้
กลวยน้ำวำ
้
้
กล้วยน ้ำวำ เป็นพืชล้มลุก ประเภทใบเดี่ยว ออกลูกเป็นเครือ
ขยายพันธุ์ด้วยหน่อหรือเหง้า(เหง้าหรือลำต้นใต้ดิน)ส่วนลำต้นที่
อยู่บนดินเกิดจากกาบใบที่หุ้มซ้อนๆ กัน ออกดอกเป็นช่อ
เรียกว่า ‘หัวปลี’ พบว่าเป็นพื้นบ้านแถบเมืองร้อน มีถิ่น
กำเนิดในพื้นที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุที่นิยมปลูก
กล้วยน้ำว้ากันมาก เนื่องจากทนทานต่อสภาพอากาศได้
ดีกว่ากล้วยพันธุ์อื่นๆ ชอบอากาศร้อนชื้น และจะให้
ผลผลิตที่ดีมากในสภาวะอากาศที่ไม่แปรปรวน
สายพันธุ์กล้วยน้ำว้า มีมากกว่า 10 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ กล้วยน้ำว้า ที่มี
มานาน และชื่อเสียงโด่งดังก็คือ กล้วยน้ำว้าพันธุ์มะลิอ่อง สายพันธุ์ที่มีการ
สนับสนุนให้ปลูกกันมาก คือ กล้วยน้ำว้าพันธุ์ปากช่อง 50 และสายพันธุ์ที่ให้ผล
ผลิตสูง คือ กล้วยน้ำว้าพันธุ์ยักษ์
้
กล้วยน ้ำวำมะลิอ่อง (หรือ กล้วยน้ำว้าขาว)
เป็นพันธุ์โบราณดั้งเดิม พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย สามารถ
รับประทานได้ทั้งผลสดและแปรรูป ใช้หน่อในการขยายพันธุ์ มีหลายชื่อให้เรียก
ต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
• ภาคเหนือ เรียกว่า กล้วยน้ำว้ามณีอ่อง
• ภาคอีสาน เรียกว่า กล้วยน้ำว้าทะนีอ่อง
• ภาคกลาง เรียกว่า กล้วยน้ำว้าอ่อง หรือ กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง
• ภาคใต้ เรียกว่า กล้วยน้ำว้าใต้
กล้วยน้ำว้าพันธุ์มะลิอ่อง เมื่อสุกมีรสชาติหวานไม่ฝาด เปลือกสีจะเหลือง
ทองเข้มกว่าพันธุ์อื่น เนื้อละเอียดนุ่ม ไส้ขาว ไม่มีเมล็ด แต่เวลาสุกงอม ลูกจะ
หลุดจากหวีง่ายเพราะขั้วอ่อน กล้วยน้ำว้าเขียว (หรือ กล้วยน้ำว้าทอง กล้วย
น้ำว้าทองลอยมา กล้วยน้ำว้าดง กล้วยน้ำว้าไส้แดง) ใช้ผลแปรรูปหรือ
รับประทานสด ลำต้นกาบด้านนอกมีสีเขียวอ่อนประดำ ก้านใบเขียวนวล ปลี
ค่อนข้างใหญ่ เปลือกผลสีเขียวสด กลม มีจุก เมื่อสุกจะมีสีเหลืองปนเขียว ก้าน
ผลยาว
้
ั
กล้วยน ้ำวำนวลจนทร์ ( กล้วยน้ำว้าเงิน กล้วยน้ำว้าหนัง )
ผลมีขนาดใหญ่ ป้อม ทรงกระบอก ปลายค่อนข้างแหลม ผลดิบ เปลือกสี
เขียว อมขาว นวล กว่ากล้วยน้ำว้าพันธุ์อื่นผลสุก เปลือกสีเหลืองนวล เนื้อสีขาว
อมชมพู หวานจัด เนื้อแน่น กลิ่นหอมอ่อนๆ อร่อยมาก หน่อมีราคาสูงเพราะ
ค่อนข้างหายาก
้
ุ
่
กล้วยน ้ำวำพันธ์คอม
ใช้รับประทานสดและแปรรูป ก้านผลยาว มีช่องว่างระหว่างหวีน้อยกว่า
กล้วยน้ำว้าอื่นๆ ค่อนข้างเบียดกันแน่น ผลจึงเรียวแหลม เมื่อสุกมีสีเหลืองอม
ขาว ไส้กลางสีเหลือง รสหวาน
้
ุ
กล้วยน ้ำวำพันธ์ดำ
ส่วนใหญ่พบในพื้นที่ภาคกลาง ใช้รับประทานสด กาบด้านนอกและโคน
ก้านใบมีปื้นดำ ผลอ่อนมีลายตามผิว สีผลเหมือนสนิม ผลแก่ลายเกือบเต็มผล มี
ี
สีน้ำตาลเข้ม ผลสุกส่วนสีเขียวจะกลายเป็นสีเหลือง ส่วนที่เป็นสีน้ำตาลจะซดลง
เปลือกบาง เนื้อผลสีขาว รสหวานมีกลิ่นเล็กน้อย
ี
้
กลวยน ้ำว้ำโชควิเชยร ( ค้นพบโดย คุณวิเชียร เนียมจ้อย อ. บางใหญ่
จ. นนทบุรี )
ใช้รับประทานสด หรือแปรรูป และใช้ในงานพิธี ผลสั้น ป้อม กลม อ้วน 1
เครือ มีได้มากที่สุดประมาณ 22 หวี 1หวีมีได้มากที่สุดประมาณ 17-19 ลูก
รสชาติดี นุ่ม เก็บไว้ได้นาน ขั้วเหนียว แก่แล้วไม่หลุดจากขั้ว
้
กล้วยน ้ำวำท่ำยำง (แหล่งกำเนิดอยู่ที่ อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี)
ไส้เหลือง ผลมนยาวและผลใหญ่กว่าพันธุ์มะลิอ่อง ไม่มีเมล็ด ต้นสมบูรณ์มี
ประมาณ 15-18 หวีต่อเครือ 22-25 ลูกต่อหวี รสชาติหวานนุ่มลิ้น เนื้อนิ่ม ไส้
นุ่มหอม
้
ุ
กล้วยน ้ำวำพันธ์ยกษ์
ั
เป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พระราชทานให้กับชาวบ้านที่ทุ่งกุลาร้องไห้ จ. สุรินทร์ ปลูก เมื่อมีชาวบ้านที่ย้าย
