เรื่อง ปจั จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ ับการควบคุมระดบั นำ้ ตาลในเลอื ดของผู้ปว่ ยเบาหวานชนดิ ที่ 2
ท่มี ารับบริการท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบลบัววัด อำเภอวารนิ ชำราบ จงั หวดั อุบลราชธานี
ผู้วจิ ัย
นางสาวประภัสสร กรไกร รหสั ประจำตวั 62190640332
นางสาวเออื้ มภรณ์ คุณสมบตั ิ รหสั ประจำตัว 62190640889
รายวิชา 1906 405 การวิจยั ด้านสาธารณสขุ ชุมชน 1
ประจำภาคต้น ปกี ารศกึ ษา 2565
หลักสตู รสาธารณสุขศาสตรบัณฑติ (สาขาสาธารณสขุ ศาสตร)์
วทิ ยาลยั แพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
1
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญ
องคก์ ารอนามัยโลกได้ประกาศให้โรคเบาหวาน เปน็ โรคทมี่ อี ัตราป่วยเพิ่มขน้ึ มากในทุกประเทศและพบใน
ทุกกลุ่มอายุ ประมาณร้อยละ 2.8 ในปี พ.ศ. 2543 และพบว่าแนวโน้มจำนวนผู้ป่วย มีอัตราเพิ่มข้ึนจากประมาณ
171 ล้านคน เปน็ 366 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2573 หรอื ประมาณสองเท่าและในประเทศท่ีกำลงั พัฒนาจะมอี ัตราป่วย
เพ่ิมขึน้ ถงึ ร้อยละ 150 โรคเบาหวานเปน็ โรคท่กี ่ออนั ตรายต่อสุขภาพเร้ือรังและทำใหเ้ สียชีวิตได้ อตั ราการเสียของ
ประชากรท่วั โลกท่ีป่วยดว้ ยโรคเบาหวานมีมากถงึ 8,700 คนตอ่ วนั หรือในทุกนาทจี ะมผี ้เู สียชวี ิตด้วยโรคเบาหวาน
ถงึ 6 คน (วรางคณา บตุ รศรี, อภริ ดี เจริญนกุ ลู , 2560) โรคเบาหวานยังเปน็ โรคที่ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขและ
เป็น 1 ใน 10 การเสียชวี ิตของประชากรท่ัวโลกรวมถงึ ประเทศไทย สําหรับประเทศไทยอตั ราตายด้วยโรคเบาหวาน
ต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ.2560 เทา่ กบั 21.96 (Bureau of Non Communicable Diseases, 2019,อ้างถึง
ในณาเดยี หะยีปะจพิ สิ ิษฐ พวยฟุง, 2562) ลกั ษณะอาการสําคัญของโรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 คอื เซลล์กล้ามเน้ือลาย
และเซลล์ไขมันของผู้ปว่ ยไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอนิ ซลู นิ ซ่ึงปกติจะนําน้ำตาลกลูโคสไปสลายเป็นแหล่งพลังงานจึง
เป็นผลให้นำ้ ตาลเหล่านนั้ สะสมในกระแสเลือดเปน็ เวลานาน(DeFronzo et al., 2015; Kharroubi & Darwish,
2015 อ้างถึงในณาเดีย หะยีปะจิพิสิษฐ์ พวยฟุ้ง, 2562) ด้วยเหตุนี้การเป็นโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลสูงใน
กระแสเลือดเป็นเวลานานจึงเป็นสาเหตุที่นําไปสู่โรคเรื้อรังอื่นๆตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและ
หลอดเลือด การสูญเสียอวยั วะที่เกิดจากแผลติดเชื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ค่ารักษาพยาบาลที่สูงข้นึ ใน
ส่วนครัวเรือนและภาครัฐและรวมถึงระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ลดลง (DeFronzo et al., 2015; Kharroubi
& Darwish, 2015 อ้างถึงใน ณาเดีย หะยีปะจิพิสิษฐ์พวยฟุ้ง, 2562) ซึ่งโรคเบาหวานถือเป็นโรคที่มีความสำคัญ
และซับซ้อนที่ต้องการการได้รับความสนใจจากบุคคลากรทางสาธารณสุขจากหลากหลายสาขา เนื่องด้วยการ
ส่งเสริมสุขภาพโดยการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเป็นกุญแจสำคัญในการลดการเพิ่มอุบัติการณ์ของ
โรคเบาหวาน ปจั จุบนั ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานแล้วถงึ 4.8 ล้านราย (ศาสตราจารย์ นายแพทยช์ ัชลติ รตั รสาร,
2560) ซึ่งการติดตามและเฝ้าระวังจะสามารถช่วยเพิ่มให้มาตรฐานการรักษาและผลการรักษาดียิ่งขึ้นได้ โดย
เบอ้ื งต้นควรเรมิ่ จากการตั้งเปา้ หมายในการรกั ษา เพือ่ เป็นการวางแนวทาง และเป็นขอ้ ตกลงเพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายใน
การลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้รักษาและตัวผู้ป่วยเอง ในขั้นตอนระหว่างการได้รับการ
รักษา ผู้ป่วยควรได้รับยาที่เหมาะสมตามการดำเนินของโรค เช่น ในผู้ป่วยบางรายควรสามารถเข้าถึงงานวตั กรรม
ผู้ป่วยจำเป็นต้องไดร้ ับการตรวจภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวานเปน็ ระยะ ซงึ่ ทั้งหมดนีเ้ ป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะ
ช่วยส่งเสริมใหผ้ ลการรกั ษาดีขนึ้ และนำไปสกู่ ารลดลงของภาวะแทรกซอ้ นต่างๆ โดยคณะกรรมการผู้เช่ยี วชาญการ
วินิจฉัยและจัดประเภทโรคเบาหวานได้กำหนดเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดข องผู้ป่วยควรมีระดับ
น้ำตาลในเลือดก่อนอาหารระหว่าง 100-126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับก่อนนอนควรอยู่ระหว่าง 100-140
มลิ ลกิ รมั ตอ่ เดซลิ ิตร และระดบั ฮีโมโกลบนิ เอวนั ซีควรตำ่ กว่า รอ้ ยละ 7 (HbA1c<7% หรือ FBS < 100 mg/dL) ซงึ่
2
จะสามารถลดอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนทั้งแบบเฉียบพลันได้ (The expert committee on the diagnosis
and classification of diabetes mellitus, 2004 อ้างถึงในทรรศนย์ สริวิฒนพรกุล นงนุช โอบะและสุชาดา
อินทรกำแหง ณ ราชสีมา, 2550) ดังนั้นการรักษาระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคน
ปกติ และการทำงานร่วมกันเปน็ ทมี ระหว่างบุคคลากรสาธารณสุขและผู้ปว่ ย จงึ ถอื ว่าเปน็ แนวทางทส่ี ำคัญอย่างยิ่ง
ในการรกั ษาโรคเบาหวาน (Davies et al., 2018; Riddle et al., 2018 อา้ งถึงในณาเดีย หะยปี ะจิพสิ ิษฐ์ พวยฟุ้ง,
2562)
สถานการณ์โรคเบาหวานในเขตสุขภาพที่ 10 ข้อมูลจาก กองตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข
สำนกั งานเขตสุขภาพท่ี 10 ปี 2562 พบวา่ มีอัตราความชุกโรคเบาหวานรายใหม่ต่อแสนประชากรตัง้ แตป่ ี 2559 -
2561 เท่ากับ 482.08, 541.27 และ 520.84 ตามลำดับและยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี (ข้อมูลจาก HDC ณ วันท่ี
31 กรกฎาคม 2562) และจากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา เรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลใน
เลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ การศึกษาด้านความสัมพันธ์พบว่า
พฤติกรรมการควบคุมอาหารมีความสัมพันธ์ทางลบกับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวา นอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และแรงสนับสนุนของครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับระดับน้ำตาลในเลือดของผ้ปู ่วย
เบาหวานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่าพฤติกรรมการควบคุมอาหารและการสนับสนุนของ
ครอบครัวอย่างเหมาะสมเป็นปัจจัยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (ทรรศนีย์
สริ ิวัฒนพรกุล, นงนชุ โอบะ, สุชาดา อนิ ทรกำแหง ณ ราชสมี า, 2550)
สำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เปิด
ใหบ้ รกิ ารสำหรับผปู้ ว่ ยในเขตตำบลธาตุ และพ้นื ที่ใกลเ้ คยี ง ในทุกวันศกุ ร์ท่ี 1 และ 3 ของเดือนจะมีให้บริการรักษา
โรคเบาหวาน เฉลี่ย 60 – 70 รายต่อครั้ง ในปีงบประมาณ 2565 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทัง้ รายเก่าและรายใหม่เขา้
รับการรักษา ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด จำนวนทั้งสิ้น 432 ราย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตำบลบัววดั , 2565) ซึ่งจากการสุ่มสัมภาษณก์ ลุ่มเปา้ หมายที่มารับบริการ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัว
วัด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 10 คน พบว่าผู้ป่วยที่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่เกณฑ์ที่
เหมาะสมมีจำนวน 3 คน และควบคุมไม่ได้จำนวน 7 คน ในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ยังพบ
ปัญหาการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ซึ่งอาจเกิดการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม เช่น พฤติกรรมการรับประทาน
อาหารของผู้ปว่ ยซ่ึงผปู้ ว่ ยสว่ นมากมีพฤตกิ รรมการเลือกรับประทานขา้ วเหนียวทุกม้ือ และมกั รับประทานผลไม้ที่มี
น้ำตาลสูง เช่น มะม่วงสุก ผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น ในส่วนของการออกกำลังกาย พบว่า ผู้ป่วยไม่ค่อยออกกำลัง
กายจงึ สง่ ผลให้ผูป้ ่วยไม่สามารถควบคมุ ระดับนำ้ ตาลในเลอื ดได้ ผู้วิจยั จงึ สนใจศกึ ษาพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพและ
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่
โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตำบลบวั วดั อำเภอวารนิ ชำราบ จงั หวัดอุบลราชธานี ปจั จัยส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่ เพศ ดชั นี
มวลกาย ระยะเวลาท่ีเป็นโรค พฤติกรรมการควบคุมอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย และพฤติกรรมการใช้ยา
ด้านแรงสนบั สนุนของครอบครัว และดา้ นการได้รับบริการของผู้ปว่ ยเบาหวานท่ีมีระดบั นำ้ ตาลในเลือดสูงกว่า 126
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ตลอดจนหาความสัมพันธ์ของปัจจัยดังกล่าวกับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยด้วย เพื่อให้
หนว่ ยงานทเี่ ก่ียวข้องนำผลการวิจยั มาใช้เป็นข้อมูลพน้ื ฐานใน การปรบั ปรุงการปฏบิ ัติตนของผู้ปว่ ย การเสริมสร้าง
3
แรงสนับสนุนครอบครัว และนำมาวางแผนในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานให้มีการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
เหมาะสมตอ่ ไป
คำถามการวิจัย
1. พฤตกิ รรมการควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลือดของผปู้ ่วยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ที่มารับบรกิ ารท่ี
โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตำบลบวั วัด อำเภอวารินชำราบ จังหวดั อบุ ลราชธานี เป็นอย่างไร
2. ปัจจัยใดที่มีความสมั พันธก์ ับการควบคมุ ระดบั นำ้ ตาลในเลือดของผ้ปู ่วยโรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 ทมี่ ารบั
บริการทโี่ รงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตำบลบวั วัด อำเภอวารินชำราบ จงั หวดั อุบลราชธานี
วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ท่ีมารับบริการที่
โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลบวั วดั อำเภอวารินชำราบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ทม่ี ารบั บริการทีโ่ รงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตำบลบวั วดั อำเภอวารนิ ชำราบ จงั หวัดอบุ ลราชธานี
ขอบเขตการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research)
ศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทเ่ี ข้ารบั การรักษาท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลบัววัด อำเภอวารินชำราบ
จังหวัดอุบลราชธานี โดยศึกษาผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวาน ที่เข้ารับการรักษาท่ี
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด จำนวน 432 คน รวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบสัมภาษณ์ ระยะเวลาใน
การเก็บข้อมลู ระหวา่ งเดือนมิถุนายายน 2565 - พฤศจิกายน 2565
คำจำกัดความ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หมายถึง โรคเบาหวานที่เกิดจากตับอ่อนที่ยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่
เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในร่างกาย (insulin resistance) ส่งผลให้
อินซูลินซึ่งทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือดทำงานได้ไม่ดีระดับน้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในประเทศไทย
สามารถพบได้ในร้อยละ 90 ในผปู้ ่วยโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หมายถึง บุคคลที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานซึ่งไม่
สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีปริมาณน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรที่ขึ้น
ทะเบียนและมารับบริการตรวจรักษา และรับยาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด อำเภอวารินชำราบ
จังหวัดอุบลราชธานี
4
การควบคุมระดบั นำ้ ตาลในเลือด หมายถึง การวัดระดบั น้ำตาลในเลือดสะสมในชว่ งเวลา 1 ปี ของผู้ป่วย
โรคเบาหวาน โดยผู้ปว่ ยที่สามารถควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดได้จะมรี ะดบั ฮีโมโกลบิน HbA1c ต่ำกวา่ 7% หรือ มี
ค่า FBS น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จะมีระดับ
ฮีโมโกลบนิ HbA1c ตง้ั แต่ 7% ขน้ึ ไป หรือ มคี ่า FBS มากกวา่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลติ ร
ปัจจยั ทีม่ คี วามสัมพนั ธ์กบั การควบคุมระดับน้ำตาลในเลอื ด หมายถงึ สาเหตุท่ีส่งผลหรอื อาจมผี ลกับการ
ควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในการศึกษาครั้งน้ี ไดแ้ ก่
ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง ปัจจัยทีม่ ีความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งได้แก่ เพศ อายุ
ค่าดัชนีมวลกาย อาชีพ รายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือน ระดับการศึกษา ระนะเวลาดำเนินโรค การรักษา โรค
ประจำตัวอ่นื ๆ และภาวะแทรกซอ้ นจากโรคเบาหวาน
ปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคม หมายถึง ปัจจัยที่สนับสนุนในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวาน
ประกอบดว้ ย การเขา้ ถึงระบบบริการสุขภาพ และการได้รบั แรงสนบั สนุนจากคนรอบข้าง เชน่ บคุ คลในครอบครัว
เป็นต้น
ปัจจัยดา้ นพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ หมายถงึ พฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมของผู้ป่วยเบาหวานในการ
ดูแลสุขภาพ ประกอบไปดว้ ย การควบคมุ อาหาร การควบคุมอารมณ์ การออกกำลงั กาย และการใช้ยา
ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ
1. เปน็ แนวทางในการวางแผนพัฒนา และสง่ เสริมพฤติกรรมการควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ปว่ ย
โรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 ทมี่ ารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลบวั วดั อำเภอวารินชำราบ
จังหวดั อบุ ลราชธานี เพ่อื เป็นแนวทางลดอตั ราการเกิดโรคแทรกซ้อนทเี่ กดิ จากโรคเบาหวาน
2. ผปู้ ว่ ยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ท่มี ารับบริการท่โี รงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววดั อำเภอวารนิ ชำ
ราบ จงั หวัดอุบลราชธานี สามารถปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสขุ ภาพที่ถกู ต้อง และสามารถควบคุมระดับ
นำ้ ตาลในเลอื ดในอยู่ในเกณฑ์ปกติได้
5
บทที่ 2
ทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
การศกึ ษาปจั จัยที่มีความสัมพนั ธ์กบั การควบคุมระดับนำ้ ตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนดิ ที่ 2 ท่ีมารับ
บริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า
เอกสารงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้องดังต่อไปนี้
2.1 ความรูท้ ่วั ไปเกีย่ วกบั โรคเบาหวาน
2.1.1 ความหมายของโรคเบาหวาน
2.1.2 สาเหตุของโรคเบาหวาน
2.1.3 ชนดิ ของโรคเบาหวาน
2.1.4 การวินจิ ฉยั โรคเบาหวาน
2.1.5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
2.1.6 การรักษาโรคเบาหวาน
2.1.7 เปา้ หมายของการควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลือด
2.1.8 ยารักษาโรคเบาหวาน
2.2 ปัจจยั ทีม่ ีความสัมพันธ์กับการควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลอื ด
2.2.1 ปจั จัยส่วนบุคคล
2.2.2 การสนับสนุนทางสงั คม
2.2.3 แนวคิดและทฤษฎเี กยี่ วกบั พฤตกิ รรมการดูแลตนเองของผปู้ ่วยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2
2.3 งานวจิ ยั ที่เก่ยี วขอ้ ง
2.4 สรปุ ทบทวนวรรณกรรม
2.5 กรอบแนวคิดของการวิจัย
6
1.1. ความรูท้ ่วั ไปเก่ียวกับโรคเบาหวาน
2.1.1 ความหมายของโรคเบาหวาน
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (2022) ระบุว่า โรคเบาหวานเป็นโรคที่เซลล์ร่างกายมี
ความผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เปน็ พลังงาน โดยขบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่ง
เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อน้ำตาลในเลือดไม่ได้ถูกนำไปใช้
จึงทำใหร้ ะดับน้ำตาลในเลือดสงู ข้ึนกว่าระดับปกติ
สำนกั งานควบคมุ โรคที่ 5 นครราชสีมา (2551) ระบวุ า่ โรคเบาหวาน เปน็ อาการทเี่ กิดจากความ
ผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถผลิตหรือหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาให้มากเพียงพอที่จะใช้เปลี่ยน
น้ำตาล ซึ่งร่างกายได้รับจากอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน อาการเหล่านี้จะถูกย่อยสลายไปเป็น
น้ำตาลกลูโคสและนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการเคลื่อนไหว และการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย
ส่วนท่ีเหลือจะถกู เกบ็ ไว้ที่ตับ และรา่ งกายจะดึงออกมาใช้เมื่อจำเป็น หากตบั มีความผิดปกติทำให้น้ำตาล
ในเลือดสูงเกินความสามารถของไตที่จะกักเก็บเอาไว้ได้ ทำให้น้ำตาลส่วนเกินถูกขับถ่ายออกมาใน
ปสั สาวะ
ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ (2549 อ้างถึงใน สิริรัตน์ ปิยะภัทรกุล, 2554) โรคเบาหวานเป็นกลุ่มอาการ
ทางเมตาบอลิซึม ซึง่ ก่อให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง อนั เป็นผลมาจากความผิดปกติในการหลั่งอินซูลิน
หรือเกิดจากความผิดปกติในการออกฤทธิ์ของอินซูลินหรือทั้งสองอย่าง การที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
