The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพยาบาลผู้มารับการตรวจวินิจฉัยทางรังสี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sosiha6905, 2020-05-14 22:30:09

การพยาบาลผู้มารับการตรวจวินิจฉัยทางรังสี

การพยาบาลผู้มารับการตรวจวินิจฉัยทางรังสี

การพยาบาลผู้มารับการตรวจวนิ ิจฉัยทางรังสี

ช่ือ/นามสกุล

นางสาวศศิวมิ ล ญาวิลาศ
นางสาวปรียานุช เกตกุ าล
นางสาววจิ ติ รา บางจ่ัน

ตาแหน่ง
งานการพยาบาลรังสีวทิ ยา ฝ่ ายการพยาบาล รพ.ศริ ิราช

หน้าท่คี วามรับผิดชอบ ให้การดแู ลเตรียมผ้ปู ่ วย และให้การพยาบาลผ้ปู ่ วยท่ีมารับการตรวจพิเศษทางรังสี
ทงั้ ในระยะกอ่ นตรวจ ขณะตรวจ และหลงั การตรวจ

หนว่ ยตรวจพิเศษทางรังสี (ตกึ ผ้ปู ่ วยนอกชนั้ พืน้ ดนิ ) เป็นหนว่ ยตรวจที่ให้บริการตรวจพิเศษทางรังสี
วนิ จิ ฉยั ลกั ษณะงานสว่ นใหญ่เน้นให้บริการผ้ปู ่ วยที่มารับการตรวจวินจิ ฉยั ทางรังสีด้วยเครื่องตรวจเอ็กซเรย์
คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography: CT scan) และเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้ า
(Magnetic resonance imaging: MRI) ตลอด 24 ชว่ั โมง โดยการตรวจวินจิ ฉยั นีเ้ป็นการตรวจ
ที่เป็นที่นิยม ได้ภาพชดั เจน แพทย์สามารถวนิ จิ ฉยั โรคได้อยา่ งแมน่ ยา และสามารถวางแผนให้การรักษาแก่
ผ้ปู ่ วยได้รวดเร็วขนึ ้ ทงั้ นีก้ ารตรวจวนิ ิจฉยั ทงั้ 2 วิธียงั มีความเส่ียงเก่ียวกบั การใช้สารชว่ ยตรวจทางรังสี
ซงึ่ พยาบาลผ้ดู แู ลมีบทบาทสาคญั ในการดแู ลผ้ปู ่ วยตงั้ แตก่ ่อนแรกรับผ้ปู ่ วยจนเสร็จสิน้ การตรวจ
เพื่อให้ผ้ปู ่ วยได้รับความปลอดภยั ไมเ่ กิดภาวะแทรกซ้อนตลอดการตรวจ รวมไปถึงสามารถให้การชว่ ยเหลือ
ดแู ลผ้ปู ่ วยท่ีเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อยา่ งรวดเร็ว และปลอดภยั

การตรวจด้วยเครื่องตรวจเอก็ ซเรย์คอมพวิ เตอร์(Computed Tomography: CT scan)

ขอ้ บ่งช้ีเพ่ือตรวจหาเน้ืองอก ตาแหน่ง และขนาดของเน้ืองอกในอวยั วะต่างๆ การแพร่กระจายของเน้ือ
งอกไปยงั ต่อมน้าเหลืองที่อยใู่ กลเ้ คียง การคงั่ ของเลือดในสมอง ช่องทอ้ ง และอุง้ เชิงกราน ความผดิ ปกติของ
หลอดเลือด เช่น เส้นเลือดโป่ งพอง เส้นเลือดอุดตนั รวมถึงความผดิ ปกติของกระดูก และขอ้ ต่อต่างๆ
ในผปู้ ่ วยบางรายอาจใชส้ ารทึบรังสี (Contrast Media) เขา้ ไปในร่างกายเพื่อช่วยใหภ้ าพถ่ายเห็นไดช้ ดั เจนข้ึน
โดยอาจใชว้ ธิ ีดื่มสารทึบรังสี ฉีดสารทึบรังสีเขา้ ทางหลอดเลือดดาดว้ ยเครื่องฉีดยาอตั โนมตั ิ (Automatic
injector) หรือสอดสารทึบรังสีเขา้ สู่ลาไส้ผา่ นทางทวารหนกั

การดูแลผ้ปู ่ วยระยะก่อนการตรวจด้วยเครื่องตรวจเอก็ ซเรย์คอมพวิ เตอร์(Computed Tomography: CT scan)
เพอื่ เตรียมความพร้อมผู้ป่ วยท้งั ด้านร่างกาย และจิตใจ

1. ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล กบั ใบส่งตรวจ เพื่อป้ องกนั การตรวจผดิ คน และตาแหน่ง

2. ประเมินสภาพผปู้ ่ วย สญั ญาณชีพ เพ่ือคดั กรองผปู้ ่ วยเขา้ รับการตรวจ หรือตามความจาเป็นเร่งด่วนในกลุ่ม
ผปู้ ่ วยวกิ ฤต

3. การซกั ประวตั ิผปู้ ่ วย เพื่อป้ องกนั และลดความรุนแรงจากอาการไม่พึงประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสี โดย
สอบถามเก่ียวกบั