ถิ่นฐานมายัง จ. กาญจนบุรี จึงนำพันธุ์กล้วยมาปลูกที่นั่นด้วย แหล่งที่พบมาก
ที่สุดจึงอยู่ที่ จ. กาญจนบุรี
ุ
้
่
กล้วยน ้ำวำพันธ์ปำกชอง 50 ( กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองอุบล )
อ. กัลยาณี สุวิทวัส นักวิจัยชำนาญการพิเศษ สถานีวิจัยปากช่อง สถาบัน
อินทรีย์จันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้วิจัยกล้วยน้ำว้าพันธุ์ปากช่อง 50 โดย
ศึกษากล้วยน้ำว้าพันธุ์อุบลฯ ทำการคัดสายพันธุ์ และนำไปทดสอบจนสามารถ
ออกพันธุ์ในนามกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ในปี พ.ศ. 2551 ในงานฉลอง
ครบรอบ 50 ปี สถานีวิจัยปากช่องผลดิบ มีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง ไส้สีเหลือง
เจริญเติบโตสูง ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ผลใหญ่สม่ำเสมอ ก้านผลยาว เปลือก
หนา เนื้อแน่น (ดัดแปลงจาก: กล้วยน้ำว้า …สายพันธุ์ยักษ์)
้
หลกกำรปลกกลวยน้ำวำ
ั
ู
้
่
้
1. กำรเตรียมพืนทีปลูก ควรเป็นพื้นที่ที่
• น้ำท่วมไม่ถึง
• ดินร่วนซุย หรือดินเหนียวปนทราย จะเหมาะมาก
• พื้นที่ที่เป็นดินเหนียว ควรยกร่องและปลูกบนสันร่องทั้ง 2 ข้าง
• ระบายน้ำได้ดี
• ไม่เป็นแอ่ง และมีความลาดเท เพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน
• มีธาตุอาหารสมบูรณ์ สามารถเพิ่มธาตุอาหารในดินโดยการปลูก ‘ปอ
เทือง’ แล้วไถกลบ
• มีการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชที่ตกค้างในดิน โดยการพลิกหน้าดินตากทิ้ง
ไว้ประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้น คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือ ปุ๋ยหมักกับดินชั้น
บน)
่
ี
ิ
วธกำรเตรยมพืนทปลก
ี
้
ี
ู
1.1 ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินร่วนซุย และดินเหนียวปนทราย ระบาย
น้ำได้ดี เหมาะในการปลูกกล้วย กล้วยเป็นพืชที่ดูดอาหารมาก เพราะฉะนั้น ดิน
ควรแน่นพอสมควรเพื่อเก็บความชื้นไว้ได้นาน กล้วยจะเจริญเติบโตได้ดี มี
ผลผลิตให้เก็บตลอดทั้งปีถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีฝนตกตลอดทั้งปี หรือดินฟ้าอากาศ
คงที่ แต่จะชะลอการเจริญเติบโตในฤดูแล้งหรือฤดูหนาวการปลูกพืชตระกูลถั่ว
คลุมดินก่อนปลูกกล้วยช่วยฟื้นฟูและพลิกฟื้นดินที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีความ
อุดมสมบูรณ์ เช่น ถั่วแระ ถั่วพุ่ม ปอเทือง ถั่วคุดซู ถั่วแลบแลบ ถั่วคาโลโปโก
เนียมเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบให้พืชคลุมดินฝั่งลึกประมาณ 60 ซม.ให้เป็นปุ๋ยสด
เป็นธาตุอาหารแก่กล้วย ถ้าต้องการให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเติมปุ๋ยคอกลงไปด้วยจะ
ช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น
1.2 อุณหภูมิ ที่เหมาะสมคือ ไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส หรือไม่สูงกว่า
35 องศาเซลเซียส กล้วยน้ำว้าชอบอากาศอบอุ่นและร้อนชื้นอุณหภูมิต่ำ ทำให้
กล้วยแทงปลีช้า
1.3 ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกกล้วย คือ ฤดูฝนเริ่มลงมือปลูกต้นฤดู
ภายใน 1 เดือนหลังจากนั้น กล้วยจะมียอดอ่อนโผล่เมื่อได้รับน้ำฝนพื้นที่ที่มีฝน
ตกชุก สามารถปลูกได้หลังเก็บเกี่ยวผลทันที แต่น้ำฝนต้องมีปริมาณไม่น้อยกว่า
50 นิ้วต่อปี
1.4 แหล่งน้ำ เป็นปัจจัยสำคัญของการปลูกกล้วยลำต้นที่อวบของกล้วย
นั้นจะอุ้มน้ำไว้มาก เพราะกล้วยต้องการน้ำมาก เกษตรกรควรหาแหล่งน้ำ หรือ
จัดทำระบบน้ำให้เข้าสวนอย่างมีระบบ เมื่อมีฝนตกน้อยหรืออยู่ในภาวะแห้งแล้ง
ส่วนใหญ่นิยมยกแปลงทำร่องสวน ปลูกกล้วยน้ำว้าไว้บนแปลงที่ยกขึ้นมา และ
สูบน้ำไว้ในร่องน้ำที่ขุด น้ำที่ขังสามารถซึมเข้าใต้ผิวดินให้ความชุ่มชื้นกับกล้วยได้
ตลอดปี
2.
