The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิวัฒนาการการแต่งหน้าโขนสมัยรัตนโกสินทร์ 111111

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thebento563, 2022-09-28 14:31:51

วิวัฒนาการการแต่งหน้าโขนสมัยรัตนโกสินทร์ 111111

วิวัฒนาการการแต่งหน้าโขนสมัยรัตนโกสินทร์ 111111

วิวฒั นาการการแต่งหน้าโขนสมัยรตั นโกสินทร์

สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ในการแตง่ หน้าไม่ว่าจะเปน็ ตัวพระหรอื ตัวนางกย็ ังคงเดมิ ใบหน้าท่ขี าวอยู่
แต่อาจจะลดใบหน้าที่ขาวลดมาหน่อยเน่ืองจากจะทาให้ลักษณะของใบหน้ามีความเปลี่ยนแปลง
มากข้ึน ทั้งเรอ่ื งคิ้ว สแี กม้ คิว้ จะเริม่ จากการเขยี นคิ้วเป็นลักษณะโค้ง หัวคิ้วจะเลก็ กลางคว้ิ จะหนา
และหางคิ้วจะเรียวลง แล้วจบด้วยการตวัดหางค้ิวข้ึน สีแก้มน้ันจะมีความแดง และสีปากจะแดง
เข้มอยดู่ ้านใน การแต่งหน้าโขนในยุคนไี้ ดม้ าจากละครใน การแตง่ หนา้ สมยั รตั นโกสินทร์จะแบง่ เป็น
ไปตามยุค ดงั น้ื

ยุคท่ี ๑ ขาวเหมอื นตุ๊กตา

ระยะเวลา สมยั รชั กาลที่ ๔

ลักษณะที่เห็น

ขาวเหมือนตุ๊กตา เหมือนสวมหน้ากากสีขาวใบหน้า
นักแสดงขาวนิ่งลอยออกมาได้ความรู้สึกของความ
เป็นตัวละคร ดูเป็นสัญลักษณ์ไม่สมจริงตามสีผิว
ธรรมชาติ แตกต่างจากรูปลักษณะสามัญของชน
ท่วั ไป

ทาไมจึงแต่งเชน่ นนั้

ลักษณะการแต่งหน้าขาวจัดคล้ายกับหน้ากากนี้

ทม่ี า: มนตรี วัดละเอยี ด ปรากฏในการละครยุคโบราณทั่วโลก ท้ังในซีกโลก

ตะวันตกตงั้ แตส่ มยั อยี ปิ ต์ กรีก โรมัน ยโุ รปโบราณ และในชกี โลกตะวนั ออก เชน่ อนิ เดีย จนี ญป่ี ุ่น

และไทย เหตุผลหลักของการแตง่ หน้าเช่นนเ้ี น่ืองจากต้องการให้ใบหน้านกั แสดงปรากฎเดน่ ชดั ต่อ

สายตาของผู้ชมและเพ่ือสื่อสารบุคลิกลักษณะของตัวละครในบทละครสมัยนั้นซึ่งส่วนใหญ่เปน็ กวี

นิพนธ์เก่ียวกับวีรบุรุษ ท่ีมักไม่ใช่สามัญชนแต่เป็นเทพเจ้าหรือชนชั้นสูงซึ่งนิยมกันว่ามีผิวขาวกว่า

สามญั ชนท่ัวไป นอกจากนยี้ ังมเี หตุผลในเร่ืองการแข่งกับชุดแต่งกายของตัวละครซึ่งวิจิตรอลังการ

แข่งกบั เทคนิคการใช้หนา้ กากในการแสดงซึ่งสื่อสารบุคลกิ ตัวละครได้ชัดเจนกว่า และแขง่ กบั ความ

มืดเพราะในสมัยโบราณเทคนิคการสองสว่างหลักมาจากการใช้เทียนหรือตะเกียงให้แสงแก่การ

แสดง ยังไม่มีไฟฟ้าและระบบแสงสว่างสมัยใหม่ใช้ การแต่งใบหน้าสีขาวจะทาให้มองเห็นใบหน้า

นักแสดงได้ชัดเจน ลอยเด่นออกมาจากความมืดได้มากกว่าสาหรับการละครไทย สันนิษฐานว่า

ได้รับอิทธิพลการแต่งใบหน้าสีขาวเหมือนตุ๊กตา มาจากการแสดงงิ้วและหุ่น ซึ่งเป็นมหรสพท่ีนิยม

แพร่หลายมาตั้งแตส่ มัยอยุธยา

เทคนิคในสมัยก่อน

จากการวเิ คราะห์จดหมายเหตุหรอื ตานานสมยั อยุธยาจนถงึ รชั กาลที่ ๖ และหลักฐานรปู
ถ่ายละครในสมยั รัชกาลที่ ๔ -๖ สันนิษฐานวา่ มกี รรมวธิ ีการแต่งหนา้ ขาวเชน่ นี้ใด้ ๔ ประการ คือ

๑.ใชว้ ิธีการแตง่ หน้าแบบงิว้ จนี โบราณ คอื ใช้แป้งฝนุ่ จีนผสมน้าผดั หนา้ เพราะสังเกตเห็น

รปู ถ่ายใบหนา้ นกั แสดงท่ีแสดงจรงิ กลางแจง้ บางภาพมีคราบดา่ ง เน่ืองเพราะวิทยาการชนิดนน้ั เป็น
สตู รน้าจึงไม่ทนน้า เม่อื นกั แสดงแสดงไปและมเี หงอ่ื ไหล แปง้ ที่ผดั หนาจะลอกออกเหน็ เปน็ คราบ
ดา่ งได้ชัดเจน

๒.การแตง่ หนา้ แบบง้วิ จีนโบราณ แตอ่ าจจะผลิตแป้งขึน้ ใช้เอง ตามท่ี มงเซเญอร์ ปาล
เลกัวซส์ ังฆยายกคณะมชิ ซังโรมันคาทอลิกประจาประเทศสยามในสมัยรชั กาลที่ ๔ ไดร้ ะบุไวใ้ น
บันทึก

”เล่าเรอื่ งแห่งสยาม”วา่ “ทกุ แหง่ ท่ีขา้ พเจ้าสง่ ใหด้ ลงไปในดินลกึ ประมาณสัก ๓ เมตร จะพบชนั้ ดิน
สดี าๆหนาราว ๑ ปเิ อดม์ ีผลึกใสของไลมซ์ ัลเฟทอยู่เป็นอันมาก คนไทยเกบ็ เอาผลึกชนดิ นไ้ี ปสะตุได้
แป้งชนิดหน่งึ ซึ่งละเอยี ดและขาวมาก ซึงนักแสดงละครชายและหญิงใช้ผัดแขนและหน้า" สว่ น
"ซาด" ทใี่ ห้สีแดงในการแตง่ หน้าทาปากนั้นพบว่าเป็นสินคา้ นาเข้าจากจนี

๓.ใช้วิธีการแต่งหน้าแบบคาบูกิและเกอิชา ในหลายรูปภาพใบหน้านกั แสดงไม่มรี อยลอก
ดา่ งถ้าไมใ่ ช้การจัดทาถา่ ยรูปซึ่งนกั แสดงไม่ร้อนจึงไม่มีรอยลอกด่างบนใบหน้า ก็อาจจะใชแ้ ป้งครมี
สูตรนา้ สาหรบั การแสดงคาบูกิของญ่ีปุ่น(Oghiro) ทาทบั บนรองพ้ืนนา้ มันญป่ี ุ่น(Abura) ก็เปน็ ไปได้
เพราะไทยมกี ารค้ากับญปี่ นุ่ มานานตัง้ แต่สมัยอยธุ ยาและเมอื งตานี

๔.ใช้วิธีการแต่งหนา้ ดว้ ยแป้งฝุน่ (จนี หรอื ไทย)ผสมกบั นามนั มะพร้าว ดงั อธิบายไวใ้ นหนังสอื

The Country and People of Siam (ค.ศ.๑๙๒๓ ตรงกับสมัยรัชกาลท่ี ๖) โดย Karl Dohring
ว่ า make-up they use white color powder which has been mixed with fine coconut
oil anry tightly to the skin.Taking off the make-up takes a disproportionately long

"สาหรบั การแต่งหน้า เขาใชแ้ ปง้ ฝุ่นสีขาวซ่งึ นาไปผสมกับนา้ มนั มะพรา้ วอยา่ งดี ทาใหเ้ กาะติด

แนน่ กับผวิ การลา้ งเครื่องแต่งหน้าออกจึงใชเ้ วลายาวนานมาก"

ช่วงระยะเวลาของยุคนี้ยาวนานครอบคลุม ๔ ศตวรรษ ตั้งแต่ศตวรรษท่ี ๑๖-๑๙ หรือ
ประมาณ ๔๐๐ ปี ดังน้ันจึงอาจจะมีการใช้กรรมวิธีการแต่งหน้าได้หลากหลายมากกว่าน้ีหรือใช้
สลบั กลบั ไปมา หรอื ผสมขา้ มวิธกี นั แต่กระนัน้ กอ็ ย่ภู ายใต้คตนิ ยิ มเดยี วกันคือ ใหใ้ บหนา้ ขาวเหมือน
ตุ๊กตาหรือหน้าหุ่นบางท่ีมีหลักฐานว่ามีการเขียนคิ้วแต่ไม่อาจระบุวิธีการได้ สันนิษฐานว่าอาจ
เร่ิมต้นด้วยการใช้เขม่า หรือถ่านจากเน้ือมะพร้าวเผา หรือหมึกจีน หรือทาด้วยสีผงดาของง้ิวจีนท่ี
เรยี กว่า "โอวอิง" โดยผสมนา้ มันลงไปเล็กน้อยเวลาใช้ สว่ นสปี ากแดงใช้ชาดจีนหรือไมก่ ็ไม่ทาสีปาก
เลย

เทคนิคในสมัยปัจจุบนั
ลบค้ิวด้วยสีผ้ึง(Wax)สาหรับปดี ค้ิว ลงรองพ้ืนครีมสีขาวทาให้ทัว่ ใบหน้าและลาคอ เกลี่ยให้
เรียบเนียนจากนั้นตบนวลด้วยแป้งฝุ่นขาวจนได้ใบหน้าขาวเนียนเป็นหน้ากากลอยออกมาอย่าง
ชัดเจนแล้วแก้ไขรูปหน้าด้วยแป้งเค้กสีน้าตาลอ่อนมาก เกล่ียบางๆ ที่สองข้างจมูก และสองข้าง
แก้มเขียนค้ิวโค้งสีดา เขียนหางตาด้วยสีดา (เส้นสีดาทุกเส้นลงด้วยอายไลเนอร์สีแดงก่อน แล้วลง
ทบั ดว้ ยอายไลนเ์ นอร์สีดา เกล่ียใหเ้ หลอ่ื มชอ้ นกนั ให้สแี ดงเปน็ เงาของเส้นสดี า สปี ากแดง ทาเป็นสี
เข้มจากด้านในแล้วเกลย่ี ใหร้ ะเรื่อ จนถงึ ขอบริมฝีปาก สี ใช้สขี าว สีดา สีแดงเป็น สีหลัก

ยุคท่ี ๒ หน้าขาวผอ่ ง

ระยะเวลาช่วงรชั กาลที่ ๒ ถึงรชั กาลที่ ๗
(ปลายศตวรรษท่ี ๑๙ - ตน้ ศตวรรษท่ี ๒๐)
ลักษณะที่เหน็

ใบหน้ายังขาวอยู่ แตล่ ดความขาว
ลักษณะหนา้ กากลง มีความเปลีย่ นแปลง
เร่ืองคิ้วและสแี ก้ม คอื เรมิ่ เขยี นคิ้วโค้ง มี
หัวคิ้วเลก็ กลางคิ้วหนา หางคว้ิ เรียวลง

ทมี่ า: มนตรี วดั ละเอียด

แล้วตวัดหางขึ้น สว่ นสแี ก้มแดงระเรอื่ นิยมเขียนขอบตาเปน็ แนวตรง สีปากแดงเข้มด้านใน

ทาไมจึงแต่งเช่นน้ัน

การแต่งหน้าขาวและการระบายสีหน้าน้ัน เป็นแบบแผนการแสดงของศิลปะการละคร
ช้ันสูงในเอเชียท่ียังคงสืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน เช่น ง้ิวในจีน คาบกิในญี่ปุ่น และในอินเดีย
หากแต่โขนของไทยไมไ่ ดร้ ับรูปแบบเช่นนี้สบื ตอ่ มาเปน็ มาตรฐานการแต่งหน้าของตน อันท่ีจริงแล้ว
โขนเกอื บไม่ไดส้ นใจการแต่งหน้าตัวละครที่เปิดหน้าเลยด้วยซ้า โดยเฉพาะเม่ือเกิดการควบรวมขน
บโขนและขนบละครราเข้าด้วยกันในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๕ ด้วยแล้ว ดูเหมือนโขนจะ
สนใจแต่เฉพาะขนบของหัวโขนและการแสดงโขนของตน ส่วนเรื่องรูปแบบของการแต่งหน้า กลับ
ปลอ่ ยให้เป็นไปตามกระแสการแต่งหน้าละครราคอื สุดแตค่ วามนิยมของครใู นแต่ละยุคแต่ละสมัยที่
กาหนดกันข้ึนมา หรือขึ้นกับคติความงามตามสมัยนิยม ณ ห้วงเวลานั้นสภาพสังคมโดยรวมของ
"ไทยสมัยใหม่" ใน ช่วงรัชกาลท่ี ๕ ถึงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นยุคแห่งการประสมประสานศิลปะไทย
ประเพณีเข้ากับความรู้และความเจริญก้าวหน้าท่ีเห็นแบบอย่างมาจากโลกตะวันตก อัน
เนื่องมาจากการเข้าถึงความรู้และวัสดุอุปกรณ์ใหม่ๆของศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ ที่เจ้านายซึ่ง
กลับมาจากการไปศกึ ษายงั ต่างประเทศได้นามาเผยแพร่ หรือมุมมองใหมๆ่ จากการท่พี ระบรมวงศา
นุวงศ์, ข้าราชการ และเอกชนไทย ได้ไปเปดิ หูเปดิ ตาจากการเข้าร่วมจดั แสดงสนิ ค้าและศิลปะไทย
ในงานมหกรรมการแสดงสินค้าที่มีชื่อเสียงและมีความสาคัญระดับโลกหลายครั้งอาทิ งาน
Universal Exposition Pars (๑๘๖๗,๑๘๗๘,๑๘๘๙) ๓ คร้ัง, งาน Word Fair ที่สหรัฐอเมรกิ า ๒
ครัง้ โดยครั้งแรก ณ เมอื ง Chicago(๑๘๙๓) และครัง้ ทีส่ อง ณ เมือง St. Louis(๑๙'๐๔) และ งาน
International Exhibition of Industry and Labour ณ เมือง urin อิตาลี (๑๙๑๑) ๑ ครั้ง (๙)
การปะทะสังสรรคท์ างวัฒนธรรมเหลา่ น้ี ทาให้มหาชนในโลกตะวนั ตกได้เรียนรู้ความแปลกแตกต่าง
และท่วงทานองใหม่ของความงามจากโลกตะวันออก ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและการทดลอง
พฒั นาศิลปะและการละคร รวมท้งั มองเหน็ ลทู่ างของการสร้างความมงั่ ค่ังจากการพัฒนาสินค้าที่จะ
ใช้ความรุ่มรวยของทรัพยากรธรรมชาติในโลกตะวันออก เป็นฐานวัตถุดิบสาหรับการผลิตระดับ
อุตสาหกรรม เพื่อการบริโภคและความกินดีอยู่ดีของชาวตะวันตกในขณะท่ีโลกตะวันออกก็เร่ง
ปอ้ งกนั ตนจากลัทธิล่าอาณานิคมของโลกตะวันตกและมุ่งพัฒนา "ความทนั สมยั " ในประเทศโดยรบั
เอาระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นเงื่อนไขสาคัญเพ่ือการพัฒนาประเทศและสังคม ใน
ทุกๆดา้ น

เทคนคิ ในสมยั ก่อน

การเรยี นรู้ข้ามวฒั นธรรมนีเ้ องที่ไดส้ ่งผลให้แนวทางศิลปะในโลกตะวนั ออก เร่มิ ปรับเปล่ียน
ทิศทางใหม่จากความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญกับวิธีการนาเสนอเชิงสัญลักษณ์ พัฒนาสู่การทดลอง
นาเสนอแบบสมชีวิตจริงในแนวทางสจั จนยิ ม(Realism)มากข้ึนศิลปะการแต่งหน้าในสมยั นเ้ี ช่นกัน
เกิดพัฒนาการใหม่ต่างจากท่ีเคยประพฤติปฏิบัติ ซึ่งเป็นผลมาจากความทันสมัยที่สยามเปีดรับ
ความรแู้ ละวัสดุอุปกรณ์จากโลกตะวันตกมากข้ึน และในยุคน้เี องเกิดการสังเคราะห์หลักการสาคัญ
ชองศลิ ปะการแต่งหนา้ ขึ้นเป็นครัง้ แรก ดงั น้ี