- การงดอาหารทุกชนิดทางปากอยา่ งนอ้ ย 4-6 ชวั่ โมงก่อนตรวจ ยกเวน้ น้าเปล่า

- ซกั ประวตั ิการต้งั ครรภ์ หรือวนั แรกของการมีประจาเดือนคร้ังสุดทา้ ย (Last Menstrual Period: LMP) ในกลุ่ม
ผปู้ ่ วยหญิงวยั เจริญพนั ธุ์

- ซกั ประวตั ิการแพย้ า อาหารทะเล สารทึบรังสี โรคประจาตวั ตา่ งๆ ไดแ้ ก่โรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด โรคไต
โรคหวั ใจ โรคเบาหวาน และโรคความดนั โลหิตสูงเป็ นตน้

4. ตรวจสอบผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ ไดแ้ ก่คา่ Serum Creatinine และ eGFR เพ่ือป้ องกนั และลดการ
เกิดภาวะการทางานของไตลดลงภายหลงั การไดส้ ารทึบรังสี (Contrast Induced Nephropathy: CIN) เน่ืองจาก
สารทึบรังสีมีความปลอดภยั ในผปู้ ่ วยท่ีมีการทาางานของไตเป็นปกติ โอกาสท่ีจะทาใหเ้ กิดไตวายจากการใชส้ าร

ทึบรังสีเพิม่ ข้ึนสูงตามระดบั การทาางานของไตท่ีเลวลง ดงั น้นั ผปู้ ่ วยควรที่จะไดร้ ับการตรวจ serum creatinine
ทุกราย

ประวตั ิความเสี่ยงตอ่ ไตวายที่ตอ้ งถาม

●มีประวตั ิเป็นโรคของไตมาก่อนหรือไม่

●เป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ถา้ เป็นมีปัญหาเรื่องไตร่วมดว้ ยหรือไม่ และไดร้ ับการรักษาดว้ ย metformin หรือไม่

●ไดร้ ับการตรวจทางรังสีที่มีการฉีดสารทึบรังสีเขา้ สู่หลอดเลือดภายใน3 วนั ที่ผา่ นมาหรือไม่

●ผปู้ ่ วยป่ วยเป็นโรคหวั ใจลม้ เหลวหรือไม่

●ผปู้ ่ วยอายมุ ากกวา่ 70 ปี

●ผปู้ ่ วยกินยาที่มีผลตอ่ การทาางานของไต เช่น NSAIDs

ซ่ึงผล serum creatinine ไม่ควรเกิน 1.5 mg% หรือจะใชผ้ ล eGFR ในการพิจารณาก็ได้ โดยไมค่ วรต่ากวา่ 60
mL/min/1.73 m2 ในการตรวจท่ีตอ้ งฉีดสารทึบรังสีเขา้ สู่หลอดเลือดแดง และไม่ควรต่ากวา่ 45 mL/min/1.73
m2 โดยตอ้ งเจาะ Serum Creatinine ทุกรายภายใน 3 เดือน และทุก 1 เดือนในผปู้ ่ วยกลุ่มเส่ียงต่อการไดร้ ับสาร
ทึบรังสี

ในการตรวจที่ตอ้ งฉีดสารทึบรังสีเขา้ สู่หลอดเลือดดาในกรณีท่ีมีประวตั ิความเส่ียงต่อไตวายใหร้ ังสีแพทย์
พิจารณาวา่ มีความจาเป็ นจะตอ้ งตรวจตอ่ ไปหรือไม่ อาจจะพิจารณาใหต้ รวจต่อแตไ่ ม่ฉีดสารทึบรังสี หรือ
เปลี่ยนไปตรวจดว้ ยวธิ ีอื่นๆ ท้งั น้ีใหป้ ระสานงานกบั แพทยเ์ จา้ ของไขใ้ นกรณีที่จาเป็ นตอ้ งฉีดสารทึบรังสี ใน
ผปู้ ่ วยที่มีประวตั ิความเส่ียงต่อไตวายจะตอ้ งใหส้ ารน้าแก่ผปู้ ่ วยก่อนการตรวจโดยใหป้ ระสานงานกบั อายรุ แพทย์
ผเู้ ช่ียวชาญทางดา้ นโรคไต และควรปฏิบตั ิดงั น้ี

●การใหส้ ารน้าทางหลอดเลือดดาคือให้ 0.9% saline solution ดว้ ยอตั รา 100 มิลลิลิตรต่อชวั่ โมง โดยเริ่มให้
ก่อนการตรวจ 4 ชวั่ โมงและใหต้ อ่ ไปจนครบ 24 ชวั่ โมงหลงั การฉีดสารทึบรังสี สามารถปรับอตั ราการใหไ้ ด้
ตามความเหมาะสม

●การใหโ้ ดยการดื่มทางปากคือใหด้ ื่มน้า หรือsoft drinks ก่อนการตรวจประมาณ 500 มิลลิลิตรและหลงั การ
ตรวจ ใหด้ ่ืมต่ออีก 2,500มิลลิลิตรภายใน 24 ชวั่ โมง

●การเลือกการใหส้ ารน้าสามารถใหท้ างหลอดเลือดดา หรือให้โดยการให้ด่ืมทางปากเพยี งอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
เท่าน้นั

●ใหง้ ดยาท่ีจะไปเพ่มิ ความเส่ียงตอ่ ไตเช่น gentamicin,NSAIDs, furosemide, mannitol อยา่ งนอ้ ย 24 ชวั่ โมง
ก่อน การฉีดสารทึบรังสีในกรณีที่มีประวตั ิโรคเบาหวาน และมีปัญหาเรื่องไตร่วมกไั ดร้ ับการรักษาดว้ ย
metformin ควรปฏิบตั ิดงั น้ี

