The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เหตุการณ์ต่างๆที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ส่งผลต่อโลกในยุคปัจจุบัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Todsapon Songsawatwong, 2023-01-05 10:00:00

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน

เหตุการณ์ต่างๆที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ส่งผลต่อโลกในยุคปัจจุบัน

History

เหตุการณ์สำคัญทาง
ประวัติศาสตร์
ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน

E-BOOK

Presented To

SINTANAKORN RUPBOON

Presented By

GROUP

คำนำ

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
เรื่อง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน เพื่อนำไป
ใช้ในการเรียนรู้ เพื่อจะได้ทราบวิธีการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ
ระบบสารสนเทศ การจัดทำหนังสือ เล่มนี้ขึ้นเพื่อศึกษาความพึงพอใจของ
การใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เรื่อง เหตุการณ์สำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป

1.นาย จัดทำโดย
2.นาย พท
ศลพพรล ทรงสวัสดิ์วงศ์ เลขที่1 ม.5/1
ฤทธิ์เนติกุล เลขที่2 ม.5/1

3.นาย พีระศักดิ์ ศรีธงชัย เลขที่3 ม.5/1

4.นางสาว กัญญารัตน์ สืบทายาท เลขที่5 ม.5/1

5.นางสาว พิมพ์ลภัศ เถาวัลย์พนากุล เลขที่10 ม.5/1

6.นางสาว อินทิรา ยังเรืองโรจน์ เลขที่16 ม.5/1

7.นางสาว สุวนันท์ เเซ่ลี เลขที่20 ม.5/1

สารบัญ

คำนำ………………………………………………………………………………ก
สารบัญ…………………………………………………………………………..ข
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
ระบบการปกครองแบบฟิวดัล………………………………………………………1
สงครามครูเสด…………………………………………………………………………..2
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ………………………………………………………………4
เหตุการณ์สำคัญในสมัยใหม่จนถึงสมัยปัจจุบัน
การค้นพบและการสำรวจทางทะเล………………………………………………6
การปฏิรูปศาสนา……………………………………………………………………….12

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์……………
…………………………………………….15

การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม………………………………………………………….20
แนวคิดเสรีนิยม………………………………………………………………………….21
แนวคิดจักรวรรดินิยม…………………………………………………………………22
แนวคิดชาตินิยม…………………………………………………………………………23
แนวคิดสังคมนิยม………………………………………………………………………24

ความขัดเเย้งและความร่วมมือของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษ
ที่20จนถึงปัจจุบัน
ความขัดเเย้งในคริสต์ศตวรรษที่20 จนถึงปัจจุบัน …………………………25
ความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่20 จนถึงปัจจุบัน………………………….30
อ้างอิง……………………………………………………………………………..ค

เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง

ระบอบการปกครองแบบฟิวดัล
ระบบฟิวดัล(ระบบศักดินาสวามิภักดิ์)มีที่มาอย่างไรและ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เป็นลักษณะการปกครองและสังคมของชนเผ่าเยอรมัน(เน้นความผูกพันระหว่างนักรบ
กับและหัวหน้านักรบตามประเพณี Comitatus โดยกษัตริย์กระจายอำนาจไปสู่หัวหน้า
หรือกลุ่มนักรบ)และลักษณะการปกครองที่สืบทอดมาจากโรมัน(ระหว่างผู้อุปการะกับ
ผู้รับอุปการะและความสัมพันธ์ระหว่าง นายกับข้าทาส) ผสมผสานกันเป็นรากฐานของ
ยุโรปสมัยกลาง ในช่วงที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ชาวนาเจ้าของที่ดินต้องหลบหนี ลี้ภัย
เกิดความหวาดกลัว จึงต้องยกที่ดินให้ผู้มีอำนาจเพื่อขอความคุ้มครองเจ้าของที่ดินเดิม
เปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้เช่าที่ดิน แต่เป็นเสรีชนและกษัตริย์มีอาณาจักรกว้าง

เพราะเหตุใดระบบฟิวดัลจึงเสื่อม?


1.เนื่องจากการปฏิวัติทางเศรษฐกิจคริสต์ศตวรรษที่ 11

2.การฟื้นฟูการค้ากับตะวันออกใกล้ มีการไถ่ตัวทาสติดที่ดินเป็นอิสระโดยไปทำการค้า

เป็นช่างฝีมือ มีการเลื่อนฐานะเป็นชนชั้นกลางและมีอิทธิพลางเศรษฐกิจ

3.เกิดโรคะบาด กาฬโรค ทั่วยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทำให้แรงงานหายาก ทาสติด

ที่ดินมีโอกาสเป็นอิสระ โยกย้ายที่อยู่ ระบบแมเนอร์จึงสลายตัว

4.มีทหารรับจ้าง ชาวนา หนีไปเป็นทหารรับจ้าง เกิดจลาจลชาวไร่ ชาวนา

5.จากสงครามครูเสด และสงคราม 100 ปี ทำให้อัศวินเสียชีวิตมาก กษัตริย์ยึดอำนาจ

คืน

จากขุนนางโดยมีพ่อค้า ชนชั้นกลางสนับสนุน กษัตริย์เริ่มติดต่อโดยตรงกับประชาชน

ทรงมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงยุบกองทัพของขุนนาง กล่าวได้ว่าระบบฟิวดัลได้

วิวัฒนาการเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสเปนและฝรั่งเศส

สงครามครูเสด

สงครามครูเสด เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติในครั้งอดีต เป็นสงครามระหว่าง
ศาสนา โดยส่วนใหญ่หมายความถึงสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ในช่วง
ศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ดินแดนที่ทำการสู้รบและแย่งชิงพื้นที่กัน เป็นสถานที่สำคัญของสาม
ศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และ คริสต์ ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือบริเวณประเทศอิสราเอล
ปาเลสไตน์ และเลบานอน
ความหมายของสงครามครูเสด
สงครามครูเสด มีความหมายว่า เป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม เป็นความถูกต้อง
ชอบธรรมตามหลักศรัทธาทางศาสนา เป็นสงครามที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตามพระประสงค์
ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งชาวมุสลิมใช้คำว่า จิฮัด
ในภายหลังคำว่า สงครามครูเสดถูกนำไปใช้ในทำนองการรณรงค์ต่อสู้เพื่อความชอบธรรม
ด้านต่าง ๆ เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ฆ่าคนนอกรีต-คนต่าง
ศาสนา นอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้ขึ้นสวรรค์

สงครามครูเสดในมุมมองศาสนาคริสต์ คือ สงครามไม้กางเขน เดิมมาจากคำว่า "ครอส"
(Cross) และชาวคริสต์อ้างว่าเดิมทีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเล็ม (Jerusalem) นั้น เป็นของ
ชาวคริสต์ แต่ถูกชาวมุสลิมรุกรานแย่งชิงไป ฝ่ายคริสต์จึงมีการประกาศความชอบธรรมใน
การทำสงคราม รวมทั้งการยกหนี้สินให้กับคนที่เข้าร่วมสงคราม ผู้นำศาสนายังประกาศอีกว่า
ผู้ใดที่ร่วมรบจะได้ขึ้นสวรรค์

สงครามครูเสดในมุมมองศาสนาอิสลาม คือ การรุกรานของชาวคริสต์ที่กระทำต่อมุสลิม
สาเหตุสงครามเกิดจากการที่ชาวคริสต์ไม่พอใจชาวมุสลิมที่ไม่ต้อนรับพวกตนในการเข้าไปแสวง
บุญที่เยรูซาเล็ม ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลข้ออ้าง อย่างนี้เป็นต้น

สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดสงครามครูเสด
1. สงครามครูเสดเป็นผลของความขัดแย้งกันเป็นเวลาช้านาน ระหว่างคริสตจักรทางภาคตะวัน
ตกกับทางภาคตะวันออก ต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง โดยนำเสนอ
ความเป็นผู้นำในการรบเพื่อทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และหยุดยั้งการแพร่ขยายของศาสนา
อิสลามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นทั่วไปในหมู่ชาวคริสเตียนในยุโรป
ด้วยเหตุดังกล่าว ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสเตียนจึงได้ส่งกองกำลังมาปะทะกับมุสลิม
3. ช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่ระส่ำระสายอยู่ทั่วไปในยุโรป พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ ต่างก็
ต่อสู้ทำสงครามซึ่งกันและกัน พระสันตะปาปามีความเห็นว่า ถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ จะ
ทำให้ชาวคริสเตียนในยุโรปต้องอ่อนแอลง เขาจึงยุยงปลุกระดมให้ประชาชนหันมาต่อสู้กับชาว
มุสลิมแทนเสียเอง โดยอ้างว่าจะได้รับกุศลผลบุญ และทำสงครามเพื่อชิงเอานครอันศักดิ์สิทธิ์
"เยรูซาเล็ม" กลับคืนมา
4. มุสลิมได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ศตวรรษที่
10 เป็นต้นมา การค้าพาณิชย์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงตกอยู่ในความควบคุมของมุสลิมอย่าง
เต็มที่ ดังนั้น ชาวคริสเตียนในยุโรปจึงต้องการทำสงครามกับมุสลิม เพื่อหยุดยั้งความเจริญ
ก้าวหน้าของมุสลิม
5. สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสตจักรของกรีกมาไว้ใต้อิทธิพลของท่านด้วย
จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่เมืองเลอมองส์ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่
26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียนทำสงครามกับชาวมุสลิม ท่านได้สัญญา
ว่าผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้จะได้รับการยกเว้นจากบาปที่เคยทำมา และผู้ที่ตายในสงครามก็จะได้
ขึ้นสวรรค์
ภายในเวลาไม่นานก็รวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ส่วนมากเป็นชาวแฟรงค์ (Frank) และนอร์
แมน (Norman) คนเหล่านี้ได้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม สงครามจึงเริ่มขึ้น

การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ

หมายถึงการเกิดใหม่ หรือการรื้อฟื้นศิลปะจากกรีกและโรมันไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาทาง
ความคิด คิดค้นและประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เริ่มตั่งแต่ ศตวรรษที่ 14 - 17 ถือเป็นการเชื่อมต่อ
ประวัติศาสตร์ยุคกลางและยุคใหม่ อิตาลีถือเป็นประเทศแรกของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
และได้กระจายไปยังในประเทศอื่น ๆ ในยุโรป
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการแบ่งได้เป็น 4 ยุคคือ

ระยะที่ 1 ระยะคลาสสิก ย้อนกลับไปศึกษาเรื่องราวและผลงานของโรม
ระยะที่ 2 ระยะมนุษยนิยม ย้อนกลับไปศึกษาเรื่องราวและผลงานของกรีกและเอเธน
ระยะที่ 3 ระยะศาสนา การย้อนกลับไปสู่ยุคเยรูซาเล็ม
ระยะที่ 4 การฟื้นฟูศิลปวิทยาการทางเหนือ เป็นลักษณะพิเศษแบบเยอรมนี
ที่มาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
1. การสิ้นสุดสงครามครูเสด การเสื่อมของระบบฟิวดัล และการล่มสลายของอาณาจักรบิ

เซนทีน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุโรป
2. มีความก้าวหน้าทางวิทยาการ การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ
3. มีการพัฒนาทางด้านการเดินเรือ นำไปสู่การค้นพบดินแดนใหม่
4. การพัฒนาทางด้านอาวุธ ทำให้กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น เป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริม

ศิลปวิทยาการ
5. คนมีความกระตือรือร้นทางด้านความคิดเกี่ยวกับสังคมและธรรมชาติ ความรู้ที่ได้เป็น

ประโยชน์อำนวยความสุขของมนุษย์
6. ชนชั้นกลางที่ร่ำรวยเรียนแบบชีวิตของชนชั้นสูง จึงอุปถัมภ์ศิลปิน เพื่อเป็นเกียรติยศ

และศักดิ์ศรีของตนเอง

สาเหตุที่อิตาลีเป็นผู้นำในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
1. เป็นทายาทโดยตรงของอารยะธรรมโรมัน ต้องการฟื้นฟูอารยะธรรมของตน เพื่อ
ลบล้างอารยะธรรมเยอรมนี
2. พระสันตะปาปาและศาสนจักรที่โรมต้องการฟื้นฟูอำนาจทางโลกและทางธรรม
3. มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีภูมิศาสตร์ที่มีความเหมาะสม พ่อค้าที่รำรวยนิยม
สนับสนุนผลงานของศิลปิน
4. ชาวอิตาลีมีลักษณะเป็นนักมนุษยนิยม (Humanism) และปัจเจก
นิยม(Individualism) เน้นคุณค่าของมนุษย์ ชอบอุดหนุนศิลปิน
บุคคลสำคัญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
นักคิด : นิโคโล มาเคียวเวลลี่ ผลงานสำคัญคือ The Prince “การทำให้บรรลุจุดมุ่ง
หมายโดยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม” ซึ่งได้กลายเป็นคู่มือของนักปกครองใน
ยุโรปสมัยต่อมา
นักสำรวจ : คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไปสู้อินเดียเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลม ในปี
ค.ศ.1492 เขาพบอเมริกา แต่คิดว่าเป็นอินเดียจึงเรียกชื่อชาวพื้นเมืองว่า “อินเดียน”
การเดินทางสำรวจในครั้งนี้ ทำให้ชาวยุโรปตื่นตัวในการเดินทางค้นหาดินแดนใหม่
นักประดิษฐ์ : จอห์น กูเตนเบร์ก ชาวเยอรมนี ประดิษฐ์แท่นพิมพ์แบบเคลื่อนที่ได้ในปี
ค.ศ. 1450 ผลสืบเนื่องคือ
- เกิดการผลิตหนังสือและเอกสาร ทำให้ประชาชนได้เรียนรู้และคิดค้นทางวิชาการ
มากมาย
- ช่วยให้รัฐเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลไปสู่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
- มีการพิมพ์คำภีร์ไบเบิลในภาษาต่าง ๆ ประชาชนเกิดความรู้คำสอนศาสนาได้ด้วย
ตนเอง จนก่อให้เกิดกาปฏิรูปศาสนาในเยอรมนี
จิตกร : เลโอนาโด ดาวินชี เป็นผู้ที่ มีความสามารถรอบตัว ผลงานสำคัญได้แก่- The
Last Supper ภาพงานเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูและเหล่าสาวก 12 คน
ประดับอยู่ที่มหาวิหารเซนต้ามาเรีย

การค้นพบเเละการสำรวจทางทะเล

เป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไปจนถึงคริสต์
ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่
กว้างออกไปจากตัวทวีปยุโรปเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อ
การแสวงหาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกัน
มากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ
ยุคแห่งการสำรวจประจวบกับช่วงที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มใช้เข็มทิศในการกำหนดและระบุ
เส้นทาง การใช้วิธีการเดินเรือเดินทะเลแบบใหม่ การมีแผนที่ใหม่ และความก้าวหน้าทาง
ดาราศาสตร์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายใหม่ไปยังเอเชียโดย
เลี่ยงอุปสรรคถ้าการใช้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจที่เป็น
ปฏิปักษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่วิวัฒนาการขึ้นสำหรับการเดินทางทางทะเลคือเรือชนิดใหม่สอง
แบบที่ออกแบบโดยโปรตุเกส--เรือคาร์แร็ค (Carrack) และ เรือคาราเวล (Caravel) ที่
วิวัฒนาการมาจากการออกแบบเรือในยุคกลางที่ใช้ในการเดินเรือในทะเลเหนือและทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน เรือสองชนิดนี้เป็นเรือสองชนิดแรกที่ให้ความปลอดภัยพอที่จะฝ่าคลื่นฝ่า
ลมในมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อเทียบกับเรือรุ่นก่อนหน้านั้นที่ใช้กันเฉพาะในบริเวณที่
คลื่นลมไม่รุนแรงเทียบเท่ากับการเดินทางกลางมหาสมุทร

