปิโนช (1632-1677) กเ็ ท่ากับเอาเวทานตะมาผสมกับสางขยะ ความคิดทางจริยศาสตร์
ของเขาก็เหมือนกับของฮินดู

5. ความคิดของล้อด (1632-1704) บางอย่างก็คล้ายกบั พทุ ธศาสนา เช่นเรือ่ งคณุ ภาพชั้นตน้ อารมณห์ รือ

50

ideal สว่ นจติ วทิ ยาของเขากค็ ลา้ ยกบั ของฮินดู
6. ลทั ธโิ มนาดของไลมน์ ิช (1646-1716) กลบั ถอยหลงั ไปหาปรัชญาพระเวท อย่างท่ฤี คเวทกลา่ ว “บุรษุ

ย่ิงใหญ่กวา่ สง่ิ ท้งั ปวง สถิตอยู่ในสิง่ ท่ัวไปท้ังสง่ิ มชี วี ิตและไมม่ ชี ีวติ ” คำอธบิ ายเร่ืองโมนาดย่อยโมนาดใหญ่ของเขาก็
คอื เร่อื งชีวาตมันกบั ปรมาตมันนน้ั เอง

7. ความคิดเรอ่ื งแรงโนม้ ถว่ งของนวิ ตนั (Newton) กม็ อี ยูใ่ นลัทธไิ วเศษิกแลว้ ความดงึ ดดู ระหว่างสิ่งต่าง
ๆ ก็มีกลา่ วไวใ้ นอภธิ รรมว่า คืออาโปชตุ ความคิดเรอ่ื งอากาศของนวิ ตันก็มีอยใู่ นปรชั ญาฮนิ ดู ความคิดเก่ียวกับ
การแบ่งส่วนใหญอ่ อกเป็นสว่ นย่อยอนั ไม่มีท่สี นิ้ สุด (infinitesimal) ก็มีปรากฏอย่ใู นเรือ่ งการเปล่ยี นแปลงของรปู
นาม และเรื่องขณะจิตของพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ จงึ เป็นคนแรกทแี่ บง่ สนั ตติของรูปนามออกเปน็ ขณะนวิ ตันเช่ือ
วา่ มบี างสงิ่ ท่อี ยูก่ ับที่ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกส่ิงเคลอื่ นไหวส่วนเร่ืองปฏิกริ ยิ าเทา่ กบั กิริยาน้ัน คลา้ ยกับคำสอน
เรื่องกรรมและกรรมวิบากของพุทธศาสนานนั้ เอง

8. จติ นยิ มของเนิดเล่ย์ (1685-1753) ก็คลา้ ยกับความคดิ ของพทุ ธศาสนามหายานซง่ึ เป็นผลของการปรบั
พทุ ธศาสนาใหเ้ ข้ากับเวทานตะ แต่มหายานไม่ไกลกวา่ เวทานตะเสียอกี คอื ปฏิเสธโลกภายนอกเอาเลยคอื ถือว่า
รูปไม่มี มแี ตน่ ามอยา่ งเดยี ว

9. ความคิดของฮิวม์ (1711-1776) ก็เหมือนกบั อเหตุกทิฏฐิ อกิรยิ ทฏิ ฐิ และอจุ เฉททิฏฐนิ ่ันเอง เพราะ
ฮิวมบ์ อกว่าไมม่ ีอะไรนอกจากความคิด (หรอื อารมณ)์ ล้วนไม่มีสสาร ไม่มจี ติ มีแต่ความคิด ทกุ อย่างสลายไปกับ
ความตาย

10. คานต์ (1724-1804) ได้เสนอความคิดเร่ือง กาลและอวกาศเปน็ คนแรกในยุโรป แต่ความคิดนกี้ ็มีอยู่
ในลทั ธิไวเศษกิ แล้ว และความคิดนี้กก็ ลายเป็นคำสอนเร่ืองบัญญัติของพุทธปรชั ญาด้วย คำสอนเรื่องโลกและ
วิญญาณของคานตก์ ็คล้ายกบั เร่อื งบรุ ษุ และประกฤตขิ องสางขยะ ความคดิ เรื่องของคานตก์ ็คล้าย ๆ กบั เรือ่ งปฏั
ฐาน 24 ของพุทธศาสนา

11. ความคิดของนักคิดเยอรมันคือ Fickte Sohelling Hegel (1775, 1770) มีความคลา้ ยคลงึ กับ
ปรชั ญาเวทานตะหรือพรามวทิ ยามาก ปรัชญาประวัตศิ าสตรข์ องเฮเกล คล้ายกับลัทธอิ วตารของฮินดู สว่ น
ความคิดเรอื่ งไดอะเลก็ ติกของเขาก็เหมอื นกบั ความคดิ เร่ือง สินาสยะของนยายะ ซง่ึ ถือวา่ ความจริงได้จากการ
พจิ ารณาเรอื่ งทข่ี ัดแยง้ กัน

12. ความคดิ ของนกั คดิ เร่อื งสสารนยิ มทางประวัติศาสตรข์ องพวกมากซสิ ต์ ก็คลา้ ยกับความคิดเร่ืองยุค
ต่าง ๆ ในปรชั ญาฮนิ ดู ท่ีแบง่ ยคุ ออกเป็น กฤตยคุ ทวาพรยุค ไตรดายคุ กลยี ุค แต่พวกมากซิสต์แบง่ กลียุคไว้
ละเอยี ดกวา่ สว่ นความคดิ เรอ่ื งสงั คมนิยมนนั้ พวกพราหมณ์และพวกพุทธกไ็ ด้กลา่ วไว้นมนานมาแลว้ สสารนิยม
ไดอะเลก็ ตกิ จงึ เทา่ กบั เปน็ พัฒนาการขั้นสงู สดุ ของลทั ธิจารวาก

13. ความคิดเร่อื ง วิวัฒนาการของดารว์ ิน (1809-1882) คล้ายกับความคิดเรือ่ งพชื นยิ มของพทุ ธศาสนา
14. ความคิดของพวกสจั นิยมในศตวรรษท่ี 20 นี้กค็ ล้ายกับความคิดของพทุ ธศาสนา คอื ยอมรบั ความมี
อยขู่ องสง่ิ ทป่ี รากฏทงั้ ท่เี ป็นสสารและอสสาร โดยทีส่ ่งิ ทง้ั สองมไิ ดส้ ร้างซง่ึ กันและกัน แตต่ ่างก็มีอยดู่ ว้ ยกัน (ทม่ี า:
ผจญ คำชสู ังข.์ (2549). ลักษณะท่วั ไปของปรชั ญาตะวันตก – ปรชั ญาตะวนั ออก)

51

ลกั ษณะที่ต่างกันของปรัชญาตะวนั ตกกับปรชั ญาจนี

1. ด้านหลักการสอน
ปรัชญาตะวนั ตก ปรัชญาจีน

มคี วามสัมพนั ธใ์ กลช้ ิดกบั มคี วามสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกบั จริยศาสตร์ การเมือง วรรณคดี และศลิ ปะ
วิทยาศาสตร์

แสวงหาความรเู้ พอ่ื ความรู้ ความร้นู ้ันคือมรรควธิ ที น่ี ำไปสอู่ ดุ มคตอิ ันสงู ส่งที่ปฏิบัติได้ในชีวติ จรงิ

รากฐานของปรัชญาจีน ความกระหายของนกั ปราชญท์ ีอ่ ยากจะเข้าใจวถิ ีธรรมชาติ

สอนเร่อื งความรกั ในพระ สอนเรอ่ื งความรักในเพ่ือนมนุษย์ เน้นความสำคญั ของจรยิ ธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความ
เจา้ เก่ียวขอ้ งทางสังคม หน้าทข่ี องพลเมืองดี และหลักปฏิบัติทางศีลธรรม

2.ดา้ นประเด็นท่มี าของความรู้

ปรชั ญาตะวนั ตก ปรชั ญาจีน

ความรจู้ ากทฤษฎีคือ ความรู้และความหมายที่ได้ เนน้ การภาวนาฝกึ ฝนอบรมตนเอง ซึ่งสง่ ผลใหม้ ีความ
จากหลกั คำสอนอันเป็นหลกั จากอนมุ าน การใช้ สนใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปญั หาทเ่ี ปน็ รูปธรรม
ความคดิ ทางคาดคะเน และการวเิ คราะห์เหตุผล
แบบตรรกวิทยา

สนใจเรอื่ งของความขดั แยง้ กนั ของสงิ่ ที่แตกต่าง มลี ักษณะไมใ่ ช่เป็นความขดั แยง้ แต่เป็นความกลมกลืน
จากกนั ในโลก เชน่ ความขัดแยง้ ระหวา่ งคนกับ ประสานกันของสิ่งทัง้ หลายในโลก มนษุ ย์เปน็ ส่วนหนึง่
พระเจ้า อุดมคตกิ ับความเปน็ จริง สงั คมกับปจั เจก ของจักรวาล โลกจักรวาลเปน็ ส่วนหน่งึ ของชวี ิตมนุษย์
อำนาจกบั เสรีภาพ ผกู พันกนั อย่างแนน่ แฟ้น

2. ด้านเน้ือหาสาระ

ปรชั ญาตะวันตก ปรัชญาจีน

แบ่งออกเปน็ 5 แทบจะไม่มกี ารแยกคนออกจากความต้องการทางจรยิ ธรรมและการปฏิบตั ิในชีวติ ของ
สาขา บคุ คลเลย จิตมีความกลมกลืนกับทุกสรรพส่งิ

52

4.ดา้ นจิตวญิ ญาณแห่งปรัชญา

ปรัชญาตะวันตก ปรัชญาจีน

ฝังใจเกย่ี วกับเรือ่ งความขดั แยง้ กัน มีลกั ษณะเด่นไมเ่ ปน็ ความขดั แยง้ แต่เป็นความกลมกลนื ประสาน
ของสิ่งทแี่ ตกต่างกนั และกันท่ีมอี ยู่ สบื เน่อื งกนั ของสิง่ ทงั้ หลายในโลก ปรชั ญาจีนถอื ว่า มนษุ ย์เปน็ ส่วนหนงึ่
ในโลก เช่น คนกบั พระเจา้ อดุ มคติ ของโลกจักรวาล และโลกจักรวาลเป็นสว่ นหนึ่งของชวี ิตมนษุ ย์ มนษุ ย์
กับความเป็นจรงิ สังคมกบั ปัจเจก กบั ธรรมชาติผกู พันกนั อย่างแนน่ แฟน้ สมบรู ณ์ต่อกันและกนั
อำนาจกบั เสรภี าพ เปน็ ตน้ (มหาวิทยาลยั บรู พา. (2555). ความแตกต่างปรัชญาจีนกับปรชั ญา
ตะวนั ตก)

53

สรปุ

คำว่า “ปรัชญา” นั้นเป็นศัพทท์ ี่พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์เจ้าวรรณไว
ทยากร) ได้ทรงบัญญตั ขิ น้ึ เพอ่ื ใช้คกู่ ับคำภาษาอังกฤษว่า “Philosophy” เปน็ คำมาจากรากศัพทภ์ าษาสันสฤต 2
คำคอื 1. ปร : ประเสรฐิ 2. ชญา : ความรู้, รู้, เขา้ ใจ เมอื่ รวมกนั แลว้ เปน็ “ปรชญา” (ปรชั ญา) แปลวา่ ความรู้
อนั ประเสรฐิ เป็นวชิ าท่ีว่าด้วยหลกั แห่งความรู้และความจริง ปรชั ญาตะวันออกเกดิ ขึ้นมาในความเปน็ ศาสนา ซ่ึง
จะมคี วามเก่ียวข้องกนั อยา่ งแทบจะแยกไมไ่ ด้ โดยศาสนานนั้ มรี ากเหง้ามาจากความเช่อื ความศรัทธาที่จะปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนหรือเนื้อหาของศาสนานั้น ๆ นำไปสู่พิธีกรรมต่างๆที่มุ่งสู่มรรคผล โดยปรัชญานั้นประกอบแนบ
แน่นกันกับศาสนาในตัวของความรู้ และวิธีการได้มาซึ่งความรู้ และปรัชญาตะวันตก หมายถึง แนวความคิด
หลักการ ความรู้ทางปรัชญาที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตกทั้งหมด ซึ่งนักปรัชญาเมธีเชื่อชาตินั้น ๆ ทางซีกโลก
ตะวนั ตกไดค้ ดิ คน้ ขนึ้

ปรัชญาอินเดียเริ่มปรากฏหลกั ฐานว่ามมี าตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปรัชญาที่กลา่ วถงึ นี้คือพระ
เวทยอ์ นิ เดยี ลว้ นเกิดจากคำสอนในคมั ภีรพ์ ระเวทเปน็ คัมภีร์พระเวทแบ่งออกเปน็ 4 อย่างคอื ฤคเวทยชรุ เวท สาม
เวท อถรรพเวท และในอินเดียนั้นมีเรื่องราวและตำนานเป็นมหากาพย์ 2 เรื่องอันยิ่งใหญ่ คือ มหากาพย์รา
มายณะ ซึ่งรู้จักดีในประเทศไทยอีกชื่อก็คือ รามเกียรติ์ และอีกมหากาพย์หนึ่ง ชื่อมหาภารตะ โดยเรื่องราว
เกี่ยวกับความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล ระหว่างตระกูลเการพและตระกูลปาณฑพ จนบานปลายไปสู่มหา
สงครามที่ทุ่งกรุ ุเกษตร จำนวน 18 วัน และฝ่ายปาณฑพเป็นผูช้ นะสงครามครั้งนี้ ศาสนาในอินเดียหลักๆจะมี 4
ศาสนาคอื ศาสนาฮินดู ศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชน และศาสนาซกิ ข์ ศาสนาในจนี จะกลา่ วถึงลัทธติ ่างๆ ที่เกิดขึ้นใน
จีนซึ่ งมีอยู่มากมายโดยหลักๆจะมีอยู่ 2 ลัทธิ คือ เล่าจื๊อหรือเต๋า เชื่อว่าเต๋าเป็นอุดมคติเป็นจดุ หมายปลายทาง
สูงสุด มีจุดมุ่งหมายให้ผู้คนเข้าทางธรรม หรือสัจธรรม สละทางโลก ไม่สนใจลาภยศ มุ่งหาความสงบดำรงชีวิต
แบบเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติ ปรัชญาการศึกษา คือการนำเอาหลักการ ความคิด ความเชื่อ ผลจากการ
แสวงหา ความเขา้ ใจเกีย่ วกับการศึกษาท่ีชัดเจน หรอื การนำเอาทักษะเกย่ี วกบั การศกึ ษามาดดั แปลงให้เป็นระบบ
ใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการจัดการศึกษา และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนว
พระราชดำริ คือ การยึดหลักทางสายกลางและความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การ
สรา้ งภูมคิ ุม้ กนั ที่ดใี นตัว ตลอดจนการใชค้ วามรู้ด้วยความรอบคอบ ระมดั ระวงั และมคี ุณธรรมเปน็ พ้ืนฐานในการ
ตัดสินใจและการกระทำปรัชญาญี่ปุ่น ปรัชญาของญี่ปุ่นจำแนกเป็นฐานหลักได้ 3 ฐาน คือ 1. ฐานชินโต ฐานนี้
ญี่ปุ่นรับมาในสมัยมีการนับถือธรรมชาติ (พระเจ้า) 2.ฐานมิกาโต คือ ฐานเกี่ยวกับระบบการนับถือจักรพรรดิ
ระบบภายในครอบครวั และระบบทางสังคมที่ยังเป็นระบบที่มีชีวิต 3. ฐานปุตสุโตหรือพระพุทธศาสนา เป็นการ
ภกั ดีตอ่ พระพทุ ธศาสนา เพราะว่า พระพทุ ธศาสนา มี อิทธิพลย่ิงใหญ่ ควบคู่ไปกบั ศาสนาชินโต

54

ปรัชญาตะวนั ตกตามเนอ้ื หามีอยูท่ งั้ หมด 5 ยุคคอื ยคุ ดกึ ดำบรรพ์ ยุคโบราณ ยคุ กลาง ยคุ ใหม่ ยุคปัจจุบัน
ในยุคดึกดำบรรพ์น้ัน ผู้คนต่างนับถือและเชื่อในเรื่องเทพเจ้า จึงเกิดเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าขึ้นเช่น การกำเนิด
โลกโดยมี 4 ส่ิงหลอมรวมผสมกนั และการกำเนิดเทพ โดยมีเทพเจ้า Zeus เปน็ ผนู้ ำสูงสุดแหง่ เขาโอลมิ ปสั ส่วนใน
ปรัชญาตะวันตกยคุ โบราณ นกั ปรชั ญาในยคุ น้ีต่างตามหาความจริงของต้นกำเนดิ ของปฐมธาตุของโลก ในยุคใหม่
ได้นำปรัชญาของ Aristotle มาอธิบายศาสนา ทำให้เกิดการถกปัญหาปรัชญาศาสนาจนถึงระดับอิ่มตัว นัก
ปรชั ญาจงึ หนั มาสนใจปรัชญาวิทยาศาสตร์ (science=ความรู้)

และยคุ ปจั จบุ ันเป็นกระแสที่ไมม่ ีขอบเขตเรม่ิ ต้นชัดเจน แตเ่ ป็นการปรับทา่ ทีตอ่ การใช้ปรัชญาโดยชี้ว่าปัญหาใหญ่
ของโลกเช่น สงครามโลกล้วนเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น (attachment) ของผู้ถือปรัชญายุคก่อนหน้าทั้งสิ้น แต่
พลังของแนวคิดนไ้ี ด้รับการยอมรับอย่างกวา้ งขวางในกล่มุ กอ้ นทางศาสนาต่างๆ และกลุม่ ก้อนผไู้ มน่ บั ถือศาสนา

เปรียบเทียบปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก ทั้งสองปรชั ญายืนยนั ว่ากระบวนการหาความจรงิ
ของมนุษย์มีลักษณะพิเศษที่ต่างจากสัตว์ทั่วไป ดังนั้นการรู้ความจริงของมนุษย์จึงมีลักษณะเป็นการรู้ตัว นัก
ปรัชญาตะวันตกจะศึกษาความจริงเมื่อเกิดความสงสัย แต่จะหยุดเพียงแค่นั้น จะไม่นำมาพัฒนาเป็นคำสอนให้
ปฏิบัติ ส่วนนักปรัชญาตะวันออกจะหลักมาปฏิบัติ ทั้งสองปรัชญามีเนื้อหากับเป้าหมายเหมือนกันตรงที่มุ่ง
แสวงหาความจริง มีการพัฒนาและต่อยอดทางความคิดเหมือนกัน มีต่างกันตรงที่ตะวันตกจะมีวทิ ยาศาสตร์เขา้
มาเกย่ี วข้อง ปรชั ญาจะเกดิ จากความเช่ือของคน เพราะฉะน้นั แต่ละพนื้ ทมี่ คี วามเชื่อตา่ งกนั ก็จะมปี รชั ญาที่ต่างกนั

55

อ้างอิง

Rp.10 มหาวิทยาลัยบูรพา. (2555). ความแตกต่างปรัชญาจีนกบั ปรัชญาตะวนั ตก. [ออนไลน์], Available :
http://bubeeja.blogspot.com/2012/12/blog-post_19.html. (ค้นหาขอ้ มูล 2564,

22 กุมภาพันธ์)

กีรติ บุญเจือ. (2546) “เร่มิ รู้จักปรัชญา” ในชุด ปรัชญาและศาสนาเซนต์จอห์น, กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลยั เซนต์จอห์น.

ชยั จกั ร ทวยุทธานนท์, ผูแ้ ปล. ซีกัล, โรเบิรต์ เอ, บรรณาธกิ ารฉบับภาษาอังกฤษ.Croot, Viv, author. 30
Second Mythology: The 50 Most Important Greek and Roman Myths, Monsters,
Heroes and Gods Each Explained in Half a Minute. กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุป๊ , 2560. -
Ambalu, Shulamit. The Mythology Book: Big Ideas Simply Explained. London: DK
Publishing, 2018. - Hamilton, Edith. Mythology : Timeless Tales of Gods and Heroes.
New York: Grand Central Publishing, 1999.

ธรรมะไทย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเขา้ สู่ประเทศจนี . [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ไดจ้ าก : http://old-
book.ru.ac.th/e-book/p/PY225/py225-1-1.pdf (ค้นหาขอ้ มลู 2564, 26 กุมภาพนั ธ)์

บริษทั อมรินทร์พรน้ิ ต้ิงแอนดพ์ บั ลิชช่งิ จำกัด (มหาชน). ศาสนาเชน: วิถีแหง่ อหิงสา. [ออนไลน]์ , เข้าถึงได้
จาก : https://ngthai.com/cultures/13974/jainism-religion/ (ค้นหาขอ้ มลู 2564, 20 กมุ ภาพันธ์)

บาทหลวงวุฒิชยั ออ่ งนาวา. (2551). เปรียบเทียบปรชั ญษตะวันตกกับปรัชญาตะวนั ออก. [ออนไลน]์ ,
Available : http://franciswut01.blogspot.com/. (ค้นหาข้อมูล 2564, 17 กุมภาพนั ธ)์

เบญจภรณ์ ศรีเมือง. ศาสนาซกิ ข.์ [ออนไลน]์ , เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :
https://sites.google.com/site/socialbuddhismm4/unit_9_4#:~:text (ค้นหาขอ้ มูล2564,
18 กมุ ภาพนั ธ)์

ประเทศเพือ่ นบา้ นของไทย. ประเทศอินเดยี . [ออนไลน์], เขา้ ถึงได้จาก :
http://www.thaiheritage.net/nation/neighbour/india2.htm (ค้นหาขอ้ มูล 2564,
23 กมุ ภาพันธ)์

ปานทพิ ย์ ศุภนคร มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง. ปรชั ญาจีน (Chinese Philosophy). E-book. [ออนไลน]์ ,
เข้าถงึ ได้จาก : http://old-book.ru.ac.th/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=PY225
(ค้นหาขอ้ มลู 2564, 20 กุมภาพันธ์)

56

ผจญ คำชสู ังข์. (2549). ลกั ษณะทว่ั ไปของปรชั ญาตะวันตก – ปรชั ญาตะวันออก. [ออนไลน์], Available :
pirun.ku.ac.th › ~fhumpjk › word387512. (คน้ หาขอ้ มูล 2564, 17 กมุ ภาพนั ธ)์

พนายทุ ธ เชยบาล, เอกสารประกอบการสอน “หลกั การและปรัชญาการศึกษา Principle and Educational
Philosophy” คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี; 2560 (หนา้ 32-51)

พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี 9 พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เล่มท่ี 1 ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค กูฏทนั ตสูตร. พระไตรปิฎกฉบับ
สยามรัฐ. [ออนไลน์], เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :

https://th.wikipedia.org/wiki/%.(คน้ หา ข้อมูล 2564, 18 กุมภาพันธ์)

พระมหามฆวนิ ทร์ ปรุ ิสุตฺตโม. มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั . ปรชั ญาสากล : วเิ คราะห์และวจิ ารณ์
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวรี วงศ์ นครราชสีมา. เครอ่ื งหมายหยนิ – หยาง. [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ไดจ้ าก :

http://www.finearts.go.th/mahavirawongmuseum/view/12432- (คน้ หาข้อมลู 2564,
25 กมุ ภาพนั ธ์)
ภวศิ า พงษเ์ ล็ก, เอกสารประกอบการสอน“หลักการและปรชั ญาการศึกษา Principle and Educational
Philosophy” คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุดรธานี; 2560 (หนา้ 5)

มหาภารตะ (Mahabharata). [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงได้จาก :
https://tidtipt2012.wordpress.com/2013/08/21/มหาภารตะ-mahabharata/ (ค้นหาขอ้ มูล
2564, 20 กุมภาพนั ธ)์

รายการประวตั ศิ าสตร์นอกตำรา. (สจุ ิตต์ วงษ์เทศ). รามายณะ มหาภารตะ ในอษุ าคเนย์ ประวตั ศิ าสตรน์ อก
ตำรา. [ออนไลน์], เขา้ ถึงไดจ้ าก :
https://www.youtube.com/watch?v=yiwUBJ1TXPg&feature=share&fbclid=IwAR0tMbtT
QRa1bqQuZ73V0uCmROdyDfqQPJJTaf9Kup6wTtKJw6GiyNrKdqM (คน้ หาข้อมูล 2564,
20 กมุ ภาพันธ)์

รายการแฟนพันธ์ุแท้ 2014_11 เม.ย. 57. มหาภารตะ. [ออนไลน์], เขา้ ถงึ ได้จาก :
https://www.youtube.com/watch?v=_vlt2kzstyk (คน้ หาข้อมลู 2564, 20 กุมภาพนั ธ)์

เรอ่ื งยอ่ มหาภารตะ. [ออนไลน์], เข้าถึงไดจ้ าก :
https://www.youtube.com/watch?v=5IQeSNvWxE0&list=PLgHq_97HaPvlAcJd1OOCC7r
oRJr0fpdMz (ค้นหาข้อมลู 2564, 20 กุมภาพนั ธ)์

สมหมาย ปวะบตุ ร.“ตำราหลักการศกึ ษา”คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนนั ทา; 2558 (หนา้ 19-36)

หนงั สือปรชั ญากรกี บ่อเกดิ ภมู ิปญั ญาตะวันตก พระราชวรมนุ ี (ประยรู ธมมุ จิตโุ ต) บรรณาธกิ าร :
เซน นคร สำนกั พิมพศ์ ยาม

57

อ.วีระธรี ภัทรเลา่ มหากาพย์มหาภารตะ. [ออนไลน์], เขา้ ถึงได้จาก :
http://septimustidbits.blogspot.com/2013/02/blog-post_5.html?m=1 (คน้ หาขอ้ มูล 2564,

24 กมุ ภาพนั ธ)์

เอนก สวุ รรณบณั ฑติ . (2558). เอกสารประกอบการสอนวชิ าปรชั ญาศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ราช ภัฏสวนสุนนั ทา.

