The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวข้อสอบ-ชีวะ-สามัญ-64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แนวข้อสอบ-ชีวะ-สามัญ-64

แนวข้อสอบ-ชีวะ-สามัญ-64

Keywords: แนวข้อสอบ-ชีวะ-สามัญ-64

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั



รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564








1. วฏั จกั รไนโตรเจนอาศยั ผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรียใ์ นดนิ เพอื ทาํ ให้เกิดการเปลยี นแกส๊ ไนโตรเจนในอากาศเป็น




สารประกอบรูปอืน ๆ เพือใหพ้ ืชนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ และวนกลบั ไปเป็นแกส๊ ไนโตรเจนในอากาศอีกครงั ดงั ภาพ










N2







อากาศ




---------------------------------------------------------------------------------

E


ดิน


NO-3
D

A




BC
NH3 NH+4 NO-2












จากขอ้ มลู ขอ้ ใดกล่าวถงึ การทาํ งานของจลุ นิ ทรียใ์ นขนั ตอนต่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง




1. ขนั A แบคทเี รียตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศเปลียนเป็นแอมโมเนีย ดว้ ยกระบวนการแอมโมนิฟิ เคชนั





2. ขนั B แบคทีเรียเปลยี นแอมโมเนียเป็นแอมโมเนียม ดว้ ยกระบวนการไนตริฟิ เคชนั



3. ขนั C ผยู้ ่อยสลายสารอินทรีย์ เชน่ เหด็ รา จะเปลยี นแอมโมเนียเป็นไนไตรท์


4. ขนั D แบคทเี รียบางชนิดเปลยี นไนไตรทเ์ ป็นไนเตรตดว้ ยกระบวนการดีไนตริฟิ เคชนั



5. ขนั E แบคทีเรียทไี ม่ใชอ้ อกซิเจนสารมารถรีดิวซไ์ นเตรตให้กลบั ไปเป็นไนโตรเจน











































1





























แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

19. ค่าความเขม้ ขน้ ของสารทพี บในพลาสมา ของเหลวทีผา่ นการกรอง และปัสสาวะของคนปกติ เป็นดงั ตาราง

สาร ความเข้มข้นของสาร (mg/100 ml) ทพี บใน

พลาสมา ของเหลวทผี ่านการกรอง ปัสสาวะ

ก 100 100 0
ข 4,000
0
6 (พบไดน้ อ้ ยมาก

จนไมส่ ามารถตรวจสอบได)้

กาํ หนดให้ โครงสรา้ งของหน่วยไตเป็นดงั ภาพ

จากขอ้ มูล ถา้ พบสาร ก ปริมาณมากในปัสสาวะ และพบสาร ข ปริมาณมากทงั ในของเหลวทผี ่านการกรอง
และในปัสสาวะ แสดงว่าโครงสรา้ งของหน่วยไต หมายเลขใดทาํ งานผดิ ปกติ ตามลาํ ดบั

1. หมายเลข และ หมายเลข
2. หมายเลข และ หมายเลข
3. หมายเลข และ หมายเล่ข
4. หมายเลข และ หมายเลข
5. หมายเลข และ หมายเลข

16

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

20. การหมนุ เวยี นเลือดของมนุษยเ์ ป็นดงั แผนภาพ โดย A D แทนโครงสร้างของหวั ใจ
ส่วน X และ Y แทนหลอดเลือดทีออกจากหวั ใจและหลอดเลอื ดทีเขา้ สู่หวั ใจ ตามลาํ ดบั

หวั ใจ

อวยั วะ A B ปอด
ต่าง ๆ X D CY

กาํ หนดให้ แสดงทิศทางการไหลของเลอื ด

จากขอ้ มูล ขอ้ ใดถูกตอ้ ง
1. แรงดนั เลอื ดใน Y สูงกว่า X
2. X และ Y เป็นหลอดเลอื ดอาร์เทอรี
3. ถา้ A บีบตวั เลอื ดจะผา่ นลนิ ไบคสั ปิดเพอื เขา้ สู่ B
4. ถา้ D บบี ตวั เลือดจะผา่ นลนิ เอออร์ตกิ เซมิลูนาร์เพอื เขา้ สู่ X
5. เลอื ดทเี ขา้ สู่ B จะมคี วามเขม้ ขน้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตาํ กว่าเลอื ดทเี ขา้ สู่ C

17

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

21. ชายคนหนึงมีสุขภาพแข็งแรง จอดรถยนตใ์ นลานจอดรถแห่งหนึงทมี ลี กั ษณะปิ ดทึบ ตดิ เครืองยนตร์ ์ถไว้
ปิ ดกระจกทกุ บาน และเปิ ดเครืองปรับอากาศนอนหลบั ในรถยนต์
ต่อมาพบว่าชายคนนีมีอาการออ่ นเพลยี วงิ เวยี นศีรษะ หายใจถีกว่าปกติ
ขณะมอี าการดงั กลา่ ว ความเขม้ ขน้ ของออกซิเจน และค่า pH ในเลอื ดของชายคนนีเป็นอยา่ งไร

ระดับของความเข้มข้นของออกซิเจนในเลอื ด ค่า pH ในเลอื ด

1. ตาํ กวา่ ปกติ ตาํ กวา่ ปกติ

2. ตาํ กว่าปกติ สูงกว่าปกติ

3. ปกติ ปกติ

4. ปกติ สูงกว่าปกติ

5. สูงกว่าปกติ ตาํ กวา่ ปกติ

18

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

22. นกั เรียนคนหนึงทดสอบการรับสมั ผสั โดยการนาํ ปลายทงั ขา้ งของวงเวยี นมาแตะทบี ริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ไดผ้ ลดงั ตาราง

