สหรัฐฯ
ช่วงแรก
ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์มายาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างเป็น
ทางการเมื่อปี 2376 จากที่ทั้งสองฝ่ายมีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์
(Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าฯ โดยในปีดังกล่าว ประธานาธิบดี Andrew Jackson ของสหรัฐฯ
(ดำรงตำแหน่งปี 2372-2380) ได้ส่งนาย Edmund Roberts เปน
็
เอกอัครราชทูตเดินทางมายังกรุงเทพฯ พร้อมทั้งนำสิ่งของมาทูลเกล้าฯ
ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งรวมถึงดาบฝักทองคำที่ด้ามสลัก
เป็นรูปนกอนทรีและช้าง และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้
ิ
ุ
พระราชทานสิ่งของตอบแทนซึ่งเป็นของพื้นเมือง เช่น งาช้าง ดีบก เนื้อไม้
และกำยาน เป็นต้นโดยภารกิจสำคัญของนาย Robert คือการเจรจา
จัดทำสนธิสัญญาทางการค้ากับไทย เช่นเดียวกับที่ไทยได้ทำสนธิสัญญา
และข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรเมื่อ ปี 2369
การจัดส่งคณะทูตสหรัฐฯ มายังไทยแสดงให้เห็นถึงความสนใจของ
สหรัฐฯ ที่จะติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่ในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากที่ได้มีชาติตะวันตกอื่นๆ เช่น โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร ได้
เข้ามาค้าขายกบไทยอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ ไทยและสหรัฐฯ ได้สถาปนา
ั
็
ความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเปนทางการในปี 2399
อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหน้านั้นปรากฏหลักฐานการติดต่อระหว่างทั้ง
สองประเทศตั้งแต่ต้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีเรือกำปั่นของชาวสหรัฐฯ
ลำแรก โดยมีกัปตันแฮน (Captain Han) เป็นนายเรือได้แล่นเรือบรรทุก
สินค้าผ่านลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี 2364 หรือในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ไม่มีความต่อเนื่องเพราะที่ตั้ง
ทางภูมิศาสตร์ที่ห่างไกลกัน และสหรัฐฯ ไม่ค่อยความสนใจหรือมี
ผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ โดยสหรัฐฯ มีสถานกงสุลเพียงแห่งเดียวใน
ภูมิภาคนี้ที่ปัตตาเวีย (กรุงจาการ์ตาในปัจจุบัน)
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ความสัมพันธ์
กันอย่างเป็นทางการ รวมทั้งเรือสินค้าสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นเดินทางมาถึงไทย
แล้วก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ยังไม่ขยายตัว
เนื่องจากไม่มีการติดต่อที่ใกล้ชิด รวมทั้งการค้ากับต่างประเทศของไทย
โดยเฉพาะกับประเทศตะวันตกกยังไม่ขยายตัว เนื่องจากฝ่ายไทยยังคง
็
บังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้ากับต่าง ประเทศ และยังคงมี
การผูกขาดกิจการต่างๆ แต่ในช่วงต้นของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ คณะ
บาทหลวงสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับ
ประชาชนสู่ประชาชน ในขณะที่ความสัมพันธ์ในระดับรัฐต่อรัฐยังไม่เป็น
รูปธรรมนัก โดยเมื่อปี 2374 บาทหลวง David Abeel, M.D. มิชชันนารี
ั้
ชาวสหรัฐฯ ได้เดินทางมาไทยและพำนักอยู่ในกรุงเทพฯหลังจากนน คณะ
บาทหลวงอีกหลายคณะได้เดินทางและมาพำนักในไทย อย่างไรก็ดี คณะ
บาทหลวงสหรัฐฯ ไม่ประสบความสำเร็จในภารกิจการเผยแพร่ศาสนา
เท่าใดนัก แม้ว่าพระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้ทรงขัดขวางการเผยแพร่ศาสนา
"มีผู้กล่าวไว้ว่า ไม่มีประเทศใดที่มิชชันนารีจะได้รับการต่อต้านการ
้
เผยแพร่ศาสนานอยที่สุด หรือเกือบไม่มีเลยเท่าประเทศไทย และก็ไม่มี
ประเทศใดที่คณะมิชชันนารีได้รับผลสำเร็จน้อยที่สุดเท่าประเทศไทย
เช่นเดียวกัน" แต่คณะบาทหลวงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาในหลาย
ด้าน เช่น การศึกษาโดยเฉพาะการสอนภาษาอังกฤษ การจัดตั้ง