๑. ศลิ ปะการแต่งหน้าใช้หลกั ของจิตรกรรม

ศิลปะการแต่งหน้าในสมัยนี้ เร่ิมคานึงถึงการส่ือสารด้วย "ภาพ" แม้จะขนบในการแต่งหน้าอยู่แต่
รู้จักช้า แนวคิดของศิลปะการแกไ้ ขรูปหน้าแบบจิตรกรรมในการแต่งหน้า ซ่ึงริเริ่มขึ้นโดยผู้ที่ถอื ได้
ว่าเป็นเลิศในการแต่งหนา้ ละครในสมยั รัตนโกสินทรฯ์ คือ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา้ นุวัดติ
วงศ์ โดยเหตทุ ีท่ รงเปน็ ช่างเขียน และไมโปรดให้ใส่หัวโขนในการแสดงละครดึกดาบรรพ์ จึงทรงนา
ศลิ ปะการเขยี นหน้าของจิตรกรรมไทยมาแต่งหน้าละคร หนา้ พระ หน้านาง หน้าเงาะ หน้ายักษ์ ดงั
ปรากฎหลักฐานในสาส์นสมเด็จฯลาถึงสมเด็จฯกรมพระยาดารงราชานุภาพ ลงวันท่ี ๒๖ พ.ย.
๒๔๘ เม่อื ทรงเล่าถึงแนวทางการแต่งหน้าทที่ รงเคยทากบั ละครดึกดาบรรพ์ ว่า "...พวกละคอนเขา
แต่งหน้ากันมาก่อนนานแล้ว พวกไม่ใช่ละครเอาอย่างมาแต่งบ้างทีหลัง...คราวน้ีเจ้าพระยาเทเวศ
รเลน่ ละคอนดึกดาบรรพ์ กรมหมืน่ มหศิ รหนุนใหเ้ ขียนแต่งหน้าตัวละครก็ลองดู ด้วยรทู้ างเขยี นหน้า
ในกระดาษอยู่แล้วว่าอย่างไรจะงาม เม่ือมาเขียนแต่งหน้าคนเข้าก็แก้ไขไปหางามสาเร็จสวยๆไป
หมดด้วยกันทงั้ นัน้ จนกรมหม่ืนมหิศรออกปากวา่ ดูตัวละคอนเหมือนเปน็ พ่ีน้องกนั ทั้งโรง ทั้งนั้นก็
เป็นด้วยการแต่งเข้าหาหลักท่ีงามอยา่ งเดียวกนั คุณหญิงนัฏกานุรักษ์คนหน่ึง จะต้องถูกเขม่าป้าย
ขอบตา เพราะว่าตาแกเล็กกว่าคนปกติมากใครก็ไม่ยากเท่าเด็กหญิงจีด นั่นตาแหกไปข้างหนึ่ง
เพราะออกฝีดาษ แล้วจะต้องเป็นตัวสังข์ตกเหวที่สาคัญด้วย เพราะเป็นเด็กกล้า สามารถกระโดด
จากท่ีสูงลงร่างแหได้ ไม่กลวั เลย จะหาตวั แทนไมไ่ ด้ จึงตอ้ งพยายามเขียนแก้ตาแหก ให้เห็นเป็นตา
ดี ก็ได้สาเร็จ" ส่วนหลักคิดในการแก้ไขรูปหน้าของศิลปะการแต่งหน้านั้น ต้องอาศัยการรู้จัก
วิเคราะห์ใบหน้าของแบบ, ประกอบกับความเข้าใจและทักษะทางจิตรกรรมของผู้แต่งเป็นสาคัญ
“ก่อนที่จะแต่งหน้าใครต้องพิจารณาให้เห็นเสียกอ่ นว่า หนา้ ผู้น้นั มอี ะไรเสีย อยูท่ ี่ตรงไหนบา้ ง เมื่อ
เห็นเสียอยู่ตรงไหน ก็เขียนแก้ที่ตรงนั้น เป็นต้นว่าตาเล็ก ไปเสริมสีหม่นเข้าที่ขอบตา จะเห็นตาโต

ขนึ้ หรือถา้ ค้ิวก่งมากไปก็เขียนสีเสรมิ เข้าใตค้ ิ้ว ถ้าค้วิ ชือ่ ไป กเ็ ขยี นสเี ริมข้ึนบนหลงั ค้วิ แมไ่ มร่ ู้ที่ไดท้ ี่
เสีย เขียนไปตามอวัยวะเดิมแล้วจะสวยขน้ึ ไม่ได้เลย" นอกจากนี้ ช่างแต่งหน้าจะต้องรู้เปา้ หมายใช้
สอยของการแต่งหนา้ ครานนั้ ว่าคาดหวังนาไปใช้เช่นไรโดยตอ้ งรจู้ ักเลือกวิธีการแต่งหนท้ ี่หมาะกบั
งานวา่ เปน็ การแตง่ หน้าสาหรบั การแสดงบนเวที หรือเปน็ เร่อื งการเสรมิ ความงามในชีวิตประจาวัน
และสาหรับคนธรรมดานั้น ควร "มีครูหัดให้คนรู้จักงาม" หรือควรรู้จักฝึกหัดแต่งหน้าให้เป็นด้วย
"อีกประการหนึง่ น้นั เปน็ สาคญั ทีส่ ดุ ละครเขาแตง่ หนา้ นัน้ ไดผ้ ลดีทอี ยบู่ นเวที หา่ งคนดูต้งั ส่ีห้าวาขึ้น
ไป ถ้าเขยี นแตม้ โดยอนุโลมไปตามธรมชาติทต่ี รงไหน ก็ไม่มใี ครสามารถท่ีจะเหน็ ได้ คนสามัญไปเอา
อย่างละครมาเขยี นหน้าบ้าง แลว้ กม็ าประเชญิ หนา้ กับเพ่ือนฝูงแขกเหรอื่ อย่หู า่ งกันเพยี งศอกเดียว
จะเขียนจะแต้มเติมเขา้ ไว้ท่ีไหนก็เห็นหมด ไม่ต้องให้ล้างดู ก็เห็นว่าเขียนไว้ท่ีไหนบา้ ง คงสาเร็จผล
อยา่ งเดียวแตว่ ่า เขาเขียนหน้ากัน ถา้ ไม่เขียนกับเขาบา้ งก็เบนิ่ เปน็ การกระทาเพอื่ ให้เป็นคนเทา่ น้ัน
ตามท่ีได้กราบทูลมานี้ คงจะเขา้ พระทยั ได้ว่า ศิลปะแตง่ หนา้ น้นั เปน็ ทางดาเนินของเกล้ากระหม่อม
มาทีเดียว แตเ่ มื่อมาเหน็ ผู้หญงิ เขาแต่งหนา้ กันเข้าก็ใหน้ กึ สังเวช เปน็ ตน้ วา่ ไดส้ ีทส่ี าหรับทาปากมาก็
ทาไปตามปากเดิมของตวั ถา้ คนปากบาง ดมู สี สี นั งดงามขนึ้ ถ้าคนปากหนาแลว้ ดูนา่ เกลียดนา่ กลัว
พิลึก จะกราบทูลให้เช้าพระทัยกค็ ือ คนที่ปากงามอยู่แล้วทาตามปากเดิมได้ ที่ปากไม่งาม ต้องทา
แก้ คอื ทาจาเพาะแต่ที่จะเห็นงามเหลอื กว่านนั้ ไม่ทา ไม่มสี กี ไ็ มค่ อ่ ยเหน็ ทากันไปตามบุญตามกรรม
นั้น จะหางาม หาไดไ้ ม่เลย ตามทมี่ ีครูหดั ใหค้ นรู้จกั งาม ในการแตง่ หน้านั้น เกล้ากระหม่อม โมทนา
ในใจด้วยเปน็ อย่างยง่ิ " (๑๒)

๒. ศลิ ปะการแตง่ หนา้ เรมิ่ คานึงถึงความสมจริง

ในยุคนี้เร่ิมมีการลดความขาวของใบหน้าแบบ "ขาววอก" ลง เพ่ือให้มีสีขาวท่ีใกล้เคียงกับสีผิวคน
เอเชียท่ีออกเหลืองหรือ "ขาวผ่อง" โดยสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงริเร่ิม
สร้างสรรค์ด้วยการเติม "ขมิ้น" ลงในแป้งผัดหน้า ดังท่ี หม่อมเจ้าหญิง กรณิกาจิตรพงศ์ (ปัจจุบัน
ทรงมพี ระชันษาปี ประสตู เิ มือ่ พ.ศ.๒๔๕๖ ) พระธดิ าองค์เลก็ ในสมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรา
นุวัดติวงศ์ได้ประทานคาอธิบายเป็นการภายในแก่ รองศาสตราจารย์ ดร. กรรณิการ์ สัจกุล
เกยี่ วกับวธิ กี ารแตง่ หน้าละครไทย ในแนวทางของ สมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์ ไว้
ว่า “สมัยนั้นไม่มีเครื่องสาอางค์สมัยใหม่ใช้ หยิบฉวยของท่ีมีอยู่มาแต่ง คือ ใช้เขม่ากันหม้อ ถ่าน
ฝนกับฝาละมี(ฝ่าหม้อดิน) ละลายน้าทาสีดาเขียนคิ้ว ใบหน้าใช้แป้งฝุ่นจีนผสมกับชม้ินฝน.น้ามัน
มะพร้าวและปูนแดงทาหน้าเพ่ือให้หน้าขาวแต่ไม่วอก และจึงใช้ชาดจีนมาฝนทาสีปาก" การเติม

ขม้ินลงไปน้ีสันนิษฐานว่า คงฝนขมิ้นสดลงเติมในแป้งฝุ่นจีนที่ผสมน้าจนชัน พร้อมเจือน้ามัน
มะพร้าวและปูนแดงเล็กน้อย เพื่อใช้ลงเป็นรองพ้ืนก่อนชับนวลด้วยฝุ่นจีนอีกที หรืออาจจะใช้ผง
ขม้ินผสมกับแป้งฝุ่นจีนแต่ท่ีแรกในสาส์นสมเด็จฯลายพระหัตถ์ ฉบับข้างตัน สมเด็จฯเจ้าฟ้า กรม
พระยานริศรานวุ ดั ติวงศ์ยงั ทรงูช้ใี หเ้ ห็นเพิ่มเตมิ ว่าศิลปะการแต่งหน้าของไทยนั้นมมี านานแลว้ และ
คงแพร่จากละครมาสู่ชนชั้นสูงและสามัญชนโดยลาดับ ท้ังพระองค์มิได้ทรงเห็นว่าศิลปะการ
แต่งหน้านี้เป็นของใหม่ และทรงแนะให้ช้างแต่งหน้ารู้จักแต่งให้สมจริงแบบ "ไทย" ด้วยการปรับ
ประยุกต์ความรู้ที่กลมกลืนเข้าด้วยกันท้ังทางไทยและทางฝรั่งการแต่งหน้านั้น มีมานมนานแล้ว
พวกเล่นละครคงจะทามาก่อนเปน็ เอก แต่งหน้ามากใดๆหมด ละครไทยก็ผัดหน้าเขียนค้ิว ปากไม่
ใด้ทา แต่ลางคนก็ใช้คาบซองธูปซ่ึงย้อมสีแดง ให้น้าลายละลายสีท่ีย้อมซองธูป อาบออกย้อมริม
ฝปี าก ก็เหมือนกบั ปากนนั่ เอง แตจ่ ัดวา่ ฉลาดมาก ที่สแี ดงอนั ปรากฏที่ปากนั้น ประสานกันเปน็ ใน
แก่ นอกอ่อน ดูงามพอใช้ ท่ที าไมเ่ ปน็ นนั้ เปรอะปรงึ ดูไมใ่ ด้ ไมท่ าเสียดีกวา่ ถัดมาจากพวกละคร ก็มี
คนสามัญเอาอยา่ งมาทาบ้าง เชน่ เดก็ โกนจุกของเรานน้ั เป็นครง่ึ ละคอน เจ้าแขกในเมืองชวาก็เขียน
หน้าจนเราเห็นข้น หญิงชาววังของเราแต่ก่อนก็กันหน้ากันคิ้วจับเขม่า นั่นอะไรแต่งหน้าใช่ไหม
หลายอยา่ งขนึ้ น้ัน กด็ ้วยความเจรญิ แห่งความคดิ เพอื่ ยกั ย้ายให้ต้องตามผิวของคน จดั ว่าดขี ึ้นมาก
แต่ท่ีฝรั่งเขายักย้ายทา เขาก็คิดทาสาหรับพวกฝร่ังซ่ึงมีผิวขาว เราเอาของฝร่ังมาใช้และมาทาตาม
เขา เห็นไม่ไหว ฝรั่งเขาทาแก้มแดงๆเราก็ทาบ้าง แก้มไทยมันแดงเหมือนฝรั่งเม่ือไร อย่างคนที่
กระชุ่มกระชวย บรบิ รู ณด์ ว้ ยเลือดฝาดสีแก้มก็เป็นสีลกู มะปราง จงึ ได้เรยี กแก้มวา่ ปราง ไมใ่ ช่เป็นสี
กุหลาบ ที่แท้ศิลปะแต่งหน้า เป็นวิธีที่มีมาแต่ดึกดาบรรพแล้ว หากเราคิดกันไปไม่ถึง จึงสาคัญว่า
เป็นของใหม"่ ในเร่ืองความสมจริงของการแต่งหน้านีน้ อกจากจะเป็นข้อเสนอแนะที่มาจากเจ้านาย
ทท่ี รงเปน็ "ศิลปนิ กา้ วหนา้ " รุ่นใหญ่ อาทิ สมเด็จฯเจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ แลว้ "ศลิ ปีน
ก้าวหน้า"รุ่นหนุ่ม เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระราชวิจารณ์และ
ปฏิบัติการทดลองส่วนพระองค์ ในเร่ืองการแต่งหน้าให้สมจริงน้ีด้วยเช่นกัน ดังพระราชหัตถเลขา
พระราชทานมายัง พระยาวิสุทธ์ิสุริยศักด์ิ ที่กาลังน่ังชมการแสดงดึกดาบรรพ์ ชุดนางลอย (พ.ศ.
๒๔๕๑) อยู่ ความว่าขอให้ดูหน้า "นางตรีชดา" สักหน่อยเพราะฉันได้เป็นผู้ผัดเอง ใช้สีสาหรับ
แต่งหน้าอย่างฝร่ังความประสงค์ของฉันอยากให้หน้าใกล้คนสักหน่อย ผัดฝุ่นอย่างละครไทยหน้า
มันไม่เป็นคน เหมือนไม่ใช่เน้ือใช่หนัง ทาเอาเหมือนฉาบปูนกาแพง มันจะเป็นเรอ่ื งอะไร การท่ีฉัน
แตง่ หน้าตรีชดาอย่างน้ี ทา่ นพวกโพรเฟสเซอร์ ๒ คน ออกกรว้ิ ๆกันอย่คู า่ ท่เี ป็น innovation ก็ตอ้ ง

ไม่ชอบเท่านั้นเอง"คาถามหนึ่งท่ีอาจผุดข้ึนในใจคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
ได้เครื่องสาอางสมยั ใหม่ ดังทีว่ า่ ทรง "ใชส้ ีสาหรบั แตง่ หนา้ อย่างฝรั่ง" นนั้ มาจากทีใ่ ด จากการศกึ ษา
จดหมายเหตุต่างๆสันนิษฐานว่า เม่ือครั้งดารงตาแหน่งพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิ
ราช สยามมงกุฎราชกมุ ารและในระหว่างท่ีพระองคเ์ สด็จร่วม งาน Word Fair ที่สหรฐั อมรกิ า ครั้ง
ที่สอง ณ เมือง S. Louis (๑๙๐๔)ซ่ึงทรงเป็นองค์ประธานอานวยการเข้าร่วมงานน้ีของฝ่ายสยาม
น้ัน(๑๖)อาจเป็นโอกาสหนึ่งที่พระองค์จะทรงได้เคร่ืองสาอางมา เนื่องเพราะในงานนี้ นายแม๊กซ์
แฟคเตอร์(Max Factor) ผู้เป็นช่างแต่งหน้าบัลเล่ต์ชาวรัสเซียของคณะ The Royal Ballet in
Czarist Russia ซ่ึงได้อพยพจากรัสเชียมาอยู่ท่ีสหรัฐอเมริกาเป็นปีแรก ได้มาเปิดร้านขาย
เคร่ืองสาอางเล็กๆของตนข้ึนในงานนี้เช่นกันและต่อมา นายแม๊กซ์ แฟคเตอร์ ได้เป็นผู้ผลิต
เครอ่ื งสาอางสาหรับภาพยนตร์ ละครเวที และสาหรับ

ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ทีม่ ีช่อื เสยี งโด่งดังไปทวั่ โลก

๓. วทิ ยาการการแตง่ หนา้ ๔ ประเภท

ภาพรวมการแต่งหน้ายุคน้ีในระหว่าง ช่วงรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลท่ี ๖ (๕๗ ปี) เป็นเสมือน
รอยต่อที่รวมการแต่งหน้าทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ลักษณะการแต่งหน้าขาวเหมือนตุ๊กตายังคงมอี ยู่
ตลอดยุคน้แี ละนอ้ ยลงในปลายยุค โดยพบการแต่งหนา้ ท่ี "ขาววอก" นอ้ ยลงและมีความสมจริงตาม
ธรรมชาติถ่ีมากข้ึนในคณะละครประเภท"ก้าวหน้า" ประยุกต์ไทยปนฝร่ัง และที่สามารถ "เข้าถึง"
เครื่องสาอางจากตะวนั ตกที่หายากและมีราคาแพงเหล่านนั้ ได้สาหรบั วทิ ยาการการแต่งหน้าท่ีพบมี
อยู่ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่

๑.แปง้ ฝุ่นจีนผสมขมิ้น

ได้แก้วิธีการ แต่งหน้าละครไทย ในแนวทางของ สมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติ
วงศ์

"สมัยนั้นไม่มีเครอ่ื งสาอางสมัยใหม่ใช้ หยิบฉวยของท่ีมอี ยู่มาแต่ง คือ ใช้เขม่าก้นหม้อ ถ่าน ฝนกับ
ฝาละม(ี ฝาหมอ้ ดิน) ละลายนา้ ทาสีดาเขียนคิ้ว ใบหน้าใช้แป้งฝุ่นจีนผสมกับขมิน้ ฝน,น้ามันมะพร้าว
และปนู แดงทาหนา้ เพ่ือให้หน้าขาวแต่ไม่วอก และจงึ ใชช้ าดจีนมาฝนทาสีปาก" การเติมขมน้ิ ลงไปน้ี
สันนิษฐานว่า คงฝนขมิ้นสดลงเติมในแป้งฝุ่นจีนที่ผสมน้าจนข้น พร้อมเจือน้ามันมะพร้าวและปูน
แดงเล็กน้อย เพื่อใช้ลงเป็นรองพื้นก่อนซับนวลด้วยฝุ่นจีนอีกที หรืออาจจะใช้ผงขม้ินผสมกับแป้ง
ฝุ่นจนี แต่ทแ่ี รก

