The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติของจังหวัดกาฬสินธุ์และสถานที่ท่องเที่ยว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติของจังหวัดกาฬสินธุ์

ประวัติของจังหวัดกาฬสินธุ์และสถานที่ท่องเที่ยว

Keywords: ประวัติของจังหวัดกาฬสินธุ์

ก คำน รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร การศึกษา โดย มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้จากเรื่อง ประวัติของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่ง รายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัติจังหวัดกาฬสินธุ์ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆท่าน นางสาวนิภาภรณ์ เอกพันธุ์


ข สารบัญ หน้า คำน ก สารบัญ ข ประวัติจังหวัดกาฬสินธุ์ 1-2 การตั้งเมืองกาฬสินธุ์ 2-3 แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด 4-5 อ้างอิง 6


1 ประวัติควมเป็นมาของจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็น จังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่ง บอกว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าละว้า ซึ่งมีความเจริญทางอารยธรรมประมาณ 1600 ปี ประวัติคนเป็นมา จังหวัดกาฬสินธุ์ สมัยกรุงธนบุรีประมาณ พุทธศักราช 2310 พระเจ้าองค์เวียนดาแห่งนครเวียงจันทน์ ได้สิ้นพระชนม์ เท้าเพี้ยเมื่องแสนได้ยกกองทัพเข้ายึดเมืองเวียงจันทร์และได้สถาปนาขึ้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบแทน ทรงพระนามว่า พระเจ้าศิริบุญสาร ต่อมา พ.ศ. 2320 ท้าว โสมพะมิตร และอุปฮาดเมืองแสนฆ้องโปง เมืองแสนหน้าง้ เกิดขัดใจกับพระเจ้าสิริบุญ สาร จึงรวบรวมผู้คนอพยพจากดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงข้ามมาตั้งบ้านเรือนบริเวณ กลุ่มน้ำก่ แถบบ้านพรรณา (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) ต่อมาท้าวศิริบุญสาร ได้ยกกองทัพตามมา ท้าวโสมพะมิตร จึงอพยพต่อไปโดยแยกออกเป็น 2 สาย คือ สายที่ 1 เมือง แสนหน้าง้ เป็นหัวหน้าอพยพไปทางทิศตะวันออกสมทบกับพระวอหลบ หนีไปจนถึงนครจำปาศักดิ์ขอพึ่งบารมีของพระเจ้าหลวงแห่งนครจำปาศักดิ์ และตั้งบ้าน เรือน ณ ดอนค้อนก่อง ต่อมาเรียกว่า ค่ายดู่บ้านแก ในปีพ.ศ.2321 พระเจ้าศิริบุญสาร ให้เพี้ยสรรคสุโภย ยกกองทัพมาปราบทำให้พระวอตายในสนามรบ ผู้คนที่เหลือจึง อพยพไปอยู่ในเกาะกลางลำแม่แม่น้ำมูล ชื่อว่า ดอนมดแดง (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัด อุบลราชธานี)