เป็นเวลานานจะก่อให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต เส้นประสาท หัวใจ
และหลอดเลือด โดยความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมของสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนใน
โรคเบาหวานนั้นเป็นผลมาจากการขาดฤทธิ์ของอินซูลิน ซึ่งอาจมาจากสาเหตุของการหลั่งอินซูลินที่ไม่
เพียงพอ หรือการมเี นื้อเยอื่ ตอบสนองตอ่ อนิ ซลู ินน้อยลง
ทิพาพันธ์ สังฆะพงษ์ และ ชลธิรา เรียงคำ (2553) โรคเบาหวานเป็นกลมุ่ โรคท่ีมีการเปล่ียนแปลง
ทางเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ซึ่งก่อให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง อันเป็นผลมาจากความผิดปกติ
ในการหล่ังอินซูลินหรือประสิทธิภาพของอนิ ซลู นิ ลดลงจากภาวะด้ือตอ่ อนิ ซูลนิ หรือทง้ั สองอย่าง
ยุพิน เบ็ญจสุรัตน์วงศ์ (2550 อ้างอิงใน จิราภรณ์ มุ่งหมาย, 2553) ได้กล่าวว่า โรคเบาหวานคอื
ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดมาใช้ได้
อย่างปกติ ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และ
ระบบประสาท
จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า โรคเบาหวาน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลใน
เลือดสูงกว่านคนปกติ เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายมคี วามผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนนำ้ ตาลในเลือดให้เปน็
พลังงาน โดยขบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อใช้ควบคุมระ ดับ
น้ำตาลในเลือด ซึ่งไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดท่ีได้จากสารอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน ไป
ใช้ได้ตามปกติ เมื่อน้ำตาลในเลือดไมไ่ ด้ถูกนำไปใช้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลอื ดสูงขึ้น และเมื่อมีน้ำตาล
ในเลือดสูงกว่าปกติไตจะขับน้ำตาลปนออกมากับปัสสาวะ หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานจะ
7
ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ตา ไต ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอด
เลือดได้
2.1.2 สาเหตขุ องโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเกิดจากตับอ่อนสรา้ งฮอร์โมนอนิ ซูลินไดน้ ้อย หรอื ไม่ได้เลย หรือสรา้ งได้แต่ไม่สามารถออกฤทธิ์ในการ
ทำงานได้อยา่ งเตม็ ที่ โดยมสี าเหตุดงั น้ี (วรรณา วงศค์ ช และเกศกานดา ศรีระษา, 2557)
2.1.2.1. สาเหตจุ ากพันธกุ รรม
พันธุกรรม เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานทั้งประเภทพึ่งพาอินซูลินและไม่พึ่งพาอิซูลินซึ่งมีความแตกต่างกัน
ดงั น้ี
- พนั ธุกรรมมโรคเบาหวานประเภทพึ่งพาอนิ ซูลนิ มีความสพันธ์กบั ระบบที่มีแอนตเิ จนของเมด็ โลหิตขาว
(Human Leukocyte Antigen : HLA) คือทำให้มีแนวโน้มเกิดการอักเสบเรื้อรังที่ตับอ่อน ภายหลัง
การติดเชื้อซึ่งมีผลให้เบต้าเซลล์ (Bata cell) ถูกทำลายและเสื่อมสมรรถภาพจนไม่สามารถสร้าง
อนิ ซลู นิ ได้
- พนั ธุกรรมในการเกิดเบาหวานประเภทไม่พง่ึ พาอินซูลินไมม่ ีความสัมพันธ์กบั ระบบแอนตเิ จนของเม็ด
เลอื ดขาว แตม่ ีความสมั พันธก์ ับความอ้วนและอายทุ ่เี พ่ิมขึ้น
2.1.2.2. สาเหตุอ่นื ท่ีไมใ่ ชพ่ ันธุกรรม
- ความอ้วน เนื่องในคนอ้วนเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยลงใน
ขณะทีไ่ ดร้ บั น้ำตาลเทา่ เดิม จึงมีนำ้ ตาลสว่ นเกินในกระแสเลอื ด
- สูงอายุ ตับอ่อนจะสังเคราะห์และหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยลงในขณะที่ได้รับน้ำตาลท่าเดิม จึงมี
นำ้ ตาลสว่ นเกินในกระแสเลือด
- ตับอ่อนได้รับความกระทบกระเทือ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง จากการดื่มสุรามากเกินไป หรือตับอ่อน
บอบช้ำจากการประสบอุบัติเหตุ ซึ่งมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเอาตับอ่อนบางส่วนออก สำหรับในบางคนที่มี
ความโนม้ จะเปน็ เบาหวานอยแู่ ลว้ ปัจจัยดังกลา่ วจะชว่ ยชกั นำใหอ้ าการของเบาหวานแสดงออกเร็วขน้ึ
- การตดิ เช้ือไวรสั บางชนิด เชน่ คางทูม หัดเยอรมนั เคยมีรายงานว่าเด็กอายุ 10 ขวบ เกิดเป็นเบาหวาน
และเสยี ชีวิตลงหลังมอี าการเหมือนกบั เป็นไขห้ วัดใหญ่มาก่อน จากการตรวจตบั ออ่ นพบว่าสามารถเพาะเช้ือ
ไวรัสจากเนอ้ื เยอื่ ของตบั อ่อนได้ นากจากนเ้ี ม่อื ทดลองฉีดไวรสั นเ้ี ข้าไปในหนูนาพบว่าไวรัสชนิดน้ีทำให้หนูนา
เป็นเบาหวานไดด้ ้วย
- ยาบางชนิด เช่น ยาขบั ปสั สาวะ ยาคุมมกำเนดิ ทำใหร้ ะดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้
- การตง้ั ครรภ์ เน่อื งจากฮอรโ์ มนหลายชนิดทร่ี กสังเคราะหข์ ้นึ มีผลยับย้งั การทำงานชองอนิ ซูลนิ
2.1.3 ชนดิ ของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภทตามเกณฑ์ของ ADA (American diabetes association 2011
อ้างถึงในธนนนั ต์ เกษสุวรรณ และสธุ าทพิ ย์ พิชญไพบลู ย์, 2558) ดงั นี้
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจาก B-Cell ทำงานผิดปกติเป็นผลจากการทำลาย B-Cell ที่ตับอ่อนจาก
ภูมคิ ุ้มกนั ของรา่ งกายส่งผลใหเ้ กดิ การหลัง่ อนิ ซูลนิ ออกมาไมเ่ พียงพอกับความต้องการของร่างกาย
8
2. โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 เป็นชนดิ ที่พบบ่อยท่สี ุดพบในคนไทยประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวาน
ทั้งหมดเกิดจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและมีการหลังอินซูลินออกมาไม่เพียงพอกับความ
ตอ้ งการของรา่ งกาย
3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นโรคเบาหวานที่ตรวจพบจากการตรวจความทนตอ่ กลูโคส (75 g oral
glucose tolerance test: OGTT) ในหญิงมีครรภ์ ในกรณีที่มีระดับน้ำตาลที่เข้าได้กับการวินิจฉัย
เบาหวานทั่วไป จากการตรวจครั้งแรกจะถือว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โดยภาวะนี้จะหายไปหลังจาก
คลอด
4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น
Monogenic diabetes syndromes (เ ช ่ น Maturity-Onset Diabetes of the Young: MODY)
โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อยาหรือสารเคมีการติดเชื้อปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันหรือ
โรคเบาหวานที่พบร่วมกับกลุ่มอาการต่างๆโดยผู้ป่วยจะมีลักษณะเฉพาะของโรคหรือก ลุ่มอาการนั้นนั้น
หรอื มอี าการและอาการแสดงของโรคท่ที ำใหเ้ กดิ เบาหวาน
2.1.4 การวนิ ิจฉยั โรคเบาหวาน
การวินิจฉัยเบาหวานทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี (สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย 2557 อ้างถึง
ในธนนนั ต์ เกษสวุ รรณ และสธุ าทพิ ย์ พชิ ญไพบูลย์, 2558) ดังตอ่ ไปน้ี
1. ผ้ทู ่ีมอี าการแสดงของโรคเบาหวานชดั เจนคือ ปสั สาวะบ่อยและมาก กระหายนำ้ มาก นำ้ หนักตัวลดลง
โดยไม่มีสาเหตุ ร่วมกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หากมีค่าระดับ
น้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเทา่ กับ 200 มลิ ลกิ รมั ต่อเดซิลติ ร ใหว้ ินจิ ฉัยวา่ เปน็ โรคเบาหวาน
2. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารข้ามคืนมากกว่า 8 ชั่วโมง (Fasting Blood glucose:
FBG) มคี ่ามากกว่าหรือเทา่ กับ 126 มิลลกิ รัมตตอ่ เดซิลติ ร
3. การตรวจความทนตอ่ กลูโคส (75 g oral glucose tolerance test: OGTT) หากระดับนำ้ ตาลในเลือด
ที่ 2 ชั่วโมงหลังดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ให้วินิจฉัยว่าเป็น
โรคเบาหวาน
4. การตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) หากมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 7% ให้วินิจฉัยว่าเป็น
โรคเบาหวาน ซ่งึ วิธนี เี้ ป็นที่นิยมใชใ้ นต่างประเทศ เนื่องจากไม่ต้องอดอาหารแต่จะต้องตรวจวัดในห้องปฏิบัติการที่
มีมาตรฐานเท่านั้น (NGSP certified and standardized to DCCT assay) แต่ในประเทศไทยยังไม่เป็นที่นิยม
เนื่องจากยงั ไม่มมี าตรฐานและการควบคมุ คณุ ภาพของการตรวจ HbA1c ท่เี หมาะสมและมีค่าใช้จา่ ยสงู ในการตรวจ
ในผทู้ ่ไี ม่มอี าการของโรคเบาหวานชัดเจน ควรตรวจเลอื ดซ้ำอกี ครั้งในวันที่ต่างกนั เพื่อยนื ยนั ผล
Fasting Blood glucose (FBG) เป็นระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจวัดได้ในตอนเช้า โดยผู้ป่วยจำเป็นต้อง
อดอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ยกเว้นน้ำเปล่าเป็นเวลามากกว่า 8 ชั่วโมง ผลการตรวจ FBG สามารถนำมาวินิจฉัย
โรคเบาหวานได้โดย ADA และ WHO ได้แบ่งเกณฑ์ของผู้ป่วยตามค่า FBG (American Diabetes Association
2011, World Health Organization อ้างถงึ ในธนนันต์ เกษสุวรรณ และสธุ าทพิ ย์ พชิ ญไพบูลย์, 2558) ดังน้ี
* คา่ FBG นอ้ ยกวา่ 100 มิลลิกรัมตอ่ เดซิลิตร (6.0 มิลลิโมลตอ่ เดซิลิตร) ถือว่าปกติ
9
* ค่า FBG อยู่ในช่วง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (6.1-6.9 มิลลิโมลต่อเดซิลิตร) ถือว่าเป็นผู้ที่มีการ
ควบคุมระดบั นำ้ ตาลบกพรอ่ ง (Impaired Fasting Glucose: IFG) หรือผ้ทู รี่ ิเร่ิมมภี าวะเบาหวาน (Pre-diabetes)
* คา่ FBG อย่ใู นชว่ ง 126 มิลลิกรัมตอ่ เดซลิ ติ ร (7.0 มิลลิโมลตอ่ เดซิลติ รข้นึ ไป) เป็นผ้ปู ว่ ยเบาหวาน
HbA1c เป็นค่าระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด เมื่อร่างกายมีการสร้างน้ำตาลกลูโคสในเลือดจะจับกับ
ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนภายในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่นำพาออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ปริมาณกลูโคสที่จับกับ
ฮีโมโกลบินจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณน้ำตาลทั้งหมดที่อยู่ในเม็ดเลือดแดงในร่างกายมนุษย์มีอายุ 8-12
สัปดาห์ การวัดระดับ HbA1c สามารถสะท้อนระดับน้ำตาลเฉลี่ยในระยะเวลา 2-3 เดือนได้ หากระดับน้ำตาลใน
เลือดสูงค่า HbA1c ก็จะสูงดว้ ย
เป้าหมายของ HbA1c
* สำหรบั ผ้ทู ไี่ ม่ได้เปน็ โรคเบาหวานควรอย่ใู นชว่ ง 4 – 5.9% (20-41 มิลลโิ มลตอ่ โมล)
* สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรมีค่าเท่ากับ 7% (48 มิลลิโมลต่อโมล) จะถือว่าควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรมีค่าเท่ากับ 7.5% (59 มิลลิโมลต่อโมล) เพื่อลด
ความเส่ยี งตอ่ การเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
WHO แนะนำแนวทางการวินิจฉัยโรคเบาหวานโดยพิจารณาจากค่า HbA1c (American Diabetes
Association 2011, World Health Organization อ้างถึงในธนนันต์ เกษสุวรรณ และสุธาทิพย์ พิชญไพบูลย์,
2558)
* คา่ HbA1c ตำ่ กว่า 6% (42 มลิ ลิโมลตอ่ โมล) ใหว้ นิ ิจฉยั ว่าเปน็ ผทู้ ีไ่ มไ่ ดเ้ ปน็ เบาหวาน
* คา่ HbA1c อยู่ในชว่ ง 6 - 6.4% (42-47 มิลลิโมลต่อโมล) ใหว้ ินจิ ฉัยว่าเปน็ ผทู้ ม่ี กี ารควบคุมระดับน้ำตาล
บกพรอ่ ง (Impaired Fasting Glucose: IFG) หรือผทู้ ่ีเรม่ิ มภี าวะเบาหวาน (Pre-Diabetes)
* ค่า HbA1c ต้งั แต่ 7% (48 มลิ ลิโมลตอ่ โมล) ข้ึนไปใหว้ ินจิ ฉยั วา่ เป็นผู้ปว่ ยเบาหวานชนิดท่ี 2
เป้าหมายในการรักษาเบาหวานโดยท่ัวไปคือค่า HbA1c น้อยกว่า 7% ระดับนำ้ ตาลในเลือดขณะอดอาหาร
(FBG) อยู่ในช่วง 80-130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (4.4-7.2 มิลลิโมลต่อลิตร) และระดับน้ำตาลในเลือดสูงสุดหลัง
รับประทานอาหารน้อยกว่า 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือน้อยกว่า 10 มิลลิโมลต่อลิตร (American Diabetes
Association 2011, World Health Organization อ้างถึงในธนนันต์ เกษสุวรรณ และสุธาทิพย์ พิชญไพบูลย์,
2558)
2.1.5 ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะ
โคมาจากน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะน้ำตาลในเลอื ดต่ำ ส่วนภาวะแทรกซ้อนชนดิ เรื้อรัง เชน่ ภาวะแทรกซ้อนท่ีตา
ไต ระบบประสาท ปญั หาที่เทา้ จากเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานท่ีควบคมุ ระดับน้ำตาลไม่ดีเป็นระยะเวลานานอาจจะเกิดภาวะเส้นเลือดตีบแข็งเร็วขึ้นทำให้เกดิ
ปัญหาหากับอวยั วะที่เส้นเลือดนัน้ ไปหล่อเลี้ยง เช่น เส้นเลือดทีไ่ ปเลี้ยงสมองอุดตันกจ็ ะทำให้เกดิ อัมพาตเส้นเลือด
ไปเลี้ยงหัวใจอดุ ตันทำใหเ้ กดิ โรคหัวใจขาดเลอื ดหรือหวั ใจวายหรือหากเลือดไปเลยี้ งกลา้ มเนื้อขาไมเ่ พียงพอทำให้ขา
10
อ่อนแรงและมักมีอาการปวดขาเวลาเดินกรณีหลังนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียขาของผู้ป่วยเบาหวานด้วย
เนอ่ื งจากจะทำให้แผลหายยาก ซง่ึ ในที่น้ีจะขอกล่าวถงึ เฉพาะภาวะแทรกซ้อนทีส่ ำคัญหรือพบได้บ่อย
1. ภาวะแทรกซอ้ นทางตา : จอประสาทตาเส่ือม, ตาบอด
“เบาหวานข้นึ ตา”เปน็ โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากผู้ปว่ ยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลไม่ไดท้ ำให้หลอดเลือดในจอ
ประสาทตาเริ่มอักเสบ โปง่ พอง มีเลือด และน้ำเหลืองซึมออกมาทว่ั ๆ จอประสาทตาจะแสดงอาการค่อยเป็นค่อย
ไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวและละเลยการตรวจสภาพตาตามคำแนะนำของแพทย์ หากรั่วซึมถึงจุดศูนย์กลาง
ของการรับภาพ อาจทำให้มีอาการตาพร่ามัว ยิ่งถ้าหลอดเลือดและพังผืดเกิดใหม่ยังมีผนังไม่แข็งแรง ฉีกขาดง่าย
จะเป็นตวั ท่ียดึ ดงึ จอประสาทตาให้หลุดลอกออกมาและตาบอดสนทิ
2. ภาวะแทรกซอ้ นทางไต : ไตวาย
เบาหวานเปน็ สาเหตขุ องโรคไตวายเร้อื รังระยะสุดทา้ ย โดยพบวา่ ผปู้ ่วยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 รอ้ ยละ 20.0 - 40.0
มีโอกาสเกิดภาวะโรคไต เรื้อรัง และเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท แบ่ง
พจิ ารณาตามอาการ โดยแบ่งได้เป็น ประสาทส่วนปลายเสอ่ื ม ความผดิ ปกติของเส้นประสาทเส้นใดเสน้ หนง่ึ
3. ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท แบ่งพิจารณาตามอาการ โดยแบ่งได้เป็น ประสาทส่วนปลาย
เสื่อมความผิดปกติของเส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่ง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงระบบประสาท
เกิดการแข็งและตีบถ้าเกิดกับระบบประสาทส่วนปลายที่เลีย้ งแขนขา ในระยะแรกอาจมีอาการปลายมือปลายเทา้
แสบร้อนหรือเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ซึ่งมักเป็นมากตอนกลางคืนจนบางรายอาจนอนไม่หลับ อาการจะทุเลา
หรือหายได้เมื่อคุมเบาหวานได้ดี ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงต่อไปนานๆจะเกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ซ่ึง
จะคอ่ ยๆลกุ ลามสูงข้ึนเร่ือย ๆ และอาการชาเมื่อเกิดข้นึ แลว้ จะไม่หายไปแม้ต่อมาจะควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นก็ตาม
จนในที่สุดก็จะไม่มีความรู้สึก จึงทำให้เกิดบาดแผลที่เท้าได้ง่ายเมื่อเหยียบถูกของมีคมหรือของร้อนๆ เมื่อเกิด
บาดแผลก็จะมีโอกาสติดเชื้ออักเสเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และเนื่องจากมีภาวะขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดแข็ง
และตีบ จึงทำให้แผลหายได้ยาก บางครั้งอาจลุกลามรุนแรงหรือเป็นเนื้อเน่าตาย (Gangrene) และจำเป็นต้องตัด
อวัยวะบริเวณนั้นทิ้ง เช่น นิ้วเท้าหรือข้อเท้าทิ้ง ทำให้เกิดความพิการได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยงั อาจมีความเสือ่ มของ
ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic neuropathy) ซึ่งควบคุมอวัวยะต่างๆ ภายในร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการ
วิงเวียนศีรษะจากภาวะความดันตกในท่ายืน ปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูกเรื้อรังจากโรคลำไส้แปรปรวน อาการ
อาหารไม่ย่อยหรือแสบลิ้นปี่จากโรคกรดไหลย้อน องคชาตไม่แข็งตัว กระเพาะปัสสาวะหย่อนสมรรถภาพ ต่อม
เหงื่อไม่ทำงาน บางรายอาจมีประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อตาเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต เกิดอาการตาเหล่
หนังตาตก หลบั ตาไมส่ นิท รูม่านตาขยาย มองเห็นภาพซอ้ น แต่อาการเหลา่ น้มี ักหายไปไดเ้ องภายใน 6-12 สปั ดาห์
ที่มา : https://www.sikarin.com/health/ (สืบค้นออนไลน์เมื่อ 11 มิถนุ ายน 2565)
2.1.6 การรักษาโรคเบาหวาน
การรักษาโรคเบาหวาน เปน็ การรักษาทตี่ ้องอาศัยความรว่ มมือทั้งจากแพทย์ พยาบาล โภชนากร และ ท่ี
สำคัญที่สุดคือตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรักษา โดยต้องเข้าใจก่อนว่า โรคเบาหวาน
เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดได้ ผู้ป่วย
เบาหวานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงทำงานประจำได้ตามปกติหากแต่ต้องควบคุม
11
ระดับน้ำตาลให้อยูใ่ นเกณฑ์ปกตโิ ดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาลดระดับนำ้ ตาลในเลือด รวมท้ัง
ติดตามการรักษาอย่างสมำ่ เสมอ ก็จะชว่ ยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซอ้ นต่าง ๆ (พญ.ศศิภสั ช์ ชอ้ นทอง, 2564)
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ควรได้รับการแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ( lifestyle
modifications) เพิ่มกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวเดิม จำกัดอาหาร
หวาน และอาหารท่ีให้พลังงานมากเกนิ ไป ควรสอนให้รู้จกั อาหารแลกเปลี่ยน
1) ยารักษา ตัวแรก ที่ควรให้ ถ้าไม่มีข้อห้าม คือ metformin (A rating) เป็นยาไม่แพง ประสิทธิภาพดี
ผลขา้ งเคยี งนอ้ ย ลดภาวะดือ้ อนิ ซลู ิน ลดผลแทรกซอ้ นดา้ นหวั ใจในระยะยาว
2) เมื่อยาตัวแรกไม่ได้ผล อาจใช้ยาตัวที่ 2 ได้หลายชนิด เช่น sulfonylureas, thiazolidinediones, dipeptidyl
peptidase-4 inhibitors, sodium–glucose cotransporter 2 (SGLT2) inhibitors, glucagon-like peptide-
1 (GLP-1) agonists, or basal insulin (ตามรปู ).