๒.น้ามนั ตานี แปง้ ฝุ่นจีน ลนิ้ จี่

ครูเฉลย ศุขะวณชิ (พ.ศ.๒๔๔๗-๒๕๔< สิริอายุ ๙๗ ป)ี ละครตัวเอกของวงั สวนกุหลาบใน

สมเด็จฯเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (พ.ศ.๒๔๓๒-๒๔๖๓) ได้เล่าไว้ว่าใน
สมัยก่อนที่จะย้ายคณะละครสวนกุหลาบ(พ. ศ.๒๔๕๔-๒๔๖๑)มาอยู่ท่ีวังเพ็ชรบูรณ์น้ันการ
แต่งหน้าใช้วิธีเดมิ คือ เร่ิมต้นด้วยกนั หน้าขจัดขนอ่อนออกให้หมด เก็บไรผม และกันค้ิว แล้วจึงลง
นา้ มนั ตานรี องพ้นื บนใบหน้าผสมกับขมน้ิ ลงให้หนา้ เนยี น แล้วจึงลงฝุน่ จีน ฝุ่นจีนจะห่อกระดาษเป็น
ผงๆ นามาละลายน้าทา การทาแก้มใช้ลิ้นจี่หรือซาด มีลักษณะเป็นกระดาษพับไปพับมเหมือน
หนังสือสวดมนต์ เมื่อคส่ีกระดาษออกมาจะเป็นแผ่นสีแดงเข้มคล้ายลูกลิ้นจี่ ใช้ไม้พันสาชุบน้ามา
คลึงๆติดสาลีแล้วจึงทาท่ีแก้มและปาก การเขียนคิ้วและตาใช้ฝาละมี คือฝาหม้อดินท่ีเป็นหม้อข้าว
หม้อแกง โดยจุดเทียน นาฝาละมีมาลนควันเทียน ก็จะมีเขม่าสีดาติดอยู่ท่ีฝาละมีใช้ไม้พันสาลีซุบ
เขียนคิ้วและตา ต.น้ามนั มะพรา้ ว แป้งฝนุ่ ใชว้ ธิ ีการแต่งหน้าดว้ ยแป้งฝุน่ (จีนหรอื ไทย)ผสมกบั น้ามัน
มะพร้าว ดังอธิบายไว้ในหนังสือ TheCountry and People of Siam (ค.ศ. ๑๙๒๓ ตรงกับสมัย
รัชกาลที่ ๖) โดย Karl Dohring ว่าke-up they use white color powder which has been
mixed with fre coconut o ry tightly to the skin. Taking off the make-up takes a
disproportionately long time

"สาหรับการแต่งหน้า เขาใชแ้ ปง้ ฝุ่นสีขาวซึง่ นาไปผสมกับน้ามนั มะพร้าวอย่างดี ทาใหเ้ กาะติดแน่น
กบั ผิว การล้างเคร่ืองแต่งหน้าออกจึงใช้เวลายาวนานมาก" กรรมวิธีนด้ี ท้ ดลองทาเลียนแบบขึ้นโดย
ใช้น้ามันมะพร้าวผสมกับแป้งฝุ่นจีนท่ีมีหลงเหลือขาบ้างในยุคปัจจุบัน พบว่าได้ผลติดแน่นดีและ
ออกเป็นหน้าขาวเหมือนตุ๊กตา ความเรียบเนียนข้ึนอยู่การผสมท่ีเข้ากันดีและทักษะ ของช่าง
แตง่ หนา้ การล้างออกในสมัยกอ่ นคงค่อนข้างยากสมัยปัจจบุ นั ด้วยกระดาษเชด็ หน้าแบบเปียกและ
นา้ มันลา้ งสมัยใหม่ ทาใหล้ า้ งออกไมย่ ากนัก

การแต่งหนา้ ด้วยเคร่ืองสาอางจากโลกตะวันตก

เครอ่ื งสาอางค์ท่มี าจากนอกประเทศนั้นไม่ใชข่ องแปลกและคงมเี ข้ามานมนาน ไมว่ ่าจะเป็นของ จนี
ญี่ปุ่น พม่า แขก หรือพวกฝรั่งตะวันตก เพราะสยามมีชุมชนนานาชาติต้ังรกรากอยู่มากมาย
หลากหลายเผ่าพันธ์ุและสยามก็เป็นเมืองที่การค้าขายระหว่างประเทศที่สาคัญของภูมิภาคน้ีมา
ตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วหากไม่นบั พวกเครื่องประทินผิวและน้ามันหอมต่างๆ ที่แลกเปลี่ยนกนั มาแต่
สมัยเก่ากาล เคร่อื งผดั หน้า หรอื เครอื่ งแต่งหน้าทผ่ี ลิตเป็นอุตสาหกรรมจากตะวนั ตกเพ่ิงจะปรากฎ

อย่างมีนัยสาคัญโดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับการนามาใช้แต่งโขนละครก็ในยุคน้ี และในสมัยรัชกาล
ท่ี- น้ีเอง ท่ีเหล่าเจ้านายนักเรียนนอกซ่ึงโปรดโขนละคร ต่างทรงนาเคร่ืองแต่งหน้าอย่างตะวันตก
เข้ามาใช้ในคณะละครของตน ครูเฉลย ศุขะวณิช ได้เล่าเพิ่มติมว่า เม่ือคณะละครสวนกุหลาบยา้ ย
มาอย่ทู ่ีวงั เพ็ชรบรู ณ์ (n.ศ.๒๔๖๒-๒๔๖๖) ในพระอปุ ถมั ภ์ของสมเด็จพระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑา
ธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบรู ณ์อินทราชัยการแตง่ หน้าได้มีวิวัฒนาการแตกตา่ งออกไปจากเดิม โดย
สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้าจุฑาธุชธราดลิ ก โปรดใหใ้ ช้เทคนิคการแต่งหนา้ สมัยใหม่ เช่น รองพน้ื แบบสมัยใหม่
ท่ีเปน็ แทง่ (เรยี กวา่ แพนสตกิ ) รจู ทาแก้มมดี ินสอเขยี นค้ิว เขยี นตา และอายแซโดวส์ าหรับทาตามีสี
ต่างๆ นอกจากน้ยี งั ประทานสอนวธิ กี ารแต่งหน้าให้กับตัวละคร โดยทรงแต่งหน้าประทานให้กับตัว
แสดงท่ีเป็นตัวดี ตัวเอกของเรื่องเมื่อแต่งหน้าเสร็จก็จะให้นั่งบนโต๊ะ ผัดตัว ผัดแขนขาและฝ่าเท้า
ครูเฉลยเล่าวา่ "แม่เล่นเปน็ ยายเฒา่ ทัศประสาท พระองคท์ ่านทรงกรุณาแต่งหนา้ ให้แม่ แตง่ ให้ดแู ล้ว
แก่จริงๆเลย" เทคนิคในสมัยปัจจุบนั ลบคิ้วด้วยสีผึ้ง(พลx)สาหรบั ปดิ ค้ิว หน้าลดความขาวลงแต่ยงั
ขาวอยู่ โดยใชร้ องพ้นื ครมี สีเนอื้ ทอี่ ่อนที่สุด ทาใหท้ ั่วใบหนา้ และลาคอ แกไ้ ขรูปหนา้ ด้วยครีมสีอ่อน
และสีเข้ม เกลี่ยให้เรียบเนียน จากน้ันตบนวลด้วยแป้งฝุ่นโปร่งใส แล้วใช้แป้งแพนเค้กสีขาวไส้ท่ัว
ท้ังใบหน้า เขียนค้ิวโค้งสีดา กลางคิ้วหนา หางคิ้วเรียวลง หรือตวัดหางข้ึน (เส้นสีดาทุกเส้นลงด้วย
เค้กไลน์เนอร์สีแดงก่อน แล้วลงทับด้วยเค้กไลน์เนอร์สีดา เกล่ียให้เหล่ือมซ้อนกัน ให้สีแดงเป็นเงา
ของเส้นสดี า) ปดั แก้มสีแดงระเร่อื ใช้อายไลนเ์ นอร์สีดาเขียนรอบดวงตาให้เปน็ เส้นตรง ทาปากเปน็
รปู กระจับให้มีสแี ดงเขม้ อยดู่ า้ นในสี ใชส้ ขี าว สีดา สแี ดงเปน็ สีหลกั

ยคุ ที่ ๓ หน้าขาวนวล

ระยะเวลา ชว่ งรัชกาลท่ี ๗ (ตน้ ศตวรรษ

ท่ี ๒๐)

ลกั ษณะท่เี หน็

สีหนา้ ขาวนวลเรยี บ สแี กม้ แดง

ระเรือ่ คิ้วโคง้ และหนา หัวค้ิวเลก็ เสน้ คิว้

ใหญ่ เขยี นเส้นตาตรงรอบตา ทาปากสี

ทีม่ า: มนตรี วัดละเอยี ด แดง วาดตามรปู ปากใหด้ ปู ากอิ่ม เขียน

มุมปากใหย้ กข้ึน

ทาไมจึงแต่งเช่นนั้น

ปลายรชั กาลท่ี ๖ ถงึ ตน้ รัชกาลที่ ๗ เร่ิมมเี ครอื่ งแต่งหนา้ แบบฝรั่งเขา้ มาขาย แต่เปน็ ของหา

ยากและราคาแพง ราคา "สที าปาก"แห่งหน่ึงมรี าคาเท่ากบั ข้าวสารห้าถัง ของพวกนีจ้ งึ เป็นของฝาก

มีคา่ ทคี่ นไทยท่ไี ปต่างประเทศมักซอ้ื กลับมาฝากเพอ่ื นพ้องในสยาม เชน่ คราวท่เี จา้ พระยารามราฆพ

ซงึ่ ได้ไปศึกษาต่อท่ีประเทศอังกฤษในตอนต้นรัชกาลท่ี ๗ (๒๔๖๘-๒๔๗๗) ไดฝ้ ากเครอ่ื งผัดหน้า ๓

อันมาถวายแกพ่ ระนางลักษมีลาวัณ ๑ อัน ถวายพระนางสุวัทนา ๑ อันและให้คุณหญิงอนริ ุธเทวา

๑ อันเจ้าพระยารามราฆพได้เขียนเล่ามาในจดหมายด้วยว่า "ใช้ได้ทั้งผัดหน้าทาปาก ผู้หญิงฝร่ัง

นิยมใช้กันมากเวลาไปดูละคร จึงซ้ือส่งมาให้ใช้กันทางเมืองไทยบ้าง" หลังจากสิ้นแผ่นดินรัชกาลท่ี

๖ กรมมหรสพถูกยุบ(พ.ศ.๒๔๖๘) เนื่องเพราะเศรษฐกิจตกต่าในช่วงแผ่นดินรัชกาลท่ี๗ ซ่ึงส่งผล

กระทบต่อกรมโขนหลวงโดยตรง แตก่ ระนนั้ กเ็ กดิ ความระสา่ ระสายในหมูศ่ ลิ ปินโขนอยู่สกั ประมาณ

๕ เดือน ด้วยหลังจากน้ัน(พ.ศ.๒๔๖๙) รัชกาลท่ี๗ ทรงโปรดเกล้าฯให้ต้ังกรมมหรสพขึ้นใหม่และ

รวมครูละครหลวงกลับเข้ามา และใน พ.ศ.๒๔๗l๒ มกี ารเปดิ รบั นักเรียนชายหญิงมาหดั โขน ละคร

ดนตรีเป็นการเฉพาะ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียง ๒ ปี รัฐบาลได้ตั้ง "โรงเรียนนาฎดุริ

ยางคศาสตร์" ก่อต้ังโดยพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ซ่ึงเปิดการเรียนการสอนคร้ังแรกเมื่อวันท่ี ๑๗

พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๗นบั เปน็ สถาบันการศกึ ษาด้านนาฎศิลปแ์ ห่งแรกท่ใี ห้การศกึ ษาท้ังวชิ าสามัญ

และวชิ าศิลปะ ครูลมลุ ยมะคุปต์ อดตี ขา้ หลวงละครวังสวนกุหลาบ เพ่อื นรกั แตค่ ร้ังสมยั อยู่วังสวน

กุหลาบของ ครูเฉลย ศุขะวุณิช ได้เข้ามาเป็นครูสอนตัวพระ ที่โรงเรียนนาฎดุริยางคศาสตร์แห่งน้ี

(พ.ศ.๒๔๗๗) และต่อมาได้ชักชวน ครูเฉลย ศุขะวณิช ให้มาช่วยสอนในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ในยุคนี้การ

แต่งหน้าโขนละครใช้น้ามันตานีกับแป้งฝุ่นจีนหมึกจีนและกระดาษชาดเป็นวัสดุแต่งหน้าหลัก

เขา้ ใจวา่ เปน็ นวัตกรรมของไทยเอง แม้วา่ วสั ดดุ จู ะมาจากจีนและกระบวนการกรรมวธิ ีการแต่งจะมี

ขั้นตอนต่างๆคล้ายกับวิธีการแต่งหน้าของคาบูกิ เกอิซาและการแต่งหน้างิ้วจีนรุ่นใหม่ก็ตาม แต่
เป้าหมายของการแตง่ น้ันกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คือมีความพยายามแต่งให้ดูสมจรงิ ตาม
ธรรมชาติมากกว่าในยุคก่อนๆ แม้ว่าจะยังคงขาวนวลอยู่ค่อนข้างมาก อันเน่ืองมาจาก
ลักษณะเฉพาะของวัสดุท่ีใช้(แป้งฝุ่นจีน) แต่กระน้ันก็มีความเปล่ียนแปลงในเร่ือง การพยายามลด
ความขาวลงด้วยสีชาด และใช้วิธีซับนวลแป้งให้บางลงแทนการทาทับด้วยแป้งฝุ่นจีนผสมน้า
เช่นเดิม
เทคนคิ ในสมัยกอ่ น

ลูกศิษย์รุ่นแรกของ"โรงเรียนนาฎดุริยางคศาสตร์" เช่น ครูสองชาติ ชื่นศิริ ศิลปินแห่งชาติ
(เกิดเม่ือ พ.ศ.๒๔๖๑ ปัจจุบันอายุ ๙๐ ปี) เล่าถึงเรื่องการแต่งหน้าในสมัยน้ันให้ฟังว่า"กอ่ นอ่นื ลา้ ง
หน้าให้สะอาดด้วยสบู่ แล้วลงพื้นด้วยน้ามันตานี น้ามันตานีนี้เหนียวมากถ้าลงไม่เรียบจะเป็นลูก
คลื่นต้องล้างออกแล้วทาใหม่ และตามด้วยฝุ่นจีนท่ีเป็นห่อๆ แป้งฝุ่นจีนนี่จะมีสองอย่าง คือ อย่าง
หยาบและอย่างลื่น อย่างลื่นน่ีใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่ติด ตัวที่ทาให้ฝุ่นจีนติดคือน้ามันตานี ใช้ผ้าดิบ
พับเป็นสองช้ินประกบกันเทฝุ่นลงมาแตะที่หน้า ผัดหน้าเสร็จใช้กระดาษชาด หรือกระดาษลิ้นจี่
ละลายกับน้าเพ่ือให้ได้สีแดงหน่อยๆเป็นสีชมพูน้อยๆเอามาทาหน้า แล้วเอาผ้าดิบท่ีเย็บติดกันมา
แตะหนา้ อกี ที ครูลมลุ (ครูลมลุ ยมะคุปต์) เปน็ คนแตง่ หนา้ ให้ เขียนค้ิวโดยใช้หมกึ จีน กับกา้ นธปู พนั
สาลี หม่อมครูต่วน(หม่อมศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก)เป็นคนเขียนค้ิวให้ เขียนจากหัวค้ิวไปหางคิ้ว เริ่ม
เล็กๆก่อน ไปหนาตรงกลางและเล็กลงจนถึงหางค้ิว เป็นกนกคันศร พอเขียนคิ้วเสร็จก็เขียนตา
เขียนล่างก่อน แล้วหลับตาเขียนตาบน เสร็จแล้วลืมตา เขียนตวัดที่หางตา แต้มนิดหนึ่งเพื่อให้
ชาเลืองตาสวยๆ ส่วนปากเขียนโดยใช้ก้านธูปพันสาลีชุบนา้ แล้วคลงึ ท่ีแผ่นชาด เขียนขอบปาก ทา
ปากบนก่อนแล้วทาปากล่างตามรูปปาก ทาพอดีๆไม่หนา อ้าปากนิดหน่ึง แล้วทามุมปากเป็นปาก
ย้ิม" ครู สวุ รรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปนิ แหง่ ชาติ (เกดิ เมือ่ พ.ศ.๒๔๖๙ ปจั จุบันอายุ ๘๒ ปี) นักเรยี น
รุ่นตอ่ มาเล่าถึงเรอื่ งการแต่งหน้าในสมัยน้ันว่า"การแต่งหน้ากใ็ ช้ น้ามนั ตานี ฝนุ่ จนี ชาด หมึกเขียน
คิ้ว นะคะ เอาฝุ่นจีนมาละลายน้าแล้วเอาชาดผสมให้เป็น สีชมพู ก่อนอื่นลงน้ามันตานีก่อน
เหนียวๆ เหมอื นน้ามันใส่ผมผูช้ ายสมยั กอ่ น วิธีลงนะคะต้องลงทางเดยี ว จะไปทว่ั ไม่ได้ น้ามนั จะไป
เกาะเป็นคล่ืนๆ จะเกล่ียข้ึนหรือเกล่ียลงต้องไปทางเดียว จนน้ามันตานีแห้ง เอาฝุ่นจีนกับชาดมา
ผสมกัน แล้ววิธีทา(แป้ง)น่ีครูเขาจะดูอยู่เรื่อยตลอดเวลาว่า พอหรือยัง ถ้ามันบางไปก็ให้ไปเติมอยู่
เรอ่ื ย สุดท้าย เขาจะเอาชาดน่ี ผสมกบั น้าแปะท่ีแก้ม พอเสร็จแล้วก็เขยี นค้ิวด้วยหมกึ จีน เอาน้ามา
ผสมใส่ แลว้ กใ็ ช้กา้ นธปู ท่พี ันสาสีใหแ้ นน่ เลย ใชส้ องอนั นะคะ อันแรกนจ้ี ุ่มหมกึ จีน เขยี นค้วิ เขียนตา
ถ้าเป็นละครธรรมดาเขียนค้ิวธรรมดาถ้าเปน็ โขนละครปลายกระดกหางขึ้น ขอบตาล่างกระดกขน้ึ