บริเวณของ ระยะห่างของปลายวงเวยี น (cm)

ร่างกาย 0.25 0.50 1.00 2.00

AX X X ✓

BX X ✓ ✓

CX ✓ ✓ ✓

✓ หมายถึง สามารถแยกไดว้ ่าถกู แตะดว้ ยปลาย ขา้ งของวงเวียน
X หมายถึง ไม่สามารถแยกไดว้ ่าถกู แตะดว้ ยปลาย ขา้ งของวงเวยี น

จากขอ้ มูล ถา้ กาํ หนดให้บริเวณทรี ับความรูส้ ึกลกั ษณะเป็นวงกลม ขอ้ ใดสรุปถูกตอ้ ง
1. บริเวณ A มีพืนทขี องบริเวณทีรับความรู้สึกขนาดเลก็ ทสี ุด
โดยมเี สน้ ผา่ นศูนยก์ ลางขนาดเล็กกว่า 0.25 cm
2. บริเวณ A มีพนื ทขี องบริเวณทรี บั ความรูส้ ึกขนาดใหญท่ สี ุด
โดยมเี สน้ ผ่านศนู ยก์ ลางขนาดใหญ่กวา่ 2.00 cm
3. บริเวณ B มพี ืนทีของบริเวณทีรบั ความรู้สึกใหญก่ ว่า A
โดยเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางมีขนาดระหว่าง 0.5 1.00 cm
4. บริเวณ C มพี นื ทีของบริเวณทรี ับความรู้สึกขนาดใหญท่ สี ุด
โดยมเี ส้นผา่ นศนู ยก์ ลางขนาดใหญ่กว่า 0.50 cm
5. บริเวณ C มพี นื ทีของบริเวณทรี ับความรู้สึกขนาดเล็กทสี ุด
โดยเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางมขี นาดระหวา่ ง 0.25 0.50 cm

19

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

23. การดืมนาํ มากจนเกนิ ไปหรือความผดิ ปกติของฮอร์โมนบางชนิด ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะทมี ี
ปริมาณโซเดยี มในเลือดและในของเหลวระหว่างเซลลต์ าํ กวา่ ระดบั ปกติ (hyponatremia)

จากขอ้ มลู ภาวะดงั กลา่ วส่งผลตอ่ ค่าศกั ยไ์ ฟฟ้าเยือเซลลร์ ะยะพกั และการเกดิ กระแสประสาท
ของเซลลป์ ระสาทอย่างไร

ค่าศักย์ไฟฟ้าเยือเซลล์ระยะพัก เมือสือประสาทได้รับการกระต้นุ ด้วยสิงเร้า
1. คงที แอกชนั โพเทนเชียลเกดิ ชา้ ลงหรือไม่เกดิ เลย
2. คงที แอกชนั โพเทนเชียลเกดิ ถีขนึ และรุนแรงขนึ
3. เพมิ ขนึ แอกชนั โพเทนเชียลเกดิ ชา้ ลงหรือไมเ่ กดิ เลย
4. ลดลง แอกชนั โพเทนเชียลเกิดชา้ ลงหรือไม่เกดิ เลย
5. ลดลง แอกชนั โพเทนเชียลเกดิ ถีขนึ และรุนแรงขนึ

20

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

24. นกั เรียนคนหนึงศกึ ษาลกั ษณะตวั ออ่ นของสตั ว์ ชนิด ไดผ้ ลดงั ตาราง

สัตว์ ลักษณะการเจริญของตวั อ่อน

A มีการคลเี วจในบางส่วนของเซลลไ์ ข่

B มีการคลีเวจในทุกส่วนของเซลลไ์ ข่ แตจ่ ะไดข้ นาดเซลลไ์ มเ่ ท่ากนั

C เอ็มบริโอห่อหุม้ ดว้ ยถุงนาํ คราํ และมแี อลแลนทอยส์
ทาํ หนา้ ทีแลกเปลียนแก๊สและเกบ็ ของเสียสะสมไวจ้ นกระทงั ฟักไขอ่ อกจากไข่

จากขอ้ มูล สตั ว์ A B และ C ควรเป็นสัตวช์ นิดใด ตามลาํ ดบั
1. กบ ไก่ กิงก่า
2. ไก่ กบ ปลานิล
3. จระเข้ องึ อ่าง นก
4. กระรอก นก คางคก
5. คางคก เป็ด ตุ่นปากเป็ด

21

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

25. การเปลยี นแปลงระดบั ฮอร์โมน ชนิด ทพี บในระหวา่ งรอบประจาํ เดือนของผหู้ ญงิ ทีมีร่างกายปกติ เป็นดงั กราฟ

ระยะก่อนไขต่ ก ไข่ตก ระยะหลงั ไขต่ ก
ฮอร์โมน X

17 14 21 28

วันทใี นรอบการเกดิ ประจาํ เดือน

จากขอ้ มลู ถา้ ในวนั ที ระดบั ฮอร์โมน X ไม่ลดลงตอ่ เนืองไปจนเกนิ วนั ที 28
เมือเวลาผา่ นไปประมาณ 2 สัปดาหจ์ ะตรวจพบฮอร์โมนใด และฮอร์โมนนนั สร้างจากส่วนใด

1. hCG และ รก
2. hCG และ รังไข่
3. โพรแลกทิน และ ตอ่ มนาํ นม
4. โพรแลกทิน และ ตอ่ มใตส้ มอง
5. ออกซิโทซิน และ ต่อมใตส้ มอง