2.1 แบบพื้นที่ราบ
• กำจัดพืชให้หมด แล้วพลิกหน้าดิน ปล่อยตากแดดไว้ 1 สัปดาห์
• ขุดหลุมขนาด กว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร ลึก 50
เซนติเมตร แต่ละหลุมควรห่างประมาณ 5 เมตร (ปลูกได้ประมาณ 64
ต้น ต่อพื้นที่ 1 ไร่) เพื่อสะดวกในการพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ตัดใบ และยังทำให้
อากาศหมุนเวียนหรือถ่ายเทได้ดี ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกทางหนึ่ง
• รองก้นหลุมด้วยดินผสมปุ๋ยคอกสูงประมาณ 20 เซนติเมตร
• ตัดรากหน่อกล้วยออกให้หมด แล้ววางลงกลางหลุม
• กลบดินหลวมๆ แล้วเหยียบดินรอบโคนต้นให้แน่น
• รดน้ำให้ชุ่ม
2.2 แบบยกร่อง นิยมใช้ในภาคกลางของประเทศไทย
• ขุดร่องสวน นำดินที่ขุดขึ้นมาทำแปลงยกขึ้น แล้วปลูกบนแปลงที่ยก โดยมี
ระยะห่างต่อแถวไม่เกิน 3 เมตร ระยะระหว่างต้น 3 เมตร
• ระยะการปลูกขึ้นอยู่กับดินด้วย ว่ามีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกห่าง
ได้ ถ้าดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ให้ปลูกถี่ เพื่อไม่ให้ต้นกล้วยมีขนาดเล็ก
กำรปลูกและกำรดูแลกล้วย
กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ซึ่งเหมาะกับการปลูกในประเทศไทย
ถ้าหากอุณหภูมิต่ำกว่า ๑๔ องศาเซลเซียส กล้วยจะชะงักการเจริญเติบโต หรือมี
่
การเติบโตช้าลง รวมทั้งการออกดอกและติดผลจะช้าด้วย อนึ่ง กล้วยเป็นพืชทีมี
แผ่นใบใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยทนต่อแรงลม เพราะใบจะต้านลม ทำให้ใบแตกได้
ถ้าหากใบแตกมากจนเป็น ฝอย จะทำให้มีการสังเคราะห์อาหารได้น้อย ต้นไม่
เจริญเท่าที่ควร ดังนั้นถ้าพื้นที่ที่มีลมแรงมาก ควรปลูกต้นไม้อื่นทำเป็นแนวกันลม
ให้ต้นกล้วย
ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกกล้วยคือ ดินตะกอนธารน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า
"ดินน้ำไหลทรายมูล" ซึ่งเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำ และ
การหมุนเวียนอากาศดี ถ้าดินเป็นดินเหนียว ควรใส่ปุ๋ยคอก จะทำให้ดินร่วนโปร่ง
ขึ้น
ระยะปลูก
กล้วยเป็นพืชที่มีใบยาว หากปลูกในระยะใกล้กันมาก อาจทำให้ใบเกยกัน
หรือซ้อนกัน ทำให้ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ และดูแลลำบาก การกำหนดระยะ
ปลูกจึงควรคำนึงถึงเรื่องแสงแดด ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และความต้องการ
ของผู้ปลูกว่าต้องการปลูกกล้วยเพื่อเก็บเกี่ยวกี่ครั้ง หากต้องการเก็บเกี่ยวเพียง
ครั้งเดียวก็อาจปลูกถี่ได้ แต่ถ้าต้องการเก็บเกี่ยวหลายๆ ครั้ง ต้องปลูกให้ห่างกัน
เพื่อมีพื้นที่สำหรับการแตกหน่อ
กำรปลูก
ขุดหลุมให้มีขนาดความ กว้าง ๕๐ เซนติเมตร ลึก ๕๐ เซนติเมตร นำดินที่
ขุดได้กองตากไว้ ๕ - ๗ วัน หลังจากนั้นเอาดินชั้นบนที่ตากไว้ลงไปก้นหลุม ใส่
ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว ให้สูงขึ้นมาประมาณ ๒๐
เซนติเมตร คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบนที่ใส่ลงไป แล้วจึงเอาหน่อ
กล้วยที่เตรียมไว้ วางที่ตรงกลางหลุม เอาดินล่างกลบ รดน้ำ และกดดินให้แน่น
ยอดของหน่อควรสูงกว่าระดับดินประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ควรหันรอยแผลของ
หน่อให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อโตเต็มที่และติดผล ผลจะเกิดในทิศทางที่
ตรงกันข้ามกับรอยแผล และอยู่ในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการทำงาน แต่
หากเป็นต้นที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะไม่มีทิศทางของรอยแผล ในการ
วางต้นจึงจำเป็นต้องมีทิศทาง
ถ้าหากพื้นที่นั้นเป็นดินเหนียว ควรทำการยกร่อง จะได้ระบายน้ำ และ
ปลูกบนสันร่องทั้ง ๒ ข้าง และเพื่อให้การปฏิบัติงานทำได้ง่าย ควรวางหน่อให้
กล้วยออกเครือไปทางกลางร่อง
กำรก ำจัดหน่อ
เมื่อต้นกล้วยมีอายุได้ ๔ - ๖ เดือน จะเริ่มมีการแตกหน่อ หน่อที่เกิดมา
เรียกว่า หน่อตาม (follower) กล้วยบางพันธุ์ที่มีหน่อมาก ควรเอาหน่อออกบ้าง
เพื่อมิให้หน่อแย่งอาหารจากต้นแม่ ควรเก็บหน่อไว้ ๑ - ๒ หน่อ เพื่อให้เป็นตัว
พยุงต้นแม่เมื่อมีลมแรง และเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีต่อไป วิธีการกำจัดหน่อ
อาจใช้เสียมที่คมหรือมีดแซะลงไป หรือใช้มีดตัดหรือคว้านหน่อที่อยู่เหนือดิน
แล้วใช้น้ำมันก๊าด หรือสารกำจัดวัชพืชหยอดที่บริเวณจุดเจริญ เพื่อไม่ให้มีการ
เจริญเป็นต้น แต่ไม่ควรแซะหน่อในระหว่างการออกดอก เพราะต้นอาจ
กระทบกระเทือนได้
นอกจากการกำจัดหน่อแล้ว ควรตัดใบที่แห้งออก เพราะถ้าทิ้งไว้อาจเป็น