1. งด metformin 48 ชวั่ โมงก่อนการฉีดสารทึบรังสี

2. เริ่มให้ metformin ไดห้ ลงั การฉีดสารทึบรังสีไปแลว้ 48 ชวั่ โมง และสามารถเริ่มใหไ้ ้้ดก้ ็ตอ่ เมื่อผล
serum creatinine เป็นปกติ

5. ใหข้ อ้ มูลผปู้ ่ วย และญาติ เกี่ยวกบั วธิ ีการ ข้นั ตอนการตรวจ ท้งั ก่อน ขณะ และหลงั ตรวจเสร็จ ตลอดจนการ
ปฏิบตั ิตวั เม่ือกลบั บา้ น เปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ ่ วย และญาติซกั ถาม เพ่ือใหผ้ ปู้ ่ วยคลายกงั วล และร่วมมือในการตรวจ

6. ใหผ้ ปู้ ่ วย และญาติลงนามในใบยนิ ยอมรับการตรวจ (Consent form) กรณีผปู้ ่ วยไม่สามารถลงนามไดต้ อ้ งให้
ผปู้ กครอง หรือผทู้ ี่มีสิทธ์ิถูกตอ้ งตามกฎหมายลงนามแทน

7. ใหผ้ ปู้ ่ วยเป็นชุดของโรงพยาบาล และใหถ้ อดเคร่ืองประดบั หรือส่ิงท่ีเป็นโลหะออกก่อนเขา้ ห้องตรวจ

8. ในกรณีผปู้ ่ วยตรวจระบบช่องทอ้ ง ดูแลใหผ้ ปู้ ่ วยดื่มน้าเปล่า หรือสารละลายสารทึบรังสี 2-3% ตามแผนการ
ตรวจ

9. ในกรณีผปู้ ่ วยท่ีตอ้ งไดร้ ับการฉีดสารทึบรังสี ดูแลเปิ ดหลอดเลือดดาดว้ ยเขม็ 18-20 G โดยเลือกหลอดเลือดดา
ที่มีขนาดใหญ่ และทดสอบปลายเขม็ ใหอ้ ยใู่ นหลอดเลือดดาดว้ ยน้าเกลือปราศจากเช้ือ เพ่อื เตรียมสาหรับการฉีด
สารทึบรังสีดว้ ยเคร่ืองอตั โนมตั ิ

10. ในกรณีผปู้ ่ วยท่ีมีประวตั ิเส่ียงตอ่ การเกิดอาการไม่พึงประสงคต์ อ่ การฉีดสารทึบรังสี ดูแลใหไ้ ดร้ ับยาป้ องกนั
การแพ้ (Premedication) ตามคาส่ังแพทย์

การดูแลผู้ป่ วยระหว่างการตรวจด้วยเคร่ืองตรวจเอก็ ซเรย์คอมพวิ เตอร์(Computed Tomography: CT scan)

1. ดูแลนาผปู้ ่ วยเขา้ หอ้ งตรวจ ช่วยจดั ท่าของผปู้ ่ วยบนเตียงตรวจตามแผนการตรวจ แนะนาผปู้ ่ วยใหน้ อนนิ่งๆ
และขณะตรวจปฏิบตั ิตามคาแนะนาอยา่ งเคร่งครัดตามเสียงที่ไดย้ นิ จากเครื่องเอก็ ซเรยค์ อมพิวเตอร์
ไดแ้ ก่ หายใจเขา้ และกล้นั ใจน่ิง กล้นั ใจไม่กลืนน้าลายเป็นตน้

2. ทดสอบตาแหน่งปลายเขม็ ซ้าดว้ ยน้าเกลือปราศจากเช้ือ เพือ่ ให้แน่ใจ และป้ องกนั การเกิดภาวะรั่วซึมออก
นอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสี และดูแลใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ ับการฉีดสารทึบรังสีเขา้ ทางหลอดเลือดดาดว้ ยเครื่อง
ฉีดยาอตั โนมตั ิตามแผนการตรวจ และแนะนาผปู้ ่ วยขณะฉีดสารทึบรังสี อาจจะรู้สึกร้อนวบู วาบตามร่างกาย
ประมาณ 1-2 นาที ซ่ึงอาการน้ีจะหายไปไดเ้ อง

3. สังเกตอาการ เฝ้ าระวงั และใหก้ ารพยาบาลผปู้ ่ วยเม่ือมีอาการไม่พึงประสงคจ์ ากการไดร้ ับสารทึบรังสีทาง
หลอดเลือดดา ไดแ้ ก่

3.1 อาการไมพ่ งึ ประสงคช์ นิดเฉียบพลนั จากการแพส้ ารทึบรังสี (Acute adverse reactions)
พบไดภ้ ายใน 1 ชวั่ โมงแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ระดบั

3.1.1 ระดบั นอ้ ย อาการท่ีพบมกั จะหายไดเ้ องไดแ้ ก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มึนงง ตวั ส่นั transient
flushing ผน่ื คนั แน่นจมกู เป็ นตน้ รายงานรังสีแพทย์ สังเกตและเฝ้ าระวงั อาการต่อเนื่องอยา่ งนอ้ ย 30 นาที
อาการเหล่าน้ีโดยมากไม่ตอ้ งการการรักษา ควรใหค้ าแนะนากบั ผปู้ ่ วยเกี่ยวกบั อาการที่เกิดข้ึน