22

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

26. แผนผงั แสดงการรกั ษาสมดุลของสาร M เป็นดงั นี

ระดบั สาร M กระต้นุ N หลัง ฮอร์โมน O ยับยงั การดดู กลบั ของ

ในเลอื ดเพมิ ขึน สาร M ทีไต

ระดบั สาร M ส่งผลให้
ในเลอื ดลดลงเป็นปกติ

จากขอ้ มลู ฮอร์โมน O คอื ฮอร์โมนในขอ้ ใด
1. อนิ ซูลนิ
2. กลูคากอน
3. แคลซิโทนิน
4. พาราทอร์โมน
5. แอนติไดยูเรตกิ ฮอร์โมน (ADH)

23

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

27. เซลลก์ ลา้ มเนือ ชนิดของสัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั มลี กั ษณะ ดงั ภาพ

AB C

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดเป็นเซลลก์ ลา้ มเนือทที าํ งานนอกอาํ นาจจิตใจ
1. A เทา่ นนั
2. B เทา่ นนั
3. A และ B
4. A และ C
5. B และ C

24

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

28. นกกระเรียนชนิด A มจี าํ นวนนอ้ ยลงและเสียงต่อการสูญพนั ธุ์ ศนู ยอ์ นุรักษจ์ งึ ให้แมน่ กกระเรียนชนดิ B
มาเลยี งดลู กู ชนิด A แทน เมอื ถงึ วยั เจริญพนั ธ์พบวา่ นกชนิด A เหล่านีจะไม่ผสมพนั ธุก์ บั นกกระเรียนชนิดเดียวกนั
แต่เลือกผสมพนั ธุก์ บั นกกระเรียนชนิด B ทีเลียงดูมนั แทน ทาํ ใหน้ กกระเรียนชนดิ A ไมส่ ามารถขยายพนั ธุ์ได้
ศนู ยอ์ นุรกั ษจ์ งึ แกไ้ ขปัญหาโดยใหม้ นษุ ยใ์ ส่หุ่นมือทมี ลี กั ษณะคลา้ ยนกกระเรียนชนิด A
เลียงดนู กทเี พงิ ฟักออกจากไขแ่ ละเปิ ดเสียงรอ้ งของนกกระเรียนชนิดเดยี วกนั ให้ฟัง
ทาํ ใหเ้ มอื ถงึ วยั เจริญพนั ธ์นกกระเรียนชนิด A ทถี กู เลยี งดว้ ยวิธีดงั กล่าว
เลอื กผสมพนั ธุ์กบั นกกระเรียนชนิดเดยี วกนั ตามปกติ
จากขอ้ มลู พฤติกรรมดงั กล่าวของนกก็เรียนชนดิ A จดั เป็นพฤติกรรมทเี กดิ จากการเรียนรู้แบบใด
1. การฝังใจ
2. แฮบูเอชนั
3. การใชเ้ หตผุ ล
4. การเชือมโยงแบบการมเี งอื นไข
5. การเชือมโยงแบบการลองผดิ ลองถูก

25

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

29. ศกึ ษาโครงสร้างภายในของเนือเยอื พชื ชนิดทีตดั ตามขวาง ดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงเชิงประกอบ
พบว่ามลี กั ษณะดงั ตาราง

ตัวอย่างเนอื เยอื ลักษณะโครงสร้างทีพบ
สไลดท์ ี
สไลดท์ ี ใจกลางมีพิธ เนือเยือส่วนใหญเ่ ป็นไซเล็มทุตยิ ภูมิ
สไลดท์ ี พบการเชือมของวาสควิ ลาร์แคมเบียมและเรียงตวั เป็นวง
วาสคิวลาร์บนั เดิลกระจายไปทวั
ขอบเขตของพิธและคอร์เทกซ์ไม่ชดั เจน
พบชนั คอร์เทกซก์ วา้ งมาก ในชนั สตีลพบกลุ่มเซลลไ์ ซเล็ม
เรียงตวั เป็นแฉก และมีโฟลเอม็ อยู่ระหวา่ งแฉกของไซเล็ม

จากขอ้ มลู ตวั อยา่ งเนือเยือในสไลดท์ ี และ น่าจะเป็นโครงสรา้ งของพืชชนดิ ใด ตามลาํ ดบั
1. ลาํ ตน้ ของขา้ ว ลาํ ตน้ ของมะม่วง และรากของหญา้
2. ลาํ ตน้ ของมะม่วง ลาํ ตน้ ของขา้ วโพด และรากของถวั เขียว
3. รากของถวั เขยี ว รากของหญา้ และลาํ ตน้ ของมะมว่ ง
4. รากของขา้ วโพด รากของถวั เขียว และลาํ ตน้ ของมะมว่ ง
5. รากของหญา้ รากของมะมว่ ง และลาํ ตน้ ของขา้ วโพด

26

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

30. นกั เรียนคนหนึงสืบคน้ ขอ้ มลู เกยี วกบั การลาํ เลียงนาํ ตาลทพี ืชสงั เคราะห์ พบดงั นี
A. เซลลท์ ีทาํ หนา้ ทชี ว่ ยลาํ เลียงซูโครสเขา้ สู่ซีฟทวิ บเ์ มมเบอร์คือ เซลลค์ อมพาเนียน
ซึงมีช่องวา่ งพลาสโมเดสมาตาจาํ นวนมากเชือมตอ่ กบั ซีฟทวิ บเ์ มมเบอร์ทอี ยตู่ ดิ กนั
B. ซีฟทิวบเ์ มมเบอร์ทีเจริญเตม็ ทมี ีหนา้ ที ลาํ เลียงนาํ ตาล นิวเคลยี สและออร์แกเนลลท์ งั หมดจะสลายตวั
ทาํ ใหภ้ ายในเซลลเ์ ป็นทอ่ กลวง ซึงเป็นลกั ษณะทีเหมาะสมตอ่ การลาํ เลียงอาหาร
C. ความแตกต่างของความดนั ในซีฟทวิ บเ์ มมเบอร์ระหวา่ งบริเวณแหลง่ สรา้ งและแหล่งรับ
ทาํ ใหเ้ กดิ การลาํ เลยี งซูโครสจากบริเวณแหลง่ สรา้ งไปแหลง่ รบั อย่างตอ่ เนือง