แหล่ง สะสมโรค ใน ๑ ต้น ควรเก็บใบไว้ประมาณ ๗ - ๑๒ ใบ
ุ
กำรให้ปย
๋
กล้วยเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารมาก การติดผลจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่
กับอาหารและน้ำที่ได้รับ ดังนั้นควรบำรุงโดยใส่ปุ๋ย ทั้งปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก และ
ปุ๋ยเคมี ตั้งแต่เริ่มปลูก ในระยะแรกควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากในช่วง ๒ เดือน
แรก โดยให้ปุ๋ยยูเรียเดือนละครั้ง และเดือนที่ ๓ และ ๔ ให้ปุ๋ยสูตร ๑๕ - ๑๕ -
๑๕ ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม ส่วนในเดือนที่ ๕ และ ๖ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑
ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม
กำรค ้ำยน
ั
กล้วยบางพันธุ์มีผลดกมาก โดยมีจำนวนหวีมากและผลใหญ่ ต้นที่มีขนาด
เล็ก หากไม่ค้ำไว้ ต้นอาจล้ม ทำให้เครือหักได้ เช่น กล้วยหอมทอง กล้วยไข่
จำเป็นต้องค้ำบริเวณโคนเครือกล้วยไว้ โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นที่มีง่าม
กำรให้ผล
กล้วยจะออกดอกเมื่ออายุต่างกันตามชนิดของกล้วย เช่น กล้วยไข่ เริ่ม
ออกดอกเมื่ออายุประมาณ ๕ - ๖ เดือน และกล้วยหอมทองจะเริ่มออกดอกเมื่อ
อายุได้ประมาณ ๖ - ๗ เดือน ส่วนกล้วยน้ำว้า และกล้วยหักมุกใช้เวลานานกว่า
และผลจะแก่ ในระยะเวลาที่ต่างกัน ดังแสดงในตารางที่ ๒
กำรคลุมถุง
ถ้าหากปลูกกล้วยเพื่อการส่งออก ควรทำการคลุมถุง ถุงที่ใช้ควรเป็น
ถุงพลาสติกสีฟ้าขนาดใหญ่ และยาวกว่าเครือกล้วย เจาะรูเป็นระยะๆ และเปิด
ปากถุง ทำให้มีอากาศถ่ายเทได้ ถ้าหากไม่เจาะรูและปิดปากถุง อาจทำให้กล้วย
เน่าได้
่
ู
โรคและแมลงศัตรทีสำคัญของกล้วย
่
่
ั
ื
โรคทีระบำดในกล้วยทีส ำคญคอ
• โรคตำยพรำย
(Panama
disease หรือ
Fusarium wilt)
เกิดจากเชื้อรา Fusarium oxysporum f.sp. Cubense เข้าทำลาย
ราก และมีการเจริญเข้าไปในท่อน้ำ ท่ออาหาร ทำให้เกิดอุดตัน ใบจึงมี
อาการขาดน้ำ เหี่ยวเฉา และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หักพับ การเจริญจะ
ชะงักงัน และตายในที่สุด โรคนี้สามารถระบาดไปทางดิน ดังนั้นต้นที่อยู่ใน
บริเวณนั้นจะถูกโรคนี้ทำลายหมด จึงควรทำความสะอาดโคนกอกล้วย
อย่าให้รก ทำทางระบายน้ำให้ดี และราดด้วยแคปแทน ๔๐ กรัมต่อน้ำ
๒๐ ลิตร
• โรคใบจด (Leaf spot)
ุ
โรคใบจุด มีหลายชนิด เช่น โรคซิกาโตกาสีเหลือง เฟโอเซปทอเรีย
ใบจุด ใบจุดสีดำ ใบจุดสีน้ำตาล ใบจุดสีกระ แต่ละโรคเกิดจากเชื้อราต่าง
ชนิดกัน ส่วนใหญ่โรคที่พบในกล้วยหอมทอง คือ โรคเฟโอเซปทอเรียใบจุด
เกิดจากเชื้อรา Phaeoseptoria musae ลักษณะอาการคือ ใบเกิดเป็นจุด
เล็กขนาดเท่าหัวเข็มหมุด สีน้ำตาลดำ รูปร่างยาวรี เมื่อความชื้นเหมาะสม
แผลตรงกลางจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอ่อนปนเทา ขอบแผลเป็นแถบสีน้ำตาล
เข้ม และรอบนอกเป็นสีเหลือง เมื่อเริ่มมีโรคระบาด ควรพ่นด้วยเบนโนมิล
๑๐ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร ที่ใบ โรคใบจุดที่พบอีกชนิดคือ โรคซิกาโตกาสี
เหลือง เกิดจากเชื้อรา Cercospora musae มีลักษณะอาการคือ เกิดจุด
เล็กๆ สีเหลือง ต่อมาจุดนี้ขยายใหญ่ เป็นขีดสีเหลืองขนานไปตามเส้นใบ
ขนาดของแผลโตขึ้น มีรูปร่างเหมือนไข่ ตรงกลางแห้งเป็นสีน้ำตาลปนเทา
ถ้าพบโรคใบจุดเหล่านี้ ควรตัดใบที่แสดงอาการของโรคมาเผาทิ้ง และพ่น
ใบที่เหลือด้วยคาร์เบนดาซิม ๑๖ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร
่
ั
ื
ั
ู
แมลงศตรทีส ำคญของกล้วยในประเทศไทยคอ
• ด้วงงวง (stock weevil)
ด้วงงวง จะเข้าทำลายที่รากและเหง้ากล้วย ทำให้ต้นกล้วยชะงักการ
เจริญเติบโต ใบเหี่ยวเฉา และตายในที่สุด ควรถางบริเวณโคนของกอกล้วย
ให้สะอาด อย่าให้รกหรือมีวัชพืช
• หนอนม้วนใบ (leaf roller)
ผีเสื้อจะมาวางไข่ในใบยอดที่ยังไม่คลี่ หลังจากนั้นไข่จะฟักเป็นตัว
อ่อนเจริญอยู่ในใบอ่อนที่ยังม้วนอยู่ ตัวหนอนจะกัดกินใบอ่อน ทำให้ใบ
แหว่ง เป็นรูพรุน หรือฉีกขาด และม้วนตัวอย่างรวดเร็ว จึงควรตัดใบที่ถูก
ทำลายมาเผาไฟให้หมด
์
ุ
กำรขยำยพันธ
โดยกำรใชเมล็ด
้
กล้วยกินได้บางต้นมีเมล็ด บางต้นไม่มีเมล็ด เมล็ดของกล้วย ส่วนใหญ่เกิด
จากการผสมข้ามกับกล้วยต้นอื่นหรือพันธุ์อื่น ดังนั้นเมล็ดที่ได้อาจเกิดจากการ
ผสมข้ามจะกลายเป็นลูกผสม ทำให้ต้นที่ได้ไม่ตรงกับต้นแม่นัก และเนื่องจาก
เมล็ดของกล้วยมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาและแข็ง ต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะ
เพาะเมล็ดเป็นต้นได้ จึงไม่ค่อยนิยมการเพาะเมล็ดกล้วย ยกเว้นกล้วยนวลและ
กล้วยผาที่จำเป็นต้องเพาะเมล็ด เพราะต้นกล้วยชนิดนี้ไม่มีการแตกหน่อ
้
โดยกำรใชหน่อ
ปกติกล้วยมีการแตกหน่อจากตาข้างของต้นแม่ หน่อกล้วยมี ๓ แบบ
ใหญ่ๆ คือ
หน่ออ่อน (peeper)
เป็นหน่ออ่อนมาก เกิดจากต้นแม่ที่ยังมีส่วนประกอบต่างๆ ไม่ครบ ส่วน
ของลำต้นเล็กมักจะอ่อนแอ ไม่เหมาะในการนำไปขยายพันธุ์
หน่อใบแคบ หรือ ใบดำบ (sword sucker)
เป็นหน่อที่มีใบเรียวเล็ก โคนหน่อใหญ่ หรือมีส่วนของลำต้นใหญ่ จึงมี
อาหารสะสมมาก หน่อชนิดนี้นิยมนำไปปลูกเพราะจะได้ต้นที่แข็งแรง
หน่อใบกว้ำง
หน่อชนิดนี้มีโคนหน่อหรือลำต้นเล็ก ใบคลี่โตกว้าง ไม่เหมาะที่จะนำไป
ปลูก เพราะมีอาหารสะสมในลำต้นน้อย ต้นที่ปลูกจากหน่อชนิดนี้จึงไม่แข็งแรง
นอกจากหน่อทั้ง ๓ ชนิดดังกล่าวแล้ว อาจใช้ต้นแม่ซึ่งมีตาติดอยู่ มาผ่า
เป็นชิ้นๆ และชำก็ได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
่
้
ื
โดยกำรเพำะเลียงเนือเยอ (Tissue culture)
้
วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยม เพราะเป็นวิธีที่ขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากในเวลาอัน
สั้น จากหน่อที่สมบูรณ์ ๑ หน่อ อาจขยายได้ถึง ๑๐,๐๐๐ ต้น ในเวลา ๑ ปี ถ้า
หากมีการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด วิธีนี้เหมาะสำหรับการปลูกเพื่อการส่งออก
เพราะว่าการส่งออกต้องการจำนวนต้นปลูกที่มีขนาดสม่ำเสมอ ปลูกพร้อมๆ กัน
เป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีการเก็บเกี่ยวผลได้พร้อมๆ กัน และมีน้ำหนักมากกว่า
๑ ตันขึ้นไป สำหรับบรรจุ ใส่ตู้ขนส่งในการส่งออก เนื่องจากการส่งออกไป
จำหน่ายในต่างประเทศนั้น ถ้ามีจำนวนน้อยจะไม่เพียงพอกับการส่งออก และไม่
คุ้มกับการลงทุน
่
้
ื
้
้
วิธีกำรเพำะเลยงเนือเยอกลวย
ี
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยเป็นวิธีการที่ไม่ยากนัก แต่ต้องลงทุนมาก
เพราะจะต้องมีห้องที่ปลอดเชื้อ ตู้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอาหารเพาะเลี้ยงที่มี
สูตรอาหารพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่ของอาหารนั้นจะเลียนแบบอาหารที่พืชได้จากการ
ปลูกแบบธรรมชาตินั่นเอง คือ จะต้องประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่
ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) และธาตุอาหารรอง คือ
แมงกานีส (Mn) โซเดียม (Na) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กำมะถัน (S)
เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) โบรอน (B) นอกจากนี้ยังต้องมีวิตามิน
ปริมาณที่ใช้ตามสูตรอาหาร MS (Murashige & Skoog, 1962) และฮอร์โมน
เพื่อช่วยในการขยายพันธุ์ให้มีการแตกกอมากขึ้นคือ ฮอร์โมน BA (Benzyl
Adenine) ในระดับความเข้มข้นที่เหมาะกับกล้วยประมาณ ๓ - ๕ ppm หรือ
อาจใช้น้ำมะพร้าวประมาณร้อยละ ๑๕ ต่อปริมาตรของอาหารก็ได้ จะช่วยให้มี
การแตกหน่อเพิ่มมากขึ้น สำหรับแหล่งของธาตุคาร์บอน (C) จะได้จากน้ำตาล
โดยใช้น้ำตาลร้อยละ ๒ - ๔ โดยปริมาณ เมื่อผสมอาหารทุกอย่างแล้ว ปรับความ
เป็นกรดด่าง (pH) ที่ ๕.๖ - ๖.๘ โดยใช้ NaOH และ HCl ที่ความเข้มข้น ๑ N
หลังจากปรับแล้ว เติมวุ้น ๔.๕ - ๘.๐ กรัมต่ออาหาร ๑ ลิตร บรรจุใส่ขวด ปิดฝา
นึ่งในหม้อนึ่งฆ่าเชื้อที่ความดัน ๑๕ ปอนด์ นาน ๑๕ - ๓๐ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น
เก็บไว้ ๑ - ๒ วัน แล้วจึงนำมาใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อได้
หน่อกล้วยที่จะนำมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ใช้หน่อใบแคบ แล้วลอกกาบนอก
ออก จนเหลือหน่อที่มีขนาดประมาณ ๑ x ๑ นิ้ว ทำการฟอกฆ่าเชื้อโรคใน
สารละลายคลอรอกซ์แล้วล้างในน้ำกลั่น หลังจากนั้นจึงนำชิ้นส่วนของหน่อกล้วย
เข้าทำงานในตู้เพาะเลี้ยง
จากนั้นจึงลอกกาบกล้วยออกอีก จนมีขนาดประมาณ ๑ x ๑ เซนติเมตร
แล้วผ่าออกเป็น ๔ ส่วน โดยผ่าให้ผ่านจุดเจริญของกล้วย และวางลงบนวุ้น
อาหาร แล้วจึงนำขวดอาหารไปวางไว้ในห้องปลอดเชื้อที่มีแสง ประมาณ ๓,๐๐๐
ลักซ์ อุณหภูมิ ๒๖ - ๓๐ องศาเซลเซียส หลังจากนั้นประมาณ ๖ - ๘ สัปดาห์ จะ
สังเกตเห็นว่า มีการแตกยอดอ่อนของกล้วยเกิดขึ้น ให้ทำการตัดแบ่งเนื้อเยื่อ
ต่อไปทุกเดือน จนเมื่อได้จำนวนมากพอแล้ว นำมาออกรากในอาหาร MS ที่ไม่มี
ฮอร์โมนประมาณ ๑ เดือน ต้นอ่อนของกล้วยก็จะออกรากพอประมาณ จึงนำ
ย้ายออกปลูกในบรรยากาศธรรมชาติได้ โดยการนำขวดต้นอ่อนนั้นมาวางใน
บรรยากาศปกติก่อน ๒ - ๓ วัน เพื่อให้ต้นอ่อนปรับตัวเข้ากับบรรยากาศ
