1
ใบงานท่ี 1.1
เรือ่ ง การรบั รแู้ ละการตอบสนองของสัตวไ์ ม่มกี ระดกู สนั หลัง
ช่ือ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6/........
วิชาชีววทิ ยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำชแ้ี จง ให้นกั เรยี นนำชอื่ ของส่ิงมีชวี ิตท่ีกำหนดให้ เติมลงในแต่ละขอ้ ให้สัมพนั ธ์กัน
ไฮดรา พารามีเซียม หมกึ ไสเ้ ดือนดนิ ดาวทะเล
1. เส้นใยประสาท (coordinating fiber) ทาหน้าที่ 2. วงประสาท (nerve ring) อยู่รอบปาก เป็น
รับ-ส่งความรู้สึก และควบคุมการพัดโบกของ ศูนย์กลางของระบบประสาทติดต่อกับร่างแห
ซเิ ลียใหเ้ กิดข้นึ พรอ้ มกนั ขณะมกี ารเคลื่อนที่ ประสาททวั่ ลาตวั
............................................................................ ............................................................................
3. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาท 4. ปมประสาทมี 3 คู่ คือ ปมประสาทบริเวณหัว
(nerve ganglion) ที่มีขนาดใหญ่ ทาหน้าท่ี 1 คู่ บริเวณทางเดินอาหาร 1 คู่ และบริเวณขา
เป็นศูนย์กลางของระบบประสาท และมี 1 คู่ มีอวยั วะรับกลิน่ อวยั วะรับความรสู้ ึกในการ
เส้นประสาททางด้านท้อง (ventral nerve ทรงตัว และมเี ลนส์ตา
cord) 2 เสน้ เชอื่ มตดิ กนั ทอดยาวตลอดลาตัว
............................................................................ ............................................................................
5. ร่างแหประสาท (nerve net) สามารถเชื่อมโยง ............................................................................
ได้ทุกทิศทาง เม่ือมีส่ิงเร้ากระตุ้นท่ีจุดใดจุดหนึ่ง
ของลาตัว จะเกิดกระแสประสาทเคล่ือนท่ี
ไปตามเซลล์ประสาทที่ประสานกันเป็นร่างแห
ในทกุ ทิศทางกระจายไปทั่วท้ังลาตวั
2
เฉลยใบงานที่ 1.1
เรื่อง การรบั รู้และการตอบสนองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ช่ือ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6/........
วชิ าชีววิทยา วันเดอื นปี ...........................................
คำชแ้ี จง ให้นักเรียนนำชื่อของสิ่งมีชีวิตที่กำหนดให้ เติมลงในแตล่ ะขอ้ ใหส้ ัมพนั ธก์ นั
ไฮดรา พารามีเซยี ม หมึก ไสเ้ ดือนดิน ดาวทะเล
1. เสน้ ใยประสาท (coordinating fiber) ทาหนา้ ที่ 2. วงประสาท (nerve ring) อยู่รอบปากเป็น
รับ-ส่งความรู้สึก และควบคุมการพัดโบกของ ศูนย์กลางของระบบประสาท ติดต่อกับร่างแห
ซเิ ลยี ให้เกดิ ขนึ้ พร้อมกันขณะมกี ารเคล่อื นท่ี ประสาททัว่ ลาตัว
.............................พ...า..ร..า..ม..เี .ซ...ีย..ม.............................. .....................................ด...า..ว..ท..ะ..เ..ล..........................
3. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาท 4. ปมประสาทมี 3 คู่ คือ ปมประสาทบริเวณหัว
(nerve ganglion) ที่มีขนาดใหญ่ ทาหน้าท่ี 1 คู่ บริเวณทางเดินอาหาร 1 คู่ และบริเวณขา
เป็นศูนย์กลางของระบบประสาท และมี 1 คู่ มีอวัยวะรบั กล่ิน อวยั วะรบั ความรสู้ ึกในการ
เส้นประสาททางด้านท้อง (ventral nerve ทรงตวั และมีเลนส์ตา
cord) 2 เส้น เชือ่ มตดิ กนั ทอดยาวตลอดลาตัว
...................................ห...ม...ึก...................................
..............................ไ..ส..้เ.ด...อื ..น...ด..ิน...............................
5. ร่างแหประสาท (nerve net) สามารถเช่ือมโยง ........................................ไ..ฮ..ด...ร..า...........................
ได้ทุกทิศทาง เม่ือมีส่ิงเร้ากระตุ้นที่จุดใดจุดหน่ึง
ของลาตัว จะเกิดกระแสประสาทเคล่ือนที่
ไปตามเซลล์ประสาทท่ีประสานกันเป็นร่างแห
ในทกุ ทศิ ทางกระจายไปทวั่ ทง้ั ลาตัว
3
ใบงานท่ี 1.2
เรื่อง โครงสรา้ งของเซลล์ประสาท
ช่ือ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6/........
วิชาชีววิทยา วนั เดือนปี ...........................................
คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบคำถำมตอ่ ไปนี้
1. เซลลป์ ระสาททาหนา้ ทอี่ ะไร
เซลล์ประสาท (nerve cell) ทาหน้าท่ีเกี่ยวกับเกี่ยวกับการรับรู้และการตอบสนอง แต่ละเซลล์อาจมีการ
เช่อื มโยงเกี่ยวพันกบั เซลลป์ ระสาทอน่ื เปน็ จานวนมาก ซึ่งสามารถทางานเก่ียวกับการรับสง่ สัญญาณระหว่าง
สง่ิ เร้าภายนอกกับภายในได้อยา่ งเป็นระบบ.....................................................................................................
2. nissl body ทาหนา้ ท่ีอะไร
nissl body ทาหน้าที่สรา้ งโปรตีนบางชนดิ สาหรบั ใช้ในการทางานของเซลลป์ ระสาท.....................................
3. ใยประสาทมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีหน้าท่ีและลักษณะต่างกันอย่างไร และเส้นประสาทหมายถึงใยประสาท
ชนิดใด
ใยประสาท (nerve fiber) มี 2 ชนิด คอื เดนไดรต์ (dendrite) เปน็ ใยประสาทที่นากระแสประสาทเขา้ สู่ตัว
เซลล์ ซึ่งเป็นส่วนของไซโทพลาซึมที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ มีความยาวไม่มาก มีการแตกแขนงเล็ก ๆ จานวน
มาก พื้นผิวมีลักษณะขรุขระ บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์มีโปรตีนท่ีเป็นตัวรับสารส่ือประสาทฝังอยู่ และแอกซอน
(axon) เป็นใยประสาทที่นากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ ซ่ึงเป็นสว่ นท่ียื่นจากตัวเซลล์ตรงจุดที่เรียกว่า
axon hillock เพียงเส้นเดียว แอกซอนมีความยาวมากกว่า 2 เมตร จึงอาจเรียกว่า เส้นประสาท (nerve
fi.......................................................................................................................................................................
4. เย่อื หมุ้ ไมอลี นิ (myelin sheath) สร้างข้ึนจากเซลลช์ นิดใด และมสี ารใดเปน็ องคป์ ระกอบ
เย่ือหุ้มไมอีลิน (myelin sheath) สร้างข้ึนจากเซลล์ชวันน์ (Schwann Cell) และมีสารจาพวกลิพิดเป็น
องคป์ ระกอบ................................................................................................................... .................................
5. แอกซอนที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีความหนาของเย่ือหุ้มไมอีลินและช่วงห่างระหว่างโนดออฟแรนเวียร์
ตา่ งกนั อย่างไร
แอกซอนท่ีมีขนาดใหญ่จะมีความหนาของเยื่อหุ้มไมอีลินมากกว่าและช่วงห่างระหว่างโนดออฟแรนเวียร์
กว้างกว่าแอกซอนท่ีมขี นาดเล็ก........................................................................................................................
4
เฉลยใบงานท่ี 1.2
เรื่อง โครงสรา้ งของเซลล์ประสาท
ช่อื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6/........
วชิ าชีววทิ ยา วันเดอื นปี ...........................................
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรียนตอบคำถำมต่อไปนี้
1. เซลล์ประสาททาหนา้ ทีอ่ ะไร
เซลล์ประสาท (nerve cell) ทาหน้าที่เกี่ยวกับเกี่ยวกับการรับรู้และการตอบสนอง แต่ละเซลล์อาจมีการ
เชือ่ มโยงเกี่ยวพันกบั เซลลป์ ระสาทอ่ืนเป็นจานวนมาก ซง่ึ สามารถทางานเกี่ยวกับการรบั ส่งสัญญาณระหวา่ ง
สงิ่ เรา้ ภายนอกกบั ภายในได้อยา่ งเปน็ ระบบ.....................................................................................................
2. nissl body ทาหน้าท่อี ะไร
nissl body ทาหนา้ ท่สี รา้ งโปรตีนบางชนดิ สาหรับใช้ในการทางานของเซลลป์ ระสาท.....................................
3. ใยประสาทมีก่ีชนิด แต่ละชนิดมีหน้าท่ีและลักษณะต่างกันอย่างไร และเส้นประสาทหมายถึงใยประสาท
ชนดิ ใด
ใยประสาท (nerve fiber) มี 2 ชนิด คือ เดนไดรต์ (dendrite) เปน็ ใยประสาทท่ีนากระแสประสาทเขา้ สู่ตัว
เซลล์ ซ่ึงเป็นส่วนของไซโทพลาซึมท่ียื่นออกจากตัวเซลล์ มีความยาวไม่มาก มีการแตกแขนงเล็ก ๆ จานวน
มาก พื้นผิวมีลักษณะขรุขระ บริเวณเย่ือหุ้มเซลล์มีโปรตีนท่ีเป็นตัวรับสารสื่อประสาทฝังอยู่ และแอกซอน
(axon) เป็นใยประสาทท่ีนากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ ซึ่งเป็นสว่ นที่ย่ืนจากตัวเซลล์ตรงจุดที่เรียกว่า
axon hillock เพียงเส้นเดียว แอกซอนมีความยาวมากกว่า 2 เมตร จึงอาจเรียกว่า เส้นประสาท (nerve
fiber)................................................................................................................................................................