เพ่ือให้รับกับเคร่ืองละครไทย เพราะเคร่ืองละครไทยน้ันมลี ายกระหนก เพื่อจะให้รับกัน แต่ละคร
หลวงวจิ ิตรไม่มีเคร่อื ง กเ็ ขยี นค้วิ ธรรมดา แลว้ อกี อันหนงึ่ กท็ าปาก (สาธติ )นีเ่ ปน็ ชาดแตะน้าทาปาก
ทาไมถึงใชก้ า้ นธปู ทาไมไมใ่ ช้อย่างอ่ืน ไม้อย่างอ่นื กม็ ีเยอะแยะ ถามครูวา่ ทาไม ครวู า่ เพราะธปู น่ีใช้
บูชา เอากา้ นธูปมาทาเปน็ สิริมงคล อนั นี้ครูหมัน ครูมัลลี คงประภัศร์ เป็นคนเล่าใหฟ้ ัง วา่ ทใี่ ช้ก้าน
ธูปบูชามาทานี่เพ่ือเป็นสิมงคลแก่ลูกศิษย์ แล้วเวลาทาปากครูจะบอก สุวรรณีอมย้ิมแล้วท่านทา
ปาก หน้าออกไปเราจะยมิ้ หนังตานะคะ ถ้าสมยั เกา่ เขาใช้หมึกจนี เขียนป้ืนเลย ตาโตเชยี ว คุณเคย
เห็นง้ิวไหมคะ แต่งอย่างน้ันนั่นละคะแล้วเขาจะเขียนตรงหัวตาลงหน่อย เพ่ือให้มีอานาจ ถ้าเขียน
ตาไม่มีหัวค้ิว ตาไม่มีอานาจแรกๆ ท่ีเล่นเป็นระบาของหลวงวิจิตรฯ อะไรแบบน้ีก็ไม่ได้เติม พอมา
เล่นเป็นพระเอก ครูจะต้องเติม (หมอ่ มครูตว่ นหรอื หมอ่ มศุภลกั ษณ์ ภัทรนาวกิ )เราก็เหน็ ครมู าเติม
ให้เราทกุ ทๆี เราก็ถามว่าเติมทาไม ครูก็บอก "เพื่อให้มีอานาจลูก เพราะตอนนี้ลกู เปน็ พระเอกแล้ว
ตาตอ้ งมอี านาจ" ถา้ เลน่ เป็นตัวเอก ดฉิ ันแต้มของดฉิ นั เอง นี่เป็นเคลด็ ลบั ของเราไมบ่ อกคนอื่นว่านี่
คืออานาจแต่งตัวสมัยหลวงวิจิตรนะคะ นั่งเรียงเป็นแถวเลย คนลงน้ามันตานี ลงน้ามันตานีอย่าง
เดียว คนผัดหน้าคนหน่ึง คนเขียนค้ิวอีกคน คนทาปากอีกคนหนึ่ง ตัวละครออกไปเหมือนกนั หมด
เลย เวลาออกแสดงคนบอก ตาย!ไปเลอื กตวั ละครท่ีไหนมาเหมือนกนั หมด (หัวเราะ) กค็ นแต่งหน้า
พวกเดียวกนั " (๒๘)ปลายสมยั รัชกาลที่ ๖ จนส้ินรชั กาลที่ ๗ เป็นห้วงเวลาท่ไี ด้ยนิ เร่ืองการแต่งหน้า
ด้วยนา้ มนั ตานี โดยใช้กรรมวธิ ีแต่งหน้าทแี่ ตกต่างกัน ๓ ประการคอื

๑. นา้ มันตานี ขมนิ้ แปง้ ฝุน่ จนี ละลายนา้ ทา กระดาษชาด (สตู รครูเฉลย ศขุ ะวณชิ ตวั นาง
ละคร วังสวนกหุ ลาบ เพื่อนรักครูลมุล ยมะคุปต์ ตัวพระ ละครวังสวนกหุ ลาบ)

๒. นา้ มนั ตานี ชาด ซับนวลดว้ ยแปง้ ฝุน่ จนี กระดาษชาด (สูตรครูสอ่ งชาติ ชืน่ ศิริ ศิษย์ครูล
มุล ยมะคุปต์ ละครวังสวนกหุ ลาบ )

๓. น้ามนั ตานี แป้งฝุ่นจนี ผสมชาดละลายน้าทา กระดาษชาด (สตู ร ครูสุวรรณี ชลานุ
เคราะหศ์ ิษย์ครลู มลุ ยมะคุปต์ ละครวงั สวนกหุ ลาบ หม่อมครูต่วน ละครวงั บ้านหม้อ และ ครหู มัน
ละครวงั พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วัชรีวงศ์ )สง่ิ ทีเ่ หมอื นกันคือใช้น้ามนั ตานีลงเปน็ รองพื้นก่อน
และใชก้ ระดาษชาดหรือกระดาษลน้ิ จ่ีเชน่ เดียวกันในทกุ สตู ร สว่ นความแตกตา่ งคือแป้งฝุ่นจนี นั้น
เลกิ ผสมขม้นิ หันมาใช้ผสมชาดแทน สว่ นวธิ ีผัดแป้งมีทง้ั ท่ีผสมน้าคอ่ ยๆทาทบั ทลี ะชนั้ แบบกรรมวิธี
ของคาบูกิ และทซ่ี ับนวลตรงๆลงไปเลย สนั นษิ ฐานว่าสูตรท่แี ตกต่างกันอาจมที ่มี าจากกรรมวธิ ที ่ี
ประสมกันของครูซงึ่ โตมาจากตา่ งวังกนั และคงไดร้ ับอิทธพิ ลข้นั ตอนการลงนา้ มนั รองพ้นื เขา้ มาใหม่
จากท่ใี ดท่หี น่ึง เพราะการลงนา้ มันรองพืน้ ก่อนนัน้ เปน็ วิธีการสาคญั ในการควบคมุ เหงอ่ื ทาให้
เคร่ืองสาอางตดิ ทนนานไม่ลอกดา่ ง

กระดาษชาดหรือกระดาษลิ้นจี่น่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ท่ีเข้ามาจากจีนและซื้อหากันได้ไม่แพงนัก
จึงมีใช้อย่างแพร่หลาย คนจีนเรียกชาดที่อยู่ในกระดาษชนิดน้ีว่า "อินจีอั้ง" ซึ่งได้สีแดงชาดมาจาก
การบดแมลงชนิดหน่ึง ดังคาอธิบายตาราพระโอสถพระนารายณ์ ที่ให้ข้อมูลไว้ว่า"ชาด เป็นของ
อย่างหน่ึงมีสีแดงสด เป็นผงก็มี เป็นก้อนก็มี เช่นชาดก้อน, ชาดหิงคุณหรือชาดหิงคุล, ชาดจอแส.
ขาดผงหรือชาดตีตรา (ซึ่งมีสารเคมีแตกต่างกัน) มีของสีแดงชนิดหน่ึงที่จีนเรยี ก อินจีอัง้ ไทยเรียก
ชาดอนิ จี หรือชาดลิ้นจี่ หรือ สลี ิ้นจ่ี เป็นสแี ดงที่โบราณใช้ทาปาก งิ้วใช้ทาหน้าทาปาก ใชเ้ ขยี นเส้น
ฮ่อท่ีหน้าโขน หน้าหุ่น ฝร่ังเรียกCamine ที่ได้จากแมลงอินจ่ี ที่จีนเรียก กังอินจี่ทั้ง ฝร่ัง
เรียก Cochineal Insects"(๒๙)แต่ทาไมจึงใช้น้ามันตานีกันน้ัน สันนิษฐานว่า เคร่ืองสาอางแบบ
ฝรั่งยังหาได้ยากและแพงอยู่จึงเกิด การประยุกต์ใช้นา้ มันตานซี ่ึงโดยทวั่ ไปใช้เป็นน้ามันใส่ผม หรือ
อาจเปน็ นา้ มนั ตานที ่ีหุงข้ึนมาเปน็ การ เฉพาะสาหรับการแต่งหน้านี้กเ็ ป็นได้ หรอื อาจจะเปน็ น้ามัน
พิเศษอะไรสักอย่างที่เผอิญหนืดจึงเรียก ว่าน้ามันตานีก็เป็นได้ เพราะในทางหนึ่งนั้นคาว่าน้ามัน
ตานไี ดใ้ ชเ้ ปน็ คาสามญั สาหรบั ใช้เรียกสง่ิ ท่ีเหลวหนืด ดว้ ยพบวา่ มกี ารใชเ้ รียกชอ่ื ไข่ยางมะตมู และไส้
น้าตาลหนืดของขนมอาลัว ว่าเหมือนน้ามนั ตานี แม้ในพระราชนิพนธ์ ไกลบ้าน พระราชหัตถเลขา
ฉบับท่ี ๑๐ (แก้ไขเพ่ิมเติม) ในรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงกล่าวถึงน้ามันตานีไว้น้ี...แล้วขอให้ลองนัดน้ามัน
คล้ายนา้ มนั ตานใี นขวดบบี บีบเขา้ ไปในจมกู แลว้ เอามอื ปิดข้างน่าไว้ให้สดู เข้าไปทั้งสองข้าง แรก ๆ
เข้าไปราคาญเต็มมี มันเฟอะฟะอยูใ่ นจมกู สักครู่หน่งึ จึงโล่ง" แสดงว่านา้ มันตานีมีมาแลว้ ตัง้ แต่สมัย
รัชกาลท่ี๕และเหนียวหนืด "เฟอะฟะ"เรื่องน้ามันตานีทาให้การทาหนังสือหน้าโขนนี้อลวน
พอสมควร เพราะเมอ่ื คน้ ต่อไป ก็พบโฆษณาปี พ.ศ.๒๔๖๐ ปลายสมัยรชั กาลที่๖ โฆษณาขายนา้ มัน
ตานีว่า "..ท่านบรรดาศักด์ิสัตรีได้นิยมชอบใช้มาก" แสดงให้ เห็นว่าน้ามันตานียี่ห้อนี้ นิยมใช้
แพร่หลายในหมู่ชนช้ันสูง จึงเชิญชวนให้สามัญชนใช้ตาม และพบชื่อน้ามันตานีในรายการสินค้า
หัตถกรรมพื้นบ้านของเมืองตานีหรือปัตตานีในอดีตท่ีมี ช่ือเสียงโด่งด้ง "...ผ้าจวนตานี ผ้ายกตานี
นา้ มนั ตานี" (๓๒) สว่ นสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ ได้ชแ้ี จงไว้วา่ นา้ มันตานเี ป็นนา้ มนั ใส่ผมที่
ทามาแต่เมอื งปัตตานีและนิยมใช้กันแพร่หลายมากในสมยั ก่อน ปรากฎหลักฐาน ในบทเสภาขนุ ชา้ ง
ขุนแผนตอนหน่ึงว่า...เครื่องนากเคร่อื งทองสองสารบั เรียงลาดบั วางไว้เป็นท่ที ่ี โถขีผ้ ง้ึ แป้งร่า นา้ มนั
ตานี โตะ๊ หวีต้งั เรยี งไว้เคียงกัน...ช่ือของน้ามันบอกชดั แจง้ อย่แู ลว้ ว่า เปน็ ของเกิดขนึ้ ในเมืองตานี จงึ
ได้ใชช้ อื่ ตามนามเมืองน้ัน น้ามนั ตานเี ขา้ มาแพร่หลายในกรงุ ศรีอยธุ ยาได้อยา่ งไร เมอื่ ไร หากจะลอง
สันนิษฐานกันก็น่า จะเข้ามาในราวสมัยแผ่นดินของสมด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเรื่องเล่ากันว่า
พระราชธดิ าของพระองค์ คอื เจา้ ฟ้ากณุ ฑล และเจา้ ฟ้ามงกฎุ ได้สตรีชาวมลายมู าเป็นนางข้าหลวง
เมื่อพิจารณาหัวเมืองประเทศราชในแหลมมลายูท่ีเคยอยู่ในความปกครองของไทย ก็มีเมืองตานี

เมอื งเดียวท่มี ีความสัมพนั ธ์ใกล้ชิดสนิทสนมย่ิงกว่าหัวเมืองอื่น สตรีชาวมลายทู ่ีกล่าวนี้จึงน่าจะเป็น
กุลสตรีจากเมืองตานีย่ิงกว่าสตรีในหัวเมืองอ่ืนใดทั้งส้ิน ที่เหมาะสมกับตาแหน่งนางข้าหลวงของ
พระราชธิดา นางข้าหลวงท่ีมาจากเมืองตานีคงจะได้น้ามันตานีติดตัวเข้ามา ต่อมาคงจะได้
แพร่หลายไปสู่ผู้ใกล้ชิดในราชสานักสมัยนั้น ใช้กันทั่วไปจนแพร่หลายสอบถามคนไทยมุสลิม
ประกอบกับหลักฐานท่ีฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ เขียนไว้ในหนังสือกวี โวหาร-โบราณคดี ได้ความว่า
น้ามันตานีประกอบขึ้นด้วยน้ามันมะพร้าวผสมด้วยปูนขาวและเขม่าไฟ ส่วนท่ีจะปรุงให้มีกลิ่น
อย่างไร นั้นผู้ใช้จะต้องนาน้ามันที่ผสมสาเร็จแล้วมาอบด้วยดอกไม้กลิ่นหอม เช่น ดอกมะลิ ดอก
พิกุล ดอกจาปา ดอกปาหนัน.กก็ จะได้นา้ มันตานีท่ีมกี ลนิ่ หอมตามกล่ินของดอกไมแ้ ตล่ ะชนดิ อน่ึง
ในเสภาขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงน้ามัน ชนิดหนึ่งเรียกว่า "มุหน่าย" ว่า " ควักมุหน่ายขึ้นป่ายปีก
ฉีกผมปกกบาลให้ล้านหาย" และอีกตอนหนึ่งว่า "เอาไม้น้อยสอยเส้นให้รายเรียง เอามุหน่ายป้าย
เคยี งลงเต็มท่"ี มหุ น่ายนกี้ ็คอื น้ามนั ซึ่งนามนั ตานีผสมสีผ้ึง เคยี่ วจนเหนียวหนืด ท้งั นี้เพื่อใหเ้ วลาใช้
ใสผ่ ม นา้ มันจะจับเสน้ ผมให้คงรปู ไดน้ านยง่ิ ขึ้น (อนันด์ วฒั นานกิ ๓)ในท่ีสุดก็ตัดสนิ ใจว่าจะทดลอง
หุงน้ามันตานีขึ้น เพ่ือลองแต่งหน้าเลียนแบบโบราณ มีผู้แนะนาให้ไปท่ีร้านถาวรธนสาร แถวร้าน
เจา้ กรมเปอ๋ แถบวัดตึก ซงึ่ เป็นร้านขายเครือ่ งหอมเก่าแก่ดั้งเดมิ ทค่ี ณุ ยายช่วง สเุ ดชะ ผู้มีคุณแมเ่ ปน็
คุณข้าหลวง"พนักงานพระสคุ นธ์" ในพระตาหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสรอ้ ยส
อางศ์ ซ่งึ มีหนา้ ทีท่ าน้าอบตารับของพระตาหนักน้ี มกั มาหาซื้อเครือ่ งหอมต่งๆท่ีร้านน้ีบ่อยๆ ตง้ั แต่
สมัยคุณย่าอิ่มจิต ถาวรธนสาร มารดาของคุณถนอมศิลป์ ยังดูแลร้านอยู่คุณถนอมศิลป์ ถาวร
ธนสาร บุตรชาย อายุ ๗๖ ปี อนุเคราะห์ความรู้ว่า ในสมัยก่อนนน้ั คุณแม่ของคุณถนอมศิลป์ "หุง
น้ามันตานี" อย่างไร "เอาน้ามันละหุ่งใส่ เอาขี้ผึ้งเทลงไปแล้วนามาคนให้เข้ากันแต่มันต้องนาน
หนอ่ ยนะเปน็ ชั่วโมง จนเป็นนา้ มนั ออกมากลน่ิ มันมีมะพร้าวนิดๆ ขีผ้ ้ึงแท้กโิ ลหนง่ึ ผสมน้ามันละหุ่ง
ได้ปี๊บกว่าสองป๊ีบ แล้วคนให้เข้ากัน คนจนกระท่ังเหมือนน้าตาลแล้วนะ คือหนืดๆ หน่อย ต้องคน
นาน ถ้าไม่คนนะมันก็แยกกัน ผสมแล้วต้องคนตลอดเวลา บางทีเขาคนแล้วเขาก็เหน่ือยซักย่ีสิบ
นาทีเขาพักแล้วก็คนใหม่ จนกระทั่งเป็นคล้ายๆ วาสลิน มันเป็นสีเหลืองๆ หน่อย คล้าย จารบี
หน่อย โบราณเขาใชท้ าผม สมัยกอ่ นเขาใสก่ ระป๋องบุหรข่ี าย เครอื่ งหอมเขาจะไมใ่ ส่ เขากซ็ ้อื มาใสท่ ่ี
หลงั ทีน้ถี ้าใครจะใสต่ อ้ งใส่ตอนที่มนั ไม่ร้อน ถ้ามนั ร้อนมันเปลืองมาก
ครั้งสุดท้ายหุงมื่อประมาณห้าสิบกวา่ ปี เมื่อก่อนกระทะใหญ่ๆมาวางนะ แล้วก็เอาไมพ้ ายมาคนจน
เหนียว แต่ก่อนใช้สีผ้ึงญป่ี ่นุ แต่ผมว่าสีผึ้งแท้ใช้แล้วดกี ว่า ใช้แล้วมันจะใส ทาไมถึงเรียกน้ามนั ตานี
สงสยั มาจากใต"้ จากคาแนะนาและขอ้ มลู เท่าทีม่ ี ไดท้ ดลอง"หุงนา้ มนั ตานี"โดยใช้สว่ นผสม ข้ีผ้งึ แท้
๑ สว่ น นา้ มันละห่ง ๔ ส่วน หงุ ดว้ ยเตาถ่านความร้อนปานกลาง อยู่ ๑๔ ชัว่ โมงผลที่ได้ออกมาเป็น

น้ามันตานีตรงตามจินตภาพ คือมีลักษณะคล้ายสีผึ้งท่ีเหนียวมาก และเมื่อทดลองใช้เป็นรองพ้ืน
ก่อนลงแป้งฝุ่นจีน(ทุกสูตร)ก็ได้ผลดีตามกรรมวิธีต่างๆที่ครูได้เล่ามา ส่วนการล้างออกทีแรกใช้
มะนาวแบบโบราณตามทคี่ รูบอก ล้างจนหน้าแสบก็ไม่ออก จึงเปล่ียนมาใช้น้ามันล้างเคร่ืองสาอาง
สมัยใหม่ ซึ่งกว่าจะล้างออกหมดได้ ก็ทลุ ักทุเลสมสรรพคุณความเหนียว น่าสงสารแบบท่ีหลวมตัว
มาแต่งย่ิงนัก แต่ถ้าคิดในด้านบวก นี่คือการแต่งหน้าด้วยน้ามันตานีข้ึนคร้ังแรกในรอบห้าสิบปี
นางแบบก็อาจจะดีใจ (ถ้าเผอิญ สารเหนียวสีน้าตาลที่ทดลองทาขึ้นมาน้ัน คือน้ามันตานีตามแบบ
โบราณจรงิ ๆ)