3) ยาอ่นื เชน่ α-glucosidase inhibitors, bromocriptine, colesevelam, and pramlintide พิจารณาใช้ตาม
สถานการณ์
4) อินซูลิน ใช้เมื่อระดับน้ำตาลสูงมาก มีอาการรุนแรง เลือดเป็นกรด เนื่องจากสามารถปรับขนาดยาได้เร็วเพือ่ ให้
นำ้ ตาลกลับมาเปน้ ปกติโดยใช้เวลาไม่นาน การใช้อินซลู นิ แบ่งเปน็ basal and prandial insulin
- Basal insulin เริ่มที่ 10 units หรือ 0.1 to 0.2 units/kg of body weight. สามารถใช้ร่วมกับ
metformin หรอื ยาเมด็ ลดน้ำตาลชนิดอ่ืนได้
- Bolus insulin เช่น regular insulin หรือ insulin analogues ออกฤทธิ์เร็ว ลดน้ำตาลตามมื้ออาหาร
(สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย)
2.1.7 เป้าหมายของการควบคมุ ระดบั นำ้ ตาลในเลอื ด (ปิติพร รัตนทวี, 2553)
1)ระดับนำ้ ตาลในเลอื ด เมือ่ ตรวจวดั ตอนเช้าก่อนรบั ประทานอาหารควรมีคา่ อยูร่ ะหว่าง 90-130 มิลลิกรัม/
เดซลิ ิตร หรอื ควรน้อยกวา่ 110 มิลลิกรมั /เดซิลิตร
2) ระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อตรวจวดั หลงั รับประทานอาหารตอ้ งไมเ่ กนิ 140 มิลิกรมั /เดซลิ ิตร
การควบคุมน้ำตาลระดับนจี้ ะช่วยป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้ เน่ืองจากผปู้ ่วโรคเบาหวานมักมีโรค
แทรกซอ้ นอืน่ ๆด้วย ดังน้ันต้องควบคุมปจั จัยโรคแทรกซอ้ นอนื่ ๆด้วย คอื ระดับไขมันในเลอื ด ไขมนั คลอเรสเตอรอล
(Cholesterol) <200 มิลลิกรัม/ลิตร ไขมันไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) <150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ไขมันแอลดี
แอล (LDL)<100 มิลลกิ รัม/เดซิลติ ร ไขมันเอชดแี อล (HDL) ชายมากกว่า 40 มิลลิกรมั /เดซิลติ ร หรอื หญงิ มากกว่า
50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับความดันโลหิตน้อยกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท ดัชนีมวลกายควรน้อยกว่าหรือ
เทา่ กบั 23 กโิ ลกรมั /ตารางเมตร ขนาดรอบเอวชายน้อยกว่า 90 เซนตเิ มตร หรือหญงิ น้อยกวา่ 80 เซนตเิ มตร
หมายเหตุ : เป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันแอลดีแอลอาจแตกต่างกันไป ขึ้นกับสภาวะของ
ผู้ป่วยเบาหวานแต่ละราย เช่น ถ้าเป็นผู้ป่วยอายุมาก มีโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป้าหมายในการรักษาระดับน้ำตาล
ในเลือดจะไม่เข้มงวด เท่ากับคนอายุน้อยหรือคนที่ไม่มีโรคหัวใจ ส่วนไขมันในเลือดของผู้ที่มีโรคหัวใจแอลดีแอล
(LDL) < 70 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร ผู้ป่วยสูงอายุหรือมีโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน ควรควบคุมให้ความดันโลหิต
<140/90 มลิ ลิเมตรปรอท
12
2.1.8 ยารักษาโรคเบาหวาน
ยาเบาหวาน เป็นยาที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ ชนิดรับประทาน และ
ชนดิ ฉดี (กญั ญาบตุ ร ศรนรินทร์,2537)
1. ยารักษาเบาหวานชนิดรับประทาน เปน็ ยาทีใ่ ช้รกั ษาเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยแบ่งออกเปน็ 5 กลมุ่ ได้แก่
- กลุ่มซัลโฟนิลยู(Sulfonylureas) ได้แก่ ยาไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) ที่มีชื่อทางการเช่น ดาโอ
นิล (Daonil ยูกลูคอน (Euglucon), ยาไกลพิไซด์ (Glipizide) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น มินิเดียบ
(Minidiab),ยาไกลคลาไซด์ (Gliclazide)ที่มีชื่อทางการค้า เช่น ไดอะไมครอน (Diamicron),ยาไกลเม
พไิ รด์ (Glimepiride) ท่มี ชี อ่ื ทางการคา้ เชน่ อะแมริล (Amary),ยาคลอรพ์ าไมด์ (Chlorpropamide) ท่ีมี
ชื่อทางการค้า เช่น ไดเอบินิส(Diabinese) เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่ง นิยมใช้เป็นยาตัว
แรกในผูป้ ว่ ยเบาหวานท่ีไม่มภี าวะน้ำหนักตัวเกิน สว่ นผลข้างเคียงสำคญั คอื ภาวะน้ำตาลในเลอื ดต่ำ และ
การแพ้ยา (ผู้แพ้ยากลุ่มซัลฟาจะมีโอกาสแพ้ยากลุ่มนี้ได้มากขึ้น) ถ้าใช้ร่วมกับยากลุ่มซัลฟา ยากลุ่มต้าน
อกั เสบทไ่ี ม่ใช่สเตียรอยด์ ยาลดไขมนั กลุ่มไครไฟเบรด หรือแอสไพรนิ ยาเหลา่ นจี้ ะเสรมิ ฤทธ์ิการลดนำ้ ตาล
จนอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ แต่ถ้าร่วมกับยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์
ยาเม็ดคุมกำเนดิ หรือยากลมุ่ ปิดกัน้ เบต้า ยาเหลา่ น้ีอาจต้านฤทธ์ิการลดนำ้ ตาลจนทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
ได้
- กลมุ่ ไบกัวไนด์ (Biguanides) ไดแ้ ก่ ยาเมทฟอร์มนิ (Metformin) ทมี่ ชี ่ือทางการค้า เช่น กลูโคฝาจ
(Glucophage) เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธ์ิยบั ยัง้ กสร้างกลูโคสที่ตับและกระตุ้นให้อินซูลนิ ออกฤทธิ์ไดด้ ขี ึ้น ทำให้
เซลล์ของเน้ือเย่ือต่างๆนำกลโู คสไปใช้งานได้มากขึ้น แพทย์มักใชย้ ากลุ่มน้ีเป็นยาผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะ
ไขมันในเลือดสูง (เพราะยานี้ช่วยลดระดับไขมันในเลือด) หรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน(เพราะยานี้ช่วยลด
น้ำหนัก) และสามารถใช้ควบกับยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่นๆ ได้ทุกกลุ่มส่วนผลข้างเคียงที่สำคัญ คือปาก
คอขม เบอ่ื อาหาร คล่นื ไส้ ปวดมวนทอ้ ง ท้องเสยี ถ้าใช้กับยากลุ่มซลั โฟนิลยูเรยี หรือยาฉีดอนิ ซูลิน อาจทำ
ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ยากลมุ่ เมกลิทิไนด์ (Megitinides) ไดแ้ ก่ ยารีพาไกลไนด์ (Repaginide) ท่ีมีช่อื ทางการค้าเช่น โนโวนอร์ม
(NovoNorm) เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน สามารถใช้แทนยากลุ่มซลั โฟนิลยูเรยี ได้
ในทุกกรณี ส่วนผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การแพ้ยากลุ่มกลิตาโชน (Glitazone
ได้แก่ยาโรสิกลิตาโซน (Rosiglitazone) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น อะเดีย (AVANDIA) ยาไพโอกลิตาโซน
(Pioglitazone) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น แอ็กทอส (Actos) เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้อินชูลินออกฤทธิ์
ได้ดีขึ้น ทำให้ซลลก์ ล้ามเนือ้ นำกสโู คสไปใช้งานได้ดีข้ึน สามารถใช้เปน็ ยารักษาเบาหวานแบบเด่ียวๆ หรือ
ใช้ควบกับยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่นๆ ได้ทุกกลุ่ม ส่วนเคียงที่สำคัญ คือ บวม น้ำหนักตัวขึ้น ปวดเมื่อย
กลา้ มเนือ้ เอนไซม์ตบั (AST, ALT)เช้ือของทางเดินหายใจส่วนต้น
- ยากลุ่มยับย้ังเอนไซม์แอลฟากสูโคซิเดส (Alpha-glucosidase inhibitors) ได้แก่ ยาอะคาร์โบส
(Acarbose) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น กลูโคเบย์ (Glucobay) ยาโวกลิโบส (Voglibose) ที่มีชื่อทางการค้า
เช่น เบเชน่ (Basen) เปน็ กลมุ่ ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซมท์ ี่ใช้ในการยอ่ ยแป้งให้เป็นน้ำตาลจึง
13
ช่วยชะลอการดูดซึมนำ้ ตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ นยิ มใช้ยากลุ่มนี้เป็นยาเสริมยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่น ๆ
ได้ทุกกลมุ่ (โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในรายท่มี ีระดบั นำ้ ตาลในเลือดก่อนอาหารปกติแตร่ ะดับน้ำตาลในเลือดหลัง
อาหารสงู ) สว่ นผลข้างเคียงทีส่ ำคัญ คือ มีลมในทอ้ ง ปวดท้อง ทอ้ งเสีย
2. ยารกั ษาเบาหวานชนิดฉีด คือ อนิ ซลู ิน เปน็ ยาใช้รกั ษาผ้ปู ว่ ยเบาหวานชนดิ ที่ 1 ผปู้ ่วยเบาหวานชนิดที่ 2 บาง
กรณี (ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ป่วยที่แพทย์ให้ยารักษาเบาหวานชนิดประทานอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังไม่
สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ และอีกกลุ่ม คือ ผู้ป่วยที่มีการตดิ เชื้อรนุ แรง หรือได้รับการผา่ ตดั หรือขณะ
ต้งั ครรภ์ ซึง่ แพทยจ์ ะเปล่ยี นมาใช้ยาฉีดอินซลู นิ แบบชว่ั คราวไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น จึงจะกลับไปใช้ยา
ชนิดรับประทาน) ผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคตับหรือโรคไต ผู้ป่วยเบาหวานที่แพ้ยารักษาเบาหวานชนิด
รับประทาน และหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่วนประเภทของอินซูลินนั้นสามารถแบ่งตาม
ระยะเวลาการออกฤทธ์อิ อกได้เป็น 5 กลมุ่ ดังน้ี
- อนิ ซูลนิ ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Rapid acting insulin) ได้แก่ อินซลู ินแอสพารท์ (Insulin aspart)
ที่มชี อ่ื ทางการคา้ เชน่ โนโลราพดิ เฟล็กซ์เพน (NovoRapid FlexPen), อนิ ซลู นิ ลสิ โปร (Insulin lispro)
ทมี่ ชี อ่ื ทางการค้า เช่น ฮวิ มาล็อก (Humalog), อนิ ซลู นิ กลลู ชิ ื่น (Insulin glulisine) โดยยาจะเร่ิมออกฤทธ์ิ
ภายใน 10-15 นาทีหลังดเข้าใต้ผิวหนัง และคงฤทธิ์ยู่ได้นาน 3-5 ชั่วโมง จึงเหมาะสำหรับการควบคุม
ระดับนำ้ ตาลท่สี งู หลังรับประทานอาหาร (ควรฉดี ทนั ทกี ่อนหรอื หลังรบั ประทาน)
- อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ในช่วงปกติ (Regular insulin) จัดเป็นกลุ่มอินซูลินออกฤทธิ์สั้นมีชื่อทางกาค้า เช่น
ฮิวมูลินอาร์ (Humulin R) แอคทราพิดเฮซเอ็ม (Actrapid HM) โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที
หลงั ฉีดเขา้ ใต้ผวิ หนงั และคงฤทธอ์ิ ยูใ่ ดน้ าน 5 8 ชว่ั โมง (ควรฉีดก่อนอาหารประมาณ30 นาที)
- อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว (Long-acting insulin) ได้แก่ อิ่นซูลินกลาร์จีน (Insulin glargine)ชื่อทางการ
ค้า เช่น แลนตัส (Lantus), อินซูลินดีทีเมียร์ (Insulin detemir) ท่ีมีชื่อทางการค้า เช่น เลวีเมียร์
(LEVEMIR) โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-5 ช่ัวโมงหลังฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และคงฤทธิ์อยู่ได้นาน20-24
ชั่วโมง จึงใช้ฉีดเพียงวันละ 1 ครั้ง (ควรฉีดให้ตรงเวลาเดียวกันทุกวัน) และมีข้อดี คือ โอกาสเกิดภาวะ
นำ้ ตาลในเลอื ดตำ่ มีคอ่ นข้างนอ้ ย
- อนิ ซลู นิ ชนิดผสม เป็นการนำอนิ ซลู นิ ทมี่ รี ะยะเวลาการออกฤทธิ์ที่แตกตา่ งกนั มาผสมในขวดเดยี วกัน ทำให้
ยาเริ่มออกฤทธิไ์ ด้เรว็ ภายใน 10-30 นาที และคงฤทธิ์อยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง จึงช่วยลดจำนวนคร้ังของการ
ฉดี ลง แต่มขี อ้ เสีย คอื ไม่สามารถปรับขนาดของอินซูลินชนิดใดชนดิ หน่ึง (ทผ่ี สมรวมกัน) เพียงอย่างเดียว
ตามท่ีตอ้ งการโดยไมก่ ระทบต่อขนาดของอนิ ซลู ินอีกชนดิ หนงึ่ ได้ โดยตัวอย่างของยา
กลุ่มนี้ มีชื่อทางการค้า เช่น ฮิวมูลิน 70/30 (Humulin 70/30) มิกซ์ทาร์ดเอชเอ็ม (MixtardHM) ซ่ึง
ประกอบไปด้วย เอ็นพีเอช (NPH) 70% กับอินซูลินชนิดปกติอีก 309 (การฉีดยากลุ่มน้ีผู้ป่วยจะต้องระวงั
การเกดิ ภาวะน้ำตาลในเลือดตำ่ ชว่ ง 6-8 ช่วั โมงหลังฉีดยา)
3.สมุนไพรรกั ษาเบาหวาน เชน่ มะแว้งต้น (ใชไ้ ด้หลายรปู แบบท้ังแบบแปลรปู เป็นแคปซูลหรือผงแห้งท่ีใช้
ชงเป็นชาดื่มหรือคั้นเป็นน้ำ แต่ไม่ควรรับประทานผลสด เพราะอาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน), มะระ
ขึ้นก (ต้องระมัดระวังการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 1 เดือน เพราะอาจส่งผลเสียต่อระบบประสาท)
14
ฟ้าทะลายโจร (ใบ) ตำลึง (ใช้ส่วนของใบ ซึ่งใบแก่จะออกฤทธิ์ได้ดีกว่าใบอ่อน) ฯลฯ และยังมีสมุนไพรอีก
มากมายหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาเบาหวาน (ซึ่งจะขอกล่าวถึงในบทความหน้าว่ามีชนิดอะไรบ้าง มี
วิธีใช้และข้อควรระวังอย่างไร) อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรยังเป็นทางเลือกเสริมในการช่วยบำบัด
โรคเบาหวานให้ดีขึ้นในระยะแรกเท่านั้น ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัยในการใช้ และ
ผลข้างเคียงของการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนการใช้สมุนไพรทุกชนิด
ดว้ ยตนเองเพ่อื ความปลอดภยั
2.2 ปจั จัยทม่ี ีความสัมพันธ์กับการควบคมุ ระดบั นำ้ ตาลในเลือด
จดุ มงุ่ หมายของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดคือ มคี ่านำ้ ตาลสะสม (HbA1c) ใหน้ อ้ ยกว่า 7% จะทำให้
มีประโยชน์ต่อการลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดเล็กและหลอดเลือดใหญ่ ควรตรวจค่า
น้ำตาละสม (HbA1c) ทุก 3-6 เดือน นอกเหนือจากการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
พฤติกรรมการดูแลตัวเองของบุคคลที่เป็นโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมโรคนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งท่ี บุคคลที่เป็น
โรคเบาหวานทราบกันดีว่า เมื่อปฏิบัติแล้วจะทำใหบ้ ุคคลทีเ่ ป็นโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ได้ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเพิ่มขึ้นและเมื่อมีการควบคุมโรคได้อย่างต่อเนี่องนั้น จะสามารถทำให้มีชีวิตได้
อย่างปกติสุขเช่นเดียวกับคนปกติท่ัวไป แต่ในการดูแลตนเองนั้นทำได้ยาก เนื่องจากว่ามีปัจจัยอยู่หลายประการที่
สามารถจะช่วยส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติพฤติกรรมท่สำคัญ ๆ ได้แก่ 1.) ปัจจัยส่วนบุคคล 2.) การ
สนับสนนุ ทางสงั คม 3.) แนวคิดและทฤษฎเี ก่ยี วกบั การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
2.2.1 ปจั จยั ส่วนบุคคล
ปจั จัยส่วนบคุ คลทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ การควบคมุ ระดับนำ้ ตาลในเลือดอย่หู ลายประการ ดังนี้
2.2.1.1. เพศ
มีผลต่อภาวะสุขภาพ เพศชายในแทบทุกประเทศจะอายขุ ัยเฉลี่ย เมื่อแรกเกิดสั้นกว่าผู้หญิง เช่น
ในประเทศไทยปี 2539 ผ้หู ญิงมอี ายุขัยเฉลีย่ 71.1 ปี ผูช้ าย 66.6 ปี และ คาดวา่ ในปี 2544 ผหู้ ญิงจะเพิ่ม
เป็น 72.20 ปี และผู้ชายเป็น 67.91 ปี (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติด้านสาธารณสุข พ.ศ.