58

บทที่ 3
อภิปรชั ญา

ความหมายของอภปิ รชั ญา

คำวา่ “อภปิ รชั ญา” เปน็ ศพั ท์ทีพ่ ระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหม่นื นราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญตั ิข้ึนเพื่อใช้คู่
กับคำภาษาอังกฤษวา่ “Metaphysics” เปน็ คำมาจากรากศัพทภ์ าษาสนั สกฤต 3 คำคือ

อภิ : ยิง่
ปรฺ : ประเสริฐ
ชฺญา : ความรู้, รู้, เขา้ ใจ
เมื่อรวมกันแล้ว เป็น “อภปิ รฺ ชฺญา” (อภิปรัชญา) แปลว่า ความรอู้ ันประเสริฐที่ยง่ิ ใหญ่ เป็นวิชาท่ีว่าด้วย
ความแท้จริงของสรรพสิ่ง คำว่า “อภิปรัชญา” ตรงกับคำภาษาบาลีว่า “ปรมัตถ์” ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก ปรม
(อยา่ งยิง่ , ลึกซง้ึ ) + อตั ถ (เน้อื ความ) เมื่อรวมกันแลว้ แปลว่า ความรทู้ ่ีมีเน้ือความท่ีลกึ ซึ้ง
ในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้นิยามความหมายของคำว่า “อภิปรชั ญา” เอาไว้ว่า
“สาขาหนึ่งของปรัชญา ว่าด้วยความแท้จริง ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญของปรัชญา”อภิปรัชญา เป็นปรัชญาบริสุทธิ์
สาขาหนึ่ง มีลักษณะเป็นการศึกษาค้นหาความจริงที่สิ้นสุด เดิมทีเรียกว่า “ปฐมปรัชญา” (First Philosophy)
หรอื ปรชั ญาเริ่มแรก (Primary Philosophy)
ผลงานของ อริสโตเติ้ล (Aristotle) อีกอย่างหนึ่ง เหตุที่เรียกวิชาอภิปรัชญานี้ว่า First Philosophy
เนื่องจากว่าเป็นวิชาที่เก่ียวเนื่อง ด้วยหลักพื้นฐานทีแ่ ท้จริงของจักรวาลและเป็นวชิ าที่ควรศึกษาเป็นอันดับแรก
ส่วนวชิ าการต่าง ๆ ในสมยั แรก ๆ น้นั ก็รวมอยู่ในปฐมปรัชญาทง้ั น้ัน เพราะหลกั การของปฐมปรัชญาสามารถใช้
อธิบายวิชาอื่น ๆ ได้ทุกวิชา จึงเป็นศาสตร์ต้นตอแห่งศาสตร์ท้ังปวง หรือเป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดศาสตร์ต่างๆ
(อดศิ ักดิ์ ทองบญุ , 2526)
สเตจ (W.T. Stace) ได้ชี้แจงไว้ คือเมื่อแอนโดรนิคุส (Andronicus) จัดพิมพ์งานของ อริสโตเติ้ล
(Aristotle) เข้าเป็นรปู เล่มสมบูรณ์ ในการจัดพิมพ์ครัง้ นี้ได้นำเอาตำราปฐมปรชั ญาไปพมิ พ์ไว้หลังฟิสิกส์ ด้วยคำ
ที่ว่า “Metaphysics” (เมตาฟิสิกส์) จึงมีความหมายว่า “มาหลังฟิสิกส์” “ล่วงพ้นฟิสิกส์” (After Physics)
กลา่ วคือเปน็ เรอ่ื งท่ีเก่ียวกบั ส่ิงนอกเหนือฟสิ ิกส์
คำว่า “Metaphysics” ในภาษากรีกซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของอภิปรัชญาใช้คำว่า “Meta ta Physika”
หรอื ที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า Metaphysics มีรากศพั ทม์ าจากคำ 2 คำคือ
1. Meta : After, Above (หลงั , เบือ้ งหลงั , ลว่ งเลย)
2. Physika : Physics = Nature (สิ่งทีส่ มั ผัสไดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั , ส่ิงท่สี มั ผัสไดด้ ้วยอนิ ทรีย์)
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า “Metaphysics” จึงหมายถึง “After Physics” แปลว่า “สิ่งที่อยู่เหนือประสาท
สมั ผสั , ส่ิงท่อี ยู่หลังฟิสกิ ส์, สงิ่ ทีอ่ ยเู่ บอื้ งหลงั วัตถุ หรือวิชาที่ว่าดว้ ยสง่ิ ท่อี ยเู่ บอื้ งหลงั สง่ิ ทรี่ ้สู กึ ทางประสาทสมั ผสั ”

59

จากความหมายดังกล่าวนี้ มีนักปราชญ์ของไทยบางท่าน ได้บัญญัติศัพท์ขึ้นใช้อีกศัพท์หน่ึง คือ
“อตนิ ทรยี ์วทิ ยา”

(อติ + อินทรีย์ = ล่วงเลยอินทรีย์ หรือล่วงเลยประสาทสัมผัส) ดังนั้น เราจึงสรุปได้ว่า คำว่า
“อภปิ รชั ญา” มีไวพจนท์ ่ีใชอ้ ยู่ 4 อย่างไดแ้ ก่ อภิปรชั ญา, ความรขู้ ัน้ ปรมัตถ,์ Meta ta physika และ อติ
นทรียว์ ิทย (อดิศกั ดิ์ ทองบุญ, 2526 ,น 3-4)

ท่มี าของอภปิ รัชญา

ดังที่ทราบมาแล้วว่า คำว่า “อภิปรัชญา” (ปรัชญาอันยิ่งใหญ่, ความรู้อันประเสริฐที่ยิ่งใหญ่) มาจาก
ภาษาอังกฤษวา่ “Metaphysics” ซ่งึ มรี ากศพั ท์มาจาก Meta + Physics รวมกนั แลว้ แปลว่า “สภาวะที่อยู่เหนือ
การสัมผัส” นน่ั หมายถึงวา่ อภปิ รัชญา เป็นปรัชญาทเ่ี ก่ียวกับสิ่งท่อี ยเู่ หนือการรูเ้ ห็นทั่วไป

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้อธิบายไว้วา่ การให้ความหมายหรือการแปลศัพท์
ของคำว่า Metaphysics น้นั จะแปลตามมลู ศพั ท์ไม่ได้ เพราะว่าคำน้ีเกดิ ข้นึ มาจากความบงั เอญิ

Aristotle Plato

หลังจากท่ีเพลโต้ (Plato) และอรสิ โตเติ้ล (Aristotle) ได้ทำใหว้ ชิ า Philosophy เจริญข้ึน เพลโต้ถือว่า

วิชานี้เป็นวิชาที่เก่ียวกับความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่อริสโตเติ้ล (Aristotle) มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์

ในหนังสือที่อริสโตเติ้ล แปลและเรียบเรียงข้ึนเล่มหนึ่งได้นำเอาเรื่อง First Philosophy มาเรียงไว้ในตอนท้ายๆ

ซึ่งต่อมาจากเรื่องฟิสิกส์ หรือปรัชญาธรรมชาติ (Natural Philosophy) ในหนังสือดังกล่าว ได้จัดเรียงลำดับไว้

ดังนี้

1. คณิตศาสตร์ (Mathematics)

2. กายภาพของโลก (Physics)

3. ปฐมปรัชญา (First Philosophy)

4. ตรรกศาสตร์ (Logic) (อดิศักด์ิ ทองบญุ , 2526, น.3-4)

5. จิตวิทยา (Psychology)

6. จรยิ ศาสตร์ (Ethics) (อดิศักด์ิ ทองบญุ , 2526)

60

W.T. Stace
สเตจ (W.T. Stace) ได้ชี้แจงไวว้ ่า คำว่า Metaphysics เป็นคำทีไ่ ด้มาโดยบังเอิญ คือประมาณ พ.ศ.
480 เมอื่ แอนโดรนิคัส (Andronicus) รวบรวมผลงานของอริสโตเต้ิลเขา้ เปน็ รูปเล่มสมบูรณ์ ในการจัดพิมพ์คร้ังนี้
ได้นำเอาตำราปฐมปรัชญาไปพิมพ์ไว้หลังฟิสิกส์ คือเรียง First Philosophy ไว้หลังปรชั ญาธรรมชาติ (Natural
Philosophy หรือPhysics) และนีโคลาอุส (Nicolaus) แห่งดามัสกัส เป็นคนแรกที่เรียก First Philosophy โดย
ใช้ภาษากรีกวา่ Ta meta ta Physika แล้วเรยี กสว่ นน้ีวา่ “หลังฟิสิกส์” (After Physics)
กล่าวคือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งนอกเหนือฟิสิกส์ ภาษากรีกที่ว่า Meta ta Physika หมายความว่า
“งานทท่ี ำนอกเหนือหรอื ล่วงพ้นจากทางร่างกาย, โลกเบ้อื งหลังกายภาพ, สง่ิ ท่ีอย่เู บือ้ งหลังฟิสกิ ส์”
คำว่า Meta (After, Above) แปลว่า “หลัง เหนือกว่า เบื้องหลัง เลยออกไป” เมื่อรวมกับ Physics
จึงหมายถึงส่ิงท่อี ยนู่ อกขอบเขตการรับรู้ดว้ ยประสาทสัมผัส หรอื สิ่งทน่ี อกเหนอื ไปจากสสารและพลงั งาน หรือส่ิง
ทัง้ หลายทีไ่ ม่อาจจะร้หู รอื เขา้ ถงึ ไดด้ ว้ ยอาศัยประสาทสมั ผสั ดงั นัน้ อภิปรชั ญา จึงเปน็ วชิ าท่ีศึกษาถึงเบื้องหลงั หรือ
เนอ้ื แท้ของสิง่ ต่าง ๆ ในเอกภพ ซ่งึ ไมส่ ามารถพิสจู นแ์ ละทดสอบดว้ ยประสาทสัมผัสได้
นักปรชั ญาชาวเยอรมันชื่อ โบเอทอิ ุส (A.M.S.Boethius) ไดเ้ ปลี่ยนมาใช้เป็นภาษาลาตนิ เพยี งคำเดียวว่า
metaphysica ต่อมาจึงได้กลายมาเป็น metaphysics อย่างที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้คำว่า “metaphysics”
แตเ่ ดิมมีความหมายเพียง “หลังฟิสกิ ส์” (อดิศักด์ิ ทองบญุ , 2526)
คำวา่ “ฟิสิกส์” เดิมหมายถงึ การศึกษาเก่ียวกับสง่ิ ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือในโลก ต่อมาในตอนหลัง ได้มี
การแปลความหมายกว้างขวางออกไปอีกเปน็ ว่า Physics หมายถึง กายภาพ, ความรทู้ ี่อยู่ในขอบเขตของประสาท
สมั ผัส, สิ่งที่เราสามารถรับรู้ไดด้ ว้ ยอายตนะ หรือประสาทสัมผสั ทัง้ 5 กลา่ วคือสสารและพลงั งาน
จะเห็นไดว้ า่ คำว่า อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นคำที่นำมาใชใ้ นสาขาปรัชญาสาขาหนึ่ง นำมาใช้ครง้ั
แรกประมาณ พ.ศ. 480 หรือในศตวรรษท่ี 1 กอ่ นครสิ ต์กาล ปรัชญาเมธีอริสโตเต้ิล (Aristotle) ไดเ้ รยี กปรัชญา
สาขาที่สำคัญทีส่ ุดนี้ว่า “ปฐมปรัชญา” (The First Philosophy) ซึ่งเป็นสาขาท่ีว่าด้วยความแท้จริง หรือความมี
อยู่ของสรรพส่ิง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องรไู้ ด้ดว้ ยประสาทสมั ผัส
ในปรัชญาสมัยกลาง (Medieval Period) อภิปรัชญามีความสำคัญน้อยกว่าเทววิทยา (Theology)
เพราะเทววทิ ยาได้รับการยอมรับและศึกษากันอย่างกว้างขวาง เปน็ ยคุ มดื ของวงการปรัชญา นกั ปรชั ญาส่วนมาก

61

เป็นพระนักบวชในคริสต์ศาสนา จึงเน้นเฉพาะคำสอนเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาอย่างเดียว ต่อมาประมาณ
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ซึ่งเข้าสู่ปรัชญาสมัยใหม่ (Modern Period) อภิปรัชญา ได้มีความสำคัญเท่ากัน
กบั เทววทิ ยา จนกระท่ังถงึ ปัจจุบัน (อดศิ กั ด์ิ ทองบุญ, 2526)

ลักษณะและขอบเขตของอภปิ รัชญา

อภิปรัชญาได้ทำหน้าที่เพื่อค้นคว้าหาความจริง หรือการพยายามตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น
เนื้อหาที่สำคญั ของอภิปรัชญาก็คือ ความแท้จริงนั่นเอง เกี่ยวกับเรื่องความแท้จริงนี้ นักปรัชญาพยายามที่จะให้
คำตอบตั้งแต่สมยั นักปรัชญาสมัยกรีกโบราณ จนกระทั่งถงึ นักปรชั ญาสมยั ปัจจุบนั ทั้งที่เป็นนักปรัชญาตะวันตก
และนกั ปรชั ญาตะวนั ออก เรื่องทีถ่ กเถยี งกนั หาคำตอบน้ัน มปี ระเด็นใหญ่ๆ อยู่ 3 อย่าง คอื

1. What is Reality? ความแท้จริงคืออะไร สาขาของปรัชญาท่ีใหค้ ำตอบเกี่ยวกับเรือ่ งนีค้ ือ อภิปรัชญา
(Metaphysics)

2. How to know Reality? เรารคู้ วามแทจ้ รงิ ได้อย่างไร สาขาของปรัชญาทใ่ี ห้คำตอบเก่ียวกับเร่ืองน้ีคือ
ญาณวิทยา (Epistemology)

3. How to act according to Reality? เราควรจะทำตัวอย่างไร ให้เหมาะสมกับความแท้จริง สาขา
ของปรัชญาทใ่ี หค้ ำตอบเก่ยี วกบั เรื่องน้ีคอื จริยศาสตร์ (Ethics)

อภิปรัชญาได้ทำหน้าที่ในการตอบปัญหาเกี่ยวกับความเป็นจริงของสรรพสิ่ง รวมทั้งกระบวนการของ
ความเป็นไปของสรรพสิ่งด้วย นั่นหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับเอกภพ (Cosmogony) จักรวาล (Universe) โลก
(World) มนษุ ย(์ Man) จิต (Mind) หรอื วญิ ญาณ (Soul) ชวี ิต (Life) สสาร (Matter) ธรรมชาต(ิ Nature) พระเจ้า
(God) หรอื สง่ิ สมั บูรณ(์ Absolute) ตลอดถึงส่งิ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั สิง่ เหลา่ นี้

อภิปรัชญามุ่งใหศ้ ึกษาค้นคว้าถึงสัจธรรมหรือความเป็นจริงของเอกภพ หรือความเป็นจริงของสรรพส่งิ
เท่าทม่ี อี ยู่ ไมว่ ่าสง่ิ นนั้ จะเป็นอยใู่ นลกั ษณะใดก็ตาม ทง้ั ท่ีเป็นรปู ธรรมทงั้ ที่เปน็ นามธรรม ทั้งท่ีสัมผัสได้ท้ังที่สัมผัส
ไม่ได้ อภิปรัชญาพยายามคน้ ควา้ ถงึ ความแท้จรงิ ของสรรพสิ่ง หรอื เรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่า ภววิทยา (Ontology) คือ
วิชาท่ีศึกษาถึงความมีอยู่เป็นอยู่ของสรรพสงิ่ ในโลก (อดิศกั ดิ์ ทองบญุ , 2526).

คำทง้ั สองน้ีบางครัง้ ใช้ร่วมกัน แต่กม็ กี ารศกึ ษาท่แี ตกต่างกนั คือ อภปิ รชั ญาเน้นศึกษาถึงสภาวะทไ่ี มอ่ าจรู้
ได้โดยประสาทสัมผัสเป็นภาวะที่อยู่เหนือประสาทสมั ผสั ทงั้ ห้า ซ่ึงเป็นเร่อื งที่เกี่ยวกับนามธรรม

สว่ นภววิทยาจะศึกษาถึงส่ิงทมี่ ีอยู่เปน็ อยู่ในจักรวาลท้ังส่วนที่สัมผัสได้และสมั ผัสไม่ได้ กล่าวคือภววิทยา
จะศึกษาท้งั สง่ิ ท่เี ปน็ นามธรรมและรูปธรรม

62

1.1 จิตนิยมเป็นอภิปรัชญาสุดโต่งด้านหนงึ่ ของธรรมชาติ ที่เก่ียวกบั สภาวะทเี่ ปน็ นามธรรม ซงึ่ นักปรัชญา
ยอมรับและเชื่อว่า สรรพสงิ่ ในจกั รวาลน้ี เมอื่ ค้นหาความจริงถงึ ท่ีสดุ จะมสี ภาพเป็นจิต หรอื นามธรรม เป็นสภาวะ
ทีจ่ ับต้องไมไ่ ด้ มองก็ไมเ่ หน็ คอื รไู้ มไ่ ดท้ างประสาทสมั ผัสท้งั 5 ของคนธรรมดา

ทฤษฎีแบบของเพลโต สิ่งเหล่านี้เราไม่สมารถจะมองเห็นได้ หรือสัมผัสได้ แต่ก็มีอยู่ในธรรมชาติ คือ
ปรากฏอยูใ่ นโลกนใี้ นฐานะทีเ่ ป็นนามธรรม มใิ ชส่ สาร

1.2 สสารนิยมในทางอภปิ รชั ญาเป็นดา้ นรูปธรรม หรือด้านวัตถุ ซึ่งเป็นสภาวะท่ีเห็นได้, ฟังได้, สูดกล่ิน
ได้, ลิม้ รสได้, ได้รบั สัมผัสทางกายได้

1.3 ธรรมชาตินิยมเช่ือในความมากมายหลากหลายในจกั รวาล แต่สิ่งเหลา่ นี้ มีความจริงอยู่ในตวั มันเอง
ได้แก่ความเช่ือวา่ สิ่งและเหตุการณท์ งั้ หลาย มีมลู เหตมุ าจากรรรมชาติ มากกวา่ มูลเหตุเหนือธรรมชาติ จักรวาลมี
มลู กำเนดิ มาจากธรรมชาติ มากกว่ามาจากภาวะเหนือธรรมชาติ (อดิศกั ดิ์ ทองบุญ, 2526)

2. อภปิ รัชญาว่าด้วยจติ หรอื วิญญาณ (Mind , Soul or Spirit)

จิต (mind) หลักฐานทางพระพุทธศาสนายืนยันว่า มนุษย์เรานั้นมีวิญญาณ ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น
มวี ญิ ญาณ สัตว์ดิรจั ฉานตัง้ แตเ่ ลก็ ท่ีสุด ถึงใหญท่ ี่สดุ กม็ วี ญิ ญาณเหมือนกนั

เป็นการศึกษาถึงลักษณะกำเนิดจุดหมายปลายทางของวิญญาณ และสัมพันธภาพระหว่างวิญญาณกับ
ร่างกาย อภิปรัชญาจะทำหน้าที่ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของวิญญาณ กำเนิดของวิญญาณ จุดหมาย
ปลายทางของวญิ ญาณ และความสัมพนั ธ์ ระหว่างวิญญาณกับรา่ งกาย

นักปรัชญาพยายามศึกษาเพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่า จิตของมนุษย์เราคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร
มนุษย์มีอิสระในการคิดในการหาคำตอบหรือไม่ หรือมนษุ ยม์ ีเสรีภาพในการตัดสนิ ใจ และการเลอื กกระทำหรือไม่
มากน้อยเพยี งใด จะเป็นการศึกษาเพอ่ื พิจารณาดูเกี่ยวกบั วิญญาณ อตั ตา และจติ วา่ เป็นส่ิงเดยี วกนั หรือไม่ หรือ
เปน็ คนละอย่างกัน

3. อภปิ รชั ญาวา่ ด้วยพระเจ้า หรอื ปรัชญาเทวะ (God or Absolute and Ontology)

คือการค้นคว้าหาสัจภาวะเรื่อง พระเจ้า หรือสิ่งที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งท่ีมีอิทธิพลมาตั้งแต่
บรรพกาล เป็นลัทธิเทวนิยม “เทวนิยม" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ต. 2525 หมายถึงลัทธิท่ี
เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่พระองค์เดียวพระเจ้านั้นทรงมีอำนาจครอบครองโลก และสามารถดลบันดาลความ
เปน็ ไปในโลก

เทวนิยมทางอภิปรชั ญา จะเนน้ ว่า พระเจา้ มีอยู่จรงิ ถือเปน็ ภาวะท่ีมีอยู่อยา่ งเทีย่ งแท้ถาวร ไมใ่ ช่เปน็ เพียง
อดุ มคติ อยา่ งท่นี ักปรัชญาธรรมชาติบางพวกเข้าใจ เพราะนกั ปรชั ญาธรรมชาตินยิ ม นำเอาคำวา่ พระเจ้า (God)
ไปใช้ เพียงหมายถึง มโนภาพอย่างหน่งึ (concept)

นักปรัชญาเทวนิยม มีหน้าที่สำคัญ คือ หาเหตุผล และข้อเท็จจริงมาประกอบการพิสูจน์ให้เป็นจริงว่า
พระเจ้ามีอยู่จริง ข้อพิสูจน์ของพวกเทวนิยมอาศัยข้ออ้างทางศาสนา คือหลักศรัทธา และมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่
อาศยั ข้ออา้ งทางปรัชญา คือหลักเหตุผลและประสบการณ์ของมนษุ ย์ (อดิศักด์ิ ทองบุญ, 2526)

อภิปรัชญา (Metaphysics) จึงเป็นการศึกษาถึงความแท้จริงของสรรพสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
ธรรมชาติ เรื่องของจิตหรือวิญญาณ เรื่องของพระเจ้าหรือสิ่งสัมบูรณ์ โดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ มี

63

ลักษณะเป็นอย่างไร มีการดำรงอยู่อย่างไร เราสามารถที่จะรู้จักส่ิงเหล่านั้นได้อย่างไร หรือการมีอยู่ของสิ่ง
เหลา่ น้นั แตกตา่ งกนั

นักปรัชญาฝ่ายอภิปรัชญา ได้พยายามให้คำตอบเกี่ยวกั บสิ่งเหล่านี้ โดยพยายามศึกษา
ปรัชญาสาขาต่างๆ ท่ีให้ทัศนะเกี่ยวกับโลกแห่งผัสสะ และโลกเหนือผัสสะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และ
พยายามชี้ให้เห็น ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีบ่อเกิดอย่างไร ทำไมต้องเกิดมีปัญหาอย่างนั้น ข้ึน