การสำรวจทางทะเล
การสำรวจทางทะเลของยุโรปเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1450-1750 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้ เคียง
กับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรป และต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ยุโรปในยุค
ใหม่ กล่าวได้ว่า การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นพื้นฐานสำคัญทำให้เกิดการสำรวจทางทะเล ซึ่ง
เป็น ผลให้ยุโรปเผยแพร่วัฒนธรรมของตนไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกได้ในเวลาต่อมา
สาเหตุของการสำรวจทางทะเล มีดังนี้

1. การมีวิทยาการที่ก้าวหน้า ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มหันมาสนใจ
ศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และผลจากการติดต่อกับโลกตะวันออกในสมัยสงครามครูเสด
รวมทั้ง การขยายตัวของเมืองในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ชาวยุโรปได้สัมผัสกับ
อารยธรรมความเจริญ ของโลกตะวันออกหลายอย่าง โดยเฉพาะทางด้านปรัชญา
คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทำให้ ปัญญาชนเริ่มตรวจสอบความรู้ของตนและค้นหาคำ
ตอบให้กับตนเองเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งผลักดันให้ชาวยุโรปหันมาสนใจต่อความลี้ลับ
ของท้องทะเลที่กั้นระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ตะวันตก โดยเฉพาะความรู้ทางภูมิศาสตร์
และแผนที่ของโตเลมี (PTOLEMY) นักดาราศาสตร์และ นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ที่แสดงที่
ตั้งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนริมฝั่งทะเลคาบสมุทร ไอบีเรีย จนถึงดินแดนฝั่งทะเล
ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา รวมทั้งดินแดนทางด้านตะวันออกที่ เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ถึง
อินเดียและจีน นอกจากนี้ความรู้ในการใช้เข็มทิศและการพัฒนารูปทรง และขนาดของเรือ
ให้แข็งแรงทนทานต่อสภาพลมฟ้าอากาศ สามารถที่จะเดินทางไกลได้ดีขึ้น ทำให้ชาติตะวัน
ตกหลั่งไหลสู่โลกตะวันออกอย่างกว้างขวาง

2. แรงผลักดันทางด้านการค้า เมื่อพวกมุสลิมสามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโน
เปิล และดินแดนจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ทั้งหมดใน ค.ศ. 1453 ทำให้การค้าทางบก
ระหว่างโลก ตะวันออกกับโลกตะวันตกหยุดชะงัก แต่สินค้าต่างๆ จากตะวันออก
เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศยาต่างๆ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดตะวันตก ซึ่งหนทางเดียว
ที่พ่อค้าจะติดต่อค้าขายได้ก็คือ การติดต่อค้าขายทางทะเล ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง
สำรวจเส้นทางทางทะเล เพื่อหาเส้นทางติดต่อกับ ดินแดนต่างๆ ทางตะวันออก

3. แรงผลักดันทางด้านศาสนา เนื่องจากความคิดของผู้นำชาติต่างๆ ใน
ขณะนั้นเห็น ว่าการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเป็นกุศลอย่างมาก รวมทั้งต้องการ
แข่งขันกับชาวมุสลิมที่เข้ามาขยาย อิทธิพลอยู่ในขณะนั้น จึงสนับสนุนให้มี
การค้นหาดินแดนใหม่ๆ และเผยแผ่คริสต์ศาสนาไป พร้อมกันด้วย

4. อิทธิพลของแนวคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แนวความคิดในสมัยฟื้นฟู
ศิลปวิทยา การ ทำให้ชาวยุโรปมุ่งหวังที่จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศและความ
ต้องการที่จะเสี่ยงโชคเพื่อชีวิต ที่ดีกว่า ผลักดันให้ชาวยุโรปเกิดความกล้าหาญที่
จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ รวมทั้งความกระตือรือร้น ที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และรัก
การผจญภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปกล้าเสี่ยงภัยเดิน ทางสำรวจ
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล
บทบาทของชาติต่างๆ ในการสำรวจทางทะเล
โปรตุเกส
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เจ้าชายเฮนรี นาวิกราช (HENRY THE NAVIGATOR)
พระอนุชาของพระเจ้าจอห์นที่ 1 (JOHN I) แห่งโปรตุเกส ได้จัดตั้งโรงเรียนราช
นาวีเพื่อเป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้เกี่ยวกับการเดินทางทะเล การใช้ เครื่องมือและ
เทคนิคการสร้างเรือ ซึ่งส่งผลให้ชาว โปรตุเกสสามารถค้นพบเส้นทางเดินเรือสู่ดิน
แดนทาง ตะวันออก ได้แก่

– บาร์โธโลมิว ไดแอส (BARTHOLOMEU DIAS) สามารถเดินเรือเลียบชายฝั่งทวีป
แอฟริกาผ่านแหลม กู๊ดโฮป (CAPE OF GOOD HOPE) ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1488

– วัสโก ดา กามา (VASCO DA GAMA) แล่นเรือตาม เส้นทางสำรวจของไดแอสจนถึง
ทวีปเอเชีย และสามารถขึ้นฝั่ง ที่เมืองกาลิกัต (CALICUT) ของอินเดียได้เมื่อ ค.ศ. 1498
ต่อมา ชาวโปรตุเกสสามารถควบคุมเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งตะวันออก ของทวีปแอฟริกา
และอินเดียทางชายฝั่งตะวันตก สามารถยึด เมืองกัว (GOA) ในมหาสมุทรอินเดียได้

สเปน
ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (CHRISTOPHER COLUMBUS) ชาวเมืองเจนัว
(ประเทศอิตาลี) ซึ่งมีความเชื่อว่าโลกกลม ได้รับ การสนับสนุนจากกษัตริย์สเปนให้
เดินทางข้าม มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อสำรวจเส้นทางเดินเรือ ไปประเทศจีน แต่
เขาได้พบหมู่เกาะเวสต์อินดีสซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้โดยบังเอิญใน ค.ศ.
1492 ซึ่งทำให้สเปนได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ ในอเมริกาใต้ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย
แร่เงินและทองคำ ในเวลาต่อมา

คริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงการแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสและสเปนเพื่อ
หาเส้นทางไปหมู่เกาะอีสต์อินดีส (EAST INDIES) ซึ่งเป็นแหล่งเครื่องเทศและพริกไทย ใน
ค.ศ. 1494 สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 (ALEXANDER VI) ได้ให้สเปนและโปรตุเกสทำ
สนธิสัญญา ทอร์เดซียัส (TREATY OF TORDESILLAS) กำหนดเส้นสมมติแบ่งโลกออกเป็น
2 ส่วน โดยสเปนมีสิทธิ สำรวจและยึดครองดินแดนทางด้านตะวันตกของเส้นเมริเดียนที่
51 ส่วนโปรตุเกสได้สิทธิทาง ด้านตะวันออกและนำไปสู่การสร้างจักรวรรดิทางทะเลของ
โปรตุเกสในเอเชีย
ในคริตส์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสได้ขยายอำนาจมาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเข้า
ยึดครองมะละกา ทำให้บริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้
อิทธิพลของ โปรตุเกส
ค.ศ. 1519 เฟอร์ดินันด์ แมกเจลลัน (FERDINAND MAGELLAN) นักเดินเรือชาวโปรตุเกส
โดยความสนับสนุนจากกษัตริย์สเปน ได้เดินทางไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทร
แอตแลนติกผ่านช่องแคบที่ภายหลังตั้งชื่อว่าแมกเจลลันทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้
ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก มายังทวีปเอเชีย เขาถูกชาวพื้นเมืองฆ่าตายเมื่อพยายามเผยแผ่
คริสต์ศาสนาที่เกาะฟิลิปปินส์ แต่ ลูกเรือของเขาสามารถเดินทางกลับสเปนทางมหาสมุทร
อินเดียได้สำเร็จใน ค.ศ. 1522 นับเป็นเรือ ลำแรกที่แล่นรอบโลกได้สำเร็จ