3.1.2 ระดบั ปานกลาง อาการที่พบไดแ้ ก่ ผนื่ ลมพิษท่ีเป็นมากข้ึน ภาวะdiffuse erythema หนา้ บวมโดยไมม่ ี
อาการ dyspnea, ภาวะ mild bronchospasm/wheezing, ภาวะ vagovagal reaction รายงานรังสีแพทยเ์ พื่อพิจารณา
ใหย้ าแกแ้ พ้ เช่น Chlopheniramine 10 mg หรือDexamethasone 5 mg ฉีดเขา้ ทางหลอดเลือดดา และสังเกตอาการ
ต่ออยา่ งนอ้ ย 30 นาทีอยา่ งใกลช้ ิดวา่ อาการเปล่ียนแปลงไปสู่ระดบั ที่รุนแรงข้ึนไปอีกหรือไม่
3.1.3 ระดบั รุนแรง เป็นระดบั ท่ีมีความเสี่ยงต่อชีวติ ของผปู้ ่ วยซ่ึงไดแ้ ก่ภาวะบวมท้งั ตวั หรือหนา้ บวมโดยมี
dyspnea ร่วมดว้ ย, ภาวะ diffuse erythema ท่ีมีความดนั โลหิตต่า, ภาวะ laryngeal edema ที่มี stridor

ภาวะwheezingท่ีมี hypoxia ชดั เจน, ภาวะ anaphylactoid, ภาวะชกั , ภาวะ arrhythmia จาเป็นตอ้ งไดร้ ับการรักษา
อยา่ งเร่งด่วน รีบรายงานรังสีแพทย์ และใหก้ ารช่วยเหลือตามอาการทนั ที พยาบาลตอ้ งเตรียมรถฉุกเฉิน
และอุปกร์ช่วยฟ้ื นคืนชีพใหพ้ ร้อมใชอ้ ยเู่ สมอ ดูแลใหส้ ารน้าตามแพทยส์ ง่ั กรณีผปู้ ่ วยความดนั ต่า
หากมีอาการหอบเหน่ือย หายใจขดั ใหย้ าขยายหลอดลมไดแ้ ก่ Adrenaline (1:1,000) 0.3 ml ฉีดเขา้ ใตช้ ้นั ผวิ หนงั
หรือ Adrenaline (1:1,000) 0.5 ml ผสมใน NSS 10 ml ฉีดเขา้ ทางหลอดเลือดดาชา้ ๆ หรือพน่ ยา Ventolin 1-2 NB
เป็นตน้ และรับไวใ้ นโรงพยาบาลเพ่อื ติดตามอาการต่อ

3.2 ภาวะรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสี (Extravasation) โดยสังเกตตาแหน่งหลอดเลือดดา และ
คลาบริเวณปลายเขม็ ตรงตาแหน่งของหลอดเลือดดาที่ใชฉ้ ีดสารทึบรังสี พดู คุยกบั ผปู้ ่ วยเพือ่ สอบถามอาการเป็น
ระยะ เพ่อื ประเมินอาการร่ัวซึมออกนอกหลอดเลือด ดาของสารทึบรังสี เม่ือพบวา่ บริเวณปลายเขม็ มีอาการบวม
ตึงผดิ ปกติ หรือผปู้ ่ วยบ่นปวดรุนแรงบริเวรปลายเขม็ หยุดเครื่องฉีดอตั โนมตั ิทนั ที พร้อมท้งั รายงานรังสีแพทย์
เพื่อประเมินความรุนแรงของการร่ัวซึมออกนอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสี และปฏิบตั ิตามดงั น้ี

3.2.1 ดูแลถอดเขม็ ออก

3.2.2 ยกแขน หรือขาท่ีมี extravasation ใหส้ ูงกวา่ ระดบั หวั ใจ

3.2.3 สังเกตอาการนานประมาณ 2-4 ชวั่ โมง โดยดูวา่ ้่มีบวมหรือปวดมากข้ึนหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลง tissue
sensation หรือ perfusionหรือไม่ มี skin ulceration หรือไม่ มี blistering หรือไม่ ซ่ึงถา้ มีอาการเหล่าน้ีใหป้ รึกษา
ศลั ยแพทยต์ กแต่ง

3.2.4 ประคบดว้ ยความเยน็ 15-60 นาที และแนะนาผปู้ ่ วยเมื่อกลบั บา้ นใหป้ ระคบเยน็ ต่อ 3 คร้ังต่อวนั เป็ นเวลา1-
3 วนั หรือจนกวา่ อาการจะดีข้ึน

3.2.5 ใหป้ รึกษาศลั ยแพทยต์ กแตง่ ทุกรายในรายท่ีประเมินวา่ มีปริมาณของ extravasation มากกวา่ 30 มิลลิลิตร
ในกรณีท่ีเป็น ionic contrast media และมากกวา่ 100 มิลลิลิตร ในกรณีท่ีเป็น non-ionic contrast media