4. เย่ือหมุ้ ไมอีลนิ (myelin sheath) สรา้ งขึ้นจากเซลล์ชนิดใด และมีสารใดเปน็ องคป์ ระกอบ
เยื่อหุ้มไมอีลิน (myelin sheath) สร้างขึ้นจากเซลล์ชวันน์ (Schwann Cell) และมีสารจาพวกลิพิดเป็น
องค์ประกอบ....................................................................................................................................................
5. แอกซอนที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีความหนาของเย่ือหุ้มไมอีลินและช่วงห่างระหว่างโนดออฟแรนเวียร์
ตา่ งกันอยา่ งไร
แอกซอนท่ีมีขนาดใหญ่จะมีความหนาของเยื่อหุ้มไมอีลินมากกว่าและช่วงห่างระหว่างโนดออฟแรนเวียร์
กว้างกว่าแอกซอนทม่ี ีขนาดเล็ก........................................................................................................................
5
ใบงานที่ 1.3
เร่อื ง ชนดิ ของเซลล์ประสาท
ชือ่ ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/........
วชิ าชีววทิ ยา วันเดือนปี ...........................................
คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำมที่ถูกต้อง และเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำม
ทไ่ี มถ่ กู ต้อง พรอ้ มทัง้ แก้ไขให้ถกู ต้อง
............ 1. การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหน่ึงเซลล์เป็นเกณฑ์
แบง่ ออกเป็นเซลล์ประสาทขว้ั เดยี ว เซลล์ประสาทสองข้วั และเซลล์ประสาทสามขวั้
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหน่ึงเซลล์เป็นเกณฑ์แบ่ง
ออกเป็นเซลล์ประสาทข้วั เดยี ว เซลลป์ ระสาทสองขว้ั และเซลลป์ ระสาทหลายข้ัว......................
............ 2. เซลล์ประสาทขั้วเดียวมีเดนไดรต์ยาวกว่าแอกซอน ส่วนเซลล์ประสาทสองขั้วมีเดนไดรต์
ยาวใกลเ้ คยี งกับแอกซอน
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหนึ่งเซลล์เป็นเกณฑ์แบ่ง
ออกเป็นเซลล์ประสาทขั้วเดียว เซลล์ประสาทสองขั้ว และเซลล์ประสาทหลายข้วั ......................
............ 3. การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้หน้าท่ีเป็นเกณฑ์แบ่งออกเป็นเซลล์ประสาท
รบั ความรสู้ ึก เซลลป์ ระสาทประสานงาน และเซลลป์ ระสาทสั่งการ
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหนึ่งเซลล์เป็นเกณฑ์แบ่ง
ออกเป็นเซลล์ประสาทขว้ั เดียว เซลล์ประสาทสองขว้ั และเซลลป์ ระสาทหลายขัว้ ......................
............ 4. เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเช่ือมต่อกับเซลล์ประสาทอ่ืน ๆ ขณะท่ีแอกซอน
ของเซลลป์ ระสาทรับความรู้สกึ เช่อื มต่อกบั เซลล์ประสาทประสานงาน
เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเชื่อมต่อกับหน่วยความรู้สึกหรืออวัยวะรับความรู้สึก
ขณะท่แี อกซอนของเซลล์ประสาทรับความรสู้ ึกเชือ่ มต่อกับเซลล์ประสาทประสานงานหลายขวั้
............ 5. เซลล์ประสาทส่ังการเป็นเซลล์ประสาทหลายขั้วที่มีเดนไดรต์ยาวกว่าแอกซอน ความยาว
ของเดนไดรต์อาจยาวถงึ 1 เมตร เนื่องจากมีตัวเซลลอ์ ยู่ในไขสันหลงั
เซลล์ประสาทส่ังการเป็นเซลล์ประสาทหลายขั้วท่ีมีแอกซอนยาวกว่าเดนไดรต์ ความยาวของ
แอกซอนอาจยาวถงึ 1 เมตร เนื่องจากมีตวั เซลล์อยใู่ นไขสนั หลังหลา..................................ยข้ัว
6
เฉลยใบงานที่ 1.3
เรือ่ ง ชนิดของเซลล์ประสาท
ชื่อ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 6/........
วชิ าชีววทิ ยา วันเดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำมที่ถูกต้อง และเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำม
ทไ่ี ม่ถกู ตอ้ ง พร้อมทั้งแก้ไขให้ถูกตอ้ ง
............ 1. การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหน่ึงเซลล์เป็นเกณฑ์
แบ่งออกเปน็ เซลล์ประสาทขวั้ เดียว เซลลป์ ระสาทสองขวั้ และเซลล์ประสาทสามขัว้
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหน่ึงเซลล์เป็นเกณฑ์
แบ่งออกเป็นเซลลป์ ระสาทขัว้ เดยี ว เซลล์ประสาทสองขวั้ และเซลล์ประสาทหลายข้วั ...............
............ 2. เซลล์ประสาทข้ัวเดียวมีเดนไดรต์ยาวกว่าแอกซอน ส่วนเซลล์ประสาทสองข้ัวมีเดนไดรต์
ยาวใกลเ้ คียงกบั แอกซอน
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหนึ่งเซลล์เป็นเกณฑ์แบ่ง
ออกเป็นเซลลป์ ระสาทขว้ั เดยี ว เซลลป์ ระสาทสองขัว้ และเซลล์ประสาทหลายขั้ว......................
............ 3. การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้หน้าท่ีเป็นเกณฑ์แบ่งออกเป็นเซลล์ประสาท
รับความรู้สึก เซลล์ประสาทประสานงาน และเซลล์ประสาทสงั่ การ
การจาแนกชนิดของเซลล์ประสาทโดยใช้จานวนใยประสาทต่อหน่ึงเซลล์เป็นเกณฑ์แบ่ง
ออกเปน็ เซลล์ประสาทขั้วเดยี ว เซลลป์ ระสาทสองขัว้ และเซลล์ประสาทหลายขัว้ ......................
............ 4. เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทอ่ืน ๆ ขณะที่แอกซอน
ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเชอื่ มต่อกบั เซลล์ประสาทประสานงาน
เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเชื่อมต่อกับหน่วยความรู้สึกหรืออวัยวะรับความรู้สึก
ขณะทแ่ี อกซอนของเซลลป์ ระสาทรบั ความร้สู ึกเชือ่ มต่อกบั เซลลป์ ระสาทประสานงานหลายขัว้
............ 5. เซลล์ประสาทส่ังการเป็นเซลล์ประสาทหลายข้ัวที่มีเดนไดรต์ยาวกว่าแอกซอน ความยาว
ของเดนไดรตอ์ าจยาวถงึ 1 เมตร เน่ืองจากมีตัวเซลลอ์ ยู่ในไขสันหลงั
เซลล์ประสาทสั่งการเป็นเซลล์ประสาทหลายข้ัวที่มีแอกซอนยาวกว่าเดนไดรต์ ความยาว
ของแอกซอนอาจยาวถงึ 1 เมตร เน่ืองจากมีตัวเซลล์อยใู่ นไขสนั หลงั หลา..................................
7
ใบงานที่ 1.4
เร่ือง ระบบประสาทส่วนกลาง
ชอื่ ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 6/........
วชิ าชีววิทยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นตอบคำถำมต่อไปนี้
1. ใหน้ ักเรียนเขียนชอ่ื และหนา้ ที่ของส่วนประกอบของสมอง
ก
ข
ค
ช
ฉ
จ
ง
สว่ นประกอบ หน้าท่ี
ก. ............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
ข. ............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
ค. .............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
8
สว่ นประกอบ หน้าที่
ง. .............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
จ. .............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
ฉ. .............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
ช. .............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
..............................................................................................................
2. ให้นักเรยี นเขยี นชือ่ และหน้าท่ีของส่วนประกอบของไขสันหลัง
ก
ขค
สว่ นประกอบ หน้าที่
ก. ............................................. ..............................................................................................................
ข. ............................................. ..............................................................................................................
ค. ............................................. ..............................................................................................................
..............................................................................................................
9
เฉลยใบงานท่ี 1.4
เร่อื ง ระบบประสาทสว่ นกลาง
ช่ือ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6/........
วชิ าชีววทิ ยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี
1. ใหน้ ักเรียนเขยี นช่อื และหน้าท่ีของสว่ นประกอบของสมอง
ก
ข
ค
ช
ฉ
จ
ง
สว่ นประกอบ หนา้ ที่
ก. เซรีบรมั ทาหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความจา สติปัญญา เป็นศูนย์กลางควบคุม
การทางานด้านต่าง ๆ เช่น การรับสัมผัส การพูด การรับรู้ภาษา
การมองเห็น การรับรส การได้ยินเสียง การดมกลิ่น การทางานของ
กลา้ มเนื้อ
ข. ทาลามัส ทาหน้าที่เป็นศูนย์รวมกระแสประสาทท่ีผ่านเข้าออก และแยกกระแส
ประสาทสง่ ไปยังสมองทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั กระแสประสาทนั้น
ค. ไฮโพทาลามสั ทาหน้าท่ีสร้างฮอร์โมนประสาทควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของ
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และเป็นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
การเต้นของหัวใจ ความดันเลือด ความต้องการพื้นฐานของร่างกาย
เช่น นา้ อาหาร การพกั ผ่อน และความต้องการทางเพศ
10
ส่วนประกอบ หน้าที่
ง. เซรเี บลลมั ทาหน้าท่ีประสานการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ราบร่ืน สละสลวย
และเท่ียงตรงทาให้สามารถทางานที่ละเอียดอ่อนได้ และควบคุม
การทรงตัวของร่างกาย
จ. เมดลั ลาออบลองกาตา ทาหนา้ ท่ีเปน็ ศูนยค์ วบคุมการเต้นของหัวใจ การหายใจ ความดันเลอื ด
การกลนื การจาม การสะอกึ การอาเจยี น
ฉ. พอนส์ ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์ควบคุมการเคี้ยว การหลั่งน้าลาย การเคลื่อนไหว
ของใบหน้า และยังเป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างเซรีบรัม
กับเซรเี บลลมั และระหวา่ งเซรีเบลลมั กบั ไขสนั หลงั
ช. สมองสว่ นกลาง ทาหน้าที่ควบคุมการเคล่ือนไหวของนัยน์ตา ทาให้ลูกนัยน์ตากลอก
กล้ิงไปมาและควบคุมการเปิดปิดของรูม่านตาในเวลาที่มีแสงเข้ามา
นอ้ ยหรือมาก
2. ให้นกั เรยี นเขยี นช่ือและหน้าที่ของส่วนประกอบของไขสันหลงั
ก
ขค
สว่ นประกอบ หน้าที่
ก. ปีกบน ทาหนา้ ทรี่ ับความรู้สกึ ส่งไปยังสมอง
ข. ปีกล่าง ทาหน้าที่ส่งกระแสประสาทไปควบคมุ การทางานของหนว่ ยปฏิบัตงิ าน
ค. เน้ือสีขาว ทาหน้าที่เป็นทางผ่านเข้าออกของกระแสประสาทระหว่างไขสันหลัง
กบั สมอง
11
ใบงานท่ี 1.5
เรอ่ื ง ระบบประสาทรอบนอก
ชอ่ื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6/........