ธรรมชาติ แล้วนำออกปลูกในเครื่องปลูกที่สะอาด ประกอบด้วยทราย : ดิน : ปุ๋ย
หมัก หรือปุ๋ยคอก ๑ : ๑ : ๑ อบฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้ให้เย็นก่อนปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุ
ประมาณ ๖ - ๘ สัปดาห์ หรือมีความสูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร จึงนำไปปลูก
ลงในแปลงได้
่
่
้
้
้
ประโยชน์ทีไดรับจำกกำรเพำะเลียงเนือเยอ
ื
๑. เพื่อเพิ่มปริมาณในระยะเวลาสั้น เพราะการเกิดหน่อตามธรรมชาตินั้น
หากขยายพันธุ์จาก ๑ ต้น จะให้หน่อไม่เกิน ๑๐ หน่อ และเมื่อนำหน่อนั้นมา
ขยายพันธุ์ต่อๆ มา ใน ๑ ปี จะได้หน่อจำนวนไม่เกิน ๑,๐๐๐ หน่อ แต่หากใช้
วิทยาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณได้ถึง ๑๐,๐๐๐ หน่อ
ซึ่งใช้เวลาเท่ากัน แต่จำนวนที่ได้จะต่างกันมากประมาณ ๑๐ เท่า
๒. ได้ต้นพันธุ์ที่สะอาดปราศจากโรค และแมลง ปกติหน่อพันธุ์ที่ขุดมาจาก
ต้น มักจะมีโรคและแมลงที่ระบาดอยู่ในท้องถิ่นนั้นติดมาด้วย ทำให้การเจริญ
ของหน่อชะงัก เจริญได้ไม่เต็มที่ และโรคบางชนิดอาจมาแพร่เชื้อ ทำให้เกิดการ
ระบาดตามมา รวมทั้งแมลงบางชนิด เช่น หนอนเจาะลำต้น สามารถเจริญพันธุ์
ได้อย่างรวดเร็ว และระบาดเจาะไชลำต้นทำให้การเจริญของต้นไม่ดี หรือเมื่อ
เจริญขึ้นมาแล้วเกิดหักล้ม บางครั้งเมื่อออกดอกแล้วกำลังติดผล ต้นอาจจะล้มลง
เกิดความเสียหายอย่างมาก
การใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะไม่มีโรคและแมลงติดมาด้วย
เพราะในการขยายพันธุ์ เราใช้จุดกำเนิดซึ่งอยู่ส่วนในสุดของลำต้น และเป็นส่วน
ที่สะอาด ไม่มีเชื้อโรค นำมาเพาะเลี้ยงในสภาพที่ปลอดเชื้อ คือ ในอาหาร
สังเคราะห์ และห้องปฏิบัติการที่ปราศจากเชื้อโรค จึงทำให้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและแมลง ทำให้ต้นเจริญเติบโตเร็ว
ให้ผลผลิตเร็ว และมีคุณภาพ แต่ทั้งนี้ต้นที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะมิใช่ต้น
ที่ต้านทานต่อโรค
๓. เพื่อการปรับปรุงพันธ ในการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติจำนวนมาก จะมี
การกลายพันธุ์เกิดขึ้น แม้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้า
หากต้นที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่ดี ให้ผลผลิตดี ก็ควรส่งเสริมต่อไปเป็นสายพันธุ์ใหม่
แต่ถ้าไม่ดี ก็สามารถคัดทิ้งออกไปได้ การกลายพันธุ์อาจดูได้ตั้งแต่ ต้นขนาดเล็ก
ถ้าเราไม่ต้องการ สามารถคัดทิ้งได้ แต่ถ้าต้องการทดสอบต่อไป ก็อาจปลูกให้ต้น
โต และถ้าได้ลักษณะที่ดี ก็ขยายพันธุ์ต่อไปเป็นสายพันธุ์ใหม่
นอกจากนี้ ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ อาจทำถึงระดับเพาะเลี้ยงเซลล์และ
โพรโทพลาสต์ ซึ่งสามารถที่จะนำเอาโพรโทพลาสต์ ของกล้วยสายพันธุ์ที่ดีมา
ผสมกัน ทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ได้เช่นเดียวกับพืชอื่นๆ
๔. เพื่อเก็บรักษาสายพันธุ์ การเก็บรักษาสายพันธุ์อาจทำได้โดยการลด
อุณหภูมิให้ต่ำ หรือเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลว เพื่อรักษาสายพันธุ์ไว้ใช้ได้ในระยะ
นาน และเมื่อต้องการก็สามารถนำออกมาปลูกได้
ประโยชน์ ของกล้วย
กล้วยมีความผูกพันในวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน คนไทยรู้จักใช้ประโยชน์
จากต้นกล้วย นอกจากบริโภคเป็นอาหารแล้ว ทุกส่วนของกล้วยยังนำมาใช้ใน
พิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งในชีวิตประจำวันด้วย
๑. กำรใชประโยชน์ในกำรบริโภค
้
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเปลือกหุ้มเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ แต่วิธีการปอกเปลือก
กล้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เพียงใช้มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอก
เปลือกได้ด้วยมือและรับประทานได้ทันที จึงเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย ดังคำ
โบราณว่า "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก" นอกจากปอกเปลือกง่ายแล้ว กล้วย
สุกเมื่อรับประทานแล้ว ก็จะลื่นลงกระเพาะได้ง่าย และย่อยง่าย ด้วยเหตุที่กล้วย
ลื่นลงกระเพาะได้ง่าย ทำให้บางคนไม่ค่อยเคี้ยวกล้วยซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด การ
รับประทานกล้วยจำเป็นต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพราะกล้วยมีแป้งร้อยละ ๒๐ -
๒๕ ของเนื้อกล้วย ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด น้ำย่อยในกระเพาะต้องทำงานหนัก หาก
ย่อยไม่ทันกล้วยจะอืดในกระเพาะ อย่างไรก็ตาม กระเพาะของคนใช้เวลาในการ