ยคุ ที่ ๔ ดวงตาหวาน

ระยะเวลา ชว่ งรัชกาลท่ี ๘ ถงึ รัชกาลท่ี

๙ (ทศวรรษท่ี ๓๐-๗๐ ศตวรรษท่ี ๒๐)

ลักษณะทีเ่ ห็น

หน้านวล คิ้วโก่ง แต่ลดการสะบัดของ

หางค้ิว เขียนเส้นยกหางตาข้ึน ทา

แก้มแดงระเรื่อ ทาปากเป็นกระจับสี

ท่ีมา: มนตรี วดั ละเอียด แดง ใช้ขนตาปลอมทาไมจงึ แต่งเช่นน้ัน

สังคมไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็น "ไทยสมัยใหม่" อย่างเต็มที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า

เจา้ อยู่หวั รชั กาลที่๗ ทรงโปรดดนตรไี ทยและภาพยนตรไ์ ทย จึงทาให้กจิ การทั้งสองรุ่งเรอื ง โดยทรง

พระราชนิพนธ์เพลงไทยและภาพยนตร์ไทยพร้อมทั้งทรงกากับการแสดงถึง ๓เรื่อง ดร.สุรพล

วิรุฬห์รักษ์ สันนิษฐานว่าน้ีอาจะเป็นมูลเหตุสาคัญท่ีทาให้ พระบาทสมด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัชกาลท่ี๗โปรดเกล้าให้สร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงขึ้น เพ่ือเป็นถาวรวัตถุในการเฉลิม

ฉลอง ๑๕o ปี กรุงเทพมหานครและเพ่ือเป็นศรีสง่าแก่พระนคร ความบันเทิงท่ีแพร่หลายท่วั ไปใน

สมยั นไี้ ดแ้ กล่ ะครเพลงและภาพยนตร์ ซง่ึ การแตง่ กายและการแต่งหน้าที่มีลักษณะสมจริงตามสีผิว

ธรรมชาตขิ องละครเพลงและภาพยนตร์เหล่านี้ ไดส้ ง่ อทิ ธพิ ลอย่างมากตอ่ แนวทางการแต่งหน้าของ

โขนละครในยุคนี้ โดยได้ปรับเปล่ียนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ตลอดจนวิธีการแต่งหน้าโขนละครไทย จาก

ระบบเดิมท่ีมีการใช้นา้ มันตานี แป้งฝนุ่ จนี และชาดลน้ิ จี่เปน็ หลกั ใหเ้ ข้าสยู่ คุ ของการใช้เคร่อื งสาอาง

ฝร่ังสมัยใหม่ ที่มีวิทยาการทันสมัยเป็นสากลอย่างแท้จริงในสาส์นสมด็จจากสมด็จฯ กรมพระยา

ดารงราชานภุ าพ ถงึ สมเดจ็ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ฉบบั ลงวันท่ี ๑๗ พฤษจกิ ายน พ.ศ.

๒๔๘๑ ได้แสดงหลักฐานสาคัญ ที่ทาให้รู้ว่า เคร่ืองสาอางฝรั่งที่ผลิตสาหรับให้สามัญชนทั่วไปใช้
ราคาไมแ่ พงมากเช่นสมัยกอ่ น ไดม้ าถงึ ประเทศเพื่อนบ้านของไทยแลว้

“...คราวน้ีจะทูลเร่ืองศิลปแปลก ซ่ึงได้ทูลผัดไว้แต่จดหมายฉบับก่อน ศิลปนั้นเรียกชื่อใน
ภาษาอังกฤษว่า New art of Society Make - up หมอ่ มฉันอยากจะแปลใหง้ ่ายๆว่า "วชิ าทาสวย"
อธิบายว่าวิธีแต่งหน้ า ผู้ห ญิงใ ห้ สว ยกว่ าธ รรม ด ามีร้ นท่ีรับจ้ า งท าก ารนั้นแ พ ร่ ห ล ายอ ยู่ แ ล้ ว
เรยี กวา่ Beauty Parlour ในกรงุ เทพฯก็ดูเหมือนมีแล้ว แต่ไม่วเิ ศษถึงท่ีหมอ่ มฉนั จะเลา่ ถวายตามที่
ได้เห็นแก่ตาตนเองวันหนึ่งหม่อมฉันได้เห็นในหนังสือพิมพ์ข่าวออกในปีนัง ว่ามีหญิงชื่อนาง
เวสต์ Mrs West เป็นผู้ชานาญวิชาทาสวยมาแต่มืองฮอลลิวู๊ด(คือเมืองท่ีทาหนังฉาย) อเมริกาจะ
แสดงวชิ านน้ั ทห่ี า้ งไวต์อะเว แอนด์ เลตลอ ในตอนเชา้ จนท่ียงทุกวัน ผใู้ ดเคยซือ้ ของทีห่ า้ งไวต์อะเว
ฯ จะดูได้เปล่าไม่ต้องเสียค่าเข้าประตู หม่อมฉันเกิดอยากดูด้วยเปน็ วิชาใหม่อันป็นแต่เคยได้ยนิ ยัง
ไมเ่ คยเห็นตวั จริง ชวนลูกหญงิ กพ็ ากันเบะปากไมม่ ใี ครอยากดู หม่อมฉนั จงึ บังคบั สง่ั ให้หญิงพิสัยไป
เป็นเพ่ือนแต่คนเดียว...เดิมท่ีเมืองฮอลลิวู๊ด Hollywood มีชายคนหน่ึง ชื่อ แม็กสแฟ็คเตอรMax
Factors รับจ้างเป็นพนักงานแต่งหน้า Make up นางดาราหนังฉาย เมื่อทาการนั้นนานมา
สังเกตเห็น ว่า การแต่งหน้านั้น ถ้าแต่งตามเค้าหน้าตัวคน และใช้สีแป้งให้เหมาะกับผิวตัวคน แม้
เป็นรูปฉายด้วยแสงไฟฟ้าก็อาจจะให้เห็นสวยกว่าผัด อย่างที่ทากันมาแต่ก่อน แต่น้ันแฟ็คเตอร
พยายามทาเครอื่ งแตง่ หน้า และคดิ วธิ ีแตง่ คนหน้าตาตา่ งกันให้สวยดุจกนั ทุกประเภท คิดสาร็จเลย
มีช่ือเสียงอย่างว่า เป็นครูผู้เชี่ยวชาญในการแต่งหน้านางดาราทั่วทั้งเมืองฮอลลิวู๊ด…เม่ือทาการ
สาเร็จได้ถึงเพียงนั้นแล้วแฟ็คเตอรคิดต่อไปว่าการแต่งหน้าให้สวยงามเปน็ ความประสงค์สามญั แก่
ผู้หญิงทั่วไป ไม่เฉพาะแต่นางดาราหนังฉายเท่านั้น และวิธีการกับทั้งเคร่ืองแต่งหน้าท่ีตนคิด
ประดษิ ฐข์ ้ึนดีกว่าทีใ่ ช้กนั มาแต่ก่อน จงึ จะขยายการหาผลประโยชน์ให้กว้างต่อออกไปถึงรบั ฝึกสอน
ผู้หญิงสามัญ ให้รู้จักแต่งหน้าตามวิธีของแฟ็คเตอร....ทีนี้จะทลู พรรณาถึงวิธีสอน…หม่อมฉันไดจ้ ด
โน้ตลักษณะท่ีแสดงมาดังนคี้ ือ ๑.เอาแป้งหรือน้ามันอย่างหนึ่งสีขาวๆทาหน้าล้างแปง้ และเขมา่ กบั
สิ้นจี่ท่ีทาหน้าไว้ออกหมด ๒.เอายาอย่าง ๑ ทาหน้าบางๆ(ท่ีเรียกว่ายาในน้ีตามสะดวก ) บอก
อธิบายว่าแต่งผิวให้เรียบปราศจากร้ิวรอย ๓.ผัดหน้าด้วยแป้งต้องเลือกอย่างที่สีสมกับผิวตัว เขา
ลองผัดแขนของเขาให้ดขู ้าง ๑ ทงิ้ ไวต้ ามธรรมดาข้าง ๑ ใหเ้ หน็ ว่าถ้าแป้งอย่างนน้ั ทาให้ผวิ เป็นราศี
ดขี ้นึ ไมจ่ อ้ กวอก เหมอื นผัดแปง้ สามญั และบอกอธิบายว่าถึงเหง่ือออกสนี น้ั กไ็ ม่หลุดจนอาบน้าถูสบู่
เม่ือใดจึงจะหลุด ๔.เอาสีคล้าทาหลังตาให้เห็นเป็นลึกเพิ่มความขา แล้วเอาแป้งท่ีว่ามาแล้วทา
ประสานกับผวิ ตวั ไม่ให้เหน็ รอยต่อ ๕.ทาลิน้ จีท่ แี่ กม้ อธบิ ายว่าทาลิ้นจ่นี ้ันต้องทาผิดท่ีกันใหเ้ ข้ากับ
รูปหน้าจึงสวยลักษณะทท่ี านนั้ แต้มเปน็ ร้ิวๆกอ่ นแล้ว (เอาแปรงหรืออะไรลืมเสียแล้ว) ผัดระบายสี

แผ่ไปให้เข้ากับหน้า อธิบายว่าต้องประสานให้เข้ากับผิวตัวอย่าให้เห็นว่าเป็นสีทา ๖.ผัดแป้งนวล
ช้ันนอก และเอาแปรงปัดให้แป้งจับอย่างบางๆเสมอกัน ๗.เขียนค้ิว ๘.ย้อมขนตา ๙.ทาริมฝีปาก
ด้วยล้ิน สังเกตดูวิธีทานั้น ทาแล้วต้องเม้มปากระบายสีที่หัวต่อให้หมาะ ๑๐.ผัดแป้งสีสมตัวที่คอ
ตลอดจนอก (ถ้าใส่เส้ือเปดิ ) และท่แี ขน ๑๑.โปรยน้าอบท่ผี ม และแต่งผม ๑๒.ยาสีคลา้ มน้ันจะแต้ม
เป็นไฝ หรอื จะทาที่คางให้แลเหน็ เปน็ รอ่ งอย่กู ลางก็ไดต้ ามใจชอบ…ก่อนหม่อมฉนั จะกลบั ตวั ครเู ขา
เรียกหญิงพิลัยไปท่ีตู้วางของขาย ทากิริยาอย่างดูลักษณะหญิงพิลัยอยู่สักครู่หน่ึงในสาส์นสมเด็จ
จากสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ถึง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ฉบับลง
วันท่ี ๑๗ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้แสดงหลักฐานสาคัญ ที่ทาให้รู้ว่า เคร่ืองสาอางฝร่ังท่ีผลิต
สาหรับใหส้ ามญั ชนท่ัวไปใช้ ราคาไม่แพงมากเชน่ สมัยก่อน ได้มาถงึ ประเทศเพอื่ นบ้านของไทยแล้ว
“...คราวนี้จะทูลเร่ืองศิลปแปลก ซึ่งได้ทูลผัดไว้แต่จดหมายฉบับก่อน ศิลปน้ันเรียกชื่อในภาษา
ยังกฤษว่า New art of Society Make - up หม่อมฉันอยากจะแปลให้ง่ายๆว่า "วิชาทาสวย"
อธิบายว่าวิธีแต่งหน้าผู้หญิงให้สวยกว่าธรรมดามีร้นที่รับจ้างทาการนั้นแพร่หลายอยู่แล้ว
เรยี กว่า Beauty Parlour ในกรุงเทพฯกด็ เู หมอื นมีแล้ว แต่ไม่วิเศษถึงทีห่ ม่อมฉนั จะเล่าถวายตามท่ี
ได้เห็นแก่ตาตนเองวันหนึ่งหม่อมฉันได้เห็นในหนังสือพิมพ์ข่าวออกในปีนัง ว่ามีหญิงชื่อนาง
เวสต์ Mrs West เป็นผู้ชานาญวิชาทาสวยมาแต่มืองฮอลลิวู๊ด(คือเมืองท่ีทาหนังฉาย) อเมริกาจะ
แสดงวิชานั้นที่หา้ งไวตอ์ ะเว แอนด์ เลตลอ ในตอนเช้าจนที่ยงทุกวัน ผู้ใดเคยซอื้ ของท่ีหา้ งไวต์อะเว
ฯ จะดูได้เปล่าไม่ต้องเสียค่าเขา้ ประตู หม่อมฉันเกิดอยากดูด้วยเปน็ วิชาใหม่อนั ป็นแต่เคยได้ยนิ ยัง
ไม่เคยเห็นตวั จริง ชวนลกู หญงิ ก็พากันเบะปากไมม่ ใี ครอยากดู หมอ่ มฉนั จึงบงั คบั สั่งให้หญิงพิสัยไป
เป็นเพื่อนแต่คนเดียว...เดิมท่ีเมืองฮอลลิวู๊ด Hollywood มีชายคนหน่ึง ชื่อ แม็กสแฟ็คเตอรMax
Factors รับจ้างเป็นพนักงานแต่งหน้า Make up นางดาราหนังฉาย เม่ือทาการนั้นนานมา
สังเกตเห็น ว่า การแต่งหน้านั้น ถ้าแต่งตามเค้าหน้าตัวคน และใช้สีแป้งให้เหมาะกับผิวตัวคน แม้
เปน็ รูปฉายดว้ ยแสงไฟฟ้าก็อาจจะให้เหน็ สวยกว่าผดั อย่างทท่ี ากนั มาแตก่ ่อน แต่นัน้ แฟค็ เตอรพยา
ยามทาเครื่องแต่งหน้า และคิดวิธีแต่งคนหน้าตาต่างกันให้สวยดุจกันทุกประเภท คิดสาเร็จเลยมี
ช่ือเสียงอย่างว่า เป็นครูผู้เชี่ยวชาญในการแต่งหน้านางดาราท่ัวทั้งเมืองฮอลลิวู๊ด…เมื่อทาการ
สาเร็จได้ถึงเพียงน้ันแล้วแฟ็คเตอรคิดต่อไปว่าการแต่งหน้าให้สวยงามเป็นความประสงค์สามญั แก่
ผู้หญิงท่ัวไป ไม่เฉพาะแต่นางดาราหนังฉายเท่าน้ัน และวิธีการกับทั้งเครื่องแต่งหน้าท่ีตนคิด
ประดิษฐ์ข้ึนดกี วา่ ที่ใชก้ นั มาแต่ก่อน จึงจะขยายการหาผลประโยชน์ใหก้ ว้างต่อออกไปถึงรบั ฝึกสอน
ผู้หญิงสามัญ ให้รู้จักแต่งหน้าตามวิธีของแฟ็คเตอร....ทีน้ีจะทูลพรรณาถึงวิธีสอน…หม่อมฉันไดจ้ ด
โน้ตลักษณะท่ีแสดงมาดังนค้ี ือ ๑.เอาแป้งหรือน้ามนั อย่างหน่ึงสีขาวๆทาหน้าล้างแปง้ และเขมา่ กบั

ล้ินจ่ีท่ีทาหน้าไว้ออกหมด ๒.เอายาอย่าง ๑ ทาหน้าบางๆ(ที่เรียกว่ายาในน้ีตามสะดวก ) บอก
อธิบายว่าแต่งผิวให้เรียบปราศจากริ้วรอย ๓.ผัดหน้าด้วยแป้งต้องเลือกอย่างที่สีสมกับผิวตัว เขา
ลองผัดแขนของเขาให้ดูข้าง ๑ ท้งิ ไว้ตามธรรมดาข้าง ๑ ให้เห็นว่าถ้าแป้งอย่างนั้นทาให้ผวิ เป็นราศี
ดขี ึน้ ไมจ่ อ้ กวอก เหมือนผัดแปง้ สามญั และบอกอธบิ ายว่าถึงเหงอ่ื ออกสนี ้ันก็ไม่หลุดจนอาบน้าถูสบู่
เมื่อใดจึงจะหลุด ๔.เอาสีคล้าทาหลังตาให้เห็นเป็นลึกเพ่ิมความขา แล้วเอาแป้งท่ีว่ามาแล้วทา
ประสานกบั ผวิ ตวั ไม่ให้เหน็ รอยตอ่ ๕.ทาล้นิ จี่ท่ีแกม้ อธิบายว่าทาล้นิ จ่ีนั้นต้องทาผิดทกี่ ันให้เข้ากับ
รูปหน้าจึงสวยลักษณะท่ที านั้นแต้มเปน็ ร้ิวๆก่อนแล้ว (เอาแปรงหรืออะไรลืมเสียแล้ว) ผัดระบายสี
แผ่ไปให้เข้ากับหน้า อธิบายว่าต้องประสานให้เข้ากับผิวตัวอย่าให้เห็นว่าเป็นสีทา ๖.ผัดแป้งนวล
ช้ันนอก และเอาแปรงปัดให้แป้งจับอย่างบางๆเสมอกัน ๗.เขียนคิ้ว ๘.ย้อมขนตา ๙.ทาริมฝีปาก
ด้วยลิ้น สังเกตดูวิธีทานั้น ทาแล้วต้องเม้มปากระบายสีท่ีหัวต่อให้หมาะ ๑๐.ผัดแป้งสีสมตัวที่คอ
ตลอดจนอก (ถ้าใส่เส้ือเปิด) และทแี่ ขน ๑๑.โปรยนา้ อบทผี่ ม และแต่งผม ๑๒.ยาสีคลา้ มน้ันจะแต้ม
เป็นไฝ หรือจะทที่ลูกคางให้แลเห็นเป็นร่องอยู่กลางก็ได้ตามใจชอบ…ก่อนหม่อมฉันจะกลับ ตัวครู
เขาเรียกหญิงพิลัยไปท่ีตู้วางของขาย ทากิริยาอย่างดูลักษณะหญิงพิลัยอยู่สักครู่หนึ่งแล้วเอา
แบบฟอร์มท่ีเขาพิมพ์เตรียมไว้ออกมาเขียนบอกว่าหญิงพิลัยควรใช้แป้งชนิดนั้นผัดผิว และควรใช้
ยาอย่างนั้นๆสาหรับแตง่ ค้ิว แต่งแก้มและท่อี ่ืนๆดังพรรณนามาแล้วส่งให้เอากลับมา และแจกสมุด
ตาราให้ด้วยคนละเล่มหม่อมฉันขอเพ่ิมอกี เล่ม ๑ ส่งมาถวายทอดพระเนตรเล่นด้วยแล้วเม่ือดูกลบั
มาแล้วหม่อมฉันนึกว่าต่อไปข้างหน้าอีกสัก ๑๐ ปีเม่ือมีวิชาทาสวยเจริญหนักข้นึ เห็นจะต้องแกพ้ ิธี
แต่งงานงดการรดน้าอย่างแต่ก่อน เปลี่ยนให้เจ้าสาวล้างหน้า ดูให้เห็นว่าหน้าจริงเป็นอย่างไร
เสยี ก่อนจงึ ค่อยแต่งงาน" ณ ปีพ.ศ.๒๔๘๑ น้ัน วงการความสวยงามและเครื่องสาอางทว่ั โลก กาลัง
ต่ืนเต้นกับนวัตกรรม แป้งแข็งแต่งหน้า ท่ีเรียกกันว่า แพนเค้ก ของแม็กซ์ แฟ็คเตอร์ ซ่ึงเพิ่งจะ
ปรากฎออกมาอวดโฉมเม่ือปีที่แล้ว(พ.ศ.๒๔๘๐) เหตุท่ีทาให้เคร่ืองสาอางของ แม็กซ์ แฟ็คเตอร์
ขายดิบขายดีมาก ก็เพราะความพิเศษในวิธีปรุงทางเคมีของเคร่ืองสาอางท่ีให้ผลออกมาดูสมจริง
เป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าเป็นการแต่งหน้าท่ีจัดหรือ"มาก"แบบละคร (Non-Theatrical) รวมทั้งยัง
เป็นเครื่องสาอางที่ดาราภาพยนตร์นิยมใช้ ท้งั ในจอและนอกจอ ดเู หมือนโลกท้งั โลกจะพร้อมใจกัน
เปลย่ี นแปลงในชว่ั คืนเดียวเพื่อประกาศแนวสมยั นิยมใหม่ของโลกในยุคนว้ี ่าความงามคอื ความ
สมจริง โดยแท้
เทคนิคในสมัยก่อน