วิชาชีววิทยา วันเดือนปี ...........................................
คำชี้แจง ให้นักเรียนจบั ค่คู วำมสัมพนั ธ์โดยนำตวั อกั ษรด้ำนขวำมอื มำเตมิ ดำ้ นหน้ำแต่ละข้อให้ถกู ต้อง
............ 1. เสน้ ประสาทออลแฟกทอรี ก. นาคาสั่งจากสมองส่วนกลางด้านบนไปยัง
(olfactory nerve) กลา้ มเนอ้ื ของลกู ตาบริเวณเบ้าตา
............ 2. เส้นประสาทออพติก ข. รับความรู้สึกจากใบหน้าและฟันไปยังสมอง
(optic nerve) ส่วนเซรีเบลลัม และนาคาส่ังจากสมองไปยัง
ใบหนา้ และฟนั
............ 3. เส้นประสาทออกคูโลมอเตอร์
(oculomotor nerve) ค. รับความรู้สกึ จากหูสว่ นในไปยงั สมองส่วน เมดัล
ลาออบลองกาตา
............ 4. เส้นประสาททรอเคลยี ร์
(trochlear nerve) ง. นาคาสั่งจากสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
ไปยังกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกไหล่และกล้ามเนื้อ
............ 5. เสน้ ประสาทไทรเจมนิ ลั ภายในลาคอ
(trigeminal nerve)
จ. รับความรู้สึกจากคอหอยและตุ่มรับรสบริเวณ
............ 6. เส้นประสาทแอบดเู ซนส์ โคนล้ินไปยังสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
(abducens nerve) และนาคาส่ังจากสมองไปยังคอหอยและต่อม
นา้ ลาย
............ 7. เสน้ ประสาทเฟเซียล
(facial nerve) ฉ. รับความรู้สึกจากเย่ือบุโพรงจมูกไปยังสมอง
สว่ นเซรเี บลลัม
............ 8. เสน้ ประสาทเวสติบูโลโคเคลียร์
(vestibulocochlear nerve) ช. นาคาสั่งจากสมองส่วนกลางด้านบนไปยัง
กลา้ มเนือ้ ของลกู ตาบริเวณเบา้ ตา
............ 9. เสน้ ประสาทกลอสโซฟาริลเจยี ล
(glossopharyngeal nerve) ซ. นาคาสั่งจากสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
ไปยงั ลิน้
ฌ. นาคาส่ังจากสมองส่วนท่ีเช่ือมต่อระหว่างพอนส์
กับเมดัลลาออบลองกาตาไปยังกล้ามเนื้อของ
ลูกตา
............ 10. เส้นประสาทเวกัส 12
(vegus nerve)
ญ. รับความรู้สึกจากเรตินาของลูกตาไปยังสมอง
............ 11. เส้นประสาทสไปนัลแอคเซสซอรี ส่วนเซรบี รัม
(spinal accessory nerve)
ฎ. รับความรู้สึกและตอบสนองระหว่างสมองส่วน
............ 12. เสน้ ประสาทไฮโปกลอสซลั เมดัลลาออบลองกาตากับอวัยวะในช่องอกและ
(hypoglossal nerve) ช่องทอ้ ง
ฏ. รับความรู้สึกจากตุ่มรับรสท่ีปลายล้ินไปยังสมอง
ส่วนเมดัลลาออบลองกาตา และนาคาสั่งจาก
สมองไปยังต่อมนา้ ลาย
13
เฉลยใบงานท่ี 1.5
เรอ่ื ง ระบบประสาทรอบนอก
ช่อื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6/........
วิชาชีววิทยา วันเดือนปี ...........................................
คำช้แี จง ให้นักเรียนจบั ค่คู วำมสมั พนั ธ์โดยนำตวั อักษรด้ำนขวำมอื มำเติมดำ้ นหน้ำแตล่ ะขอ้ ใหถ้ กู ต้อง
.....ฉ....... 1. เส้นประสาทออลแฟกทอรี ก. นาคาส่ังจากสมองส่วนกลางด้านบนไปยัง
(olfactory nerve) กลา้ มเนื้อของลกู ตาบริเวณเบา้ ตา
.....ญ....... 2. เส้นประสาทออพติก ข. รับความรู้สึกจากใบหน้าและฟันไปยังสมอง
(optic nerve) ส่วนเซรีเบลลัม และนาคาส่ังจากสมองไปยัง
ใบหน้าและฟนั
.....ก....... 3. เส้นประสาทออกคูโลมอเตอร์
(oculomotor nerve) ค. รับความรู้สึกจากหูส่วนในไปยังสมองส่วน
เมดลั ลาออบลองกาตา
.....ช....... 4. เส้นประสาททรอเคลียร์
(trochlear nerve) ง. นาคาสั่งจากสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
ไปยังกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกไหล่และกล้ามเนื้อ
.....ข....... 5. เสน้ ประสาทไทรเจมินัล ภายในลาคอ
(trigeminal nerve)
จ. รับความรู้สึกจากคอหอยและตุ่มรับรสบริเวณ
.....ฌ....... 6. เสน้ ประสาทแอบดเู ซนส์ โคนล้ินไปยังสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
(abducens nerve) แ ล ะ น า ค า สั่ ง จ า ก ส ม อ ง ไ ป ยั ง ค อ ห อ ย แ ล ะ
ต่อมนา้ ลาย
.....ฏ....... 7. เส้นประสาทเฟเซียล
(facial nerve) ฉ. รับความรู้สึกจากเย่ือบุโพรงจมูกไปยังสมอง
ส่วนเซรเี บลลมั
.....ค....... 8. เส้นประสาทเวสตบิ ูโลโคเคลียร์
(vestibulocochlear nerve) ช. นาคาส่ังจากสมองส่วนกลางด้านบนไปยัง
กลา้ มเน้ือของลกู ตาบริเวณเบา้ ตา
.....จ....... 9. เส้นประสาทกลอสโซฟารลิ เจยี ล
(glossopharyngeal nerve) ซ. นาคาสั่งจากสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
ไปยงั ลิ้น
ฌ. นาคาสั่งจากสมองส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างพอนส์
กับเมดัลลาออบลองกาตาไปยังกล้ามเนื้อของ
ลกู ตา
.....ฎ....... 10. เสน้ ประสาทเวกัส 14
(vegus nerve)
ญ. รับความรู้สึกจากเรตินาของลูกตาไปยังสมอง
......ง...... 11. เสน้ ประสาทสไปนัลแอคเซสซอรี ส่วนเซรีบรมั
(spinal accessory nerve)
ฎ. รับความรู้สึกและตอบสนองระหว่างสมองส่วน
......ซ...... 12. เสน้ ประสาทไฮโปกลอสซลั เมดัลลาออบลองกาตากับอวัยวะในช่องอกและ
(hypoglossal nerve) ชอ่ งท้อง
ฏ. รับความรู้สึกจากตุ่มรับรสท่ีปลายล้ินไปยังสมอง
ส่วนเมดัลลาออบลองกาตา และนาคาส่ังจาก
สมองไปยังต่อมน้าลาย
15
ใบงานที่ 1.6
เรื่อง การทางานของระบบประสาทส่ังการ
ช่ือ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6/........
วชิ าชีววิทยา วันเดอื นปี ...........................................
คำชแี้ จง ให้นกั เรียนตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี
1. ระบบประสาทโซมาตกิ (SNS) กบั ระบบประสาทอัตโนวัติ (ANS) แตกตา่ งกันอย่างไร
ระบบประสาทโซมาติกมีการทางานอยู่ภายใต้อานาจจิตใจ การส่ังการเกิดข้ึนกับหน่วยปฏิบัติงานที่
สามารถบงั คับได้ ส่วนระบบประสาทอัตโนวัติมกี ารทางานอยนู่ อกเหนืออานาจจติ ใจ การสั่งการเกิดขึ้นกับ
หน่วยปฏิบตั งิ านท่ไี ม่สามารถบังคบั ได้...........................................................................................................
2. การกระตกุ ขาเม่ือถูกเคาะหวั เขา่ เกิดข้ึนได้อยา่ งไร
เกิดขน้ึ โดยกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สกึ บรเิ วณหวั เขา่ ถูกส่งผา่ นเซลล์ประสาทรบั ความรู้สึกเข้าสู่
ไขสันหลัง จากนั้นเซลล์ประสาทส่ังการจะนากระแสประสาทจากไขสันหลังไปยังหน่วยปฏิบัติงาน ทาให้
เกดิ การกระตกุ ขาทนั ทโี ดยไมไ่ ด้อาศยั คาสั่งจากสมอง...................................................................................
3. เหตุใดระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจงึ ต้องทาหนา้ ท่ีตรงข้ามกันเสมอ
เพื่อรักษาความสมดุลของรา่ งกายใหส้ ามารถดารงชีวติ ได้อย่างปกต.ิ ............................................................
4. ระบบประสาทอัติโนวตั ิมีการทางานอย่างไร
การทางานของระบบประสาทอัตโนวัติเกดิ ข้นึ โดยเซลล์ประสาทรับความรู้สึกรับกระแสประสาทจากหนว่ ย
รับความรู้สึก ส่งไปยังรากบนของเส้นประสาทไขสันหลัง เข้าสู่ไขสันหลัง จากน้ันไขสันหลังจะส่งกระแส
ประสาทสั่งการผ่านเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ไปยังกล้ามเนื้อเรียบ
กล้ามเนอ้ื หัวใจ และต่อมตา่ ง ๆ ของรา่ งกายซ่ึงเป็นหนว่ ยปฏบิ ตั ิงาน.............................................................