จากขอ้ มลู ขอ้ คน้ พบใดบา้ งถกู ตอ้ ง
1. A เทา่ นนั
2. B เท่านนั
3. A และ B
4. A และ C
5. B และ C

27

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

31. พนื ทภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยเหมาะสมทีจะปลกู ขา้ วหอมมะลิคุณภาพสูง
เนืองจากดนิ ในพนื ทีมีความเค็ม กระตนุ้ ใหต้ น้ ขา้ วสร้างสาร -acetyl-1-pyrroline (2AP) ซึงทาํ ให้ขา้ วมกี ลินหอม
น่ารบั ประทาน แตผ่ ลของความเคม็ ทาํ ใหข้ า้ วเจริญเติบโตและให้ผลผลิตลดลง โดยเมอื ไดร้ บั ความเคม็ ตน้ ขา้ วจะมี
การปรับตวั โดยสะสมโพแทสเซียมไอออน โพรลนี (proline) และกรดอินทรียต์ า่ ง ๆ ในปริมาณทีสูงขนึ
จากขอ้ มูล เพราะเหตใุ ดตน้ ขา้ วจงึ สะสม โพแทสเซียมไอออน โพรลีน และกรดอนิ ทรียต์ ่าง ๆ
ในปริมาณทสี ูงขนึ เมอื ตน้ ขา้ วไดร้ บั ความเคม็
1. เพอื ลดอตั ราการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
2. เพอื ลดการสะสมเกลอื ส่วนเกนิ ในเซลล์
3. เพือรักษาความสามารถในการดูดนาํ ของรากพืช
4. เพือนาํ โพลนี ไปใชเ้ ป็นพลงั งานในการเจริญเตบิ โต
5. เพอื เพิมประสิทธิภาพในการจาํ กดั เกลือส่วนเกนิ ออกไปภายนอกเซลล์

28

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

32. นกั วิทยาศาสตร์ตรวจสอบปริมาณกรดมาลกิ และกรดออกซาโลแอซิตกิ ในพชื CAM ชนิดหนึง ทีเวลาตา่ งๆ
ไดผ้ ลดงั ตาราง

สารทีตรวจสอบ เวลาทตี รวจสอบ . น.
. น. . น. +++
กรดมาลิก +++++ + +++
กรดออกซาโลแอซิติก ++ ++

กาํ หนดให้ เครืองหมาย + แสดงระดบั ปริมาณสารทตี รวจพบ

จากขอ้ มูลถา้ มกี ารตรวจสอบปริมาณสาร G3P ทพี ชื สรา้ งขนึ ในเวลาต่าง ๆ ควรจะไดผ้ ลดงั ขอ้ ใด

เวลาทตี รวจสอบ

. น. . น. . น.

1. ++ ++++ +

2. ++ ++++++ ++++++

3. +++ ++ +++

4. ++ ++ +++

5. + ++++ ++++++

29

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหสั วชิ า 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

33. สกดั คลอโรพลาสตจ์ ากพืชชนิดหนึงแลว้ ทดลองตามทอี อกแบบไวเ้ พือสงั เกตการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ดงั ตาราง

ชุดการทดลอง สารทีเติมลงในหลอดทดลอง การให้แสง
A ADP และ NADP+ ใหแ้ สง
B ATP และ NADPH ให้แสง
C ใหแ้ สง
D CO2 ATP และ NADPH ไม่ใหแ้ สง
CO2 ATP และ NADPH

จากขอ้ มลู ชดุ การทดลองใดจะเกิดแก๊สออกซิเจน
1. ชดุ การทดลอง A เทา่ นนั
2. ชุดการทดลอง B เท่านนั
3. ชดุ การทดลอง A และ C
4. ชุดการทดลอง C และ D
5. ชุดการทดลอง A B และ C

30

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

34. พืชชนิดหนึงมีโครงสร้างของดอกเป็น ดงั ภาพ

จากภาพ ดอกของพืชชนิดนีจะพฒั นาไปเป็นผลประเภทใด และผลประเภทนีพบไดใ้ นพชื ชนิดใด
1. ผลเดยี ว และ องุน่
2. ผลกลมุ่ และ สบั ปะรด
3. ผลกลุม่ และ บวั หลวง
4. ผลรวม และ สับปะรด
5. ผลรวม และ บวั หลวง

35. ขอ้ ใดกล่าวถึงวฏั จกั รชีวิตและการสืบพนั ธุข์ องพืชไดถ้ กู ตอ้ ง
1. แกมีโทไฟตเ์ พศผจู้ ะมีสภาพเป็นดพิ ลอยด์
2. วฏั จกั รชีวติ แบบสลบั ไม่พบในพืชไม่มีท่อลาํ เลียง
3. สปอร์ของพืชดอกจดั เป็นเซลลส์ ืบพนั ธุ์ทพี ร้อมตอ่ การปฏสิ นธิ
4. เมกะสปอร์ทกุ เซลลใ์ นออวุลจะพฒั นาไปเป็นแกมโี ทไฟตเ์ พศผู้
5. การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสพบไดใ้ นการสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุข์ องพชื ดอก

31

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

36. ปริมาณแกล๊ เอทิลนี ทปี ลอ่ ยออกมาจากผลไมช้ นิดหนึงในแตล่ ะชว่ งเวลา เป็นดงั กราฟ

