The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

OLE การเขียนแผนการสอน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sasinan915, 2022-09-10 00:42:57

OLE การเขียนแผนการสอน

OLE การเขียนแผนการสอน

โครงการวจิ ยั
กระบวนการพฒั นาครดู ว้ ยระบบหนุนนาต่อเนอื่ ง

5 คาถามหลกั สาหรบั ครใู นการออกแบบการเรยี นรู้(โครงการ Teacher Coaching)

1 - ต้องการให้ นร. ได้ ทกั ษะ และ ความรู้ ทีจ่ าเปน็ อะไรบ้าง
2 – จัดการเรียนรูอ้ ยา่ งไรให้ นร. ไดท้ กั ษะเหลา่ นน้ั
3 – ร้ไู ดอ้ ย่างไรว่า นร. ได้
4 - ทาอย่างไร กบั นร. บางคนที่ไม่ได้
5 - ทาอยา่ งไรกบั นร. บางคนท่ีเรียนเก่งกา้ วหนา้ ไปแล้ว

หลักการวิเคราะห์ช้ินงาน
เพ่อื ตรวจสอบพฤตกิ รรมนกั เรียน
ㆍ ครูต้องรู้ว่าใบงาน/ช้ินงาน ครูให้เดก็ ทาเพื่ออะไร
ㆍ ต้องการใหผ้ ้เู รยี นเกดิ คุณลกั ษณะ / สมรรถนะอะไร
เกณฑก์ ารตดั สินผลมอี ะไร
ถ้าเด็กทาไมไ่ ด้ตามทก่ี าหนดครจู ะแก้ปญั หาอย่างไร

สอดคล้อง O (objective) สอดคล้อง
มาตรฐานการเรยี นรู้
L (Learning) E (Evaluation)
การจัดการเรยี นรู้ (หลกั สตู ร) การประเมนิ

องิ มาตรฐาน องค์ประกอบสาคัญในการ องิ มาตรฐานการเรียนรู้
จัดการเรยี นรู้

สอดคลอ้ ง

8

แผนการจดั การเรียนรู้

สาระสาคญั

หมายถงึ แกน่ ของความรู้ ความคดิ (Concept) หรอื แก่นของหลกั การ วิธกี ารเรียนรู้ สาระสาคัญ ไมใ่ ช่
การคาดคะเนคดิ ขน้ึ มาลอย ๆ ของครู แต่นามาจากมาตรฐานและตวั ชวี้ ดั เพื่อใหน้ ักเรียนบรรลุตาม
มาตรฐานของหลักสูตร

วิธีการเขียนสาระสาคัญ ควรเขยี นให้ครบ 3 สว่ น (3ค) ไดแ้ ก่ คอื -ควร-คณุ ค่า ดงั นี้
คือ ไดแ้ ก่ การเขียนว่า สาระน้ันคืออะไร มลี ักษณะอยา่ งไร
ควร ได้แก่ การเขียนวา่ นกั เรยี นจะได้เรยี นรผู้ ่านกระบวนการ ขั้นตอน หรือทากิจกรรมอะไรบ้าง
คณุ ค่า ไดแ้ ก่ การเขยี นวา่ เมอ่ื เรียนแล้วจะเกดิ ประโยชน์อะไรบา้ ง

ตวั อย่าง
สาระสาคญั : การคาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเร่อื งทอ่ี ่าน หมายถงึ การคิด จนิ ตนาการ เร่อื งราวตอ่ จากเหตกุ ารณท์ อ่ี า่ น ว่าจะเกดิ ผลตอ่ เนอ่ื งดาเนนิ ไปอยา่ งไร เม่ือนกั เรียนฝกึ ใช้ความคดิ
เชอื่ มโยง ทาแบบฝกึ หดั หาสาเหตุ-ปัจจัยใด จะนาไปส่ผู ลอย่างไรแล้วจะชว่ ยคาดคะเนเหตุการณ์ได้อย่างมเี หตผุ ล เป็นผู้เขา้ ใจเหตุ-ผล หรือยอมรบั สิ่งทเี่ กดิ ขึน้ จากผลของการกระทาได้