2540-2544) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมสุขภาพ ผู้ชายโดยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเสี่ยงท่ี
ทำลายสขุ ภาพมากกว่าผู้หญงิ และทำงานทเ่ี สย่ี งกว่าผู้หญงิ (อสั ณยี ์ มะนอ, 2560)
2.2.1.2. อายุ
ความอดทนต่อกลูโคสจะลดลงเมื่ออายุอมากขึ้น และเมื่อใช้กลูโคสโทเลอรานซ์เทสต์ธรรมดา
อยา่ งมาตรฐาน (GTT) จะพบวา่ เกินกว่าครง่ึ ของผู้ท่ีมีอายุ 70ปีขึน้ ไปจะมคี ่าผิดปกติท่ี 1-2 เมื่ออายุเกิน50
ปีไปแล้ว จะพบว่าพลาสมากลูโคสในระยะที่ 1 หรือ 2 ชั่วโมงจะสูงขึ้น 6-12 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ต่อ 10
ปี อายุ ไม่ว่าจะทำการทดสอบความทนทานต่อกลูโคสโดยการกิน หรือการฉีดกลูโคสเข้าทางหลอดเลือด
ดำ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าผลของอายุต่อความทนทานต่อกลูโคสนี้จะเป็นผลของการสูงอายุอย่างเดียวหรือไม่
ชั่วโมง (กัญญาบุตร ศรนรินทร์, 2540) จากการศึกษาของ เอนเดรส,โทบิน และคณะ (Andres,Tobin et
al. อ้างถึงใน ศรีจิตรา บุนนาค, 2526)ได้ศึกษาถึงระดับของกลูโคสในเลือดของผู้สูงอายุ โดยให้กลูโคสอยู่
คงที่ระดับหนึ่ง แล้วดูสามารถของเนื้อเยื่อในการใช้กลูโคส โดยจัดให้มีพลาสมาอินซูลินเหมือนอยู่ในสรี
15
รภาพปกติ พบว่า การจับกลูโคสของเน้ือเยื่อในร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงและยังพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน
ในระหว่างอัตราส่วนของกลูโคสและอินซูลินจึงไม่มีเหตุลพอที่จะสนับสนุนว่าการเปลี่ยนแปลงของ
ปฏิกริ ิยาตอบรับของเน้ือเย่ือต่ออินซลู ินน้อยลงเมื่ออายสุ ูงขึ้น จากการศกึ ษาน้ีอาจกล่าวได้ว่าอายุท่ีมากขึ้น
ไม่ไดท้ ำใหก้ ารลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดลดนอ้ ยลง
2.2.1.3. ดัชนีมวลกาย
เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากคือ ความอ้วนและการขาดการออกกำลังกาย
ดัชนีมวลกายจะเป็นตัวบอกว่าเราน้ำหนกั เกินหรือไม่ตารางข้างล่างจะแสดงส่วนสูง(ซม.), น้ำหนัก(กก.) และแสดงค่าดัชนี
มวลกาย body mass index [BMI] ซึ่งคำนวณไดจ้ ากสตู ร น้ำหนกั /(ส่วนสูงเปน็ ม.)²
ค่าปกตอิ ยรู่ ะหวา่ ง 18.5-22.9 กก./(ม)²
ค่าอยรู่ ะหว่าง 23-24.9 กก./(ม)² จัดวา่ น้ำหนกั เกิน
ค่ามากกว่า25กก./(ม)²ให้จัดว่าอว้ นตอ้ งรีบลดนำ้ หนกั
ผู้ป่วยเบาหวานทุคนควรมีน้ำหนักตัวที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้ป่วยเบาหวานประเภทท่ี2 ส่วนใหญ่มี
น้ำหนักตัวมาก ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ยากต่อการรักษาควบคุมน้ำตาลให้ปกติ เนื่องจาก
ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมากเกินไป จะต้องการอินซูลินจำนวนมากเพื่อเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไป (Prando,et
al. 1998 อ้างถึงใน กัญษบุตร ศรนรินทร์, 2548) และผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวน้อยบง่ ชี้ถึงการขาดสารอาหารที่สำคญั
คือ โปรตีน ซง่ึ อาจสมั พนั ธก์ ับการควบคุมระดับนำ้ ตาลได้ไม่ดี นอกจากนก้ี ารติดตามน้ำหนกั ผู้ป่วยทุกครั้งทท่ีมารับ
การตรวจจะบง่ ชีถ้ ึงพฤติกรรมและการควบคุมระดบั น้ำตาลได้
2.2.1.4. การศกึ ษา
ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับสถานะทางสขุภาพเพราะระดับการศึกษามีผลต่อการจ้างงาน
รายไดค้ วามม่ันคงในการทางานความพึงพอใจต่องานและการมีทกัษะท่จี าเป็นต่อการแก้ปัญหาผ้ทู่ีมีระดับ
การศึกษาสูงจะสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมการทำงานของตนได้มากกว่าสามารถเข้าถึงและเข้าใจข้อมูล
ข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีกว่า (ดาริวรรณ เศรษฐีธรรม, กาญจนา นาถะพินธุและวรรณภา อิชิ
ดะ, 2547)
2.2.1.5. อาชีพ เป็นส่วนหน่ึงที่มีผลต่อการดำรงชีวิตลักษณะอาชีพทีต่ ่างกัน ทำให้แต่ละบุคคลมี
ระยะเวลาในการให้ความสนใจตนเองแตกตา่ งกนั (กสุ ุมา กังหลี, 2557)
2.2.1.6. รายได้ เป็นตัวบ่งชี้ถึงสถานภาพทางเศรฐกิจและสังคม รายได้มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้
บริการสุขภาพและสมั พนั ธ์กบั การดูแลตนเอง แม้วา่ รายไดข้ องแต่ละบคุ คลจะไม่ใชส่ งิ่ เดยี วทจี่ ำเป็นท่ีสุดใน
ชีวิต แต่ทุกคนยอมรับว่ารายไดเ้ ปน็ อีกปัจจัยหนึ่งที่มอี ิทธพิ ลตอ่ การดำรงชวี ิต ในด้านการตอบสนองความ
ต้องการพื้นฐานบุคคล ดังนั้นจึงกล่าวสรุปได้ว่า บุคคลที่มีรายได้สูงจะมีแหล่งประโยชน์ที่จะช่วยให้การ
ดูแลตนเองเป็นผลสำเร็จตารมความต้องการในที่สุด ส่วนผู้มีรายได้ต่ำหรือมีรายได้ปานกลาง มักจะมี
ปัญหาการเงนิ และทำใหเ้ กดิ ความรู้สึกกังวลเปน็ ทุกข์ (Orem, 1991 อา้ งถงึ ในจรรยา ธัญน้อม, 2550)
2.2.1.7. ระยะการเจ็บป่วย เนื่องจากการดูแลตนเองเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
ระยะเวลาในการเจ็บปว่ ยท่ยี าวนานขึ้น จงึ มีความสัมพนั ธ์กับการเรยี นรู้การพัฒนาทักษะในการดู
16
แดลตนเองของบุคคลที่เป็นโรคเบาหวานที่มกี ารเรียนรูใ้ นเรือ่ งต่างๆมากขึ้น เพราะว่ามีโอกาสใน
การไดร้ บั ข้อมูลข่าวสารได้รับคำแนะนำจากทีมสุขภาพและบุคคลอื่นไดม้ ากขนึ้ แต่บางการศึกษา
ก็พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการดูแลตนเองของบุคคลที่เป็นโรคเบาหวาน (กัญญาบุตร ศร
นรนิ ทร์, 2548)
2.2.2 การสนับสนุนทางสังคม
การสนับสนุนทางสังคมช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวานได้ จึงได้นำแนวคิด
การสนับสนุนทางสังคมโดยใช้บุคคลในครอบครัวของผู้ป่วยซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดที่มีเวลาอยู่ในวิถี
ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ป่วย และมีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นผู้ให้การสนับสนุน
การดูแลตนเองของผปู้ ่วยในการควบคุมโรค และการใชแ้ นวคิดการส่ือสารระหวา่ งผ้ใู หบ้ ริการและผู้ป่วยใน
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล การให้ความรู้ และฝึกทักษะกับผู้ป่วยและญาติให้เกิดความรู้ความเข้าใจท่ี
ถูกต้อง ในการสนับสนุนการดูแลผู้ป่วย มาเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
ซง่ึ คาดวา่ จะทำใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงในทางทีด่ ีขึ้นของพฤติกรรมสุขภาพ (ประทุม สุภชยั พานิชพงศ์, ลัด
ดา อตั โสภณและพิศาล ชุ่มชน่ื , 2559)
2.2.3 แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผปู้ ว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2
คำจำกดั ความของการดแู ลตนเอง
ได้มผี ใู้ ห้ความหมายหรอื คำจำกดั ความของการดูแลตนเองไว้ลากหลาย ดังน้ี
Pender (1982) กล่าวว่า “การดูแลตนเองเป็นการปฏิบัติที่บุคคลริเริ่มและกระทำในวิถีทางของ
ตนเพอ่ื รักษาชวี ิต สง่ เสริมสขุ ภาพและความเปน็ อยทู่ ่ดี ขี องตนเอง”
Orem (1991) กล่าวว่า “การดูแลตนเองเป็นการปฏบิ ตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ ที่บุคคลริเริม่ และกระทำ
ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมาย มีแบบแผน มีลำดับ และขั้นตอนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีปลอดโรคภัย
และอันตรายทีค่ กุ คามต่อชวี ติ ”
Steiger & Lipson (1985) ให้ความหมายของการดูแลตนเองว่าเป็นกิจกรรมที่ริเริ่มกระทำโดย
บคุ คล ครอบครัว ชมุ ชน เพอ่ื ใหบ้ รรลุ หรือคงไว้ซ่งึ ภาวะสุขภาพใหด้ ที ีส่ ดุ
สุริยาภรณ์ อินทรภิรมย์ (2550) กล่าวว่า การดูแลตนเอง หมายถึงการเริ่มต้นที่บุคคลนั้นให้
ความสำคัญกับการดูแลตนเองทั้งด้านร่างกายและด้านจิตใจเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีในวัยที่มีอายมากขึ้นเป็น
พฤติกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งในขณะที่ร่างกายแข็งแรงและในขณะที่ร่างกายมีโรคประจำตัวหาก
ไดร้ บั การดแู ลจากคนรอบขา้ ง หรอื บุคลากรทางการแพทย์จะย่ิงทำใหค้ วามสามารถในการดูแลตนเองของ
ผูส้ ูงอายมุ คี ุณภาพเพ่มิ มากขน้ึ
จากการทบทวนวรรณกรรม สรุปได้ว่า การดูแลตนเองเป็นการปฏิบัติตนที่บุคคลจะเริ่มปฏิบัติ
อย่างมีขั้นตอนและแบบแผนที่ต่อเนื่อง เพื่อรักษาชีวิต สุขภาพและสวัสดิภาพของตนและช่วยให้
พัฒนาการของแตล่ ะบุคคลดำเนินไปอย่างปลอดภัยจากอันตรายทค่ี กุ คามต่อชีวิต
17
ความหมายของการดูแลตนเอง
การดูแลตนเองตามความหมายของ Orem (วรายุทธ วงศ์บา, 2552 อ้างอิงใน กมลวรรณ จักร
แก้ว, 2561) หมายถึง การปฏิบัติกิจกรรมตา่ ง ๆ ซึ่งบุคคลได้ริเริม่ และกระทำเพื่อดำรงรักษาไว้ซึง่ ชีวิตสุขภาพและ
สวัสดิภาพของตนการดูแลตนเองเปน็ การกระทำท่ีจงใจและมีเปา้ หมาย (Deliberate Action)
และเมื่อกระทำอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีส่วนช่วยให้โครงสร้างหน้าที่และพัฒนาการของแต่ละบุคคลดำเนินไปได้
ถึงขีดสูงสุด กิจกรรมการดูแลตนเองรวมทั้งการมุ่งจัดการหรือการแก้ไขปัญหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกซ่ึง
เปน็ การกระทำท่ผี ู้อนื่ สังเกตเหน็ ได้ และการปรับปรุงความร้สู ึกนกึ คดิ และอารมณ์ของตนเอง
การดแู ลตนเองเปน็ พฤตกิ รรมท่เี รียนรภู้ ายใตข้ นบธรรมเนยี มประเพณีและวฒั นธรรมของชนในแต่ละกลุ่ม
ในภาวะปกติผู้ใหญ่มักจะดูแลตนเองได้ ส่วนทารก เด็ก และผู้สูงอายุ ผู้ที่เจ็บป่วยหรือมีความพิการอาจต้องการ
ความช่วยเหลือเกีย่ วกบั กิจกรรมการดูแลตนเอง เน่อื งจากทารกและเด็กพงึ่ อยู่ในระยะเร่ิมต้นของการพัฒนาการทั้ง
รา่ งกาย จิตใจ และสงั คม ส่วนผูส้ ูงอายตุ อ้ งการการช่วยเหลอื ในการดแู ลตนเอง
เมื่อความสามารถทางด้านร่างกายและสติปัญญาเสื่อมถอยลงตามวัย ทำให้มีข้อจำกัดในการดูแลตนเองบางส่วน
หรือทั้งหมดขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพ (Health Status) และความต้องการการดูแลตนเองทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ซง่ึ เป็นการกระทำทีผ่ ู้ใหญไ่ ดม้ ีส่วนเสรมิ ใหต้ นเองมีภาวะสขุ ภาพและสวสั ดิภาพที่ดี
จุดมุง่ หมายของการดูแลตนเอง
Orem กลา่ วถงึ จดุ หมายในการดูแลตนเอง ประกอบด้วย
1. ประคับประคองกระบวนการชวี ติ และสง่ เสริมการทำหน้าท่ีของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
2. ดำรงรกั ษาการเจรญิ เตบิ โต และพัฒนาชีวิตใหเ้ ป็นไปตามปกติ
3. ป้องกนั ควบคมุ หรอื รักษา
4. ปอ้ งกันความพิการหรอื ทดแทนส่ิงทีเ่ สียไป
5. สง่ เสรมิ ความเป็นปกติสุข
แนวคดิ การดูแลตนเอง
แนวคิดว่าการดูแลตนเองเป็นพฤติกรรมที่ต้องเรียนรู้ และเป็นกิจกรรมที่ต้องทำด้วยความตั้งใจ
ซง่ึ ในวัยผูใ้ หญ่แบง่ ออกเป็น (ธนพร วรรณกูล, 2556)
1. การดแู ลตนเองทจ่ี ำเปน็ โดยทั่วไป (Universal Self-care Requisites) เปน็ การดแู ลตนเองเพื่อ
การส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและสวัสดิภาพของบุคคล การดูแลตนเองเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ
บุคคลทุกคน ทุกวัย แต่จะต้องปรับใหเ้ หมาะสมกับระยะพัฒนาการ จุดประสงค์กิจกรรมการดูแลตนเองที่
จำเป็น โดยทั่วไปมีดังน้ี ความต้องการอากาศหายใจ น้ำ อาหาร การขับถ่าย การมีกิจกรรมที่พอเหมาะ มี
การพกั ผอ่ น การปอ้ งกนั อนั ตรายตา่ ง ๆ ตอ่ ชวี ิต ซึ่งมีความสมั พนั ธก์ ับอายุ พฒั นาการส่งิ แวดล้อม
2. การดูแลตนเองที่จำเปน็ ตามระยะพัฒนาการ (Developmental Self-care Requisites) เป็น
การดแู ลตนเองขณะเผชญิ กบั ขน้ั ตอนพัฒนาการตา่ ง ๆ ในชีวิต เช่น การตัง้ ครรภ์ การคลอดบุตร การเข้าสู่
วัยสูงอายุ การเสียคู่ชีวติ หรอื อาจเปน็ การดูแลตนเองทจี่ ำเปน็ โดยทว่ั ไปท่ปี รบั ใหส้ อดคล้องกบั การส่งเสริม
18
พัฒนาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นอยู่ที่ช่วยสนับสนุนกระบวนการของชีวิตและ
พฒั นาการทช่ี ่วยให้บุคคลเจรญิ เข้าส่วู ุฒิภาวะในวัยต่าง ๆ และเพอ่ื ป้องกนั ผลเสียตอ่ พฒั นาการ
3. การดูแลตนเองตามการเบี่ยงเบนทางสุขภาพ (Health Deviation Self-care Requisites)
เป็นการดูแลตนเองเมือ่ เกิดความเจ็บป่วย เกิดโรค ได้รับการรักษา ได้รับอันตรายหรือทุพพลภาพ อันเปน็
เหตุทำให้ความสามารถในการดูแลตนเองลดลงหรือไม่สามารถทำกิจกรรมบางอย่างที่อยู่ภายใต้การ
รักษาพยาบาลได้ เช่น การเป็นโรคเบาหวาน การได้รับอุบัติเหตุจนเกิดความพิการ เป็นต้น หรือ มีความ
ผิดปกติของพฤติกรรม เช่น อารมณ์แปรปรวน การเบื่อหน่ายท้อแท้ต่อการรักษาพยาบาล เป็นต้น
กิจกรรมทางดา้ นนแี้ บ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่
3.1 แสวงหาความชว่ ยเหลอื จากบุคคลที่เชื่อถอื ได้ เชน่ เจ้าหนา้ ทีส่ าธารณสุข
3.2 รบั รู้ สนใจ ดแู ลผลของพยาธสิ ภาพ รวมถึงผลกระทบตอ่ พฒั นาการของตนเอง
3.3 ปฏบิ ัตติ นตามแผนการรกั ษาพยาบาล การวินจิ ฉยั การฟื้นฟแู ละการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ อย่างมีประสทิ ธิภาพ
3.4 รบั รู้ สนใจ ดูแลและปอ้ งกันความไม่สขุ สบายจากผลขา้ งเคียงของการรกั ษาหรือจากโรค
3.5 ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยและการรักษาโดยรักษาไว้ซึ่งอัตมโน