ฮอลันดา
เดิมฮอลันดาเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปน และทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้า
เครื่องเทศ จนกระทั่ง ค.ศ. 1581 ได้แยกตัวเป็นอิสระจากสเปน ทำให้สเปนประกาศปิด
ท่าเรือ ลิสบอนส่งผลให้ฮอลันดาไม่สามารถซื้อเครื่องเทศได้อีก ฮอลันดาจึงต้องหาเส้นทาง
ทางทะเลเพื่อ ซื้อเครื่องเทศโดยตรง ในที่สุดกองทัพเรือของฮอลันดาก็สามารถยึดครอง
อำนาจทางทะเลใน ค.ศ. 1598 และได้จัดตั้งสถานีการค้าในเกาะชวา และจัดตั้งบริษัท
อินเดียตะวันออกของฮอลันดา เพื่อ ควบคุมการค้าเครื่องเทศ
ใน ค.ศ. 1605 เรือดุฟเกน (DUYFKEN) ของฮอลันดา ที่เป็นเรือค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่า
อยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวา ได้ค้นพบทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก และ
เรียก ทวีปนี้ว่า นิวฮอลแลนด์ (NEW HOLLAND) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้
ครอบครองและ เรียกทวีปนี้ว่า ออสเตรเลีย ซึ่งมาจาก AUSTRALIS ในภาษากรีก แปลว่า
ดินแดนทางซีกโลกใต้

อังกฤษ

ใน ค.ศ. 1588 กองทัพเรือของอังกฤษทำสงครามชนะกองทัพเรืออาร์มาดา
(ARMADA) ของสเปนที่มีชื่อเสียงได้ ทำให้อังกฤษขยายอิทธิพลสู่ดินแดนตะวันออก
สามารถสลายอำนาจทาง ทะเลของโปรตุเกสและเข้าไปมีอำนาจและอิทธิพลในอินเดีย
และเป็นคู่แข่งทางการค้ากับฮอลันดา ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีเพียงอังกฤษ ฮอลันดา
และฝรั่งเศส แข่งขันกันมีอำนาจทางทะเลและ แสวงหาอาณานิคม ทั้งนี้ได้มีการทำ
สงครามกันหลายครั้ง ในที่สุดฮอลันดายังคงมีอำนาจแถบ มะละกาและควบคุมการค้า
เครื่องเทศในหมู่เกาะเครื่องเทศต่อไป จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษกลับเป็น
ประเทศที่มีแสนยานุภาพกลางทะเลเหนือกว่าทุกชาติ โดยได้อาณานิคมในอินเดีย
อเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลียทั้งทวีป

ผลการสำรวจทางทะเล มีดังนี้

1. อารยธรรมยุโรปเผยแพร่ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไปถึง โดย
ชาวยุโรป ได้สร้างเมืองและความเจริญต่างๆ เพื่อให้ตนสามารถดำเนินชีวิตได้
ตามแบบที่คุ้นเคย จึงเกิดการ แพร่กระจายวัฒนธรรมตามแบบตะวันตก เช่น
ภาษา การแต่งกาย อาหาร ระบบการปกครอง ศิลปกรรม เช่น การก่อสร้าง
ถนน สะพาน สถานที่ราชการ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น

2. ยุโรปได้รับอารยธรรมจากดินแดนอื่นๆ เช่น วิทยาการของชาวตะวันออก
เช่น การ เดินเรือ ศิลปะจีนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติ อารยธรรมของ
อิสลาม เช่น คณิตศาสตร์ การ ดื่มชาแบบจีน กาแฟจากตุรกี ยาสูบจากหมู่
เกาะเวสต์อินดีส น้ำตาลจากบราซิล และมันฝรั่งจาก อเมริกาใต้ ได้มีบทบาท
สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวยุโรป

3. เกิดการแพร่กระจายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ชาวยุโรปได้นำพันธุ์พืชจาก
ถิ่นกำเนิด ไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น นำกาแฟจากดินแดนตะวันออกกลางมา
ปลูกที่เกาะชวา ต่อมาได้แพร่ขยาย ไปปลูกยังอเมริกาใต้ ต้นยางพาราจาก
บราซิลมาปลูกที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อมาได้ขยายมาปลูก ทางภาคใต้ของ
ไทย มันฝรั่งและข้าวโพดจากทวีปอเมริกามาปลูกในยุโรป ปลูกข้าวโอ๊ตและ
ข้าวโพดในทวีปแอฟริกา หัวผักกาดหวานจากทวีปอเมริกามาปลูกที่จีน และ
นำสัตว์ต่างๆ ไปยัง ทวีปอื่น เช่น แกะ ไปแพร่พันธุ์ที่ออสเตรเลียและ
นิวซีแลนด์ และนำลา ล่อ วัว แพะ มาเลี้ยงใน อเมริกา เป็นต้น

การปฏิรูปศาสนา

การปฏิรูปศาสนา
การปฏิรูปศาสนา (RELIGIOUS REFORMATION) เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ

สำคัญมาจากความเสื่อมความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศาสนา
เนื่องจากมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจใหม่ การปฏิรูปศาสนาจึงเกิดขึ้นในหลายๆ
ประเทศ โดยมีผู้นำการปฏิรูปหลายคนและใช้ชื่อแตกต่างกันการปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง
ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ แสดงความเห็นคัดค้านการปฏิบัติที่ไม่ถูก
ต้องตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล การปฏิรูปเป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง จนในที่สุดคริสต์ศาสนาในยุโรปได้
แตกแยกเป็น 2 นิกาย คือโรมันคาทอลิกและ โปรเตสแตนต์

สาเหตุการปฏิรูปศาสนา มีดังนี้
1.ประชาชนไม่พอใจสันตะปาปาที่กรุงโรม พระและบาทหลวงที่มีความเป็นอยู่อย่าง ฟุ่มเฟือย

หรูหรา ทั้งยังเรียกเก็บภาษีบำรุงศาสนาสูงขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในคริสตจักรใน กรุงโรม รวมทั้ง
การซื้อขายตำแหน่งของพวกบาทหลวงและความเสื่อมเสียในจริยวัตรของ สันตะปาปาที่ครอง
อำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16

2.เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในยุโรปต้องการเป็นอิสระจากคริสตจักรที่มีสันตะปาปาเป็น ผู้
ปกครอง และจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากสันตะปาปาเข้าไปยุ่งเกี่ยว
และใช้อำนาจทางการเมือง

3.การศึกษาในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปเห็นว่ามนุษย์สามารถทำความ เข้าใจ
คัมภีร์ไบเบิลได้ด้วยตนเองมากกว่าที่จะผ่านพิธีกรรมของศาสนจักร

4.สันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (JULIUS II) และสันตะปาปาลีโอที่ 1 ต้องการหาเงินในการ ก่อสร้าง
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม จึงส่งคณะสมณทูตมาขาย “ใบไถ่บาป” ในดินแดน เยอรมนี
เนื่องจากเป็นแนวคิดของชาวคริสต์ว่า พระเป็นเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้น จากบาป
เรียกว่า การไถ่บาป (REDEMPTION) ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพ การไถ่บาปจะเป็นการ เปิดทาง
ให้มนุษย์ได้รับการอภัยโทษ และกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ได้ อย่างถูกต้อง