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

หมายถงึ การตง้ั เป้าหมายว่าในคาบนี้ นักเรยี นจะได้รบั อะไรบ้าง ทง้ั ท่เี ป็นความรู้ เป็นความสามารถในการ
แสดงทกั ษะในเรอ่ื งทเี่ รยี น และพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ ดังน้นั จงึ มกั จะมี 3 สว่ น คือจุดประสงคด์ ้าน
เนื้อหาสาระ จุดประสงค์ดา้ นความสามารถหรือการแสดงออกดว้ ยกิจกรรม และจุดประสงคด์ า้ นอารมณ์
ความรู้สึก คณุ ลกั ษณะทด่ี ี

วธิ ีการเขียนจุดประสงค์
เขียนจดุ ประสงค์ให้ครบ 3 สว่ นได้แก่ ก. สถานการณ์ท่กี าหนด ข. พฤตกิ รรมทเ่ี รยี นรู้

และ ค. เกณฑก์ ารวัดประเมินผล

ตัวอยา่ งการเขียนจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จากตวั ชี้วัด ท่ี 3-4-5 (ป.1)
(ท่ีมคี รบทง้ั 2 มิติ คอื มี KPA รว่ มกบั สถานการณ์-พฤติกรรม-เกณฑ)์

สาระท่ี 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรู้และความคดิ เพือ่ นาไปใชต้ ดั สินใจ แกป้ ญั หาในการดาเนินชวี ติ และมีนิสยั รกั การอ่าน

ช้ัน ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.1 ป.1/3 ตอบคาถามเกี่ยวกับเรอ่ื งท่ีอา่ น - การอา่ นจบั ใจความจากสือ่ ต่างๆ เชน่

ป.1/4 เล่าเร่ืองยอ่ จากเร่ืองทีอ่ า่ น - นิทาน - เร่ืองสนั้ ๆ - บทร้องเล่นและบทเพลง
ป.1/5 คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเรื่องที่อ่าน - เรอ่ื งราวจากบทเรยี นในกลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
และกลมุ่ สาระการเรยี นรู้อื่น

“เมื่อกาหนดให้ (ก) ฟังและอา่ นเรอื่ ง ใบโบกในบวั แลว้ นกั เรียนสามารถ
1.(ข) (K) ตอบคาถามจากเรอื่ ง ได้ (ค) อยา่ งถูกต้อง
2.(ข) (P) คาดคะเนเรื่องเรอื่ งราวตอ่ จากทคี่ รกู าหนดให้ (ค) ได้อย่างมเี หตผุ ล
3.(ข) (P) สรุปเร่ืองราวของเรื่องตามความคิดของตนเองได้ (ค)อยา่ งเหมาะสม
4.(A) ภาคภูมใิ จในการสรปุ เรอ่ื งของตนเอง

จุดประสงค์เรียนรู้

เปน็ ความคาดหวังทจ่ี ะใหเ้ กดิ ขน้ึ กับผ้เู รียน 3 ดา้ น

1. ความรู้ รจู้ กั รจู้ า เข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป เชอ่ื มโยง ประเมิน เปรียบเทยี บ
ตีความ วจิ ารณ์

2. ทักษะ ปฏิบัติ แสดง นาเสนอ ตรวจสอบ ทดลอง สาธติ นาไปใช้ มสี ว่ นร่วม อภิปราย
ประยุกต์

3. เจตคติ ชื่นชม เหน็ คุณค่า ภมู ใิ จ รกั ศรทั ธา ซาบซึง้ หวงแหน นยิ ม พงึ พอใจ เห็น
ความสาคัญ เหน็ ประโยชน์ ยอมรับ

สาระการเรียนรู้

หมายถึง องคค์ วามรู้ ทักษะกระบวนการ และคณุ ลกั ษณะสาคัญทร่ี ะบุไว้ในมาตรฐานการเรยี นรทู้ ีน่ กั เรยี น
ตอ้ งร้แู ละปฏิบัติได”้