สถาบันการศึกษาที่สำคัญๆ ได้แก่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โรงเรียน
วัฒนาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ โรงเรียนปรินส์รอยัล และโรงเรียนดารา
วิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข คณะ
บาทหลวงสหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาการแพทย์สมัยใหม่ใน
ไทย โดยเฉพาะนายแพทย์ Danial B. Bradley ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรักษา
ไข้ทรพิษและอหิวาตกโรค รวมทั้งเป็นผู้จัดตั้งโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์แห่ง
แรกในไทย และพำนักอยู่ในไทยเป็นเวลาเกือบ 40 ปี นอกจากนี้ คณะ
บาทหลวงสหรัฐฯ ยังมีส่วนในการจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งแรกที่จังหวัด
เพชรบุรี และจังหวัดอื่นๆ เช่น ลำปาง ตรัง นครศรีธรรมราช รวมทั้ง
โรงพยาบาลแมคคอมิกส์ที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการ
พัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลศิริราชด้วย
ในช่วงที่ไทยจำเป็นต้องดำเนนนโยบายให้พ้นภัยคุกคามจากลัทธิ
ิ
อาณานิคมของ ประเทศมหาอำนาจยุโรป ที่ปรึกษาชาวสหรัฐฯ ซึ่งเป็น
ชาติที่มีความเป็นกลาง และไม่ได้แข่งขนทางผลประโยชน์ต่างๆ
ั
โดยเฉพาะการแสวงหาอาณานิคมกับประเทศยุโรปในภูมิภาค ได้เข้ามี
บทบาทในการเป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ การศาล การพัฒนา
และคำปรึกษาทั่วไปให้กับไทยโดยที่ปรึกษาชาวสหรัฐฯ คนแรก ได้แก่
้
นาย Edward H. Strobel ซึ่งมีส่วนสำคัญในการคลี่คลายปัญหาขอ
พิพาทด้านพรมแดนฝั่งตะวันออกระหว่าง ไทยกับฝรั่งเศส รวมทั้งช่วย
เจรจากับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรให้ผ่อนผันในเรื่องสิทธิสภาพ นอก
อาณาเขต นอกจากนี้ นาย Jen I. Westengard ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา
ราชการแผ่นดินระหว่างปี 2450-2458 มีบทบาทในเรื่องสิทธิสภาพนอก
อาณาเขต ต่อมาได้รับพระราชทานพระราชบรรดาศักดิ์เป็นพระยา
กัลยาณไมตรีในสมัยรัชกาลพระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ และในปี
2468 นาย Francis B. Sayre (ซึ่งได้รับพระราชทานพระราชบรรดาศักดิ์
้
เป็นพระยากัลยาณไมตรีด้วยเช่นกัน) มีบทบาทสำคัญในการแกไข
สนธิสัญญาระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะด้านศุลกากรและ
กฎหมาย รวมทั้งมีบทบาทในการช่วยเหลือไทยภายหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 เมื่อนาย Sayre ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสหประชาชาติเพื่อการ
บรรเทาทุกข์ และบูรณะความเสียหายของประเทศ (The United
Nations Relief and Rehabilitation Administration -UNRRA)
การที่ไทยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายพันธมิตรในการป้องกน
ั
ประเทศจากการ ที่ญี่ปุ่นเดินทางทัพเข้ามาในดินแดนไทยในช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไทยจำเป็นต้องประกาศสงครามกับสหราช
อาณาจักรและสหรัฐฯ ในปี 2485 อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะนั้น
ไม่ได้ประกาศสงครามกับไทย เนองจากมีการจัดตั้งเสรีไทยในสหรัฐฯ และ
ื่
ุ่
รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน รวมทั้งการจัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปน
ในไทย ซึ่งมีผลอย่างมากต่อสถานการณ์ภายหลังสงครามของไทยที่
ื
สหรัฐฯ สนับสนุนท่าทีที่ผ่านมาของไทย โดยถอว่าไทยไม่ได้เป็นคู่สงคราม
แต่เป็นดินแดนที่ถูกยึดครอง (occupied territory) ในระหว่างสงคราม
ภายหลังสงครามสหรัฐฯ ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในทันที
รวมทั้งช่วยเหลือไทยในการเจรจาให้สหราชอาณาจักรลดข้อเรียกร้องและ
การตั้ง เงื่อนไขต่างๆ จำนวน 21 ข้อ ที่กำหนดขึ้นภายหลังสงครามกับ
ไทย โดยสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับสหราชอาณาจักรให้กับ
ไทย รวมทั้งสนับสนุนและให้คำปรึกษาการกับไทยในการเจรจากับ
็
ฝรั่งเศสและรัสเซีย เพื่อเข้าเปนสมาชิกสหประชาชาติในปี 2489