3.2.6 ในกรณีท่ีสังเกตอาการแลว้ สามารถใหผ้ ปู้ ่ วยกลบั บา้ นได้ ใหต้ ิดตามโดยการโทรศพั ทอ์ ยา่ งนอ้ ยทุก 24
ชวั่ โมง จนกวา่ อาการจะดีข้ึน แนะนาใหผ้ ปู้ ่ วยสังเกตอาการผดิ ปกติรุนแรงท่ีตอ้ งมาพบแพทยท์ นั ที ไดแ้ ก่ผวิ หนงั
บริเวณดงั กล่าวมีสีซีด เขียวคล้า ปวดมากและมกั เกิดร่วมกบั อาการชา เรียกวา่ ภาวะ Compartment syndrome

3.2.7 ลงบนั ทึกท้งั หมดโดยสมบรู ณ์ลงในเวชระเบียนของผปู้ ่ วย

4. เม่ือผตู้ รวจไดร้ ับการตรวจครบตามแผนการตรวจ ดูแลส่งผปู้ ่ วยที่หอ้ งรอดูอาการ เพ่ือติดตามอาการหลงั ตรวจ

การดูแลผ้ปู ่ วยระยะหลงั ตรวจด้วยเครื่องตรวจเอก็ ซเรย์คอมพวิ เตอร์(Computed Tomography: CT scan)

1. ติดตาม และเฝ้ าระวงั อาการไม่พึงประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสีเขา้ ทางหลอดเลือดดา และภาวะแทรกซอ้ น
จากการตรวจอยา่ งนอ้ ย 30 นาที

2. บนั ทึกสัณญาณชีพ เพ่ือดูการเปล่ียนแปลงหลงั การตรวจ

3. แนะนาใหผ้ ปู้ ่ วยสงั เกตอาการที่ไมพ่ ึงประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสีขณะนงั่ รอสังเกตอาการ หากมีใหร้ ีบ
แจง้ เช่นผน่ื ลมพิษ แน่นหนา้ อก หายใจลาบาก เป็นตน้

4. ใหข้ อ้ มูลผปู้ ่ วยและญาติ เกี่ยวกบั การปฏิบตั ิตวั เม่ือกลบั บา้ น

4.1 สังเกตอาการผดิ ปกติที่ควรมาพบแพทย์ ไดแ้ ก่ปวด บวมแดงบริเวณท่ีสอดเขม็ ฉีดสารทึบรังสี มีไขส้ ูง ผนื่
ลมพษิ ตามร่างกาย แน่นหนา้ อก หายใจลาบาก ปัสสาวะออกนอ้ นกวา่ ปกติ ปัสสาวะลาบากเป็นตน้

4.2 สามารถรับประทานอาหารไดต้ ามปกติ และควรด่ืมน้าอยา่ งนอ้ ย 1.5- 2 ลิตรภายใน 24 ชวั่ โมง (ในรายท่ีไม่มี
ขอ้ จากดั ) เพ่ือช่วยขบั สารทึบรังสีออกทางปัสสาวะ

4.3 ภายใน 24 ชวั่ โมง ภายหลงั จากการฉีดสารทึบรังสีไม่ควรตรวจเลือดและปัสสาวะ เพราะสารทึบรังสีสามารถ
ทาใหผ้ ลเลือด และผลปัสสาวะผดิ เพ้ยี นได้

4.4 ถา้ ผปู้ ่ วยตอ้ งตรวจทางดา้ นเวชศาสตร์นิวเคลียร์ต่อ เช่น bone scan หรือred blood cell scan ควรทาการตรวจ
ภายหลงั จากการฉีดสารทึบรังสีไปแลว้ 24 ชว่ั โมง

4.5 ภายหลงั การฉีดสารทึบรังสี ใน2 เดือนไมค่ วรตรวจต่อมไทรอยดด์ ว้ ยสารกมั มนั ตภาพ หรือรักษามะเร็งต่อม
ไทรอยดด์ ว้ ยสารกมั มนั ตภาพรังสี เพราะไอโอดีนในรูปแบบอิสระจะรบกวนการตรวจและการรักษา

การตรวจด้วยเคร่ืองตรวจสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้ า (MRI)

Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI คือเครื่องมือที่ใชส้ าหรับสร้างภาพอวยั วะภายในร่างกาย โดยอาศยั
หลกั การของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ าและคลื่นวทิ ยุ แลว้ นาสัญญาณที่ไดม้ าประมวลผลดว้ ยคอมพวิ เตอร์ ทาใหไ้ ด้
ภาพอวยั วะภายในของร่างกาย เช่น สมอง กระดูกสันหลงั ตบั ไต ขอ้ ที่มีความคมชดั สามารถแยกเน้ือเยอ่ื ของ
ร่างกายที่ปกติและที่ผดิ ปกติออกจากกนั ได้

ข้อบ่งชี้และข้อดีในการใช้ MRI

1. MRI สามารถใหภ้ าพท่ีแยกความแตกตา่ งระหวา่ งเน้ือเยอ่ื ตา่ งๆ ไดช้ ดั เจน ทาใหม้ ีความถูกตอ้ งแม่นยาในการ
วนิ ิจฉยั โรคมากยงิ่ ข้ึน อีกท้งั สามารถทาการตรวจไดใ้ นทุกๆระนาบ ไมใ่ ช่เฉพาะแนวขวางอยา่ งเอกซเรย์
คอมพวิ เตอร์

2. ใชไ้ ดด้ ีกบั ส่วนที่ไมใ่ ช่กระดูก (non bony parts) คือเน้ือเยอ่ื (soft tissues) โดยเฉพาะ สมอง เส้นประสาทไข
สนั หลงั และเส้นประสาทในร่างกาย (CT scan ดูภาพกระดูกไดด้ ีกวา่ )