การเริ่มต้นปฏิรูปศาสนา

การปฏิรูปศาสนาเริ่มต้นในดินแดนเยอรมนีใน ค.ศ. 1517 เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (MARTIN
LUTHER : ค.ศ. 1483-1546) นักบวชชาวเยอรมันและเป็นผู้สอนเทววิทยาสายคัมภีร์ (BIBLICAL
THEOLOGY) แห่งมหาวิทยาลัยวิทเทนบูร์ก (WITTENBURG) ใน เยอรมนี ได้เขียนญัตติ 95 ข้อ
(NINETY-FIVE THESES) คัดค้าน การขายใบไถ่บาปติดไว้หน้ามหาวิหารแห่งเมืองวิทเทนบูร์ก ญัตติ
ของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในเยอรมนี แต่ผู้นำ ของคริสตจักรได้ลงโทษเขา โดย
ประกาศให้เขาเป็นบุคคลนอก ศาสนา (การบัพพาชนียกรรม : EXCOMMUNICATION) แต่เจ้าชาย
เฟรเดอริก (FRIEDERICK THE WISE) ผู้ครองแคว้นแซกโซนีได้ให้ ความอุปถัมภ์เขาไว้ และให้เขาแปล
คัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษา เยอรมัน ทำให้ความรู้ด้านศาสนาแพร่หลายไปทั่ว นอกจากนี้เขา ได้ก่อตั้งนิกา
ยลูเธอร์ (LUTHERANISM) ซึ่งได้แพร่ขยายไปทั่วเยอรมนีและสแกนดิเนเวีย
ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เกิดการปฏิรูปศาสนาเช่นกัน โดยเริ่มจากอุลริค ชวิงลี (ULRICH ZWINGLI : ค.ศ.
1484-1531) ชาวเยอรมัน ไฮริช บูลลิงเจอร์ (HEINRICH BULLINGER) และจอห์น คาลวิน หรือกัล
แวง (JOHN CALVIN : ค.ศ. 1509-1564) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคาลวินส์ (นิกายกัลแวง :
CALVINISM) ที่แพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และสกอตแลนด์

ในอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงขัดแย้งกับสันตะปาปา เรื่องการหย่าขาดกับพระมเหสี องค์เดิม
ของพระองค์ คือ พระนางแคเธอรีนแห่งอารากอน (CATHERINE OF ARAGON) เพื่ออภิเษก สมรส
ใหม่ พระองค์จึงให้อังกฤษแยกตัวทางศาสนาออกจากศาสนจักรที่กรุงโรม โดยแต่งตั้ง สังฆราชแห่ง
แคนเทอร์บิวรี (ARCHBISHOP OF CANTERBURY) ขึ้นใหม่ ต่อมาใน ค.ศ. 1563 กษัตริย์ อังกฤษ
(สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบทที่ 1) ทรงประกาศตั้งนิกายอังกฤษหรือนิกายแองกลิคัน
(ANGLICAN CHURCH) โดยกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของศาสนา นิกายนี้มีลักษณะเด่นคือ การ
ยอมรับและรักษาพิธีกรรมต่างๆ ของนิกายโรมันคาทอลิก แต่ไม่ยอมรับนับถือสันตะปาปาที่กรุงโรม

ในฝรั่งเศส ลัทธิคาลวินได้แพร่หลายในฝรั่งเศสในกลุ่มที่เรียกว่า พวกอูเกอโนต์ (HUGUENOT)
ซึ่งถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างหนักในคริสต์ศตวรรษที่ 16การปฏิรูปได้แพร่ขยายจากเยอรมนี สวิต
เซอร์แลนด์ อังกฤษ ฮอลแลนด์ และกลุ่มสแกน- ดิเนเวีย ไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป และมีการต่อ
ต้านทุกแห่ง การต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใน ฝรั่งเศสและสเปน จนกลายเป็นสงครามศาสนา

นิกายทางศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้ คือ นิกายโปรเตสแตนต์
(PROTESTANTISM) ซึ่งหมายถึงผู้คัดค้าน ซึ่งต่อมาได้แยกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย เช่น นิกาย ลูเธอ
ร์แรน นิกายรีฟอร์ม นิกายเพรสไบทีเรียน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น

ผลของการปฏิรูปการศาสนา มีดังนี้
1.คริสตศาสนาแบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มี

สันตะปาปาเป็นประมุข และนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ ได้แก่ นิกายลูเธอร์
แรน นิกายคาลวิน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น (ส่วนนิกายออร์ทอดอกซ์ แยกตัวไม่ขึ้นกับ
สันตะปาปา ใน ค.ศ. 1045 โดยมีสังฆราช ที่เรียกว่า PATRIARCH เป็นประมุข ซึ่งแพร่หลาย
ในกรีซ รัสเซีย เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย) ทำให้ความเป็นเอกภาพทางศาสนาสิ้นสุดลง

2.เกิดการกระตุ้นให้ศึกษาหลักธรรมทางคริสต์ศาสนามากยิ่งขึ้นในหมู่สามัญชน มีการ
เผยแผ่คริสต์ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ

3.เกิดกระแสชาตินิยมในประเทศต่างๆ เนื่องจากนิกายโปรเตสแตนต์ส่งเสริมวัฒนธรรม
ท้องถิ่น และส่งเสริมให้อำนาจแก่ผู้ปกครองในท้องถิ่นเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการ
ปกครอง ประเทศ

4.เกิดสงครามศาสนาในยุโรปหลายครั้ง ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจเหนือคริสต
จักร ในที่สุด

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ความหมายของการปฏิว
ัติทางวิทยาศาสตร์

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คือ การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการของ
โลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการค้นคว้าแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
ธรรมชาติโลกและจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง เป็นผลให้ชาติ
ตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

ปัญญาชนชาวตะวันตกให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้และความเจริญ
ก้าวหน้าในศาสตร์แขนงต่างๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และ
คณิตศาสตร์ และจากการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของ โยฮัน กูเตนเบอร์ก ชาวเยอรมัน
ทำให้วิทยาการความรู้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

แนวคิดที่สนับสนุนให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เกิดจากแนวความคิดที่สำคัญ
2 ประการ คือ

1. แนวคิดมนุษยนิยม ซึ่งได้รับมาจากหลักปรัชญาของชาว กรีกโดยสอนให้
มนุษย์มีความเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์สามารถนำมนุษย์ไป
สู่การค้นหาความจริงของสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก

2. แนวคิดในปรัชญาธรรมชาตินิยม สอนให้เชื่อว่าสิ่งต่างๆ ล้วนดำเนินไปตามกฎ
เกณฑ์ธรรมชาติ ธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวมนุษย์นั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าและทดลอง จนเกิดองค์ความรู้ใหม่เรียกว่าเป็น ยุคแห่งภูมิธรรม หรือ
ยุคแห่งการรู้แจ้ง

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความ
คิด หลุดพ้นจากอิทธิพลการครอบงำของคริสต์จักร และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อ
พัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น

2. การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์
แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษรขอกูเตนเบิร์ก ในปี ค . ศ . 1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผย
แพร่ความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง

3. การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ ที่ 16
เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่าง ๆ จากจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เชีย เผยแพร่
เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้น

4. เกิดการระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งมาพร้อมๆ กับเรือของชาวยุโรป โรคระบาดที่
สำคัญ เช่น โรคหัดและฝีดาษในอเมริกาเหนือ ไข้เหลืองและไข้มาลาเรียที่มีมากใน
แอฟริกามา ระบาดในอเมริกากลางและใต้ เป็นต้น

5. ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปในดินแดนต่างๆ ที่ชาวยุโรปเข้าไปติดต่อค้าขาย หรือ
ดินแดนที่ยุโรปได้เข้ายึดครองจัดตั้งเป็นอาณานิคม ในบางแห่งใช้แบบสันติวิธี โดย
บาทหลวงจะทำ หน้าที่สั่งสอนให้การศึกษากับชาวพื้นเมืองและช่วย เหลือด้าน
มนุษยธรรม ในบางแห่งใช้วิธีการรุนแรงบีบ บังคับคนพื้นเมืองในบริเวณอเมริกากลาง
และ อเมริกาใต้ ให้มาเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา ทำให้ ศาสนาคริสต์เจริญอย่างมั่นคง
ในดินแดนทวีปอเมริกา และดินแดนต่างๆ

6. การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของยุโรป การขยายตัวทางการค้าทำให้
สมาคมอาชีพ (GUILD) ที่มีมาตั้งแต่สมัยกลางล่มสลายลง การค้นพบดินแดนใหม่
ส่งผลให้การค้า ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การปฏิวัติทางการค้า ประเทศต่างๆ
ในตะวันตกต่างใช้นโยบาย แข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก บรรดาพ่อค้าและ
นายทุนรวมตัวกันจัดตั้งบริษัทโดยมีกษัตริย์ให้ การสนับสนุนทำการค้าในนามของ
ประเทศ เช่น บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ บริษัท อินเดียตะวันออกของ
ฮอลันดา เป็นต้น ซึ่งทำให้บรรดาพ่อค้าและนายทุนมีฐานะมั่นคงและกลาย เป็น
บุคคลชั้นนำทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น เป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์
ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นการท้าทาย
ความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา สรุปได้ดังนี้

1. การค้นพบทฤษฎีระบบสุริยะจักรวาลของนิโคลัส ชาวโปแลนด์ ในต้นคริสต์
ศตวรรษที่ 17 สาระสำคัญ คือ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีโลก
และดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรโดยรอบ ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับหลัก
ความเชื่อของคริสต์จักรอย่างมากที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แม้จะ
ถูกประณามอย่างรุนแรง แต่ถือว่าความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็นจุดเริ่มต้นของ
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ชาวตะวันตกให้ความสนในเรื่องราวลี้ลับของ
ธรรมชาติ

2. การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ของกาลิเลโอ ชาวอิตาลีในปี ค . ศ . 1609
ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ได้เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์
ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของดวงดาว และได้เห็นพื้นขรุขระของดวงจันทร์ เป็นต้น

3. การค้นพบทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์ ของโจฮันเนส เคปเลอร์ ชาว
เยอรมัน ในช่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สรุปได้ว่า เส้นทางโคจรของดาวเคราะห์
รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปไข่หรือรูปวงรี มิใช่เป็นวงกลมตามทฤษฎีขอโคเปอร์นิคัส

ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
1. ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน เชื่อมั่นในความมี
เหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด
2. ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่าง ๆ และทำให้
วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของ
ธรรมชาติ
3. ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การ
ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติ
อุตสาหกรรมในสมัยต่อมา
4. ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด ชอบสังเกต ชอบซักถาม ชอบค้นคว้า
ทดลอง เพื่อหาคำตอบ และนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
การดำเนินชีวิต

การเสนอวิธีสร้างความรู้แบบวิทยาศาสตร์
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน ได้เสนอแนวความคิด

เกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้
1. เรอเนส์ เดส์การ์ตส์ ( Rene Descartes ) ชาวฝรั่งเศส และเซอร์ ฟรานซิส

เบคอน ( Sir Francis Bacon ) ชาวอังกฤษ ได้ร่วมกันเสนอหลักการใช้เหตุผล วิธี
การทางคณิตศาสตร์ และการค้นคว้าวิจัยมาใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและการ
แสวงหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์

2. ความคิดของเดส์การ์ตส์ เสนอว่าวิชาเรขาคณิตเป็นหลักความจริงสามารถนำ
ไปใช้สืบค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากนักวิทยาศาสตร์
ในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก

3. ความคิดของเบคอน เสนอแนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้
“วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” เป็นเครื่องมือศึกษา ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับความ
สนใจอย่างกว้างขวาง

การปฏิวัติอุตสาหกรรม

ช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึ
ง ค.ศ. 1850 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม การผลิต

การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยาย
ไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จนขยายทั้งทั้งโลก

สหราชอาณาจักรได้วางรากฐานทางกฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นายทุนสามารถ
ริเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม[3] ตัวแปรหลักที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยนี้ได้แก่

ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและมั่นคงจากการรวมกันของราชอาณาจักรอังกฤษและราช
อาณาจักรสกอตแลนด์
ไม่มีข้อกีดกันทางการค้าระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์
หลักนิติรัฐ (เคารพความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาการค้า)
ความเถรตรงของระบบกฎหมายซึ่งเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งบริษัทมหาชน
แนวคิดการค้าเสรี (เศรษฐกิจทุนนิยม)[4]
กระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยการเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ในการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพา
เครื่องจักรเป็นหลักของสหราชอาณาจักร โดยเริ่มในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมแรก อัน
เป็นผลมาจากการพัฒนากรรมวิธีการหลอมเหล็กและความนิยมในการใช้ถ่านหินโค้กที่แพร่หลาย
ขึ้น

แนวคิดเสรีนิยม

เป็นปรัชญาการเมืองหรือมุมมองทางโลกซึ่งตั้งอยู่บนความคิดเสรีภาพและความเสมอภาค นัก

เสรีนิยมยอมรับมุมมองหลากหลายขึ้นอยู่กับความเข้าใจหลักการเหล่านั้น แต่โดยทั่วไปสนับสนุน
ความคิดอย่างเสรีภาพในการพูด เสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางศาสนา ตลาดเสรี สิทธิพลเมือง รัฐบาล
ฆราวาส ความเสมอภาคทางเพศ และ การร่วมมือระหว่างประเทศ

ทีแรก เสรีนิยมเป็นขบวนการทางการเมืองต่างหากระหว่างยุคเรืองปัญญา เมื่อได้รับความนิยมในหมู่
นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตก เสรีนิยมปฏิเสธความคิดซึ่งสามัญในเวลานั้น

แนวคิดจักรวรรดินิยม

เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจในยุโรปที่จะขยายอำนาจ และอิทธิพลของตนเข้า
ครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เพื่อแสวงผลประโยชน์ทั้ง
ทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ และตลาดระบายสินค้า ชาวยุโรปเข้ายึด
ครองดินแดนของชนชาติต่างๆในรูปของ
การล่าอาณานิค

จักรวรรดินิยมยุคแรก เริ่มต้นตั้งแต่การสำรวจทางทะเล เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึง
คริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบทวีปอเมริกา และการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปทวีปเอเชีย
เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 สเปน และโปรตุเกสเป็นชาติผู้นำการสำรวจและค้นพบดินแดนใหม่
และได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติทั้งสองเป็นอันมาก สเปนเข้ายึดครองดินแดนในอเมริกาใต้

จักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมือง การปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี้
1 ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้บรรยากาศ
ทางการเมืองของโลกเข้าสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2 ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่างๆเป็น

อาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรมความเจริญไปเผย
แพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการ

ซึมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก

แนวคิดชาตินิยม

ชาตินิยม (อังกฤษ: nationalism) เป็นความคิดและการเคลื่อนไหวที่ถือได้ว่า
ประเทศชาติควรจะสอดคล้องกับรัฐ เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ ลัทธิชาตินิยมมีแนวโน้มที่
จะส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติโดยเจาะจง (เช่น ในกลุ่มคน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีจุด
มุ่งหมายในการได้มาและรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติ(การปกครองตนเอง) เหนือบ้าน
เกิดเพื่อสร้างรัฐชาติ ลัทธิชาตินิยมถือได้ว่าแต่ละประเทศควรที่จะปกครองตนเองโดย
ปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก (การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง) ว่าประเทศ
ชาตินั้นเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติและอุดมคติสำหรับการเมือง และประเทศชาติเป็น
แหล่งอำนาจทางการเมืองโดยชอบธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าหมายในการสร้าง
และรักษาเอกลักษณ์ประจำชาติเพียงอย่างเดียว ตามลักษณะทางสังคมที่ใช้ร่วมกันของ
วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภาษา การเมือง (หรือรัฐบาล) ศาสนา ประเพณี
และความเชื่อในประวัติศาสตร์ของนามเอกพจน์ที่ใช้ร่วมกัน และส่งเสริมความสามัคคี
ของชาติหรือภราดรภาพ(solidarity) ลัทธิชาตินิยมจึงพยายามปกปักรักษาและอุปถัมภ์
วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศชาติ มีคำจำกัดความต่าง ๆ ของคำว่า "ชาติ" ซึ่งนำไปสู่
ลัทธิชาตินิยมประเภทต่าง ๆ มีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ ลัทธิชาตินิยมที่เน้นทาง
ชาติพันธุ์(ethnic nationalism) และลัทธิชาตินิยมแบบพลเมือง(civic nationalism)

เเนวคิดสังคมนิยม

สังคมนิยม (อังกฤษ: Socialism) เป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจซึ่งมีลักษณะคือ
สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและการจัดการเศรษฐกิจแบบร่วมมือตลอดจน
ทฤษฎีและขบวนการทางการเมืองซึ่งมุ่งสถาปนาระบบดังกล่าว "สังคมเป็นเจ้าของ"
อาจหมายถึง การประกอบการสหกรณ์ การเป็นเจ้าของร่วม รัฐเป็นเจ้าของ พลเมือง
เป็นเจ้าของความเสมอภาค พลเมืองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือที่กล่าวมารวมกัน มี
ความผันแปรของสังคมนิยมจำนวนมากและไม่มีนิยามใดครอบคลุมทั้งหมด ความ
ผันแปรเหล่านี้แตกต่างกันในประเภทของการเป็นเจ้าของโดยสังคมที่ส่งเสริม ระดับ
ที่พึ่งพาตลาดหรือการวางแผน วิธีการจัดระเบียบการจัดการภายในสถาบันการผลิต
และบทบาทของรัฐในการสร้างสังคมนิยม

ความขัดแย้งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน


ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศทั่วโลกมีความสัมพันธ์กันในเชิงความขัดแย้งและความ

ร่วมมือ การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคม ความขัดแย้งระหว่างประเทศครั้งสำคัญในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น

สงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1914–1918 เกิดจากความขัดแย้งของ

ประเทศในทวีปยุโรปและลุกลามไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สร้างความเสียหายให้
แก่สังคมโลกอย่างร้ายแรง

1.1 สาเหตุของสงคราม
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่
1. ลัทธิชาตินิยม หมายถึง หลักการหรืออุดมการณ์ที่ถือว่าการกระทำของคน
กลุ่มต่าง ๆ ในชาติต้องถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
2. ลัทธิจักรวรรดินิยม หมายถึง นโยบายอำนาจในการเข้าควบคุมหรือมี
อำนาจบังคับบัญชาเหนือดินแดนต่างชาติอันเป็นวิถีทางเพื่อการได้มาหรือรักษา
จักรวรรดิให้ดำรงอยู่ต่อไปได้
3. มหาอำนาจแตกแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี
ประกอบด้วย ประเทศฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษ กับกลุ่มประเทศสนธิสัญญา
พันธมิตรไตรภาคี ประกอบด้วย ประเทศเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
4. การสะสมกำลังอาวุธ ความหวาดกลัวศัตรูจะรุกรานทำให้เกิดการสะสม
กำลังอาวุธจำนวนมาก

1.2 ชนวนของสงคราม
ชนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์ชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์

(Archduke Francis Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และพระ
ชายาถูกกัฟริโล ปรินซิป (Gavrilo Princip) ชาวบอสเนียซึ่งมีเชื้อสายเซิร์บลอบปลง
พระชนม์ รัฐบาลของออสเตรีย-ฮังการีต้องการยุติการเคลื่อนไหวของพวกสลาฟในเซ
อร์เบียได้ยื่นคำขาดให้เซอร์เบียปฏิบัติตาม แต่เซอร์เบียปฏิบัติได้ไม่ครบทุกข้อ ออสเตรีย-
ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบียในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914
1.3 สถานการณ์ของสงคราม

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการรบทั้งทางบก ทางอากาศ และทางเรือ ประเทศที่เป็นคู่
สงครามต่างก็แข่งขันกันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อสู้
1.4 ผลของสงคราม

สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 โดยเยอรมนีพ่ายแพ้
ยอมยุติสงคราม ผลของสงครามสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ทั้ง 2 ฝ่าย ดังนี้

1. ทางด้านสังคม สงครามโลกครั้งที่ 1 มีทหารทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่าย
มหาอำนาจกลางเข้าร่วมประมาณ 65 ล้านคน เสียชีวิตไปประมาณ 8.6 ล้าน ทำให้เกิด
ปัญหาชนพลัดถิ่น ปัญหาโรคจิตจากการหวาดกลัว

2. ทางด้านการเมือง ยุโรปอ่อนแอลง ประเทศมหาอำนาจกลางต้องเสียอาณานิคม
3. ทางด้านเศรษฐกิจ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก
1.5 องค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations)
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson)
แห่งสหรัฐอเมริกาได้เสนอให้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้น เพื่อเป็นองค์การกลางแก้
ปัญหากรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีเพื่อดำรงรักษาสันติภาพอันถาวรไว้ โดยการ
ประชุมครั้งแรกขององค์การสันนิบาตชาติเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1920 ณ นครเจนีวา ประเทศส
วิตเซอร์แลนด์

สงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1939–1945 เป็นความขัดแย้ง

ของประชาชาติที่สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางและมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1
หลายเท่า

2.1 สาเหตุของสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดจากสาเหตุสำคัญต่อไปนี้
1. ลัทธิจักรวรรดินิยม หลังสงครามครั้งที่ 1 มหาอำนาจยังคงแข่งขันกันแสวงหา
อาณานิคมหรือขยายดินแดนด้วยการรุกรานอยู่เช่นเดิม
2. ลัทธิชาตินิยม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซีเพื่อ
สร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ผู้นำอิตาลีซึ่งใช้
ลัทธิฟาสซิสต์
3. เยอรมนีสร้างกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นใหม่ หลังจากเยอรมนีมีผู้นำเป็น อด
อล์ฟ ฮิตเลอร์ เยอรมนีก็ประกาศสร้างกองทัพขึ้นใหม่พร้อมกับสร้างอาวุธต่าง ๆ เพื่อใช้รบ
ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
4. มหาอำนาจแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายอักษะ (Axis) ประกอบด้วยเยอรมนี
อิตาลี และญี่ปุ่นที่ดำเนินนโยบายรุกรานเพื่อขยายอำนาจ กับฝ่ายพันธมิตร (Allies) ซึ่ง
เป็นฝ่ายประชาธิปไตยตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินนโยบาย
ผ่อนปรน
5. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ เนื่องจากไม่สามารถหยุดยั้งการรุกราน
ของประเทศต่าง ๆ