ในระหวา่ งปีพ.ศ.๒๔๘๕-๒๕๐๐ พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าหญิงเฉลมิ เขตรมงคล พระ
มารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์จ้าเฉลิมพล

ทฆิ ัมพรและพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ทรงฟื้นฟูละครในวังข้ึนอีกท่ีวงั มังคละ
สถานของพระองค์ โดยทรงจัดหาครูท่ีมีช่ือเสียงจากวังต่างๆและกรมศิลปากร อาทิ คุณหญิงเทศ
นัฏกานุรักษ์ครูผัน โมรากุล ครูมัลลี่ คงประภัศร์ และครูลมุล ยมะคุปต์ มาช่วยฝึกซ้อมเพ่ือตั้งเป็น
คณะถาวรใชช้ ่ือว่า "คณะชูนาฎดุรยิ างค์ศลิ ป"์ ในการแสดงแต่ละคร้งั เสดจ็ พระองค์หญิงฯจะแต่งหน้า
ตัวเอกดว้ ยฝพี ระหตั ถ์ของพระองค์เองเครอื่ งสาอางทใ่ี ช้คือ ยี่ห้อแมกซ์ แฟค็ ตอร์ จากสหรัฐอเมริกา
โดยเริ่มจากทาครีมรองพื้นตามสีผิวให้ท่ัวใบหน้าแล้วลงแป้งฝุ่น จากนั้นเขียนค้ิวและใช้อายแชโดว์
ไล้ที่สันจมูกสองด้าน ทาเปลือกตาบนเขียนอายไลน์เนอร์ท่ีขอบตาบนและล่างใช้รูจทาแกม้ และใช้
ลิปสติคสีต่างๆทาปาก ตามความหมาะสมของสีผิวผู้แสดง และใน ปีพ.ศ.๒๔๙๐ นอกจาก พระ
เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล พระโอรสในเสด็จพระองค์หญิงฯ จะทรงเข้าดารง
ตาแหนง่ ผ้ชู ่วยอธิบดกี รมศิลปากร และรกั ษาการในตาแหน่งอธิบดีฯแลว้ พระเจ้าวรงศเ์ ธอ พระองค์
เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ยังประทานสอนการแต่งหน้าให้แก่นักเรียนโรงเรียนนาฎศิลปนาโลกของโขน
ละคร เข้าสู่กาลสน้ิ สุดแห่งการแต่งหนา้ ของยุคน้ามันตานีโดยดุษฎีครูสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปนิ
แห่งชาติ ศิษย์เก่าในสมัยนั้น เล่าว่า...มาเริ่มแต่ง แพนสติ๊ก พระลอ รู้สึกจะเก้าเอ็ดหรือไงน่ีคุณ
(พ.ศ.๒๔๙๑) ตอนที่มาเล่นพระลอปีเก้าเอ็ดน่ีพระองค์เจ้าภานุพันธ์ฯ ท่านมาเร่ิมสอนแต่งหน้า
สมัยใหม่ ตอนน้ันท่านเป็นรองอธิบดีกรมศิลปากร ท่านก็มาสอนแต่งหน้าสมัยใหม่ แต่งคนแก่
แต่งหน้าเปน็ แผลเปน็ รนุ่ ดิฉันนค่ี ่ะ เรียนกบั องค์ภาณฯุ เปน็ รนุ่ แรก...ท่านคงเห็นว่าแต่งหน้าฝุ่นจีนน้ี
มันล้าสมัยแล้ว ท่านก็เลยมาสอน ตอนนั้นก็เริ่มใช้ แพนสต๊ิก ของในติงเกล โอลิมปิกเป็นแท่ ง
เหนยี วๆ สมัยก่อนฝ่นุ จีนน้ใี ช้ชาดผสม แต่แพนสติก๊ น้ไี ม่ต้อง เชาผสมเสรจ็ หมดเลย คนนข้ี าวก็จะใช้
แพนสตก๊ิ สขี าว คนนค้ี ลา้ กจ็ ะใช้สใี ห้เข้ากับใบหน้าเรา ทน่ี ก้ี เ็ รมิ่ มีอายแชโดว์ มีแรเงาจมกู ให้โด่ง ใน
เร่ืองพระลอนั้นก็แต่งหน้าสมัยใหม่หมดเลย อายแชโดว์โดยมากก็สีน้าตาล น้าตาลแก่ๆ แต่ไม่ดา
เหมือนกับหมึกจีน แปลกดี สวยดีพอมีแรเงา ตาก็ซึ้งข้ึน แล้วจมูกก็โด่ง" ครูศิวัฒน์ ดิษยนันท์ อายุ
๗๔ ปี ศิลปนิ แห่งชาติ กับเพ่ือนรกั รว่ มรนุ่ ครูสนุ ันทา(บณุ ยเกศ)บอลทงั้ สองทา่ นปน็ นักเรยี นรุ่นน้อง
ต่อๆมา ของครูสุวรรณี ชลานเุ คราะห์ ท่านเล่าว่า หลังจากเรยี นรวู้ ธิ ีแต่งหน้าสมัยใหม่แล้ว แบบเกา่
ก็ทิ้งไปเลย แถมสาวนาฎศิลปสมัยน้ีนาสมัยย่ิงนัก มีอะไรสวยอะไรงามถ้าใช้ได้ใช้หมด...สมัย
พระองคเ์ จ้าภานพุ นั ธ์น่ีใชร้ ูจแลว้ คะ่ ใชร้ จู แบบเปน็ ตลับ เลิกการแต่งหนา้ แบบเดมิ ไปเลย ไม่มีใครใช้
แล้วแป้งแพนค้กของ แม๊กซ์ แฟ็คเตอร์ ฟองน้าชุบน้าทา เขียนคิ้วก็ดินสอเขียนค้ิว รู้สึกไม่มียี่ห้อ
อะไร อายแชโดว์สมยั นั้นเปน็ สีดาไม่ค่อยเป็นสนี ้าตาล สีดาเป็นอายไลน์เนอร์ เขียนชอบตาเสียหนา
เลย พวกสีม่วงชมพู สมัยก่อนเราไม่ได้ใช้ถ้าเป็นละครแล้วมันต้องสีดาเท่านั้นนะเวลารา แต่ก่อน
เวลาเราซ้ือเครื่องสาอางก็ไปในติงเกลอย่างน้ีนะ แล้วก็บางทีถ้าเครื่องสาอางทั่วๆไปน่ี ก็มีร้านตรง

ทาพระจันทร์ร้านอะไรนะ ที่นาฎศิลป์เขาไปซ้ือประจา ท่ีน่ันละมีลิปสติกแทททูทาสามวันไม่ออก
เลยรุ่นดยี วกับเพชรา เหน็ เพชราเขาใสอ่ ะไรเอาหมด ขนตาปลอมนี่ ตดิ สองช้ันเลย (หัวเราะ) เขามี
ขายพวกเรากไ็ ปซื้อผูน้ าแฟชนั่ (หวั เราะ) เราไปเหน็ ญป่ี ุ่น ตอนนัน้ มาเล่นท่โี รงละคร แลว้ เหน็ เขาติด
กากเพชร เลยใส่กากเพชรด้วยครูเขาบอกไม่ให้ใส่ เด๋ียวเธอตาบอดจะเป็นอะไรกัน เราก็ไม่เช่ือ
ตอนนั้น คลู่ ะห้าสิบบาท แพงมากกว๋ ยเต๋ยี วจานละสามบาท แตอ่ ยากสวย ผูใ้ หญน่ จ่ี ะละเอียด ท่ีมา
ดูคอื ธิบดี ท่านตอ้ งคอยดวู า่ ทอี่ อกมาแล้วต้องเพอร์เฟกต์หมด บางทหี นา้ ขาวไป บอกตกกระดง้ แป้ง
เหรอ ไปเดี๋ยวนี้ไปเอาออกเด๋ียวน"ี้ ยุคสีผิวธรรมชาติที่ผุดผ่อง หน้าขาวนวล ดวงตาหวานซึ้ง ยังไม่
แรเงาสีตา ได้ลงหลักปักฐานกับนาฎศิลป์ไทยอย่างม่ันคง ถึงขนาดใครแต่งหน้าขาวไป หรือ "จ้อก
ว่อก"แบบแต่กอ่ น จะโดนไล่ไปล้างหน้าแล้วให้แต่งใหม่ ถ้าเทยี บแบบฝรั่ง ยคุ ทีเ่ รมิ่ ตน้ แต่งหนา้ แบบ
ใหมน้ีคือทศวรรษที่ ๔๐ ไปจนทศวรรษท่ี ๖๐ หรือตั้งแต่ช่วง พ.ศ.๒๔๘๓-๒๕๑๒ขณะท่ีสังคมไทย
ก้าวสู่ยุคของ"โลกสมัยใหม่" ผ่านยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง, ยุครัฐนิยม "มาลานาไทย",ยคุ สากล
นยิ ม, ยุคมติ ร-เพชรา โกห๋ ลังวังบรู พา, เสอ้ื ผ้าบปุ ผาชน, กระโปรงสัน้ กางเกงสัน้ "ฮ้อทแพน้ ท์"และ
สงครามเวยี ดนามการแต่งหน้ามีพัฒนาการไปตามสมยั นิยม ทั้งนีอ้ าจมีการเติมหรือลดสิ่งต่างๆ ผิด
แผกไปจากเดิมบา้ งเป็นธรรมดา แต่แนวทางการแต่งหน้าท่ี"ไม่ถอดขนตาปลอมเด็ดขาด"ซ่ึงค้นพบ
แล้วนี้ ยั งดาเนิ น สืบ ทอ ดต่อ เนื่อ งมา แ ม้ใ น ปัจจุบัน ก็ยังพบได้มากอยู่ แ น่ น อนจะ
เ ป ลี่ ย น อ ะ ไ ร ก็ เ ป ล่ี ย น ไ ป แ ต่ ด ว ง ต า เ ป ล่ี ย น ไ ม่ ไ ด้ ต้ อ ง ห ว า น ซึ้ ง เ ป็ น ต า ก ว า ง เ ส มอ

เทคนคิ ในสมัยปัจจุบนั

กันค้ิวออกบางส่วนให้ใด้รูปค้ิวที่เรียวสวย ใช้รองพ้ืนสีอ่อน ลงสีปรับแสงเงาแก้ไขรูปหน้า
กอ่ น แลว้ ใช้แป้งฝุ่นซบั ให้ทั่ว เขียนคิว้ ตามรปู ควิ้ เดิมให้คอ่ นข้างโก่ง เขยี นหวั ควิ้ ตามรูปค้วิ ปกติ แรง
เงาสองข้างจมูกด้วยฝุ่นสีน้าตาลให้เป็นสันคม ใช้อายแชโดว์สีขาวหรือครีม สีส้มหรือสีชมพูอ่อน
ระบายให้ท่วั เปลือกตา ใช้เค้กไลน์เนอรเ์ ขยี นหางตาให้ยาวและยกหางตาขึน้ ติดขนตาปลอมแล้วใช้
อายไลน์เนอร์สีดาเขียนเน้นรอบดวงตา ให้หางตายกข้ึน ทาแก้มสีแดงระเรื่อ ทาปากสีแดงสดเป็น
รูปกระจับ สี สหี ลกั : สีขาว สีดา สีแดง สรี อง : สสี ม้ สีชมพู

ยุคที่ ๕ งามตามสมยั นยิ ม

ระยะเวลา รชั กาลท่ี ๙ ( ทศวรรษท่ี ๗๐-๘๐

ศตวรรษที่ ๒๐)

ลกั ษณะท่เี หน็

งามแบบราไทย ชมพู-ฟ้า

ทาไมจึงแต่งเช่นน้นั

รูปแบบการแต่งหน้าโขนละครไทยหลัง

ทมี่ า: มนตรี วัดละเอียด ทศวรรษท่ี ๖๐ ต่อ ๙๐ มีอนุวิธีหลากหลาย

รูปแบบ ตามแต่ละคณะหรือความนิยมของบุคคล โดยไม่มีลักษณะเป็นเอกภาพหรือเป็นที่นิยม

ร่วมกัน ในรูปแบบหรือแนวทางหนึ่งแนวทางใดอย่างชัดเจน แต่กระน้ันก็มีลักษณะบางประการ

ร่วมกันอยู่ คือ ตั้งแต่ยุค"ดวงตาหวานซึ้ง" เป็นต้นมา นักแสดงคานึงถึงการแต่งหน้าเพื่อความงาม

(Beauty Makeup)มากข้ึนจนบางคร้ังใหค้ วามสนใจมากกว่า การแต่งหนา้ สาหรับการแสดงบนเวที

(Stage Makeup) จวบจนมีนวัตกรรมการแต่งหน้าในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ที่ใช้หลักการแต่งหน้าสาหรับ

การแสดงบนเวทีประสมกบั การแตง่ หนา้ เพ่ือความงามตามสมัยนยิ มผยแพร่ออกมาปลายทศวรรษที่

๗๐ ตอ่ ๘๐ ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๒-๒๕๒๕ เร่ิมมีการเรียนการสอนวิชาการแต่งหน้าอย่างเปน็ ระบบ

ซ่ึงไม่ใช่หน่วยแต่งหน้าสังกัดค่ายละครหรือบริษัทธุรกิจบันเทงิ แห่งใดแห่งหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย

เป็นครั้งแรก การเรียนการสอนวิชาการแต่งหน้านี้เปิดกว้างให้แก่นักแสดงทางโทรทัศน์นักแสดง

ภาพยนตร์และสาธารณชนผู้สนใจ สามารถเข้ามาเรยี นรศู้ กึ ษาจนนาไปประกอบอาชีพได้ทงั้ ทางตรง

คอื เปน็ ช่างแต่งหน้า และทางอ้อม คอื ให้นกั แสดงหรอื สาวสังคมรูจ้ ักแต่งหน้าตนเองเปน็ จนในท่ีสุด

เปิดเป็นโรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้า ที่รู้จักกันในนาม "โรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้าMake

up Technique Institute (MTI)" ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งเปิดตาเนินการมาครบ ๒๕ปีในปี

น้ี คณาจารย์รุ่นบุกเบิกได้แก่ ครูพรรณอร แสงอาทิตย์ ครูกาญจนา สายสิริพร ครูอาพล สุวรรณ

จติ รได้เปิดหลกั สูตรวิชาการแตง่ หนา้ บลั ล่ต์และราไทยขึน้ เป็นคร้งั แรกในปีน้ัน

เทคนิคในสมัยกอ่ น

ด้วยใจที่เปดิ กว้างคณาจารย์ในยคุ น้ันต่างยอมรับว่าเบือ้ งตันน้นั มิได้คานึงถึงลักษณะความ

เปน็ ไทยในรูปแบบการแต่งหน้าแต่อย่างใด ดว้ ยความรอ้ นวิชาทีไ่ ด้ไปศกึ ษาวิชาการแต่งหน้ามาจาก

ต่างประเทศจงึ มุ่งใช้ความรใู้ นเรอ่ื งอิทธพิ ลของแสงและสีของเครอ่ื งสาอาง (LightPaint) กบั ความรู้

เรื่องสีเส้ือผ้าท่ีส่งผลต่อการแต่งหน้าเป็นหลักในการออกแบบรูปแบบก ารแต่งหน้าราไทยเร่ิมแรก

เมอ่ื พจิ ารณาราไทยพบวา่ มชี ดุ สชี มพูและสฟี ้าอยมู่ าก จึงเป็นทมี่ าของการกล้านาสฟี า้ ซ่ึงฝรั่งมักนิยม
ใช้แต่งหน้ามาผสมกับสีชมพูซ่ึงถ้าใช้เพียงสีเดียวแล้วจะทาให้ตาดูบวม โดยนาสีเหล่านี้มาระบาย
รวมกนั อยา่ งมีศิลปะ เสรมิ กบั การตดิ ขนตาปลอมซ่ึงราไทยใช้กันแพร่หลายอยู่แล้ว ผลที่ออกมาได้
รูปแบบการแตง่ หนา้ ที่ดูอ่อนหวานพรมิ้ เพราเม่ือขึน้ เวทีโดนแสงไฟสปอตไลท์ หัวตาที่ลงสีชมพูไว้จะ
เปล่งประกายอ่อนหวาน สีฟ้าที่หางตาจะกลายไปเป็นสีเข้มแต่ไม่ดูเป็นสีดาที่กระด้างลอยออกมา
(๔๔) ทาให้เกิดเป็นชุดคู่สียอดนิยม ชมพู-ฟ้า ท่ียึดถือเป็นแบบแผน ในการแต่งหน้าราไทยกัน
ต่อๆมาการแต่งหน้าราไทยในรูปแบบ ชมพูฟ้านี้อาจติดตาหลายๆคน จนนึกว่ามีการนาไปแต่งใน
โขนด้วยเม่ือลองสอบดูพบว่า ท่ีจริงแล้วโขนมิได้ใช้รูปแบบการแต่งหน้า เช่นนี้ แต่ระบาท่ี
ประกอบอยู่ในการแสดงโขนนิยมใช้ จึงทาให้ดูเหมือนกับว่าโขนก็แต่งหน้าเช่นน้ัน
เทคนิคในสมัยปัจจบุ นั