ช่วงทศวรรษที่ 1960 - 1970
ความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงเป็นพื้นฐานสำคัญของ
ภาพรวมความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝรั่งเศสเริ่มต้น
้
เจรจากับฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ใน เวียดนาม ฝ่ายคอมมิวนิสต์เขา
ครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนอของเวียดนามได้ ในขณะที่ประธานาธิบดี
ื
Eisenhower มีนโยบายที่เด่นชัดมากขึ้นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์
ในเอเชีย และได้เป็นแกนนำหลักในการชักชวนให้ประเทศในเอเชียรวมตัว
กันเพื่อป้องกัน ประเทศจากภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ โดยสหรัฐฯ ได้
ร่วมกับไทย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน อิตาลี ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย
และสหราชอาณาจักร ลงนามในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกนแหงเอเชีย
ั
่
ตะวันออกเฉียงใต้ (The Southeast Asia Collective Defense Treaty
หรือ Manila Pact) ที่กรุงมะนิลา เมื่อปี 2497 ซึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้ง
องค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Southeast Asia
Treaty Organization – SEATO) นอกจากนี้ ไทยและสหรัฐฯ ยังมี
ั
ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและการป้องกนประเทศระหว่างกันใน
กรอบทวิภาคี ตามแถลงการณ์ร่วมของนายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศ และนาย Dean Rusk รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (Rusk-Thanat Communique') เมื่อปี
2505 ที่ย้ำถึงการเปนพันธมิตรทางสนธิสัญญาระหว่างกนของไทยและ
ั
็
สหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ถือว่าเอกราชและ บูรณภาพของไทย มีความสำคัญ
ยิ่งต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และสันติภาพของโลก และจะให้การ
ปกป้องไทยจากการรุกรานตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ
เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งในอนโดจีนขยายตัวออกไปจนกระทั่ง
ิ
สหรัฐฯ ต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเวียดนาม
้
ใต้ ไทยได้ให้ความร่วมมือตามคำร้องขอของสหรัฐฯ โดยใหใช้สนามบน
ิ
และฐานทัพในไทย รวมทั้งจัดส่งทหารจำนวนประมาณ 12,000 นายไป
ร่วมรบในเวียดนามด้วย โดยสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายของกำลัง
พล ซึ่งในช่วงดังกล่าว ความช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ต่อไทยมี
ึ้
จำนวนสูงขนถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2511 และระหว่าง 2508 -
2513 สหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อ
ปรับปรุงฐานทัพในไทย ในขณะเดียวกันความช่วยเหลือด้านอนๆ ได้
ื่
เพิ่มขึ้นถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นความช่วยเหลือแก่
รัฐบาลไทยในการต่อสู้เพื่อเอาชนะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะใน
พื้นที่ชนบท ผ่านโครงการส่งเสริมความมั่นคง การพัฒนาชนบท การ
สาธารณสุข การเกษตร และการศึกษา เป็นต้น
ช่วงทศวรรษที่ 1970 – 1980
สหรัฐฯ ได้ลดบทบาทการมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้งใน
อินโดจีน ซึ่งการปรับเปลี่ยนท่าทีทางนโยบายดังกล่าว เป็นผลจากกระแส
การต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ
หลังจากที่ประธานาธิบดี Richard Nixon (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2512
– 2517)ได้ประกาศนโยบาย Nixon Doctrine ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ จะไม่
ั
้
เกี่ยวของกบความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียด้วยการส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไป
โดยตรง แต่ประเทศในเอเชียต้องรับภาระการป้องกันประเทศด้วยตนเอง
โดยสหรัฐฯ จะสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจด้านอื่นๆ