หน้าทขี่ องอภิปรชั ญา

นักปรัชญาเริ่มต้นแนวความคิดของตนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ
อนั เกิดจากความสงสัย หรอื ความประหลาดใจในสิ่งต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึน้ และพยายามตอบข้อสงสัยในส่งิ เหล่าน้ันด้วย
เหตุผล แนวความคิดของนักปรัชญาลักษณะเช่นนี้ คือแนวความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็น
แนวความคิดทางอภปิ รชั ญา (ปิยะฤทธิ์ พลายมณี ,2556)

ธาเลส (Thales) บดิ าแห่งปรชั ญากรีกมีความสงสยั ว่า โลกเกิดขึ้นมาจากอะไร มอี ะไรเปน็ บอ่ เกิดของโลก
เขาจึงพยายามคิดค้นหาคำตอบ โดยได้คำตอบว่า น้ำ เป็นบ่อเกิดของโลก หรือเป็นปฐมธาตุของโลก ซึ่งเขาให้
เหตผุ ลวา่ สิ่งท่มี ีชวี ิตท่ีอยูใ่ นโลกล้วนต้องการน้ำ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง มนษุ ยห์ ากขาดนำ้ แล้วไม่สามารถจะมีชวี ติ อยู่

แต่การสืบค้นหรือการแสวงหาความจริงดังกล่าวนัน้ จะต้องประกอบดว้ ยเหตุผล เพราะจุดมุ่งหมายของ
การศกึ ษาอภปิ รชั ญาทส่ี ำคญั กค็ อื เพื่อให้มนษุ ย์เป็นตวั ของตัวเอง มีความคิดเปน็ อสิ ระ ร้จู กั วิพากษ์วิจารณ์ปัญหา
ปรัชญาตามหลกั ของเหตุผล(ผศ.วธิ าน สุชีวคปุ ต์ ,2561)

ดังนั้นหน้าที่ของอภปิ รชั ญาคือ การสืบค้นหาอนั ติมสัจ คือ ความเป็นจริงขั้นสูงสุด สัจจะ คือ ความจริง
เพราะฉะน้ัน อันตมิ สจั คอื ความจรงิ ทีส่ น้ิ สุด ซึง่ อยู่เหนือความจริงท่ีปรากฏแก่ประสาทสัมผัส เป็นความจริงที่
ครอบคลุมสิ่งทั้งปวงได้

ความเป็นจริงที่ครอบคลุม

ข้อเทจ็ จริง : คอื ปรากฏการณ์ของแต่ละส่งิ ทีเ่ กิดข้นึ ความจริงท่ีประจักษ์ชัด เหตุการณ์ท่เี ปน็ จรงิ
ความจริง : คอื คุณสมบตั ิของข้อความท่ีมีลักษณะพิเศษอย่างใดอย่างหนง่ึ
ความเปน็ จริง : คอื ส่งิ ทม่ี ีอยู่จรงิ เป็นอยูจ่ รงิ
ความเป็นจรงิ สงู สุด : นิพพานความจรงิ สงู สดุ เป็นความดีสูงสุด เปน็ สภาวะที่สมบูรณ์

ความสมั พันธข์ องอภปิ รัชญากบั ศาสตรอ์ ื่น

อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นปรัชญาบริสุทธิส์ าขาหนึ่งของปรัชญาท่ีว่าด้วยเรื่องความเปน็ จริงและ
ความจริงแท้(Reality) เกี่ยวกับโลกและจักรวาล ตลอดจนธรรมชาติของมนุษย์ว่ามีความเป็นจรงิ อย่างไร ความ
เป็นจริงที่แสวงหาน้ันเป็นความจริงสุดท้ายหรือความจริงสูงสุดทีเ่ รียกว่า ความจริงอนั ติมะ (Ultimate Reality)
อันเป็นพ้ืนฐานท่ีมาของความจริงอ่ืน ๆ ดังนั้น จึงทำให้ปรชั ญาสาขานี้ มีความสัมพันธก์ ับศาสตร์อ่ืน ซึ่งศาสตร์ท่ี
สำคญั จะมี 3 ศาสตร์ ดงั นี้

64

1. อภปิ รัชญากบั ศาสนา (Metaphysics and Religion)

ระหว่างอภิปรัชญากับศาสนามีทัง้ ที่คล้ายคลึงกนั และแตกต่างกัน ส่วนที่คล้ายคลึงกันมลี ักษณะที่
สำคัญดังน้ี อภิปรัชญาและศาสนา มีวัตถุประสงค์ขั้นต้นเหมือนกนั นั่นคือเพื่อศึกษาเบื้องหลังของโลกหรือ
จักรวาล ทั้งอภิปรัชญาและศาสนา พยายามท่ีจะก้าวไปให้พ้นปรากฏการณ์ในปจั จุบัน เพื่อให้มองเห็นความ
แทจ้ ริง ทั้งอภปิ รชั ญาและศาสนาเนน้ การฝึกจติ ว่าเปน็ วธิ ที ี่เขา้ ถึงความแท้จรงิ ได้ ยกเวน้ อภปิ รชั ญาฝา่ ยสสาร
นิยม ทั้งอภิปรัชญาและศาสนา เชื่อในความสามารถของจิตมนุษย์ว่าสามารถสัมผัสความแท้จริงได้ ยกเว้น
อภิปรัชญาฝ่ายสสารนยิ ม

อภิปรัชญาและศาสนา (เทวนิยม) มลี ักษณะทีแ่ ตกตา่ งกันดงั น้ี

1.1 อภิปรัชญาใชเ้ ครอื่ งมือทางวทิ ยาศาสตรม์ าพิจารณาสภาพธรรมท่ีเป็นโลกุตตระ สว่ น ดา้ น
ศาสนาใชว้ ธิ มี อบกายถวายชวี ิตตอ่ สภาพธรรมนั้น

1.2 อภิปรัชญาใช้เหตผุ ลในการเขา้ ถึงความแท้จรงิ สว่ นศาสนาใช้ความภักดแี ละศรัทธาในพระเจา้ ใน
การเข้าถงึ สัจธรรม

1.3 อภิปรชั ญาไมเ่ ริ่มต้นศรัทธาในสงิ่ ทีจ่ ะศกึ ษาค้นควา้ แต่เร่ิมต้นดว้ ยความสงสยั ส่วนศาสนา
เร่มิ ต้นดว้ ยศรทั ธา

1.4 อภิปรัชญามขี อบเขตทจ่ี ะต้องศึกษากวา้ งกว่าศาสนา คือวา่ ดว้ ยความแท้จริงเกีย่ วกบั โลกท้ังมวล
ส่วนศาสนาวา่ ด้วยเรอ่ื งพระเจ้าในสว่ นที่สมั พนั ธ์กบั มนษุ ย์เท่านัน้ อภิปรัชญาศกึ ษาเพอ่ื ความรูจ้ รงิ เท่านนั้ สว่ น
ศาสนามุ่งปฏิบัติใหเ้ ข้าถึงความจรงิ

2. อภปิ รัชญากับวิทยาศาสตร์ (Metaphysics and Science)

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอภปิ รัชญากับวิทยาศาสตรท์ ี่จะพึงศึกษา คืออภิปรชั ญาเป็นการคาดคะเนความจริง
ก่อนวิทยาศาสตร์ แนวความคิดทางอภิปรัชญา เช่น ธาเลส (Thales) บอกว่า “น้ำ เป็นปฐมธาตุของโลก หรือ
สรรพสิ่งมาจากนำ้ ” หรือ เฮราคลิตุส (Heraclitus) บอกว่า “ไฟ เป็นปฐมธาตุของโลก หรือสรรพสิ่งมาจากไฟ”
เหล่านีเ้ ป็นตน้ ถือว่าเปน็ การคาดคะเน ซึง่ การคาดคะเนเชน่ นี้ถือว่าเปน็ เรอ่ื งของอภปิ รัชญา ต่อมาเรอ่ื งโครงสร้าง
ของเอกภพกายภาพก็ดี เรื่องของส่วนประกอบของสิง่ ทัง้ หลายก็ดี เป็นหนา้ ท่ีของวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ ดารา
ศาสตร์ เป็นตน้ ทจ่ี ะตอ้ งให้คำตอบโดยใช้ วิธกี ารทดสอบ ทดลอง ซ่ึงเปน็ เรอ่ื งของวิทยาศาสตร์

3. อภปิ รชั ญากับญาณวิทยา (Metaphysics and Epistemology)

อภิปรัชญากับญาณวิทยาเป็น 2 สาขาของปรัชญา โดยอภิปรัชญานั้น เป็นการค้นคว้าถึงธรรมชาติของ
ความแท้จริงสุดท้าย ส่วนญาณวิทยา เป็นการค้นคว้าถึงธรรมชาติของความรู้กับปัญหา ระหว่างอภิปรัชญากับ
ญาณวทิ ยา อะไรสำคญั กวา่ กนั ยังเปน็ เร่ืองทถ่ี กเถยี งกนั อยู่ นักปรัชญาบางกลมุ่ เห็นวา่ ญาณวิทยามากอ่ น เพราะ

65

การตรวจสอบถึงความเปน็ ไปได้และขอบเขตของความรู้น้ันเป็นสิ่งสำคัญ อันเป็นพื้นฐานในการแสวงหาและคนั
ควา้ ถึงธรรมชาติของความแท้จริงสดุ ทา้ ย แตน่ กั ปรชั ญาบางกลมุ่ ก็ไดเ้ ริ่มต้นปรัชญาของเขาดว้ ยอภปิ รชั ญา และถือ
วา่ ญาณวิทยาตอ้ งสอดคล้องหรอื คล้อยตามอภิปรชั ญา โดยทศั นะดังกลา่ วแล้ว ท้ังญาณวทิ ยาและอภิปรัชญา ต่าง
กเ็ ป็นสาขาของตวั เองต่างหากไม่เกี่ยวเนอื่ งกนั

อภิปรชั ญา (Metaphysics)

เป็นวิชาที่ว่าด้วยความแท้จรงิ ของสรรพสิ่ง เรียกอีกอย่าง หนึ่งว่า ภววิทยา (Ontology) ซึ่งเป็นศาสตร์
ท่วี า่ ด้วยความมีอยู่ ความเป็นอยขู่ องสรรพส่ิง ความมีอย่ขู องสรรพสง่ิ กค็ ือความแทจ้ ริงของสรรพสิ่ง ความแท้จริง
ของสรรพสิ่งย่อมเป็นความมีอยู่ของสรรพส่ิง ทั้ง 2 คำ จึงเป็นอันเดียวกันต่างแต่ว่า Ontology ใช้มาก่อน
Metaphysics ใชท้ ีหลัง กลา่ วคอื อภิปรัชญาศกึ ษาเรือ่ งธรรมชาตทิ ี่แท้จรงิ เก่ียวกับโลก วญิ ญาณหรอื จิต และพระ
ผู้เป็นเจ้า การที่เราจะเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติท่ีแทจ้ รงิ ของโลก วิญญาณหรอื จติ และพระผูเ้ ป็นเจ้านั้น ต้องอาศัย
ญาณวิทยาเปน็ เคร่ืองมอื ในการพสิ ูจนค์ วามจริงเกยี่ วกบั สงิ่ เหล่านี้

ญาณวทิ ยา (Epistemology)

ทฤษฎคี วามรู้ เปน็ วิชาท่ีศึกษาคน้ คว้าหาความรธู้ รรมชาตแิ ละเหตุแหง่ ความรู้ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการศึกษา
ถึงรายละเอียดของความรู้ทั้งหมด เพื่อให้เห็นความเป็นไป และตัดสินได้ว่าอะไรเป็นความจริงแท้ ซึ่งเกิดจาก
ความรู้ที่แท้จริง เป็นการศึกษาสภาพ ทั่ว ๆ ไปของความรู้อย่างกว้าง ๆ อภิปรัชญาจะต้องใช้ญาณวิทยาเป็น
เครื่องมือในการค้นควา้ ธรรมชาติทีแ่ ท้จริงของสิ่งที่มอี ยู่ กล่าวคือญาณวิทยา เป็นพื้นฐานหรือมูลฐานท่ีทำให้เกดิ
ปรัชญานัน้ ความจรงิ ญาณวิทยาและอภิปรชั ญามีความสัมพนั ธ์กันอยา่ งใกล้ชิด ซึง่ ส่ิงหน่งึ จะปราศจากอีกส่ิงหนึ่ง
ยอ่ มเป็นไปไม่ได้ ทฤษฎวี า่ ด้วยความรู้นำไปสคู่ วามรู้ส่งิ ต่าง ๆ จะอยา่ งไรกต็ าม ทง้ั อภปิ รชั ญาและญาณวทิ ยาต่างก็
มีวิธีการอธิบายส่ิงเดียวกัน นั่นคือธรรมชาติทีแ่ ท้จริง และทั้งสองอย่างต่างก็อาศัยซึ่งกันและกนั เพื่อค้นหาความ
จริงของส่ิงท้ังหลายอยา่ งถกู ต้อง (

ทฤษฎีทางอภปิ รชั ญา

นับตั้งแต่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความคิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของธรรมชาติ หรือเร่ืองปรากฏการณ์
ทางธรรมชาติ เพราะมนษุ ยเ์ ริ่มสนใจสิ่งทีอ่ ยใู่ กล้ตัวเพ่ิมมากข้นึ เนอื่ งมาจากการเสอ่ื มศรทั ธาในเร่อื งพระเจ้า ดังน้นั
พวกเขาจึงเกิดความสงสัยข้ึนว่า ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้เปน็ ปฐมธาตขุ องสรรพส่ิง หรือไมไ่ ด้เปน็ บ่อเกิดของโลกแล้ว
อะไรเปน็ ปฐมธาตุของโลก หรืออะไรเปน็ บ่อเกิดอันท่ีแท้จรงิ ของโลก ลกั ษณะแนวคิดเช่นน้ีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
จนกระทงั่ ถึงปจั จุบนั แนวความคิดเหล่าน้ลี ว้ นแต่เปน็ แนวคิดเกีย่ วกับอภิปรัชญาทัง้ นน้ั

แนวความคิดเก่ียวกับอภิปรัชญาจึงมวี ิวฒั นาการมาเป็นเวลานาน และนกั ปรชั ญาจำนวนมากพยายามคิด
หาคำตอบให้แก่ตนเอง ซึ่งต่างคนก็ต่างมีแนวความคิดไปคนละอย่าง บางทัศนะก็มีนักปรัชญาเห็นพ้องต้องกัน
หลายคน จึงไดร้ วมกลุ่มกนั เกิดเป็นลทั ธหิ รือทฤษฎีทางอภิปรัชญาขนึ้ ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีพยายามที่จะค้นหาความ
จริงทางอภิปรัชญาหรือเกี่ยวกับเอกภพ เกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับจิตวิญญาณ หรือแม้แต่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ใน
ปัจจุบนั น้ี ทฤษฎที างอภปิ รชั ญา มี 5 ทฤษฎี คอื

66

1. ทฤษฎสี สารนยิ ม

ทฤษฎีสสารนิยมหรือทฤษฎีวัตถุนิยม (Materialism) ได้แก่พวกที่ถือว่า สสารและปรากฏการณ์ของ
สสารเท่านั้นเป็นความแท้จริง จิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสสาร ดังนั้น สรรพสิ่งในโลกล้วนแต่เป็นสสาร
ทฤษฎีสสารนิยมยคุ แรก ๆ อาจได้แก่แนวความคิดทางธรรมชาติ ที่เราเรียกว่าธรรมชาตินิยม เพราะถือว่า สสาร
เป็นความแท้จริง ชีวิตคือพลังงานทางฟิสิกส์และเคมีที่ซับซ้อน ส่วนจิตคือปรากฏการณ์ทางสมองลักษณะของ
สสารนิยม จงึ เป็นความพยายามท่ีจะหาคำตอบเกีย่ วกบั เรื่องสสารโดยเฉพาะ แนวความคิดเก่ียวกบั สสารนิยม จึง
แพร่หลายมาตงั้ แต่สมัยกรกี โบราณ และมีทฤษฎสี สารนิยมเกิดข้ึนมากมายทสี่ ำคัญท่ีสดุ ได้แก่ ทฤษฎีจักรกลนิยม
(Mechanicism) กอ่ ตง้ั โดย โธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) นักสสารนยิ มชาวอังกฤษ ถือว่า ชีวิตและความคิด
ทกุ อย่างเกดิ ขนึ้ ตามกฎกลศาสตร์ท่ีตายตวั โลกเปรียบเสมือนเคร่ืองจกั รท่ีตายตัวประกอบด้วยสสารและพลังงาน
ดังนั้น สสารจึงเป็นความแท้จรงิ ส่วนจิตคอื การทำหนา้ ท่ีของสมอง

2. ทฤษฎีจิตนิยม(IDEALISM)

ทฤษฎจี ติ นยิ ม (Idealism) ไดแ้ ก่พวกทถ่ี อื วา่ จติ เทา่ นัน้ เป็นความแทจ้ ริง สสารเป็นเพียงปรากฏการณ์
ของจิตเท่านั้น ชาวจิตนิยมเชื่อว่า จิต เป็นอมตะ ไม่สูญสลาย ร่างกายของมนุษย์เป็นเพียงปรากฏการณ์ช่ัว
ขณะหน่งึ ของจิต เปน็ ที่อาศัยชั่วคราวของจติ เม่อื รา่ งกายดับลง จิตก็ยงั คงอยู่ ไมแ่ ตกดับไปตามรา่ งกาย

3. ทฤษฎีเอกนิยม (Monism)

ทฤษฎเี อกนยิ ม (Monism) ได้แก่พวกที่ถือว่า ความแท้จริงของสรรพส่งิ มีเพียงส่งิ เดียว จะเป็นรูปธรรม
(สสาร) หรือนามธรรม (จิต) ก็ได้ แสดงให้เห็นว่า ความจริงจะต้องมีเพียงสิง่ เดียวเท่านัน้ กล่าวคือเอกนิยม เป็น
วิธีการทางปรัชญาที่พยายามที่จะตอบปัญหาเกี่ยวกับความจริงที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ความจริงมีเพียงหน่ึง
เทา่ นน้ั ทีอ่ ย่เู บอื้ งหลงั ของสรรพส่ิงและส่ิงมชี วี ิตท้งั หลาย

4. ทฤษฎีทวนิ ยิ ม (Dualism)

ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) ไดแ้ กพ่ วกที่ถือวา่ ความแท้จรงิ ของสรรพสิง่ มี 2 อย่างเปน็ ของคู่กัน คือเป็น
ทั้งรูปธรรม (สสาร) และนามธรรม (จิต) มีนักปรัชญาจำนวนมากท่ีพยายามให้คำตอบเก่ียวกับเรื่องของทวินิยม
เพราะเช่อื ว่ามนุษย์เรามีทงั้ ร่างกายและจติ วญิ ญาณอยคู่ ูก่ ัน ทฤษฎที วินิยม แบง่ ออกไปอกี ได้ 2 ทฤษฎี คือ

4.1 ทฤษฎีรงั สรรคน์ ยิ ม (Creationism) เป็นที่ยอมรบั กนั ว่า ทฤษฎที วนิ ิยม คือทฤษฎที ่ยี อมรับว่าความ
จริงมี 2 อยา่ งไดแ้ ก่ จิตกับรา่ งกาย จติ เป็นสภาวะท่ใี หญก่ วา่ รา่ งกาย เพราะเปน็ ผูส้ รา้ งสสาร เรยี กว่า พระผู้สร้าง
(The Creation) หลังจากท่ีสร้างแล้วก็ปลอ่ ยให้สสารอยดู่ ้วยตัวเอง พระผู้สร้างมีอำนาจในการควบคมุ และทำลาย
สสาร พระผู้สร้างนี้ เป็นความแท้จริงสูงสุด เป็นอมตะ เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนจิตวิญญาณท่ีอยู่กับสสาร
เป็นจติ วญิ ญาณของมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำหน้าท่จี ดั ระบบสสาร เพราะสสารเปน็ วตั ถุ วญิ ญาณเป็นแบบ
ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ใช่สสาร แตเ่ ป็นแบบ

67

4.2 ทฤษฎชี วี สสารนิยม (Hylozoism) เรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า ทฤษฎีจติ สสารนิยม เพราะเป็นทฤษฎีที่ถือ
วา่ จติ กบั สสารเป็นของคู่กนั จิตควบคมุ สสารได้

5. ทฤษฎีพหนุ ยิ ม (Pluralism)

ทฤษฎีพหนุ ยิ ม (Pluralism) ไดแ้ ก่พวกทถี่ อื ว่า ความแท้จริงของปฐมธาตมุ ีจำนวนมากมาย อาจจะเป็น
รปู ธรรม (สสาร) หรอื นามธรรม (จิต) กไ็ ด้ นั่นคือความจรงิ แทข้ องสรรพสิ่งไม่ข้ึนอยแู่ ก่กัน ต่างก็เป็นอิสระในตวั เอง
ดังนั้น สรรพสิ่งที่มีจำนวนมากมายจึงไม่สามารถจะลดหรือทอนลงให้เหลือเพียงสิ่งเดียวได้ ทฤษฎีพหุนิยมนี้ที่
ยอมรับกนั อยา่ งกว้างขวาง แบง่ ออกได้เปน็ 2 ทฤษฎไี ดแ้ ก่

5.1 ทฤษฎีพหุนิยมฝ่ายจิต (Idealistic Pluralism) ได้แก่พวกที่ถือว่า ความแท้จริงของปฐมธาตุมี
มากมาย แต่มีลักษณะเปน็ นามธรรม (จติ ) เช่น ปรชั ญาเกี่ยวกับโมนาด (Monad) ของไลบน์ ิซ (Leibniz) เปน็ ต้น

5.2 ทฤษฎีพหนุ ยิ มฝา่ ยสสาร (Materialistic Pluralism) ได้แก่พวกทีถ่ ือวา่ ความแทจ้ ริงของปฐมธาตุมี
มากมาย แต่มีลักษณะเป็นรูปธรรม (สสาร) เช่น ปรัชญาเกี่ยวกับปรมาณูนิยม (Atomism) ของเดโมคริตุส
(Democritus) ถือว่า ปฐมธาตุของโลกคือ “ปรมาณู” ปรมาณู เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง สรรพสิ่งเกิดมาจาก
ปรมาณู และจะกลายเป็นปรมาณูอีก กล่าวคือสรรพสิ่งในโลกประกอบด้วย ปรมาณู 4 อย่างคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
(พระมหาปพน กตสาโร, 2561)

ลทั ธิทางอภปิ รชั ญา

จติ นยิ ม หรือมโนคติวิทยา (Idealism)

ลทั ธิจิตนยิ ม (Idialism) เป็นลัทธิปรัชญาที่เกา่ แกท่ ่สี ุดในบรรดาปรชั ญาตา่ งๆมกี ำเนดิ พร้อมกบั การเร่ิมต้น
ของปรัชญา ปรชั ญาลทั ธิน้ถี ือเรื่องจิตเปน็ ส่งิ สำคญั มีความเชือ่ วา่ สง่ิ ท่เี ป็นจรงิ สูงสุดนนั้ ไม่ใช่วัตถหุ รือตวั ตน แตเ่ ป็น
เร่อื งของความคดิ ซึง่ อยู่ในจติ (Mine) สิง่ ทเ่ี ราเหน็ หรือจบั ตอ้ งได้นน้ั ยงั ไม่ความจรงิ ทีแ่ ท้ ความจริงท่ีแท้จะมีอยู่ใน
โลกของจิต (The world of mind) เท่านั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของแนวความคิดลัทธิปรัชญานี้ คือ พลาโต
(Plato) นกั ปรัชญาเมธชี าวกรีก ซึง่ มีความเชอ่ื วา่ การศกึ ษา คือ การพัฒนาจติ ใจมากกว่าอยา่ งอ่ืน (อดุ มศักด์ิ มีสุข
, 2552)