16
5. หากระบบประสาททางานผดิ ปกติจะเกิดผลกระทบต่อรา่ งกายอย่างไร
ส่งผลต่อสุขภาพ การเจริญเติบโต และพัฒนาการดา้ นต่าง ๆ.........................................................................
6. การย่อยอาหารผิดปกตเิ กดิ จากความบกพร่องของอวยั วะใดในระบบประสาท
ระบบประสาทอัตโนวตั .ิ .................................................................................................................................
7. ระบบประสาทใดทาหน้าท่ีควบคมุ การทางานของอวัยวะภายในหลอดเลอื ดและตอ่ มตา่ ง ๆ ใหอ้ ยใู่ นสภาพ
พร้อมทีจ่ ะทางานได้
ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก.......................................................................................... ..........................
8. ระบบประสาทใดท่ีมกี ารทางานแบบเกดิ ขึ้นทนั ทีทนั ใด
ระบบประสาทซิมพาเทติก.................................................................................................. ...........................
9. การหมนุ เวียนเลอื ดบกพร่องเกดิ จากความบกพร่องของอวัยวะใดในระบบประสาท
ระบบประสาทอัตโนวัติ....................................................................................................... ...........................
10. ระบบประสาทซมิ พาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีสารสื่อประสาทเหมือนหรอื ต่างกนั
อย่างไร
ระบบประสาทซิมพาเทติกมีสารแอซิติลโคลีนเป็นสารสื่อประสาทระหว่างเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์
และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ ส่วนสารส่ือประสาทที่หลั่งออกมาเพื่อส่งกระแสประสาทไปควบคุม
หน่วยปฏิบัติงานคือนอร์เอพิเนฟริน สาหรับระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีสารแอซิติลโคลีนเป็นสาร
ส่ือประสาทที่ใช้ระหว่างเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ รวมท้ังใช้ในการ
ควบคมุ การทางานของหน่วยปฏิบตั งิ านด้วย.................................................................................................
17
เฉลยใบงานที่ 1.6
เรือ่ ง การทางานของระบบประสาทส่ังการ
ช่อื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6/........
วิชาชีววทิ ยา วนั เดือนปี ...........................................
คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนตอบคำถำมต่อไปนี้
1. ระบบประสาทโซมาตกิ (SNS) กับระบบประสาทอัตโนวตั ิ (ANS) แตกตา่ งกันอยา่ งไร
ระบบประสาทโซมาติกมีการทางานอยู่ภายใต้อานาจจิตใจ การส่ังการเกิดข้ึนกับหน่วยปฏิบัติงานที่
สามารถบงั คับได้ สว่ นระบบประสาทอตั โนวัตมิ กี ารทางานอยูน่ อกเหนืออานาจจติ ใจ การส่ังการเกิดขึ้นกับ
หนว่ ยปฏบิ ัตงิ านท่ไี มส่ ามารถบังคบั ได้...........................................................................................................
2. การกระตุกขาเม่ือถูกเคาะหวั เข่าเกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร
เกดิ ข้นึ โดยกระแสประสาทจากหน่วยรบั ความรู้สกึ บรเิ วณหวั เข่าถูกส่งผ่านเซลลป์ ระสาทรับความรูส้ กึ เข้าสู่
ไขสันหลัง จากนั้นเซลล์ประสาทสั่งการจะนากระแสประสาทจากไขสันหลังไปยังหน่วยปฏิบัติงาน ทาให้
เกิดการกระตกุ ขาทันทโี ดยไม่ได้อาศัยคาสงั่ จากสมอง...................................................................................
3. เหตุใดระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจึงต้องทาหนา้ ทีต่ รงขา้ มกันเสมอ
เพ่ือรกั ษาความสมดุลของร่างกายให้สามารถดารงชวี ติ ได้อย่างปกติ.............................................................
4. ระบบประสาทอตั ิโนวัตมิ ีการทางานอย่างไร
การทางานของระบบประสาทอัตโนวัติเกดิ ขึ้นโดยเซลล์ประสาทรับความรู้สกึ รับกระแสประสาทจากหนว่ ย
รับความรู้สึก ส่งไปยังรากบนของเส้นประสาทไขสันหลัง เข้าสู่ไขสันหลัง จากน้ันไขสันหลังจะส่งกระแส
ประสาทสั่งการผ่านเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ไปยังกล้ามเน้ือเรียบ
กล้ามเนอื้ หวั ใจ และต่อมต่าง ๆ ของร่างกายซึง่ เปน็ หน่วยปฏบิ ตั ิงาน.............................................................
18
5. หากระบบประสาททางานผิดปกติจะเกดิ ผลกระทบต่อรา่ งกายอยา่ งไร
สง่ ผลต่อสุขภาพ การเจริญเตบิ โต และพัฒนาการด้านตา่ ง ๆ.........................................................................
6. การยอ่ ยอาหารผดิ ปกติเกิดจากความบกพร่องของอวัยวะใดในระบบประสาท
ระบบประสาทอัตโนวัติ..................................................................................................................................
7. ระบบประสาทใดทาหน้าทค่ี วบคุมการทางานของอวัยวะภายในหลอดเลอื ดและต่อมตา่ ง ๆ ให้อยใู่ นสภาพ
พรอ้ มทจ่ี ะทางานได้
ระบบประสาทพาราซมิ พาเทติก....................................................................................................................
8. ระบบประสาทใดที่มีการทางานแบบเกิดขึน้ ทนั ทีทันใด
ระบบประสาทซิมพาเทติก.............................................................................................................................
9. การหมนุ เวียนเลอื ดบกพร่องเกดิ จากความบกพร่องของอวัยวะใดในระบบประสาท
ระบบประสาทอตั โนวตั ิ..................................................................................................................................
10. ระบบประสาทซมิ พาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทตกิ มสี ารส่ือประสาทเหมอื นหรือตา่ งกนั
อยา่ งไร
ระบบประสาทซิมพาเทติกมีสารแอซิติลโคลีนเป็นสารสื่อประสาทระหว่างเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์
และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ ส่วนสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาเพื่อส่งกระแสประสาทไปควบคุม
หน่วยปฏิบัติงานคือนอร์เอพิเนฟริน สาหรับระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีสารแอซิติลโคลีนเป็น
สารสื่อประสาทท่ีใช้ระหว่างเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ รวมท้ังใช้ในการ
ควบคุมการทางานของหนว่ ยปฏบิ ตั งิ านด้วย.................................................................................................
19
ใบงานที่ 1.7
เรือ่ ง ตากบั การมองเหน็
ชื่อ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6/........
วชิ าชีววิทยา วันเดือนปี ...........................................
คำชี้แจง ให้นักเรยี นนำขอ้ ควำมตอ่ ไปนี้เติมลงในช่องวำ่ งใหถ้ ูกต้อง
มา่ นตา สตี า รมู ่านตา เรตินา ตา
ตาขาว สเคลอรา ผนังลูกตา กระจกตา โครอยด์
จุดบอด จดุ โฟเวยี เลนส์ตา
(1) ตา เปน็ อวยั วะทท่ี าหน้าทร่ี ับภาพ ทาใหส้ ามารถมองเห็นส่งิ ต่าง ๆ (2) ผนังลกู ตา ประกอบด้วย
เน้ือเยื่อ 3 ช้ันที่มีความเหนียวและแข็งแรง (3) สเคลอรา อยู่ด้านนอกสุด มีลักษณะเป็นเยื่อเหนียวที่ไม่มี
ความยืดหยุ่นโดยทั่วไปเรียกว่า (4) ตาขาว ส่วนท่ีอยู่ด้านหน้าสุดของเย่ือน้ีจะนูนออกมาและมีลักษณะ
โปร่งใสเรียกว่า (5) กระจกตา ทาหน้าที่เป็นทางผ่านของแสงเข้าไปภายในลูกตาและช่วยในการหักเหแสง
เพ่ือให้เห็นภาพตกลงบนเรตินา (6) โครอยด์ เป็นผนังช้ันกลางของลูกตา มีสารสีกระจายจานวนมาก ทาให้
(7) สีตา ของมนุษย์แต่ละคนแตกต่างกัน ในช้ันโครอยด์บริเวณด้านหน้าของเลนส์ตามีโครงสร้างท่ีเรียกว่า
(8) ม่านตา ลักษณะเป็นแผ่นกล้ามเนื้อท่ียื่นออกจากผนังโครอยด์ ช่องตรงกลางมีลักษณะกลมเรียกว่า
(9) รมู ่านตา ทาหน้าท่คี วบคมุ ปริมาณแสงที่ผ่านเข้าสตู่ า (10) เรตนิ า เป็นผนงั ชัน้ ในสุด ทาหน้าทรี่ ับภาพ
และทาให้เกิดภาพท่มี องเหน็ ได้ โดยอาศัยเซลลร์ ูปแทง่ และเซลล์รูปกรวย จุดท่ีภาพตกลงบนกระจกตาแลว้ ทาให้
เกิดภาพชัดท่ีสุดเรียกว่า (11) จุดโฟเวีย และยังมีบริเวณท่ีเรียกว่า (12) จุดบอด เป็นจุดที่ไม่มีเซลล์
รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยบริเวณนี้จึงไม่มีภาพเกิดข้ึน (13) เลนส์ตา หรือเรียกว่า แก้วตา มีลักษณะเป็น
เลนสน์ นู ใส ทาหน้าทร่ี วมแสงเขา้ ส่ตู าและทาใหเ้ กดิ การหกั เหของแสงเพื่อใหภ้ าพตกลงบนเรตินา
20
เฉลยใบงานท่ี 1.7
เรือ่ ง ตากบั การมองเห็น
ช่ือ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6/........