ทัศน์และภาพลักษณ์ท่ดี ขี องตนเอง ปรับบทบาทตนเองใหเ้ หมาะสมในการพงึ่ พาตนเอง และผอู้ ืน่
3.6 เรยี นรูท้ จ่ี ะมชี วี ิตอยู่กับคณุ ของพยาธิสภาพหรือภาวะทเี่ ปน็ อยู่ รวมทงั้ ผลของการวินิจฉัยและ
การรักษา ในรูปแบบการดำเนินชีวติ ท่ีส่งเสรมิ พัฒนาการของตนเองให้ดีท่ีสดุ ตามความสามารถที่เหลอื อยู่
รูจ้ กั ตง้ั เป้าหมายทเี่ ป็นจรงิ
ทฤษฎีเกีย่ วกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผ้ปู ่วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2
ในงานวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำเอาทฤษฎีโอเร็ม (Orem, 2534 อ้างถึงใน อานุสร สีสุลาด, 2552) มา
ประยุกต์ใช้ เพื่ออธิบายถึงองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน แบ่งออกเป็น
3 ด้าน ได้แก่ ด้านการควบคุมอาหาร ด้านการออกกำลงั กาย ด้านการใช้ยา
1. ด้านการควบคุมอาหาร
ในผู้ป่วยเบาหวานเป็นการจัดอาหารให้กับผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นกับผู้ป่วยเบาหวานทุกคน
เพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานต่อวันให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยทุกคนให้เหมาะสมกับภาวะ
โภชนาการของผ้ปู ว่ ย ทำใหส้ ามารถควบคมุ ระดบั น้ำตาลในเลือดได้2.ดีแบง่ ประเภทอาหารได้ 3 ประเภท ดงั น้ี
ประเภทที่ 1 อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่ น้ำตาลและขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
นมข้นหวาน เครอ่ื งดืม่ เชน่ นำ้ ผลไม้กระป๋อง นำ้ อดั ลม ซึง่ ผูป้ ่วยเบาหวานควรเลือกด่ืมน้ำเปลา่ นำ้ แร่ นำ้ ชา กาแฟ
ประเภทที่ 2 อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด ได้แก่ ผักคะน้า
ผักกาด ถั่วฝกั ยาว นำมาทำเป็นอาหาร เช่น สลดั ผกั ต้มจืด แกงเลยี ง ผัดผกั เปน็ ตน้
ประเภทที่ 3 อาหารท่ีควรกำหนดปริมาณหรอื อาหารท่ีเลือกรับประทานได้ แตต่ ้องเลือกชนดิ เชน่
อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง ได้แก่ เผือกข้าว โพด ข้าวเหนียว เนื่องจากอาหารพวกแป้ งต้อง
หลกี เลย่ี งโดยคำนึงถงึ 2 ปัจจยั คอื
19
1. อาหารจำพวกที่มีปริมาณเส้นใยอาหารมาก ซึ่งทำให้การดูดซึมอาหารช้าลง ดังนี้
ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรเลือกรบั ประทานอาหารทีม่ ีเส้นใยสงู ประมาณ 40 กรัมต่อวัน ซึ่งสามารถ
พบได้ในอาหารจำพวกผัก เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ตำลึง ถั่วงอก เป็นต้น รวมไปถึงผลไม้บางชนิด
เชน่ มะม่วงดบิ ส้ม มะละกอ ละมุด แอปเปิล้ แคนตาลูป กวี ี่ เปน็ ต้น
2. อาหารจำพวกที่มีไกลซีมิคอินเด็กมีค่าสูง เช่น ทุเรียน ลำไย ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควร
รับประทาน ดังนั้นผู้ป่วยจงึ สามารถเลือกรับประทานเป็นอาหารจำพวกแป้งที่มีไกลซีมคิ อินเดก็ มี
ค่าต่ำได้ ได้แก่ ว้นุ เสน้ ก๋วยเต๋ยี ว บะหมี่ เปน็ ต้น
2. การออกกำลังกาย
2.1 ประโยชน์ของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ร่างกายทุกส่วน
เชน่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถา่ ย ระบบไหลเวยี นเลือด และระบบกลา้ มเนื้อทำงานได้
อย่างสมดุล และสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยขจัดไขมัน
ส่วนเกินของผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้ภาวะสุขภาพของงผู้ป่วยเบาหวานทำงานได้อย่างปกติ ลดการเกิด
ภาวะแทรกซ้อน และยังทำใหภ้ าวะด้ืออินซูลนิ นอ้ ยลง ส่งผลใหร้ ะดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑป์ กติ
2.2 การกำหนดโปรแกรมการออกกำลังกาย เป็นวิธีการส่งเสริมการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วย
เบาหวาน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานที่เริ่มออกกำลังกายด้วยตัวเอง ได้ออกกำลังกายอย่างถูกวธิ ี โดยเรม่ิ
จากการตรวจสุขภาพประจำปี การทดสอบสมรรถภาพของรา่ งกาย วธิ กี ารออกกำลงั กายท่ีถูกต้อง และข้อ
ห้ามหรือข้อควรระวังในการออกกำลังกาย อันจะนำไปสู่โปรแกรมการออกกำลังกายพื้นฐานที่มีการออก
กำลังกายที่เหมาะสมกับวัย ไม่ว่าจะเป็นความหนัก ความนาน ความถี่ ในการออกกำลังกาย รวมถึงชนิด
และรูปแบบการออกกำลังกาย เช่น ผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม ไม่ควรออกกำลังกายที่ใช้ข้อนั้น ๆ เพ่ือ
ความปลอดภัยในการออกกำลงั กาย
2.3 ประเภทของการออกกำลงั กาย สามารถแบง่ ออกได้เป็น 5 ชนดิ ได้แก่
2.3.1 Isometric exercise เป็นการออกกำลังกายใช้การยืดเหยียดใช้การยืดกล้ามเนื้อเพื่อเพ่ิม
การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ใช้ในขั้นตอนการอบอุ่นร่างกายก่อนที่จะออกกกำลังกาย การออกกำลังกายที่
ยืดกล้ามเนื้อ ได้แก่ การออกแรงบีบวัตถุบางอย่าง การออกแรงดันกำแพง เป็นต้น การออกกำลังกาย
ประเภทน้จี ะชว่ ยเพิ่มพัฒนาความแขง็ แรงของรา่ งกาย
2.3.2 Isotonic exercise เป็นการออกกำลงั กายแบบต้านนำ้ หนกั ทที่ ำให้กล้ามเน้ือบีบตัวพร้อม
เคลื่อนไหวที่บริเวณข้อแขนและขา ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงให้ปอด หลอดเลือด และหัวใจ ประโยชน์ท่ี
ไดร้ บั จากการออกกำลังกายประเภทน้ีคอื ชว่ ยใหร้ ะบบกล้ามเน้อื ส่วนแขนและขามคี วามกระชบั มากขน้ึ
2.3.3 Isokinetic exercise เป็นการออกกำลังกายแบบต้านความเร็วเต็ม ทตี่ อ้ งใชค้ วามแข็งแรง
ของกล้ามเน้ือ รวมถงึ ความอดทนของร่างกาย ทส่ี ำคญั ต้องมีเครื่องออกกำลงั กาย ในการยกข้ึนและวางลง
ซึง่ ไม่เหมาะสมสำหรบั ผู้ปว่ ยเบาหวานทีม่ ีอายุมาก เพราะจะทำใหเ้ กิดอุบตั ิเหตุได้
20
2.3.4 Anaerobic exercise เป็นการออกกำลังกาย ที่มีความต่อเนื่อง เช่น การวิ่งในระยะเวลา
หนง่ึ การเดินในระยะหน่ึง ซงึ่ การออกกำลังกายประเภทนี้ จะชว่ ยให้รา่ งกายเผาผลาญพลังงานในรูปแบบ
แปง้ มากกวา่ ไขมัน เหมาะสำหรบั การลดน้ำหนกั การเตรียมร่างกายสำหรบั แขง่ ขนั
2.3.5 Aerobic exercise การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ได้รับความนิยมมากในทุกกลุ่มวัย
เป็นรูปแบบการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ เพื่อควบคุมน้ำหนกั ทำให้หุ่นสวย เป็นการออกกำลังกายท่ใี ช้
ครบทุกส่วนและต่อเนื่องสม่ำเสมอ มีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น การเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยานทุก ๆ วัน
วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ช่วยในการเผาผลาญไขมัน การไหลเวียนเลือดดีขึ้น พร้อมสร้างความ
แขง็ แรงให้กับร่างกาย
2.4 หลักของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี ควรคำนึงถึงความเหมาะสม
ของสขุ ภาพรา่ งกาย และไมเ่ ปน็ อนั ตรายต่อรา่ งกาย ซ่งึ การออกกำลงั กายนั้น ควรทำให้พอดดี ดยยดึ หลัก 3
ประการ คือ ความบ่อย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ความหนัก หมายถึง
การออกกำลังกายทห่ี นักและเหน่อื ยพอดีพูดคยุ ได้ ไม่มอี าการหอบ ความนาน หมายถึง การออกกำลังกาย
นาน 20-30 นาที ข้ึนอยูก่ ับรูปแบบการออกกำลงั กายดว้ ย
2.5 การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานทมี่ ีภาวะแทรกซ้อน
2.5.1 โรคเบาหวานของจอประสาทตา ควรเลือกการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ไม่หนักมาก
เช่น การเดิน การเต้นแอโรบิคแบบไม่หนักมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องกลั้นหายใจการเกร็ง
กล้ามเนื้อ เพื่อลดอันตรายที่เกิดจากการออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธี และไม่ควรออกกำลังกายภายใน 3 -6
เดอื นหลังจากผ่าตดั ตาหรอื รักษาด้วยเลเซอร์
2.5.2 โรคเบาหวานจากปลายประสาทชา ผปู้ ่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ จะมีอาการชาตามปลาย
มือปลายเท้า เมื่อเป็นแผลก็จะหายยาก และสามารถติดเชื้อได้ง่ายจึงควรเลือกการออกกำลังกายแบบไม่
ลงนำ้ หนกั มาก เช่น การปัน่ จกั รยาน แต่ไม่ควรออกกำลังกายด้วยการกระโดด และการว่ิง
2.5.3 โรคเบาหวานเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับ
ระบบประสาท จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันเลือด และความสามารถในการรับรู้
เปล่ียนไป ดังนน้ั การออกกำลังกายต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อยา่ งใกล้ชดิ
2.5.4 โรคไตพิการ ควรเลือกการออกกำลังกายแบบเบา ๆ หรือปานกลาง เพื่อเพิ่มการทำงาน
ของอินซูลิน และความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาล เพื่อชะลอการเสื่อมของไต เพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดอาการของไตวาย
3. การใชย้ ารกั ษาโรคเบาหวาน
เมอื่ ไมส่ ามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
ยาเบาหวานกจ็ ะมีบทบาทชว่ ยควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดได้ ซง่ึ ผปู้ ่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ยังมฮี อร์โมนอินซูลินอยู่
บ้าง จึงสามารถใช้ยารับประทานเพื่อรักษาเบาหวานได้ แต่บางรายท่ีตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพมาก จำเป็นต้องฉีด
อินซูลินในผู้สูงอายุการใช้ยารักษาจะเริ่มเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ การใช้ยาจึงมี
ความสำคัญมากต่อชีวิตผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบัน ซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากในอดีต โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาที่
21
เหมาะสมคือ ออกฤทธิ์ไม่แรง และหมดฤทธิ์เร็ว เริ่มจากขนาดยาต่ำ ๆ ก่อน ซึ่งเป็นวิธีการใช้ยาที่ง่ายและเกิด
ผลข้างเคียงน้อยทส่ี ดุ
ยารักษาโรคเบาหวานชนดิ กิน โดยสามารถแบง่ เปน็ 3 กล่มุ ตามวธิ ีการกนิ ยา ไดแ้ ก่ ยากนิ ก่อนอาหาร ยา
กินพร้อมอาหาร และยากนิ หลังอาหาร
ยากนิ ก่อนอาหาร
ยากลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายพร้อมที่จะใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาล โดยกระตุ้นตับอ่อนให้หลัง
ฮอร์โมนอินซลู ินออกมา ณ เวลาทรี่ ะดับนำ้ ตาลในเลือดสูงหลังจากการกนิ อาหาร โดยท่ัวไปแลว้ ยารนุ่ เก่ามกั แนะนำ
ใหก้ ินกอ่ นอาหารประมาณ 30 นาที สว่ นยารุ่นใหม่สามารถกินก่อนอาหารไดท้ ันที ขนึ้ อยู่กบั ความเรว็ ในการกระตุ้น
ตับอ่อนของยาแตล่ ะตวั
ตารางที่ 2-1 ยาท่ีแนะนำให้กนิ กอ่ นอาหาร
ตัวยาสำคัญ ชื่อทางการคา้
กนิ ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที
Chlorpropamide Diabinase, Dibecon, Glycemin
Glibenclamide (Glyburide) Daonil, Diabenol, Glamide, Gluzo, Euglucon,
Manoglucon, Sugril, T.O.Nil, Xeltic
Gliclazide Beclazide MR, Diabeside, Diamexon, Diamexon,
Diamicron MR, Dianid, Dicron, Diglucron, Dimerus,
Glucocron, Glycon
Gliclazide – Merformin* Glizid-M
Glipizide Diasef, Dipazide, Glimax, Glizide, Glucodiab,
Glucotrol XL, Glycediab, Glygen, GP-Zide, Minidia,
Namedia, Pezide, Topizide
Gliquidone Glurenor
กนิ กอ่ นอาหารทนั ที
Glimepiride Amryl
Glimepiride - Merformin* Amryl-M, Amryl-M SR
Mitiglinide Glufast
Repaglinide Novonorm
* Metformin เปน็ ยาทีก่ นิ ก่อนหรือหลังอาหารกไ็ ด้และมักใชเ้ สริมฤทธก์ิ ับยาอน่ื จงึ พบในรูปแบบยาผสม
ที่มา : https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/119/ยาเบาหวานกนิ อยา่ งไรใหถ้ กู ต้อง/ (สืบค้นออนไลน์
เม่อื 24 กรกฎาคม 2565)
ขอ้ ควรระวงั
เม่อื กนิ ยากลุ่มนก้ี ่อนอาหารแล้ว จำเปน็ ต้องรบั ประทานทานอาหารหลังกนิ ยาเสมอ เพราะถา้ ไม่กินอาหาร
ฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าระดับปกติ จนอาจเกิดอาการ
22
ข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่นเดียวกับกรณีลืมกินยา ไม่ควรกินยาหลังอาหารแทน เพราะยาจะออกฤทธิ์ในช่วงที่ระดับ
นำ้ ตาลในเลือดลดตำ่ ลงไปแล้ว จึงทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลงไปมากกวา่ เดิม โอกาสเกดิ ภาวะน้ำตาลในเลือดจะต่ำ
กว่าระดับปกติจะมากขึ้น ควรเว้นยาที่ลืมกินไปโดยไม่ต้องทานเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลารับประทาน
อาหารที่แน่นอน เช่น บางวันไม่ทานมื้อเช้า บางวันไม่ทานมื้อเย็น การกินยากลุ่มนี้นอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้ว ยังมี
โอกาสเกิดนำ้ ตาลในเลอื ดต่ำกวา่ ปกตไิ ด้งา่ ยอีกด้วย จงึ ควรปรึกษาแพทยห์ รอื เภสชั กรเปน็ กรณพี เิ ศษ
กนิ พร้อมอาหาร
ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด จึงควรกิน
พร้อมกบั มื้ออาหาร โดยท่ัวไปแนะนำใหก้ นิ พรอ้ มกบั อาหารคำแรก ยากลุ่มน้ี ได้แก่
ตารางที่ 2-2 ยาทแี่ นะนำให้กินพร้อมกับอาหารคำแรก
ตวั ยาสำคญั ช่ือทางการคา้
Acarbose Glucobay
Voglibose Basen FDT
ทีม่ า : https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/119/ยาเบาหวานกนิ อยา่ งไรใหถ้ ูกต้อง/ (สืบคน้ ออนไลน์
เมอื่ 24 กรกฎาคม 2565)
ข้อควรระวัง