วธิ กี ารเขยี นสาระการเรียนรู้ จะต้องเขียนให้ครบท้งั สามส่วนมรี ายละเอียดดังนี้
1. องค์ความรู้ (K) (พทุ ธพิ ิสัย) หมายถึง เน้ือเร่อื งที่จะเรยี นในคาบนี้ หรอื วรรณกรรมที่จะเรยี นรใู้ นคาบน้ี หรอื องคค์ วามรทู้ ีจ่ ะได้รับใน
คาบนี้ สิ่งท่เี ป็นองค์ความรู้ เชน่ วรรณกรรม หลักภาษา นิทาน บทความ เพลง บทอ่าน ร้อยกรอง ฯลฯ
2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P) (ทักษะพสิ ยั ) หมายถงึ วิธกี ารท่นี กั เรยี นกระทาเพอ่ื ทจ่ี ะให้เกิดองค์ความรู้ หรือพฤติกรรมของนกั เรยี นทแ่ี สดง
วา่ กาลังเรียนรู้ แบง่ ออกเปน็ สองสว่ นคอื ทกั ษะ หมายถงึ สง่ิ ท่ีให้นกั เรยี นทาซา้ ๆเพอื่ ใหเ้ กิดความชานาญ ส่วนท่ีสองคือกระบวนการ
หมายถงึ ลาดับขั้นตอนท่ใี หน้ กั เรยี นกระทาไปตามลาดบั ขนั้ ตอนจนไปสคู่ วามสาเรจ็ ของประเด็นนั้นๆ สว่ นทแ่ี สดงวา่ เป็นทักษะหรอื
กระบวนการ เชน่ อา่ น เขียน พดู อภิปราย แสดง วเิ คราะห์ ประเมิน นาเสนอ เลน่ ทา รอ้ ง ฯลฯ
3. เจตคติ หรอื คณุ ลักษณะ(A) (จติ พิสยั ) หมายถงึ สงิ่ ท่เี กิดข้ึนในภาวะจติ ใจของนกั เรียนในขณะท่ีเรยี นรใู้ นเน้อื หาสาระตามประสบการณ์
ท่ีครจู ัดใหใ้ นคาบนี้

ตัวอย่างการเขยี นสาระการเรยี นรู้

สาระการเรียนรู้
ดา้ นเนื้อหาสาระ องคค์ วามรู้ (K)

1. หลักการอ่านในใจ
2. บทอ่านเร่อื ง ขนมไทยไรเ้ ทียมทาน ในหนงั สอื เรยี นภาษาไทย หน้า 14-16

ดา้ นทักษะ/กระบวนการ/กิจกรรมการเรยี น/วธิ ีการเรยี นรู้ (P)
1. ปฏิบัติการอ่านในใจ เรื่อง.....................
2. ตอบคาถามจากการอ่าน โดยการทาแบบฝกึ หดั ท.ี่ .......
3. ทกั ษะการเขยี นสรปุ เป็น Mapping

ดา้ นเจตคติ (A)
มีความพยายามในการสรปุ ความคดิ ให้เปน็ แผนผงั ด้วยตนเอง
(ตัว A จะตอ้ งเปน็ ผลตอ่ เน่ืองมาจาก ความรแู้ ละกิจกรรมทีป่ ฏิบตั ิในคาบนี้ คือมาจาก K-P)

สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้
วสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการ และแหล่งเรียนรตู้ ่างๆ ท่คี รูนามาเปน็ เคร่ืองมอื ช่วยสอน

ใหค้ วามรู้แกน่ กั เรียน
ตวั อย่างสือ่ และแหล่งเรยี นรู้

1. หอ้ งสมุดโรงเรียน
2. หนังสือและเอกสารต่างๆ
3. อนิ เทอร์เน็ต
4. ภูมิปญั ญา

การวดั และประเมินผล
หมายถึง การตรวจสอบผลการเรียนรวู้ ่า ตามทตี่ งั้ จดุ ประสงคไ์ วแ้ ล้วน้นั นักเรียนบรรลุผลตามจดุ ประสงคห์ รือไม่ เพยี งใด เพือ่ ทีจ่ ะได้