ใช้รองพื้นตามสผี ิวท่คี ่อนข้างสว่าง ลงใหท้ ั่วใบหนา้ กอ่ น แล้วจงึ ใชร้ องพ้นื ตามสผี วิ ลงทบั
แก้ไขรูปหน้าดว้ ยรองพืน้ สีออ่ นและสเี ขม้ ให้ใบหน้ามีแสงเงาสวย ซับดว้ ยแป้งฝุน่ แล้วใช้แป้งเคก้ สี
ขาวไลใ้ ห้ทั่วใบหน้า เขียนควิ้ โก่ง หางควิ้ เรียวบาง เป็นสีดาเขม้ ใชอ้ ายแชโดวส์ ีชมพู ระบายที่หวั ตา
ใหอ้ ยู่ในชัน้ พบั ตาเพอ่ื ใหต้ าดูหวานซึง้ แลว้ ใชส้ ฟี ้าระบายตอ่ ไปทางหางตา ทาใหห้ างตายกขน้ึ ใช้สี
ปนดา ทาเงาใหเ้ ข้มทห่ี างตา ใช้เค้กไลนเ์ นอร์เขียนรอบดวงตา แล้วเกลี่ยให้กลมกลนื ตดิ ขนตา
ปลอมหนาๆ ใชอ้ ายไลน์เนอรเ์ ขยี นทบั จากหวั ตา แล้วเขยี นใหห้ างยกขึ้น ปดั แกม้ ด้วยสีชมพเู ขม้
ผสมสีแดงเร่ิมบรเิ วณโหนกแกม้ และอาจไล่ไปถึงไรผมและขมบั ท้ังสองข้าง ทาปากโดยเน้นเสน้ ขอบ
ปากให้คมชัดใชส้ ชี มพูสดและสีแดงเดมิ ด้วยมุก หรอื ลปิ กลอสให้ดปู ากอิม่ เตม็ สี สหี ลกั : สขี าว สีดา
สีแดง สรี อง: สสี ม้ สชี มพู สฟี ้า สนี ้าเงนิ สีขาวมุก สเี งนิ

ยคุ ท่ี ๖ การแต่งหน้าสาหรับเวที

ระยะเวลา รัชกาลที่ ๙ ( ทศวรรษท่ี ๙๐ ศตวรรษที่ ๒๐)

ลักษณะทเ่ี หน็

งามแบบละครไทย น้าตาลดา ทอง และหน้าขาวยอ้ นยุค

ทาไมจึงแตง่ เช่นนนั้

การเรียนการสอนการแต่งหน้าไทยในรูปแบบชมพู ฟ้าท่ี

แพร่หลายมากกว่ายีส่ บิ ปี ได้ส้ินสดุ ลงเมอื่ โรงเรยี นสอนศิลปะการ

แต่งหน้า MTI ในยุคครูใหญ่คนใหม่ลูกศิษยข์ องคณาจารย์ได้เติม

ทม่ี า: มนตรี วดั ละเอยี ด เต็มความฝันท่ีจะพัฒนารูปแบบการแต่งหน้าไทยที่ยังคงค้างไว้
ของเหล่าคณาจารย์ให้สาเร็จดังประสงค์ ด้วยการเข้าไปศึกษา

รูปแบบการแตง่ หน้าละครราของกรมศิลปากรอย่างถ่ีถ้วนอกี ครง้ั แลว้ สนิ ใจถอดชุดคสู่ ีชมพู ฟ้าของ

ราไทยออกจากการเรียนการสอน หลกั สตู รวชิ าการแตง่ หน้าบลั เล่ต์และราไทยโดยนาโครงสีใหม่คือ

สีน้าตาลดาและสีทองเข้ามาทดแทนสีชมพู ฟ้าท่ีเป็นสมัยนิยมเกินไป เพื่อเชิดชูความงามสง่าของ

ละครรา ทาให้เกิดการแต่งหนา้ ไทยยุคใหมใ่ นรูปแบบ โครงสีนา้ ตาลดาทองและแพร่หลายเปน็ แบบ

แผนในการแต่งหน้าราไทยสืบต่อมานอกจากน้ีครูใหญ่คนใหม่ยังได้ปรับเปลี่ ยนหลักสูตรน้ีโดย

รวบรวมหลักสูตรเดิมกับการพัฒนาขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างยิ่งข้ึนสาหรับหลักสูตรใหม่ท่ีช่ือ"

วิชาการแต่งหน้าอ้างอิงวัฒนธรรม(Cultural References Makeup)" เพ่ือให้นักเรียนได้โยชนจ์ าก

งานวิจัยการแต่งหน้าศิลปะการแสดงช้ันสูงนานาชาติและพัฒนาทักษะกาารแส ดงตามประเพณี

(Traditional Theatre)ที่ถูกต้อง โดยสามารถอนุรักษ์วัฒนธรรมท่ีดีงามไว้ควบคู่กับการรู้จัก

สรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรมร่วมสมัยได้พร้อมกันในยคุ น้นี อกจากงานแต่งหน้าโขนละครตามประเพณี ยังมี

คนรุ่นใหม่ท่ีต้องการนาเสนอการแสดงร่วมสมัยและส่ือภาพยนตร์ที่แสวงหาจุดยืนขอ งความเป็น

ไทยในเวทโี ลก ด้วยการนาเสนอละครรา ระบาไทยหรือโขนร่วมสมัยเป็นเน้อื หาหลักของงาน และ

ได้เรียกร้องการแต่งหน้าทม่ี ีรูปแบบเฉพาะซึ่งดูเปน็ ไทยแต่ร่วมสมัยในขณะเดียวกัน ความประสงค์

ร่วมสมัยเหล่าน้ีได้ทาให้เกิดการพัฒนาการแต่งหน้าขาวย้อนยุคขึ้นเป็นจานวนมาก และมีอิทธิพล

ต่อการพฒั นาแนวทางการแต่งหนา้ ละครรว่ มสมยั ในอนาคตงานทดลองในดา้ นนี้ มนตรี วดั ละเอยี ด

ครูใหญ่ของโรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้า MTI คนปัจจุบันได้ร่วมงานกับ ยุทธนา มุกดาสนิท

อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง วิถีคนกล้า(๒๕๓๒) งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์๒๒๐ ปี(๒๕๔๕), กับ

หม่อมหลวงพันธ์ุเทวนพ เทกุล อาทิ งานต้อนรับนางงามจักรวาลเม็กชิโก(๒๕๓๔)ละครโทรทัศน์

ช่างมันฉันไม่แคร์ (๒๕๓๖), กับเชิด ทรงศรี อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง อาแดงเหมือนกับนายริด
(๒๕๓๕), กบั หมอ่ มเจา้ ชาตรเี ฉลมิ ยคุ ล ภาพยนตร์เร่ือง สรุ โิ ยไท(๒๕๔๑) นอกจากนย้ี ังมลี ะครเวที
งานโฆษณาอีกหลายเรื่อง อาทิ งานมหาสงกรานต์กรุงเทพมหานคร (๒๕๔๖) ใบปดิ โฆษณาระบาย
สีกายชุดร้อยมาลัย (๒๕๔๗) และนาฎกรรมมหาชนก (๒๕๔๙)การทดลองเหล่านี้ใช้วิธีการ ร้ือ
สร้างใหม่(Deconstruct-Reconstuct)"ด้วยการศึกษาจากหลักฐานภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๔-๖
และจดหมายเหตุต่างๆ แล้วนาไปวิคราะห์ธาตุเพ่ือใช้เป็นฐานรองรับก่อนสังเคราะห์เป็นรูปการ
สร้างสรรค์ลกั ษณะรว่ มสมัยซึ่งผู้ผลิตงานและผ้กู ากับการแสดงต้องการแบบที่เฉพาะเจาะจงสาหรับ
งานนั้นๆอีกที
เทคนิคในสมัยปัจจบุ ัน

ปรับสีผิวให้สว่างด้วยครีมสาหรับปรับสีผิวก่อน แล้วใช้รองพ้ืนตามสีผิว เลือกใช้สีอ่อนกวา่
ผวิ จริง ทาให้ทว่ั ใบหน้าและลาคอ แกใ้ ขรปู หนา้ ด้วยรองพน้ื สอี อ่ นและสเี ข้ม ซบั ด้วยแป้งฝนุ่ แล้วใช้
แป้งเค้กสีอ่อนและสเี ขม้ แต่งเน้นแสงเงาบนหน้าอีกครั้ง เขียนคิว้ ใหโ้ ก่งเปน็ สนั คม โดยไม่ต้องลบคิ้ว
เดมิ เสยี ทัง้ หมด ใช้อายแชโดว์ โครงสี สีส้ม สีขาว สีนา้ ตาลดา และสที อง ทาผสมกันใหใ้ ดล้ กั ษณะท่ี
สร้างเบ้าตาให้ดูตาโตขึ้น ใช้เค้กไลน์เนอร์เขียนรอบดวงตา ติดขนตาปลอม แล้วใช้เจลไลน์เนอร์
หรืออายไลน์เนอร์น้าเขียนทับให้หางตายกขึ้น ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีแกมสัมให้ระเรื่อ ทาปากให้
สวยเด่นด้วยลิปสติกสีแดงก่า โดยการผสมสีน้าตาลลงไป สี สีหลัก : สีขาว สีดา สีแดง สีรอง : สี
ครมี สสี ม้ สีนา้ ตาลดา สที อง

ยุคที่ ๗ สนองพระราชดาริ

ระยะเวลา

รชั กาลที่ ๙ ( ตน้ ศตวรรษท่ี ๒๑)

ลักษณะทเี่ หน็

งามแบบโขน

ทาไมจึงแต่งเชน่ น้นั

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ

พระราชทานพระราชดาริและพระราชวิจารณ์แก่การ

แต่งหน้าโขนท่ีแสดงถวายอยู่อย่างสม่าเสมอเม่ือมีการจัด

ที่มา: มนตรี วัดละเอยี ด แสดงโขนหน้าพระที่น่ังในวาระโอกาสสาคัญ ต่างๆ

พระราชดาริและพระราชวจิ ารณข์ องพระองค์สร้างแรงบันดาลใจให้ สืบค้น สร้างสรรค์และพัฒนา

ความเข้าใจทีถ่ กู ตอ้ ง เพ่ือสถาปนาแนวทางมาตรฐาน ในการแตง่ หน้าโขนทจี่ ักเชดิ ชศู ิลปะการแสดง

ช้ันสูงเช่นโขนน้ีให้งดงามยิ่งๆข้ึนด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม บทเรียนจากการศึกษา

พฒั นาการการแต่งหน้าละครราและทดลองแต่งหนา้ ละครา ๖ แนวทางตัง้ แต่อดตี จนปัจจบุ ัน เพื่อ

นามาใช้กาหนดการออกแบบรูปแบบการแต่งหน้าโขน สนองพระราชดาริ ใน สมเด็จพระนางเจ้า

สริ กิ ิติ์ พระบรมราชินีนาถและคาแนะนาเพมิ่ เตมิ อาทิ ปริศนา" จาก อ.จักรพันธ์ุ โปษยกฤต ทใี่ ห้ไป

ดู "คว้ิ " จนต้องกลับไปพิเคราะห์ภาพจติ รกรมไทยอยนู่ าน และท่ีครสู ่องชาติ ชืน่ ศิริ ศลิ ปินแห่งชาติ

ทั้งท่ีท่านมีอายุถึง ๙๐ ปีก็ยังเมตตาคณะทางาน ได้กรุณามาราให้ดูทาเป็นบุญตา พร้อมกับจับมือ

ช่างแต่งหน้าเขียนหน้าตามให้แจง้ กระจ่างว่า เขียนขอบตาเป็นเส้นตรงตามแบบเก่าเปน็ เช่นไร น้ัน

บัดนส้ี ามารถประมวลกรรมวิธีและสังคราะห์รปู แบบการแต่งหน้าโขนขึ้นมาได้เป็นอกี แนวทางหน่ึง

หรอื เป็นยุคท่ี ๗ และไดเ้ รียกช่ือยุคอย่างไม่เป็นทางการกนั ว่า "แนวพระราชนิยม" โดยมีรายละเอยี ด

วธิ ีการแตง่ หน้าโขนยคุ ที่ ๗ "แนวพระราชนยิ ม" ดงั ต่อไปน้ี

การแต่งหน้าโขน"แนวพระราชนิยม"

การแตง่ หน้าโขนที่จกั เชิดชูศิลปะการแสดงช้นั สูงเช่นโขนนีใ้ หง้ ดงามย่ิงขึน้ ได้ ต้อง"แตง่ ใหส้ วยและดู

เป็นไทยการแต่งหน้าโขนแบบน้ีอาจดูยากเม่ือเลร่ิมต้นหัดทาใหม่ ความยากอยู่ที่การเขียนเส้นให้

สมดุลทัง้ ซา้ ยและขวาแตถ่ ้าใช้เวลาและความอดทนฝึกทาซา้ บ่อยๆ จนเกดิ ความเขา้ ใจก็จะสามารถ

แต่งให้ประณีตและสวยงามได้โดยใช้เวลาไม่มาก พื้นฐานของการแต่งหน้าโขนในแนวน้ี เร่ิมต้นท่ี
การแตง่ หน้าสาหรับตวั โขนพระและตวั โขนนาง
อัตลักษณ์โขนพระ-นาง รูปแบบการแต่งหน้าตัวละครโขนพระและโขนนางน้ัน เม่ือวิเคราะห์ตาม
ลักษณะตัวพระตัวนางหรือพระรามนางสีดาในภาพจติ รกรรมไทยรามเกียรต์ิ พบวา่ มรี ปู แบบท่ีเป็น
อุดมคติ และเป็น"หน้าตาย" แบบหัวโขนพระยาอนุมานราชธนมีความเห็นว่าภาพเขียนจิตรกรรม
ไทยน้นั เดิมทีคงไดเ้ ค้าตัวละครทว่ี าดมาจากหนา้ โขนอยแู่ ลว้ ดงั ข้อสันนษิ ฐานตอ่ ไปนี้
"เม่ือนึกถึงยักษ์ สิ่ง ท่ีเขาทาป็นหัวโขนและเขียนป็นภาพระบายสีไว้ ก็ทาให้นึกต่อไปว่าหัวโขนเอา
อย่างภาพเขียนหรือว่าภาพเขียนเอาอย่างหัวโขน คิดทบทวนไปมาเห็นน้าหนักเอียงไปอยู่ข้าง
หัวโขน เพราะหนุมานอ้าปากก็อ้าอยู่อย่างน้ันไม่มีหุบปาก องคตหุบปากก็หุบอยู่อย่างนั้นไม่มีอ้า
ปาก ถ้าเป็นภาพเขยี นอาจเขยี นใหแ้ สดงอาการออกมาตามเรอื่ งก็อาจทาได้ ข้าพจา้ เคยขอแรง นาย
ศิลป พีระศรี ลองวาดภาพหนุมานหัวเราะ หนุมานเสียใจร้องไห้ หนุมานตกใจมาให้ดู ก็ดูออกว่า
เป็นหนุมาน แต่ทาไมไม่เขียนกัน ก็เพราะเอาอย่างหน้าตาในหัวโขน ซึ่งจะยักย้ายให้เปล่ียนแปลก
ไปจากท่ีป็นอยู่ไม่ได้ ท่ีภาพเขียนแบบคลาสสิกของไทยเขียนภาพหน้าคน เปน็ คนตาย คือเป็นหนา้
ปกติ ไม่มกี ารแสดงอาการบอกใหร้ วู้ า่ มีอารมณอ์ ย่างไร กค็ งมาแตเ่ หตทุ ่ถี ่ายแบบจากหวั โขนเป็นแน่
แม้กระท่ังตัวพระลักษมณ์พระราม ภาพเขียนก็เขียนป็นเช่นดียวกนั เพราะฉะน้ันความสาคัญของ
ภาพเขียนและการแสดงของโขนละคร จึงอยู่ที่ช่างและผู้แสดงซ่ึงเป็นศิลปิน ท่ีสามารถเขียนหรือ
แสดงออกมาให้เห็นกิริยาท่าทาง กระทาให้คนดูสึกเห็นไปเอง หลักของศิลปที่เขาถือว่าวิศษอยู่ที่
ตรงน้ี ไม่ใช่ว่าช่างเขาเชียนภาพให้นางยิ้มไม่เป็น เขียนให้ย้ิมจนเห็นเปน็ ยงิ ฟันเขาก็เขียนได้แต่เขา
ไม่เขียน ถ้าเป็นภาพรูปแบบคลาสสิก เขาจะเขียนภาพนางเป็นหน้าเฉย"อย่างหน้าตายแต่ด้วย
ความสามารถของช่างที่วาดเส้นและระบายสี อาจทาให้คนดูนึกเห็นไปเองว่านางในรูปภาพนัน้ อม
ยมิ้ หรือยิ้มละไมอยใู่ นหน้า ความวเิ ศษของภาพท่ีเป็นศิลปอยทู่ ่ีเรื่องนกึ เห็นนี่เอง ตามทก่ี ล่าวน้ีมีฉัน
ใด ศิลปินซ่ึงแสดงละครก็มีฉนั น้ัน...ด้วยความสามารถของศิลปนิ ผู้แสดงเป็นตัวทศกณั ฐ์ อาจทาให้
เราเห็นทศกัณฐมีอารมณ์เป็นไปได้ต่างๆแม้ทศกัณฐยิ้มเราก็นึกเห็นว่าเป็นไปได้ทั้งๆ ที่หัวโขนยิ้ม
ไมไ่ ด้ หวั โขนทีท่ าดีๆ ช่างที่ทาเข้าอาจนาความรูส้ ึกนกึ เหน็ แทรกใส่เข้าไปในหัวโขนที่ทา ใหเ้ หน็ เป็น
ว่ามีสง่า มีความดุ มีความจองหอง หรือมีอะไรอยู่ในหัวโขนน้ันก็ได้" หากภาพจิตรกรรมไทย
รามกียรต์ินั้น นารูปแบบใบหน้ามาจากหัวโขนจริง ยิ่งเป็นการสมควรที่จะนาภาพรูปแบบใบหน้า
จิตรกรรมไทยรามกียรต์ิ มาใช้เป็นแม่บทสาหรับการพัฒนารูปแบบการแต่งหน้าตัวละครโขนพระ
และโขนนาง โดยการ ซื้อ(Deconstruct)" รูปแบบใบหน้าภาพตัวพระตัวนาง หรือ พระรามนางสี
ดา ในภาพจิตรกรรมไทยรามเกียรต์ิ ออกเป็นธาตุต่างๆ แล้วนามาประกอบ "สร้างใหม่