การกินยากลุ่มน้ีก่อนอาหารหรอื หลังอาหารเป็นเวลานานๆ ยาจะไม่เจอกับน้ำตาลที่ย่อยและพร้อมจะดดู
ซึมอยู่ในลำไส้เล็ก ถ้าลืมกินยานี้พร้อมอาหาร อาจสามารถกินยาหลงั อาหารทันทีได้ แต่ประสิทธิผลของยาจะน้อย
กวา่ การกนิ ยาพร้อมอาหาร สำหรบั มื้อทไ่ี ม่ไดท้ านอาหาร ไม่จำเป็นตอ้ งกนิ ยากลุม่ น้ี
กนิ หลังอาหาร
ยาเบาหวานหลายกลุม่ ออกฤทธิ์ช่วยทำให้อวยั วะต่างๆ ใช้น้ำตาลในกระแสเลือดท่ีดูดซึมหลังรับประทาน
อาหารเพอื่ ไปเก็บสะสมหรือเปลย่ี นเปน็ พลังงานไดด้ ีขึ้น จึงสามารถกินยาเหลา่ นห้ี ลังอาหารได้ทันที ยาหลงั อาหารมี
หลายกลุ่มด้วยกัน ผู้ป่วยหลายคนอาจต้องกินยาหลังอาหารมากกว่า 1 ชนิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการรักษา
มากข้ึน ยาเหลา่ นี้ ไดแ้ ก่
ตารางท่ี 2-3 ยาท่แี นะนำให้กินหลงั อาหาร ชือ่ ทางการคา้
ตวั ยาสำคัญ Deson, Diamet, Diaslim, Glucoles, Glucolyte,
Metformin* Glucophage, Glugenmin, Glustress, Gluzolyte,
Meformed, Metfor, Metformin GPO, Metfron,
Pioglitazone Miformin, Pocophage, Siamformet
Pioglitazone + Metformin* Actos, Gitazone, Gitazone-FORTE, Glubosil, Piozone,
Saxagliptin Senzulin, Utmos
Actosmet
Onglyza
23
Sitagliptin Januvia
Sitagliptin + Metformin* Janumet
Vildagliptin Galvus
Vildagliptin + Metformin* Galvus MET
* Metformin เป็นยาท่กี นิ ก่อนหรือหลังอาหารกไ็ ด้และมกั ใช้เสริมฤทธ์ิกบั ยาอน่ื จงึ พบในรูปแบบยาผสม
ท่ีมา : https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/119/ยาเบาหวานกนิ อยา่ งไรใหถ้ กู ต้อง/ (สบื ค้น
ออนไลน์ เมอ่ื 24 กรกฎาคม 2565)
ยารักษาโรคเบาหวานชนิดฉีด มขี ้อควรระวังของการใช้อินซูลนิ ดงั น้ี ภาวะนำ้ ตาลในเลือดต่ำอาจเป็นผล
มาจากการให้อินซูลินมากเกินไป ออกกำลังกายหรือทำงานมากกว่าปกติ รับประทานอาหารน้อยเกินไป ผิดเวลา
หรือช่วงระหว่างมื้อนานเกนิ ไป ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดอินซูลินควรเตรยี มอาหารไว้ใหพ้ ร้อมก่อน และควรรับประทาน
อาหารหลังฉีดยาไปแล้วไม่เกิน 30 นาที อาการที่เกิดได้มีหลายอย่าง เช่น ปวดหัว เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น
กระสับกระส่าย หงุดหงิด หากมีอาการเหล่านี้ ให้อมลูกอม ดื่มน้ำผลไม้ หรือทานของที่มีน้ำตาลสะสม (ห้ามใช้
นำ้ ตาลเทียม)
ควรฉีดอินซูลินบริเวณเดิมทุกวันเพียงแต่ย้ายจุดฉีด โดยจุดท่ีฉีดควรห่างจากจุดเดิมประมาณ 1 นิ้ว เพ่ือ
ป้องกันการเกิดก้อนเนื้อแข็งใต้ผิวหนัง บริเวณที่สามารถฉีดอินซูลินได้คือ บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน หน้าขาและ
สะโพก ซง่ึ ตำแหนง่ ทอ่ี นิ ซลู นิ ดูดซมึ ได้ดที ่ีสุดก็คือบรเิ วณหนา้ ท้อง รองลงมาคือหน้าขา และต้นแขน ตามลำดบั
2.3 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง
พณิตา เซยี่ งจง๊ และคณะ (2557) ได้ศึกษาเร่อื ง ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพันธ์กับการควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือด
ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ มีวัตถุประสงค์เพอื่
ศึกษาปจั จัยทีส่ ่งผลต่อระดับนำ้ ตาลในเลือดของผู้ปว่ ยเบาหวานนิดท่ี 2 กลมุ่ ตวั อย่างเปน็ ผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนิดที่
2 โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบล อำเภอลับแล จังหวดั อตุ รดิตถ์ ไดจ้ ากการสุ่มแบบมรี ะบบจำนวน 350 คน ผล
การศึกษาพบว่า อายุ ความรู้เรื่องโรคเบาหวานและพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
แสดงว่า อายุ ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน และพฤติกรรม เป็นปัจจัยสำคัญต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของ
ผ้ปู ่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตำบล อำเภอลบั แล จงั หวัดอตุ รดิตถ์
กุสุมา กังหลี (2556) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เป็น
เบาหวานชนิดที่สอง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล
ความร้เู กย่ี วกับโรคเบาหวาน การสนับสนุนทางสงั คมและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกับการควบคมุ ระดับน้ำตาลใน
เลือดของผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิกเบาหวาน
แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผลการศึกษา พบว่าผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความรู้เกี่ยวกับ
โรคเบาหวานอยูใ่ นระดบั ต่ำ (ร้อยละ 75.32) การสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอยู่ในระดับสูง
(ร้อยละ 66.03 และ 96.15 ตามลำดับ) การศกึ ษาด้านความสัมพันธ์ พบวา่ ปัจจัยสว่ นบคุ คล ได้แก่ เพศ อายุ และ
ระยะเวลาการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
24
และ .001 ตามลำดับ ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพศหญิง มีโอกาสที่จะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
(HbA1C ≥ 7) มากกวา่ ผเู้ ป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพศชาย เป็น 1.72 เทา่ (ORadj = 1.72, 95% CI = 0.32 - 1.04)
ผู้เป็นเบาหวานท่ีมีอายุมากกว่า 60 ปีข้ึนไป มีโอกาสทจ่ี ะไมส่ ามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (HbA1C ≥ 7)
มากกว่าผเู้ ป็นเบาหวานชนดิ ที่ 2 ท่มี อี ายุน้อยกว่า 60 ปี เป็น 2.88 เทา่ (ORadj = 2.88, 95% CI = 1.60 - 5.22)
และผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระยะเวลาการเป็นโรคมากกว่า 10 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะไม่สามารถควบคุมระดบั
น้ำตาลในเลือดได้ (HbA1C ≥ 7) มากกว่าผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระยะเวลาการเป็นโรคน้อยกว่า 10 ปี เป็น
3.06 เทา่ (ORadj = 3.06, 95% CI = 0.19 - 5.64) ส่วนปจั จยั ทางดา้ นความรเู้ กย่ี วกับโรคเบาหวาน การสนบั สนุน
ทางสังคม และปัจจัยด้านพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ไม่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้
เปน็ เบาหวานชนิดท่ี 2
ณาเดีย หะยีปะจิและพิสิษฐ พวยฟุง (2562) ได้ศึกษาเรื่องปจจัยที่มีความสัมพันธตอการควบคุมระดับ
น้ำตาลในเลือดของผูปวยเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่มารับการตรวจติดตามระดับน้ำตาลที่ กองการแพทย เทศบาลนคร
เชียงราย มีวัตถุประสงคในการศึกษาความสัมพันธระหวางปจจัยสวนบุคคล ความรูเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การ
สนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกับการควบคุมระดับน้ำตาล(HbA1c7%)ในเลือดของผูเปนเบา
หวานชนิดที่ 2 ที่มาตรวจติดตามระดับน้ำตาลที่กองการแพทยนครเชียงราย โดยใชรูปแบบการศึกษาเปนวิจัยเชงิ
พรรณนาแบบภาคตดั ขวาง ศึกษาในกลุมประชากรโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จํานวน 49 คน ที่มารับการรักษาที่ กอง
การแพทย เทศบาลนครเชียงราย ผลการวจิ ยั พบวา กลุมตัวอยางผูปวยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 สวนใหญเปนเพศหญิง มี
อายุมากกวา 60 ปคาดัชนีมวลกายมากกวา 23 kg/m2 (รอยละ67.3) รอยละ 55.1 ของกลุมตัวอยางไมสามารถ
ควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดได นอกจากน้นั ความสัมพนั ธระหวาง ปจจยั ดานความรูเกี่ยวกบั โรคเบาหวานชนิดท่ี 2
การสนับสนนุ ทางสงั คม มคี วามสัมพนั ธกบั การควบคมุ ระดับน้ำตาลไดอยางมีนัยสาํ คญั ทางสถิติ (p<0.05)
อุสา พุทธรักษ์และคณะ (2557) ได้ศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับการรักษาทโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลก้างปลา จังหวัดเลย มี
วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิด2ที่เขา้
รับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก้างปลา จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้ป่วย
โรคเบาหวานชนิดที่2จำนวน103ราย ผลการวิจัย พบว่าการควบคุมอาหารเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการ
ควบคมุ ระดบั น้ำตาลในเลอื ดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิ (p<0.001)
ธนวัฒน์ สุวัฒนกุล (2560) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของ
ผปู้ ว่ ยเบาหวานชนดิ ที่ 2ท่เี ขา้ รบั การตรวจรักษาในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลตา่ ง ๆในจงั หวดั สตูลเพ่ือศึกษา
ปจั จัยที่มคี วามสมั พันธ์กบั การควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนิดที่2 ทเี่ ขา้ รบั การตรวจรักษา
ในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลต่างๆในจังหวดั สตูลจำนวน 400 ราย ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ชนดิ ท่ี2ที่สามารถควบคุมระดับนำ้ ตาลในเลดื อได้ (HbA1c<7) มีรอ้ ยละ 25.0 อาชพี และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ
มคี วามสมั พันธต์ อ่ การคสบคุมระดบั นำ้ ตาลในเลือดได้ (HbA1c<7) ดกี ว่าผูท้ ี่ประกอบอาชีพ(ORadj = 2.71,95% CI
= 1.19-6.17)และผู้เป็นเบาหวานชนิดท่ี2 ที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพต่ำมีโอกาสที่จะควบคุมระดับน้ำตาลใน
เลอื ดได้ (HbA1c<7) น้อยกวา่ ผู้ทม่ี พี ฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพสูง (ORadj = 0.54, 95%CI = 0.29-0.99)
25
2.4 สรุปทบทวนวรรณกรรม
จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับปัจจัยที่มีความสัมพันธก์ ับการควบคุมระดับน้ำตาลใน
เลือดของผ้ปู ว่ ยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 พบว่า มีสาเหตุมาจากภาวะการด้ืออนิ ซลู ินหรือความผิดปกติในการหล่ังฮอร์โมน
อินซูลินของตับอ่อน มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องจากปัญหาน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนตั้งแต่เด็ก พฤติกรรมการควบคุม
อาหาร ขาดการออกกำลังกาย การมอี ายทุ ม่ี ากขน้ึ และมปี ระวัติการเปน็ โรคเบาหวานในครอบครวั ซง่ึ จากงานวิจัย
ที่เกี่ยวข้อง พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ได้แก่ ปจั จยั ส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ อาชีพ ระยะการเจบ็ ป่วย ปัจจัยดา้ นการสนบั สนุนทางสังคม และปัจจัยด้าน
พฤติกรรมสุขภาพ เช่น พฤติกรรมการออกกำลังกาย พฤติกรรมการควบคมุ อาหาร และพฤติกรรมการใชย้ า ซึ่งทั้ง
3 ปัจจัยที่กล่าวมาล้วนมีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วย
ควรตระหนักในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตามเกณฑ์ที่เหมาะสม ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาพฤติกรรม
และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เ พื่อทราบถึง
พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริม
สุขภาพตำบลบัววัด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนา และส่งเสริม
พฤตกิ รรมการควบคุมระดับนำ้ ตาลในเลือดของผู้ปว่ ยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม
2.5 กรอบแนวคดิ ของการวิจยั 26
ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม
ข้อมูลสว่ นบุคคล ได้แก่ การควบคุมระดบั น้ำตาลในเลอื ด
- เพศ ของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2
- อายุ - สามารถควบคุมระดบั น้ำตาลใน
- ดชั นมี วลกาย เลือดได้ (HbA1c < 7%)
- การศึกษา - ไมส่ ามารถควบคุมระดบั น้ำตาล
- อาชีพ ในเลือดได้ (HbA1c ≥ 7%)
- รายได้
- ระยะการเจ็บปว่ ย
การสนบั สนนุ ทางสังคม ได้แก่
- การเข้าถงึ บริการสุขภาพ
- การได้รับแรงสนบั สนุน
จากคนรอบขา้ ง
แบ่งเปน็ 3 ระดบั คอื ระดับมาก
ระดบั ปานกลาง ระดบั น้อย
พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพ ได้แก่
- การควบคุมอาหาร
- การออกกำลังกาย
- การใชย้ า
แบง่ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับ
มาก ระดบั ปานกลาง ระดบั น้อย
27
บทท่ี 3
ระเบยี บวธิ ีวจิ ัย
3.1 รปู แบบการศกึ ษา
การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive) เพื่อศึกษา
พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และหาความสัมพันธ์กับการควบคุม
ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด
อำเภอวารินชำราบ จงั หวัดอบุ ลราชธานี
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- ประชากร คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด
อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอบุ ลราชธานี จำนวน 432 คน ( โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบัววดั , 2565 )
- กลุ่มตัวอยา่ งคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการคัดเลือกเปน็ กลุม่ ตัวอย่าง โดยคำนวนได้จาก
สูตรการประมาณค่าสัดส่วน (Lemeshow S et al., 1990 อ้างถึงในกรรณิกา เจริญทัศน์, วันฟ้าใส ศรีคำใส.