วชิ าชีววิทยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนนำข้อควำมต่อไปน้ีเติมลงในช่องว่ำงให้ถูกต้อง
ม่านตา สตี า รมู ่านตา เรตนิ า ตา
ตาขาว สเคลอรา ผนังลกู ตา กระจกตา โครอยด์
จุดบอด จดุ โฟเวีย เลนส์ตา
(1) ตา เปน็ อวัยวะที่ทาหนา้ ท่ีรับภาพ ทาใหส้ ามารถมองเหน็ สง่ิ ต่าง ๆ (2) ผนังลูกตา ประกอบดว้ ย
เนื้อเยื่อ 3 ช้ันท่ีมีความเหนียวและแข็งแรง (3) สเคลอรา อยู่ด้านนอกสุด มีลักษณะเป็นเยื่อเหนียวที่ไม่มี
ความยืดหยุ่นโดยท่ัวไปเรียกว่า (4) ตาขาว ส่วนท่ีอยู่ด้านหน้าสุดของเยื่อน้ีจะนูนออกมาและมีลักษณะ
โปร่งใสเรียกว่า (5) กระจกตา ทาหน้าที่เป็นทางผ่านของแสงเข้าไปภายในลูกตาและช่วยในการหักเหแสง
เพื่อให้เห็นภาพตกลงบนเรตินา (6) โครอยด์ เป็นผนังชั้นกลางของลูกตา มีสารสีกระจายจานวนมาก ทาให้
(7) สีตา ของมนุษย์แต่ละคนแตกต่างกัน ในช้ันโครอยด์บริเวณด้านหน้าของเลนส์ตามีโครงสร้างท่ีเรียกว่า
(8) ม่านตา ลักษณะเป็นแผ่นกล้ามเน้ือท่ีย่ืนออกจากผนังโครอยด์ ช่องตรงกลางมีลักษณะกลมเรียกว่า
(9) รูม่านตา ทาหน้าท่คี วบคมุ ปริมาณแสงทผี่ ่านเข้าสูต่ า (10) เรตินา เปน็ ผนังชนั้ ในสุด ทาหนา้ ท่รี ับภาพ
และทาให้เกิดภาพท่มี องเหน็ ได้ โดยอาศัยเซลล์รูปแทง่ และเซลลร์ ูปกรวย จุดที่ภาพตกลงบนกระจกตาแลว้ ทาให้
เกิดภาพชัดท่ีสุดเรียกว่า (11) จุดโฟเวีย และยังมีบริเวณท่ีเรียกว่า (12) จุดบอด เป็นจุดที่ไม่มีเซลล์
รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยบริเวณน้ีจึงไม่มีภาพเกิดข้ึน (13) เลนส์ตา หรือเรียกว่า แก้วตา มีลักษณะเป็น
เลนส์นนู ใส ทาหนา้ ทีร่ วมแสงเข้าสตู่ าและทาให้เกิดการหักเหของแสงเพื่อใหภ้ าพตกลงบนเรตินา
21
ใบงานท่ี 1.8
เร่อื ง หกู ับการไดย้ นิ
ช่อื ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6/........
วชิ าชีววทิ ยา วันเดอื นปี ...........................................
คำชแี้ จง ให้นักเรยี นนำข้อควำมต่อไปนเี้ ติมลงในช่องวำ่ งให้ถูกต้อง
หู หูสว่ นนอก หสู ว่ นกลาง หสู ว่ นใน
ใบหู เยอ่ื แก้วหู
เซลล์ขน แอลพลู ลา ทอ่ ยสู เตเชียน คอเคลีย
รูหู เซมเิ ซอร์ควิ ลารแ์ คแนล
(1) หู เป็นอวัยวะท่ีทำหน้ำที่รับสัมผัสในกำรได้ยินเสียงและกำรทรงตัว หูของมนุษย์ประกอบด้วย 3
สว่ น คือ (2) หูส่วนนอก ประกอบด้วย (3) ใบหู ทำหน้ำที่รับคลนื่ เสียงจำกภำยนอกเข้ำสู่ (4) รูหู ซึ่ง
เป็นทำงผ่ำนของคลื่นเสียงและป้องกันอันตรำยให้กับหูส่วนกลำงและหูส่วนใน ตรงรอยต่อระหว่ำงหูส่วนนอก
กับหูส่วนกลำงมีเย่ือบำง ๆ ก้ันอยู่เรียกว่ำ (5) เยื่อแก้วหู ซ่ึงสำมำรถส่ันได้เม่ือได้รับคลื่นเสียง (6) หู
ส่วนกลำง มีลักษณะเป็นโพรงติดต่อกับโพรงจมูก ภำยในประกอบด้วย (7) ท่อยูสเตเชียน เป็นท่อที่
เช่อื มต่อระหวำ่ งหูส่วนกลำงกบั คอหอย ทำหน้ำทปี่ รับควำมดันอำกำศภำยนอกและภำยในโพรงของหสู ่วนกลำง
ให้เท่ำกัน นอกจำกน้ียังประกอบด้วยกระดูกหู 3 ช้ิน คือ กระดูกค้อน กระดูกท่ัง และกระดูกโกลน ทำหน้ำท่ี
เพิ่มควำมแรงของกำรสั่นสะเทือนของคล่ืนเสียงท่มี ำจำกเยอ่ื แกว้ หู (8) หสู ่วนใน เป็นส่วนที่อยู่ถดั จำกกระดูก
โกลน ทำหน้ำทรี่ ับฟังเสยี งและกำรทรงตวั โดยอวัยวะที่ใช้ฟงั เสียง คือ (9) คอเคลีย โดยภำยในมีของเหลวท่ี
สำมำรถส่ันเพ่ือเปล่ียนสัญญำณเสยี งเป็นกระแสประสำทส่งไปยังสมองเพ่ือแปลควำมหมำย ส่วนอวยั วะท่ีใช้ใน
กำรทรงตัว คือ (10) เซมิเซอร์คิวลำร์แคแนล ลกั ษณะเป็นหลอดครง่ึ วงกลม 3 หลอด วำงตั้งฉำกกัน ภำยใน
บรรจุของเหลว โคนหลอดพองออกเรียกว่ำ (11) แอมพูลลำ ภำยในมีเซลล์รับควำมรู้สึกท่ีมีขนเรียกว่ำ (12)
เซลล์ขน เม่อื มกี ำรเคลื่อนไหวของร่ำงกำยของเหลวจะไหลไปมำ สง่ ผลใหเ้ ซลลข์ นเกดิ กำรเบนด้วย ซ่ึงกำรเบน
ของเซลล์ขนทำให้เกิดกระแสประสำทสง่ ไปตำมเส้นประสำทและไปยงั สมองเพ่ือแปลผล แลว้ ส่งคำส่ังไปควบคุม
กำรทรงตวั ให้อยใู่ นตำแหน่งท่ีเหมำะสม
22
เฉลยใบงานท่ี 1.8
เร่อื ง หูกับการได้ยนิ
ชอ่ื ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/........
วิชาชีววิทยา วันเดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นกั เรียนนำข้อควำมตอ่ ไปนี้เติมลงในช่องวำ่ งให้ถูกต้อง
หู หสู ่วนนอก หูสว่ นกลาง หสู ว่ นใน
ใบหู เยอื่ แกว้ หู
เซลลข์ น แอลพลู ลา ทอ่ ยูสเตเชยี น คอเคลีย
รหู ู เซมิเซอร์ควิ ลารแ์ คแนล
(1) หู เป็นอวัยวะท่ีทำหน้ำที่รับสัมผัสในกำรได้ยินเสียงและกำรทรงตัว หูของมนุษย์ประกอบด้วย 3
สว่ น คือ (2) หูสว่ นนอก ประกอบด้วย (3) ใบหู ทำหน้ำที่รบั คลืน่ เสียงจำกภำยนอกเข้ำสู่ (4) รูหู ซึ่ง
เป็นทำงผ่ำนของคล่ืนเสียงและป้องกันอันตรำยให้กับหูส่วนกลำงและหูส่วนใน ตรงรอยต่อระหว่ำงหูส่วนนอก
กับหูส่วนกลำงมีเยื่อบำง ๆ ก้ันอยู่เรียกว่ำ (5) เยื่อแก้วหู ซ่ึงสำมำรถส่ันได้เม่ือได้รับคล่ืนเสียง (6) หู
ส่วนกลำง มีลักษณะเป็นโพรงติดต่อกับโพรงจมูก ภำยในประกอบด้วย (7) ท่อยูสเตเชียน เป็นท่อที่
เช่อื มต่อระหวำ่ งหูส่วนกลำงกับคอหอย ทำหนำ้ ท่ีปรับควำมดนั อำกำศภำยนอกและภำยในโพรงของหูส่วนกลำง
ให้เท่ำกัน นอกจำกนี้ยังประกอบด้วยกระดูกหู 3 ชิ้น คือ กระดูกค้อน กระดูกท่ัง และกระดูกโกลน ทำหน้ำท่ี
เพ่มิ ควำมแรงของกำรส่นั สะเทือนของคลื่นเสยี งที่มำจำกเยือ่ แกว้ หู (8) หสู ว่ นใน เปน็ ส่วนทอ่ี ยู่ถัดจำกกระดูก
โกลน ทำหนำ้ ที่รับฟังเสียงและกำรทรงตวั โดยอวัยวะที่ใช้ฟังเสียง คือ (9) คอเคลยี โดยภำยในมีของเหลวที่
สำมำรถสั่นเพ่ือเปล่ียนสัญญำณเสยี งเป็นกระแสประสำทส่งไปยังสมองเพื่อแปลควำมหมำย ส่วนอวัยวะท่ีใช้ใน
กำรทรงตัว คอื (10) เซมิเซอร์คิวลำร์แคแนล ลกั ษณะเป็นหลอดครงึ่ วงกลม 3 หลอด วำงตั้งฉำกกัน ภำยใน
บรรจุของเหลว โคนหลอดพองออกเรียกว่ำ (11) แอมพูลลำ ภำยในมีเซลล์รับควำมรู้สึกที่มีขนเรียกวำ่ (12)
เซลล์ขน เมอื่ มกี ำรเคล่อื นไหวของร่ำงกำยของเหลวจะไหลไปมำ ส่งผลให้เซลลข์ นเกิดกำรเบนด้วย ซ่ึงกำรเบน
ของเซลล์ขนทำให้เกิดกระแสประสำทสง่ ไปตำมเส้นประสำทและไปยังสมองเพอ่ื แปลผล แล้วส่งคำสงั่ ไปควบคุม
กำรทรงตวั ให้อย่ใู นตำแหนง่ ทเี่ หมำะสม
23
ใบงานท่ี 1.9
เรอื่ ง จมูกกบั การดมกล่ิน
ชื่อ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/........