นาข้อมูลมาพฒั นาหรือเก็บข้อมูลไปสกู่ ารตัดสินผลได้ดว้ ย จึงตอ้ งแสดงให้ชัดเจนว่า ส่งิ ทจ่ี ะวัดคืออะไรซงึ่ ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์จะวัดด้วย
วธิ กี ารอยา่ งไร...มเี คร่อื งมอื สาหรับวัดคอื อะไร...และวัดแลว้ จะรู้ไดอ้ ย่างไรว่าเท่าไรจึงจะผ่าน ซึ่งถา้ ออกแบบเป็นตารางจะชว่ ยใหม้ องเหน็ ภาพได้

ชดั เจนขึน้ ดงั ตวั อย่าง

ส่ิงทจ่ี ะวดั วิธีการวดั เครือ่ งมอื ท่ีใช้ เกณฑ์ผา่ น
1. ตอบคาถามจากเรอ่ื งทอี่ า่ น สงั เกตการตอบคาถาม คาถาม ตอบถกู ต้องรอ้ ยละ 70
2. การเขยี นแผนภาพโครงเรอื่ งจากการอา่ น สังเกตการเขยี นและตรวจแผนภาพ เกณฑต์ รวจผลงาน ด้วย Scoring
โครงเรื่อง Rubric ร้อยละ 70
3. การเรียบเรยี งข้อมูลใหมแ่ ละเขียนสรปุ ความดว้ ย ตรวจผลงานการเขยี นสรุปความ เกณฑต์ รวจผลงาน ด้วย Scoring
สานวนภาษาของตนเอง ท่ีกระชบั สละสลวยส่อื Rubric ร้อยละ70
ความหมายไดช้ ัดเจน สัมภาษณ์ และสังเกตพฤตกิ รรม
4. ความภาคภมู ใิ จในงานของตนและการพัฒนา แบบบนั ทกึ การสมั ภาษณ์ และ พึงพอใจระดบั ปาน
ความสามารถในการอา่ นจับใจความ สงั เกตพฤติกรรม กลางข้ึนไป

กจิ กรรมการเรียนรู้

ขนั้ นำ
ขน้ั สอน
ขน้ั สรุป

การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ เพื่อการจัดการเรยี นร้ซู ่ึง
เรยี กว่าเปน็ แบบการสอนท่ยี ึดเด็กเป็นสาคญั มี 3 แนวทางดงั
รายละเอียดตอ่ ไปนี้

1. แนวการสอนเนน้ ครูเป็นศูนย์กลาง

2. แนวการสอนเนน้ สือ่ เป็นศนู ย์กลาง
3. แนวการสอนเนน้ เดก็ เป็นศูนย์กลาง

1. แนวการสอนเนน้ ครูเปน็ ศนู ย์กลาง มี 3 ลกั ษณะ (ครูบรรยาย/สาธติ นักเรยี นฝกึ ปฏบิ ตั ิ)

1.1 สอนแบบตรง (direct teaching)
1.2 สอนแบบวธิ ีนิรนยั (deductive method) (เนอื้ หาที่เกีย่ วกับกฎ ทฤษฎี หลักเกณฑ์)
1.3 วธิ ีทเ่ี น้นครเู ปน็ ศนู ยก์ ลาง (teacher-centered)

P1 Presentation (บอก/อธิบาย)
P2 Practice (ทาแบบฝกึ หดั )
P3 Production (นาความรูไ้ ปใช้สร้างชนิ้ งาน)

ลาดบั ของกิจกรรมการเรียนการสอน
1) ครแู จง้ จุดประสงค์การเรยี นรู้
2) ครอู ธบิ ายความหมายของพชื สมุนไพรโดยใชภ้ าพประกอบ
3) ครนู ักเรียนร่วมกันจดั ประเภทของพืชสมนุ ไพร รว่ มกนั เขยี นบนกระดาน P1
4) ครูนานักเรียนสรปุ
5) นกั เรียนทาแบบฝกึ หัด P2
6) ครใู ห้นกั เรียนทากิจกรรมนาความรู้ไปใช้ เชน่ สรา้ งมโนทัศนเ์ ก่ยี วกับสมนุ ไพร จดั ประเภทพืชสมนุ ไพรในโรงเรยี น เป็นตน้ P3