2.2 สถานการณ์ของสงคราม
หลังจากที่เยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายใน ค.ศ. 1935 และเริ่มรุกรานประเทศต่าง
ๆ ใน ค.ศ. 1939 เยอรมนีบุกโปแลนด์ที่ปฏิเสธการคืนฉนวนโปแลนด์บางส่วนและเมือง
ดาน ทั้งยังไม่ยอมถอนทหารจากโปแลนด์ตามที่อังกฤษเรียกร้อง อังกฤษกับฝรั่งเศส
ประกาศสงครามกับเยอรมนี จึงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น

2.3 ผลของสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความสูญเสียมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า คือ
1. ด้านสังคม สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 68 ล้านคน และมีผู้
บาดเจ็บ ทุพพลภาพ หายสาบสูญจำนวนมาก
2. ด้านการเมือง ประเทศผู้แพ้สงครามต้องยินยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่
ฝ่ายชนะสงครามวางเงื่อนไขไว้
3. เศรษฐกิจ ประเทศต่าง ๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากในสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 เพื่อบำรุงกองทัพผลิตอาวุธที่ทันสมัย
ทวีปยุโรปหมดอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ทำให้เกิดประเทศมหาอำนาจ
ใหม่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต

สงครามเย็น
สงครามเย็น หมายถึง ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองของ 2 อภิมหาอำนาจ

คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
3.1 สาเหตุของสงครามเย็น
สาเหตุของสงครามเย็นมีหลายประการ ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงดุลทางอำนาจของโลก สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประเทศ

มหาอำนาจเดิม คือ เยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ และฝรั่งเศสลดอำนาจ ประเทศที่ขึ้นมาเป็น
อภิมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต

2. อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน สหรัฐอเมริกายึดหลักประชาธิปไตย ส่วน
สหภาพโซเวียตยึดถืออุดมการณ์สังคมนิยมซึ่งปกครองประเทศแบบเผด็จการ

3. ความขัดแย้งของผู้นำของชาติมหาอำนาจ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาใน
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ แฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman) และนายก
รัฐมนตรี เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Sir Winston Chirchill) ของอังกฤษ ต่อต้านสหภาพ
โซเวียต

3.2 ภาวะสงครามเย็น
หลังจาก ค.ศ. 1948 โลกเข้าสู่สงครามเย็นอย่างแท้จริง เมื่อชาติมหาอำนาจขัดแย้งกัน

ในช่วง ค.ศ. 1945–1948 สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกามีบทบาทในการสนับสนุนกลุ่ม
การเมืองภายในประเทศที่จงรักภักดีต่อตนให้ต่อสู้กับรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น

3.3 การสิ้นสุดสงครามเย็น
สภาวะสงครามเย็นเริ่มลดความรุนแรงลงเมื่อมีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail
Gorbachev) เป็นเลขานุการพรรคคอมมิวนิสต์และผู้นำสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1985
กอร์บาชอฟได้ประกาศนโยบายเปิด–ปรับหรือกลาสนอสต์-เปเรสตรอยกา (Glasnost-
Perestroika) ปฏิรูปการเมืองเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตให้เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย
มากขึ้น พร้อมกับสร้างความสัมพันธ์กับชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของสภาวะสงครามเย็น เริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่ประชาชนชาว
เยอรมนีตะวันออกเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองทั่วประเทศ ทำลายกำแพงเบอร์ลินซึ่ง
เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งฝ่ายเสรีประชาธิปไตยกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งเหตุการณ์ทำลาย
กำแพงเบอร์ลินนี้นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีความหมายว่าสภาวะสงครามเย็นใกล้ยุติลง
แล้ว

ความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่20 จนถึงปัจจุบัน

ความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ มีทั้งความร่วมมือในระดับนานาชาติ เช่น องค์การ
สหประชาชาติ และระดับภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหรือ
เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

4.1 องค์การสหประชาชาติ (United Nations)
4.1.1 สมาชิกภาพ
องค์การสหประชาชาติมีสมาชิกอยู่ทั่วโลกรวมได้ 191 ประเทศ

4.1.2 วัตถุประสงค์
องค์การสหประชาชาติมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้
1. ธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของโลกโดยการร่วมมือกัน
2. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อช่วยกันคลี่คลายและแก้ปัญหา

ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิทธิทางด้านมนุษยชน
3. เป็นศูนย์กลางพัฒนาความสัมพันธ์อันดี และประสานงานกันระหว่างประเทศ

สมาชิกเพื่อให้ดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมาย
4.1.3 องค์การหลัก

องค์การสหประชาชาติมีหน่วยงานหรือองค์กรหลักอยู่ 6 องค์กร คือ
1. สมัชชาใหญ่ (General Assembly)
2. คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council)
3. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council)
4. คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council)
5. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
6. สำนักเลขาธิการ (Secretariat)

4.1.4 ผลการปฏิบัติงาน
องค์การสหประชาชาติได้แสดงบทบาทและปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ได้สำเร็จลุล่วง ดังนี้
1. ด้านความขัดแย้ง องค์การสหประชาชาติจัดการเจรจาแก้ไขปัญหา หรือในบางครั้งใช้
กองกำลังเข้าไปสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในกรณีพิพาท
2. ด้านการลดอาวุธ สนธิสัญญาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ฉบับที่ 2 นี้ มีทั้งด้านความ
สำเร็จและความล้มเหลว
3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม ช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องการพัฒนาคุณภาพ
ประชากร การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
4. ด้านสิทธิมนุษยชน ต่อสู้และรักษาอิสรภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่เลือกเชื้อชาติ
ภาษา ศาสนา และเพศ ผ่านทางคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกำหนดให้วันที่
10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิมนุษยชนโลก

5. ด้านกฎหมาย ร่างกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรักษาความยุติธรรม ความเข้าใจ
อันดี และการรักษาผลประโยชน์ของประชาชาติ

6. การรักษาสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติได้ดำเนินงานเพื่อหาแนวทางแก้ไข
ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยจัดให้มีการประชุมต่าง ๆ เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่ง
แวดล้อมของโลก

4.2 องค์กรอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ
องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะที่สำคัญ ได้แก่

4.2.1 องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty
Organization–NATO)

1. สมาชิกภาพ
สนธิสัญญานี้ได้ลงนามกันเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1949 แต่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่
24 สิงหาคม ค.ศ. 1949 ปัจจุบันมีสมาชิก 26 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สห
ราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อิตาลี เยอรมนี เดนมาร์ก
ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส กรีซ สเปน ตุรกี โปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเช็ก บัลแกเรีย
เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย

4. ด้านสิทธิมนุษยชน ต่อสู้และรักษาอิสรภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่เลือกเชื้อชาติ
ภาษา ศาสนา และเพศ ผ่านทางคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกำหนดให้วันที่
10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิมนุษยชนโลก

5. ด้านกฎหมาย ร่างกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรักษาความยุติธรรม ความเข้าใจ
อันดี และการรักษาผลประโยชน์ของประชาชาติ

6. การรักษาสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติได้ดำเนินงานเพื่อหาแนวทางแก้ไข
ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยจัดให้มีการประชุมต่าง ๆ เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่ง
แวดล้อมของโลก

4.2 องค์กรอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ
องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะที่สำคัญ ได้แก่

4.2.1 องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty
Organization–NATO)

1. สมาชิกภาพ
สนธิสัญญานี้ได้ลงนามกันเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1949 แต่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่
24 สิงหาคม ค.ศ. 1949 ปัจจุบันมีสมาชิก 26 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สห
ราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อิตาลี เยอรมนี เดนมาร์ก
ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส กรีซ สเปน ตุรกี โปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเช็ก บัลแกเรีย
เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย

อ้างอิง

http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/hist/93.htm
https://sites.google.com/site/historythemiddleage
https://th.m.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติอุสาหกรรม

จัดทำโดย

คณะผู้จัดทำ


Click to View FlipBook Version