2 สายที่ 2 มี ท้าวโสมพะมิตรเป็นหัวหน้า ได้อพยพข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้และตั้ง บ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางหมื่น ต่อมาท้าวโสมพะมิตรได้ส่งท้าวตรัย และคณะออกเสาะหา ชัยภูมิที่จะสร้างเมืองใหม่ใช้เวลาประมาณเศษ จึงพบทำเลที่เหมาะสมคือบริเวณลำน้ เปล่าและเห็นว่าแก่งสำโรงชายเปลือยมีดิน น้ำอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพผู้คนมาตั้งบ้าน เรือนและได้จัดตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมือง พ.ศ.2336 ท้าวโสมพะมิตรได้นำเครื่อง บรรณาการ คือ กาน้ำสัมฤทธิ์ เข้าถวายสมามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 แห่งราชวงศ์จักรี และขอตั้งบ้านแก่งสำโรง ขึ้นเป็นเมืองได้ รับการพระราชทานชื่อว่า เมืองกาฬสินธุ์ และได้แต่งตั้งให้ ท้าวโสมพะมิตร เป็นพระยา ชัยสุนทร ต่อมาพ.ศ.2437 สมัยพระยาชัยสุนทร(ท้าวเก) ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การปกครองเป็นเทศาภิบาล มี มณฑล อำเภอ ตำบล และให้เมืองกาฬสินธุ์ เป็นอำเภอ อุทัยกาฬสินธุ์ ขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ดร้อยเอ็ด ต่อมาวันที่1 สิงหาคม 2456 ได้ฐานอำเภอ อุทัยกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ มีอำนาจปกครองอำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอ สหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอกมลาไสย และอำเภอยางตลาดโดยให้ขึ้นต่อ มณฑลร้อยเอ็ด ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2474 จังหวัดกาฬสินธุ์ถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับ จังหวัดมหาสารคาม ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2490 ได้ยกฐานะเป็น จังหวัดกาฬสินธุ์จนถึง ปัจจุบันปัจจุบัน การตั้งเมืองกาฬสินธุ์ เจ้าโสมพะมิตรเข้าไปตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านผ้าขาว บ้านพันนา ในกลุ่มน้ำสงคราม บริเวณใกล้พระธาตุเชิงชุมในเขตจังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ขนาดนั้นมีไพร่คนประมาณ 5000 คนเศษ ต่อมาได้อพยพให้พลของตนข้ามเทือกเขาภูพานอาศัยที่บ้านกลางหมื่น (ปัจจุบันอยู่ในตำบลกลางหมื่น ในอำเภอเมือง) ต่อมาได้อพยพไปอยู่บริเวณแก่งสำโรง ริมริมแม่น้ำปาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน แล้วได้ลงไปเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่กรุงเทพมหานครและขอ พระราชทานตั้งเมืองทำราชการขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานครจึงได้ตั้งเมืองใน พ.ศ.2325 เจ้าโสมพะมิตรได้ส่งบรรณาการต่อกรุงเทพมหานคร โดยผ่านทางเวียงจันทน์ ต่อมาใน ปีพ.ศ.2336 เจ้าโสมพะมิตรได้ลงไปกรุงเทพมหานคร ขอพระราชทานตั้งเมืองและได้มี พระราชบรมราชโองการฯ ยกฐานะบ้านแก่งสำโรง ขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์ และโปรด เกล้า ให้เจ้าโสมพะมิตร เป็นพระยาชัยสุนทร เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ ต่อมาถึงปีพ.ศ.2345 ได้ มอบให้เท้าหมากแพง บุตรพระอุปชาเป็นผู้ว่าการเมืองกาฬสินธุ์ ต่อมาอาณาเขตเมือง กาฬสินธุ์ได้กำหนดไว้กว้างๆ คือทิศเหนือแต่แม่น้ำพองข้างเหนือมาตกแม่น้ำชีข้างตะวัน ตก ทิศตะวันออกตั้งแต่ลำน้ำพองตัดลัดไปห้วยไพรธร ไปเขาภูทอกศอกดาว ตัดไปบ้าน ผ้าขาว พันนา บ้านเดิมยอดลำน้ำสงครามตกแม่น้ำโขงเขตฝ่ายตะวันออก ต่อแดนเมือง นครพนมและเมืองมุกดาหาร ผ่านภูเขาภูพานตัดมาถึงภูหลักทอดยอดยังแต่ยอดยังตก แม่น้ำลำพระชัย เป็นเขตข้างใต้ทิศตะวันตกลำน้ำพระชัยต่อแดนเมืองร้อยเอ็ด และต่อ แดนเมืองยโสธร