2. แนวการสอนเน้นสอ่ื เปน็ ศนู ยก์ ลาง
เปน็ การสอนแบบตรงบูรณาการใชส้ อ่ื การเรียนรู้ประกอบการเรียนการสอน
วิธที กี่ ารสอนเน้นสอื่ เป็นศูนยก์ ลาง
Pmedia Presentation with the Media (อธิบาย/นาเสนอใชส้ ่อื ประกอบ)
P Practice (ทาแบบฝกึ หดั )
P Production (นาความร้ไู ปสร้างผลงาน/ชิ้นงาน)
กิจกรรมการเรียนการสอน
1) ครูแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
2) ครูอธิบายความหมายของพืชสมุนไพรโดยใชส้ ื่อฯ จรงิ และสอ่ื ดิจทิ ัลประกอบ
3) ครสู าธติ การจัดประเภทของพืชสมุนไพร
4) ครูนานกั เรยี นสรุป
5) ให้นักเรียนทาแบบฝกึ หัด
6) ครใู ห้นกั เรียนสรา้ งผังมโนทัศนเ์ ก่ยี วกับพืชสมนุ ไพร เพอื่ ใช้อธบิ ายในชุมชน

3. แนวการสอนเนน้ เดก็ เปน็ ศูนยก์ ลาง มีลักษณะดังน้ี
3.1 สอนแบบออ้ ม (Indirect Teaching)
3.2 สอนแบบวิธอี ุปนัย (Inductive Method) (สอนจากตัวอยา่ งไปหากฎเกณฑ์)
3.3 วิธที ่ีเน้นเดก็ เปน็ ศนู ยก์ ลาง (Child-Centered)
C Construction of the new knowledge (สร้างความรู้)
I Interaction (ปฏิสมั พันธ์)
P Process of learning (กระบวนการเรียนรู้)
P1 Presentation (บอก/อธบิ าย)
P2 Practice (ทาแบบฝึกหดั )
P3 Production (นาความรูไ้ ปใชส้ ร้างชิ้นงาน)

กิจกรรมการเรยี นการสอน
1) ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
2) นาส่ิงเร้ามานักเรียนใหด้ ูแลว้ เกิดความสงสัย หรือระบุคาถามสาคญั คอื
2.1 พชื สมนุ ไพรมกี ่ปี ระเภทและใชเ้ กณฑใ์ ดจาแนกได้บ้าง
2.2 ควรใหค้ วามหมายของพชื สมนุ ไพรว่าอยา่ งไร
3) จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นทบทวนประสบการณ์เดิมตามคาถามข้างตน้
โดยใช้การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือแบบคิดเดยี่ ว-คดิ ค-ู่ คดิ เปน็ ทีม (think-pair-share)
4) กลมุ่ ศกึ ษาสารวจสมุนไพรจากแหล่งตา่ ง ๆ และจากตารา
5) กล่มุ รว่ มกันจาแนกประเภทพืชสมนุ ไพรด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ ตามใบงานทกี่ าหนด
6) กลุ่มวเิ คราะห์ข้อมลู และตอบคาถาม
7) สร้างคาอธบิ ายด้วยตนเอง และนาเสนอผลงานตอ่ ชัน้ เรยี น
8) ครเู ชือ่ มโยงการสรปุ ผลของนักเรียนกับสาระที่ครเู ตรยี มมา (P1)
9) นกั เรยี นทาแบบฝึกหัด (P2)
10) นกั เรียนนาความรู้ไปประยกุ ตส์ รา้ งผลงานตามความสนใจ เชน่ สมดุ ภาพ แตง่ กลอน ทาโครงงานประเภทตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับพชื สมุนไพร เปน็ ต้น (P3)