วิชาชีววิทยา วนั เดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นกั เรยี นนำข้อควำมตอ่ ไปนเ้ี ติมลงในช่องวำ่ งใหถ้ ูกต้อง
กระแสประสาท ตอ่ มสร้างเมือก เยือ่ บุจมูก จมกู
สมองสว่ นเซรีบรัม เสน้ ประสาทรับกลิ่น ซเิ ลยี บริเวณรับกลิน่
ออลแฟกทอรีบลั บ์ เซลล์ประสาทรบั กลิน่
(1) จมูก เป็นอวัยวะท่ีทำหน้ำท่ีเป็นทำงผ่ำนของลมหำยใจและดมกลิ่น ภำยในโพรงจมูก
ประกอบด้วยขนจมูก เยื่อบุท่ีประกอบด้วยเซลล์ที่มี (2) ซิเลีย (3) ต่อมสร้ำงเมือก ทำหน้ำที่ดักจับเช้ือ
โรคและฝุ่นละออง โครงสร้ำงที่ทำหน้ำท่ีในกำรรับกล่ินอยู่ท่ี (4) บริเวณรับกล่ิน ซ่ึงประกอบด้วย
(5) เยื่อบุจมูก ท่ีมี (6) เซลล์ประสำทรับกล่ิน ทำหนำ้ ทเ่ี ปลีย่ นสำรทท่ี ำให้เกิดกลิ่นเป็น (7)
กระแสประสำท เพ่ือส่งไปยังเส้นประสำทสมองคู่ที่ 1 ซึ่งเป็น (8) เส้นประสำทรับกลิ่น จำกนั้น กระแส
ประสำทจะถูกส่งผ่ำน (9) ออลแฟกทอรีบัลบ์ ไปยัง (10) สมองส่วนเซรีบรัม เพื่อแปลผล ของ
กลิ่นท่ไี ด้รับ
24
เฉลยใบงานท่ี 1.9
เร่ือง จมูกกับการดมกลิน่
ชอ่ื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6/........
วิชาชีววิทยา วนั เดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นกั เรียนนำขอ้ ควำมตอ่ ไปนเี้ ติมลงในช่องว่ำงให้ถูกตอ้ ง
กระแสประสาท ตอ่ มสร้างเมอื ก เยือ่ บุจมูก จมูก
สมองสว่ นเซรบี รมั เส้นประสาทรบั กล่นิ ซิเลยี บรเิ วณรับกลนิ่
ออลแฟกทอรีบลั บ์ เซลลป์ ระสาทรับกลิ่น
(1) จมูก เป็นอวัยวะที่ทำหน้ำที่เป็นทำงผ่ำนของลมหำยใจและดมกล่ิน ภำยในโพรงจมูก
ประกอบด้วยขนจมูก เยื่อบุท่ีประกอบด้วยเซลล์ท่ีมี (2) ซิเลีย (3) ต่อมสร้ำงเมือก ทำหน้ำที่ดักจับเช้ือ
โรคและฝุ่นละออง โครงสร้ำงที่ทำหน้ำที่ในกำรรับกล่ินอยู่ที่ (4) บริเวณรับกล่ิน ซ่ึงประกอบด้วย
(5) เย่ือบจุ มูก ทม่ี ี (6) เซลลป์ ระสำทรบั กลิน่ ทำหน้ำท่เี ปลีย่ นสำรทที่ ำให้เกิดกล่ินเปน็ (7)
กระแสประสำท เพอื่ ส่งไปยงั เสน้ ประสำทสมองคู่ท่ี 1 ซึ่งเปน็ (8) เส้นประสำทรบั กลิ่น จำกนนั้ กระแส
ประสำทจะถูกส่งผ่ำน (9) ออลแฟกทอรีบัลบ์ ไปยัง (10) สมองส่วนเซรีบรัม เพ่ือแปลผล ของ
กล่ินทไ่ี ด้รบั
25
ใบงานท่ี 1.10
เรือ่ ง ลน้ิ กบั การรับรส
ชื่อ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/........
วชิ าชีววิทยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำชี้แจง ให้นกั เรยี นนำขอ้ ควำมตอ่ ไปนเ้ี ติมลงในช่องว่ำงใหถ้ กู ตอ้ ง
เซลลบ์ ผุ วิ เซลล์รบั รส กระแสประสาท ลิน้
ปุ่มล้นิ
เสน้ ประสาทสมองคูท่ ี่ 7 ตุ่มรบั รส ชอ่ งเปดิ
เสน้ ประสาทสมองค่ทู ี่ 9 สมองสว่ นเซรีบรมั
(1) ลน้ิ เป็นอวัยวะท่ที ำหน้ำที่เก่ียวกับกำรรับรส บริเวณด้ำนบนของผิวลิ้นมี (2) ปุ่มลิ้น ซึ่งเป็น
ที่อย่ขู อง (3) ตมุ่ รบั รส ทภี่ ำยในมี (4) เซลลร์ บั รส ซงึ่ แปรสภำพมำจำก (5) เซลล์บผุ วิ ตอนบนของตมุ่
รับรสมี (6) ชอ่ งเปดิ ทำใหข้ นเซลล์ของเซลล์รบั รสสำมำรถรบั รสของอำหำรได้ เมื่อตุม่ รับรสได้รับกำรกระตุ้น
จำกรสอำหำร จะทำให้เกิด (7) กระแสประสำท ส่งไปยังเส้นประสำทสมอง โดยกระแสประสำทจำกกำรรับ
รสบรเิ วณปลำยล้ินและดำ้ นข้ำงล้ินจะถกู ส่งเข้ำ (8) เส้นประสำทสมองคทู่ ี่ 7 ส่วนกระแสประสำทจำกกำรรับ
รสบรเิ วณโคนล้ินจะถูกส่งเข้ำ (9) เส้นประสำทสมองคูท่ ่ี 9 เพ่ือนำกระแสประสำทเขำ้ สู่ศูนย์รับรสใน (10)
สมองส่วนเซรบี รมั
26
เฉลยใบงานท่ี 1.10
เรื่อง ล้นิ กับการรบั รส
ช่ือ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6/........
วิชาชีววิทยา วันเดอื นปี ...........................................
คำชี้แจง ให้นกั เรยี นนำข้อควำมตอ่ ไปนี้เตมิ ลงในช่องวำ่ งให้ถูกตอ้ ง
เซลล์บุผวิ เซลลร์ บั รส กระแสประสาท ลนิ้
ปุ่มลิ้น
เสน้ ประสาทสมองค่ทู ี่ 7 ต่มุ รับรส ช่องเปิด
เส้นประสาทสมองค่ทู ่ี 9 สมองสว่ นเซรบี รมั
(1) ลิ้น เป็นอวัยวะท่ที ำหน้ำที่เกี่ยวกับกำรรับรส บริเวณด้ำนบนของผิวล้ินมี (2) ปุ่มล้ิน ซึ่งเป็น
ทอี่ ยู่ของ (3) ตมุ่ รบั รส ท่ีภำยในมี (4) เซลล์รบั รส ซึง่ แปรสภำพมำจำก (5) เซลลบ์ ผุ ิว ตอนบนของต่มุ
รับรสมี (6) ช่องเปิด ทำให้ขนเซลล์ของเซลล์รับรสสำมำรถรับรสของอำหำรได้ เมื่อตุ่มรับรสได้รับกำร
กระตนุ้ จำกรสอำหำร จะทำให้เกิด (7) กระแสประสำท ส่งไปยังเส้นประสำทสมอง โดยกระแสประสำทจำก
กำรรับรสบรเิ วณปลำยล้นิ และดำ้ นข้ำงลิ้นจะถูกส่งเข้ำ (8) เส้นประสำทสมองคู่ที่ 7 ส่วนกระแสประสำทจำก
กำรรับรสบริเวณโคนล้ินจะถูกส่งเข้ำ (9) เส้นประสำทสมองคู่ที่ 9 เพื่อนำกระแสประสำทเข้ำสู่ศูนย์รับรสใน
(10) สมองส่วนเซรีบรมั
27
ใบงานท่ี 1.11
เร่ือง ผิวหนงั กับการรบั ความร้สู กึ
ชื่อ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/........
วิชาชีววิทยา วันเดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรียนนำขอ้ ควำมตอ่ ไปนี้เตมิ ลงในช่องว่ำงใหถ้ ูกตอ้ ง
ผิวหนัง หนังแท้ หนังกาพร้า หนงั ตา
หลอดเลอื ด
ส่ิงเรา้ เหงอื่ ต่อมเหง่ือ
ขี้ไคล ฝา่ มอื และฝา่ เท้า
(1) ผิวหนัง เป็นอวัยวะท่ีทำหน้ำท่ีห่อหุ้มร่ำงกำย รักษำดุลยภำพของร่ำงกำย เช่น กำรขับของเสีย
ออกนอกร่ำงกำยในรูปของ (2) เหงอ่ื ออกมำทำง (3) ต่อมเหงอื่ นอกจำกนี้ยังทำหนำ้ ท่ีรับควำมรู้สึกโดย
กำรกระตุ้นจำก (4) ส่ิงเร้ำ ผิวหนังประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (5) หนังกำพร้ำ คลุมอยู่บนหนังแท้
หนังกำพร้ำที่ (6) ฝ่ำมือและฝ่ำเท้ำ หนำท่ีสุดและบำงท่ีสุดที่ (7) หนังตำ ชั้นนี้ไม่มีหลอดเลือดและ
ประกอบด้วยเซลล์รูปร่ำงตำ่ ง ๆ กันหลำยชั้น ชั้นตื้นทีส่ ุดทีผ่ ิวเป็นเซลลแ์ บน ๆ และตำยแล้วจะหลุดลอกออกไป
เป็น (8) ข้ีไคล อีกส่วนคือ (9) หนังแท้ ประกอบด้วยเส้นใยพังผืดเป็นส่วนใหญ่ ส่วนต้ืนของชั้นนี้ย่ืนเป็น
ปุ่มนูนขึ้นมำสวมกับช่องทำงด้ำนลึกของหนังกำพร้ำ ในปุ่มนูนมี (10) หลอดเลือด และปลำยประสำท
รบั ควำมรู้สกึ สว่ นลึกของหนงั แท้จะมีแต่เสน้ ใยพังผืดประสำนกันค่อนข้ำงแน่น
28
เฉลยใบงานที่ 1.11
เร่อื ง ผิวหนังกับการรบั ความร้สู กึ
ชื่อ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/........
