วัฒนธรรมการ
แต่งกายไทย
4 ภาค
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ งของรายวิชาภาษาเพื่ อการ
สื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาศึกษา
หาความรู้เกี่่ยวกับการสื่ อสารทางเทคโนโลยีทางสังคมศาสตร์
เพื่่อเป็นแนวทาการศึกษา การเรียนรู้และการศึกษาอย่างเข้าใจ
ในการเรียน ทั้งนี้ในรายงานฉบับนี้มีเนื้ อหาสาระที่่สำคัญในเรื่อง
วัฒนธรรมการแต่งกายของไทย 4 ภาค
โอกาสนี้ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะให้
ประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ จะศึกษา เป็นอย่างมาก หากผิดพลาด
ประการใด ผู้จัดทำก็ขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ และจะนำไปปรับปรุง
ในโอกาสต่อไป
สุพัตรา ธีระบุตร
ก
ส า ร บั ญ หน้า
เรื่อง ก
ข
คำนำ 1
สารบัญ 2
บทนำ 5
การแต่งกายภาคเหนือ 7
การแต่งกายภาคกลาง 11
การแต่งกายภาคอีสาน 14
การแต่งกายภาคใต้ 15
อ้างอิง
ผู้จัดทำ
ข
บ ท นำ
ประเทศไทยประกอบไปด้วยภาคต่างๆ จำนวน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ ด้วยสภาพอากาส
และภูมิศาสตร์ที่มีความแตกต่างกัน จึงทำให้ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมการแต่งกายที่มีเอกลักษณ์
เป็นของตน ภาคเหนือ มีลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขาสูงสลับกับ
หุบเขา ภาคใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับทะเล ลักษณะภูมิอากาศเป็น
แบบร้อน ภาคกลาง มีลักษณะเป็นแอ่ง วัฒนธรรมจึงมีความแตก
ต่างกันออกไป ตามความนิยมในแต่ละยุคสมัยประกอบกับ ภูมิ
อากาศ ภูมิประเทศ มีส่วนในการที่ทำให้เครื่องแต่งกายมีความแตก
ต่างกัน เกิดจากภูมิปัญญาสืบต่อเป็นประเพณีตามความเชื่อสืบต่อ
กันมากันมา
01
ก า ร แ แ ต่ ง ก า ย ภ า ค เ ห นื อ
การแต่งกาย
การแต่งกายพื้นเมืองของภาคเหนือมีลักษณะแตก
ต่างกันไปตามเชื้อชาติ ของกลุ่มชนคนเมือง
เนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่
ซึ่ง บ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น
ผู้หญิง
ผู้หญิงชาวเหนือจะนุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง มีความยาว
เกือบถึงตาตุ่ม ซึ่งนิยมนุ่งทั้งสาวและคนแก่ผ้าถุงจะมี
ความประณีต งดงาม ตีนซิ่นจะมีลวดลาย งดงาม ส่วน
เสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม มีสีสัน ลวดลายสวยงาม อาจห่ม
สไบทับ และ เกล้าผม
ผู้ชาย
ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาว
แบบ 3 ส่วน เรียกติดปากว่า "เตี่ยว" "เตี่ยวสะดอ" หรือ "เตี่ย
วกี" ทำจากผ้าฝ้าย ย้อมสีน้ าเงิน หรือสีดำ และสวมเสื้อผ้า
ฝ้ายคอกลมแขนสั้น แบบผ่าอก กระดุม 5 เม็ด สีน้ำเงิน หรือ
สีดำ ที่เรียกว่า เสื้อม่อฮ่อม
02
วัฒนธรรมการแต่งกายของเผาลีซอ
ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอมีความโดดเด่นมาก ตั้งแต่ผ้าโพก
หัวที่เป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัดและพู่ประดับหลากสี เวลา
สวมใส่จะส่งให้ใบหน้าของผู้หญิงดูโดดเด่น สวยงาม เสื้อตัวยาวตัดเย็บ
ด้วยผ้าสีสดใสตกแต่งด้วยริ้วผ้าเล็กๆ สลับสี สวมทับ กางเกงขายาว
ครึ่งน่องสีดำ มีผ้าคาดเอวที่เมื่อคาดแล้วจะทิ้งชายไปทางด้านหลังเป็น
พู่หางม้า ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นไส้ไก่เส้นเล็กๆ จำนวนกว่า 100 เส้น
ขึ้นไปเมื่ อเคลื่ อนไหวพู่จะกวักแกว่งไปด้วยดูน่ารักสวยงามมากและสวม
สนับแข้งสีสด
หญิงสาวและหญิงสูงอายุแต่งกายคล้าย
กันต่างกันเฉพาะการใช้สี ซึ่งในกลุ่มหญิง
สูงอายุจะใช้สีขรึมเข้มกว่า และผ้าโพกหัวก็
ใช้ผ้าสีดำโพกพันไว้ ไม่มีลูกปัดและพู่ประดับ
ผู้ชายสวมกางเกงสีสด และสาวเสื้อสีดำ
ตกแต่งด้วยเม็ดเงินคาดเอว ประดับด้วยพู่
หางม้าทำจากผ้าเย็บเป็นไส้ไก่สลับสี เวลา
คาดเอวจะทิ้งชายลงมาทางด้านหน้า เด็กๆ
ยังคงสวมใส่ชุดประจำเผ่าให้เห็นโดยทั่วไป
03
เครื่องแต่งกายชาติพันธุ์ล้านนา ไทยวน-โยนก
ไทยยวน-โยนก เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนล้านนามาเป็นเวลาช้านาน
มักเรียกขาน ตัวเองว่า “คน เมือง” อาศัยอยู่แถวพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในเขต
จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย แม่ฮ่องสอน มีภาษาพูดและ
ภาษาเขียนเป็นเอกลักษณ์ของตน
ผู้หญิง สมัยก่อนนิยมเปลือยอกท่อนบน หรือมีการเคียน อก ด้วยผ้าสีเข้ม
นิยมนุ่งผ้าที่เย็บเป็นลักษณะกระสอบ เรียกว่า ผ้าซิ่น และส่วนของผ้าซิ่นนั้น ถ้าใช้
สวมใส่ในงานโอกาสสำคัญๆ ก็จะนิยมต่อด้วยตีนจก ซึ่งเป็นการทอลายที่เป็น