เทคนิคการนาเขา้ ส่บู ทเรยี น
1.ใช้อุปกรณ์การสอน เชน่ ของจรงิ รปู ภาพ แผนท่ี แผนภูมิ
2.ใหน้ ักเรยี นลองทากจิ กรรมบางอยา่ งท่ีสมั พนั ธก์ ับบทเรยี น เชน่ การใหย้ ืนแสดงท่าทางต่าง ๆ
3.ใชเ้ ร่ืองเล่านิทาน หรอื เหตุการณต์ ่าง ๆ โยงมาสเู่ รอื่ งที่จะสอน
4.ตง้ั ปญั หา ทายปญั หา เพ่ือเร้าความสนใจของนักเรียนใหค้ ิดหาคาตอบ
5.สนทนาซักถามถงึ เร่อื งราวตา่ งๆเพ่อื นาเข้าสู่บทเรียน
6.แสดงละครหรอื บทบาทสมมตุ ิเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นสนใจ
8.รอ้ งเพลงซึ่งเป็นเพลงเก่ียวกบั เรอ่ื งท่จี ะสอน
เทคนคิ การสรุปบทเรยี น
1.สรุปโดยอธบิ ายสัน้ ๆ ชดั เจน ทบทวนสาระสาคัญทเ่ี รยี นมา
2.สรปุ โดยอปุ กรณ์หรือรูปภาพประกอบ
3.สรปุ โดยสนทนาซักถาม
4.สรุปโดยสรา้ งสถานการณ์
5.สรุปโดยนทิ านหรอื สุภาษติ
6.สรุปโดยการปฏบิ ตั ิ











การจดั การเรยี นรู้แบบใหม่ Open approach & Lesson Study

การวางแผนการจดั การเรียนรู้ การนาเสนอ การเรียนร้ดู ว้ ย
(Collaborative Plan) ปัญหาปลายเปิด ตนเองของนกั เรียน

การร่วมมอื กัน การรว่ มมอื กนั การสรุปผา่ นการ การอภิปราย
สะทอ้ นผลการจัดการเรยี นรู้ สงั เกตการจัดการเรียนรู้ เชอ่ื มโยงแนวคดิ ร่วมกันท้ังชั้นเรียน
(Collaborative Do) ของนักเรยี นที่
(Collaborative See) เกิดขนึ้ ในชนั้ เรยี น

วิธกี ารแบบเปดิ (Open Approach) หมายถึง วิธกี ารจัดการเรยี นรูส้ อนทเ่ี นน้ การแก้

ปัญหาแบบเปิดกระตนุ้ ให้นกั เรียนคิดอยา่ งหลากหลาย โดยแบ่งเปน็ 4 ขนั้ ตอน ดังนี้
1. การนาเสนอปัญหาปลายเปิด หมายถงึ ขั้นตอนที่ครนู างานมาเสนอหน้าช้นั โดยอาจติด

สถานการณ์ปญั หาปลายเปิดในรปู แบบทีช่ ดั เจนที่นกั เรียนทาความเขา้ ใจงา่ ย
2. การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองของนักเรยี น หมายถงึ ข้ันตอนทคี่ รใู หน้ ักเรียนแก้ปญั หา

จากใบงานที่ครนู าเสนอ อาจแกป้ ญั หาเปน็ รายบคุ คลหรือเป็นกลุม่ ในขณะท่คี รูทาหนา้ ที่
สังเกตการณ์แกป้ ญั หาของนักเรียน

3. การอภปิ รายรว่ มกันทงั้ ชั้นเรยี น หมายถงึ ขัน้ ตอนทีค่ รูใหน้ กั เรยี นแต่ละกล่มุ ออกมา
นาเสนอวธิ คี ิดของแตล่ ะคนจากการร้ดู ้วยตนเองจากสถานการณป์ ัญหาปลายเปิดทีค่ รูกาหนดโดย
ใหน้ ักเรยี นกล่มุ อ่ืนๆต้ังประเดน็ ซักถาม

4. การสรุปโดยการเชอื่ มโยงแนวคิดของนักเรยี นท่เี กดิ ขึน้ ในห้องเรยี น หมายถงึ ขั้นตอนท่ีครู
พยายามใหน้ ักเรยี นสรปุ วิธกี ารแก้ปัญหาของเพ่ือนแต่ละกล่มุ


Click to View FlipBook Version