ย่อยกล้วยสั้นกว่าการย่อยส้ม นม กะหล่ำปลี หรือแอปเปิล ดังนั้นคนไทยจึงนิยม
ใช้กล้วยที่ขูดเอาแต่เนื้อ ไม่เอาไส้ บดละเอียดให้ทารกรับประทาน นอกจาก
ทารกแล้ว คนชราก็รับประทานกล้วยได้ดีเช่นกัน ในกรณีคนหนุ่มสาว กล้วย
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูง
พอๆ กับมันฝรั่ง แต่มีปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และเกลือแร่ต่ำ กล้วยมี
โซเดียมเพียงเล็กน้อย แต่มีโพแทสเซียมสูง การมีโพแทสเซียมสูงนี้จะช่วยลด
ความดันโลหิตลงได้ ในประเทศอินเดียมีความเชื่อว่า หากรับประทานกล้วย ๒
ผลต่อวัน จะสามารถลดความดันโลหิตได้ถึงร้อยละ ๑๐ ภายในระยะเวลา ๑
สัปดาห์
กล้วยยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร และ
ท้องเสียบ่อย เพราะสามารถช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ กล้วยเมื่อยังดิบ
จะมีแป้งมาก แต่เมื่อสุก แป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ดังนั้นหากท้องเดิน การกิน
กล้วยดิบจะช่วยทำให้อาการท้องเดินหยุดได้ และเมื่อเป็นโรคกระเพาะ ให้กิน
กล้วยที่สุกแล้ว สำหรับกล้วยที่ทำให้สุกด้วยความร้อน วิตามินจะลดลง
่
๒ . กำรใชประโยชน์ในพิธีกรรมตำงๆ และใน
้
ี
ชวิตประจ ำวัน
• ใน พิธีทางศาสนา เช่น การเทศน์มหาชาติ และการทอดกฐิน มักใช้ต้น
กล้วยประดับธรรมาสน์ และองค์กฐิน
• ใน พิธีตั้งขันข้าว หรือค่าบูชาครูหมอตำแย สำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และ
ไปขอให้หมอตำแยทำคลอดให้ จะต้องใช้กล้วย ๑ หวี พร้อมทั้งข้าวสาร
หมากพลู ธูปเทียนสำหรับการทำพิธีบูชาครูก่อนคลอด และเมื่อคลอดแล้ว
จะต้องอยู่ไฟ ก็ยังใช้ต้นกล้วยทำเป็นท่อนล้อมเตาไฟ ป้องกันการลามของ
ไฟ
• ใน พิธีทำขวัญเด็ก เมื่อเด็กอายุได้ ๑ เดือน กับ ๑ วัน มีการทำขวัญเด็ก
และโกนผมไฟ จะมีกล้วย ๑ หวี เป็นส่วนประกอบในพิธีด้วย
• ใน พิธีแต่งงาน มักมีต้นกล้วยและต้นอ้อยในขบวนขันหมาก พร้อมทั้งมี
ขนมกล้วย และกล้วยทั้งหวี เป็นการเซ่นไหว้เทวดาและบรรพบุรุษ
• ใน การปลูกบ้าน เมื่อมีพิธีทำขวัญยกเสาเอก จะใช้หน่อกล้วยผูกมัดไว้ที่
ปลายเสาร่วมกับต้นอ้อย และเมื่อเสร็จพิธี ก็จะมีการลาต้นกล้วยและต้น
อ้อยนั้น นำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้าน จากนั้นประมาณ ๑ ปี หรือเมื่อปลูก
บ้านเสร็จแล้วพร้อมอยู่อาศัย ก็มีกล้วยไว้กินพอดี
• ใน งานศพ ในสมัยโบราณ มีการนำใบตอง มารองศพ ก่อนนำศพวางลง
ในโลงนอกจากนี้ ใบตองยังมีบทบาทสำคัญมากในพิธีกรรมต่างๆ โดยการ
นำมาทำกระทงใส่ของ ใส่ดอกไม้ และประดิษฐ์เป็นกระทง บายศรี
• ใน ชีวิตประจำวัน ใช้ใบตองในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตอง
สดมีความชื้น ดังนั้นเมื่อใช้ห่อผักสดหรืออาหาร ความชื้นจะช่วยรักษาผัก
หรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ใบตองยังทนทานต่อความเย็นและ
ความร้อน ดังนั้นเมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม ใบตองก็จะ
ไม่สลายหรือละลายเหมือนเช่นพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อ
ใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่
ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือ
ข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้เมื่อนำไปต้ม ปิ้ง หรือนึ่งแล้ว ยังทำให้เกิดความ
หอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่
อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน ที่
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีการทดลองนำเอาใบตองแห้งมาอัดกันแน่น
หลายๆ ชั้น ทำเป็นภาชนะใส่ของแทนการใช้โฟมได้อีกด้วย
ใบตองแห้งยังนำไปใช้ในงานศิลปกรรมไทยได้อีกหลายอย่าง เช่น นำไปทำ
รักสมุก ในงานของช่างเขียน ช่างปั้น ช่างแกะ และช่างหุ่น เพราะรักสมุกใบตอง
แห้ง ช่วยในการเคลือบและปกป้องเนื้อไม้ ขัดแต่งง่าย เมื่อแห้งผิวเป็นมัน
น้ำหนักเบา เหมาะในการทำหัวโขน และการลงรักปิดทอง
ในสมัยโบราณ เมื่อยังใช้เตารีดที่เป็นเตาถ่าน หากเตาร้อนมากไป ก็เอามา
รีดบนใบตองสด ก่อนนำไปรีดบนผ้า เพราะใบตองมีสารจำพวกขี้ผึ้งหุ้มอยู่ ขี้ผึ้ง
จะช่วยเคลือบเตารีด ทำให้รีดผ้าไม่ติด
กาบกล้วย ใช้ในศิลปะการแทงหยวกไว้ที่เชิงตะกอนเวลาเผาศพ ส่วนใหญ่
ใช้กาบกล้วยตานี เพราะกาบกล้วยตานีขาวสะอาด ทำให้หยวกที่แทงมีลวดลาย
สวยงาม งานแทงหยวกเป็นงานที่ต้องทำหลายคนแล้วเอามาประกอบกัน โดย
ช่างผู้ทำต้องสลักเป็นลายไทยต่างๆ เช่น กระจังตาอ้อย กระหนกเปลว ครีบสิงห์
แข้งสิงห์ รักร้อย และเครือเถา นอกจากนี้กาบกล้วยยังนำมาฉีกเป็นเส้นใหญ่ๆ