เอกลักษณ์ของไทยวนโบราณ ทรงผมนิยมเกล้ามวยผมไว้กลางศรีษะ หรือส่วน
ของท้ายทอย นิยมเหน็บดอกไม้ต่างๆเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทวดาที่คอยดูแล
ขวัญหัว เครื่องประดับนิยมเครื่องประดับที่ทำจากเงิน อาทิกำไลเงิน สร้อยเงิน
ฯลฯ
ผู้ชาย นิยมเปลือยอกบน นุ่งด้วยผ้าฝ้ายสีเข้ม ลักษณะการนุ่งเป็นการนุ่งแบบ
แก๊ตม้าม หรือ แคทมั่ม เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือ คล่องตัวใน
การทำงานต่างๆที่อาจต้องใช้แรง ผู้ชายไทยวนสมัยโบราณนิยมการสัก ตามแขน
ต้นขา เนื่องด้วยความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ความคงกระพัน และเพื่อเป็นขวัญ
และกำลังใจในการออกรบ
04
การแต่งกายภาคกลาง
วัฒนธรรมการแต่งกายภาคกลาง ตามธรรมดาคนไทยสมัย
โบราณ ไม่นิยมสวมเสื้อผ้าแม้แต่เวลา เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว จึง
ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงสนับสนุน
ให้มีการศึกษาภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรมตะวันตกขึ้น ในราช สำนัก
จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายสตรี โดย ผู้หญิง ผม เลิกไว้
ผมปีก หันมาไว้ผมยาวประบ่า การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสื้อ
ผ่าอก แขนยาว ห่มแพร จีบตามขวาง สไบเฉียงทาบบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง
ถ้าอยู่บ้านห่มสไบไม่สวมเสื้อ เมื่อมีงานพิธีจึงนุ่งห่มตาด เครื่องประดับ
สร้อยคอ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล แหวน เข็มขัด ผู้ชาย ผม เลิกไว้
ทรงมหาดไทย หันมาไว้ผมยาวทั้งศีรษะ ผมรองทรง พระมหากษัตริย์
และพวกราชทูตไทยจะแต่งตัวแบบฝรั่งคือ สวมกางเกง ใส่เสื้อนอกคอ
เปิด สวมรองเท้าคัทชู
05
ผู้ชาย
ผู้ชาย สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวม
ใส่โจงกระเบนสวมเสื้อสีขาว ติดกระดุม 5 เม็ด ที่เรียกว่า "ราชประ
แตน" ไว้ผมสั้นข้างๆตัดเกรียนถึงหนังศีรษะข้างบนหวีแสก
กลาง
ผู้หญิง
ผู้หญิง สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยม
สวมใส่ผ้าซิ่นยาวครึ่งแข้ง ห่มสไบเฉียงตามสมัยอยุธยา ทรง
ผมเกล้าเป็นมวย และสวมใส่เครื่องประดับเพื่อความสวยงาม
06
การแต่งกายภาคอีสาน
การแต่งกายส่วนใหญ่ใช้ผ้าทอมือ ซึ่งทำจากเส้นใยธรรมชาติ
เช่น ผ้า ฝ้ายและผ้าไหม ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยาม
ว่างหลังจาก ฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่ นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละ
บ้านจะกางหูก ทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะ
สืบทอดกันมาผ่าน การจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน
การย้อมและการทอผ้า ที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่ง
ห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับ
การออกเรือนสำหรับ 19 20 หญิงวัยสาวทั้งการเตรียมสำหรับตนเอง
และเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความ เป็นกุลสตรีเป็นแม่เหย้าแม่
เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย
07
ลักษณะการแต่งกาย
ผู้ชาย ส่วนใหญ่นิยมสวมเสื้ อแขนสั้นสีเข้มๆ ที่เราเรียกว่า "ม่อ
ห่อม" สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้ อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วย
ผ้าขาวม้า
ผู้หญิง การแต่งกายส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว
สวมเสื้ อคอเปิดเล่นสีสัน ห่มผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตาม
ข้อมือ ข้อเท้าและคอ ผ้าพื้นเมือง
จำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้น
ไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วย
ฝ้ายย้อมสีตามต้องการ
2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญ
ประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึง
มักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลาย
สีสัน
ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะ
พากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟบ้างก็สาวไหมบ้างก็ปั่ นฝ้ายกรอฝ้ายฝ่ายชายก็
ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้น
บ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน
เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตก
ต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม
08
กลุ่ มอี สานเหนื อ
เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชน
เผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่ง
ในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกั
ยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะ
การทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีที่เรียกว่า การมัดย้อม (tie dye)
เพื่อทำให้ผ้าที่ทอเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อันโดดเด่นก็อยู่
ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ผูกมัด และการเหลื่อม
ล้ำในตำแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสีสัน
อันวิจิตรจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสีที่
แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน 7
ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่
ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้
ดอกไม้ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เขตอำเภอชนบท
จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น
09
จิตวิทยาสังคม | 72
กลุ่มอีสานใต้
คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัด
สุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะ
ของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทำเองจาก
ธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทำให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่
เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกันมากเช่น ผ้าหาง
กระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสองเส้นควั่นทบกันทอ
แทรก
ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น
ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผู้สูงอายุ
ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีทั้งการทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วน
มากมักจะใช้ต่อเป็นตีนซิ่นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะ
ชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้กัน ลักษระการต่อตีนซิ่นของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจาก
ตัวซิ่นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
อย่างเด่นชัด 10
ก า ร แ ต่ ง ก า ย ข อ ง ภ า ค ใ ต้
การแต่งกายนั้นแตกต่างกันในการใช้วัสดุ
และรูปแบบโดยมีเอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ
11
กลุ่มเชื้อสายจีน – มาลายู
เป็นกลุ่มชาวจีน เชื้อสายฮกเกี๊ยนที่มาสมรสกับชนพื้น
เมืองเชื้อสายมาลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอัน
สวยงาม ที่ผสมผสาน รูปแบบของชาวจีนและมาลายูเข้า
ด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบ
คอ,เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ
ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิมอยู่
กลุ่มชาวไทยมุสลิม
กลุ่มชาวไทยมุสลิมชนดั้งเดิม ของดินแดนนี้นับถือ
ศาสนาอิสลาม และมี เชื้อสายมาลายู ยังคงแต่งกาย
ตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผ้าคลุมศีรษะ ใส่
เสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายูนุ่งซิ่นปาเต๊ะ
หรือ ซิ่นทอแบบมาลายู ฝ่ายชายใส่เสื้อคอตั้ง สวม
กางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซอง
เก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสร่ง
ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถักหรือ เย็บด้วย
ผ้ากำมะหยี่
ก ลุ่ ม ช า ว ไ ท ย พุ ท ธ
กลุ่มชาวไทยพุทธชนพื้นบ้าน แต่งกายคล้ายชาว
ไทยภาคกลาง ฝ่ายหญิงนิยมนุ่งโจงกระเบน หรือ
ผ้าซิ่นด้วย ผ้ายกอันสวยงาม ใส่เสื้อสีอ่อนคอกลม
แขนสามส่วน ส่วนฝ่ายชายนุ่งกางเกงชาวเล หรือ
โจงกระเบนเช่นกัน สวมเสื้อผ้าฝ้ายและ มีผ้าขาวม้า
ผูกเอว หรือพาดบ่าเวลาออกนอกบ้านหรือไปงาน
พิธี
12
ผ้าทอที่มีชื่อเสียงของภาคใต้
ผ้ายกเมืองนครศรีธรรมราช
ผ้ายกพุมเรียง
ผ้ายกเกาะยอ
13
อ้ า ง อิ ง
วัฒนธรรมการแต่งกาย 4ภาค(ออนไลน์).สืบค้น
จาก.HTTPS://CULTURE.CHANDRA.AC.TH/IM
AGES/PDF/64019.PDF
วัฒนธรรมท้อถิ่น4 4ภาค(ออนไลน์).สืบค้น
จาก.HTTPS://50510UBONRAT.WORDPRESS.
COM/การแต่งกายของ-4ภาค/
14
ป ร ะ วั ติ ผู้ จั ด ทำ
น า ง ส า ว สุ พั ต ร า ธี ร ะ บุ ต ร
รหัสนักศึกษา 64054000324
หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต
สาขา สังคมศึกษา
คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
15