2558)
สูตรการคำนวณขนาดของกลุ่มตวั อย่าง
n = [ 2 ∝2/2 (1− )
( −1)]+[ ∝2/2 (1− )]
n = ขนาดของตัวอยา่ งที่ตอ้ งการศึกษา
N = จำนวนประชากรท้งั หมด คือผปู้ ว่ ยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ทีเ่ ข้ารับการรักษาท่โี รงพยาบาลสง่ เสริม
สขุ ภาพตำบลบัววัด จำนวน 432 คน
Z∝/2 = คา่ สัมประสทิ ธิภ์ ายใต้โคง้ ปกติมาตรฐานทีร่ ะดับความเชอื่ ม่นั 95% ดังน้นั Z (0.025) เทา่ กบั 1.96
P = ค่าประมาณสดั สว่ นของผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลอื ดได้ และ
ได้เข้ารับการรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอบุ ลราชธานี ซ่ึงไดจ้ าก
การ Try out มีค่าเทา่ กบั ....... (รอผลจากการ Try out)
e = ค่าความแม่นยำของการประมาณค่า (Precision of estimate) มคี า่ เท่ากบั ...... (รอผลจากการ Try
out)
28
แทนคา่ ในสตู รไดด้ ังนี้
n = [ 2 ∝2/2 (1− )
( −1)]+[ ∝2/2 (1− )]
กลมุ่ ตวั อย่างทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาคร้งั นจ้ี ำนวน ..... คน โดยใชว้ ธิ ีเลอื กกล่มุ ตัวอยา่ งแบบการสุ่มอย่างง่าย
(Simple Random Sampling) โดยการจับฉลากแบบไมใ่ ส่คืนจากรายชือ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานท่เี ขา้ รบั การรักษาที่
โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบลบัววัด จงั หวดั อุบลราชธานี จำนวน 432 คน
3.3 เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัย
เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สำหรับการศึกษาวจิ ัยในครัง้ นเ้ี ปน็ แบบสัมภาษณ์ การดดั แปลง
เนอื้ หาจากแบบสอบถามของนูรม์ า แวบอื ซา และอรวี สายบุญ (2562) ให้ครอบคลุมตามวัตถปุ ระสงคข์ อง
การศกึ ษา ซง่ึ แบบสัมภาษณ์ประกอบด้วย 3 สว่ น
ส่วนท่ี 1 ข้อมูลส่วนบคุ คลของผตู้ อบแบบสัมภาษณ์ จำนวน 12 ขอ้ เป็นคำถามปลายปิดให้เลือกตอบ
และคำถามปลายเปดิ โดยให้เติมข้อความ ประกอบดว้ ย เพศ อายุ น้ำหนกั ส่วนสงู ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้
เฉล่ียของครอบครวั ต่อเดือน ระยะการเจบ็ ปว่ ย โรคประจำตัวอนื่ ๆ นอกจากโรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนจาก
โรคเบาหวาน การรกั ษาโรคเบาหวานของผู้ป่วยในปจั จบุ ัน ระดับนำ้ ตาลในเลือดเฉลีย่ สะสม
แปลผลน้ำหนักและสว่ นสูงเป็นค่าดชั นมี วลกาย ซ่ึงคำนวณไดจ้ ากสูตร = น้ำหนัก ไดด้ ังน้ี
สว่ นสูงเป็นเมตร2
คา่ นอ้ ยกว่า หรอื เท่ากบั 18.49 กก./(ม)2 แปลผล นำ้ หนักตำ่ กว่าเกณฑ์
ค่าอยรู่ ะหวา่ ง 18.50 – 22.99 กก./(ม)2 แปลผล สมสว่ น
คา่ มากกวา่ หรอื เท่ากบั 23 กก./(ม)2 แปลผล นำ้ หนกั เกนิ เกณฑ์
สว่ นท่ี 2 ข้อมูลปัจจยั ดา้ นการสนบั สนนุ ทางสงั คม จำนวน 10 ข้อ ประกอบดว้ ย
การเข้าถงึ บรกิ ารสุขภาพ จำนวน 5 ขอ้
การไดร้ บั แรงสนบั สนนุ จากคนรอบขา้ ง จำนวน 5 ขอ้
เป็นคำถามลกั ษณะแบบมาตรวัดระดับ (Rating Scale) มี 5 ระดบั โดยมชี ่วงคะแนนตั้งแต่ 10 – 50 คะแนน ซึง่ แต่
ละขอ้ มีคำตอบใหเ้ ลือก คือ
นอ้ ยทีส่ ุด หมายถึง เกดิ ข้นึ นอ้ ย หรือไม่เคยเกิดขึน้
น้อย หมายถงึ เกิดขน้ึ นาน ๆ ครง้ั
ปานกลาง หมายถึง เกดิ ขึน้ บางคร้งั
มาก หมายถึง เกิดขึ้นบอ่ ยครั้ง
มากทส่ี ุด หมายถงึ เกดิ ขน้ึ ทุกครั้ง
29
เกณฑ์การให้คะแนนของแบบสมั ภาษณ์ ในการตรวจให้คะแนน ผวู้ ิจัยใชเ้ กณฑ์ ดงั นี้
ตอบ น้อยทีส่ ดุ ให้ 1 คะแนน
ตอบ นอ้ ย ให้ 2 คะแนน
ตอบ ปานกลาง ให้ 3 คะแนน
ตอบ มาก ให้ 4 คะแนน
ตอบ มากทีส่ ุด ให้ 5 คะแนน
แปลผลระดบั คะแนนปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ การเขา้ ถงึ บรกิ ารสขุ ภาพ การไดร้ บั แรงสนับสนนุ
จากคนรอบข้าง ดังนี้
อนั ตรภาคชนั้ = คะแนนรวมสูงสุด − คะแนนรวมต่ำสดุ
จำนวนชัน้
50 − 10
=3
= 13.3
≈ 14
นำมาจัดระดบั ชว่ งคะแนนเก่ียวกับปัจจัยดา้ นการสนับสนนุ ทางสังคมของผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ไดว้ า่
ระดบั คะแนน 10 – 23 หมายถงึ การสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดบั น้อย
ระดับคะแนน 24 – 37 หมายถึง การสนบั สนุนทางสังคมอยู่ในระดบั ปานกลาง
ระดบั คะแนน 38 คะแนนขึ้นไป หมายถงึ การสนบั สนุนทางสังคมอยู่ในระดับมาก
ส่วนที่ 3 ข้อมูลปัจจยั ดา้ นพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ จำนวน 30 ข้อ ประกอบดว้ ย
พฤติกรรมการควบคมุ อาหาร จำนวน 10 ขอ้
พฤติกรรมการออกกำลังกาย จำนวน 10 ขอ้
พฤติกรรมการใช้ยา จำนวน 10 ข้อ
ลกั ษณะของคำถามประกอบด้วย คำถามเชิงบวก จำนวน 14 ขอ้ ได้แก่ ข้อ 1 – 5, ข้อ 11 - 16, ขอ้ 21 –
25 และคำถามเชงิ ลบ จำนวน 16 ขอ้ ไดแ้ ก่ข้อ 6 – 10, ขอ้ 17 – 20, ขอ้ 26 – 30 ลกั ษณะคำถามเปน็ แบบมาตร
วดั ระดบั (Rating Scale) 4 ระดับ โดยมีช่วงคะแนนตัง้ แต่ 0 - 30 คะแนน คอื
ไม่ปฏิบตั ิ หมายถึง ไม่มีการปฏบิ ัตเิ ลยใน 1 สปั ดาห์
ปฏบิ ตั ิบางคร้งั หมายถึง ปฏบิ ตั เิ ป็นบางคร้งั (1-2 ครั้งต่อสปั ดาห์)
ปฏิบัตบิ ่อยครัง้ หมายถึง ปฏบิ ัติบอ่ ยครั้ง (3-4 คร้งั ต่อสัปดาห)์
ปฏบิ ตั เิ ปน็ ประจำ หมายถึง ปฏิบัตอิ ยา่ งสม่ำเสมอ (5-7คร้ังตอ่ สัปดาห์)
30
เกณฑ์การให้คะแนนของแบบสัมภาษณ์ ในการตรวจให้คะแนน ผวู้ จิ ัยใช้เกณฑด์ งั น้ี
ขอ้ คำถามเชิงบวก ข้อคำถามเชงิ ลบ
ปฏบิ ตั เิ ปน็ ประจำ 3 0
ปฏบิ ัติบ่อยครง้ั 2 1
ปฏิบัติบางครง้ั 1 2
ไม่ปฏิบตั ิ 0 3
ข้อมูลเก่ียวกบั ปัจจยั ดา้ นพฤติกรรมของผปู้ ว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 ไดค้ ำนวนจากสูตรความกวา้ งของ
อนั ตรภาคชน้ั โดยใชเ้ กณฑก์ ารแปลผลของเบสท์ (Best, 1997 อ้างถึงใน กสุ ุมา กังหลี, 2557) คือ ระดับมาก ระดบั
ปานกลาง และระดบั น้อย
แปลผลระดับคะแนนแบ่งตามปัจจัยดา้ นพฤติกรรมการควบคุมอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย และ
พฤติกรรรมการใชย้ า ดงั น้ี
อันตรภาคช้นั = คะแนนรวมสูงสดุ – คะแนนรวมต่ำสุด
จำนวนช้ัน
= 90 – 0
3
= 30
นำมาจดั ระดบั ช่วงคะแนนเกี่ยวกับปจั จัยด้านพฤตกิ รรมการควบคมุ อาหาร พฤตกิ รรมการออกกำลงั กาย
และพฤติกรรมการใชย้ า ได้ว่า
ระดับคะแนน 0 – 29 หมายถงึ พฤติกรรมอยู่ในระดบั น้อย
ระดับคะแนน 30 - 59 หมายถึง พฤติกรรมอยู่ในระดบั ปานกลาง
ระดบั คะแนน 60 – 90 หมายถงึ พฤติกรรมอยู่ในระดบั มาก
3.4 การตรวจสอบเครื่องมือ
เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษาครัง้ น้ี สร้างขึน้ โดยการดัดแปลงเนื้อหาจากแบบสัมภาษณ์ของ
กรรณิกา เจรญิ ทศั น์ และวันฟ้าใส ศรีใสคำ (2558) ทผี่ ่านการตรวจสอบดงั นี้
1. การตรวจสอบความตรงของเน้อื หา (Content validity)
ผู้วิจัยได้นำเสนอแบบสมั ภาษณส์ ำหรับงานวิจัยไปทดสอบความตรงเชงิ เน้อื หา โดยให้ผเู้ ชยี่ วชาญ 3 ทา่ น
ตรวจสอบความตรงดา้ นเน้ือหา โดยพิจารณาใหค้ รอบคลุมถึงความถูกต้องของเนือ้ หา ภาษา และสำนวนที่ใช้
หลังจากน้นั ได้นำมาปรบั ปรงุ แก้ไขตามข้อเสนอแนะ ก่อนนำไปทดสอบหาความเชื่อม่นั ของแบบสมั ภาษณต์ ่อไป
และหาความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์กับเน้ือหา โดยการหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (Index of Item-
Objective Congruence : IOC)
31
กำหนดการให้คะแนนผลการพิจารณาดงั น้ี
ให้ +1 = สอดคล้องกับเนือ้ หาและวัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
ให้ 0 = ไม่แนใ่ จว่าสอดคล้องกับเน้ือหาและวัตถุประสงคข์ องการวิจัย
ให้ -1 = ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาและวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
นำผลการตัดสินของผเู้ ชย่ี วชาญที่ได้ไปหาคา่ ดัชนี IOC คา่ สูงสดุ +1 ข้อใดมีค่าเขา้ ใกล้ 1 แสดงวา่
สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของขอ้ นน้ั มาก ถ้ามีคา่ เขา้ ใกล้ 0 แสดงวา่ สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ของข้อน้นั น้อย และ
ถา้ มีคา่ ติดลบแสดงว่าข้อนั้นใช้ไม่ได้ ทั้งนคี้ งขอ้ ทม่ี คี า่ IOC มากกวา่ หรือเทา่ กับ 0.6 ไว้ ซ่ึงผลหารคา่ IOC จาก
ผทู้ รงคณุ วฒุ พิ บว่าค่า IOC ท่ยี อมรับไดท้ กุ ข้อคำถาม ตัง้ แต่ 0.5 - 1.00
2. ทดสอบความเชื่อมัน่ (Reliability) (รอผลจากการ Try out)
ทดสอบโดยนำแบบสัมภาษณ์ทีไ่ ด้รับการปรับปรงุ ตามคำแนะนำของผเู้ ช่ยี วชาญ นำไปทดลองใช้ (Try out)
กบั ผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ที่เข้ารบั การรกั ษาทโี่ รงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารนิ ชำราบ
จงั หวดั อบุ ลราชธานี จำนวน ... คนจากน้นั วเิ คราะห์หาคา่ ความเชอ่ื ม่ันของแบบสัมภาษณว์ ิธกี ารหาคา่ สมั ประสิทธ์ิ
แอลฟาครอนบาค คา่ ทยี่ อมรับได้ คือ ต้ังแต่ 0.5 ขึ้นไป ได้ค่าความเช่ือมนั่ ดงั น้ี
- การสนับสนุนทางสังคม ได้ค่าความเชอื่ ม่ันเท่ากบั ……….
- พฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพ ไดค้ ่าความเชอ่ื มน่ั เทา่ กบั ……….
3.5 วิธเี ก็บรวบรวมข้อมลู
การศึกษาในครัง้ นี้ ผู้วิจยั ทำการเกบ็ ข้อมูลโดยใชแ้ บบสัมภาษณ์ปจั จัยทมี่ ีความสัมพันธก์ ับการควบคมุ
ระดับนำ้ ตาลในเลือดของผปู้ ่วยเบาหวานชนดิ ที่ 2 ท่มี ารับบริการที่โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบัววดั อำเภอ
วารนิ ชำราบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระหวา่ งเดือนมิถุนายายน พ.ศ. 2565 -
พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 โดยดำเนินงานตามขั้นตอนดงั น้ี
1. สรา้ งแบบสัมภาษณ์ ตรวจสอบความเรียบร้อย ความครบถ้วนของแบบสัมภาษณ์ และจดั เตรียมเพ่ือ
นำไปเก็บขอ้ มูลกับผูป้ ่วยโรคเบาหวานชนดิ ที่ 2
2. ดำเนนิ การประสานงานกบั เจ้าหนา้ ทีโ่ รงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลบัววดั อำเภอวารินชำราบ
จังหวดั อบุ ลราชธานี เพอื่ หาแนวทางการเกบ็ ข้อมลู ในผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 ชี้แจงวัตถปุ ระสงคข์ องการเกบ็
รวบรวมข้อมลู และข้นั ตอนในการสัมภาษณผ์ ้ปู ว่ ยให้เจา้ หนา้ ท่ีทราบ
3. เก็บข้อมลู ภาคสนาม ดำเนินการเกบ็ ขอ้ มูลจากผู้ปว่ ยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ทีม่ ารับบริการท่ี
โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบวั วัด และท่ีบ้านของผ้ปู ่วยโรคเบาหวาน ซ่งึ ผู้วจิ ยั ไดม้ ีการช้ีแจงวัตถุประสงค์ของ
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในแตล่ ะส่วนใหผ้ ู้ปว่ ยทราบ
4. ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความสมบรู ณ์ของแบบสัมภาษณ์ และดำเนินการเกบ็ ข้อมูล
เพิม่ เติม ในกรณีท่เี กบ็ ขอ้ มูลไดไ้ มค่ รบถ้วน กอ่ นจะนำไปวเิ คราะห์ผลตามวิธีทางสถิตติ อ่ ไป
32
3.6 การวเิ คราะห์ข้อมูล
การวิจยั ครงั้ น้ีผวู้ จิ ัยนำแบบสมั ภาษณท์ ีส่ มบูรณ์มาตรวจสอบความเรียบรอ้ ยของแบบสัมภาษณ์และตรวจ
ใหค้ ะแนนแต่ละขอ้ ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ และดำเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมทางสถิติในการวิเคราะห์
ดงั น้ี
สถติ ิเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) อธิบายลกั ษณะของข้อมลู ท่ัวไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ดังน้ี ตวั แปร
ทีม่ รี ะดบั การวัดเชิงคุณภาพ ได้แก่ เพศ อายุ ดัชนมี วลกาย ระดบั การศกึ ษา อาชีพ รายได้เฉลีย่ ของครอบครัวต่อ
เดือน ระยะเวลาการดำเนนิ โรค การรกั ษาโรคเบาหวานของผู้ปว่ ยในปจั จบุ ัน โรคประจำตวั อื่นๆ ภาวะแทรกซ้อน
จากโรคเบาหวาน และระดบั นำ้ ตาลในเลือดสะสม (HbA1c) คร้งั ล่าสุด พรรณนาโดยการแจกแจงความถ่ี
(Frequency) และร้อยละ (Percent)
สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) วิเคราะหห์ าความสมั พันธร์ ะหวา่ งปัจจัยสว่ นบุคคล ปจั จัยการ
สนบั สนนุ ทางสงั คม ปัจจยั พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ ท่ีมคี วามสมั พนั ธก์ ับการควบคุมระดบั น้ำตาลในเลอื ด
วิเคราะหข์ ้อมลู โดยใชส้ ถติ ิ Chi-Square test หรือสถติ ิ Fisher’s exact test ในกรณีท่คี ่าคาดหวงั น้อยกวา่ 5 เกิน
กวา่ 20% (เมื่อเทยี บกบั จำนวนเซลล์ท้ังหมด) กำหนดระดบั นัยสำคญั 0.05
3.7 แผนการดำเนนิ งาน
กจิ กรรม เวลาดำเนินงาน (พ.ศ.2565)
ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย.
1. ชี้แจงรายวชิ า พบอาจารย์ ท่ีปรกึ ษา
2. กำหนดหัวข้องานวิจยั และ โครงร่างงานวจิ ยั สง่ หัวข้อ งานวิจัย
3. ที่มาและความสำคญั ทบทวนวรรณกรรมท่เี ก่ยี วข้อง
4. สอบโครงรา่ ง
5. เก็บข้อมลู try out
6. สรุปและวเิ คราะห์ข้อมูล
7. นำเสนองานวจิ ัย
33
บรรณานกุ รม
กสุ ุมา กังหลี. ปจั จยั ท่ีมีความสัมพนั ธต์ ่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลอื ดของผูเ้ ป็นเบาหวานชนดิ ทีส่ อง
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา้ . วารสารทหารบก. 15(3), 256-268.
กมลวรรณ จักรแกว้ . การดแู ลตนเองของผสู้ ูงอายทุ ่ปี ว่ ยดว้ ยโรคเบาหวานตำบลลวงเหนอื อำเภอดอยสเก็ด จงั หวดั
เชยี งใหม่. มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่; 2561.
กองโรคไม่ตดิ ต่อ กรมควบคุมโรค. รายงานการพัฒนาคุณภาพการบริการในผูป้ ่วยโรคเบาหวานและโรคความดนั
โลหติ สูงผา่ นสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ (VDO Clip) “การใหค้ วามร้แู ละสรา้ งทักษะ เพื่อการดูแลโรคเบาหวานและความดนั
โลหิตสูงดว้ ยตนเอง”. 2564.
ญาณญาดา บัวขาว, กฤษฎาพร ร่งุ โรจน์, ภูธเนศ รเู้ กณฑ์. พฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสีย่ งและผปู้ ว่ ย
เบาหวาน ชนิดที่ 2 ในชมุ ชนบา้ นนอ้ ยนาเวิน ตำบลโพนเมืองนอ้ ย อำเภอหวั ตะพาน จังหวดั อำนาจเจริญ. วารสาร
วิทยาศาสตร์สขุ ภาพและสาธารณสขุ ชุมชน. 3(1), 2563.