ใช้มัดผักเป็นกำๆ เช่น ชะอม ตำลึง เพื่อให้ความชื้นกับผัก เพราะกาบกล้วยมีน้ำ
อยู่มาก ถ้าฉีกเป็นเส้นเล็กๆ ก็ใช้มัดของแทนเชือกได้ กาบกล้วยเมื่อแห้งอาจ
นำมาทำเป็นเชือกกล้วย สำหรับผูกของและสานทำเป็นภาชนะรองของ หรือสาน
เป็นกระเป๋าสุภาพสตรี นอกจากนี้ใยของกาบกล้วยยังนำมาใช้ทอผ้าได้ด้วย
เช่นกัน
ต้นกล้วย ที่หั่นเป็นท่อนๆ อาจใช้เป็นทุ่นลอยน้ำให้เด็กๆ ใช้หัดว่ายน้ำ
หรือนำมาทำเป็นแพสำหรับตั้งสิ่งของให้ลอยอยู่ในน้ำ
ก้านกล้วย เมื่อเอาแผ่นใบออก แกนกลางหรือเส้นกลางใบ อาจนำมาใช้มัด
ของ หรือนำมาทำของเล่นเด็กๆ ได้ เช่น ทำเป็นม้าก้านกล้วย และปืนก้านกล้วย
ซึ่งเป็นของเล่นของเด็กไทยในสมัยก่อน
ู
กำรแปรรปกล้วย
เมื่อปลูกกล้วยกินกันมากขึ้น ผลผลิตกล้วยที่ไม่ได้ขนาดตามที่ต้องการ
อาจจะเหลือทิ้ง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ไร้ประโยชน์ จึงควรนำมาแปรรูป เพื่อให้เก็บได้
นานขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตด้วย
ู
ก. กำรแปรรปจำกกล้วยดิบ
๑. การทำกล้วยอบเนย กล้วยฉาบ หรือ "กล้วยกรอบแก้ว"
ใช้กล้วยดิบ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยหักมุก นำมาฝานบางๆ
ตามยาว หรือตามขวาง อาจจะผึ่งลมสักครู่ หรือฝานลงกระทะทันทีก็ได้ และ
ทอดในกระทะที่ใส่น้ำมันท่วม เมื่อชิ้นกล้วยสุกจะลอย ก็ตักขึ้นและซับน้ำมันด้วย
กระดาษฟาง จากนั้นอาจนำไปคลุกเนย เรียกว่า กล้วยอบเนย หรือฉาบให้หวาน
ด้วยการนำไปคลุกกับน้ำตาลที่เคี่ยวจนเกือบแห้งในกระทะ เรียกว่า กล้วยฉาบ
หรือนำไปคลุกในน้ำเชื่อม แล้วเอาลงทอดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เรียกว่า กล้วย
กรอบแก้ว
๒. แป้งกล้วย
นำกล้วยดิบมานึ่งให้สุก ปอกเปลือก หั่น และอบให้แห้ง แล้วบดให้
ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ทำขนมกล้วยและบัวลอย หรือผสมกับแป้งเค้กใช้ทำคุกกี้ได้
ทำให้มีกลิ่นหอมของกล้วย
ู
ข. กำรแปรรปจำกกล้วยสุก
๑. น้ำผลไม้
นำเนื้อกล้วยที่สุกมาหมักใส่เอนไซม์เพกทิโนไลติก (pectinolytic) ความ
เข้มข้น ๐.๐๑ % เพื่อย่อย และบ่มไว้ที่อุณหภูมิ ๔๕ องศาเซลเซียส นาน ๑
ชั่วโมง จะได้น้ำกล้วยที่ใส
๒. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก และ
แทนซาเนีย นิยมนำกล้วยมาทำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ ในประเทศยูกันดา
เรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า วารากิ (Waragi) ประเทศฝรั่งเศสนำเนื้อกล้วยสุกบด
เหลวผสมกับน้ำ และทำให้ร้อน ๖๕ - ๗๐ องศาเซลเซียส นาน ๑ ชั่วโมง แล้วทำ
ให้เย็นลงที่อุณหภูมิ ๔๐ องศาเซลเซียส ต่อมาใส่เอนไซม์เพกทิเนส (pectinase)
ทิ้งไว้นาน ๒๔ ชั่วโมง ภายใต้บรรยากาศที่เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ นำส่วนที่เป็น
กากมาบด แล้วนำส่วนที่เป็นน้ำมาหมักด้วยเชื้อ Saccharomyces cerevisiae
ที่อุณหภูมิ ๒๕ องศาเซลเซียส ภายใต้บรรยากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ
ไนโตรเจน จะได้สุราผลไม้ที่ทำจากกล้วย
๓. กล้วยตาก (banana figs)
นำกล้วยที่สุกงอมมาปอกเปลือก และนำไปตากแดด ๑ - ๒ แดด จากนั้น
มาคลึงเพื่อให้กล้วยนุ่ม แล้วนำไปตากอีก ๕ - ๖ แดด หรือจนกว่ากล้วยจะแห้ง
ตามต้องการ (ในทุกๆ วันที่เก็บ ให้นำกล้วยทั้งหมดมารวมกัน น้ำหวานจากกล้วย
จะออกมาทุกวัน และกล้วยจะฉ่ำ แล้วนำไปตากแดด) ระวังอย่าให้แมลงวันตอม
ส่วนการตากอาจใช้แสงอาทิตย์ หรือเตาอบขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์
หรือไฟฟ้า
๔. กล้วยกวน
นำกล้วยสุกงอมมายี แล้วเคล้ากับน้ำตาลและกะทิ นำไปกวนในกระทะที่
ไม่เป็นสนิม กวนที่ไฟอ่อนๆ จนสุกเหนียว ปั้นเป็นก้อนกลม หรือสี่เหลี่ยม แล้ว
ห่อด้วยกระดาษแก้ว
๕. ทอฟฟี่กล้วย
คล้ายกล้วยกวน แต่ใส่แบะแซ จึงทำให้แข็งกว่ากล้วยกวน
๖. ข้าวเกรียบกล้วย
ใช้กล้วยสุกผสมกับแป้งและเกลือ อาจเติมน้ำตาลเล็กน้อยนวดแล้วทำเป็น
แท่งยาวๆ นึ่งให้สุก เมื่อสุก ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดให้แห้ง
แล้วนำมาทอดรับประทานเป็นอาหารว่าง ข้าวเกรียบกล้วยนี้หากใช้กล้วยที่มี
กลิ่นจะทำให้หอม
กล้วยนอกจากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว คนไทย
ยังนำ ผล ปลี และหยวกกล้วยมาทำอาหารทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น กล้วย
เชื่อม ขนมกล้วย ข้าวต้มผัด แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี ทอดมันหัวปลี และแกง
หยวกกล้วยกล้วยจึงเป็นพืชที่คนไทยคุ้นเคยและใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของ
กล้วยได้นานับการ