3 พัฒนาการทางการเมืองการปกครอง เมืองกาฬสินธุ์ได้รับโปรดเกล้า ให้ยกฐานะขึ้นเป็น เมืองเมื่อปีพ.ศ.2376 โดยมีพระยาชัยสุนทร (เจ้าโสมพะมิตร) เป็นเจ้าเมืองและท้าวค หวาเป็นอุปฮาด เมื่อทั้งสองคนถึงแก่กรรมแล้ว พระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ได้โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวหมากแพง พุทธพระอุปชา เป็นพระยาไชสุนทร เจ้าเมือง ท้าวหมาสุ่ย และท้าวหมาฟอง บุตรเจ้าโสมพะมิตร เป็นอุปฮาด และราชวงศ์ตามลำดับ เมื่อเกิดความขัดแย้งสงครามเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ.2369-พ.ศ.2370) เจ้าอุปราช (ดิสสะ) ยก กองทัพมากวาดต้อนครอบครัวเมืองกาฬสินธุ์ พระยาไชยสุทร (หมาแพง) ประหารชีวิต พร้อมอุปฮาด (หมาสุ่ย) และราชวงศ์โครตด้วย เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงห เสนี) ยกกองทัพขึ้นมาปราบ ได้กวาดต้อนเลกไพร่ เมืองกาฬสินธุ์ กลับมาอยู่บ้านเมือง ตามเดิม แล้วเสนอชื่อคณะอาญาสี่ กรมการเมืองกาฬสินธุ์ขอพระราชทานตั้งท้าววรบุตร (เจี๋ยม) น้องชายพระยาไชยสุทร (หมากแพง) เป็นพระยาไชยสุทร เจ้าเมือง ปกครอง เมืองกาฬสินธุ์ได้ 11 ปี ก็ถึงแก่กรรม ในปีพ.ศ.2381 ต่อมาในปีพ.ศ.2383 จึงได้โปรด เกล้าฯ ให้แต่งตั้งอุปฮาด (เหล้า) เป็นพระยาไชยสุนทร เจ้าเมือง และได้ถึงแก่กรรมเมื่อ ปีพ.ศ.2387 อุปฮาด(ทอง) บุตรพระยาไชยสุนทร (เจียม) ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองแทน และถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ.2394 อุปฮาด (กิ่ง) ได้รับโปรดเกล้า ฯ เป็นพระยาไชยสุนทร เจ้าเมือง และได้ถึงแก่กรรม เมื่อปีพ.ศ.๒๔๑๓ อุปฮาด (หนู) ได้รับสัญญาบัตรตั้งให้เป็น พระยาไชยสุนทร เจ้าเมืองในปีพ.ศ.2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งการปกครองหัวเมืองลาวตะวันออก ออกเป็นสี่กอง โปรดเกล้า ฯ ให้ นายสุดจินดา (เลื่อน) เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองกาฬสินธุ์ กมลาไสย และภูแล่น ช้าง เมืองดังกล่าวนี้จัดอยู่ในหัวเมืองลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาในปีพ.ศ. 2437 ได้ เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลลาวกาว และเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสาน ในปีพ.ศ.2443 หัวเมือง กาฬสินธุ์อยู่ในบริเวณร้อยเอ็ด ต่อมาในปีพ.ศ. 2450 เมืองกาฬสินธุ์ และเมืองกมลาไสย ผู้จัดอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด คือปีพ.ศ. 2454 ถึงปีพ.ศ. 2469 ได้จัดเป็นมณฑลร้อยเอ็ด จังหวัดกาฬสินธุ์อยู่ในมณฑลนี้ ต่อมาในปีพ.ศ. 2469 จังหวัดกาฬสินธุ์ก็ถูกโอนไปสังกัด มณฑลนครราชสีมา แล้วถูกยุบเป็นอำเภอหลุบ เมื่อปีพ.ศ. 2474 ไปสังกัดจังหวัด มหาสารคาม จนถึงปีพ.ศ. 2490 จึงได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง


4 แหล่งท่องเที่ยวแนะนำของจังหวัด 1. พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหญ่ ตั้งอยู่ตำบลกมลาไสย เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ฟ้าแดดสงยา เมืองโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีลักษณะลักษณะเป็นเจดีย์ทรง แปดเหลี่ยมก่อด้วยอิฐ ที่ตั้ง: 65 / 4 ตำบลกมลาไสย อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ 46130 2. เขื่อนลำปาวและสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาวเป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่และแหล่งชื่อ ท่องเที่ยวของกาฬสินธุ์ตั้งอยู่ในอำเภอสหัสขันธ์, อำเภอคำม่วง, อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนสะพานเทพสุดา หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่มีวิวสวย และ บรรยากาศดี ซึ่งเป็นสะพานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราช กุมารี เป็นสะพานข้ามเขื่อนลำปาวที่มีความยาวถึง 2,040 เมตร ถือว่าเป็นสะพานข้ามน้ จืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย


5 3. พิพิธภัณฑ์สิรินธร พิพิธภัณฑ์สิรินธรเป็นที่เที่ยวในกาฬสินธุ์ที่มีอาคารจัดแสดงใน นิทรรศการ ซากไดโนเสาร 4. วัดพุทธนิมิต พระพุทธไสยาสน์ วัดพุทธนิมิต หรือภู่ค่าว ตั้งอยู่บนยอดภูค่าว เป็นอีก หนึ่งที่เที่ยวในกาฬสินธุ์ซึ่งมีตำนานกล่าวว่าพระพุทธไสยาสน์ ความยาว 2 เมตร ที่แกะ สลักบนแผ่นผานั้นมีอายุนานนับ1000ปี นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระมหาธาตุเจดีย์พุทธ นิมิตและเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ


6 วิดีโอประวัติจังหวัดกาฬสินธุ์


6 อ้างอิง https://www2.m-culture.go.th/kalasin/ewt_news.php?nid=478&filename=index https://bumlove679.wordpress.com/ประวัติความเป็นมา/ https://www.google.co.th/url? sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=&ved=2ahUKEwjqse2RsemEAxV3Rmc HHW-SBl0QFnoECBIQAQ&url=https://th.trip.com/guide/info/ %E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8 %99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C+ %E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8% B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7.html&usg=AOvVaw0WYFZlCieKUf nhkzayhB3S&opi=89978449


Click to View FlipBook Version