เป็นลัทธิปรัชญาท่ีเก่าแก่ที่สุดในบรรดาปรัชญาต่างๆมีกำเนิดพร้อมกับการเริ่มต้นของปรัชญา ปรัชญา
ลัทธินี้ถือเร่อื งจิตเป็นสิง่ สำคญั มคี วามเชือ่ ว่าสิ่งท่ีเป็นจรงิ สงู สดุ นั้นไม่ใช่วัตถุหรือตัวตน แต่เป็นเรื่องของความคิด
ซง่ึ อยู่ในจติ (Mine) สิง่ ทเ่ี ราเห็นหรอื จับต้องไดน้ น้ั ยังไมค่ วามจริงท่ีแท้ความจริงท่ีแท้จะมอี ยู่ในโลกของจิต (The
world of mind) เท่านนั้ ผทู้ ไ่ี ดช้ ือ่ ว่าเปน็ บดิ าของแนวความคิดลทั ธิปรชั ญานี้ คอื พลาโต (Plato) นกั ปรชั ญาเมธี
ชาวกรกี ซึ่งมคี วามเชื่อว่าการศกึ ษา คือการพฒั นาจติ ใจมากกว่าอยา่ งอน่ื
ถา้ พิจารณาลัทธิปรชั ญาลัทธิจติ นยิ มในแงส่ าขาของปรชั ญา แตล่ ะสาขาจะได้ดังนี้

1 อภิปรชั ญา ถือเป็นจริงสงู สดุ เปน็ นามธรรมมากกว่ารูปธรรม ต้องพัฒนาคนในด้านจิตใจมากกวา่ วตั ถุ
2 ญาณวิทยา ถือว่าความรู้เกิดจากความคิดหาเหตุผล และการวิเคราะห์แล้วสร้างเปน็ ความคิดในจติ ใจ
สว่ นความรูท้ ี่ไดจ้ ากการสัมผัสด้วยประสาทท้งั 5 ไมใ่ ชค่ วามร้ทู แ่ี ท้จริง

68

3 คุณวิทยา ถือว่าคุณค่าความดีความงามมีลักษณะตายตัวคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง
ในด้านจรยิ ศาสตร์ ศีลธรรม จรยิ ธรรมจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสนุ ทรียศาสตรน์ ั้น การถา่ ยทอดความงาม เกิดจาก
ความคดิ สร้างสรรค์และอดุ มการณ์อนั สูงสง่

สรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยมเป็นการพัฒนาด้านจิตใจ ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านคุณธรรม จริยธรรม
ศิลปะต่างๆ การจัดการศึกษาตามแนวจิตนิยมจึงเน้นในด้านอักษรศาสตร์และศิลปะศาสตร์ เป็นผู้มีความรอบรู้
โดยเฉพาะตำรา การเรยี นการสอนมกั จะใชห้ อ้ งสมดุ เปน็ แหลง่ คน้ ควา้ และถ่ายทอดเนือ้ หาวชิ าสบื ต่อกนั ไป

สจั นยิ ม หรือวตั ถุนยิ ม (Realism)

ลัทธิวัถุนิยม หรือสัจนิยม (Realism) เป็นลัทธิปรัชญาที่มีความเชื่อในโลกแห่งวัตถุ (The world of
things) มคี วามเช่อื ในแสวงหาความจริงโดยจิตตามแนวคิดของจิตนิยมอย่างเดียวไม่พอ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริง
ตามธรรมชาติด้วย ความจริงที่แท้คือ วัตถุที่ปรากฏต่อสายตา สามารถสัมผัสได้ สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของ
การศกึ ษาทางดา้ นวิทยาศาสตร์ บิดาของลทั ธินคี้ ือ อรสิ โตเติล (Aristotle) นักปราชญช์ าวกรีกลัทธิปรัชญาสาขานี้
เป็นต้นกำเนดิ ของการศึกษาทางงด้านวทิ ยาศาสตร์
ถา้ พจิ ารณาปรัชญาลัทธวิ ัตถนุ ยิ มในแง่สาขาของปรชั ญา (อดุ มศักด์ิ มีสุข, 2552) จะไดด้ งั นี้

1 อภิปรชั ญามีความเช่ือวา่ ความจรงิ มาจากธรรมชาติ ซ่ึงประกอบสง่ิ ท่ีเป็นวัตถุสามารถสัมผัสจับต้องได้
และพิสจู นไ์ ด้ด้วยวธิ วี ทิ ยาศาสตร์

2 ญาณวิทยา เชื่อว่าธรรมชาติเป็นบ่อเกิดของความรู้ทั้งมวลความรู้ได้มาจากการได้เห็นได้สัมผัสด้วย
ประสาทสัมผสั ถา้ สังเกตไม่ไดม้ องไม่เห็น กไ็ ม่เห็นวา่ เปน็ ความรทู้ ีแ่ ท้จริง

3 คุณวทิ ยา เชือ่ ว่าธรรมชาติสร้างทกุ ส่งิ ทกุ อย่างมาดีแลว้ ในดา้ นจรยิ ศาสตรก์ ค็ วรประพฤตปิ ฏิบัตติ ามกฎ
ธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็คอื ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งใช้ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ ส่วนสุนทรี
ศาสตร์เป็นเร่อื งของความงดงามตามธรรมชาติสะท้อนความงามตามธรรมชาตอิ อกมา

สรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยม เน้นความเป็นจริงตามธรรมชาติ การศึกษาหาความจริงได้จากการสังเกต
สัมผัสจับต้อง และเชื่อในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ การศึกษาในแนวลัทธิจิตนิยมเนน้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็น
ตน้ กำเนิดของวชิ าวทิ ยาศาสตร์

โทมสั นิยมใหม่ (Neo-Thomism)

ปรัชญาโทมัสนิยมใหม่ มีแนวคิดเกี่ยวกับโลกและจักรวาล ว่าเป็น “โลกแห่งเหตุผล และการมีอยู่ของ
พระผู้เป็นเจ้า” (The World of Reason, Being/God) และมีแนวคิดว่าความรู้ทีแ่ ท้จริง คือ “ความรู้ที่เป็นไป
ตามหลกั เหตผุ ล และเป็นการหยง่ั รู้” (Truth as reason and intuition) แนวคิดเกย่ี วกับความดี หรือจรยิ ธรรม
ของนักปรัชญากลุ่มโทมัสนิยมใหม่ คือ “จริยธรรมเป็นการกระทำอย่างมีเหตุผล” แนวคิดเกี่ยวกับความงาม
หรอื สนุ ทรยี ภาพ คือ “สนุ ทรยี ะ เป็นสง่ิ ทก่ี ่อให้เกิดการหยัง่ รู้เชงิ สร้างสรรค์ โดยอาศัยพุทธิปัญญา” นักปรชั ญาคน
สำคัญ คือ Saint Thomas Aquinas (ภวิศา พงษเ์ ลก็ , 2560)

69

ประสบการณิยม หรือ ปฏิบัตนิ ิยม (Experitalism)

ลัทธิประสบการณ์นิยม (Experimentalism) เป็นปรัชญาที่มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิบัตินิยม
(Pragmatism) ปรัชญากลุม่ นม้ี ีความสนใจในโลกแห่งประสบการณ์ ฝา่ ยวตั ถนุ ยิ มจะเช่ือในความเปน็ จริงเฉพาะส่ิง
ทมี่ นษุ ย์พบเห็นไดเ้ ปน็ ธรรมชาติทป่ี ราศจากการปรุงแต่งเปน็ ธรรมชาติบรสิ ุทธ์ิ สว่ นประสบการณน์ ิยมมิไดห้ มายถึง
สิ่งที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งท่ีมนุษย์กระทำ คิด และรู้สึก รวมถึงการคิดอย่าง
ใคร่ครวญและการลงมือกระทำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผกู้ ระทำ กระบวนการทั้งหมดทเ่ี กิดข้นึ ครบถ้วนแล้ว
จึงเรียกว่าเป็น ประสบการณ์ ความเป็นจริงหรือประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขแห่ง
ประสบการณ์ บุคคลที่เป็นผู้นำของความคิดนี้ คือ วิลเลียม เจมส์ (William,James) และจอห์น ดิวอิ้ (John
Dewey ชาวอเมรกิ ัน วลิ เลียม เจมส์ มีความเหน็ วา่ ประสบการณ์และการปฏบิ ัติเปน็ สง่ิ สำคญั สว่ นจอหน์ ดวิ อิ้ เชื่อ
ว่ามนุษย์จะไดร้ บั ความร้เู กี่ยวกับส่ิงต่างๆจากประสบการณเ์ ทา่ นั้น (ภวศิ า พงษ์เลก็ , 2560)

เป็นปรัชญาที่มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ปรัชญากลุ่มนี้มีความสนใจในโลกแห่ง
ประสบการณ์ ฝ่ายวัตถุนยิ มจะเชื่อในความเปน็ จรงิ เฉพาะสงิ่ ทีม่ นุษยพ์ บเห็นได้เปน็ ธรรมชาตทิ ี่ปราศจากการปรุง
แต่งเป็นธรรมชาตบิ ริสุทธิ์ ส่วนประสบการณ์นิยมมไิ ด้หมายถึงสิ่งที่เราพบเหน็ ในชวี ิตประจำวันเทา่ น้ัน แต่หมาย
รวมถึงสิ่งที่มนุษย์กระทำ คิด และรู้สึก รวมถึงการคิดอย่างใคร่ครวญและการลงมือกระทำ ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงในผกู้ ระทำ กระบวนการทง้ั หมดที่เกิดข้นึ ครบถ้วนแล้ว จงึ เรียกวา่ เป็น ประสบการณ์ ความเป็นจริง
หรือประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขแห่งประสบการณ์ บุคคลที่เป็นผู้นำของความคิดนี้ คือ วิ
ลเลียม เจมส์(William, James) และจอห์น ดิวอิ้ (John Dewey) ชาวอเมริกัน วิลเลียม เจมส์ มีความเห็นว่า
ประสบการณ์และการปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญส่วนจอห์น ดิวอิ้ เชื่อว่ามนุษย์จะได้รับความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆจาก
ประสบการณ์เทา่ นนั้
ถา้ พิจารณาปรัชญาลทั ธปิ ระสบการณน์ ยิ มในแงข่ องสาขาของปรัชญาจะได้ดังน้ี

1 อภิปรัชญา เชื่อว่าความจรงิ เป็นโลกแหง่ ประสบการณ์ สิ่งใดที่ทำให้สามารถไดร้ ับประสบการณ์ได้ สิ่ง
นัน้ คอื ความจริง

2 ญาณวทิ ยา เชื่อวา่ ความรู้จะเกิดขนึ้ ได้ก็ด้วยการลงมอื ปฏิบตั ิ กระบวนการแสวงหาความรู้ก็ด้วยวิธีการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific method)

3 คุณวิทยา เชือ่ วา่ ความนยิ มจะเกยี่ วกับการประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ างดา้ นศีลธรรม จรรยาเป็นส่ิงท่ีมนษุ ยส์ ร้าง
และกำหนดขนึ้ มาเอง และสามารถเปลย่ี นแปลงได้ ส่วนสุนทรยี ศาสตร์ เปน็ เรื่องของความตอ้ งการและรสนิยมท่ี
คนส่วนใหญย่ อมรับกัน

สรุปว่า ปรัชญาลัทธิประสบการณ์นิยม เน้นให้คนอาศัยประสบการณ์ในการแสวงหาความเป็นจริงและ
ความรู้ต่าง ๆ ได้มาจากประสบการณ์ การศึกษาในแนวลัทธิปรัชญานี้เน้นการลงมือกระทำเพื่อหาความจรงิ ด้วย
คำตอบของตนเอง

อัตถภิ าวนิยม หรืออัตภาวะนยิ ม (Existentialism)

ลัทธิอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เป็นลัทธิปรัชญาที่เกิดหลังสุด มีแนวความคิดที่น่าสนใจและท้า
ทายต่อการแสวงหาของนักปรัชญาในปัจจุบัน เล็งเห็นว่าแก่นแท้หรือสารัตถะของมนุษย์ คือ เสรีภาพ ซึ่ง

70

หมายความว่า มนุษย์เกิดมาโดยไม่มีอะไรเป็นสมบัติติดตัวมา แก่นแท้ หรือสารัตถะของมนุษย์ คือ การไม่มอี ะไร
เลยมาแต่เกดิ ที่จะเรียกได้ว่าความเป็นมนษุ ย์ ถา้ ยอมเรยี กความไม่มหี รอื สญุ ตาน้วี ่าสารัตถะได้ กใ็ ห้เรยี กต่อไป แต่
ถ้าถือว่าเป็นคำพูดที่ไร้สาระ ก็ขอให้พูดใหม่ว่ามนุษย์ไม่มีสารัตถะ แต่มีเพียงความมีอยู่ หรืออัตถิภาวะ
(Existence) อย่างบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้มนุษย์แต่ละคนต้องสร้างตัวเองขึ้นมาจากการไม่มีอะไรเลยในขณะแรกเกดิ
ตามลำดบั โดยการตัดสินใจเลือก ผ้ใู หก้ ำเนิดแนวความคิดใหม่ ไดแ้ ก่ ซอเร็น คีร์เคอร์การ์ด (Soren Kierkegard),
ฌ็อง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) (วารญี า ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม, 2547)

เป็นลัทธิปรัชญาที่เกิดหลังสุด มีแนวความคิดที่น่าสนใจและท้าทายต่อการแสวงหาของนักปรัชญาใน
ปัจจบุ ัน (กรี ติ บุญเจือ 2522) Existentialism มคี วามหมายตามศัพท์ คอื Exist แปลว่าการมีอยู่ เช่น ปัจจุบัน มี
มนุษย์อยู่ก็เรียกว่า การมีมนุษย์อยู่หรือ Exist ส่วนไดโนเสาร์ไม่มีแล้ว ก็เรียกว่ามันไม่ Exist คำว่า
Existentialism จึงหมายความว่า มีความเช่ือในสิ่งที่มีอยู่จริงๆ เท่านั้น (The world of existing)หลักสำคัญ
ปรชั ญาลทั ธินีม้ ีอยู่ว่า การมอี ยูข่ องมนษุ ยม์ มี ากอ่ นลักษณะของมนุษย์(Existence precedes essence) ซึ่งความ
เชือ่ ดงั กลา่ วขัดกบั หลักศาสนาคริสต์ ซงึ่ มแี นวความคิดวา่ พระเจ้าทรงสร้างมนุษยแ์ ละสรรพสงิ่ ในโลก ก่อนท่ีจะลง
มือสร้างมนุษย์พระเจ้ามีความคิดอยู่แล้วว่ามนุษย์ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะมีลักษณะอย่างไร ควรจะประพฤติ
ปฏิบัติอย่างไร ทั้งหมดเป็นเนื้อหาหรือสาระ ลักษณะของมนุษย์มมี าก่อนการเกิดของมนุษย์ มนุษย์จะต้องอย่ใู น
ภาวะจำยอมที่จะต้องปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หมดเสรีภาพที่จะเลือกกระทำตามความต้องการของ
ตนเองปรัชญาลัทธิอัตถิภาวะนยิ มไมย่ อมรับแนวคิดดังกล่าว มีความเชือ่ เบื้องต้นวา่ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความ
ว่างเปล่า ไม่มีลักษณะใด ๆ ติดตัวมา ทุกคนมหี นา้ ทเ่ี ลอื กลกั ษณะหรอื สาระต่างๆให้กบั ตัวเอง การมีอยูข่ องมนุษย์
(เกิด) จึงมีมาก่อนลักษณะของมนุษย์หลักสำคัญของปรัชญานี้จะให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากที่สุด มนุษย์มี
เสรภี าพในการกระทำส่ิงตา่ งๆได้ตามความพอใจและจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบในสง่ิ ทเ่ี ลือก
ถา้ พิจารณาลทั ธิอัตถิภาวนิยมในแง่สาขาของปรชั ญาจะไดด้ ังนี้

1 อภิปรัชญา ความจริงเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะพิจารณา และกำหนดว่าอะไร
คอื ความจริง

2 ญาณวิทยา การแสวงหาความรู้ขึน้ อยกู่ บั แตล่ ะบุคคลทจี่ ะเลอื กสรรเพื่อให้สามารถดำรงชีวติ อยู่ได้
3 คณุ วิทยา ทกุ คนมีเสรภี าพท่ีจะเลอื กคา่ นยิ มที่ตนเองพอใจด้วยความสมัครใจสว่ นความงามนนั้ บุคคลจะ
เปน็ ผู้เลือกและกำหนดเอง โดยไมจ่ ำเปน็ จะต้องใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจ
สรุปว่า ปรัชญาลัทธิอัตถิภาวนิยม เป็นปรัชญาที่ให้ความสำคัญแกม่ นุษยว์ า่ มีความสำคัญสูงสุด มีความ
เปน็ ตวั ของตัวเอง สามารถเลือกกระทำส่งิ ใดๆได้ตามความพอใจ แตจ่ ะตอ้ งรบั ผิดชอบในสิ่งทก่ี ระทำ การศึกษาใน
แนวลัทธิปรัชญานี้จะให้ผู้เรียนมีอิสระในการแสวงหาความรู้ เลือกสิ่งต่างๆได้อย่างเสรี มีการกำหนดระเบียบ
กฎเกณฑข์ ้นึ มาเอง แตต่ ้องรับผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม

71

สรปุ
อภปิ รชั ญา

จากการศึกษาเรื่องของปรัชญา จะเห็นได้ว่าปรัชญามบี ่อเกิดมาจากความสงสัย หรือความประหลาดใจ
เริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีความสงสัยเกี่ยวกับปฐมธาตุของโลก ต่างคนต่างพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับ
คำถามที่ว่า อะไรเป็นปฐมธาตุของโลก หรืออะไรเป็นบอ่ เกิดของโลก บางคนบอกว่า น้ำ เป็นปฐมธาตขุ องโลก บาง
คนบอกวา่ ดนิ เป็นปฐมธาตุของโลก เหล่าน้ีเป็นต้น การยดึ ถอื แนวความคดิ อยา่ งนี้ล้วนแลว้ แตเ่ กิดข้ึนมาจากความ
สงสัยเพ่อื ต้องการค้นหา หรือสบื ค้นความแทจ้ ริงของโลก

นกั ปรัชญาอนิ เดยี โบราณ กม็ ีความสงสยั เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ฝนตก เป็นต้น ท่านเหล่านั้นคิดว่าเหตุทีเ่ ป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะมีเทพเจ้าสิงอยู่ อาจจะเป็นเพราะมีพระผู้
เป็นเจ้าผู้สร้าง มีลักษณะการสร้าง การควบคุมดูแล และการทำลาย ใช่หรือไม่ จึงพยายามค้นหาความเป็นจริง
ของโลกต่อมานกั ปรชั ญาตะวันตกสมัยใหม่ ก็มีความสงสยั เกี่ยวกับส่ิงใกล้ตัวนั่นคอื สงสัยเกี่ยวกับตัวตน เกี่ยวกับ
วิญญาณ เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วพยายามสืบค้น หาหลักฐานอ้างอิงเพือ่ หาความจริงของสิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นน้ี
ความสงสัยจึงเป็นบ่อเกิดแห่งปรัชญา เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความคิด และการคิดก็ก่อให้เกิดการคิดหาเหตุผล
การวิเคราะห์วิจารณ์ต่อมาเราจะสังเกตเห็นว่า แนวคิดเรื่องแรกที่นักปรัชญาค้นคิดก็คือเร่ืองเกี่ยวกับโลก หรือ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เชน่ อะไรเป็นปฐมธาตขุ องโลก ฝนตก ฟ้าร้อง เหล่าน้เี กดิ มาจากอะไร เป็นส่ิงท่ีมีอยู่
อย่างแท้จริงหรือไม่ ลักษณะการคิดเช่นนี้ เป็นการคิดเกี่ยวกับสาขาของปรัชญาสาขาหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า
“อภิปรชั ญา” (Metaphysics ) นน่ั เอง

72

อ้างองิ

ปยิ ะฤทธ์ิ พลายมณี. (2556). พระพทุ ธศาสนากบั ปัญหาทางอภปิ รัชญา.
ผศ.วิธาน สุชีวคปุ ต์. (2561). อภิปรัชญา,11,สำนักพิมพ:์ มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
พระมหาปพน กตสาโร. (2561). การวิเคราะห์อภิปรัชญาทีป่ รากฏในสารตั ถะแห่งคัมภีร์มลิ นิ ทปญั หา
(หน้า 44-45), มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลยั . สืบค้น 3 มีนาคม 2564 จาก
http://202.28.52.4/userfiles/file
ภวศิ า พงษ์เล็ก. (2560). หลกั การและปรัชญาการศกึ ษา. อุดรธาน.ี
วารญี า ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม. 2547. ปรัชญาอตั ถภิ าวะนิยม.
อดศิ กั ดิ์ ทองบุญ. (2546).คมู่ ืออภปิ รัชญา.กรงุ เทพมหานคร: ราชบณั ฑิตยสถาน.
สืบค้น 20 กุมภาพันธ์ 2564 จาก https://www.car.chula.ac.th
อดศิ กั ด์ิ ทองบญุ , (2526). คมู่ ืออภิปรชั ญา. กรุงเทพมหานคร :สำนกั พิมพป์ ระยรู วงศ์ จำกัด.
สบื ค้น 22 กุมภาพันธ์ 2564 จาก http://www.homebankstore.com
อดุ มศักดิ์ มีสขุ . (2552). ปรชั ญาและปรัชญาการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร.