ความเ ้ขม ้ขนของแ ๊กลเอทิลีน

เวลา

จากขอ้ มูล ทชี ว่ ง D ผลไมช้ นิดนจี ะมีการเปลยี นแปลงอย่างไร
1. มกี ารชะลอการสุกของผล
2. มีปริมาณนาํ ตาลในผลมากขนึ
3. มีผนงั เซลลท์ แี ขง็ แรงเพิมขึน
4. มีปริมาณกรดอินทรียใ์ นผลเพิมขนึ
5. มีการขยายขนาดของเซลลผ์ ลเพมิ ขึน

32

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

37. ยีนทคี วบคุมความสูงของตน้ ถวั ชนิดหนึง มีแอลลีล แบบ ไดแ้ ก่ A1 A2 A3 และ a
โดยแตล่ ะแอลลลี จะสรา้ งเอนไซมท์ ีมปี ระสิทธิภาพในการทาํ งานทแี ตกต่างกนั ดงั นี
เอนไซมจ์ ากแอลลลี A1 ทาํ งานได้ หน่วย
เอนไซมจ์ ากแอลลลี A ทาํ งานได้ หน่วย
เอนไซมจ์ ากแอลลีล A ทาํ งานได้ หน่วย
เอนไซมจ์ ากแอลลลี a ทาํ งานได้ หน่วย
ความสูงของตน้ ถวั จะถกู ควบคมุ ดว้ ยผลรวมของระดบั การทาํ งานของเอนไซมจ์ ากแต่ละแอลลีลในหนึงจโี นไทป์
โดยตน้ ถวั ทสี ูงปกติจะตอ้ งมีผลรวมการทาํ งานเอนไซมใ์ นแตล่ ะจีโนไทป์ อยา่ งนอ้ ย หน่วย
จากขอ้ มูล คผู่ สมในขอ้ ใดจะใหร้ ุ่นลูกทีเป็นตน้ เตยี ทงั หมด
1. A1 A และ A1 A
2. A1 a และ A1 a
3. A2 A3 และ A2 A3
4. A2 a และ A2 a
5. A3 a และ A3 a

33

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

38. โรคทางพนั ธกุ รรมชนิดหนึงถูกควบคมุ ดว้ ยยีนบนออโตโซม จะแสดงอาการของโรค
เมอื มจี ีโนไทป์ เป็นฮอมอไซกสั รีเซสสีฟ สามีภรรยาคหู่ นึงตอ้ งการมีถกู คน
โดยพวกเขาทงั คูม่ ีจโี นไทป์ ของยืนทคี วบคมุ โรคนีเป็น Aa

จากขอ้ มลู ความน่าจะเป็นทีสามีภรรยาคู่นจี ะมลี กู ปกติทุกคนเป็นเทา่ ใด
1. 1/4
2. 3/4
3. 1/256
4. 16/256
5. 81/256

39. แบคทเี รีย ก และ ข มปี ริมาณเบสกวานีน ร้อยละ และ ของปริมาณเบสทงั หมดในโมเลกลุ DNA ตามลาํ ดบั

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดถูกตอ้ ง
1. โมเลกุล DNA ของแบคทเี รีย ก มปี ริมาณเบสไทมีน รอ้ ยละ
2. โมเลกลุ DNA ของแบคทเี รีย ข มีปริมาณเบสอะดนี ีน รอ้ ยละ
3. โมเถกลุ DNA ของแบคทเี รีย ก มีปริมาณเบสอะดีนีน รอ้ ยละ
4. โมเถกล DNA ของแบคทีเรีย ก มปี ริมาณเบสไซโทซีน รอ้ ยละ
5. โมเลกุล DNA ของแบคทีเรีย ข มปี ริมาณเบสไซโทซีน รอ้ ยละ

34

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

40. จากการวจิ ยั การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสีดอกของตน้ ถวั พบวา่ มแี อลลีลทีเกียวขอ้ ง แอลลีล คอื
แอลลีล A เป็นแอลลลี เดน่ ทคี วบคุมลกั ษณะดอกสีม่วง สามารถข่มแอลลลี a ซึงเป็นแอลลีลดอ้ ยไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์
โดยแอลลีล A จะควบคุมการสร้าง transcription factor A ซึงเกียวขอ้ งกบั การสร้างสารสีกลุ่มแอนโทไซยานนิ
ในขณะทแี อลลลี a เป็นผลจากการเกิดมวิ เทชนั ทาํ ให้ transcription factor A ทีไดม้ ีโครงสร้างทีเปลียนแปลงไป
จนทาํ งานไมไ่ ด้

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง
1. ตน้ ถวั ทมี ดี อกสีขาว มกี ารสร้าง transcription factor A ลดลง
2. ตน้ ถวั ทมี ดี อกสีขาว มกี ารถอดรหัสและการแปลรหสั ของแอลลีล a
3. ตน้ ถวั ทีมดี อกสีม่วง พบ transcription factor A และสร้างแอนโทไซยานินได้
4. ตน้ ถวั ทีมดี อกสีม่วง มกี ารถอดรหสั และการแปลรหสั ไดเ้ ป็น transcription factor A
5. ตน้ ถวั ทีมีดอกสีมว่ งทมี ีจโี นไทป์ Aa พบทงั transcription factor A ชนิดทีทาํ งานได้ และทาํ งานไม่ได้

41. ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง
1. ไรโบโซมแปลรหสั บน mRNA ในทิศทาง ' ไป '
2. mRNA ประกอบดว้ ยเบส ชนดิ คือ A T G และ C
3. อตั ราส่วนระหวา่ ง A + G และ U + C ของ mRNA จะเป็น : เสมอ
4. ในยแู คริโอต พบว่าความยาวของ mRNA อาจนอ้ ยกว่าความยาวของยนี
5. ในโพรแคริโอตการแปลรหัสเกิดขึนหลงั จากการถอดรหัสเสร็จสินสมบูรณ์

35

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

42. กาํ หนดใหต้ ารางรหสั พนั ธุกรรม เป็นดงั นี

Phe หมายถึง ฟี นิลอะลานีน Leu หมายถงึ ลิวซีน Ser หมายถงึ ซีรีน
Tyr หมายถึง ไทโรซีน Cys หมายถงึ ซิสเทอีน Trp หมายถึง ทริปโตเฟน
Pro หมายถึง โพรลนี His หมายถงึ ฮิสทดิ นี Gln หมายถงึ กลูตามนี
Arg หมายถงึ อาร์จินีน Ile หมายถงึ ไอโซลวิ ซีน Met หมายถงึ เมไทโอนีน
Thr หมายถงึ ทรีโอนีน Asn หมายถงึ แอสพาราจนี Lys หมายถึง ไลซีน
Val หมายถึง วาลีน Ala หมายถงึ อะลานีน Asp หมายถงึ กรดแอสพาร์ติก
Glu หมายถึง กรดกลตู ามกิ Gly หมายถงึ ไกลซีน

36

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

ถา้ เกิดมวิ เทชนั ทที าํ ให้เบส T ในตาํ แหน่ง ก หายไปจากลาํ ดบั นิวคลีโอไทด์ของสายดเี อ็นเอแมแ่ บบ ดงั ภาพ


5' TTACCTAAGAATAGATGGGCATCGGG 3'
จากขอ้ มูล เมอื เกิดการถอดรหัสและแปลรหัส สายพอลเิ พปไทดท์ ไี ดจ้ ะเป็นอย่างไร

1. ไม่มกี ารเปลียนแปลง
2. สายพอลิเฟปไทด์มขี นาดสนั ลง
3. กรดแอมโิ นเปลยี นไปเพยี ง ตาํ แหน่ง
4. สายพอลิเพปไทดไ์ ม่ถูกสรา้ งขึนเพราะไม่มกี ารแปลรหัส
5. กรดแอมิโนตาํ แหน่งที เปลียนจากไอโซลิวซีนเป็นซีรีน

37

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

43. เชือรา Neurospora crassa สายพนั ธุป์ กติ สามารถสังเคราะห์อาร์จนิ ีน ทีจาํ เป็นต่อการเจริญไดเ้ อง
โดยมกี ระบวนการสงั เคราะห์ ดงั แผนภาพ

สารตงั ตน้ เอนไซม์ X ออร์นิธิน เอนไซม์ Y ซิทรูลลิน เอนไซม์ Z อาร์จนิ ีน

นกั วทิ ยาศาสตร์ทดลองเลยี งเชือราชนิดนีทีเป็นสายพนั ธุก์ ลายจาํ นวน สายพนั ธุ์ ในอาหารเลยี งเชือทีมสี ารตงั ตน้ และ
เติมกรดแอมโิ นชนิดตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ออร์นิธิน ซิทรูลลนิ และ อาร์จินีน เพอื ศกึ ษาการเจริญของเชือ ไดผ้ ลดงั ตาราง

อาหารเลียงเชือ เติมซิทรูลลิน ไม่เติม
เติมออร์นิธิน + เตมิ อาร์จินีน กรดแอมิโน

N. crassa ทงั ชนิด

สายพนั ธุ์ปกติ + ++

สายพนั ธุ์ A +

สายพนั ธุ์ B ++

สายพนั ธุ์ C + + +

กาํ หนดให้ เครืองหมาย + หมายถึง มีการเจริญของเชือรา
เครืองหมาย หมายถึงไมม่ กี ารเจริญของเชือรา

38

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วิชา 69 ชีววิทยา เมษายน 2564

จากขอ้ มูล ถา้ เชือราแตล่ ะสายพนั ธุ์มีมวิ เทชนั ในยีนทสี รา้ งเอนไซมใ์ นกระบวนการสังเคราะห์อาร์จินีน เพยี ง ยนื
ทีแตกต่างกนั ขอ้ ใดระบุมิวเทชนั ของยีนในกระบวนการสงั เคราะหอ์ าร์จินีนของเชือราแตล่ ะสายพนั ธุ์ไดถ้ กู ตอ้ ง

สายพนั ธ์ทุ ีมีมวิ เทชนั ของยนี ทีสร้าง

เอนไซม์ X เอนไซม์ Y เอนไซม์ Z
1. A B C

2. A C B
3. B C A

4. C B A

5. C A B

39

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวชิ า 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

44. นกั วิทยาศาสตร์สรา้ งสิงมีชีวิตดดั แปรพนั ธุกรรม โดยเชือมต่อยีน X ทีสรา้ งสารทาํ ใหแ้ บคทีเรียเปลง่ แสงในทีมดื
ทีมคี วามยาว คู่เบส เขา้ ไปในพลาสมิด pKU666 ซึงมยี นี kanR เป็นยีนทีทาํ ใหต้ า้ นทานยาปฏิชีวนะ kanamycin
และยนี LacZ เป็นยีนทสี รา้ งเอนไซมย์ ่อยสารตงั ตน้ ทไี มม่ สี ีใหเ้ ป็นสีฟ้า ดงั ภาพ