3. ใชไ้ ดด้ ีกบั กลา้ มเน้ือ เส้นเอน็ ยดึ กระดูกและกลา้ มเน้ือ

4. สามารถตรวจเส้นเลือดไดโ้ ดย ไมต่ อ้ งเสี่ยงกบั การฉีดสารทึบรังสี

5. ไม่ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ เน้ือเยอื่ เหมือนใน CT scan เพราะไม่ใชค้ ล่ืนรังสี

แตใ่ นแผนการตรวจยงั จาเป็นตอ้ งฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม (Gadolinium) เขา้ ทางหลอดเลือดดาดว้ ย
เคร่ืองฉีดยาอตั โนมตั ิ (Automatic injector) เพอ่ื ช่วยใหเ้ ห็นพยาธิสภาพของโรคชดั เจนข้ึน

การดูแลผู้ป่ วยระยะก่อนการตรวจด้วยเคร่ืองสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้ า เพอ่ื เตรียมความพร้อมผ้ปู ่ วยท้งั ด้านร่างกาย
และจิตใจ

1. ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล กบั ใบส่งตรวจ เพื่อป้ องกนั การตรวจผดิ คน และตาแหน่ง

2.ประเมินสภาพผปู้ ่ วย สญั ญาณชีพ เพือ่ คดั กรองผปู้ ่ วยเขา้ รับการตรวจ หรือตามความจาเป็นเร่งด่วนในกลุ่ม
ผปู้ ่ วยวกิ ฤต

3. การซกั ประวตั ิผปู้ ่ วย โดยสอบถามเกี่ยวกบั

- การงดอาหารทุกชนิด โดยทว่ั ไปไมต่ อ้ งงดอาหารและน้าดื่มก่อนการตรวจ ยกเวน้ ผปู้ ่ วยที่ไดร้ ับการตรวจระบบ
ช่องทอ้ ง (MRI Whole /Upper abdomen) ตอ้ งงดอาหารทุกชนิดทางปากอยา่ งนอ้ ย 4-6 ชว่ั โมงก่อนตรวจ ยกเวน้
น้าเปล่า

- ซกั ประวตั ิการต้งั ครรภ์ หรือวนั แรกของการมีประจาเดือนคร้ังสุดทา้ ย (Last Menstrual Period: LMP) ในกลุ่ม
ผปู้ ่ วยหญิงวยั เจริญพนั ธุ์

- ซกั ประวตั ิความเสี่ยงที่อาจทาใหเ้ กิดผลขา้ งเคียงจากอาหารที่ไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสีชนิด
แกดโดลิเนียม ประวตั ิเส่ียงท่ีควรจะตอ้ งซกั ถามมีดงั ต่อไปน้ี

●เคยมีประวตั ิแพส้ ารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมมาก่อนหรือไม่

●โรคหอบหืด

●โรคภูมิแพท้ ่ีขณะน้ีไดร้ ับการรักษาอยหู่ รือไม่

ในกรณีที่มีประวตั ิความเสี่ยงต่อการแพส้ ารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมคือ โรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้
ที่ขณะน้ีไดร้ ับการรักษาอยู่ รังสีแพทยอ์ าจพิจารณาวา่ มีความจาเป็นจะตอ้ งตรวจต่อไปหรือไม่ อาจจะพิจารณาให้
ตรวจต่อแต่ไมฉ่ ีดสารเปรียบเทียบความชดั หรือเปล่ียนไปตรวจดว้ ยวธิ ีอ่ืน รังสีแพทยป์ ระสานงานกบั แพทย์
เจา้ ของไข้ การป้ องกนั ดว้ ย steroidสามารถทาได้ แตย่ งั ไมม่ ีขอ้ สรุปที่ชดั เจนเกี่ยวกบั ผลลพั ธ์ของการป้ องกนั
วา่ ไดผ้ ลหรือไม่ การให้ steroid ไมว่ า่ จะใหใ้ นรูปแบบการกินหรือการฉีด ผลการป้ องกนั ของ steroid
จะไม่มีถา้ ช่วงระยะเวลาท่ีใหs้ teroid นอ้ ยกวา่ 6 ชว่ั โมงก่อนการฉีด MR contrast media

ในกรณีที่มีประวตั ิแพส้ ารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมในระดบั กลาง หรือระดบั รุนแรง เช่นเป็นผนื่ คนั ท่ีตอ้ งฉีด
ยาแกแ้ พห้ ลงั ฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม มีอาการหดเกร็งของหลอดลม มีความดนั ตก ชกั หวั ใจวาย
หวั ใจลม้ เหลว ใหห้ ลีกเลี่ยงการฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม อาจจะพจิ ารณาใหต้ รวจต่อแต่ไม่ฉีดสารทึบ
รังสีชนิดแกดโดลิเนียม หรือเปลี่ยนไปตรวจดว้ ยวธิ ีอื่นๆ ท้งั น้ีใหร้ ังสีแพทยป์ ระสานงานกบั แพทยเ์ จา้ ของไข้

4. ตรวจสอบผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ ไดแ้ ก่ค่า Serum Creatinine และ eGFR เพอ่ื ป้ องกนั และลดการ
เกิดภาวะการทางานของไตลดลงภายหลงั การไดส้ ารทึบรังสี (Contrast Induced Nephropathy: CIN) แต่
ผลขา้ งเคียงท่ีเกิดข้ึนกบั ไตเกิดข้ึนคอ่ นขา้ งต่าเนื่องจากปริมาณที่ฉีดค่อนขา้ งนอ้ ยเมื่อเปรียบเทียบกบั สารทึบรังสี
โดยมีความเส่ียงที่กลุ่ม diabetic nephropathy และ กลุ่มผปู้ ่ วยที่มีการทางานของไตที่ไมด่ ี และเพอื่ ป้ องกนั
และลดการเกิดภาวะ Nephrogenic systermic fibrosis (NSF) มกั พบในผปู้ ่ วยท่ีมีการทาางานของไตท่ีผิดปกติ
และสัมพนั ธ์กบั ระดบั การทาางานของไตคา่ eGFR ที่ต่ากวา่ 30 mL/min/1.73 m2 จะเพ่มิ โอกาสที่จะเกิด NSF
มากข้ึน อาการทางผวิ หนงั ที่พบในผปู้ ่ วย ไดแ้ ก่ อาการคนั ความรู้สึกร้อน (burning sensation) อาการปวด บวม,
อาการ tightness, อาการ paresthesiaและ joint stiffness ตาแหน่งของผวิ หนงั ที่พบมากโดยเรียงตามลาดบั ไดแ้ ก่
ขา แขน มือ เทา้ และลาตวั พบนอ้ ยที่บริเวณกน้ และใบหนา้ ในผปู้ ่ วยท่ีมีอาการรุนแรงจะพบวา่ มีปัญหาทางดา้ น
การเคล่ือนไหว(immobility) และมี contracture ของขอ้ ต่อและมีรายงานถึงการเสียชีวติ ในกรณีท่ีผปู้ ่ วยมีการทาา
งานของไตที่ไม่ดีรังสีแพทยอ์ าจพิจารณาวา่ มีความจาเป็นจะตอ้ งตรวจตอ่ ไปหรือไม่ อาจจะพจิ ารณาใหต้ รวจ
ต่อแต่ไม่ฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม หรือเปลี่ยนไปตรวจดว้ ยวธิ ีอื่นๆ

5. ประเมินความเสี่ยงและความปลอดภยั ต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้ า (MRI risk assessment) โดยการซกั ประวตั ิ
เก่ียวกบั การผา่ ตดั ใส่โลหะในร่างกาย และประวตั ิจากแฟ้ มเวชระเบียน ไดแ้ ก่การผา่ ตดั ใส่เครื่องช่วยกระตุน้
หวั ใจ (cardiac pacemaker), การผา่ ตดั ใส่ Metallic clip, การผา่ ตดั เปล่ียนอวยั วะ เช่น cochlear implant, การมีส่ง
แปลกปลอมที่เป็นโลหะอยใู่ นร่างกาย เช่นขอ้ เทียมต่างๆ โลหะดามกระดูก กระสุนปื น เป็นตน้ ผปู้ ่ วยท่ีกลวั ที่
แคบ รวมถึงการต้งั ครรภใ์ นระยะ 3 เดือนแรกเม่ือพบรายงานรังสีแพทย์ เพ่ือพิจารณาการเขา้ ตรวจ หรือส่งตรวจ
ดว้ ยวธิ ีการอ่ืน

6. ใหข้ อ้ มูลผปู้ ่ วย และญาติ เกี่ยวกบั วธิ ีการ ข้นั ตอนการตรวจ ท้งั ก่อน ขณะ และหลงั ตรวจเสร็จ ตลอดจนการ
ปฏิบตั ิตวั เมื่อกลบั บา้ น เปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ ่ วย และญาติซกั ถาม เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่ วยคลายกงั วล และร่วมมือในการตรวจ

7. ใหผ้ ปู้ ่ วย และญาติลงนามในใบยนิ ยอมรับการตรวจ (Consent form) กรณีผปู้ ่ วยไมส่ ามารถลงนามไดต้ อ้ งให้
ผปู้ กครอง หรือผทู้ ี่มีสิทธ์ิถูกตอ้ งตามกฎหมายลงนามแทน

8. ใหผ้ ปู้ ่ วยเป็นชุดของโรงพยาบาล และใหถ้ อดเครื่องประดบั หรือส่ิงท่ีเป็นโลหะออกก่อนเขา้ ห้องตรวจ

9. ในกรณีผปู้ ่ วยท่ีตอ้ งไดร้ ับการฉีดสารทึบรังสี ดูแลเปิ ดหลอดเลือดดาดว้ ยเขม็ 18-22 G โดยเลือกหลอดเลือดดา
ที่มีขนาดใหญ่ และทดสอบปลายเขม็ ใหอ้ ยใู่ นหลอดเลือดดาดว้ ยน้าเกลือปราศจากเช้ือ เพื่อเตรียมสาหรับการฉีด
สารทึบรังสีดว้ ยเคร่ืองอตั โนมตั ิ

10. ในกรณีผปู้ ่ วยที่มีประวตั ิเส่ียงตอ่ การเกิดอาการไมพ่ งึ ประสงคต์ ่อการฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม
ดูแลใหไ้ ดร้ ับยาป้ องกนั การแพ้ (Premedication) ตามคาส่งั แพทย์

การดูแลผ้ปู ่ วยระหว่างการตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้ า