(Reconstruct") ข้ึนเป็น รูปแบบการแต่งหน้าสาหรับอัตลักษณ์โขนพระและโขนนางปรับให้เป็น
หน้าไทย ใบหน้าของตัวพระตัวนางในอุดมคติจิตรกรรมไทย คือใบหน้ารูปไข่ สัดส่วนของใบหน้ามี
ความสมบูรณ์แบบของการแบ่งช่วงหน้า มีระยะของ คิ้ว ตา และปากที่เหมาะสม ซ่ึงแตกต่างจาก
สัดส่วนใบหน้าของนักแสดงหรือของคนจริงๆ สมัยก่อนนักแสดงจะถูกคัดเลือกรูปหน้าต้ังแต่แรก
เพอ่ื ใหร้ ับบทบาทตัวพระหรือตัวนาง โดยเลอื กจากคนท่มี ีสดั สว่ นใบหน้าใกล้เคยี งกับรูปหนา้ ในอุดม
คติก่อน เม่ือแต่งหน้าก็จะง่ายและสวยได้ใกล้เคียงกับใบหน้าตามภาพวาด แต่ในปัจจุบันข้ันตอน
การคัดเลือกน้ีได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างไรก็ตามการแต่งหน้าในรูปแบบนี้สามารถช่วยให้ดูดีได้
ด้วยการแกไ้ ขรปู หน้าก่อนตามหลักการแตง่ หน้าสมยั ใหม่ จากนน้ั เม่ือแกไ้ ขรปู หน้าแล้ว ค่อยลงรอง
พื้นอย่างประณีต ปรับสีผิวให้มีความขาว สว่าง เพื่อที่เม่ือลงเส้นและสีแล้ว จะได้มีความสวยงาม
คมชัด และโดดเด่น ทั้งนี้ต้องคานึงถึงหลักการแต่งหน้าสาหรับการแสดงละครเวที( Stage
Makeup) โดยเฉพาะเร่อื งสขี องเครอื่ งสาอาง, สีแสงไฟ, ขนาดของเวที, และลกั ษณะของเครื่องแต่ง
กายและเคร่ืองประดับดว้ ย
โครงสี
ข้ันแรกต้องถอดโครงสีตามสมัยนิยมทิ้ง โดยคงไว้เพียงโครงสีหลัก คือ สีขาว สีดา และสีแดง เพ่ือ
ปรับลดความเป็นตัวตนของนักแสดงออกไป ให้กลายเป็นตัวละครน้ันโดยสมบูรณ์ ถ้าว่าในทาง
วิธีการแลว้ กค็ ือการเปล่ยี นแนวทางการแต่งหน้าจากแนวความงาม (Beauty Makeup) มาใช้แนว
ตวั ละคร(ChaMakeup) แทนน่นั เอง สีหลักและสีรองท่ีใช้ไดแ้ ก่
๑. สหี ลกั : สีขาว สดี า และสีแดง
สขี าว สาหรับ สีขาวของใบหนา้ ขาวเปน็ หน้าห่นุ ขาวผ่อง ขาวนวล สขี าวนัน้ ขาวแค่ไหนจึงจะพอดี
ตามความจริงแล้วขาวแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ขาวน้ันเท่ากันทุกตัวละคร รวมทั้งสีผิวกาย คอ มือ
และเทา้
สีดา สาหรับ สีดาของเส้นคิ้ว เสน้ ขอบตาบนและขอบตาตาลา่ ง และเส้นตาสองชนั้ ในเบา้ ตา
สีแดง สาหรับ ปากสีแดงสด หรือแดงก่า ไม่มันวาวจนเกินไป สีปากพระลดความแดงลงด้วยการ
เจอื สีส้ม หรอื สนี า้ ตาลลงไป ส่วนแกม้ แดงระเร่อื ปดั ให้ดเู ปล่งปล่ัง อาจปัดไล่สูงขึ้นมาจนใกล้ขอบตา
ลา่ งเลยกไ็ ด้
๒. สีรอง : สีใกล้เคียงสีผิว (skin tone)ทั้งสีอ่อนและสีเข้มใช้สาหรับปรับแสงเงาตามจุดต่างๆบน
ใบหนา้ ใชท้ ้ังแปง้ เค้ก อายแชโดว์ บลชั ออน หลายๆเฉดสี ใหเ้ ลอื กสีใกลเ้ คียงสผี ิว (skin tone) เช่น
ขาว ครมี สม้ ออ่ น เหลอื งออ่ น น้าตาลออ่ น นา้ ตาลเข้ม เป็นตน้ ใช้สอี อ่ น

และสีเข้มนั้นย้าในหลายจุดบนใบหน้า เช่น ข้างสันจมูก เงาบนเปลือกตา เงาข้างแก้ม ประกายใต้
คิว้ ท่ีหวั ตาบน-ล่างใตร้ ิมฝีปากล่าง เปน็ ต้น
โครงเสน้
โครงเส้นท้งั หมดถอดแบบหน้ามาจากหัวโขนจริงและจากหน้าพระหน้าเทวดาในภาพจิตรกรรมไทย
โดยปรับให้เข้ากันได้กับใบหน้าคนจริง ซึ่งมีมิติมากกว่ากระดาษและผนัง หลังจากจัดรูปหน้าแล้ว
ต้องวาดหน้านักแสดงเสียใหม่ให้เป็นเหมือนหรือใกล้เคียงกับหัวโขน ท้ังนี้ต้องเลือกเส้นบางเสน้ ท้ิง
ไปเหลือไว้เฉพาะที่พอดีกับหน้าคนจริงๆ รูปแบบใบหน้าท่ีได้ออกมาจะไม่มีวัย นักแสดงอายุน้อย
หรือมากก็แต่งหน้าแบบเดียกัน ยกเว้นคิ้ว โดยตัวนาง นิยมวาดให้โค้งโก่ง และเรียวลงทางหางคิ้ว
ส่วนตัวพระเพ่ิมขนาดของเส้นค้ิวให้ใหญ่ขึ้น และเขียนหางคิ้วให้ตวัดกระดกข้ึนเล็กน้อย ส่วน
รายละเอยี ดอื่นๆของ สีตา สแี กม้ และสีปาก เหมอื นกนั โดยตัวพระใหล้ ดความแดงของปากลงแต่ง
อยา่ งไรใหด้ ูร้วู า่ เปน็ การแสดงของไทย เพราะสหี ลักที่นามาใช้ คือ สขี าว สีดา และสีแดงนนั้ เป็นสที ี่
ใช้กนั ทว่ั ไป สาหรับการแสดงของหลายชาตใิ นเอเชยี เชน่ จีน และ ญี่ปนุ่ สงิ่ ท่ีจะทาใหก้ ารแต่งหน้า
โขนของไทยมีเอกลักษณ์ต่างจากชาติอ่ืนๆ คือ โครงเส้นต่างๆ อาทิ ค้ิว ลักษณะของค้ิวท่ีโค้ง โก่ง
เปน็ รูปคนั ศร เพือ่ ใหร้ บั กับใบหนา้ รูปไข่ และเครื่องประดับศรษี ะของไทย เชน่ ชฎา เส้นขอบตาตรง
และ เส้นหลกั เส้นร่างสแี ดง เสน้ ประ เส้นลายตา่ งๆ
๑. เส้นรา่ งสีแดง
ก่อนการลงเสน้ ด้วยสีดาให้เขียนเส้นร่างสีแดงนาเสน้ โครงทั้งหมดไวเ้ สียก่อน คอื ใชส้ แี ดงเขยี นเส้น
คิว้ ใช้สีแดงเขยี นเสน้ ตาสองช้ันและเสน้ ขอบตาบนและขอบตาล่าง แล้วจึงใชเ้ คก้ ไลน์เนอร์สนี ้าตาล
ผสมสีดา เขียนทับเส้นสีแดง โดยให้เหล่ือมซ้อนกับเส้นสีแดง คือ เขียนเส้นสีน้าตาลดาให้เล็กกว่า
เส้นสีแดงจากน้ันเขียนทับอีกคร้ังด้วยอายไนเ์ นอร์สีดาให้คมและชัด โดยยังมีเส้นร่างสีแดงประกบ
เปน็ เงาแดง อยู่คกู่ ับเสน้ ดาทุกเสน้ เพอ่ื ทาให้เส้นทงั้ หมดดูมนี า้ หนักและอ่อนหวานข้ึน
๒. คิว้ โก่งเป็นคนั ศร
เตรียมค้ิวให้พร้อมเพื่อการวาดค้ิวให้สวยงาม การเตรียมพื้นที่ให้เรียบเนียนสวยเพ่ือเขียนค้ิว จะได้
รปู ค้ิวที่ โคง้ โกง่ เปน็ คนั ศร สวยงาม ในเบ้ืองต้นตอ้ งเตรยี มอุปกรณ์ สาหรบั จัดระเบยี บควิ้ เสียก่อน
อาจใช้วธิ ถี อนขนคว้ิ ทีเ่ กนิ รูปออก หรือกนั ค้วิ ออกบา้ งเปน็ บางส่วน บางคนใช้วธิ ที เี่ ร็วทีส่ ดุ คอื โกนขน
คิ้วเดิมออกให้หมด ก็จะมีพ้ืนที่ให้เขียนคิ้วได้สวยงามได้ แต่ถ้าจะไม่โกนคิ้วให้ใช้วิธี "ปิดค้ิว"การ
แต่งหน้าสมัยโบราณ ใช้น้ามันและแป้งทาทับคิ้วให้หายไป หรือใช้ สบู่ และข้ีผ้ึง จับขนคิ้ว แล้วใช้
รองพ้ืนและแป้งทาทับก่อนเขียนข้ึนใหม่ปัจจุบันใช้กาวจับขนค้ิวแล้วใช้สีผ้ึง( Wax)สาหรับปิดค้ิว
เคลือบขนค้ิวให้เรียบก่อน จากน้ันใช้รองพื้นและแป้งทาทับ ก็จะได้พื้นท่ีเรียบเสมอกันพร้อมท่ีจะ

เขียนคิ้วใหม่ได้ กาวท่ีจับขนคิ้วมีหลายชนิด อาทิ สปิริตกัม(Spinit Gum ) กาวติดขนตา (Eye

Putty ) พรอส-เอด (Pros aid) จนแมก้ ระท่ัง ยูฮ้ ู สติก๊ (Utrhu Stick) กใ็ ชไ้ ด้เมอ่ื ปิดค้ิวเดมิ ได้เรียบ

เนียนดีแลว้ ใชพ้ กู่ ันจุ่มนา้ กับเค้กไลน์เนอร์ เขียนให้สวยงาม แล้วเขียนทบั ด้วยอายไลน์เนอร์เพื่อให้

คมชัด หรือ อาจใช้ดินสอเขียนค้ิวเขียนตามความถนัดก็ได้การเขียนค้ิวให้โก่งเป็นคันศร เริ่มจาก

เขียนค้ิวให้หัวค้ิวต่า เพื่อจะได้ยกโครงของคิ้วให้โก่งขึ้นทันที และเขียนหางค้ิวให้ขนานไปกับใบหู

โดยท่ีหางค้ิวยังอย่ใู นกรอบหนา้ ไม่หายไปในเครอื่ งประดับศรีษะ ค้ิวนาง หัวค้ิวแหลม หางคิ้วเรียว

คิ้วพระเพิ่มขนาดของเสน้ คว้ิ ให้ใหญ่ข้นึ และเขยี นหางค้วิ ใหต้ วัดกระดกขึน้ เล็ก น้อย

อ ย่ า ว า ด ค้ิ ว ใ ห้ ดู แ ล้ ว เ ห มื อ น กั บ ว่ า ตั ว ล ะ ค ร ส ง สั ย ห รื อ ต ก ใ จ อ ยู่ ต ล อ ด เ ว ล า

๓. เสน้ ขอบตา

เส้นขอบตาของการแต่งหน้าโขน ใช้เค้กไลน์เนอร์หรืออายไลน์เนร์สร้างเส้นรอบตา เขียนขอบตา

ลา่ งใหเ้ ป็นเสน้ ตรงไปตามรูปตา เขียนหางตาใหต้ รงไมย่ กหางตาข้ึน แล้วเขียนขอบตาบนตามรูปตา

ลากเส้นหางตาให้บรรจบกับเส้นตาล่าง จะทาให้ได้เส้นรอบตาท่ีเรียบตรงในแนวนอน เส้นขอบตา

กเ็ ช่นเดียวกนั กบั เสน้ อ่ืนๆ ให้เขยี นเสน้ ทัง้ หมดดว้ ยเสน้ ร่างสแี ดงกอ่ นแล้วจงึ ใชส้ ดี าลงทบั

๔. เส้นตาสองช้นั

เสน้ ตาสองช้ัน คือเส้นตาท่สี องซ่ึงขนานกบั เสน้ ขอบตาบน โดยอยรู่ ะหว่างเส้นค้ิวและเส้นขอบตาบน

การเขียนเส้นตาสองช้ัน ให้ใช้เส้นร่างสีแดงเขียนขนานกับเส้นขอบตาบน แล้วเขียนหางตาให้

กระดกข้ึนให้รบั กบั หางคิว้ กอ่ นใชส้ นี ้าตาลหรือสีดาเขยี นทบั อีกคร้ังหน่ึง

๕. เส้นลายและควิ้ พิเศษ

เส้นในหมวดน้ีเป็นเสน้ สาหรบั การสร้างสรรค์ ไมม่ หี ลักตายตัวในการใช้ เช่น เสน้ ประ ทใี่ ชเ้ ดินคู่บาง

เส้น ในหน้ามหาเทพ เส้นหนวดที่ใช้ในหน้าเทดาที่ผู้ชายเล่นแต่ไม่ใส่ในหน้าเทวดาที่ใช้ผู้หญิงเล่น

เสน้ หนวด และพรายปากของหนา้ นาค หัวค้วิ กนก และหางค้วิ กนก เป็นต้น

ผมและผิวทรงผมในการแสดงโขนมีไม่ก่ีทรง ข้ึนอยู่กับเครื่องประดับศรีษะ ถ้าตัวละครสวมชฎา

นิยมรวบผมมวยเปน็ จกุ ไว้บนศรีษะ ครอบทับดว้ ยเน็ทคลุมผมหรือปล่อยผมยาว ถ้าใส่กรอบพักตร์

หวีผมเปิดหน้าผาก รวบมวยไว้ข้างหลังหรือปล่อยผมยาว ถ้าต้ังรัดเกล้า ให้หวีผมแสกกลาง ปาด

หน้าผากลงมา และ เสรมิ ชอ้ งให้เป็นหางมา้ อยู่ดา้ นหลัง อย่าแตง่ แตห่ นา้ แต่งหนา้ แลว้ อย่าลืมทาผิว

ในส่วนอ่ืน ให้ดูขาวผ่อง เรียบเนียนเสมอกันทั้งหมด คือ คอ มือ เท้า และ ฝ่าเท้า ไม่ทาสีเล็บให้ดู

เด่นเกนิ ไป ตัวละครทใ่ี สห่ ัวโขนตอ้ งผัดแปง้ ที่ คอ มอื และ เท้าใหด้ ูกลมกลืนกนั

เทคนคิ สมัยปัจจุบัน
ปดิ คว้ิ ใหเ้ รียบเนยี นด้วยกาวและแวกซส์ าหรบั ปิดค้ิว ปรบั สีผวิ ให้สว่างดว้ ยรองพ้ืนสขี าวครีม

แลว้ จึงใช้สีท่ใี กล้เคยี งกบั สีผิวทับ แกไ้ ขรปู หนา้ ด้วยรองพ้ืนสีออ่ นและสีเข้ม อาจใช้รจู ทาแก้ม เกลี่ย
ให้เป็นสีแดง ระเร่ือ ทับด้วยแป้งฝุ่นโปร่งใสสีขาว หรือสีเน้ือ แล้วใช้แพนเค้กสีขาวเกล่ียให้ท่ัว
ใบหนา้ อีกครง้ั เขียนเส้นขอบตาบน-ล่างตามรปู ตาให้หางตาตรง ด้วยเค้กไลนเ์ นอรส์ ีแดง แล้วลงทับ
ด้วยเคก้ ไลน์เนอร์สดี า เกลีย่ ให้เหลอ่ื มซ้อนกนั ใหส้ แี ดงเปน็ เงาของเส้นสีดา เขยี นเส้นตาสองชน้ั ให้
ขนานไปกบั รปู ตา เขยี นคว้ิ ใหโ้ คง้ หวั คว้ิ เล็ก ตรงกลางหนา หางคิ้วเรยี วลงหรือกระดกขน้ึ เขียนด้วย
เค้กไลนเ์ นอร์ สแี ดงก่อน แลว้ จงึ ใชเ้ คก้ ไลน์นอรส์ ีดา จากน้นั เขยี นทับดว้ ยอายไลน์เนอรน์ ้าหรือเจล
อายไลน์เนอร์ สีดาให้เส้นคม ไม่ใช้ ขนตาปลอม ปัดขนตาบางๆ ปัดแก้มเป็นสีแดงระเรื่อ ทาปากสี
แดงเป็นรูปกระจับ โดยใช้สีแดงเข้มอยู่ด้านในแล้วเกลี่ยให้กระจา่ ยออกมาที่ริมฝีปาก สี สีหลัก : สี
ขาว สีดา สีแดง สรี อง : สีขาว สีครีม สสี ม้ อ่อน สเี หลืองออ่ น สีน้าตาลอ่อน สนี ้าตาลเขม้


Click to View FlipBook Version