73

บทท่ี 4

ญาณวทิ ยาและคุณวิทยา

ความหมายและความสำคัญของญาณวิทยา

ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของความรู้หรือการรับรู้สิ่งต่าง ๆ
ของบุคคล พฒั นาความร้เู กย่ี วกับความจริงด้วยการคดิ จากการสังเกตและจากตรรกวิทยา ด้วยการหาเหตผุ ลแบบ
นิรนัย (deductive) (อันเป็นการหาความจริงโดยอ้างว่าส่ิงหนึ่งเป็นความจริง เพราะสอดคล้อง
กับสิ่งที่เราทราบว่าเป็นจริงและถือเป็นหลักอยู่แล้ว) และแบบอุปนัย (inductive) (อันเป็นการหาความจริง
โดยนำเอาความจริงหรอื ประสบการณย์ ่อยหลาย ๆ ประสบการณ์ มาสรุปเป็นความจริงหลัก) นอกจากนี้ คนเรา
ยังพัฒนาความรู้โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การหยั่งรู้ (intuition) และการสัมผัส (senses)
(padveewp. 2563)

ญาณวิทยา เป็นการอธิบายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้ การรับรู้ ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีการสอน
และการเรียนรู้ หากครูเชื่อว่าสรรพสิ่งดำรงอยู่โดยมีโครงสร้างเป็นลำดับชัดเจนก็จะมีการสอนที่เป็นระบบ
มีลำดับขั้น เพื่อที่จะเป็นต้นแบบให้สำหรับนักเรียน ครูเหล่านี้จะใช้เนื้อหาวิชาที่ถ่ายทอดแนวคิดเกี่ยวกับ
ความเป็นจริงสู่นักเรียน ในทางตรงกันข้าม ถ้าครูเชื่อว่ากระบวนการที่เราเรียนรู้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง
ครูกจ็ ะสนบั สนุนให้กำลงั ใจนกั เรยี นในการหาวธิ ีเพือ่ แก้ปัญหา(padveewp. 2563)

ญาณวิทยา (epistemology) เป็นสาขาใหญ่อีกสาขาหนึ่งของปรัชญา ซึ่งเกี่ยวกับการสืบถาม
ถึงกำเนิดของความรู้ โครงสร้างของความรู้ วิธีการของความรู้และความเที่ยงตรงถูกต้องของความรู้
ดังนั้น ญาณวิทยาจึงเป็นเรื่องทฤษฎีของความรู้ (theory of knowledge) ซึ่งมุ่งในเรื่องปัญหาของความรู้ว่า
“มนุษย์รู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นความแท้จริง” “มนุษย์มีความรู้ได้อย่างไร” “เราแน่ใจได้อย่างไรว่าความรู้
ตา่ ง ๆ เป็นจริง ไม่ผิดพลาด” เหล่าน้เี ปน็ ตน้ (padveewp. 2563)

ญาณวิทยาไม่เหมือนวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์แขนงอื่น เพราะญาณวิทยาจะสนใจในเรื่อง
มโนทัศน์ (concept) มากกว่าจะสนใจเรื่องข้อเท็จจริง (fact) เช่น งานของนักจิตวิทยาก็เพื่อจะค้นหา
ว่าบุคคลมีคว าม คิ ดแ ละ ร ู้ สึ ก อย่ าง ไ ร ส่ว น ง าน ขอ ง น ัก ญ าณว ิทยาน ั ้น จะ มุ ่ง พ ิจ าร ณ า ว่ า
มโนทัศน์ของฝ่ายจิตวิทยาแต่ละอย่างนั้นหมายถึงอะไร เช่น มโนทัศน์จากคำว่าความรู้สึก (feeling)
การกำหนดรู้หรือสัญฐาน (perception) การเรียนรู้ (learning) และการเสริมแรง (reinforcement)
เป็นต้น นอกจากนี้ยังตัดสินหรือชี้ว่านักจิตวิทยาได้ใช้มโนทัศน์เหล่านั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้อง
ก็หมายถงึ ว่านกั จติ วิทยาได้บรรยายข้อเทจ็ จริงผดิ พลาดไปความคิดเห็นของครูที่จะไดป้ ระโยชนท์ ่ีสำคัญจากญาณ
วทิ ยากค็ อื จะทำให้ครูมองเหน็ ความแตกตา่ งของความรูป้ ระเภทต่าง ๆ ได้ (padveewp. 2563)

74

วธิ ีการรบั รู้
เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องของการถ่ายทอดความรู้ ปรัชญาแขนงนี้จึงมีส่วนสัมพันธ์กับการศึกษา

อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับหลักสูตรและการสอน ญาณวิทยาได้ให้พื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ
ความรู้ใน 2 ลักษณะ คือ แบบต่าง ๆ ของการรู้ (เรารู้ได้อย่างไร) และประเภทต่าง ๆ ของความรู้วิธีการ
ท่จี ะชว่ ยใหเ้ รารสู้ ิ่งตา่ ง ๆ น้นั มีอยู่หลายวธิ ี แต่วิธที ี่จะให้ความรู้ที่แท้จริงมากที่สุดนั้นมอี ยู่ 5 วธิ ีคือ

1. ก า ร ร ู ้ โ ด ย ข้ อ มู ล ท า ง ผ ั ส ส ะ ( Sense Data) ผ ั ส ส ะ ห ม า ย ถ ึ ง ก า ร ร ู ้ ห รื อ ก า ร ร ับรู้
จากการใช้ประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่งหรือหลาย ๆ ทางพร้อมกัน ข้อมูลทางผัสสะ
เปน็ วธิ ีการหน่ึงของการรับรู้เพือ่ นำไปส่คู วามรู้ท่เี ชื่อถอื ได้

2. การรโู้ ดยสามญั สำนกึ (Common Sense) สามญั สำนึก หมายถงึ ความรู้สึก หรอื การรับรู้ของคนแต่
ละคนที่มีร่วมกับคนอื่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาคิดค้นไตร่ตรองเสียก่อน มนุษย์เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์หรือ
สถานการณบ์ างอยา่ งสามารถตัดสนิ ไดว้ า่ อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไมค่ วรได้ทนั ทีโดยอาศยั สามญั สำนกึ

3. การรู้โดยตรรกวิธี (Logic) ตรรกวิธีหรือตรรกวิทยา เป็นวิธีการสำคัญที่นักปรัชญา
ใช้ในการตัดสินความถูกต้องของความรู้ความจริง เป็นวิธีการที่อาศัยหลักของเหตุผล ความน่าเช่ื อถือ
อยู่ที่เหตผุ ล

4. การรู้โดยการหย่งั รู้ หรือญาณทศั น์ (Intuition) การรโู้ ดยการหย่ังรูห้ รือญาณทัศน์เปน็ การรู้โดยอาศัย
ความคิดหรือจินตนาการที่อาศัยสตปิ ญั ญาเปน็ หลกั การหยง่ั รขู้ องมนุษยน์ น้ั มหี ลายระดับ ขึน้ อยกู่ บั ระดบั ความคิด
และสตปิ ัญญาของแต่ละคน ในระดับสูงสุดของการหย่ังรโู้ ดยใช้สมาธิและปัญญาก็คอื การตรสั รู้อย่างที่เกิดข้ึนกับ
พระพทุ ธเจ้ามาแลว้

5. การร้โู ดยวธิ ีวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) การรโู้ ดยวิธีวทิ ยาศาสตร์ เปน็ การรู้โดยอาศัยการ
สงั เกตและการทดลองเพอ่ื พิสจู นว์ ่าความรทู้ ี่ไดจ้ ากการสังเกตหรือการสัมผสั เปน็ ความรู้ท่ีถูกต้อง เม่ือมกี ารทดลอง
ซ้ำ ๆ จนได้คำตอบไม่เปลี่ยนแปลงได้ ก็ถือได้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงตราบเท่าที่ผลการพิสูจน์ยังไม่เป็นอย่าง
อื่น ปรัชญาโดยปกติจะไม่ใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อผลิตความรู้ แต่อาจจะใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบความ
ถูกต้องของความคิดหรือประสบการณ์ อีกลักษณะหนึ่งของญาณวิทยาคือ การจำแนกประเภทของความรู้โดย
อาศยั แหลง่ ทีม่ าและวิธกี ารไดม้ าซ่ึงความรู้ ออกเป็น 5 ประเภทคือ

5.1 ความรู้ประเภทคัมภีร์ (Revealed Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่
ศาสดา เพอ่ื นำไปเผยแพร่แก่มวลมนษุ ย์ ส่วนมากจะเป็นความรทู้ ่ีประมวลไวใ้ นพระคัมภรี ์ทางศาสนาหลักสูตรและ
การสอนในโรงเรียนและสถานศกึ ษามักจะมกี ารนำเอาความรู้ประเภทนบ้ี รรจไุ ว้ในหลกั สตู ร โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน
สว่ นท่เี ก่ียวกบั การใช้ความรู้เพอื่ การพัฒนาจติ ใจ

5.2 ความรูป้ ระเภทตำรา (Authoritative Knowledge) เปน็ ความรทู้ ่ไี ด้จากการบอกเล่า บันทึก หรือ
การถ่ายทอดจากผู้คงแก่เรียน หรือผู้รู้ในเรื่องต่าง ๆ ถือตัวผู้ที่เป็นปราชญ์หรือผู้เชี่ยวชาญนั้น ๆ เป็นแหล่งของ
ความรู้ ผลงานของผรู้ ้ทู ี่เขยี นเปน็ คำมาไวจ้ งึ เปน็ ประเภทหนง่ึ ของความรู้ทีใ่ ช้อ้างอิงกันโดยทวั่ ไป แหล่งความรู้
ประเภทน้ีอาจจะสมบรู ณ์ถูกตอ้ งหรอื ไม่ถกู ตอ้ งทั้งหมดก็ได้ ข้นึ อยกู่ ับความเช่อื ถอื และการพสิ จู น์โดยวิธกี ารอืน่ ๆ

75

5.3 ความรู้ประเภทญาณทัศน์ (Intuitive Knowledge) เป็นความรูท้ ี่เกดิ จากการหย่ังรู้โดยญาณ การ
หยั่งรู้อาจจะเกิดจากการครุน่ คิดไตร่ตรองเพื่อหาคำตอบเรื่องใดเรือ่ งหนึ่ง เพื่อให้พ้นสงสัยแต่คิดไม่ออกหรือหา
คำตอบไม่ได้ แต่จู่ ๆ ก็เกิดความรูใ้ นเรือ่ งนั้นผุดขึ้นมาในความคิดและได้คำตอบโดยไม่คาดฝนั ในบางกรณีเมือ่ มี
แรงดลใจหรือจินตนาการบางอย่างก็เกิดการหยัง่ รู้ขึ้น ความรู้ที่ได้จากญาณทัศน์นี้เป็นจุดกำเนิดของความรู้เชิง
ปรัชญา ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรอื งานสรา้ งสรรคท์ างดา้ นศิลปกรรมและวรรณกรรม

5.4 ความร้ปู ระเภทเหตผุ ล (Rational Knowledge) เปน็ ความรูท้ ไี่ ดม้ าจากการใช้ หลักของเหตุผล ซ่ึง
เปน็ วธิ ีการทางตรรกวทิ ยา สว่ นใหญจ่ ะเป็นความรู้ทเ่ี กิดจากการอ้างอิงความจรงิ หรอื ความรทู้ ่ีมีอยู่แล้ว เพอ่ื นำไปสู่
ความร้ใู หม่

5.5 ความรู้เชิงประจักษ์ (Empirical Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และ
ผัสสะประกอบกัน การสังเกต การทดลอง การพิสูจน์ความจริงด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยมีการเก็บรวบรวม
วิเคราะห์ และแปลความหมายของขอ้ มูลด้วยวิธีการเชงิ วิทยาศาสตร์ เปน็ แหล่งทม่ี าของความรู้ประเภทนี้ ซ่ึงเป็น
รากฐานของการวิจยั คน้ คว้าในยุคปจั จบุ นั (padveewp. 2563)

ความสมั พนั ธ์ของญาณวิทยากบั ศาสตรต์ า่ งๆ

ภวศิ า พงษเ์ ล็ก (2560).ไดอ้ ธบิ ายความสัมพนั ธ์ของญาณวทิ ยากับศาสตรต์ ่างๆ ไว้ดังน้ี

ญาณวิทยากบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละสามญั สำนึก

โดยทัว่ ไปความรูม้ ีอยู่ 3 แบบ คือ ความรู้สามญั หรือสามญั สำนกึ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ และความรู้ทาง
ญาณวิทยา ความรู้สามัญอาจเป็นความรู้เรื่องเดียวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ทางญาณวิทยา แต่
ความรู้สามัญไม่ได้อาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการคิดหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา จึงเป็นทัศนะ
ที่ยังไม่ชัดเจน ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ สามารถอธิบายความแต่ต่า งระหว่างความรู้สามัญกับความรู้
ทางวิทยาศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. ความรู้สามัญเป็นความรู้ที่ว่าด้วยข้อเท็จจริงเป็นอย่างๆ ข้อเท็จจริงเห ล่าน้ัน
ไม่มีความสัมพันธ์กัน จึงไม่มีลักษณะเป็นสากล ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยลักษณะทั่วๆไป
ของขอ้ เท็จจริง และขอ้ เท็จจริงเหล่านั้นมีความสมั พนั ธก์ นั จงึ มลี ักษณะเปน็ สากล

2. ความรู้สามัญเป็นความรู้ที่ไม่แน่นอน ยังมีข้อที่น่าสงสัย เพราะเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
สว่ นวิทยาศาสตรเ์ ป็นความรู้ทแ่ี น่นอน เพราะอาศยั หลกั ฐานทม่ี ีเหตผุ ลและได้รับการพสิ จู น์และทดลองแล้ว

3. ความรู้สามัญเป็นความรู้ที่ไม่แม่นตรง เพราะขึ้นอยู่กับการคาดคะเน ส่วนวิทยาศาสตร์
เป็นความรทู้ แี่ มน่ ตรง เพราะอาศัยการสังเกตทีถ่ ูกต้องอาศยั การพิสจู นท์ ดลองและอาศัยการวดั ปรมิ าณ

4. ความร้สู ามัญเป็นความรู้ทไี่ ม่เปน็ ระบบ ไมม่ วี ิธีการของตนเอง สว่ นวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ท่ี
เปน็ ระบบและมีวิธีการของตนเอง

ความรู้สามัญกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงไม่แตกต่างกันในเรื่องระดับ กล่าวคือ วิทยาศาสตร์
นำความรูส้ ามญั มาจดั ระบบใหม่ให้มีเหตุผล สว่ นญาณวิทยานำเอาท้ังความรู้สามัญและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไป

76

จดั ระบบใหม่ด้วยการคดิ หาเหตุผลอกี ต่อหน่งึ ความรสู้ ามัญความรทู้ างวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางญาณวิทยาจึง
เป็นความรู้ 3 ระดับคอื

ระดบั ตำ่ ได้แก่ ความรสู้ ามญั
ระดับกลาง ไดแ้ ก่ ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์
ระดับสงู ได้แก่ ความร้ทู างญาณวิทยา
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กบั ความรู้ทางญาณวิทยาเมอื่ นำมาเปรยี บเทยี บกนั แลว้ มีท้ังด้านที่เหมือนกันและแตกต่าง
กันและเกย่ี วขอ้ งกนั
1. ในดา้ นทเี่ หมอื นกัน ทง้ั วทิ ยาศาสตร์และญาณวิทยาศึกษาคน้ คว้าในเร่อื งเดียวกัน เช่น เรอ่ื งสสาร เป็น
ความรู้ทมี่ รี ะบบและมเี หตุผลลดหล่นั กัน
2. ในดา้ นที่ต่างกันมดี งั นี้
2.1 วทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษาเรอ่ื งโลกเป็นส่วนๆและวทิ ยาศาสตรแ์ บ่งออกเปน็ สาขาต่างๆ แต่ละสาขา
ศกึ ษาคน้ ควา้ อยู่ในขอบเขตของตน ส่วนญาณวทิ ยาศกึ ษาเรื่องโลกทง้ั หมดโดยสว่ นรวม
2.2 วทิ ยาศาสตร์ตัง้ สมมติฐานและพลงั งาน แล้วยึดถอื สมมติฐานนั้นว่าเป็นความจรงิ โดยไม่ตอ้ ง
พสิ ูจน์ ญาณวิทยาไมม่ ีสมมติฐานแตพ่ สิ ูจนค์ วามสมเหตสุ มผลของสมมตฐิ านของวิทยาศาสตร์
2.3 วทิ ยาศาสตร์มองโลกในดา้ นปริมาณมากกวา่ ด้านคณุ ภาพ ญาณวิทยามองโลกในด้าน
คณุ ภาพเทา่ นน้ั
2.4 วทิ ยาศาสตร์ศกึ ษาขอ้ เท็จจรงิ เป็นอย่างๆ ญาณวทิ ยาประเมนิ คา่ ขอ้ เท็จจริง สืบคน้ ถึงคณุ ค่า
และความสัมพันธ์ระหวา่ งคณุ ค่ากับขอ้ เทจ็ จริง
2.5 วิธีของวิทยาศาสตร์ ได้แกก่ ารสังเกต การทดลอง การจดั ประเภท การอธบิ าย
การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การอนมุ าน และการอุปมาน สวนวธิ ีของญาณวิทยา คือ การคิดหาเหตุผลจาก
ประสบการณท์ ัว่ ไปและประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นท่ีเกี่ยวข้องกนั ญาณวิทยานำความร้ทู างวิทยาศาสตร์
มาคิดหาเหตุผล และจัดระบบใหม่และวทิ ยาศาสตรอ์ าศยั ญาณวทิ ยาไปพิสูจนส์ มมตขิ องวิทยาศาสตร์ ตลอดจน
อาศัยญาณวทิ ยาเปน็ หลกั การและจุดหมายในการดำเนินการ
ญาณวทิ ยากบั จิตวิทยา
จติ วิทยาเป็นศาสตร์ที่ศกึ ษาเกี่ยวกบั เร่ืองจติ และขบวนการของจิตโดยเฉพาะ เพอื่ แสดงให้เห็นว่าความรู้ที่
เจริญงอกงามในจิตของแต่ละคนนัน้ เป็นมาอย่างไร เพ่อื จะวิเคราะห์ให้เหน็ ว่าสภาพและขบวนการที่จิตของคนเรา
ได้พัฒนาขึ้นจากภาวะเบื้องต้นที่เรียกว่าง่ายที่สุดต่อการเข้าใจ จนถึงภาวะที่สลับซับซ้อน เพื่ออธิบายให้เห็น
ขบวนการตลอดจนสภาพอันแทจ้ ริงของจติ
จิตวิทยาไม่พยายามจะศึกษาค้นคว้าไปถึงความรู้ท่ีถูกต้อง คือศึกษาเพียงวิวัฒนาการของความรู้
และไม่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและความถกู ต้องของความรู้ เมื่อจิตได้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางด้านจิตใจ
ของมนษุ ย์ ก็ทำให้เกดิ ปญั หาข้นึ มาว่า ความรเู้ ปน็ ไปได้อย่างไร แลว้ มนุษยจ์ ะรสู้ ิง่ ตา่ งๆไดอ้ ย่างไร
จิตวิทยาศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ ส่วนญาณวิทยา
ศึกษาข้อเท็จจริงต่างๆของโลกมนุษย์ที่เป็นไปได้ จิตวิทยาได้สมมติสิ่งที่มีอยู่ว่าเป็นจิตและเป็นโลก

77

และการที่จะมีความรู้เกี่ยวกับโลกก็โดยอาศัยจิตเป็นผู้รู้ แต่ว่าญาณวิทยาพยายามที่จะศึกษาค้นคว้า
ถึงธรรมชาติ บ่อเกิด ขอบเขต เหตปุ ัจจยั ทที่ ำให้เกดิ ความรูข้ ้นึ

ญาณวิทยาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้เป็นการศึกษาค้นคว้าถึงธรรมชาติ บ่อเกิดขอบเขต เหตุปัจจัย
ทีท่ ำให้เกดิ ความรู้ และพยายามท่ีจะอธิบายหรอื ตอบปญั หาตอ่ ไปน้ี

- ความรู้เปน็ สง่ิ ที่มอี ยู่จริงหรอื ไม่
- ความร้เู กดิ ข้ึนไดอ้ ย่างไร
- อะไรเป็นธรรมชาติทแ่ี ทจ้ ริงของความรู้
- ความรมู้ ขี อบเขตแค่ไหน เพียงไหน
- ประสบการณ์หรือการคดิ หาเหตผุ ลเป็นบ่อเกิดของความรู้
- ความรู้ช่วยให้เข้าถึงความแทจ้ รงิ ไดห้ รือไม่
- อะไรเป็นเครอ่ื งทดสอบว่าความรเู้ ปน็ จริงหรือคลาดเคล่อื น
- ความรทู้ ีส่ มเหตสุ มผลมีเงอ่ื นไขอย่างไร
- มนษุ ย์สามารถรโู้ ลก วิญญาณ และพระผ้เู ป็นเจา้ ไดห้ รอื ไม่
- จติ ทีก่ ำจดั สามารถรสู้ ิง่ ท่ไี ม่จำกัดไดห้ รอื ไม่
ญาณวิทยากับอภปิ รัชญา
ญาณวิทยา ศึกษาเรื่องกำเนิดของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ ความสมเหตุสมผลของความรู้ ขอบเขต
และข้อจำกัดของความรู้ ซึ่งเป็นการศึกษาสภาพทั่วๆไปของความรู้อย่างกว้างๆ ส่วนอภิปรัชญาศึ กษา
เรื่องธรรมชาติที่แท้จริงเกี่ยวกับโลก วิญญาณ หรือพระผู้เป็นเจ้า การที่เราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ
ที่แท้จริงของโลกวิญญาณ หรือจิตพระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องอาศัยญาณวิทยาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับ
ส่งิ เหลา่ นี้ ดงั นั้น อภิปรัชญาจะตอ้ งใชญ้ าณวิทยาเปน็ เคร่ืองมือในการคน้ คว้าธรรมชาติทแี่ ท้จริงของสิ่งที่มีอยู่ ถ้า
ถือว่าจะได้ประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้าธรรมชาติของสิ่งที่มีอยู่ จริง ญาณวิทยาย่อมเป็นพื้นฐาน
หรอื มูลฐานทที่ ำใหเ้ กิดปรชั ญานัน้
นักปราชญ์ตั้งสมมติฐานขึ้นว่าสัจธรรมมีอยู่จริง แล้วก็พยายามที่จะประมวลทุกสิ่งทุกอย่างในสากล
จักรวาลว่าเป็นสัจธรรม โดยปราศจากการค้นคว้าเข้าไปถึงปัญหาที่ว่าสามารถที่จะรู้มันได้หรือไม่
แต่ก็เป็นการเชื่อถือกันมาชนิดฝังหัว ถึงแม้ว่าญาณวิทยาเป็นสิ่งที่จำเป็น เรียกว่าเป็นขั้นบันไดขั้นแรก
นำไปสู่วิทยาศาสตร์ ดัง จอห์น ลอค นักปรัชญาประจักษนิยมชาวอังกฤษ ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่มีญาณวิทยา
เป็นองค์ประกอบแล้ว ปรชั ญากไ็ ม่สมบูรณ์” ความจริงญาณวทิ ยากบั อภิปรัชญามคี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างใกลช้ ดิ ซ่งึ
สิ่งหนึ่งจะปราศจากอีกสิ่งหนึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ ทฤษฎีว่าด้วยความรู้นำไปสู่ความรู้สิ่งต่างๆ
ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีก็ช่วยให้เข้าใจเฉพาะสิ่ง ความรู้ช่วยให้เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถ
จะเข้าใจได้นอกจากว่าจะมีวิธีการ(ญาณวิทยา) ทำให้มีความสัมพันธ์กับความรู้ ปัญหาเกี่ยวกับความถูกต้อง
และธรรมชาติของความรู้ และปัญหาที่เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริง ความจริงก็เป็นวิธีการที่อธิบายสิ่งเดียวกัน
ถงึ แม้จะแยกออกเป็นญาณวทิ ยากับอภปิ รชั ญากช็ ่วยใหม้ นษุ ยเ์ ข้าใจส่งิ ทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ อย่างมีวิธกี าร

78

อภิปรัชญาและญาณวิทยาต่างต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อค้นคว้าหาความจริงของสิ่งทั้งหลาย
อยา่ งถกู ตอ้ ง(วรเทพ ว่องสรรพการ. 2546)

ญาณวทิ ยากบั ตรรกวทิ ยา
ญาณวิทยา เป็นการศึกษาถึงกำเนิดธรรมชาติ ขอบเขตและความสมบูรณ์ของความรู้ ศึกษาถึงปัจจัย

ทจ่ี ะใหเ้ กิดความรูอ้ ย่างสมบรู ณ์
ตรรกวิทยา หมายถึงศาสตร์แห่งการใช้ความคิด ( Science of Thinking) การใช้ความคิด

กเ็ พือ่ หาความจรงิ หรือความร้มู าป้อนจิตและมันสมอง ตรรกวทิ ยาศกึ ษาคน้ ควา้ ถงึ ธรรมชาตแิ ละความสมบรู ณ์แห่ง
การอนมุ าน(Inference) แบบตา่ งๆ ทง้ั นิรภยั (Deduction) และอุปมยั (Induction)

ตรรกวิทยาหลีกเลีย่ งที่จะแตะตอ้ งอภิปรัชญา แต่ญาณวิทยาจำต้องสืบค้นถึงธรรมชาตขิ องสัจจธรรมซึ่ง
เกี่ยวข้องกับสัจธรรมโดยตรง ดังนั้น ญาณวิทยาจึงมีความสัมพันธ์กับอภิปรัชญาอย่างใกล้ชิดมากกว่า
ญาณวิทยาสืบคน้ ถงึ เหตุปัจจัยท่ัวๆไปที่ทำให้เกิดความรู้เท่านนั้ มไิ ด้สืบคน้ ถงึ ขบวนการพิสูจน์เพื่อทำให้หลักฐาน
การพสิ ูจนส์ มบรู ณย์ ิง่ ขึน้ (วรเทพ วอ่ งสรรพการ. 2546)

ปรชั ญาลทั ธกิ บั ญาณวทิ ยา

ปรัชญาจิตนิยม (Idealism) ปรชั ญาจติ นยิ มเป็นปรชั ญาสาขาเก่าแกท่ ่ีสุด ตน้ กำเนดิ ปรชั ญาอาจย้อนไป
ถึงปรัชญาอินเดียโบราณและกรีกโบราณ ซึ่งมีพลาโต (Plato) ปรัชญาเมธีชาวกรีก เป็นผู้ให้กำเนิด
กลมุ่ ปรชั ญาน้ี มคี วามเช่อื ว่า 1) จติ มนุษย์เป็นส่ิงท่ีมีความสำคัญท่สี ดุ ในชีวิต 2) จกั รวาลโดยธรรมชาตสิ งู สดุ เป็นส่ิง
ที่ไม่ใช้วัตถุโดยเนื้อแท้ ปรัชญากลุ่มนี้จึงมีความสำคัญของจิต สาระสำคัญของปรัชญาจิตนิยม
Callahan and Clark มีดงั นี้