ในการทดลองนีไดใ้ ส่ยีน X เขา้ ไปในพลาสมิดทตี าํ แหน่งตดั จาํ เพาะของเอนไซม์ EcoRI หลงั จากนนั ถา่ ยพลาสมิด
เขา้ สู่เซลลแ์ บคทเี รียแลว้ เลียงบนอาหารวนุ้ ทมี ยี าปฏชิ ีวนะ kanamycin และมสี ารตงั ตน้ ทีสามารถทาํ ปฏกิ ริ ิยากบั
เอนไซมจ์ ากยีน LacZ ได้
ต่อมาพบแบคทีเรียทเี จริญบนอาหารดงั กล่าว จงึ นาํ ไปสกดั พลาสมิดไดเ้ ป็นพลาสมดิ แบบ
แลว้ นาํ มาตรวจสอบดว้ ยการตดั ดว้ ยเอนไซมต์ ดั จาํ เพาะ BamHI จากนนั แยกขนาดของชินดเี อ็นเอ
ดว้ ยวิธีเจลอิเลก็ โทรฟอรีซีส ไดผ้ ลดงั ภาพ

กาํ หนดให้
M คอื ดเี อ็นเอทีทราบขนาด
1 คือ พลาสมดิ แบบที
2 คอื พลาสมดิ แบบที

40

แนวขอ้ สอบวิชาสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดระบสุ มบตั ขิ องแบคทีเรียทมี ีพลาสมดิ แตล่ ะแบบไดถ้ ูกตอ้ ง
กาํ หนดให้ + หมายถึง แบคทเี รียมสี มบตั ดิ งั กล่าว

หมายถึง แบคทีเรียไม่มีสมบตั ิดงั กล่าว

สมบตั ิของแบคทเี รีย พลาสมดิ แบบที 1 พลาสมดิ แบบที 2

1. ตา้ นทานยาปฏิชีวนะ +

2. สร้าง LacZ ได้ +

3. ทาํ ปฏิกริ ิยาไดส้ ารสีฟ้า +

4. มีตาํ แหน่งตดั จาํ เพาะของเอนไซม์ BamHI ได้ 2 ตาํ แหน่ง +

5. เมอื ตดั ดว้ ยเอนไซม์ EcoRI ไดแ้ ถบ DNA 2 แถบ +

41

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหสั วชิ า 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

45. นกั วทิ ยาศาสตร์ทดลองนาํ มา้ และลามาผสมพนั ธุ์และศกึ ษาจาํ นวนโครโมโซมของลกู ผสมไดผ้ ลการศกึ ษา ดงั ตาราง

สิงมีชีวติ ลา (เพศผ้,ู 2n=62) ม้า (เพศผ้,ู 2n=64)
ลา (เพศผ,ู้ 2n=62) ลา (2n=62) ล่อ (2n=63)
มา้ (เพศผ,ู้ 2n=64) ลอ่ (2n=63) มา้ (2n=64)

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดกลา่ วถึงกลไกการแยกเหตุการสืบพนั ธุ์ (reproductive isolation) ไดถ้ กู ตอ้ ง
1. ไม่มกี ลไกการแยกเหตกุ ารสืบพนั ธุระหวา่ งมา้ กบั ลา เพราะยงั ผสมพนั ธุก์ นั ได้
2. มีกลไกการแยกเหตกุ ารสืบพนั ธกุ์ อ่ นระยะไซโกต เพราะมา้ และลามจี าํ นวนโครโมโซมไมเ่ ท่ากนั
3. มกี ลไกการแยกเหตกุ ารสืบพนั ธกุ์ อ่ นระยะไซโกต เพราะเซลลส์ ืบพนั ธุข์ องมา้ และลาปฏิสนธิกนั ไมไ่ ด้
4. มีกลไกการแยกเหตกุ ารณ์สืบพนั ธุห์ ลงั ระยะไซโกต เพราะเมือลอ่ ผสมพนั ธุต์ ่อจะให้ลูกทีออ่ นแอลงเรือย ๆ
5. มีกลไกการแยกเหตกุ ารสืบพนั ธุ์หลงั ระยะไซโกต เพราะลอ่ มีโครโมโซม n=63
จึงไม่สามารถสร้างเซลล์สืบพนั ธุท์ ีปกตไิ ด้

42

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

46. ศกึ ษาลกั ษณะความยาวปีกของแมลงชนิดหนึงทีมีประชากร , ตวั โดยแอลลีล T เป็นแอลลีลเด่น
ควบคุมลกั ษณะปี กยาว ส่วนแอลลลี t เป็นแอลลีลดอ้ ยทคี วบคุมลกั ษณะปีกสัน
ซึงแอลลีลเดน่ สามารถข่มแอลลีลดอ้ ยไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ไดผ้ ลการทดลอง ดงั ตาราง

ฟี โนไทป์ จีโนไทป์ จํานวนทีพบ (ตวั )
TT 600
ปี กยาว Tt 340
ปี กสัน tt 60

จากขอ้ มลู ความถีของแอลลีล T เป็นเท่าใด และปัจจยั ใดทีอาจทาํ ให้ความถขี องจโี นไทป์
ในประชากรรุ่นถดั ไปเปลยี นแปลง

ความถขี องแอลลลี T ปัจจัยทีอาจทําให้ความถขี องจโี นไทป์
ในประชากรรุ่นถัดไปเปลยี นแปลง
1. 0.23
2. 0.60 การมวิ เทชนั (mutation)
3. 0.60
4. 0.77 การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ (natural selection)
5. 0.77 เกดิ ปรากฏการณค์ อขวด (bottleneck effect)
การอพยพออกของประชากร (emigration)

การผสมพนั ธุ์แบบสุ่ม (random mating)