วิชาชีววิทยา วนั เดอื นปี ...........................................
คำชแี้ จง ให้นักเรียนนำข้อควำมตอ่ ไปนี้เตมิ ลงในช่องว่ำงใหถ้ ูกต้อง
ผวิ หนงั หนังแท้ หนงั กาพร้า หนังตา
หลอดเลือด
สิ่งเรา้ เหงอ่ื ตอ่ มเหง่ือ
ขไ้ี คล ฝ่ามอื และฝ่าเท้า
(1) ผิวหนัง เป็นอวัยวะท่ีทำหน้ำท่ีห่อหุ้มร่ำงกำย รักษำดุลยภำพของร่ำงกำย เช่น กำรขับของเสีย
ออกนอกร่ำงกำยในรูปของ (2) เหงอื่ ออกมำทำง (3) ต่อมเหง่อื นอกจำกน้ียังทำหน้ำที่รับควำมรู้สึกโดย
กำรกระตุ้นจำก (4) สิ่งเร้ำ ผิวหนังประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (5) หนังกำพร้ำ คลุมอยู่บนหนังแท้
หนังกำพร้ำที่ (6) ฝ่ำมือและฝ่ำเท้ำ หนำท่ีสุดและบำงที่สุดท่ี (7) หนังตำ ช้ันนี้ไม่มีหลอดเลือดและ
ประกอบด้วยเซลล์รูปร่ำงตำ่ ง ๆ กันหลำยช้ัน ชนั้ ตื้นทส่ี ุดท่ผี ิวเป็นเซลลแ์ บน ๆ และตำยแล้วจะหลุดลอกออกไป
เป็น (8) ขี้ไคล อีกส่วนคือ (9) หนังแท้ ประกอบด้วยเส้นใยพังผืดเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตื้นของชั้นน้ียื่นเป็น
ปุ่มนูนข้ึนมำสวมกับช่องทำงด้ำนลึกของหนังกำพร้ำ ในปุ่มนูนมี (10) หลอดเลือด และปลำยประสำท
รบั ควำมร้สู กึ ส่วนลึกของหนงั แทจ้ ะมแี ต่เสน้ ใยพงั ผดื ประสำนกันคอ่ นขำ้ งแน่น
29
ใบงานที่ 1.12
เร่ือง อวัยวะรับความรู้สึก
ชอ่ื ............................................................................................. เลขท.่ี .............. ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6/........
วิชาชีววทิ ยา วันเดอื นปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเคร่ืองหมำย หน้ำข้อควำมท่ีถูกต้อง และเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำม
ทีไ่ มถ่ ูกต้อง พร้อมทง้ั แก้ไขให้ถกู ตอ้ ง
........... 1. กระจกตาทาหน้าท่ีเป็นทางผ่านของแสงเข้าไปภายในลูกตา และช่วยในการหักเหแสงเพ่ือให้
เหน็ ภาพตกลงบนเรตินา
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 2. ความแตกต่างของสีตาของมนุษย์เกดิ จากส่วนของผนังลูกตา
....................................................................................................................................................
........... 3. รมู ่านตาจะเปิดกว้างเม่อื ปรมิ าณแสงมากและหรลี่ งเมื่อปริมาณแสงน้อย
....................................................................................................................................................
........... 4. เลนสต์ าทาหน้าทร่ี วมแสงเขา้ สูต่ าและทาให้เกดิ การหักเหของแสงเพ่ือให้ภาพตกลงบนเรตินา
....................................................................................................................................................
........... 5. ผู้ท่ีสายตาส้ันต้องสวมแว่นตาท่ีทาด้วยเลนส์นูน ส่วนผู้ท่ีสายตายาวต้องสวมแว่นตาท่ีทาด้วย
เลนส์เวา้
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 6. หูสว่ นนอกทาหนา้ ทร่ี ับคลนื่ เสียงและเปน็ ชอ่ งให้คลน่ื เสียงผา่ น
....................................................................................................................................................
........... 7. ท่อยสู เตเชียนชว่ ยในการปรับความดนั 2 ด้านของเย่ือแกว้ หูให้เท่ากนั
....................................................................................................................................................
........... 8. สัญญาณประสาทจากคล่ืนเสียงจะถูกส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 8 เพ่ือไปยังสมองส่วน
เซรีเบลลมั เพอ่ื แปลความหมาย
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 9. โครงสร้างของหูสว่ นในชดุ ท่ใี ชใ้ นการทรงตัว คือ คอเคลยี (cochlea)
....................................................................................................................................................
30
........... 10. คลื่นเสียงท่ีผ่านเข้ามาในหูส่วนในจะมีแอมพลิจูดขยายเพิ่มจากคล่ืนเสียงของหูส่วนนอก
ถงึ 22 เท่า
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 11. เยื่อบุจมูก (olfactory membrane) ทาหน้าที่ดักจับเช้ือโรคและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าไปกับ
ลมหายใจเข้า
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 12. เซลลร์ ับรส (gustatory cell) ในตมุ่ รับรส (taste bud) แปรสภาพมาจากเซลล์บผุ วิ
....................................................................................................................................................
........... 13. การรบั รสบนลิน้ จะรับรสได้ 6 ชนิด คอื รสเปรย้ี ว รสหวาน รสเคม็ รสขม รสเผ็ด และรสอมู ามิ
....................................................................................................................................................
........... 14. ชน้ั หนงั กาพร้าเปน็ ชั้นบนสุดของผวิ หนงั และเปน็ ท่ีอยู่ของหลอดเลือดต่าง ๆ
....................................................................................................................................................
............ 15. ผู้พิการทางสายตาสามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้โดยหน่วยรับความรู้สึกที่บริเวณผิวหนัง คือ
free nerve endings
....................................................................................................................................................
......................................................................................................................... ...........................
31
เฉลยใบงานที่ 1.12
เร่ือง อวยั วะรับความรสู้ ึก
ชอ่ื ............................................................................................. เลขท.ี่ .............. ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6/........
วิชาชีววิทยา วนั เดือนปี ...........................................
คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำมท่ีถูกต้อง และเขียนเครื่องหมำย หน้ำข้อควำม
ทีไ่ ม่ถกู ตอ้ ง พร้อมทง้ั แก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง
........... 1. กระจกตาทาหน้าท่ีเป็นทางผ่านของแสงเข้าไปภายในลูกตา และช่วยในการหักเหแสงเพื่อให้
เห็นภาพตกลงบนเรตินา
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 2. ความแตกต่างของสตี าของมนุษย์เกดิ จากสว่ นของผนงั ลูกตา
ความแตกต่างของสตี าของมนุษย์เกดิ จากส่วนของผนังลูกตา......................................................
........... 3. รมู า่ นตาจะเปดิ กวา้ งเม่อื ปริมาณแสงมากและหร่ีลงเม่ือปรมิ าณแสงน้อย
รมู ่านตาจะเปิดกว้างเมือ่ ปรมิ าณแสงน้อยและหร่ลี งเมอ่ื ปริมาณแสงมาก....................................
........... 4. เลนสต์ าทาหน้าทร่ี วมแสงเขา้ ส่ตู าและทาให้เกดิ การหกั เหของแสงเพื่อให้ภาพตกลงบนเรตนิ า
....................................................................................................................................................
........... 5. ผู้ท่ีสายตาสั้นต้องสวมแว่นตาที่ทาด้วยเลนส์นูน ส่วนผู้ท่ีสายตายาวต้องสวมแว่นตาท่ีทาด้วย
เลนสเ์ ว้า
ผู้ท่ีสายตาส้ันต้องสวมแว่นตาที่ทาด้วยเลนส์เว้า ส่วนผู้ที่สายตายาวต้องสวมแว่นตาท่ีทาด้วย
เลนสน์ นู ......................................................................................................................................
........... 6. หสู ่วนนอกทาหนา้ ทีร่ ับคล่นื เสียงและเป็นช่องให้คลน่ื เสยี งผา่ น
....................................................................................................................................................
........... 7. ทอ่ ยสู เตเชียนชว่ ยในการปรบั ความดนั 2 ดา้ นของเยอ่ื แก้วหใู ห้เทา่ กนั
....................................................................................................................................................
........... 8. สัญญาณประสาทจากคลื่นเสียงจะถูกส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 8 เพ่ือไปยังสมองส่วน
เซรีเบลลัมเพ่อื แปลความหมาย
สัญญาณประสาทจากคล่ืนเสียงจะถูกส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 8 เพ่ือไปยังสมองส่วน
เซรบี รมั เพ่อื แปลความหมาย.......................................................................................................
........... 9. โครงสรา้ งของหสู ่วนในชุดทใ่ี ชใ้ นการทรงตัว คือ คอเคลีย (cochlea)
โครงสร้างของหูส่วนในชุดท่ีใช้ในการทรงตัว คือ เซมิเซอร์คิวลาร์ แคแนล (semicircular
canal).........................................................................................................................................
32
........... 10. คล่ืนเสียงที่ผ่านเข้ามาในหูส่วนในจะมีแอมพลิจูดขยายเพิ่มจากคล่ืนเสียงของหูส่วนนอก
ถงึ 22 เท่า
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
........... 11. เยื่อบุจมูก (olfactory membrane) ทาหน้าที่ดักจับเชื้อโรคและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าไปกับ
ลมหายใจเข้า
ต่อมสร้างเมือก (mucus gland) ทาหน้าท่ีดักจับเช้ือโรคและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าไปกับ
ลมหายใจเข้า...............................................................................................................................
........... 12. เซลล์รบั รส (gustatory cell) ในตมุ่ รับรส (taste bud) แปรสภาพมาจากเซลลบ์ ผุ วิ
....................................................................................................................................................
............ 13. การรบั รสบนล้นิ จะรับรสได้ 6 ชนดิ คือ รสเปร้ียว รสหวาน รสเค็ม รสขม รสเผ็ด และรสอูมามิ
การรับรสบนล้ินจะรับรสได้ 5 ชนดิ คอื รสเปร้ยี ว รสหวาน รสเค็ม รสขม และรสอมู ามิ............