ญาณวิทยาของจิตนิยม ญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ของปรัชญามโนคตินิยมนี้เชื่อว่า
ความรู้เป็นอิสระจากประสบการณ์ และเกิดขึ้นภายในจิตใจ ดังนั้น ความรู้ที่เกิดขึ้นอย่างนี้จึงเป็นการหยั่งรู้
(intuition) มนุษย์จะเข้าใจความจริงโดยไม่ต้องใช้การสัมผัสต่าง ๆ และจะรับรู้ความจริงโดยการใช้เหตุผล
หรือการใชต้ รรกะจากความคดิ ขอแต่ละคน (บ้านจอมยุทธ. 2563)

ปรัชญาวัตถุนิยม,สัจจะนิยม,ประจักษ์นิยม (Realism) เป็นปรัชญาที่มีต้นคิดมาจากปรัชญากรีก
ผู้เป็นบิดาของปรัชญาสาขานี้คือ Aristotle ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง 384-322 ปีก่อนคริสตกาล สาระสำคัญ
ของกลุ่มปรชั ญานี้ มีดังนี้ Callahan and ; Ornstein Levine and Gutek,

ญาณวิทยาของประจักษน์ ยิ ม ญาณวิทยาหรือทฤษฎคี วามรูข้ องปรัชญาน้ีเช่ือวา่ มนษุ ย์เม่ือแรกเกิดจิตจะ
วา่ งเปล่า หลังจากนน้ั กจ็ ะเกิดการรับร้ตู ่าง ๆ (sensations) น่ันก็คอื มนุษยจ์ ะเกิดการเรยี นร้คู วามร้จู ึงมาจากการ
สัมผัสหรือมีประสบการณ์ (sense experience) ต่อเหตุการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ การเรียนรู้ในวิธีนี้คือลักษณะการ
เรียนรู้เชิงประจักษ์ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของโลกภายนอก
อย่างไรก็ตาม มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้โดยใช้เหตุผลเพื่อค้นหาวัตถุประสงค์และความสัมพันธ์ท่ี

79

บคุ คลไมส่ ามารถรบั ร้ไู ด้ ซงึ่ เปน็ วิธีการทไี่ ม่ปฏเิ สธแนวคดิ เชงิ เหตผุ ลท้งั หมด เพราะเม่อื ไดค้ วามรู้จากประสบการณ์
กส็ ามารถนำเหตผุ ลมาพจิ ารณาประกอบ(บา้ นจอมยุทธ. 2563)

ปรัชญาประสบการณ์นิยม ปรัชญาสาขานี้ได้ต้นเค้าความคิดจากปรัชญาประจักษ์นิยมที่เกิดขึ้น
ในองั กฤษ ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 ตอ่ มาในกลุ่มนกั ปรัชญาและจิตวิทยาชาวอเมริกนั คอื วิลเลยี ม เจมส์ (William
James) แ ล ะ จ อ ห ์ น ด ิ ว อ ี ้ ( John Dewey) น ำ ห ล ั ก ก า ร ข อ ง ป ร ั ช ญ า ป ร ะ จ ั ก ษ ์ น ิ ย ม ไ ป พ ั ฒ น า
ขึ้นเป็นปรัชญาการศึกษา โดยเฉพาะปรัชญานี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ “Experimentalism หรือ Positizism
หรือ Intrumentalism” สาระสำคัญของปรัชญาน้มี ดี งั น้ี

ญาณวิทยาของประสบการณ์นิยม ปรัชญานี้ถือว่าความรู้จะเกิด ขึ้นอยู่กับประสบการณ์
ที่ได้รับ ซึ่งปรากฏการณ์ต่าง ๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงควรให้ความสนใจกับวิธีที่จะสร้างความรู้
ในโลกทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา(พระปรียะพงษ์คุณปัญญา. 2557)

ปรัชญาอัตภาวนิยม ปรัชญาสาขานี้มี (Soren Kirtkegaard) เป็นต้นคิด โดยพยายามอธิบายว่า
ความจริงไม่สามารถแยกจาก อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ แต่ข้ึนอยู่กับความชอบและประสบการณ์ชีวิต
ของมนุษย์ สาระสำคัญของปรัชญากล่มุ น้ี มีดังนี้

ญาณวิทยาของอัตภาวนิยม บุคคลจะ เรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์ แต่ ประสบการณ์
กม็ หี ลายระดบั ระดบั ทม่ี ีความหมาย คอื ระดับของการตระหนักรู้ และเข้าใจ (awareness) ถึงความคงอยู่ ความ
จริง ความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของแต่ละคน ความจริงแท้ไม่มี แต่ละคนจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า
อะไรเปน็ จรงิ และมคี วามสำคญั สำหรบั เขา(บา้ นจอมยุทธ. 2563)

ปรัชญาสมัยใหม่ (Postmodernism) ผู้ให้กำเนิดคือ นักปรัชญาชาวเยอรมัน Friedrich Nietzsche
และ Martin Heidegger เขาให้ความเห็นว่ายุคสมัยใหม่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ช่วยนี้คือยุคหลังสมัยใหม่
เขาปฏิเสธแนวคิดแบบอภิปรัชญา เกี่ยวกับความจริงแท้ สมบูรณ์และนำเสนอปรัชญาที่เรียกว่า
ปรากฏการณ์นิยม (Phenomenology) ไฮเดคเกอร์ กล่าวว่า มนุษย์สร้างความจริงของตัวเขาเองจากการหยั่งรู้
การรบั รู้ และการคิดคำนึ่ง เมือ่ เขาเผชญิ กับปรากฏการณต์ า่ ง ๆ แต่ความคิดสมยั ใหมเ่ สนอวา่ ไม่มีศนู ยก์ ลางความ
เปน็ หน่ึงเดยี ว และสังคมดำรงอย่อู ย่างแตกต่างหลากหลาย (diversity) ความคดิ และแนวคิดใด ๆ ทง้ั หมด จึง
เป็นเรื่องที่ได้ร ับการ แสดงออก ในรูปภาษาโ ดยที่ภาษา หรือ จะใช้ภาษาสื่อ คว ามหมา ยนั้น
ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจอันซับซ้อน สิ่งสำคัญ ที่สุดที่กล่าวที่ทำให้ได้ก้าวสู่
ยุคหลังสมัยใหม่ (postmodernism era) คือความคิดที่ว่าสิ่งท่ีเป็นจริง (the real) กับสิ่งที่ปรากฏ (apparent)
น้นั อาจไมใ่ ช่เร่ืองเดียวกัน(บา้ นจอมยทุ ธ. 2563)

ความหมายและความสำคญั ของคณุ วิทยา

นักการศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้กำหนดความหมายของคำว่า “ค่านิยม” (value) ไว้ต่างๆกัน
Rokeach ได้ให้ความหมายไว้ว่า ค่านิยมคือรูปแบบของความเชื่อ (belief) ที่แต่ละคนยึดถือว่าแต่ละคน
ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรหรือสิ่งใดที่มีคุณค่า ไม่มีคุณค่า ค่านิยมจะสัมพันธ์กับทุกสิ่งโดยทั่วไปและมีอิทธิพล
ต่อพฤติกรรมของบุคคล ค่านิยมเป็นมาตรฐานในการตัดสินในว่าสิ่งใดเลวหรือดี และใช้ในการคัดสินพฤติกรรม
ของแตล่ ะบุคคลด้วย(วรเทพ วอ่ งสรรพการ. 2546)

80

ความหมายของค่านิยมในหนังสือเล่มน้ี ถ้าใช้เป็นคำนามให้ความหมายเป็น “ค่านิยม”
และถ้าเป็นคำกริยาจะให้ความหมายเป็น “คุณค่า” ถ้าเป็นคำนาม บางครั้งก็เป็นนามธรรม ( abstract)
และบางครั้งก็เป็นนามธรรม (concrete) ถ้าเป็นนามธรรมจะเป็นลักษณะค่านิยมหรือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
ในความหมายลักษณะนี้จะให้ความหมายที่หมายถึง มีราคา (worth) หรือความดี (goodness) และในกรณี
ที่เป็นความเลวก็จะหมายถึง ความไม่มีคุณค่า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นค่านิยมทางลบ (negative value)
แต่ถ้าเป็นค่านิยมในทางความดีก็เรียกได้ว่าเป็นค่านิยมทางบวก (positive value) ส่วนค่านิยมที่เป็นรูปธรรม
เป็นได้ทั้งคุณค่าเดียวหรือหลายคุณค่า ซึ่งหมายถึงการที่จิตหรือเจตคติของมนุษย์ตีคุณค่าหรือให้คุณค่า
ต่อสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ค่านิยมเกี่ยวข้องกับทั้งคุณลักษณะของค่านิยมและกับกระบวนการของการตีคุณค่า
หรือให้คณุ คา่

Good ไดใ้ ห้ความหมายของค่านยิ มตามแนวของสังคมว่า “คา่ นยิ มเป็นเร่ืองของความสนใจ เชน่ ค่านิยม
ในศิลปะก็เป็นความสนใจของผู้ซึ่งได้กลั่นกรองรสนิยมและพัฒนาอำนาจในตัวของเขาต่องานศิลป ะ
ต่าง ๆ ถา้ ผู้ท่ีสนใจเกย่ี วกับชา่ งไม้ก็กำหนดคุณค่าในด้านการใช้ประโยชนใ์ นการให้ความหมายเก่ียวกับการศึกษา
จ ะ ห ม า ย ถ ึ ง บ ร ร ท ั ด ฐ า น ( norm) ห ร ื อ ม า ต ร ฐ า น ( standard) ข อ ง ค ว า ม ป ร า ร ถ น า ภ า ย ใ น
แต่ละวัฒนธรรมของปัจเจกบุคคลที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการวิเคราะห์สิ่งแวดล้ อม”
ความเกี่ยวข้องกันระหว่างคุณวิทยากับค่านิยมและลักษณะต่าง ๆ ของค่านิยม (the relevance of axiology
and value and value characteristics) (วรเทพ ว่องสรรพการ. 2546) Runes ไดก้ ล่าววา่ ปัญหาของคุณวิทยา
จะเก่ียวข้องกับคา่ นิยม เปน็ 4 กลุ่มด้วยกนั คอื

1.ลกั ษณะของคา่ นยิ ม (nature of value) ปัญหาเกี่ยวกบั ลกั ษณะค่านิยม เช่น คา่ นยิ มเกย่ี วขอ้ ง
กับสิ่งต่อไปนี้หรือไม่ ได้แก่ ความปรารถนา (desire) ความสนุกสนาน (pleasure) ความสนใจ (interest)
ความชอบ (preference) เจตจำนงที่มีเหตุผล (rational will) บุคลิกภาพ (personality) และการปฏิบัติ
(pragmatic) เปน็ ตน้

2.รูปแบบของค่านิยม (type of value) ปรัชญาเมธีสาขาคุรวิทยานี้จะแยกค่านิยมออกเป็น 2
แบบ คือ ค่านิยมภายในตัวของมันเอง (intrinsic value) และค่านิยมที่เป็นเครื่องมือ (instrumental value)
ค่านิยมภายในตวั ของมันเอง โดยทั่วไปจะกำหนดคุณค่าตามแนวของศีลธรรม หรือตามความจริง ความสวยงาม
และความศักด์ิสิทธ์ิ ส่วนคา่ นยิ มท่ีเปน็ เครื่องมือจะสามารถวินิจฉัยคณุ ค่าโดยอาศยั องค์ประกอบหรือเคร่ืองมือใน
เรื่องของเศรษฐกิจ สินค้า และเหตุการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติค่านิยมจะเก่ยี วข้องและรับร้ไู ด้โดยทางร่างกายของ
มนุษย์ และการที่มนุษย์รักในสัจจะ ( truth) มนุษย์จึงมีค่านิยมด้านความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ
เชน่ ในเรอ่ื งศาสนา โดยหวงั จะได้รบั ผลที่ติดตามมาจากความเช่ือเหล่านนั้

3. เกณฑ์มาตรฐานของค่านิยม (criterion of value) มาตรฐานสำหรับทดสอบค่านิยมน้ัน
จะอยู่ภายในหลักของจิตวิทยาและทฤษฎีทางตรรกวทิ ยา เช่นบางกลุ่มก็เชื่อว่า การมีความสนุกสนานมากน้อย
เพียงใดนั้นย่อมขึ้นอู่กับปัจเจกบุคคล (individual) หรือขึ้นอยู่กับสังคม บางกลุ่มก็ถือว่าการชอบในสิ่งหนึ่ง
มากกว่าอีกสิ่งหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับการสำนึกเอง (intuitive) บางกลุ่มก็ถือเอาการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ
เป็นมาตรฐานของคา่ นยิ ม เชน่ กล่มุ ธรรมชาตินยิ ม (naturalism) เป็นต้น

81

4. สถานภาพทางกายภาพของคา่ นิยม (physical status of value) อะไรคือความสัมพันธ์ของ
ค่านิยมกับความจรงิ ของประสบการณข์ องมนุษยใ์ นเรือ่ งค่านยิ มที่แท้จรงิ ของความเปน็ อสิ ระของมนษุ ยซ์ ่ึงสามารถ
สืบหาดว้ ยวธิ ที างธรรมชาติวทิ ยา มีคำตอบทเี่ ปน็ ไปได้ 3 ประการ คือ

4.1 โดยสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ นยิ มกับประสบการณข์ องมนุษยท์ ี่มตี ่อค่านิยมน้ัน
4.2 โดยอาศัยคุณค่าทางตรรกวิทยา ซึ่งค่านิยมนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นหรือมีตัวตนอยู่สิ่งนั้นก็
สามารถมีคณุ คา่ ได้
4.3 โดยกำหนดคุณค่าของวัตถโุ ดยให้สัมพันธ์กับกรกระทำของมนุษย์ ในส่วนที่คุณวิทยาจะ
เกี่ยวข้องกับการศึกษานั้น Kneller ได้กล่าวไว้ว่า คุณวิทยาจะต้องเกี่ยวข้องกับคำถามหลักในการศึกษา
อยู่ 3 คำถามด้วยกนั คือ

4.3.1 ค่านิยมต่าง ๆ เป็นอัตนัย (subjective) หรือปรนัย (objective) นั่นคือ ค่านิยม
เก่ียวข้องกับบคุ คล (personal) หรือไม่ใช่บุคคล (impersonal)

4.3.2 ค่านยิ มมีการเปลี่ยนแปลงหรอื คงท่ี
4.3.3. คา่ นิยมมีเปน็ ลำดับขั้นหรือไม่
ค่านิยมต่าง ๆ เป็นปรนัยหรืออัตนัย ค่านิยมที่เป็นปรนัย (objective) เป็นค่านิยมที่มีอยู่ในตัว
ของมันเอง โดยไม่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบของมนุษย์ เช่น ความดี สัจจะ และความสวยงาม สิ่งเหล่าน้ถี ือ
เป็นความแท้จริงอันยิ่งใหญ่และเป็นส่วนธรรมชาติของสรรพสิ่ง ค่านิยมของสรรพสิ่งมีคุณค่าเป็นจริง
ในตวั ของมันเองการกระทำมีคุณภาพดีตามเนื้อหาหรือตามธรรมชาติของการกระทำนั้น สรรพส่ิงมคี วามสวยงาม
ในตัวของมันเอง ดังนั้น ในเรื่องของการศึกษา การศึกษาจึงเป็นค่านิยมปรนัยโดยที่ มันมีคุณค่า
ในตวั ของมนั เอง ไม่ว่าใครจะชอบหรือไมช่ อบ หรือคิดกับมันอยา่ งไรก็ตามที
ค่านิยมที่เป็นอัตนัย (subjective) เป็นค่านิยมที่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบของมนุษย์
โดยนัยนี้ค่านิยม อัตตนัย มนุษย์จะเป็นผู้กำหนดคุณค่าหรือให้คุณค่ากับมัน อะไรก็ตามที่มีคุ ณค่า
คา่ นยิ มอัตนัยนีจ้ ะถือว่า มนั มิไดม้ ีคณุ ค่าในตวั ของมันเองแตอ่ ย่างใด ดังเชน่ “การศกึ ษา” มีคุณค่าก็เพราะมนุษย์
แต่ละคนกำหนดคุณค่าให้กับมัน และการศึกษาจะไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย ถ้าบุคคลไม่ได้ให้คุณค่า
กับการศกึ ษา หรอื ไมเ่ ห็นความสำคัญหรอื ความจำเป็นใด ๆ เชน่ น้ีเปน็ ต้น
ค่านิยมมีการเปลี่ยนแปลงหรือคงท่ี ปัญหาที่ถกเถียงกันว่า ค่านิยมลักษณะแท้จริงตลอดไปหรือไม่
ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะเราได้พบว่า มีค่านิยมที่มีคุณค่าที่ยอมรับกันมาตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งในปัจจุบัน
คุณค่านั้นก็ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดผิวสีอะไร ก็ยอมรับในค่านิยมนั้น เช่น ความใจบุญสุนทาน (charity)
ซึ่งเป็นค่านิยมที่มนุษย์ทั่วไปให้คุณค่าว่าดีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย และเราก็ยังได้พบว่าค่านิยมเป็นจำนวนมาก
เกี่ยวข้องหรือมีคุณค่าเพราะความปรารถนาของมนุษย์เอง แต่ความปรารถนาของมนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงได้
ดังนั้น ค่านิยมที่เกิดขึ้นเพราะความปรารถนาของมนุษย์ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
อาจเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น เงื่อนไขต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ ลัทธิความเชื่อศาสนาใหม่ ๆ
การค้นพบวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางการศึกษาและอื่น ๆ
ซง่ึ ส่ิงเหล่านที้ ำให้เกดิ ความเชือ่ อย่างม่นั คงขน้ึ ได้

82

ค่านิยมมีเป็นลำดับขัน้ หรือไม่ การตอบคำถามน้ียอ่ มขึน้ อยู่กับค่านิยมท่ีแต่ละบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลยึด
ปรัชญาที่ต่างกัน เช่นฝ่ายที่ยึดปรัชญาลัทธิจิตนิยม ( idealism) จะมีการลำดับค่านิยมโดยให้ค่านิยม
ทางวิญญาณสูงกว่าทางวัตถุ และเมื่อเป็นเช่นน้ีก็จะเห็นคุณค่าทางศาสนาสูง เพราะถือว่าสานาจะช่วยให้บุคคล
บรรลุถึงเป้าหมายปลายทางสุดท้าย นั่นคือวิญญาณจะประสบสุข ฝ่ายที่ยึดปรัชญาลัทธิ สัจนิยม
ก็จะเชื่อในการการลำดับขั้นของค่านิยม โดยให้คุณค่าทางเหตุผลและประจักษ์สูงเพราะฝ่ายนี้ถือว่าเหตุผล
หรือการประจักษ์จะช่วยมนุษย์ปรับตัวเข้ากับจุดมุ่งหมายที่แท้จริง กฎของธรรมชาติและกฎทางตรรกวิทยาได้
ฝา่ ยนยิ มปรชั ญาลทั ธิปฏริ ูปนยิ ม จะปฏิเสธวา่ ไมม่ ีการลำดับขน้ั ของค่านยิ มที่ตายตัวแนน่ อน ฝ่ายนี้เชื่อว่ากิจกรรม
อย่างหนึ่งจะดีเท่า ๆ กับกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง ถ้ากิจกรรมนั้นเป็นที่พอใจและสนองความต้องการ และ
นน่ั คอื คณุ คา่ ของส่งิ นั้นหรอื กิจกรรมนนั้ และยงั เชอ่ื วา่ ค่านยิ มที่มีคุณค่าพเิ ศษก็คอื การใหค้ ุณค่าทีม่ ีอยู่ดยี ิ่งข้ึนไปอีก
Butler ไดส้ รปุ ลกั ษณะของค่านิยมไวเ้ ป็น 4 ประการดว้ ยกนั คือ

1. คา่ นยิ มขึ้นอยกู่ ับความสนใจของบุคคลซึ่งพอใจในค่านยิ มเหล่าน้ัน กลา่ วคอื ค่านิยมจะมีได้ก็
ตอ่ เมอื่ มนุษยใ์ หก้ ารสนับสนุนด้วยความสนใจของมนษุ ย์ท่มี ตี ่อสงิ่ น้นั (คา่ นิยมเป็นอัตนัยและไม่คงท)่ี

2. ค่านิยมมีอยู่ในตัวของมันเอง คือ เป็นอิสระจากความสนใจและการให้คุณค่าของมนุษย์
(ค่านยิ มจะเป็นปรนยั และคงที่)

3. ค่านิยมที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่มีความสุขในปัจจุบัน และเป็นทางไปสู่ความดีต่าง ๆ ใน
ประสบการณท์ ี่จะได้ในอนาคตดว้ ย

4. คา่ นยิ มท่มี นุษยพ์ อใจ และมคี วามสัมพันธก์ บั ส่วนตา่ ง ๆ ของมนุษย์ท้ังหมดทัง้ ส่งิ แวดล้อมด้วย
ปรัชญาแขนงที่มุ่งวิเคราะห์คุณค่าหรือค่านิยมเกี่ยวกับความดีและความงาม มีลักษณะเป็นปรัชญาชีวิต
ท่ีม่งุ ศกึ ษาแนวความคดิ และความเช่ือของมนุษยเ์ ก่ยี วกบั สิง่ ท่ีดงี ามและมคี ุณคา่ ใน 2 แง่ คอื

1. จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นเรื่องของความดี ความถูกต้องของแนวทาง ความประพฤติ
ความหมายของชีวิต ชีวิตที่ดีมีลักษณะอย่างไร อะไรคือสิ่งที่น่าพึงปรารถนาที่สุดของชีวิต ความดีคืออะไร
เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดความดคี วามช่วั

2. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นเรื่องของความงาม การาจะตัดสินว่าอะไรสวย อะไรงาม
ใช้เกณฑ์อะไร มีเกณฑ์ที่จะวัดได้จริงหรือไม่ สุนทรียศาสตร์มุ่งศึกษาคุณค่าเกี่ยวกับความงามของศิลปะ
ความไพเราะแห่งดนตรี ความงามแหง่ ธรรมชาติ (วรเทพ วอ่ งสรรพการ. 2546)

ปรชั ญาลทั ธกิ ับคุณวทิ ยา

ปรัชญากลุม่ ลทั ธจิ ิตนยิ ม Butler ไดจ้ ดั แบง่ ทฤษฎีค่านิยมของลัทธจิ ติ นิยมออกเปน็ 3 ลักษณะ คอื
1. ค่านิยมทม่ี นษุ ย์มีความปรารถนาและพงึ พอใจจะเป็นค่านิยมท่ีฝงั ราก น่ันคือถือว่าเป็นค่านิยมที่มีอยู่

โดยแทจ้ ริง
2. ค่านิยมเรื่องชีวิตมนุษย์เปน็ สิ่งกวา้ งใหญ่ เพราะปัจเจกบุคคลครอบครองค่านิยมและพึงใจในค่านิยม

เหล่านั้นต่าง ๆ กัน
3. ทางสำคญั ทางหนึ่งทที่ ำให้บุคคลรู้คา่ นยิ มก็คือ การปฏบิ ัติของบคุ คลน้ัน ๆ ที่เกย่ี วข้องหรือสัมพันธ์กับ

ส่วนตา่ ง ๆ และทง้ั หมดของสงิ่ แวดลอ้ ม

83

ค่านิยมที่มนุษย์มีความปรารถนาและพึงพอใจ จะเป็นค่านิยมที่มีอยู่โดยแท้จริงซึ่งชี้ให้เห็นว่า
การทม่ี นษุ ย์สามารถรู้วา่ วตั ถมุ อี ยู่ในโลกน้เี ปน็ การมอี ย่ชู วั่ คราว และไมม่ คี ฯุ คา่ อะไรสำหรบั มนษุ ย์