ดวงหทัย แสงสว่าง, อโนทัย ผลติ นนท์เกยี รติ และนิลาวรรณ งามขำ. ปจั จัยที่มผี ลต่อพฤตกิ รรมการลดระดบั
นำ้ ตาลในเลอื ดของผปู้ ว่ ยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลบางปูใหม่ จังหวดั สมทุ รปราการ.
วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์). 8(1), 103-117.
พณิตา เซย่ี งจง๊ , ธนชั กนกเทศ, ปัทมา สุพรรณกุล. ปจั จัยทีส่ ่งผลต่อการควบคมุ ระดบั น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย
โรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตำบล อำเภอลับแล จงั หวัดอตุ รดิตถ.์ วารสารการพยาบาลและ
สุขภาพ. 8(3), 30-38.
พมิ พ์ใจ อนั ทานนท.์ (20 เมษายน 2562). โรคเบาหวาน. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
ทรรศนีย์ สิรวิ ฒั นพรกลุ , นงนุช โอบะ, สชุ าดา อินทรกำแหง ณ ราชสมี า. ปัจจัยที่มีความสัมพนั ธ์กับระดับนำ้ ตาล
ในเลือดของผปู้ ว่ ยเบาหวานขนดิ ท่ี 2. วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. 1(2),57-67.
นูร์มา แวบือซา. (2551). ความสัมพันธร์ ะหวา่ งการรบั รู้ภาวะสขุ ภาพกับการดูแลตนเองของผูป้ ว่ ยโรคเบาหวานใน
อำเภอปะนาเระ จงั หวดั ปตั ตาน.ี วทิ ยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑติ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
วทิ ยาเขตปัตตาน.ี
โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าขา้ ม. (2560). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ป่วย
โรคเบาหวาน ตำบลแมเ่ หยี ะ อำเภอเมืองเชยี งใหม่ จังหวดั เชยี งใหม.่
วรางคณา บตุ รศรี, อภิรดี เจริญนุกลู . การมสี ่วนรว่ มของอาสาสมคั รสาธารณสุข ในการดูแลผ้ปู ่วยเบาหวาน :
กรณีศึกษาตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ จังหวดั อบุ ลราชธานี. วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วทิ ยาลยั
34
พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์. 1(1), 92-105.
วรายทุ ธ วงศบ์ า. (2552). ปัจจัยทม่ี ีอิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมการดูแลตนเองของผปู้ ่วยวัณโรค จงั หวัดอำนาจเจริญ.
(ปรญิ ญามหาบัณฑติ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี).
สมเกยี รติ โพธสิ ตั ย์, นพ.สถติ ย์ นริ มติ มหาปัญญา, นพ.ชยั ชาญ ดีโรจนวงศ,์ นพ.วรี ะศกั ด์ิ ศรินนภากร, พญ.นภา ศริ ิ
ววิ ัฒนากลุ , นพ.สิทธิชัย อาชายนิ ดี, พญ.ธนพร รตั นสุวรรณ. (2557). โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus).
การแพทยไ์ ทย ๒๕๕๔-๒๕๕๗ First Edition. 1-40.
อดุ มโชค อินทรโชติ. ผลของการสนบั สนุนการจดั การตนเองแบบมีสว่ นร่วมในผปู้ ว่ ยเหวาน ตำบลนาฝาย อำเภอ
เมืองชยั ภูมิ จังหวดั ชยั ภมู ิ. ชัยภูมิเวชสาร. 40(1), 137-147.
35
ภาคผนวก
36
แบบสัมภาษณ์
เรอื่ ง ปัจจยั ที่มคี วามสัมพันธ์กับการควบคุมระดับนำ้ ตาลในเลอื ดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2
ท่ีมารบั บรกิ ารทโี่ รงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลบัววดั อำเภอวารินชำราบ จงั หวดั อุบลราชธานี
คำชแี้ จง
1. แบบสัมภาษณช์ ุดน้ีสรา้ งข้ึนเพือ่ ใช้ในการศึกษาเรือ่ ง ปจั จยั ทมี่ คี วามสมั พันธ์กบั การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ของผ้ปู ่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่มารบั บริการทโี่ รงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลบวั วัด อำเภอวารนิ ชำราบ จังหวัด
อุบลราชธานี
2. แบบสัมภาษณม์ จี ำนวน 5 หนา้ รวมหน้าปก จำนวน 52 ข้อ แบง่ ออกเป็น 3 ส่วน ประกอบดว้ ย
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลส่วนบคุ คล จำนวน 12 ขอ้
สว่ นท่ี 2 ข้อมูลดา้ นปจั จยั การสนับสนุนทางสังคม จำนวน 10 ขอ้
ส่วนที่ 3 ขอ้ มูลด้านปัจจยั พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพ จำนวน 30 ขอ้
ทงั้ นี้ ขอความกรุณาท่านตอบแบบสมั ภาษณใ์ ห้ครบทุกข้อตามที่กำหนดไว้ และผูศ้ ึกษาขอขอบพระคณุ เปน็ อยา่ ง
สูงท่ีทา่ นให้ความร่วมมอื ในการตอบแบบสัมภาษณ์ในการศึกษาคร้ังน้ี
นางสาวประภสั สร กรไกร
นางสาวเออ้ื มภรณ์ คุณสมบัติ
นักศึกษาหลกั สูตรสาธารณสขุ ศาสตรบ์ ณั ฑิต สาขาสาธารณสุขศาสตร์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์การสาธารณสขุ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี
37
สว่ นที่ 1 ขอ้ มูลส่วนบคุ คล
1. เพศ
ชาย หญงิ
2. อายุ _____ปี
3. นำ้ หนกั ______กโิ ลกรมั
4. สว่ นสงู ______เซนติเมตร
5. ระดับการศึกษา
ไม่ได้ศึกษา ระดับประถมศึกษา
ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรอื เทียบเท่า
อนุปรญิ ญา / ปวส. ปริญญาตรี
สงู กวา่ ปริญญาตรี อน่ื ๆ (ระบุ)
6. อาชีพ
ไม่ได้ทำงาน เกษตรกรรม รบั จา้ ง
รบั ราชการ/รฐั วสิ าหกจิ คา้ ขาย อ่นื ๆ (ระบุ)
7. รายไดเ้ ฉล่ยี ของครอบครวั ต่อเดือน____________บาท/เดอื น
8. ระยะเวลาการเจบ็ ปว่ ย____ปี (ต้งั แตแ่ พทยว์ นิ ิจฉัยวา่ เป็นโรคเบาหวานและรักษาจนถึงปจั จบุ ัน)
9. โรคประจำตวั อน่ื ๆ นอกจากโรคเบาหวาน
ไมม่ ี มี (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
โรคความดันโลหิตสงู โรคไขมันในเลือดสูง
โรคหัวใจและหลอดเลอื ด อืน่ ๆ (ระบุ) ____________
10. ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน (ทร่ี ะบใุ นเวชระเบยี นและจากขอ้ มูลของผปู้ ่วย)
ไมม่ ี มี (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
มอี าการชาตามปลายมือปลายเท้า
มีอาการทางตา เช่น ตามัว มองไม่ชดั ต้อกระจก
มีอาการทางหวั ใจ เช่น เจ็บนา่ อก
มแี ผลเร้อื รัง
มอี าการผิดปกติของไต
ถกู ตดั น้วิ มือน้ิวเท้า
อน่ื ๆ (ระบุ)
11. การรกั ษาโรคเบาหวานของผูป้ ว่ ยในปจั จบุ นั
การควบคุมอาหารอย่างเดียว ใชย้ ารบั ประทาน
ใช้ยาฉดี อินซูลนิ ใชย้ ารบั ประทานรว่ มกับยาฉดี อินซูลนิ
12. ระดับน้ำตาลในเลือดเฉล่ียสะสม (HbA1c) ครัง้ ลา่ สุด_______เปอร์เซ็นต์ (ท่รี ะบุในเวชระเบียนและจากขอ้ มูล
ของผปู้ ว่ ย ณ วันท่ี ___________ )
38
สว่ นท่ี 2 ขอ้ มลู ด้านปจั จัยการสนบั สนนุ ทางสงั คม
คำช้แี จง โปรดทำเคร่อื งหมาย ✓ ลงในช่องวา่ งให้ตรงตามความคดิ เหน็ ของทา่ นมากท่ีสุด (เลือกเพยี งคำตอบ
เดียว)
มากท่สี ดุ หมายถงึ เกดิ ขึ้นทุกครง้ั
มาก หมายถึง เกดิ ขนึ้ บ่อยคร้งั
ปานกลาง หมายถึง เกิดขนึ้ บางครงั้
นอ้ ย หมายถงึ เกดิ ขนึ้ นาน ๆ ครั้ง
น้อยที่สุด หมายถงึ เกดิ ขนึ้ น้อย หรอื ไม่เคยเกิดข้ึน
ข้อมูลดา้ นปจั จยั การสนับสนุนทางสังคม มากทีส่ ุด มาก ปาน น้อย น้อย
กลาง ทส่ี ุด
การเขา้ ถงึ บริการสขุ ภาพ
1. ท่านได้รบั ข้อมูลเกีย่ วกับการดูแลสขุ ภาพจาก
หนว่ ยงานหรอื เจ้าหน้าทส่ี าธารณสขุ
2. มเี ครอื ข่ายสขุ ภาพ (อสม.) ทีค่ อยติดตามการ
รักษาโรคเบาหวานของท่าน
3. โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตำบลอยู่ใกล้บา้ น
ท่าน และทา่ นมีความสะดวกในการเดนิ ทางมารบั
บริการสุขภาพ
4. โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตำบลมีพ้ืนท่ี
เหมาะสม ไมแ่ ออัดเหมาะกบั การให้บรกิ าร
5. โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลมบี ุคลากรทาง
การแพทย์ เชน่ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าท่ี
สาธารณสุข ท่พี ร้อมใหบ้ ริการ
การไดร้ บั แรงสนับสนนุ ทางสังคม
6. ทา่ นไดร้ ับการดูแลเอาใจใส่จากคนในครอบครัว
7. คนรอบขา้ งสามารถช่วยแก้ปญั หาสขุ ภาพของ
ท่านได้
8. คนในครอบครัวและญาติ กระตุน้ หรือเตอื นให้
ทา่ นปฎบิ ัติตามคำแนะนำของแพทยแ์ ละให้ไปพบ
แพทยต์ ามนัด
9. ท่านได้รับคำชมเชยจากคนรอบข้าง เม่อื ท่าน
สามารถควบคุมระดบั น้ำตาลในเลอื ดได้
39
ข้อมูลด้านปจั จยั การสนบั สนุนทางสังคม มากที่สดุ มาก ปาน น้อย นอ้ ย
กลาง ที่สุด
10. ท่านได้รบั กำลังใจจากคนรอบข้าง ในการเผชิญ
ปญั หาโรคเบาหวาน
40
ส่วนท่ี 3 ข้อมลู ด้านพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ
คำชแี้ จง โปรดทำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ ง ใหต้ รงตามความิดคเหน็ ของท่านมากทีส่ ดุ (เลือกเพียงคำตอบเดียว)
ปฏิบัตเิ ปน็ ประจำ หมายถงึ ปฏบิ ัตอิ ยา่ งสมำ่ เสมอ (5-7คร้ังตอ่ สปั ดาห)์
ปฏิบตั บิ ่อยคร้งั หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครงั้ (3-4 ครงั้ ต่อสัปดาห์)
ปฏบิ ัตบิ างครงั้ หมายถงึ ปฏบิ ตั เิ ป็นบางครั้ง (1-2 คร้ังต่อสปั ดาห)์
ไมป่ ฏบิ ตั ิ หมายถึง ไม่มีการปฏิบัตเิ ลยใน 1 สปั ดาห์
พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพ ปฏิบตั เิ ป็น ปฏิบัติ ปฏบิ ัติ ไมป่ ฏิบัติ
ประจำ บอ่ ยคร้ัง บางคร้ัง
พฤติกรรมการควบคุมอาหาร
1. ท่านรบั ประทานอาหารตรงเวลา และรบั ประทาน
ครบ 3 มอ้ื ไมก่ นิ จุจิก
2. เม่อื ท่านทราบวา่ ระดับน้ำตาลในเลือดสงู ขึ้น ท่าน
จะไม่รับประทานอาหารและเครือ่ งด่ืมทม่ี ีรสหวาน
3. ท่านรับประทานอาหารพวกผักชนิดตา่ ง ๆ เปน็
ส่วนประกอบทสี่ ำคญั ในอาหารแต่ละมื้อ
4. ทา่ นเลือกรบั ประทานผลไมท้ ม่ี รี สชาตไิ ม่หวานจัด
เช่น มะละกอ กลว้ ยนำ้ วา้ ฝรง่ั ชมพู่ เปน็ ตน้
5. ท่านเลี่ยงการรบั ประทานอาหารทม่ี ีรสเคม็ หรือ
อาหารหมกั ดอง เชน่ ไส้กรอกอสี าน ปลาเคม็ ผัก
ดอง ผลไมด้ อง เป็นต้น
6. ท่านรบั ประทานอาหารหวานจดั เช่น ขนมหวาน
น้ำอัดลม น้ำหวาน ไอศกรีม ขา้ วเหนยี วมะมว่ ง หรือ
ขนมทมี่ ีกะทิ มะมว่ งสุก ลำไย ทเุ รยี น ขนุน เปน็ ต้น
7. ท่านด่ืมเคร่ืองดม่ื แอลกอฮอล์ เช่น เหลา้ เบียร์
ไวน์
8. ทา่ นสบู บหุ ร่ี
9. ท่านรบั ประทานอาหารท่ีมีแป้งและไขมันมาก
เชน่ ขา้ วเหนียว กะทิ อาหารทอด หมสู ามชน้ั หมูตดิ
มนั เคร่อื งในสัตว์
10. ในการรับประทานอาหารแต่ละครง้ั มกั
รบั ประทานในปริมาณมากน้อยไม่เท่ากนั เวลาหวิ
หรอื อาหารทม่ี ีรสชาตอิ ร่อย ท่านจะรบั ประทานมาก
41
เวลาไมห่ วิ หรือรสชาติอาหารไมอ่ รอ่ ยท่านจะ
รบั ประทานน้อย
พฤติกรรมการออกกำลังกาย
11. ท่านออกกำลงั กาย เช่น เดนิ หรือว่งิ เหยาะ วันละ
25-30 นาที อย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครง้ั
12. หากทา่ นไมส่ ามารถออกกำลงั กายได้ ท่านจะหา
กิจกรรมอย่างอืน่ ทำแทน เชน่ เดิน แกวง่ แขน
เพอ่ื ใหม้ กี ารขยบั รา่ งกายอยเู่ สมอ
13. บางครงั้ ท่ีทา่ นรูส้ กึ ว่าน้ำหนกั เพ่ิมข้นึ ทา่ นจะ
ออกกำลงั กายหักโหมกว่าเดิม เพือ่ ลดนำ้ หนัก
14. ท่านมีการอบอนุ่ ร่างกายก่อนและหลังออกกำลัง
กาย
15. ท่านจะหยุดออกกำลังกายทันทีเม่ือมีอาการดังนี้
มอื สน่ั ใจสนั่ เหงอ่ื ออกมากผิดปกติ อ่อนเพลีย ปวด
ศรี ษะ ตาร่า หิว เจบ็ แนน่ หน้าอก
16. ท่านไม่ออกกำลงั กายขณะทีห่ วิ หรอื อม่ิ
17. ทา่ นออกกำลังกายตามความพอใจและอารมณ์
ของท่าน
18. ท่านออกกำลังกายโดยไม่คำนงึ ถงึ ความ
เหมาะสมกบั สภาพรา่ งกายที่เปน็ อยู่ในขณะนั้น
19. ทา่ นไมส่ ามารถหลกี เลีย่ งการทำงานอย่างหนัก
ได้ เชน่ การยกของหนัก แบกกระสอบขา้ ว
20. ท่านทำงานท่มี ีความเส่ยี งต่อการได้รบั บาดเจบ็
เชน่ การผา่ ฟนื การเลื่อยไม้
พฤตกิ รรมการใชย้ า
21. ท่านรับประทานยา / ฉดี ยาเบาหวานตามที่
แพทย์สง่ั (ถูกชนดิ ถูกขนาด ถูกเวลา ถกู วิธ)ี
22. ท่านเก็บรักษาโรคเบาหวานไดถ้ ูกต้องตาม
คำแนะนำของแพทย์ หรือเก็บยาฉดี อนิ ซลู นิ ไวใ้ น
ตู้เยน็
23. ท่านใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเบาหวาน เช่น
ตำลึง มะระข้ีนก ฟา้ ทะลายโจร โดยปรึกษาแพทย์
ก่อนเสมอ
24. ทา่ นมาพบแพทยต์ ามนัดทุกครัง้
42
25. ทา่ นจะซักถามถึงชนดิ ยา สรรพคณุ และอาการ
ขา้ งเคยี งของการใชย้ า และสังเกตอาการท่ีเกิดกบั
ทา่ นเสมอ
26. ท่านปรับหรือลดขนาดของยาเอง
27. ท่านลมื รบั ประทานยา / ฉีดยาเบาหวาน
28. ถ้าท่านเจบ็ ป่วยดว้ ยอาการของโรคอ่ืน เชน่ ปวด
ขอ้ หรือขอ้ อักเสบ ท่านจะซ้อื ยาแก้ปวด หรอื ยาแก้
อกั เสบมารับประทานเอง
29. ทา่ นเกบ็ ยารักษาโรคเบาหวานอนั เก่าท่ีไม่ได้
รับประทานแลว้ รวมไว้กบั ยาท่ไี ด้รบั ใหม่
30. ท่านมีปัญหาในการจดั ยาเพอ่ื รับประทานเอง
ต้องมีคนคอยจดั ยาไว้ให้ทา่ นเสมอ