............ 14. ชน้ั หนังกาพร้าเปน็ ชั้นบนสุดของผวิ หนังและเปน็ ทีอ่ ยูข่ องหลอดเลอื ดตา่ ง ๆ
ชัน้ หนังกาพร้าเปน็ ชัน้ บนสดุ ของผวิ หนงั และไมม่ ีหลอดเลอื ด......................................................
............ 15. ผู้พิการทางสายตาสามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้โดยหน่วยรับความรู้สึกที่บริเวณผิวหนัง คือ
free nerve endings
ผู้พิการทางสายตาสามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้โดยหน่วยรับความรู้สึกท่ีบริเวณผิวหนัง คือ
merkel disks.............................................................................................................................
33
ใบความรูท้ ่ี 1.1
สารสื่อประสาท
Otto Loewi นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียได้ทาการทดลองโดยการนาหัวใจกบที่ยังมีชีวิตอยู่
และยังเช่ือมต่อด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 หรือเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve) ใส่ในภาชนะใบที่ 1
ท่ีมีน้าเกลือบรรจุอยู่ ส่วนภาชนะใบที่ 2 มีหัวใจกบท่ีตัดเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 ออกไปแล้วแช่ในน้าเกลือ
เช่นเดียวกัน เมื่อใช้กระแสไฟฟา้ กระตุ้นเส้นประสาทในภาชนะใบท่ี 1 พบว่าหัวใจกบในภาชนะดังกล่าวเต้นช้า
ลง จากน้ันดูดนาสารละลายจากภาชนะใบที่ 1 นามาใสภ่ าชนะใบที่ 2 ผลทเี่ กิดขน้ึ คอื หัวใจกบในภาชนะใบที่ 2
เต้นช้าลงเช่นเดียวกัน จากผลการทดลองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เมื่อเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 10 ได้รับการ
กระตุ้นด้วยกระแสฟ้าจะปล่อยสารบางชนิดออกมายับยั้งการทางานของกล้ามเนื้อหวั ใจ มีผลทาให้หัวใจเต้นช้า
ลง นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกสารน้ีว่า สารส่ือประสาท (neurotransmitter) สารส่ือประสาทแบ่งออกเป็น
4 กล่มุ ดังน้ี
1. แอซิติลโคลีน (acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทท่ีพบมากที่สุดในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
แอซิติลโคลีนถูกหลั่งออกมาจากระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนนอกรวมท้ังในไซแนปส์
ระหว่างเซลล์ประสาทกับกล้ามเนื้อ แอซิติลโคลีนอาจทาหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ให้นากระแส
ประสาทหรือยับย้ังการนากระแสประสาท เช่น ไซแนปส์บริเวณกล้ามเน้ือลาย แอซิติลโคลีนจะกระตุ้นในเซลล์
หลังไซแนปส์นากระแสประสาท ขณะท่ีไซแนปส์บริเวณกล้ามเนื้อหัวใจแอซิติลโคลีนจะยับยั้งการนากระแส
ประสาทของเซลล์หลังไซแนปส์และยับย้ังการนากระแสประสาทได้เช่นเดียวกัน แอซิติลโคลีนจะถูกสลายโดย
เอนไซม์แอซิติลโคลีนเอสเทอเรส (acetylcholine esterase) ท่ีสร้างข้ึนบริเวณปลายแอกซอนหลังจากท่ี
กระแสประสาทเคล่อื นทีผ่ า่ นไซแนปส์ไปยงั เดนไดรต์ของอีกเซลลป์ ระสาทหนึ่ง
แอซิตลิ โคลนี แอซิตลิ โคลีนเอสเทอเรส กรดแอซีติก + โคลนี
34
2. สารส่ือประสาทกลุ่มไบโอเจนิกเอมีน (biogenic amine) เป็นสารส่ือประสาทท่ีสร้างจาก
กรดอะมิโน ซึ่งเป็นท้ังฮอร์โมนและสารสื่อประสาท ได้แก่ สารส่ือประสาทในกลุ่มแคททีโคลามีนที่สังเคราะห์
มาจากไทโรซีน (tyrosine) ได้แก่ สารนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) เอพิเนฟริน (epinephrine) และ
โดปามีน (dopamine) ซ่ึงหลั่งจากระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก นอกจากนี้ยังมี
ซีโรโทนิน (serotonin) เป็นสารส่ือประสาทกลุ่มไบโอเจนิกเอมีนอีกชนิดหน่ึงที่สังเคราะห์มาจากทริปโตเฟน
(tryptophan) พบในระบบประสาทส่วนกลาง สารนอร์เอพิเนฟรินมักพบในระบบประสาทอัตโนวัติ ส่วน
สารโดปามีนและซีโรโทนินในสมองจะยับย้ังการนากระแสประสาทที่เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ อารมณ์ และ
การ นอนหลับ การทางานของสารส่ือประสาทกลุ่มนี้เกิดขึ้นโดยสารส่ือประสาทจะจับกับตัวรับที่เยื่อหุ้มเซลล์
ของเซลล์หลังไซแนปส์ และส่งผลต่อกระบวนการชีวเคมีภายในเซลล์หลังไซแนปส์ การมีสารสื่อประสาท
ในกลุ่มน้ีไม่สมดุล จะทาให้เป็นโรคได้มากมาย เช่น โรคพาร์คินซัน (Parkinson’s disease) เกิดจากสมองขาด
สารโดปามนี แตห่ ากมมี ากเกินไปจะทาใหเ้ ป็นจติ เภท (schizophrenia)
3. สารสอ่ื ประสาทจาพวกกรดอะมิโน ไดแ้ ก่ แอสพาเทต (aspartate) ไกลซีน (glycine) กรดแกมมา
อะมิโนบิวไทริก (gamma aminobutyric acid) และกลูตาเมต (glutamate) เป็นสารส่ือประสาทท่ีพบใน
ระบบประสาทส่วนกลาง สาหรับแอสพาเทตและกรดแกมมาอะมิโนบิวไทริกยังพบในไซแนปส์ระหว่าง
เซลลป์ ระสาทกับกล้ามเน้ือของสัตวไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั
4. สารสอื่ ประสาทกลมุ่ นวิ โรเปปไทด์ (neuropeptides) เป็นสารสื่อประสาทท่มี ีกรดอะมิโนตอ่ กัน
เป็นสารสั้น ๆ ได้แก่ substance P พบในระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก ทาหน้าท่ี
กระตุ้นให้เกิดการนากระแสประสาท เป็นตัวกลางเก่ียวกับการรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวด สารเอนดอร์ฟิน
(endorphin) หล่ังแอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (antidiuretic hormone : ADH) โดยฮอร์โมนชนิดน้ีจะช่วยลด
อัตราการหายใจ ชว่ ยให้เกิดการเคล้มิ สุข และชว่ ยยับย้งั การขบั ปัสสาวะ ทาให้ปัสสาวะน้อยลง
35
ใบความรทู้ ี่ 1.2
การทางานของเซลล์รปู กรวยกบั ตาบอดสี
การทางานของเซลล์รูปกรวยเกี่ยวกับการมองเห็น เม่ือเซลล์รูปกรวยได้รับการกระตุ้นจากแสงสว่าง
จะทาให้การมองเห็นภาพเป็นสีต่าง ๆ สามารถบอกความแตกต่างของสีต่าง ๆ และมองเห็นรายละเอียดของ
ภาพได้ เซลล์รูปกรวยทางานอิสระจากเซลล์รูปแท่งโดยเซลล์รูปกรวยทางานได้ดีเม่ือได้รับแสงสว่างมาก
เน่ืองจากมีความไวต่อช่วงความยาวคล่ืนของแสงแตกต่างกัน ประกอบด้วยเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้าเงิน
เซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีแดง และเซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีเขียว เมื่อแสงท่ีเข้าสู่นัยน์ตาเป็นแสงที่กระตุ้น
เซลล์รูปกรวยชนิดใดสมองจะแปลผลสีนั้น ๆ ออกมา เช่น แสงท่ีเข้าสู่นัยน์ตากระตุ้นเซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสง
สีแดง สมองจะแปลผลออกมาเป็นความรู้สึกในการมองเห็นเป็นสีแดง แต่ถ้าแสงกระตุ้นเซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อ
แสงสีเขียว ความรู้สึกในการมองเห็นจึงเป็นแสงสีเขียว นอกจากน้ีถ้าเซลล์รูปกรวยได้รับการกระตุ้นจาก
แสงผสมของแสงสีน้ัน ๆ เช่น เซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีแดงและเซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีเขียวได้รับการ
กระตุ้นพร้อม ๆ กัน ทาให้มองเห็นวัตถุเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิดได้รับการกระตุ้นเท่า ๆ กัน
จะทาใหม้ องเหน็ วัตถเุ ป็นสขี าว
สแี ดง
สีเหลอื ง สีม่วง
สขี าว
สีเขียว สนี ้าเงนิ
สเี ขยี ว + สนี า้ เงนิ
รูปแสดงการมองเห็นแสงสตี า่ ง ๆ
ในกรณีที่มีความบกพร่องหรือความผิดปกติของเซลลร์ ปู กรวยชนิดใดชนดิ หนงึ่ จะทาให้เกิดความ
บกพร่องในการแยกแยะความแตกตา่ งของสี อาการดังกล่าวนเี้ รียกวา่ ตาบอดสี (colour blindness) เช่น
เซลล์รปู กรวยทีไ่ วต่อแสงสีแดงผิดปกติ ทาใหเ้ กิดตาบอดสีแดง ตาบอดสีที่พบมากที่สดุ คือ ตาบอดสีแดงและ
ตาบอดสเี ขยี ว ส่วนตาบอดสีน้าเงินพบน้อยมาก อาการตาบอดสเี ป็นการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมพบใน
เพศชายมากกวา่ เพศหญิง แต่ตาบอดสีในบางคนอาจเกดิ จากความผิดปกตขิ องเรตนิ าหรือความผดิ ปกติของ
ประสาทตา โดยปกติแลว้ เราจะไมส่ ามารถทราบไดว้ า่ มอี าการตาบอดสีหรอื ไม่แม้ว่าจะมอี าการตาบอดสีอยแู่ ล้ว
แตจ่ ะต้องผา่ นการตรวจโดยใชแ้ ผน่ ภาพทดสอบตาบอดสี จึงจะทราบวา่ มีอาการตาบอดสีหรือไม่