ค่าน ิยมของ ป ร ั ชญ าก ลุ ่ม ล ั ทธ ิ ส ั จน ิ ยม ( realism) ลัก ษณะ ขอ ง ค ่าน ิย ม ขอ ง ปร ั ช ญ า
กลุ่มลัทธินิยมนี้มีลักษณะคล้ายกับค่านิยมของปรัชญากลุ่มลัทธิจิตนิยมที่ยึดถือว่า ลักษณะความจำเป็นเบื้องต้น
ของค่านิยมเป็นความถาวรเบื้องแรกแต่แตกต่างในตัวของมันเองตามเหตุผลของการคิด ฝ่ายลัทธิสัจนิยม
จะเห็นด้วยกับ Aristotle ว่ามีกฎศีลธรรมของจักรวาลอยู่และใช้ประโยชน์ได้ด้วยการใช้เหตุผลซึ่งผูกมัด
ให้มนุษย์เปน็ สิ่งมชี วี ติ ท่มี ีเหตุผล ฝา่ ยลัทธสิ ัจนยิ มของศาสนาครสิ ต์ยอมรับวา่ มนุษย์สามารถเข้าใจกฎศีลธรรมน้ีได้
มากโดยการใช้เหตุผลแต่เป็นการเชื่อว่า กฎต่าง ๆ เหล่านั้นสร้างขึ้นโดยพระเจ้ามอบให้มนุษย์ปฏิบัติ
และยึดถือ และโดยที่ความเชื่อทางศาสนาคริสต์เชื่อว่ามนุษย์มีบาปหรือมลทินติดมาแต่กำเนิดที่เรียกว่า
“บาปกำเนดิ ” ดงั นน้ั มนษุ ยจ์ งึ ไมอ่ าจปฏบิ ตั เิ รอื่ งคา่ นยิ มไดโ้ ดยปราศจากการช่วยเหลือของพระเจา้

ป รั ช ญ า เ ม ธ ี ฝ ่ า ย ล ั ท ธ ิ ส ั จ น ิ ย ม ท ี ่ เ ก ี ่ ย ว ก ั บ ว ิ ท ย า ศ า ส ต ร ์ จ ะ ป ฏ ิ เ ส ธ ค ่ า น ิ ย ม ท ี ่ ก ล ่ า ว ถ ึ ง นี้
โดยไม่เชื่อความศักดิ์สิทธิที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติแต่จะเชื่อว่าทั้งธรรมชาติของมนุษย์กับธรรมชาติ
โดยทั่วไปของมนุษย์เป็นสิ่งคงที่ ค่านิยมของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งก็คงที่ด้วยมันเป็นจริงเช่นนี้แต่การปฏิบัติ
จะแตกต่างกันออกไปโดยการพิจารณาตามส่วนต่างๆ ของโลก แต่แต่ค่านิยมพื้นฐานจะคงอยู่เช่นเดิม
ซึ่งทางฝ่ายลัทธิจิตนิยมจะถือว่ามนุษย์เป็นความสมบูรณ์ แต่ฝ่ายนักสัจนิยมวิทยาศาสตร์จะถือว่า
มนุษย์เปน็ อยา่ งท่ีเขาเปน็ อยู่ และไม่สมบูรณ์
ป รัชญา ป ระสบ กา ร ณ์น ิย ม Butler ไ ด้แน ะ แน วทางให้เห็น ว่าปรั ชญาฝ่ายลัทธ ิปฏิบัตินิยม
จะรบั เอาหลกั การของคา่ นิยม 2 ทางดว้ ยกันคอื

1. ทางท่ีแสดงสถานการณ์ ปัจจุบนั ของการเลือกคา่ นยิ ม
2. ทางที่แสดงการเลือกค่านิยมในสถานการณ์ปัจจุบันที่จะนำไปสู่สถานการณ์อนาคตทางที่แสดง
สถานการณ์ของการเลือกค่านิยมเกี่ยวข้องกับชนิดของการทำให้สมประสงค์ในความปรารถนาแต่ไม่มีขอบเขต
จำกัด ไม่มีความเห็นแก่ตัว เป็นสถานการณ์ที่อยู่ในขอบข่ายของความชอบมากกว่าของความคิดและการกระทำ
ของมนุษย์ โดยถือว่าชีวิตมนุษย์อยู่ในสถานการณ์ที่มีปัญหา ความต้องการของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับชนิดของการ
แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ของสถานการณเ์ หลา่ น้ีให้หลดุ พ้น หรือผ่านคลายลง ดงั นั้น คา่ นิยมของฝา่ ยนี้จึงมุ่งเรอื่ งของความ
จำเป็นเพื่อความปรารถนาให้ชีวิตได้รับความจำเป็นเพื่อความปรารถนาให้ชีวิ ตได้รับความพอใจแต่ก็ถือว่ า
สถานการณ์ต่าง ๆ มิได้มีอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองตามลำพัง แต่จะมุ่งที่ค่านิยมที่ก่อให้เกิดความพอใจในผลท่ี
ติดตามมาซึ่งไม่ใช่พอใจที่เกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว ค่านิยมในแนวนี้จึงเป็นค่านิยมที่เป็นความพอใจ
(Satisfactory) ต่อสถานการณ์มากกว่าความพอใจตอ่ บุคคล หรือบคุ คลท่วั ไป ทีเ่ กยี่ วขอ้ งในสถานการณ์น้นั ๆ(นว
พร ดำแสงสวัสด์ิ,พัชรี รัตนพงษ์, และสุธาสนิ ี เจียประเสริฐ. 2562)

84

ปรัชญาอัตภาวนิยม คุณวิทยาของอัตภาวนิยม คุณค่าขึ้นอยู่กับการเลือกและการตัดสินใจของบุคคล
บุคคลจะไมย่ อมตามคา่ นิยม และบรรทดั ฐานของสังคม เพราะจะทำใหเ้ ขาสูญเสียความเป็นมนุษย์ และความจริง
แท้ไป เสรภี าพของมนุษย์ คือการทมี่ นษุ ยส์ ามารถตัดสนิ ใจได้อยา่ งอิสระ มคี วามมงุ่ หวัง ซง่ึ จะทำให้การดำรงอยู่มี
คณุ คา่ และมคี วามหมายซ่ึงคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม (วรเทพ ว่องสรรพการ. 2546)

85

สรุป
เร่ืองญาณวทิ ยา และคณุ วิทยา

ญาณวิทยา กค็ ือ ศกึ ษาเร่ืองกำเนินความรู้ เนอ้ื หาของญาณวิทยา ก็คอื การศกึ ษาเก่ยี วกบั กระบวนการ
วธิ ีการ วัตถปุ ระสงค์ ลกั ษณะ เงื่อนไข ความมเี หตุผล และความคลาดเคลอื่ นของความรู้ ทฤษฎีบ่อเกดิ ความรู้ทาง
ญาณวิทยา คือ

จิตนยิ ม ความรู้อาศัยจิตในการหยั่งรู้
สัจนยิ ม ความร้ไู ดม้ าจากการได้เห็น ไดส้ มั ผัสดว้ ยประสาทสัมผัส
ประสบการณ์นิยม ความรูจ้ ะเกิดขน้ึ ไดด้ ว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั ิ
โทมสั นยิ มใหม่ ความร้เู ป็นไปตามหลักเหตุผล และเป็นการหย่ังรู้
อตั ถิภาวะนยิ ม การแสวงหาความรู้ ขึน้ อยกู่ ับแตล่ ะบคุ คล
ปรัชญาคุณวิทยา เป็นเรื่องราวของการสืบหาธรรมชาติและเกณฑ์มาตรฐานของคุณค่าหรือค่านิยม
ซึง่ มีกำเนิดมาจาก ทฤษฎแี ห่งแบบหรอื ทฤษฎกี ารจนิ ตนาการของ Plato ในเร่อื งความคดิ เก่ยี วกับความดี ปรัชญา
พื้นฐาน เป็นปรัชญาที่เป็นรากฐานในการกำเนิด ปรัชญาการศึกษา ดังนั้นการศึกษาพื้นฐาน ทำให้เรามีความ
เข้าใจที่มาแนวคิด ในลักษณะปรชั ญาได้ถ่องแท้มากขึ้น ไม่จิตนิยม ที่เน้นจิตเป็นสำคัญ เน้นความเชื่อในโลกแหง่
วัตถุ และการ สัมผัสประสบการณ์นิยมที่เน้นโลกแห่งประสบการณ์เป็นหลักให้เรามุ่งทำงาน มากกว่าเรียนแต่
ทฤษฎี อัตถิภาวนิยม เห็นว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่าและให้ความสำคัญของมนุษย์มากปรัชญา
การศึกษาทัง้ 5 ลทั ธดิ งั กลา่ ว แต่ละปรัชญาจะ มีแนวทางในการนำไปสู่การปฏิบัติที่แตกต่างกัน การนำไปปฏิบัติ
เพื่อใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การศึกษา จะตอ้ งพจิ ารณาว่าแนวทาง ใด จึงจะดีทสี่ ุด ซ่ึงจะต้องสอดคลอ้ งกับสภาพสังคม
เศรษฐกิจ การเมอื งและการปกครอง ปรัชญาการศึกษาลทั ธหิ นงึ่ อาจจะเหมาะกับประเทศหนงึ่ เพราะเป็นประเทศ
เล็ก ๆ ประเทศหนึ่งซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ต้องใช้ลัทธิการศึกษาอีกลัทธิหนึ่ง ประเทศไทยก็ได้นำเอาปรัชญา
การศกึ ษาน้นั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสม

86

อ้างองิ

ทิศนา แขมมณ.ี (2545). ลทั ธวิ ตั ถุนยิ มหรอื สจั นยิ ม. ปรัชญาและปรัชญาการศกึ ษา.
จาก https://sites.google.com/site/afathplas/

นวพร ดำแสงสวัสดิ์,พัชรี รัตนพงษ์, และสุธาสินี เจียประเสริฐ. (2562). ปรัชญาประสบการณ์นิยม. ปรัชญา
ประสบการณ์นิยม และการพัฒนาสู่การจดั การศกึ ษาพยาบาลในศตวรรษท่ี 21. 62(1). 177.

ปริวตั ร เข่ือนแกว้ . (2563). ปรัชญาทางการศึกษา. จาก http://wijai48.com

พระปรียะพงษ์คุณปัญญา. (2557). ลัทธิประสบการณ์นิยม. ลัทธิปรัชญา. 57(1).
จากhttp://wwwphilosophy-suansunandha.com

ภวิศา พงษเ์ ล็ก. (2560). หลักการและปรชั ญาการศึกษา. คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธาน.ี

วรเทพ ว่องสรรพการ. (2546). การอ้างเหตุผลสนับสนุนการมีอยู่ของพระเจ้าตามทฤษฎีสหนัยนิยม.
วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต ภาควชิ าปรชั ญา คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

ศุภร ศรีแสน. (2526). ปรัชญาการศึกษาเบอื้ งตน้ . กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.

สุชาติ บุษย์ชญ าน น ท์. (2563) ญ าณว ิทยาก ับก าร เร ียน ร ู้. จาก http:/ / cms. pblthai. com
__________. บ้านจอมยุทธ. (2563) ญาณวิทยา. จาก http://bannjomyut.com padveewp. (2563)
__________. ปรัชญาเบ้อื งต้น บทท่ี 4 ญาณวิทยา.จาก http://philosophychicchic.com

__________. ญาณวิทยากบั การเรียนรู.้ จาก http://cms.pblthai.com

__________. ปรัชญาตะวันตกกับความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์และองค์ความรู้ต่างๆ. (2561). วัตถุนิยม.
จาก http://www.facebook.com

padveewp. (2563) ปรชั ญาเบอื้ งตน้ บทที่ 4 ญาณวิทยา. จาก http://philosophychicchic.com

87

บทท่ี 5
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้

ทฤษฎีการเรยี นรู้

การเรียนรู้ (Learning) คือกระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปล่ียนแปลงพฤติกรรม และความคิด ธรรมชาติ
ในการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นมาจากการรับรู้ (perception) แล้วแปลผลด้วยกระบวนการคิด (Thinking) ภายใน
กลไกของสมอง จากความรู้สึกที่ได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ด้วยอวัยวะรับการสัมผัส (sensory organs)
ประกอบด้วยตา (visual) สำหรับการมองเห็น หู (auditory) สำหรับการได้ยิน จมูก (olfactory) สำหรับการดม
กลิ่น ลิ้น (gustatory) สำหรับการชิมรส กาย (skin) สำหรับการสัมผัสทางกาย มนุษย์มีการเรียนรู้ตลอดเวลา
กระบวนการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้จากการอ่าน ฟัง สังเกต การอบรม การใช้เทคโนโลยี ฯลฯ การเรียนรู้มี 2
ลกั ษณะคอื การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Heuristics) หรอื การเรียนรู้ท่มี ีการสอน (Didactics) การเรยี นรทู้ ี่เกิดจากการ
สอนจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเปน็ ผู้ท่ี
สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง
ความเข้มงวดกวดขันฯ ผสู้ อนจะเปน็ ผู้สร้างเงอ่ื นไข และสถานการณ์เรยี นรู้ให้กับผูเ้ รียน สิง่ ตา่ งๆ ในกระบวนการ
เรยี นรู้สามารถอธิบายไดโ้ ดยอาศยั ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Learning – Theory)
ทฤษฎกี ารเรียนรู้เปน็ แนวคิดทีไ่ ดร้ บั การยอมรับว่าสามารถอธิบายลักษณะการเกิดการเรียนรู้ โดยได้รวบรวมเป็น
องค์รวมเป็นชุดหลกั การต่างๆ เพอ่ื อธิบายเหตผุ ลการได้มาขององคค์ วามรู้ การรกั ษาไวแ้ ละการเรียกใชอ้ งคค์ วามรู้
ในแต่ละบุคคล สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้ผู้สอนใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนรวมถึงเทคนคิ และ
วิธีการต่างๆ ที่จะส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ และทำให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์ในการเรียนอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ ดงั นั้นผูส้ อนจะตอ้ งพจิ ารณาเลือกหรอื ออกแบบการสอน (Instructional Design) ให้เหมาะสมกัน
สถานการณ์ เพราะวา่ การเรียนรู้ของมนุษยจ์ ะแตกตา่ งกนั เชน่ การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่กไ็ ม่เหมือนกัน เด็กจะ
เรยี นรดู้ ว้ ยการเรียนในห้อง การซกั ถาม ผใู้ หญ่มักเรยี นรดู้ ้วยประสบการณ์ทมี่ ีอยู่ เปน็ ตน้
ทฤษฎกี ารเรียนรขู้ องนักการศกึ ษาท่นี ำมาใช้พัฒนาด้านการเรียนการสอน

การเรียนรู้เปน็ กระบวนการต่อเน่ืองซึ่งผู้สอนจะต้องมีการวิเคราะหผ์ ู้เรียนเนื้อหาและวางแผนจัดลำดบั
เพอื่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ในผู้เรียนซง่ึ นกั การศึกษา (บางท่านเปน็ นักปรัชญานกั สังคมวทิ ยานกั จิตวิทยา)ท่ีมีความเช่ือ
แตกต่างกนั ย่อมทำให้เกิดแนวคดิ และวธิ ีการต่างท่ีเหมาะสมกับการสอนเน้ือหาหรือกระบวนการมากน้อยต่างกัน
ซ่งึ การสอนนนั้ เปน็ ทง้ั ศาสตร์และศิลปะความหมายของความเป็นศาสตรน์ น้ั คอื การสอนมีกระบวนการมีขั้นตอนที่
ชัดเจนอย่างเป็นลำดับในเชิงระบบส่วนศิลปะนั้นมีหมายความว่าในการเรียนการสอนนั้นผู้สอนควรคำนึงถึง
อารมณ์ความเหมาะสมของสถานการณ์ของบรรยากาศการเรียนคำนึงถึงความรู้สึกของผู้เรียนซึ่งบางครั้งไม่
สามารถประเมินออกมาได้อย่างเป็นระบบดังนน้ั ผู้สอนจึงควรทราบถงึ เทคนิคการสอนหลกั การและทฤษฎีแนวคิด
เกย่ี วกบั การคิดและการเรยี นร้นู ักการศึกษาได้ประยกุ ตแ์ ละพฒั นาพอ (ทีม่ า : วสันต์ นายดา่ น, 2554)

88

ทฤษฎีกลมุ่ พฤติกรรมนยิ ม

ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของฮลั ล์ (HULL)
เป็นนักจิตวิทยา หลักการทดลองของเขา ให้หลักการคณิตศาสตร์มาสร้างทฤษฎีทางจิตวิทยาอย่างเป็น

ระบบ ซึ่งเป็นแบบ S-R คือการต่อเนื่องระหว่างสิง่ เรา้ กับการตอบสนอง โดยได้กล่าวถงึ กระบวนการเรียนรูต้ ่างๆ
ในรปู ของคณิตศาสตร์มีการวเิ คราะหแ์ ยกแยะระหวา่ งการจงู ใจกับกลไกในการเรียนรู้ และกลา่ วถึงพน้ื ฐานของการ
เรียนรเู้ กดิ จากการเสริมแรงมากกวา่ การจงู ใจ (ชัยวฒั น์ สทุ ธิรตั น.์ , 2552.)
การทดลองเพือ่ สนับสนุนหลกั การ

การทดลองของวิลเลยี ม (Willian 1938)

การทดลองของวิลเลียม เป็นการฝึกให้หนูกดคานโดยแบ่งหนูออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มได้รับการอด
อาหารนานถึง 24 ชัว่ โมงและมีแบบแผนในการเสรมิ แรงเปน็ แบบตายตวั ตง้ั แต่ 5-90 กลา่ วคอื ต้องกดคาน 5 คร้ัง
จึงได้รับอาหาร 1 คร้ัง เร่ือยๆไป จนตอ้ งกดคาน 90 คร้งั จึงจะไดอ้ าหาร 1 ครงั้ (ชยั วัฒน์ สทุ ธริ ัตน์., 2552.)
การทดลองของเพอริน

เป็นการฝึกให้หนูกดคานเช่นเดียวกัน โดยมีวิธีการทดลองเช่นเดียวกับของวิลเลียมต่างกันตรงที่หนู
ทดลองของเพอรนิ ให้หนูอดอาหารเพียง 3 ช่ัวโมง
สรุปผลการทดลองท้ังสองคน

การทดลองน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่า ความเข้มข้นของการแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ข้ึนอยู่กับแรงขับ คือความ
หิวของหนูกับอุปนิสัยที่เกดิ ขึ้นจากการได้รับการแสดงแรง คืออาหารกับการตอบสนอง การกินอาหารยิ่งอดมาก
ย่งิ สร้างแรงขบั มาก การแสดงพฤตกิ รรมการเรียนรู้ (คอื การกดคาน) ย่งิ เขม้ ขน้ มากขนึ้ เท่านน้ั
กฎการเรยี นรู้

กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง หรือการยับยั้งปฏิกิริยา คือ ถ้าร่างกายเกิดความเหนื่อยล้า
การตอบสนองหรือการเรยี นรจู้ ะลดลง

กฎแหง่ การลำดบั กลุม่ นิสัย เม่ือมสี ่ิงเร้ามากระตุ้น แตล่ ะคนจะมีการตอบสนองต่างๆกัน ในระยะแรกการ
แสดงออกมีลักษณะง่ายๆแต่เมื่อเรียนรู้มากขึ้นก็สามารถแสดงการตอบสนองในระดับที่สูงขึ้นหรือถูกต้องตาม

89

มาตรฐานของสังคม กฎแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย เมื่อผู้เรียนย่ิงใกล้เป้าหมายเทา่ ใดจะมีสมรรถภาพในการ
ตอบสนองมากข้ึนเท่านั้น การเสรมิ แรงที่ให้ในเวลาใกลเ้ คียง เป้าหมายจะทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ได้ดีทสี่ ดุ
ทฤษฎแี รงหนุนกำลัง

แรงหนนุ กำลังจะเพมิ่ กำลงั ของการตอบสนองของร่างกายต่อส่งิ เร้าอย่างดอยา่ งหนง่ึ การเรียนรู้จะเกิดข้ึน
เมื่อคนเรามคี วามต้องการเปน็ แรงจูงใจใหแ้ สดงพฤตกิ รรมต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการนั้น เมื่อค้นพบการ
ตอบสนองที่ถูกต้องก็นำไปสัมพันธ์กับสิ่งเร้าท่ีมาเร้าได้ความสมั พันธ์ระหวา่ งสิ่งเร้ากบั การตอบสนองจะดขี ึ้นถ้ามี
แรงหนุนกำลงั
การเรียนร้ใู นทศั นะของฮัลล์

การเรียนรู้เกิดจากการเสริมแรง เป็นการให้รางวัล ที่ก่อให้เกิดการลดแรงขับหรือลดความต้องการของ
ผ้เู รยี นการเสรมิ แรงแยกออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่

การเสริมแรงปฐมภูมิ คือ การเสริมแรงท่ีจำเปน็ ตอ่ ร่างกาย เช่น การใหน้ ้ำ ให้อาหาร เป็นรางวัลท่ีสนอง
ความต้องการพื้นฐานของนักเรยี น

การเสริมแรงทุติยภูมิ คือ การเสริมแรงที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายแต่จำเป็นสำหรับจิตใจ เช่น การชมเชย
กล่าวคำชน่ื ชม
การนำหลักทฤษฎีของฮลั ลไ์ ปใชใ้ นการเรียนการสอน

พยายามจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้เรยี น
พยายามจัดการศึกษาเพือ่ ตอบสนองความต้องการของผเู้ รียน
พยายามจัดการเรยี นการสอนโดยคำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคลพน้ื ฐานการเรยี นรูข้ องเดก็ พนื้ ฐาน
ในการเรยี น
จดั คาบเวลาเรยี นใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของผ้เู รยี น
เปล่ยี นกจิ กรรมการสอนเมือ่ พบวา่ ผเู้ รยี นเหนอ่ื ยลา้ หรอื งว่ งนอน
กอ่ นท่จี ะสอนบทเรยี นพยายามนกถึงความพรอ้ มของผู้เรยี นก่อน แลว้ กระต้นุ ให้ผู้เรยี นเกิดความต้องการ
ทีจ่ ะเรียน พยายามสรา้ งแรงเสริมทกุ ขน้ั ตอนของบทเรียนจัดการเรียนการสอนจากง่ายไปหายาก (ท่ีมา : ชัยวัฒน์
สทุ ธิรัตน.์ , 2552.)
สรปุ ทฤษฎีของฮัลล์
หลกั การทางจิตวิทยา ทฤษฎีการเรยี นรู้ของฮัลล์ได้เข้ามามีสว่ นสำคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ของ
ครผู สู้ อนฉะนน้ั จึงถอื ได้วา่ ผู้สอนจะตอ้ งตระหนกั ถงึ ความสำคัญของจติ วิทยาการศึกษาเป็นอยา่ งยง่ิ

ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไข (Conditioning theory)

ทฤษฎกี ารเรยี นร้แู บบคลาสสิค (ClassicalConditioning Theory)
อีวาน เปโตรวิช พาพลอฟ เป็นนักจิตวิทยาและสรีรวิทยา ชาวรัสเซีย-โซเวียตได้รับรางวัลโนเบสสาขา
สรีรวิทยาหรือการแพทย์ ในปี ค.ศ. 1904 จากงานวิจัยเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้พาฟลอฟยังเป็นที่
รจู้ กั จากการอธิบายปรากฏการณก์ ารวางเง่อื นไขแบบดัง้ เดมิ (Classical Conditioning)

90

พาฟลอฟ ได้ทำการทดลอง ในเรือ่ งนค้ี ือ เขาทำการศกึ ษาทดลองกบั สุนัข โดยฝกึ สุนขั ให้ยืนนิง่ อยใู่ นทีต่ รึง
ในห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย เขาได้ทำการทดลองโดยการส่ัน
กระด่ิงก่อนท่จี ะเอาอาหาร (ผงเน้ือ) ใหแ้ ก่สุนขั เวลาระหว่างการสน่ั กระดิง่ และให้ผงเน้ือแก่สุนขั จะต้องเป็นเวลา
ที่กระชั้นชิดมาก ประมาณ 0.25 วินาที – 0.50 วินาที ทำซ้ำควบคู่กันหลายครั้ง และในที่สุดหยุดให้อาหาร
เพยี งแต่สน่ั กระด่ิง กป็ รากฏวา่ สนุ ัขก็ยังคงมนี ำ้ ลายไหลได้ปรากฎการณ์เช่นนี้เรียกว่า พฤติกรรมของสุนัขเกิดการ
เรยี นรู้แบบการวางเง่ือนไขหรอื ที่เรยี กวา่ สนุ ัขเกิดการเรียนรู้แบบการวางเงอื่ นไขแบบคลาสสิค

การตอบสนองเพื่อการวางเงื่อนไข (Conditioned Response) หรือ CR เป็นผลการเรียนรู้แบบวาง
เงื่อนไขแบบคลาสสิคการวางเงือนไขเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเรา้ ท่ีต้องวางเงื่อนไข (Conditioned
Stimulus หรือ CS) กับการสนองตอบที่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยการนำเอา CS ควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ต้องการวาง
เง่ือนไข (Unconditioned Stimulus หรือ UCS) ซ้ำ ๆ กนั หลกั สำคญั กค็ ือจะต้องให้ UCS หลงั CS อย่างกระชั้น
ชิดหริอเพียงเสี้ยววินาที (0.25 – 0.50 วินาที) และจะต้องทำซ้ำ ๆ กัน สรุปแล้ว ความต่อเนื่องใกล้ชิด
(Contiguity) และความถี่ (Frequency) ของสิ่งเร้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิค

ผลจากการทดลองของพาฟลอฟ จงึ สามารถสรุปหลกั การเรียนรจู้ ากการวางเง่ือนไขคลาสสคิ ไดด้ งั นคี้ อื
“เมื่อนำสิ่งเร้าที่เป็นกลางหรือสิ่งเร้าที่ต้องการวางเงื่อนไข (CS) เสนอควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ต้องการวางเงื่อนไข
(UCS) ซ้ำ ๆ หลายคร้ัง ในทสี่ ดุ สง่ิ เร้าท่ีเปน็ กลางนนั้ จะกลายเปน็ ส่งิ เร้าท่ีสามารถกระต้นุ ให้เกิดการตอบสนองได้
ดว้ ยตัวมันเอง” (ทมี่ า สรุ างค์ โควต้ ระกูล.,2548.)

จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของสุนัขท่เี ปล่ียนไป (คอื น้ำลายไหลเมอ่ื ได้ยินเสยี งกระด่งิ ) เกดิ จากประสบการณ์
ที่ได้รับ หรอื จากผลกระทำทซี่ ้ำ ๆ ซาก ๆ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั คำจำกัดความของการเรียนรู้ ดังกลา่ วมาแลว้ ข้างตน้
องคป์ ระกอบทีส่ ำคัญของทฤษฎีนบ้ี างประการมดี งั นี้

ปัจจัยสำคญั เพื่อใหก้ ารวางเงอื่ นไขเกดิ ผลดี
สง่ิ เร้าที่เปน็ กลางหรอื ต้องวางเงื่อนไข (CS) จะตอ้ งเสนอก่อนการเสนอสงิ่ เร้าทไ่ี ม่ต้องวางเง่ือนไข (UCS)
และช่วงระยะเวลาหา่ งกันของการเสนอ CS กบั UCS จะตอ้ งสน้ั จงึ จะมีการตอบสนองที่เข้ม หากช่วงเวลาที่เสนอ
ต่างกนั การตอบสนอง เช่น น้ำลายไหล ก็จะไม่เกดิ ขึ้น
สิ่งเร้าที่ต้องการวางเงื่อนไข จะต้องเสนอก่อนการเสนอสิ่งเร้าที่ไม่ต้องการวางเงื่อนไขอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มี
คณุ คา่ เพอื่ ท่จี ะทำนายวา่ สามารถกระตนุ้ ให้เกิดการตอบสนองอย่างแนน่ อนดังน้นั ในการโฆษณาทางโทรทัศน์ควร
จะเสนอตัวผลิตภณั ฑก์ อ่ น กอ่ นทจี่ ะเสนอสิง่ เร้าท่ไี มต่ ้องการวางเงือ่ นไขให้ปรากฎ
ทั้งสิ่งทีต่ ้องการวางเงอื่ นไข และส่งิ เรา้ ทไ่ี มต่ ้องการวางเงื่อนไขจะต้องมีลักษณะเดน่ สะดุดตาและมีคุณค่าดึงดูดใจ
มากกว่าสิ่งเร้าอืน่ ๆ ในสภาพแวดล้อมน้ัน ในการโฆษณาทางโทรทัศน์สิ่งเรา้ ทั้งสองนี้จะตอ้ งเรียกรอ้ งความสนใจ
แก่ผ้ชู มโทรทศั น์เหนอื โฆษณาของคแู่ ข่ง (วไิ ลวรรณ ศรีสงคราม.,2549)
ความเข้มขน้ ของการตอบสนองน้ัน ขนึ้ อยกู่ บั ความเข้มขน้ ของสง่ิ เร้าท่ไี ม่ตอ้ งวางเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าท่ีต้อง
วางเงอื่ นไขหรือทงั้ สองอยา่ งประกอบกนั

91

วัตสัน (Watson 1958) ได้นำเอาทฤษฎีของพาฟลอฟมาและถือว่าเขาเป็นผู้นำแห่งกลุ่มจิตวิทยา
พฤติกรรมนยิ ม และทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรอ่ื งการเกิดอารมณจ์ ากการวางเงอ่ื นไขหลกั การเรียนรู้
ของวตั สนั ซง่ึ เปน็ การวางเงอื่ นไขแบบคลาสสิค คอื การใช้สง่ิ เร้าสองสิง่ คู่กัน สงิ่ เร้าทมี่ ีการวางเง่อื นไข (CS) กับสิ่ง
เรา้ ทไ่ี ม่วางเง่อื นไข (UCS) เพ่อื ใหเ้ กดิ การตอบสนองท่ตี ้องการ คือ การเรยี นรู้น่ันเองและการทจ่ี ะทราบว่า การวาง
เงื่อนไขแบบคลาสสคิ ได้ผลหรือไม่ ก็คอื การตดั สง่ิ เร้าท่ไี ม่วางเงอ่ื นไข (CS) ถา้ ยังมีการตอบสนองเหมือนเดิมที่ยังมี
สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขอยู่แสดงว่าการวางเงื่อนไขได้ผลสิ่งที่เพิ่มเติมในหลักการเรียนรู้ของวัตสัน คือแทนที่จะ
ทดลองกับสัตว์ เขากลบั ใช้การทดลองกับคน เพอื่ ทดลองกับคน กม็ กั จะมีอารมณ์มากเกี่ยวขอ้ ง วัตสันกล่าวว่า
อารมณท์ เี่ กดิ ข้นึ เชน่ อารมณ์กลัวมผี ลต่อส่งิ เร้าบางอย่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว อาจจะทำให้กลัวสิ่งเร้าอื่นที่มีอยู่
รอบ ๆ ต่างกายอีกได้จากการเงื่อนไขแบบคลาสสิค โดยให้สิ่งเร้าที่มีความกลัวตามธรรมชาติ เป็นสิ่งเร้าท่ีไม่วาง
เง่อื นไข (UCS) กับสงิ่ เรา้ อ่นื ที่ตอ้ งการให้เกิดความกลวั เป็นสง่ิ เรา้ ท่ีวางเงอ่ื นไข (CS) มาคู่กันบอ่ ย เขา้ ในท่ีสุดก็จะ
เกดิ ความกลวั ในสิ่งเรา้ ทีว่ างเงอื่ นไขได้ และเมอื่ ทำใหเ้ กดิ พฤติกรรมใดได้ วัตสนั เช่อื วา่ สามารถลบพฤตกิ รรมน้ันให้
หายไปได้
การทดลอง

วัตสันได้ร่วมกับเรย์เนอร์ (Watson and Rayner 1920) ได้ทดลองวางเงื่อนไขเด็กอายุ 11 เดือน ด้วย
การนำเอาหนูตะเภาสีขาวเสนอให้เด็กดูคกู่ ับการทำเสยี งดัง เด็กตกใจจนรอ้ งไห้ เมอ่ื นำเอาหนูตะเภาสีขาวไปคู่กับ
เสียงดังเพียงไม่กี่ครั้ง เด็กก็เกิดความกลัวหนูตะเภาสีขาว และกลัวสิ่งอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายหนูตะเภาหรือมี
ลกั ษณะสีขาว เชน่ กระต่าย สุนขั เส้อื ขนสตั ว์ ซึง่ เป็นสง่ิ เร้าทคี่ ลายคลงึ กนั ความคล้ายคลึงกนั ทำให้กรรยิ าสะท้อน
ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งเร้ามากขึ้นเด็กที่เคยกลัวหมอฟันใส่เสื้อสีขาว ก็จะกลัวหมอคนอื่นที่แต่งตัว
คล้ายกันความคล้ายคลึงกนั ก็สามารถทำให้ลดลง โดยการจำแนกได้เช่นเดียวกัน เช่นถ้าหากต้องการให้เด็กกลัว
เฉพาะอย่าง ก็ไม่เสนอสิง่ เรา้ ท้งั สองอยา่ งพรอ้ มกนั แต่เสนอสง่ิ เร้าทีละอย่างโดยให้สิง่ เรา้ นั้นเกิดความรู้สึกในทาง
ผ่อนคลายลง

การนำหลักการเรียนรู้การวางเงื่อนไข ไปใช้ในการเรียนการสอน เราสามารถนำหลักการเรียนรู้
มาประยุกต์ใช้ โดยสร้างพฤติกรรมที่พึงปรารถนาขึ้นได้ นอกจากนี้กลักการเรียนรู้นำมาปรับพฤติกรรมได้
ซึ่งทำให้พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนานั้นกลายเป็นพฤติกรรมที่พึงปรารถนาได้ ซึ่งมีหลักการนำมาประยุกต์
ไดด้ งั น้ี

1. การนำหลักการลดพฤติกรรมมาใช้ โดยที่ผู้สอนต้องตระหนักเสมอว่า การให้ผู้เรียนเรียนแต่
อย่างเดียวบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายซ้ำซากจำเจ ควรมีการแทรกสิ่งที่เขาขอบไปบ้าง เพื่อให้
เกิดความอยากเรียนซ้ำอีก เป็นการป้องกันมิให้เกิดการลบพฤติกรรมท่ีพึงปรารถนาได้ คือ ภายหลังการ
เรยี นรแู้ ลว้ การเสนอบทเรียนซ่ึงเป็นสง่ิ เรา้ ที่วางเงอ่ื นไข (CS) เพียงอยา่ งเดียว จะทำใหเ้ กดิ ความเบ่ือหน่ายซ้ำซาก
ตอ้ งแทรกสง่ิ ท่ีผเู้ รียนชอบ

2. การนำกฎความคล้ายคลึงกันไปใช้ ควรพยายามให้คล้ายกับการเรียนรู้ครั้งแรกมาอธิบาย
เปรียบเทียบให้ฟัง เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น เช่นการอธิบายมโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอดแต่ละคน ให้มีความ
สมั พันธ์กับสิ่งท่ีคล้ายคลงึ กัน

92

3. การนำกฎการจำแนกมาใช้ โดยการสอนให้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียนครั้งแรกให้เข้าใจ
แจ่มแจ้ง แล้วอธิบายความแตกต่างของสิ่งเร้าอื่นว่าแตกต่างจากสิ่งเร้าแรกอย่างใดซึ่งก็เป็นการสอน
มโนทศั น์ หรอื ความคิดรวบยอดนนั้ เอง (ท่ีมา : พรรณี ช.เจนจติ ., 2545.)

ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบตอ่ เนอ่ื งของกัทธี

หลกั การเรียนรขู้ องทฤษฎกี ทั ธรีกล่าววา่ การเรียนร้ขู องอนิ ทรีย์เกดิ จากความสัมพันธต์ อ่ เน่ืองระหว่าง สิง่
เรา้ กับการตอบสนอง โดยเกิดจากการกระทำเพยี งคร้งั เดยี ว (One-trial Learning) มิตอ้ งลองทำหลาย ๆ ครั้ง เขา
เช่อื วา่ เม่ือใดก็ตามทีม่ ีการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ แสดงว่าอินทรีย์เรยี นรู้ท่ีจะตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าท่ีปรากฏในขณะนั้น
ทันที และเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ อย่างสมบรู ณ์ ไม่จำเป็นตอ้ งฝึกหัดอีก กัทธรี กล่าวว่า “สิ่งเร้า ที่ทำให้เกดิ
อาการเคล่ือนไหวเปน็ ส่งิ เร้าท่วี างเงื่อนไขทแ่ี ทจ้ รงิ ”
การทดลอง

กัทธรีและฮอร์ตัน (Horton) ได้ร่วมกันทดลองการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง โดยใช้แมวและสร้างกล่อง
ปัญหาขึ้น ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีกล้องถ่ายภาพยนตร์ติดไว้ที่กล่องปัญหาด้วย นอกจากนี้ยังมีเสาเล็ก ๆ อยู่
กลางกล่อง และมกี ระจกที่ประตูทางออก

ในการทดลอง กัทธรีจะปล่อยแมวท่ีหิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา แมวจะหาทางออกทางประตูหนา้
ซึ่งเปิดแง้มอยู่ โดยมีปลายแซลมอน (Salmon) วางไว้บนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าก่อนแล้ว ตลอดเวลาในการทดลอง
กัทธรจี ะจดบันทกึ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ของแมวต้ังแต่ถูกปลอ่ ยเข้าไปในกล่องปัญหาจนหาทางออกจากกลอ่ งได้
ผลทีไ่ ดจ้ ากการทดลอง สรุปไดด้ งั นี้

1. แมวบางตวั จะกัดเสาหลายครง้ั
2. แมวบางตัวจะหนั หลังชนเสาและหนจี ากกล่องปญั หา
3. แมวบางตวั อาจใช้ขาหนา้ และขาหลังชนเสาและหมุนรอบ ๆ เสา

กฎการเรยี นรู้

กัทธรีกล่าวว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีสิ่งเร้าควบคุม และการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ
ตอบสนองจะเปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์ เขายอมรับว่าพฤติกรรมหลายอย่างมีจุดมุ่งหมาย พฤติกรรมใดที่ทำซ้ำ ๆ
เกิดจากกลุ่มสง่ิ เรา้ เดมิ มาทำให้เกิดพฤตกิ รรมเชน่ นน้ั อกี กทั ธรจี งึ ไดส้ รุปกฎการเรยี นรตู้ ่าง ๆ ไว้ดังน้ี

1. กฎแห่งความต่อเน่ือง (Law of Contiguity)
2. กฎของการกระทำครัง้ สุดทา้ ย (Law of Recency)
3. การเรยี นรเู้ กิดขน้ึ ไดแ้ ม้เพียงครงั้ เดียว (One trial learning
4. หลักการจูงใจ (Motivation)

93

การนำไปประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน
1. การนำหลักการเรียนรู้ไปใช้ จากการหลักการเรียนรู้ที่ว่าการเรียนรู้เกิดจากการกระทำหรือการตอบสนอง
เพยี งครง้ั เดียว ไดต้ อ้ งลองกระทำหลาย ๆ คร้ัง หลักการน้นี ่าจะใช้ไดด้ ใี นผู้ใหญม่ ากกว่าเด็ก และผ้มู ีประสบการณ์
เดมิ มากกวา่ ผูไ้ มเ่ คยมปี ระสบการณ์เลย
2. ถ้าต้องการให้อินทรีย์เกดิ การเรยี นรู้ควรใชก้ ารจูงใจ เพื่อใหเ้ กดิ พฤติกรรมมากกว่าการเสริมแรง
3. เนื่องจากแนวความคิดของกัทธรีคล้ายคลึงกับแนวความคิดของวัตสันมาก ดังนั้นการนำไปประยุกต์ใช้ในการ
เรียนการสอนก็เป็นไปในทำนองเดยี วกนั กับทฤษฎีของวัตสันนนั้ เอง
4. กัทธรีเชื่อว่าการลงโทษมีผลต่อการเรียนรู้ คือทำให้อินทรีย์กระทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาแยกการลงโทษ
ออกเปน็ 4 ขั้น ดงั นี้

4.1 การลงโทษสถานเบา อาจทำให้ผู้ถูกลงโทษมีอาการต่ืนเต้นเพียงเล็กน้อย แต่ยังคงแสดงพฤติกรรม
เดมิ อีกต่อไป

4.2 การเพมิ่ การลงโทษ อาจทำให้ผู้ถกู ลงโทษเลิกแสดงพฤติกรรมทีไ่ มพ่ งึ ปรารถนาได้
4.3 ถ้ายังคงลงโทษต่อไป การลงโทษจะเปรียบเสมือนแรงขับที่กระตุ้นให้อินทรีย์ตอบสนองต่อสิ่งเร้า
จนกว่าอนิ ทรยี ์จะหาทางลดความเครียดจากแรงขับที่เกิดขึ้น กัทธรกี ลา่ วว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดจากการได้รับ
รางวลั ท่พี อใจ
4.4 ถ้าเกดิ พฤตกิ รรมท่ไี มด่ ีคือพฤติกรรมท่ไี ม่พึงปรารถนา แลว้ ลงโทษจะทำให้มพี ฤตกิ รรมอ่ืนเกิดตามมา
หลังจากถูกลงโทษ จงึ ควรขจดั พฤติกรรมท่ไี ม่ดเี สียก่อน ก่อนท่จี ะลงโทษ (ทีม่ า : กญุ ชรี ค้าขาย, 2540)

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory)

Burrhus Skinner นกั จิตวิทยาชาวอเมรกิ ันเป็นผ้คู ิดทฤษฎีการวางเงอื่ นไขแบบการกระทำ
(Operant Conditioning theory หรือInstrumental Conditioning หรือ Type-R. Conditioning)

ประวตั ิ บี.เอฟ.สกินเนอร์
เกดิ เมื่อวันท่ี 1940.มนี าคม ค.ศ 20ที่ มลรัฐเพนซิลเวเนยี สหรฐั อเมริกา จบปรญิ ญาตรี ทางวรรณคดี ในอังกฤษ
เข้าศึกษาต่อสาขาจิตวิทยา ระดับปริญญาโทและเอก ณ มหาวิทยาลัย ฮาร์ดเวิร์ด ปี ค.ศ.1982 วิชาเอก
พฤติกรรมศาสตร์ สกินเนอร์มีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของ Pavlov นั้น จำกัดอยู่กับ
พฤตกิ รรมการเรียนรู้ทเ่ี กิดขึ้นเปน็ จำนวนนอ้ ยของมนุษย์ พฤตกิ รรมส่วนใหญ่แลว้ มนษุ ย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง
ไม่ใช่เกดิ จากการจับคูร่ ะหวา่ งส่ิงเรา้ ใหม่กับสงิ่ เร้าเกา่ ตามการอธิบายของ Pavlov (ท่มี า : Anonymous, 2555)

สกนิ เนอร์ได้แบ่ง พฤตกิ รรมของสิ่งมีชวี ิตไว้ 2 แบบ คอื

1. Respondent Behavior
คือพฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือเป็นปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) ซ่ึง

สิ่งมีชีวติ ไม่สามารถควบคมุ ตวั เองได้ เชน่ การกระพรบิ ตา นำ้ ลายไหล
2. Operant Behavior
คือพฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเป็นผู้กำหนด หรือเลือกที่จะแสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็น

พฤติกรรมท่บี คุ คลแสดงออกในชีวติ ประจำวนั เชน่ กิน นอน พูด เดิน ทำงาน ขบั รถ

94

การเรียนรู้ตามแนวคิดของสกินเนอร์ เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเช่นเดียวกัน
แตส่ กนิ เนอร์ใหค้ วามสำคญั ตอ่ การตอบสนองมากกว่าสงิ่ เร้า จึงมีคนเรยี กว่าเป็นทฤษฎีการวางเงอื่ นไขแบบ Type
R นอกจากนี้สกินเนอร์ให้ความสำคัญต่อการเสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทำให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทน
ถาวร ยิ่งขึ้นด้วย สกินเนอรไ์ ด้สรุปไว้ว่า อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนองขึน้ อยู่กับผลของการกระทำ
คือ การเสริมแรง หรอื การลงโทษ ทง้ั ทางบวกและทางลบ
สกินเนอร์ได้อธิบาย คำว่า "พฤติกรรม" ว่าประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ ว่าประกอบด้วย
องค์ประกอบ 3 ตัว คอื

1. Antecedents คือ เง่ือนไขนำหรอื สง่ิ เรา้ ท่ีกระตุ้นให้เกดิ พฤติกรรม (ส่ิงทีก่ ่อให้เกิดขึ้นก่อน) ทุก
พฤติกรรมต้องมเี งอื่ นไขนำ เช่น วนั นีต้ อ้ งเขา้ เรยี นบา่ ยโมง พฤติกรรมเราถกู กำหนดด้วยเวลา

2. Behavior คอื พฤติกรรมทแ่ี สดงออก
3. Consequences หรือผลกรรม เกิดขึ้นหลังการทำพฤตกิ รรม เป็นตัวบอกว่าเราจะทำพฤตกิ รรม
น้ันอีกหรอื ไม่ ดงั นน้ั ไม่มีใครที่ทำอะไรแล้วไม่หวังผลตอบแทน ซง่ึ เรยี กย่อๆ ว่า A-B-C ซึ่งทั้ง 3 จะดำเนนิ ตอ่ เน่ือง
ไป ผลท่ีได้รบั จะกลับกลายเปน็ สงิ่ ท่กี อ่ ใหเ้ กิดข้นึ กอ่ นอันนำไปสูก่ ารเกิดพฤติกรรมและนำไปสู่ผลทไ่ี ด้รับตามลำดับ
(ที่มา : ทฤษฎีของนักจติ วิทยา, 2558)
สำหรับการทดลองของสกินเนอร์ เขาได้สร้างกล่องทดลองขึ้นซึ่ง กล่องทดลองของสกินเนอร์ (Skinner
Boxes) จะประกอบดว้ ยที่ใส่อาหาร คันโยก หลอดไฟ คันโยกและทีใ่ ส่อาหารเชื่อมตดิ ต่อกัน การทดลองเริ่มโดย
การจบั หนูไปใส่กลอ่ งทดลอง เมอ่ื หนหู วิ จะวิ่งวนไปเร่ือย ๆ และไปเหยียบถูกคนั โยก ก็จะมอี าหารตกลงมา ทำให้
หนูเกิดการเรียนรู้ว่าการเหยียบคันโยกจะได้รับอาหารครั้งต่อไปเมื่อหนูหิวก็จะตรงไปเหยียบคันโยกทันที ซ่ึง
พฤติกรรมดังกลา่ วถือว่าหนูตัวน้เี กิดการเรยี นรแู้ บบการลงมือกระทำเอง
หลกั การและแนวคิดท่สี ำคัญของ สกนิ เนอร์
1. การวัดพฤติกรรมตอบสนอง สกินเนอร์ เห็นว่าการศึกษาจิตวิทยาควรจำกัดอยู่เฉพาะพฤติกรรม ที่
สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน และพฤติกรรมที่สังเกตได้นั้นสามารถวัดได้โดยพิจารณาจากความถ่ีของการ
ตอบสนองในชว่ งเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือพจิ ารณาจากอัตราการ ตอบสนอง (Response rate) นน่ั เอง
2. อัตราการตอบสนองและการเสริมแรง สกินเนอร์ เช่อื ว่าโดยปกติการพิจารณาว่าใครเกิดการเรียนรู้
หรือไม่เพียงใดน้นั จะสรุปเอาจากการเปลี่ยนแปลงการตอบสนอง (หรือพดู กลบั กันไดว้ ่าการท่ีอัตราการตอบสนอง
ได้เปลี่ยนไปนั้น แสดงว่าเกดิ การเรียนรู้ขึ้นแล้ว) และการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองจะเกิดขึน้ ได้เมื่อมีการ
เสริมแรง (Reinforcement) นั้นเอง สิ่งเร้านี้สามารถทำให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนแปลง เราเรียกว่าตัว
เสริมแรง (Reinforcer) สิ่งเร้าใดที่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองเราเรียกว่าไม่ใช่ตัวเสริมแรง
(Nonreinforcer)
3. ประเภทของตัวเสรมิ แรง ตวั เสรมิ แรงนนั้ อาจแบ่งออกได้เป็นตัวหรือเสรมิ แรงบวก เสรมิ แรงลบหรือ

อาจแบ่งได้เป็นตวั เสรมิ แรงปฐมภมู ิกบั ตวั เสริมแรงทุตยิ ภมู ิ


Click to View FlipBook Version