ั้
แก่ประเทศเหล่านน ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมภายในของ
ั
สหรัฐฯ ที่ขยายตัวจากช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นส่วนสนบสนุนกระแส
ต่อต้านสงครามมากยิ่งขึ้น ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดบทบาทและการใช้จ่าย
งบประมาณสำหรับกิจการต่างประเทศลง และหันมาให้ความสำคัญกับ
นโยบายภายในประเทศ และตัดทอนงบประมาณการต่างประเทศมา
ั
้
สนับสนุนการแกไขปญหาภายในประเทศ นอกจากนี้ การเปิด
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนโดยประธานาธิบดี Nixon เดินทางไปเยอน
ื
ิ่
กรุงปักกงในปี 2514 เป็นสัญญาณที่สำคัญต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการ
ต่างประเทศในแนวทางที่สหรัฐฯ จะลดบทบาททางความมั่นคงและทาง
ทหารในภูมิภาคลง
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการเมืองระหว่างประเทศหลัง
สหรัฐฯ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และการถอนทหารของ
สหรัฐฯ จากอินโดจีน ทำให้ไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนิน
นโยบายต่างประเทศ และหลังการลงนามข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติ
็
สงครามเวียดนามอย่างเปนทางการ เมื่อปี 2516 กระแสต่อต้านสหรัฐฯ
ในไทยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษา ซึ่งนำไปสู่
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย ยิ่งมีส่วนส่งเสริมให้กระแสต่อต้าน
สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น มีการเรียกร้องให้สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากประเทศ
ไทย และเมื่อเกิดเหตุการณ์เรือสินค้า Mayaguez เมื่อปี 2518 ซึ่งทหาร
สหรัฐฯ ได้พยายามช่วยเหลือลูกเรือจากฝ่ายเขมรแดง โดยใช้ฐานทัพใน
ุ
ไทยโดยไม่ได้ขออนญาต รัฐบาลไทยได้ดำเนินการประท้วง และแจ้งให ้
ฝ่ายสหรัฐฯ ดำเนินการถอนทหารออกจากไทยทั้งหมดภายในปี 2519
ช่วงสงครามเวียดนาม
ไทยได้ให้ความร่วมมืออย่างมากกับสหรัฐฯ ในขณะที่ สหรัฐฯ ได้ให้
็
ความช่วยเหลือทางด้านความมั่นคงเปนจำนวนมากแก่ไทยด้วยเช่นกัน
์
นับได้ว่าทั้งสองฝ่ายได้พึ่งพาอาศัยกันบนพื้นฐานของผลประโยชนร่วมกัน
มาโดย ตลอด อย่างไรก็ตาม แม้วาหลังจากที่สหรัฐฯ ถอนกำลังทางทหาร
่
ออกจากเวียดนาม และปรับเปลี่ยนนโยบายโดยลดบทบาทด้านการเมือง
การทหารในภูมิภาคลง แต่สหรัฐฯ ยังคงให้ความร่วมมือและสนับสนุนการ
ั
ดำเนินการของไทยในการแก้ไขปญหาความขัด แย้งในภูมิภาคอนโดจีน
ิ
โดยสหรัฐฯ สนับสนุนทางความพยายามของไทยและสมาคมประชาชาติ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of Southeast Asian
Nations – ASEAN) ในการแก้ไขปัญหากัมพูชาโดยวิถีทางการเมือง และ
สนับสนุนการจัดตั้งเวทีประชุมความมั่นคงภูมิภาคอาเซียน (ASEAN
Regional Forum – ARF) ด้วย ความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคงและ
การทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงดำเนนไปอย่างต่อเนอง แต่มิได้อยู่
ิ
ื่
ในระดับที่ใกล้ชิดเท่ากับในช่วงสงครามเย็น สหรัฐฯ เห็นว่าไทยเป็น
พันธมิตรทางทหารที่สำคัญ การฝึกร่วมผสม Cobra Gold ระหว่างไทย
็
กับสหรัฐฯ ซึ่งมีเปนประจำทุกปี ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพันธมิตร
ทางทหาร และเป็นการฝึกร่วมผสมที่ใหญ่ที่สุดที่สหรัฐฯ มีอยู่กับประเทศ
ต่างๆ โดยในระยะหลัง เป็นการฝึกร่วมผสมไทย-สหรัฐฯ มีประเทศอื่นๆ
ุ่
เข้าร่วมฝึกในบางสาขา เช่น ญี่ปน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมองโกเลีย
และอีก 16 ประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์ นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ มอบ
ื
สถานะพันธมิตรสำคัญนอกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนอ (Major
Non NATO Ally - MNNA) ให้แก่ไทยเมื่อปี 2546 เป็นการแสดงให้เห็น
ถึงความเป็นพันธมิตรในด้านการทหารและความมั่นคงของทั้ง สองฝ่ายอีก
ระดับหนึ่งด้วย