1. ดูแลนาผปู้ ่ วยเขา้ หอ้ งตรวจ ช่วยจดั ท่าของผปู้ ่ วยบนเตียงตรวจตามแผนการตรวจ

2. แนะนาใหผ้ ปู้ ่ วยนอนน่ิงๆ และปฏิบตั ิตามคาแนะนาอยา่ งเคร่งครัด ขณะตรวจจะไดย้ นิ เสียงดงั เป็นระยะๆ
จากการทางานของเครื่อง MRI และแนะนาการใช้ Emergency call balloon หากมีอาการผดิ ปกติขณะตรวจ เช่น
แน่นอึดอดั หายใจลาบาก หรือตอ้ งการติดต่อเจา้ หนา้ ที่

3. หากมีการฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม เตรียมสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมดว้ ยเคร่ืองฉีดยาอตั โนมตั ิ
ตามคาสัง่ แพทยโ์ ดยคานวณขนาด 0.1-0.2 mmol/kg. ทดสอบตาแหน่งปลายเขม็ ดว้ ยน้าเกลือปราศจากเช้ือ
เพื่อใหแ้ น่ใจ และป้ องกนั การเกิดภาวะร่ัวซึมออกนอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม ดูแลให้
ผปู้ ่ วยไดร้ ับการฉีดสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมเขา้ ทางหลอดเลือดดาดว้ ยเครื่องฉีดยาอตั โนมตั ิตามแผนการ
ตรวจ

4. สังเกตอาการ เฝ้ าระวงั และใหก้ ารพยาบาลผปู้ ่ วยเม่ือมีอาการไม่พึงประสงคจ์ ากการไดร้ ับสารทึบรังสีชนิด
แกดโดลิเนียม ไดแ้ ก่

4.1 อาการไม่พึงประสงคจ์ ากการแพส้ ารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม แบ่งเป็ น 3 ระดบั เช่นเดียวกบั การฉีดสารทึบ
รังสีท่ีใชใ้ นการตรวจเอก็ ซเรยค์ อมพวิ เตอร์

4.2 ภาวะรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียม (Extravasation) หากเกิดอาการ
ดงั กล่าวใหด้ ูแลเช่นเดียวกบั การดูแลเมื่อเกิดภาวะร่ัวซึมออกนอกหลอดเลือดดาของสารทึบรังสีท่ีใชใ้ นการตรวจ

เอก็ ซเรยค์ อมพิวเตอร์ แต่โอกาสเกิดภาวะ Compartment syndrome จะนอ้ ยกวา่ การรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดดา
ของสารทึบรังสี

5. เมื่อผตู้ รวจไดร้ ับการตรวจครบตามแผนการตรวจ ดูแลส่งผปู้ ่ วยที่หอ้ งรอดูอาการ เพื่อติดตามอาการหลงั ตรวจ

การดูแลผ้ปู ่ วยระยะหลงั การตรวจด้วยเคร่ืองสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้ า

1. ติดตาม และเฝ้ าระวงั อาการไม่พึงประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสีเขา้ ทางหลอดเลือดดา และภาวะแทรกซอ้ น
จากการตรวจอยา่ งนอ้ ย 30 นาที

2. บนั ทึกสัณญาณชีพ เพ่ือดูการเปลี่ยนแปลงหลงั การตรวจ

3. แนะนาใหผ้ ปู้ ่ วยสงั เกตอาการท่ีไม่พงึ ประสงคจ์ ากการฉีดสารทึบรังสีขณะนงั่ รอสงั เกตอาการ หากมีให้รีบ
แจง้ เช่นผนื่ ลมพษิ แน่นหนา้ อก หายใจลาบาก เป็นตน้

4. ใหข้ อ้ มูลผปู้ ่ วยและญาติ เก่ียวกบั การปฏิบตั ิตวั เม่ือกลบั บา้ น

4.1 สังเกตอาการผิดปกติท่ีควรมาพบแพทย์ ไดแ้ ก่ปวด บวมแดงบริเวณท่ีสอดเขม็ ฉีดสารทึบรังสี มีไขส้ ูง ผนื่
ลมพิษตามร่างกาย แน่นหนา้ อก หายใจลาบาก ปัสสาวะออกนอ้ นกวา่ ปกติ ปัสสาวะลาบากเป็นตน้

4.2 สามารถรับประทานอาหารไดต้ ามปกติ และควรดื่มน้าอยา่ งนอ้ ย 1.5- 2 ลิตรภายใน 24 ชว่ั โมง (ในรายท่ีไมม่ ี
ขอ้ จากดั ) เพ่อื ช่วยขบั สารทึบรังสีชนิดแกดโดลิเนียมออกทางปัสสาวะ

จะเห็นไดก้ ารดูแลผปู้ ่ วยที่มารับการตรวจวนิ ิจฉยั ดว้ ยเครื่องตรวจเอก็ ซเรยค์ อมพิวเตอร์ (Computed
Tomography: CT scan) และเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้ า (Magnetic resonance imaging: MRI) พยาบาลมีบทบาท
สาคญั ในการดูแลผปู้ ่ วยท้งั ในระยะก่อนตรวจ ระหวา่ งตรวจ และหลงั ตรวจ เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ ับความปลอดภยั ไม่
เกิดภาวะแทรกซอ้ นตลอดการตรวจ และปลอดภยั จากตรวจ


Click to View FlipBook Version