43

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

47. เมือ ปี ทแี ลว้ หุบเขาแห่งหนึงเคยมตี น้ ถวั ดอกสีมว่ งและฝักสีเขียวเป็นส่วนใหญ่
ส่วนทีเหลอื เป็นดอกสีขาวและฝักสีเหลอื ง แตป่ ัจจุบนั พบวา่ ตน้ ถวั เกอื บทงั หมดมดี อกสีขาวและฝกั สีเหลือง

จากขอ้ มลู ขอ้ ใดกลา่ วถึงสาเหตทุ ีมโี อกาสทาํ ให้เกดิ การเปลยี นแปลงของประชากรตน้ ถวั ไมถ่ ูกตอ้ ง
1. เกิดมิวเทชนั (mutation) ของยนี ในตน้ ถวั ส่งผลเฉพาะตน้ ดอกสีขาว มีความตา้ นทานตอ่ โรค
2. เกดิ นาํ ทว่ มใหญ่ เมอื ราว ปี ก่อนทาํ ให้ตน้ ถวั ส่วนใหญ่ตายลง
ทาํ ให้เกิดเจเนติกดริฟตแ์ บบสุ่ม (random genetic drift)
3. เกดิ การนาํ แกะทกี นิ ฝกั ถวั ทีมสี ีเขยี วเป็นหลกั เขา้ มาเลยี งในหุบเขาแห่งนี ทาํ ให้เมล็ดถวั
ถกู ทาํ ลายและเกดิ การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ (natural selection)
4. เกดิ การแพร่กระจายของผเี สือชนิดใหมท่ ีบนิ ไปกนิ นาํ หวานและผสมเกสรเฉพาะดอกทมี สี ีขาว
ทาํ ให้เกิดการผสมพนั ธุ์แบบไมส่ ุ่ม (nonrandom mating)
5. เกิดการอพยพของคนเขา้ มาอยู่ในหุบเขาและมีการคดั เลอื กพนั ธุถ์ วั ทมี ีอยเู่ ดิมในหุบเขาแห่งนี
เพือการเพาะปลูก โดยนิยมปลกู ผกั สีเหลอื ง ทาํ ใหเ้ กิดการถา่ ยเทยนี (gene flow)

48. นกั วทิ ยาศาสตร์สํารวจถาํ แห่งหนึง ซึงมีการคน้ พบสิงมีชีวติ หลายชนิดรวมทงั กิงกือชนิดใหม่ซึงไมเ่ คยคน้ พบ
ในบริเวณอนื มาก่อน โดยพบวา่ กิงกือบางตวั มลี าํ ตวั สีชมพแู ละบางตวั มีลาํ ตวั สีเทา กงิ กอื ทงั สองสีสามารถผสมพนั ธุ์
และไดล้ ูกทีสามารถสืบพนั ธุ์ตอ่ ไปไดต้ ามปกติ

จากขอ้ มูลนี แสดงถงึ ความหลากหลายทางชีวภาพระดบั ใดบา้ ง
1. ความหลากหลายของสปี ชีส์เท่านนั
2. ความหลากหลายของสปี ชีส์ และความหลากหลายทางพนั ธุกรรม
3. ความหลากหลายของสปี ชีส์ และความหลากหลายของระบบนิเวศ
4. ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม และความหลากหลายของระบบนิเวศ
5. ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม ความหลากหลายของสปี ชีส์ และความหลากหลายของระบบนิเวศ

44

แนวขอ้ สอบวชิ าสามญั
รหัสวิชา 69 ชีววทิ ยา เมษายน 2564

49. ไดโคโทมสั คยี ท์ ใี ชใ้ นการระบุสิงมีชีวติ กลมุ่ หนึง เป็นดงั นี
ก มสี มมาตรแบบรศั มี.............................................................. กลุ่มในดาเรียน
ข มสี มมาตรร่างกายแบบครึงซีก.............................................. ดูขอ้
ก ไมม่ โี พรงลาํ ตวั ..................................................................... กล่มุ A
ข มโี พรงลาํ ตวั .......................................................................... ดขู อ้ 3
ก บลาสโทพอร์พฒั นาไปเป็นทวารหนกั .................................. กลุ่ม B
ข บลาสโทพอร์พฒั นาไปเป็นชอ่ งปาก..................................... ดขู อ้
ก มกี ารลอกคราบระหวา่ งการเจริญเตบิ โต............................... กลมุ่ C
ข ไม่มีการลอกคราบระหว่างการเจริญเติบโต.......................... กลมุ่ D

จากไดโคโทมสั คยี ์ ขอ้ ใดระบุตวั อย่างของสิงมีชีวติ ในแตล่ ะกลุ่มไดถ้ ูกตอ้ ง

กล่มุ A กล่มุ B กล่มุ C กล่มุ D
1. พยาธิเสน้ ดา้ ย เสือโคร่ง ไส้เดือนฝอย แมงดาทะเล
2. พลานาเรีย แอมฟิ ออกซสั กงั กระดาน แม่เพรียง
3. พยาธิใบไม้ ลนิ ทะเล ไสเ้ ดอื นดิน หอยสงั ข์
4. กิงกือ ดาวทะเล ปลิงนาํ จืด เพรียงหัวหอม
5. พยาธิตวั ตืด แมลงดานา หมกึ กลว้ ย ดาวทะเล

50. สิงมชี ีวิตคใู่ ดทมี คี วามใกลช้ ิดทางสายววิ ฒั นาการมากทสี ุด
1. เหา และ แมงดาทะเล
2. ฟองนาํ และ ปะการงั
3. หอยแมลงภู่ และ ปูเสฉวน
4. ทากดดู เลอื ด และ ปลงิ ทะเล
5. ไส้เดอื นดิน และ พยาธิไสเ้ ดือน

45


Click to View FlipBook Version